++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2548

"ครอบครัวอ่อนหวาน" เพื่อสุขภาพ

คอลัมน์ ส่องโรค ไขสุขภาพ

ในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันเบาหวานโลก ณ พิพิธภัณฑ์เด็ก กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน จะจัดการรณรงค์ "วันครอบครัวอ่อนหวาน" ซึ่งจะให้เป็นวันเริ่มต้นของการรณรงค์ปลูกฝังวัฒนธรรมการกินแบบอ่อนหวาน

เนื่อง จากพบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลโดยประมาณปีละ 20 กิโลกรัม หรือราวๆ 20 ถุงต่อปี ซึ่งมากเกินกว่าปริมาณที่องค์กรอนามัยโลกแนะนำถึง 3 เท่า และพบอีกว่าเด็กไทยมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนและฟันผุเพิ่มมากขึ้น

จาก การประมาณการของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คนไทยร้อยละ 30-40 ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีภาวะน้ำหนักเกิน อันเป็นผลของการเกิดปัญหาต่อสุขภาพ เช่น โรคเบาหวานและอื่นๆ

ศ.เกียรติคุณ พ.ญ.ชนิกา ตู้จินดา กุมารแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ระบุว่า ในรอบ 10 ปี จำนวนเด็กไทยมีน้ำหนักเกินเพิ่มขึ้นถึง 1 เท่าตัว ซึ่งถือว่าเข้าขั้นวิกฤต และเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ข้อเข่าเสื่อม และอื่นๆ จากผลของการสำรวจใน 5 จังหวัดของเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานเมื่อเดือนตุลาคม 2547 คือ บุรีรัมย์ หนองบัวลำภู เชียงใหม่ ลำปาง และตรัง พบว่าเด็กต่ำกว่า 2 ปี ถึง 1 ใน 3 ที่กินนมรสหวาน และมีเด็กวัย 3-5 ปี ร้อยละ 37 ดื่มและกินของหวานเป็นประจำ "จากปัญหาที่เกิดขึ้น เราควรต้องมาเปลี่ยนวัฒนธรรมการกินเสียใหม่ ซึ่งในช่วงแรกเกิดถึง 3 ปี เป็นช่วงในการเรียนรู้ของเด็ก จึงเป็นโอกาสทองที่ครอบครัวช่วยกันปลูกฝังนิสัยไม่ติดหวานของเด็ก และควรบริโภคน้ำตาลให้น้อยลงวันละไม่เกิน 6 ช้อนชา" พ.ญ.ชนิกากล่าว

น.พ. สุริยเดว ทริปาตี กุมารแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า การขาดน้ำตาลไม่ส่งผลเสียอะไรต่อร่างกายของคนเรา เพราะอาหารจำพวกแป้ง โปรตีน ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นกลูโคสได้ การใช้น้ำตาลเพื่อเป็นการปรุงแต่งรสชาติเท่านั้นเอง

สำหรับในวัน งาน ในส่วนของ กทม. ศ.เกียรติคุณ พ.ญ.เพ็ญศรี พิชัยสนิธ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า จะจัดทำโครงการนำร่องแก้ไขและป้องกันโรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกินของเด็กวัย เรียน และขยายการรณรงค์เข้าไปในโรงเรียนสังกัดในกรุงเทพมหานครทุกแห่ง

เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดคงจะต้องรณรงค์กันทั่วประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น