++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2548

สะกดรอยเก็บดอกไม้

เธอเดินเข้ามาพร้อมๆ กับแสงแดดสิบโมงเช้า สร้างความสดใส ให้กับ
ห้องสมุดเหงาๆ ดูมี สีสันขึ้นมาอย่างน่าประหลาด อาจจะเพราะวันหยุด
จากที่เคยใส่ชุดนักศึกษาเสื้อสีขาวสะอาดตากับกระโปรงสีเข้มไม่สั้นไม่ยาวจนเกินงาม มาเป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพับแขนจนถึงข้อ
ศอกปล่อยชายลงมาคลุมกางเกงขาสามส่วนสีเทา ส่วนรองเท้าผ้าใบสีขาวจัด
เป็นองค์ประกอบที่ลงตัวสร้างความรู้สึกทะมัดทะแมงห่างไกลไปจากความอ่อนช้อย คุณส
มบัติผู้หญิงที่ผมเกลียดนักเกลียดหนา สำหรับคนอื่นๆ ในที่นั้น เธออาจเป็นแค่หญิงสาวหน้าตาหมดจดธรรม
ดา แต่สำหรับผม ณ นาทีนั้น เธอคือดอกไม้ยามเช้าของวันเสาร์ วันที่ผมนั่ง
อยู่คนเดียว เงียบๆ ที่มุมห้องที่รายรอบไปด้วยหนังสือเป็นร้อยเป็นพันเล่ม

ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในสุดของห้อง ด้านหลังเป็นชั้นหนังสือขนาดใหญ่ สูง
จรดเกือบเพดาน เป็นที่เก็บหนังสือศาสนาและปรัชญาตะวันออก ด้านข้าง
เป็นชั้นเตี้ยกว่าเนื่องจากอยู่ใต้หน้าต่าง ภายในชั้นต่ำกว่าระดับสายตาแน่น
ขนัดไปด้วยหนังสือวรรณคดีไทย ดูจากหมวดหมู่ของหนังสือบนชั้นรอบข้าง คงไม่ต้องอธิบายให้มาก
ความว่าเพราะอะไรพื้นที่ตรงนี้จึงถือเป็นทำเลแห่งความสันโดษที่เหมาะสำหรับ
อ่านหนังสือคนเดียวเงียบๆ โดยไม่มีคนผ่านเข้ามารบกวน หรือถ้าจะว่าไป ก็พูดได้ว่าเป็นที่เหมาะทอดสายตาเฝ้ามองความเคลื่อนไหวของห้องสี่เหลี่ยมแห่งนั้น
เธอเป็นแขกแปลกหน้าของที่นี่เมื่อเริ่มแรก แต่ผ่านไปแค่หนึ่งเดือน
สำหรับผมนั้น เธอก็กลายเป็นสิ่งที่รู้สึกขาดหายหากจะไม่ได้เจอที่มากไปกว่าความ
รู้สึกเมื่อบรรณารักษ์ของห้องสมุดลาป่วยเสียอีก

เธอมาที่นี่สัปดาห์ละสอง สามครั้งผมมาที่นี่เกือบทุกวัน
ผมอยากจะทำความรู้จักเธอ แต่คนเก็บเนื้อเก็บตัวที่ขาดการเข้าสังคมมา
นานอย่างผม รู้สึกเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะเดินเข้าไปหาและส่งยิ้มให้ตามบทที่
หนึ่งอ้างอิงทฤษฎ ีที่ง่ายที่สุดของการเริ่มต้นสร้างสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง
แต่ละครั้งที่เธอมาที่นี่ เธอเดินไล่เรียงไปเรื่อยๆ ตามแนวชั้นหนังสือ ใช้
เวลาไม่นานนักที่จะเลือกหนังสือครั้งละสองสามเล่ม ตรงเข้าไปที่โต๊ะบรรณารักษ์ จากนั้นหยิบหนังสือที่ยืมลงกระเป๋าสะพายใบใหญ่ และเดินออก ไปปล่อยผมให้ใจลอยหายแต่ตัวตนยังนั่งนิ่งอยู่กับหนังสือตรงหน้าที่โต๊ะมุมห้อง
ผมยังไม่เคยทำความรู้จักกับเธอมากไปกว่าแอบมอง และการสะกดรอย
ผ่านเส้นทางของหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าตลอดระยะเวลาเกือบหกเดือนนับ

จากครั้งแรกที่ผมพบเธอที่ห้องสมุดแห่งนี้ ใช่แล้วครับ อะไรจะง่ายมากไปกว่าการทำความรู้จักกับเธอผ่านตัว
หนังสือที่เธออ่าน ผมเริ่มเดินตามเส้นทางหนังสือของเธออย่างสนุกสนาน เธอยืมหนังสือ
เล่มไหน ผมจะต่อคิวยืมหนังสือเล่มนั้นกลับไปอ่านที่บ้าน ไล่ตามความฝันที่มี
เธอเป็นองค์ประกอบที่เด่นชัดที่สุดของฉากภาพ ผมเชื่อว่าหนังสือที่คนคน
หนึ่งอ่านจะบอกเรื่องราวของคนๆ นั้นให้เราสัมผัสได้ การไล่ตามหนังสือที่
เธออ่าน บางทีผมอาจจะทำความรู้จักเธอมากขึ้น เผื่อวันหนึ่ง ผมอาจจะกล้า...เดินไปและส่งยิ้มให้
หนังสือเล่มแรก
ที่เธออ่าน Kon Tiki : Across the Pacific by Raft
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางรอนแรมข้ามมหาสมุทรของกลุ่มนักเดิน ทาง
กลุ่มเล็กๆ ด้วยเรือที่ทำด้วยวัสดุธรรมชาติ เป็นเรื่องของการเดินทางอันเล่า
ถึงเรื่องราวที่ทำให้คนกลุ่มนี้เข้าใจและรู้จักธรรมชาติทะเลมากขึ้น ใน ขณะ
เดียวกันทะเลก็สอนให้พวกเขารู้จักธรรมชาติของมนุษย์ถ่องแท้ขึ้นด้วยเช่นกัน
ผมดื่มด่ำข้ามคืนกับหนังสือเล่มนั้น ก่อนที่ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะก้าวต่อ
กับการสะกดรอยตามเส้นทางที่ตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่าการเดินทางครั้งใดๆ
หนังสือเล่มต่อมาทำให้ผมรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่เธอกำลังค้นหา

Jonathan Livingston
นางนวลที่แสนมหัศจรรย์ตัวนั้ น บอกกับผมว่าเธอ ไม่
ใช่ผู้หญิงธรรมดาๆ ดาษดื่นที่ปล่อยตัวให้ลื่นไหลไปตามสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ
แต่เธอมีพลังที่จะปลดปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปกับความฝันสีรุ้งแม้ว่าอาจ
จะต้องเสียเวลาที่ดูเหมือนเปล่าประโยชน์ตามบรรทัดฐานของสังคมปกติ
อย่างที่โจนาทานที่หมกมุ่นอยู่กับการบินด้วยท่าควงสว่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บางครั้งเธอก็พาผมสู่ความลึกลับตื่นเต้นไปกับอะกาธา คริสตี้ บางครั้ง
เธอก็หยิบยื่นบทกวีอันลึกล้ำของท่านกฤษณะ มูรติ ที่ทำให้ผมอดต้องเงย
หน้าพิจารณาความงามของก้อนเมฆอย่างอดไม่ได้เมื่ออ่านจบ
และบางครั้งเธอก็สร้างความแปลกใจที่ทำให้ผมต้องยืมพล นิกร กิมหงวน ของป.อินทรปาลิต ตอนสนุกๆ
กลับไปอ่านที่บ้าน ทั้งๆ ที่ชั้นหนังสือใน
ห้องนอนผมก็มีเล่มที่ซ้ำกันกับที่ยืมมา แต่ผมกลับรู้สึกว่าเล่มที่เธอเคยอ่าน
เมื่อวานนี้อ่านแล้วสนุกกว่าเล่มที่ผมเป็นเจ้าของเป็นไหนๆ
หรือที่ทำให้แปลกใจยิ่งไปกว่ากับความสนุกตื่นเต้นกับการอ่านหนังสือ
กำลังภายในจีนพล็อตเรื่องอมตะประเภทพระเอกถูกฆ่าล้างตระกูล หนีหัวซุก
หัวซุนจนตกหน้าผา และบังเอิญพบปรมาจารย์กระบี่สุดยอดแห่งยุทธภพจน
สำเร็จวิชากลับมาล้างแค้นผู้ร้าย
เธอสร้างความจินตนาการหลากรูปแบบหลายอารมณ์ เปลี่ยนไปเกือบ
ทุกระยะการเดินทางของการสะกดรอยผ่านตัวอักษร
ผมยังจำได้ถึงวินาทีการตัดสินใจ หลังจากการเดินผ่านอันมหัศจรรย์
ผ่านมาเกือบหกเดือนผมนั่งรอที่มุมห้อง ตัดสินใจวันนี้หากเธอเดินเข้ามา ผมจะเดินเข้า ไปหา
และส่งยิ้มให้ ผมคิดว่าถึงเวลาที่ต้องทำความรู้จักเธอให้มากกว่าเส้นทางของ
หนังสือ เรียกให้เท่ๆ ก็คือถึงเวลาที่จะเดินในเส้นทางชีวิตจริงกระมัง
เธอเข้ามาพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่ง ดูอากัปกิริยาแล้วผมพอเดาออกถึง
ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ เธอจูงมือชายหนุ่มมาที่โต๊ะบรรณารักษ์
พูดเสียงสดใสดังพอที่จะให้ผมจับใจความว่า ถึงเวลาของชายหนุ่มที่จะต้องมาทำบัตรห้องสมุดเสียที เธอจะ
ได้ไม่เสียเวลาแวะมายืมให้ ผมยังคงนั่งอยู่ที่มุมห้อง

จากผู้เขียน :-เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมแต่งขึ้นจากประสบการณ์ของเพื่อน
คนหนึ่งที่เคยใช้กรรมวิธีที่ผมเรียกว่า "สะกดรอยเก็บดอกไม้" เรื่อง ในชีวิตจริง
ไม่สนุกสนานตื่นเต้น เนื่องจากเขาใช้เวลาแค่เพียงหนึ่งสัปดาห์กับหนังสือที่ไม่
สนุกสองสามเล่มจากนั้นก็ตัดใจเลิกรา ผมนำเรื่องนี้มาสร้างพล็อตใหม่ นึก
หน้าหญิงสาวของผมแทนหน้านางเอก เอาบรรดา หนังสือที่ผมชอบมาเป็น
หนังสือในท้องเรื่อง และนึกเอาห้องสมุดหน้าปาก ซอยบ้านยายที่ผมชอบไป
ตอนเด็กๆ มาเป็นฉาก หยิบเอาองค์ประกอบทั้งสามส่วนมาขยำรวมเป็นก้อน
แล้วปั้นออกมาเป็นจินตนาการที่คุณพึ่งอ่านจบไปนั่นแหล่ะ หากเรื่องนี้
บังเอิญไปพ้องกับชีวิตจริงของใคร กรุณา แวะมาหาผมที่ร้านบ้านพระอาทิตย์โดย
ด่วน ผมจะเลี้ยงกาแฟ โดยคุณ : คาเฟ่ เดอ เพชร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น