++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

ผ่ากลโกงเขมร ฮุบพระวิหาร กับผลประโยชน์มหาศาล ณ หลักเขตที่ 73

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 กันยายน 2552 08:02 น.
รายงานโดย ออรีสา อนันทะวัน

ความ รุนแรงที่เกิดขึ้นที่บ้านภูมิซรอล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา
เมื่อกลุ่มภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์การเสียดินแดนรอบประสาทพระวิหาร
นำโดยวีระ สมความคิด
พยายามขึ้นไปอ่านแถลงการณ์บนผามออีแดงเรียกร้องพื้นที่4.6
ตารางกิโลเมตรกลับคืนสู่อ้อมอกคนไทย แต่กลับมีไอ้โม่งที่เป็น
"ม็อบจัดตั้ง" ระดมยิงหนังสติ๊กเข้าใส่จนเกิดปะทะขึ้นนั้น แท้ที่จริงแล้ว
เป็นเพียงแค่ "กระพี้" ของปัญหาเรื่องเขาพระวิหารระหว่าง "ไทย-เขมร"
เท่านั้น

เพราะแก่นของเรื่องทั้งหมดอยู่ตรงที่ความไม่เข้าใจของคนไทยจำนวนไม่
น้อยที่ยังไม่ทราบความจริงเรื่องเขาพระวิหาร โดยเฉพาะความจริงเรื่องที่
"เขมรร่วมมือกับฝรั่ง" ฮุบดินแดนของราชอาณาจักรไทยไป

รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการด้านโบราณคดีและนักมานุษยวิทย
ให้ความเห็นเกี่ยวกับคำว่า ครั้งชาติ ว่าเป็นการกล่าวหา
เพราะคลั่งชาติเป็นการรักชาติแบบไม่มีเหตุผล ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าไทยยึดพื้นที่ของเขมรมาโดยคิดว่าเป็นประเทศใหญ่กว่าและเห็นเขมรเป็นขี้
ข้า อันนี้ไม่ได้
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นปกป้องสิทธิดินแดงอำนาจอธิปไตยของชาติ
โดยกลุ่มคนที่เห็นว่าในเมื่อรัฐบาลจัดการไม่ได้ ประชาชนต้องจัดการ

"กระบวน การที่คุณวีระ ทำถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
คือเขาทำถูกในแง่การปลุกระดมความเป็นชาติขึ้นมาประชาชนมาจากทุกภูมิภาคเพื่อ
มาช่วยกันทำภารกิจ ที่ผ่านมาคนไทยไม่เคยเอาใจใส่เรื่องนี้เลย
เป็นการกดดันรัฐบาลว่าอย่าหน่อมแน้มนะ
โดยจุดสำคัญเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนที่มีหลายฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม
ทั้งคนไทย คนต่างชาติร่วมกันขายชาติ
มีผมประโยชน์ร่วมกันมันเป็นเรื่องอันตรายมาก"

รศ.ศรีศักรเล่าย้อนหลังถึงกลโกงของเขมรที่กระทำต่อไทยถึง 3 ครั้ง
3 คราว่า การโกงครั้งแรกเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5
ซึ่งเป็นยุคที่การล่าอาณานิคมเฟื่องฟู
โดยขณะนั้นเขมรตกเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศสและใช้ความเป็นประเทศมหาอำนาจ
เข้ามากำหนดเขตแดนที่ไม่เป็นธรรมจากราชอาณาจักรไทย

"ฝรั่ง ทำสนธิสัญญากับไทยในปี ค.ศ.1904
โดยในครั้งนั้นยึดหลักการแบ่งเขตแดนด้วยสันปันน้ำ
ซึ่งไทยก็ยอมรับเงื่อนไข แต่ปัญหาคือ ไทยเองกลับประมาท
ไม่ส่งผู้แทนและเจ้าหน้าที่ไปร่วมสำรวจ ทำแผนที่
ปล่อยให้ฝรั่งเศสดำเนินการแต่ฝ่ายเดียว กระทั่งทำข้อตกลงเสร็จสิ้นในปี
ค.ศ.1907 และผู้แทนรัฐบาลไทยก็ไปเซ็นยอมรับความแผนที่ชุดนี้
โดยไม่มีการคัดค้าน"


สำหรับครั้งที่ 2 สมเด็จเจ้านโรดม สีหนุ
อดีตกษัตริย์แห่งกัมพูชาต้องการแสดงความยิ่งใหญ่
โดยไปขุดเอาสนธิสัญญาที่ฝรั่งเศสทำไว้กับไทยในอดีตมายืนยันว่าปราสาทพระ
วิหารเป็นของเขมร เพราะอยู่ในดินแดนที่ฝรั่งเศสแบ่งให้
แต่รัฐบาลไทยไม่ยอมโดยยืนยันสิทธิเหนือดินแดนจากกติกาเรื่องสันปันน้ำซึ่ง
เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก
และในที่สุดเรื่องก็ถูกยกระดับกลายเป็นข้อพิพาทและนำไปสู่ศาลโลก
การขึ้นศาลโลกในครั้งนั้นถือเป็นการร่วมกันโกงครั้งที่ 2
เพราะศาลโลกตัดสินให้เขมรเป็นฝ่ายชนะไทย
โดยให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของเขมร ซึ่งรัฐบาลไทยจำใจต้องยอมรับ
แต่ได้สงวนคำคัดค้านเอาไว้ โดยจอมพล สฤษฎิ์ ธนรัชต์
ได้ประกาศว่าจะเอาคืนด้วยน้ำตาว่าวันหนึ่งจะเอาคืน

ส่วนกลโกงครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลเขมรภายใต้การนำของ
"สมเด็จฯ ฮุนเซ็น" ต้องการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
แต่ไทยไม่ยอม แต่ท้ายที่สุด "นายนพดล ปัทมะ"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในยุครัฐบาลสมัคร
สุนทรเวชก็ไปเซ็นยินยอมในแถลงการณ์ร่วมให้เขมรขึ้นทะเบียนได้
โดยการรู้เห็นเป็นใจของยูเนสโก
ซึ่งส่งผลทำให้การขึ้นทะเบียนมรดกโลกผนวกรวมพื้นที่ 4.6
ตารางกิโลเมตรที่เป็นดินแดนไทยเข้าไปด้วย

"ผม ฟันธงเลยนะว่า กรรมการยูเนสโกส่วนหนึ่งฮั้วกับเขมร
มันชัดเจนมากเพราะยูเนสโกก็รู้ว่าขึ้นเฉพาะตัวปราสาทไม่ได้
ดังนั้นเราต้องเล่นงานยูเนสโกนั่น โดยถอนตัวจากสมาชิกมรดกโลก
ขณะที่รัฐบาลเองก็ทำลับๆ ล่อๆ หลายรอบแล้ว
ผมถือว่าการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลชุดนี้ล้มเหลว เพราะนายกฯ
ดีแต่พูดแต่ไม่ทำ ซื้อเวลาไปวันๆ แล้วเขมรก็เข้ามายึดพื้นทำเส้นทางขึ้น
คนส่วนใหญ่ไม่ยอมจึงเกิดการเคลื่อนไหว อย่างที่คุณวีระ
และเครือข่ายทำนั่นแหละ"

"การทวงคืนพื้นที่คืนไม่ต้องไปพึ่งรัฐบาลหรอก
เพราะรัฐบาลช่วยอะไรไม่ได้ พลังประชาชนเท่านั้นที่จะต้องออกมากดดันรัฐบาล
แล้วสร้างภาวะสังคมให้เกิดขึ้นในประเทศไทย
ซึ่งทุกอย่างที่กล่าวมานี่ขึ้นอยู่กับพลังประชาชนว่าจะเข้มแข็งขนาดไหน"รศ.
ศรีศักรให้คำแนะนำ

ด้าน ม.ล. วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ผู้เชี่ยว ชาญและนักวิชาการ
สถาบันไทยคดีศึกษา
แกนนำกลุ่มภาคีเครือข่ายติดตามสถานการณ์กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร
กล่าวว่า ปัญหาทั้งหมดเป็นผลมาจากการตัดสินของศาลโลกว่ากรรมสิทธิ์ในปราสาทเป็นของ
เขมร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะไม่ได้ยึดตามสันปันน้ำ
ทำให้กลายเป็นปัญหาเรื่อยมา
จากนั้นก็มาเติมเชื้อไฟด้วยการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยนำ
พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรซึ่งเป็นดินแดนของไทยเข้าไปด้วย
แต่จุดที่ทำให้ไทยเพลี่ยงพล้ำและเสียท่าเขมรก็คือ
การไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Communique
ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 เพราะนอกจากจะขัดต่อมาตรา
190ตามรัฐธรรมนูญเพราะเข้าข่ายเป็นสนธิสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจาก
รัฐสภาแล้วยังมีนัยที่ไทยจะต้องเสียอธิปไตยและเสียดินแดนด้วย

"สิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นโมเดลของการเสียพื้นที่จุดอื่นๆ
ในอนาคตเขมรจะจัดการกับแผนที่ที่อื่นที่มีปัญหา
โดยใช้แบบแผนเดียวกันใช้กรอบเจรจาเหมือนกัน
เช่นปราสาทตาเมือนธมและตาเมือนโต๊ดจังหวัดสุรินทร์ และปราสาทสด๊กก๊อกธม
จ.สระแก้วที่อาจจะต้องเสียไป
ที่สำคัญเขมรอยากรุกล้ำเขตแดนเข้ามาทางจังหวัดตราด มิหนำซ้ำหลักเขตที่ 73
ในจังหวัดตราด ยังเป็นตัวชี้เข้าไปในพื้นที่ทะเลว่าอาณาเขตจะอยู่ตรงไหน"

ม.ล. วัลย์วิภา อธิบายต่อว่า
อีกจุดหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือปัญปัญหาเรื่องหลักที่เขต
73ในจังหวัดตราด ซึ่งก่อนหน้านี้เขมรพยายามประกาศว่าเป็นพื้นที่ของตนเอง
แต่รัฐบาลไทยไม่รับรองเพราะเป็นเส้นเขตแดนที่ล้ำเข้ามาในดินแดนไทย
อย่างไรก็ตาม ความยุ่งยากก็เกิดขึ้นตามมาเมื่อ รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
ไปตกลงทำ Joint Communique และนำไปสู่การเซ็น MOU ร่วมกับกัมพูชา
เพื่อลากเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเล โดยไม่ยึดตามหลักวิชาการ
ไม่ผ่านสภาและไม่ผ่านการทำประชาพิจารณ์
ด้วยผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทย กัมพูชาที่มีทั้งก๊าซธรรมชาติ
และบ่อน้ำมันเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงต้องเร่งยกเลิก MOU ปี
2544

ส่วนการที่ไทยจะเอาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรคืนนั้น
ม.ล.วัลย์วิภา แนะว่ารัฐบาลไม่ควรใช้การเจรจาอย่างเดียว
แต่ต้องมีมาตรการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
นำกฎหมายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติที่มีมาใช้
คือเอาพระราชกฤษฎีกาอุทยานแห่งชาติมาควบคุม
โดยใช้นโยบายการผลักดันให้คนเขมรที่ลุกล้ำเข้ามาออกจากพื้นที่ออกไปทีละเล็ก
ทีละน้อย ส่วนทหารเองก็ต้องช่วยยืนยันในพื้นที่ว่าเป็นของไทยอย่างเด็ดขาดชัดเจน
ขณะที่กระทรวงต่างประเทศก็ควรทำเอกสารเรื่องการข้ามชาติให้ถูกต้องโดยใช้
พาสปอร์ต ใครจะเข้าออกก็ควรมีพาสปอร์ต เพื่อยืนยันอธิปไตยของไทย


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000114481

เปิดเว็บสังฆราช ให้ประชาชนถวายพระพร ฉลองพระชันษา 96 ปี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 กันยายน 2552 16:35 น.

ฉลองพระชันษา 96 ปี "สมเด็จพระสังฆราช"
ประทานพระพุทธรูปฉลองพระชนมวาร ให้ จ.กาญจนบุรี
พร้อมประทานพระพุทธชินสีห์ ให้พระอารามหลวงทั่วประเทศ
ขณะที่สำนักเลขานุการ เปิดเว็บไซต์สังฆราชา
ให้ประชาชนลงนามถวายพระพรเป็นครั้งแรก พร้อมเผยกำหนดการฉลองพระชันษา 1-3
ต.ค.นี้

วันนี้ (29 ก.ย.) ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร พระครูสังฆสิทธิกร
หัวหน้าฝ่ายศาสนวิเทศ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กล่าวว่า
เนื่องในวโรกาสสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ทรงเจริญพระชันษา 96 ปี ครบ 8 รอบในวันที่ 3 ตุลาคม
สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้จัดพิธีประทานพระพุทธรูปฉลองพระชนมวาร
พระประจำวันศุกร์ ขนาดสูง 174
ซม.เพื่อนำไปประดิษฐานยังหอสมเด็จพระญาณสังวรฯ จ.กาญจนบุรี
และประทานพระพุทธชินสีห์ขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว
ให้แก่กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) และพระอารามหลวงทั่วประเทศ
เพื่อเฉลิมพระเกียรติ โดยมีพระเทพสารเวที
ผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช
เป็นผู้แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานในพิธีครั้งนี้

พระครูสังฆสิทธิกร กล่าวต่อไปว่า สำหรับ วันคล้ายวันประสูติครบ 8
รอบในปีนี้ ทางสำนักเลขานุการ ได้จัดทำเว็บไซต์สังฆราชา
www.sangharaja.org ที่รวบรวมพระประวัติ พระศาสนกิจ ของสมเด็จพระสังฆราช
ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อให้ประชาชนได้มาศึกษาพระประวัติ
รวมทั้งยังสามารถลงนามถวายพระพรสมเด็จพระสังฆราช
ผ่านเว็บไซต์ดังกล่าวได้ด้วย
ส่วนในวันงานสำนักเลขานุการฯจะจัดให้ประชาชนมาลงนามจำนวน 2 จุด ได้แก่
จุดแรกที่สำนักเลขานุการ วัดบวรฯ จุดที่ 2 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

สำหรับกำหนดการงานฉลองพระชันษา 96 ปี สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประจำปี 2552 ระหว่างวันที่ 1-3
ตุลาคม มีดังนี้ วันที่ 1 ต.ค.เวลา 06.30
น.ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ที่นิมนต์มารับบิณฑบาต 200 รูป
บริเวณถนนพระสุเมรุ วัดบวร เวลา 07.00 น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี และคณะ ประกอบพิธีถวายสังฆทานในพระอุโบถวัดบวร
และเป็นประธานในการตักบาตรพระสงฆ์ 200 รูป เวลา 07.30
น.นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดนิทรรศการและชมนิทรรศการสมเด็จพระสังฆราช
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 19 พระองค์ และนิทรรศการเทิดพระเกียรติฉลองพระชันษา
96 ปี ณ อาคารฉลองพระชันษา 96 ปี สมเด็จพระสังฆราช

จากนั้นไปชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติ ฉลองพระชันษา 96 ปี
สมเด็จพระสังฆราช ที่อาคารมนุษยนาควิทยาทาน เวลา 08.00 น.นายกรัฐมนตรี
กล่าวเปิดประชุมวิชาการพระพุทธศาสนานานาชาติเทิดพระเกียรติ เรื่อง
พระพุทธศาสนาสู่ศตวรรษใหม่ ภาคภาษาบาลี ณ ชั้น 2 อาคาร สว ธรรมนิเวศ
วัดบวรฯ เวลา 16.00 น.คณะสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระกุศลถวายพระพร ณ
พระอุโบสถวัดบวรฯ

วันที่ 2 ต.ค.เวลา 09.00
น.ประชุมวิชาการพระพุทธศาสนานานาชาติเทิดพระเกียรติ เวลา 15.00น.
พิธีบำเพ็ญพระกุศลฉลองพระชันษา 96 ปี สมเด็จพระสังฆราช ณ พระอุโบสถ
วัดบวร

วันที่ 3 ตุลาคม เวลา 10.00 น.พิธีบำเพ็ญพระกุศลฉลองพระชันษา 96
ปี สมเด็จพระสังฆราช ณ พระอุโบสถ วัดบวร พร้อมด้วยกรรมการมหาเถรสมาคม 18
รูป เจริญพระพุทธมนต์ เวลา 11.00 น.
ถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ และพระภิกษุอีก 897 รูป ณ
พระอุโบสถ และอาคารวชิรญาณวงศ์ โรงเรียนวัดบวร เวลา 16.00 น.คณะธรรมยุต
เจริญนวัคคหายุสมธัมม์ถวายเป็นพระกุศล ณ พระอุโบสถวัดบวร

"เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก" เล่มโปรด "มดส้ม" ณัฐวรรณธร

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 กันยายน 2552 07:50 น.

ด้วยความน่ารักสดใสของสาวน้อย "มดส้ม" ณัฐวรรณธร ไทยเจริญ
ทำให้เธอที่มีดีกรีถึงรองอันดับ 2 มิสทีนไทยแลนด์ปี 2008
แม้ว่างานด้านวงการบันเทิงยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก
แต่ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่ ไม่น่าเชื่อว่า
เธอจะให้ความสนใจกับเรื่องของการบ้าน การเรือนเป็นพิเศษ
ถึงขนาดยกให้หนังสือเล่มเก๋าอย่าง "เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก"
เป็นเล่มโปรดในดวงใจเลยทีเดียว

"เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็กเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาตั้งแต่สมัยคุณแม่
และที่ได้มีโอกาสรู้จักหนังสือเล่มนี้เพราะว่าเลือกมาเป็นหนังสืออ่านนอก
เวลาตอนที่เรียน
โดยที่เนื้อหาบอกเล่าถึงเรื่องราวความเป็นอยู่ของคนไทยสมัยก่อน
รวมทั้งขนมธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมด้านต่างๆ
ที่ไว้คอยเตือนใจคนรุ่นหลังให้ได้เรียนรู้"

เธอยังบอกอีกว่า
เมื่อใครได้อ่านแล้วจะต้องติดเพราะหนังสือมีการเล่าเรื่องที่เข้าใจง่าย
เหมือนผู้ใหญ่กำลังสอนเด็ก มีรู้ภาพประกอบที่น่าสนใจ
นอกจากนี้เนื้อหายังถ่ายทอดด้วยคำง่ายๆ
สามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ดีอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการวางตัวของหญิงไทย กริยาท่าทางในการเข้าหาผู้ใหญ่
อีกทั้งยังมีการแนะนำการฝึกบุคลิกภาพในสังคม
นอกจากนี้ยังสอดแทรกวิธีการทำอาหาร ทำขนมแบบไทยๆ
ที่จะนำมาปรับใช้ได้อย่างดีที่สุด

"การ อ่านถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะอ่านอะไร
อ่านป้ายตามข้างถนนก็ได้ประโยชน์
ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสนใจของผู้อ่านเองด้วยว่าจะให้ความสำคัญกับ
สิ่งเหล่านี้มากแค่ไหน" มดส้มทิ้งท้าย

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

Clip video ปฏิญญาพันธมิตรบุรีรัมย์ 24 มิถุนายน 2552

ปฏิญญาพันธมิตรบุรีรัมย์ 24-6-52

สมุทรปราการชวนเที่ยวงานประเพณีรับบัว ประจำปี '52

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 กันยายน 2552 15:26 น.
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนนักท่องเที่ยวร่วม
"งานประเพณีรับบัว" ในระหว่างวันที่ 30 กันยายน - 4 ตุลาคม 2552 ณ
วัดบางพลีใหญ่ใน (วัดหลวงพ่อโต)
เพื่อเป็นการสืบสานประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นและกิจกรรมด้านพุทธศาสนาช่วง
วันออกพรรษา ส่งเสริมการท่องเที่ยว
ประชาสัมพันธ์กิจกรรมและแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดสมุทรปราการให้เป็นที่
รู้จักมากยิ่งขึ้น

โดยภายในงานจะมีกิจกรรมที่น่าสนใจอาทิ การแสดงวิถีชีวิตชาวนา
ชาวลาว ชาวมอญ ชาวจีน ชาวมุสลิม การแสดงรำกลองยาว
เลือกชิมขนมพื้นบ้านอาหารพื้นเมือง และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ OTOP ขึ้นชื่อ
ชมการแข่งขัน เช่น ชกมวยทะเล, หมากรุกคน, แข่งขันเรือมาด
ชมการประกวดหนุ่มสาวรับบัว, ขวัญใจแม่ค้า , ประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง,
การนวดมือทอง, การทำขนมพื้นบ้านอาหารพื้นเมือง ชมขบวนเรือสวยงาม
ความคิดสร้างสรรค์ และตลกขบขัน และร่วมถวายดอกบัวบูชาหลวงพ่อโต
เยี่ยมชมและสัมผัสบรรยากาศไทยๆ ริมฝั่งคลองสำโรง พร้อมชิมอาหารอร่อย ณ
"ตลาดโบราณบางพลี"

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ททท.สำนักงานกรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0-2250-5500 ต่อ 2994 - 6
วัดบางพลีใหญ่ (วัดหลวงพ่อโต) โทร. 0-2337-3729 หรือ โทร. 1672
7----/////---------------------

คาถาสุขใจ

คาถาสุขใจ

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต...

1. ระลึกเสมอว่า
การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน

2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน

3. จงปฏิบัติตาม 3Rs

3.1 เคารพตนเอง (Respect for self)

3.2 เคารพผู้อื่น (Respect for others)

3.3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน (Responsibility for all your actions)

4. จงจำไว้ว่า การที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์

5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม

6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย
มาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ

7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข

8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน

9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป

10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด

11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
เพื่อที่ว่าเมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่ง
ที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง

12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต

13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน
อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต

14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ

15. จงสุภาพกับโลกใบนี้

16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง

17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรักมิใช่ความใคร่

18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ

19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง

โรคตาแดงอาระวาด!! 2 อาทิตย์ยอดเพิ่มกระจาย "หมอตา" เตือนชาวบ้านล้างมือบ่อยๆ อย่าซื้อยาหยอดตาเอง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 กันยายน 2552 15:40 น.
แพทย์ เชี่ยวชาญโรคตา โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า เผยช่วง 2
สัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยโรคตาแดงมารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น
วันละกว่า 20 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็ก
แนะผู้ป่วยห้ามใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาขี้ตาและให้หยุดเรียนหยุดงานอย่าง
น้อย 3 วัน ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นและล้างมือบ่อยๆ
เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ที่สำคัญห้ามซื้อยามาหยอดตาเอง

นายแพทย์ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
จ.นนทบุรี เปิดเผยว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้
พบผู้ป่วยโรคตาแดงมารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
เพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ วันละกว่า 20 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยเรียน
ซึ่งมักพบอาการคออักเสบร่วมด้วย หากผู้ป่วยปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง
อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง
โดยเฉพาะเด็กนักเรียนอาจนำไปแพร่ในโรงเรียน
ทำให้กระทบต่อการเรียนการสอบได้


ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
นายแพทย์ฐาปนวงศ์ กล่าวต่อว่า สาเหตุ
ของโรคตาแดงส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อกันทางการสัมผัสน้ำตา
ขี้ตาของผู้ป่วย อาการสำคัญคือ ตาแดง อาจมีเลือดออกที่เยื่อบุตาขาว
ตาขาวบวม มีขี้ตาเป็นเมือกใสหรือเหลืองอ่อน น้ำตาไหล เคืองตา
และอาจเจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่ข้างหู
โดยอาการจะลุกลามจากตาข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน
บางรายอาจมีตาดำอักเสบ ทำให้เคืองตามาก และมีแผลที่ตาดำชั่วคราวได้

การ ป้องกันสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่
หลีกเลี่ยงการใช้มือแคะ แกะ เกาหน้าตา สำหรับผู้ที่กำลังป่วย
แนะนำให้หยุดเรียนหรือหยุดงานอย่างน้อย 3 วัน
ห้ามใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว แว่นตา
ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน
ที่สำคัญให้ใช้สำลีสะอาดหรือกระดาษทิชชูซับน้ำตาหรือขี้ตา
และทิ้งในถังขยะปิดมิดชิด ห้ามใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเด็ดขาด
เพราะจะเป็นการเก็บกับเชื้อไว้กับผ้า
และติดมือแล้วไปสัมผัสกับพื้นผิวของสาธารณะต่างๆ เช่น ลูกบิดประตู
หูโทรศัพท์ แป้นคอมพิวเตอร์ เมาส์ เป็นต้น เชื้อแพร่กระจายในวงกว้าง
ผู้ป่วยตาแดงอาจสวมแว่นตาเพื่อช่วยป้องกันการระคายเคือง
และลดโอกาสจับต้องบริเวณตาได้ แต่ต้องล้างแว่นบ่อยๆ

นายแพทย์ฐาปนวงศ์ กล่าวต่ออีกว่า ปกติผู้ที่ป่วยด้วยโรคตาแดง
อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์
แต่หากยังมีอาการเคืองตาเหมือนมีทรายเข้าตา ตามัว อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนคือ
ตาดำอักเสบ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจอย่างละเอียด
และให้การรักษาที่เหมาะสม ที่สำคัญอย่าซื้อยามาหยอดตาเอง
โดยเฉพาะยาหยอดตาที่ไม่รู้แหล่งที่มาหรือแหล่งผลิต
หรือที่วางขายตามตลาดนัด รวมทั้งไม่ควรทำตามความเชื่อผิดๆ เช่น
ใช้น้ำนมหยอดตา เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อถึงขั้นตาบอดได้

สำหรับสถานการณ์โรคตาแดง สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
รายงานในรอบ 9 เดือนปีนี้ ตั้งแต่ 1 มกราคม-14 กันยายน 2552
พบผู้ป่วยแล้ว 64,816 ราย อัตราป่วยสูงสุดคือภาคใต้แสนละ 210 คน
รองลงมาคือ ภาคเหนือ แสนละ 127 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แสนละ 80 คน
และภาคกลาง แสนละ 68 คน ตลอดปี 2551 มีผู้ป่วยทั้งหมด 91,838 ราย
โดยภาคใต้มีอัตราป่วยสูงสุด แสนละ 211 คน รองลงมาได้แก่ ภาคเหนือ แสนละ
198 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แสนละ 125 คน และภาคกลาง แสนละ 106 คน

"หมอประกิต" ฟันธงบุหรี่เป็นสาเหตุมะเร็งตับ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 กันยายน 2552 16:26 น.
"หมอ ประกิต" ฟันธงบุหรี่เป็นสาเหตุมะเร็งตับ เสี่ยง 1.51 เท่า
ขณะที่ผู้เลิกสูบบุหรี่แล้ว มีอัตราการเกิดมะเร็งตับ 1.12
เท่าของผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่

ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
เปิดเผยรายงานการวิจัยที่พบว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งตับ
ว่า งานวิจัยดังกล่าว ตีพิมพ์ในวารสารระบาดวิทยานานาชาติ
ฉบับเดือนสิงหาคม 2552 โดยการทบทวนรายงานวิจัยการติดตามศึกษาระยะยาว 38
ชิ้น และรายงานการศึกษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งตับกับประชากรกลุ่มเปรียบเทียบ
58 รายงาน พบว่า ประชากรที่สูบบุหรี่มีอัตราการเกิดมะเร็งตับ 1.51 เท่า
และผู้ที่เลิกสูบบุหรี่แล้ว มีอัตราการเกิดมะเร็งตับ 1.12
เท่าของผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ โดยข้อมูลการศึกษาจากภูมิภาคต่างๆ
ทั่วโลกในห้วงเวลาต่างๆ มีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้
สถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติไอเออาร์ซี ได้สรุปอย่างเป็นทางการแล้วว่า
การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งตับ
ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขสหรัฐอเมริกาเพียงแต่ระบุว่า
หลักฐานบ่งบอกว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งตับ
แต่ยังไม่ฟันธงเลยทีเดียว

ศ.นพ.ประกิต กล่าวต่อว่า มะเร็ง ตับ
เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดของชายไทยภาคอีสานและเป็นมะเร็งอันดับสองรองจาก
มะเร็งปอดของชายไทยภาคอื่นทุกภาค ที่ผ่านมาเชื่อกันว่า
มะเร็งตับในคนไทยมาจากหลายสาเหตุอันมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
การติดเชื้อพยาธิในตับ
การได้รับสารก่อมะเร็งจากเชื้อราอะฟลาท็อกซินในถั่ว
การกินอาหารดิบและหมักดองที่มีสารก่อมะเร็งปะปน แต่ข้อมูลที่พบว่า
คนสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงเกิดมะเร็งตับ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
เนื่องจากตับมีหน้าที่ดักกรองและทำลายสารพิษทุกชนิดที่เข้าสู่ร่างกาย
รวมทั้งสารพิษและสารก่อมะเร็งจากควันบุหรี่
การสูบบุหรี่จึงทำให้ตับได้รับสารก่อมะเร็งมากขึ้น
นานเข้าก็เกิดเป็นมะเร็งขึ้นได้
ในคนไทยที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งตับเพิ่มขึ้น เช่น
คนที่เป็นพาหะเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ควรอย่างยิ่งที่จะไม่สูบบุหรี่รวมทั้งหลีกเลี่ยงการได้รับควันบุหรี่
เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดมะเร็งตับ
ซึ่งเป็นมะเร็งที่ร้ายแรงและแทบจะไม่มีทางรักษาเลย

แจกยาฟรี บอกต่อไปได้กุศลแรง

ขอประชาสัมพันธ์ครับสำหรับผู้ป่วยหรือมีคนใกล้ตัว คนข้างบ้าน หรือคนรู้จัก
เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย) และ มะเร็งกระเพาะอาหารจะได้ช่วยกันบอกต่อ...

แจกยาฟรีผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งกระเพาะอาหาร
โรคร้ายที่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน และคร่าชีวิตผู้คนในอันดับต้นๆ ในทุกวันนี้
คงต้องนับรวมมะเร็งเม็ดเลือดขาวและ มะเร็งกระเพาะ อาหารไว้ด้วย
โดยผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวเรื้อรังและโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของเลือดนี้

ส่วนใหญ่นอกจากจะต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายค่ายาสูงลิบ
ก็ยังประสบปัญหาเรื่องการทำงานการใช้ชีวิตที่มีข้อจำกัดอย่างยิ่ง

ภาวะของโรคจะบั่นทอนลงไปเรื่อยๆสร้างความหดหู่ทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิด
ล่าสุดบริษัทยาข้ามชาติโนวาร์ตีส
ได้จัดตั้งโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติจีแพป
(GIPAP) ซึ่งเป็นโครงการให้ความ

ช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง ( Chronic Myeloid
Leu kemia) ที่มีผล
ฟิลาเดเฟียโครโมโซม ( philadephia chromosome)
เป็นบวกผู้ป่วยมีอาการในระยะรุนแรงของโรค
หรือผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารชนิดจีสต์ ( GIST-Grstro-Intesinal Stromal
Tumor) ที่ผ่าตัดไม่ได้
และอยู่ในระยะลุกลาม ( มี c-Kill หรือ CD117 เป็นบวก)

โดยโครงการจะจัดมอบยาของบริษัทให้แก่ผู้ป่วยโดยไม่คิดมูลค่ารวมทั้งจะ
มอบให้ต่อเนื่องจนกว่าจะมียาอื่นที่เป็นทางเลือกของผู้ป่วยได้ต่อไป
ดร.แดเนียล วาเซลลาผู้บริหารระดับสูงของโนวาร์ตีส ( สหรัฐอเมริกา)
กล่าวว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 80 ประเทศทั่วโลก ที่ได้รับอนุมัติในโครงการดังกล่าว
ปัจจุบันจีนพบมีผู้ป่วยมากกว่า1.8 หมื่นราย
โดยมีผู้ป่วยจากประเทศไทยประมาณ 800คนซึ่งนับว่ายังน้อยมาก

จึงต้องการประชาสัมพันธ์เพื่อผู้ป่วยด้วยโรคดังกล่าวอาจจะสนใจเข้าร่วมโครงการทั้งนี้
ได้จัดตั้งมูลนิธิแมกซ์ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลนานาชาติในการ
ประเมินและอนุมัติผู้ป่วยที่มีสิทธิได้รับยาฟรีดังกล่าวทั้งนี้
สำนักงานมูลนิธิแมกซ์ ตั้งอยู่ที่ซีแอตเติลประเทศสหรัฐอเมริกาก่อตั้งขึ้นในปี 2540
โดย Pedro Rivarola เพื่อเป็นเกียรติแก่บุตรชายแม็กซิมิเลียโน
ริวาโรลา ' (Maximilliano Rivarola)
ซึ่งเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเม็ดโลหิตด้วยวัยเพียง 17 ปี
สำหรับมูลนิธิแมกซ์ในประเทศไทยได้จัดตั้งมูลนิธิสาขา
ได้แก่ แมกซ์! ( ประเทศไทย)
ซึ่งจะเป็นผู้ทำการพิจารณาอนุมัติอย่างอิสระสำหรับผู้ป่วยที่จะขอความช่วยเหลือจากจีแพปได้

ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

1. ผู้ป่วยจะต้องได้รับการวินิจฉัยโรคโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่าป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง(CML-Chronic
Myeloid Leukemia)
หรือ มะเร็งกระเพาะอาหาร( GIST)
ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า มีผล CD 117 เป็นบวก
2. ผู้ป่วยเป็นผู้มีสัญชาติไ! ทยและมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย
3. ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้
4. ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้ และไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากที่ใดทั้งสิ้น

หากมีคุณสมบัติครบให้ปฏิบัติดังนี้
1. แจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการรับยาฟรี

จากแพทย์ผู้รักษาแพทย์ของท่านจะดำเนินการจัดส่งใบ

สมัครในนามของท่านออนไลน์ไปที่ www.themaxfoundation
<http://www.themaxfoundation/>
2. ให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเอง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และชื่อของแพทย์ผู้รักษา
3. ภายหลังจากที่แพทย์ของท่านส่งใบสมัครมาที่มูลนิธิแมกซ์แล้ว
เจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับไปหาท่านเพื่อนัดสัมภาษณ์
4. กรณีที่ได้รับการอนุมัติมูลนิธิจะแจ้งผลไปยังบริษัทโนวาร์ตีส
(ประเทศไทย) เพื่อจัดส่งยาผ่านแพทย์ผู้รักษาตัวท่าน
5. แพทย์จะเป็นผู้แจ้งผลการพิจารณาผลการอนุมัติให้ท่านทราบเอง

ส่วนโรงพยาบาลที่เข้าร่วมในโครงการมี 16 แห่ง คือ
1. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
2. โรงพยาบาลรามาธิบดี
3. ศิริราชพยาบาล
4. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
5. โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
6. โรงพยาบาลราชวิถี
7. โรงพยาบาลวชิรพยาบาล
8. โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
9. โรงพยาบาลตำรวจ
10. โรงพยาบ าลภูมิพล
11. โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
12. สถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพมหาวิทยาลัยนเรศวร
13. โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
14. โรงพยาบาลหาดใหญ่
15. โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีและ
16. โรงพยาบาลสระบุรี

ผู้ป่วยหรือมีคนใกล้ชิดป่วยด้วยโรคดังกล่าว

สามารถติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนศักดิ์ อุทิศชลานนท์ และบุษกร สนธิกร
หมายเลขโทรศัพท์ 02-439-4600 ต่อ 8202
หรือจะเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ที่
www.gipapthailand.org<http://www.gipapthailand.org/> หรือ
www.themaxfoundation.com<http://www.themaxfoundation.com/>

เตือนเรื่องการจองรถใหม่

- ฝากเตือนเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่คิดจะซื้อรถใหม่ให้ระวัง....ในส่วนของการจองและเงินมัดจำ

- เนื่องจากผมเจอกับตัวเองตอนนี้เงินจองก็ไม่ได้คืนแล้วฝ่ายขายที่ซื้อด้วยก็พูดจาคนละเรื่องกับ

- ตอนจองเลย...(พอได้ตังค์จองเราไป)

- ผมได้จองรถกับฝ่ายขาย คุณกมลวรรณ สุขเกษ ที่มหานครคาร์เซลล์
(เต็นซ์รับจองรถป้ายแดง)ตามหนังสือรถ

- ลำลูกกา คลอง 2 ปทุมธานี...วันนั้นผมได้ทำการจองรถวางเงินจองที่ 5,000
บาทโดยจองรถ

- รุ่น TOYOTA 2.5 VN TURBO สีดำ แต่ปัจจุบันผมได้ขอยกเลิกกับเขาก็บอกว่าเดี๋ยว

- จะมีคนมาทำสัญญาแต่ก็รอแล้วรออีกก็ไม่คืบหน้าพอโทรไปก็บอกให้รอก่อนเดี๋ยวส่งเอกสารให้

- แต่พอส่งมาเอกสารก็ไม่ครบ...พอโทรหาอีกก็บอกว่าจะหาไฟแนนซ์ใหม่มาเซนต์ให้ที่บ้านผม

- ก็รอเรื่อยๆจนผ่านเลยมาโดยการบ่ายเบี่ยงต่างๆนาๆจนครบเดือนของฝ่ายขายท่านนี้

- ผมรอไม่ไหวในการจองผมก็เลยบอกเลิกสัญญาและขอเงินจองคืนโดยผมให้เหตุผลกับเขาว่า

- คุณไม่ดำเนินการให้ผมเลยปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆแต่ฝ่ายขายบอกว่าไม่สามารถคืนเงิน

- ให้ได้(5000) เนื่องจากเราบอกยกเลิกสัญญา(ดำเนินการเดือนหนึ่งไม่คืบหน้านี๊นะ)

- ไฟแนนซ์อะไรก็ไม่มาพอตอนจองกลับมาจองได้ถึงบ้านพอรับเงินจองกลับปล่อยเวลาทิ้งไป

- เพื่อให้เราเบื่อ...แล้วบอกยกเลิกสัญญาเองโดยทางเขาก็ได้เงินจองไป(ตามเกมส์เขาแหละ)

- ตอนนี้ผมเสียเงินจองทิ้งเลยอยากเล่าให้สมาชิกให้ระวังการจองรถถ้าจะจองก็ขอให้เข้าศูนย์บริการ

- ดีกว่าและปลอดภัยมากๆๆๆๆๆ

- ปัจจุบันหลังจากที่ผิดหวังผมได้ไปจองรถอีกคั้นที่ศูนย์บริการเขาทำสัญญาแค่อาทิตย์เดียวเอง

(ต่างกันไหม) ก็รู้ผล....ตอนนี้ผมได้รถแล้วเป็น Dmax
ก็เลยรู้ว่าควรออกรถที่ไหนถึงมั่นใจ

ก็ขอให้ทุกท่านที่อ่านช่วยส่งต่อกันให้มากๆด้วยเพื่อประโยชน์แก่สมาชิก

Highlightcam l ใช้เว็บแคมเป็นกล้องวงจรปิด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 กันยายน 2552 13:34 น.


ชั่วโมงนี้ คดีมากมายเกิดขึ้นจากผลพวงของภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด
หลายบริษัทหรือบ้านจัดสรรจึงจะต้องมีความจำเป็นในการตั้งป้อมปราการป้องกัน
ตัวเองจากการเสียทรัพย์โดยไม่คาดฝัน
จึงทำให้ธุรกิจการติดตั้งกล้องวงจรปิด
เป็นธุรกิจดาวรุ่งรองจากการติดเหล็กดัดตามร้านทองทั่วกรุง

วันนี้จึงอยากแนะนำการประยุกต์ใช้แกดเจ็ตไอทีใกล้ๆ ตัวเราอย่าง
"กล้องเว็บแคม (Web Camera)"
ที่ติดตั้งอยู่ในคอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊คให้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเฝ้าระวังทรัพย์สินอันมีค่าของเราได้โดยเปลี่ยนมันให้เป็น
"กล้องวงจรปิด" ที่ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม และต่อสายอะไรให้เกะกะอีก
แถมไม่เสียเงินสักบาทด้วย

HighlightCam คือ
เว็บไซต์ที่จะเปลี่ยนเว็บแคมในคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นกล้องวงจรปิด
โดยจะทำหน้าที่ตรวจจับเสียงและภาพที่เคลื่อนไหวหน้ากล้องเว็บแคมของคุณ
ทันทีที่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็จะส่งอีเมลมาแจ้งคุณทันที
และเมื่อคุณเปิดภาพดูทางเว็บก็จะตัดภาพเฉพาะจุดไฮไลท์ที่มีการเคลื่อนไหว
สำคัญๆ ทำให้คุณไม่ต้องเสียเวลานั่งไล่ดูคลิปที่ยาวนับเป็นชั่วโมง
ที่สำคัญใช้ฟรี และไม่ต้องแม้จะสมัครสมาชิก

ตัวอย่างวิดีโอการใช้งาน HighlightCam
ที่ใช้เป็นกล้องวงจรปิดยามวิกาล (ดูแบบวิดีโอเคลื่อนไหวที่นี่)

เริ่มต้นใช้งาน HighlightCam

1. สมัครสมาชิกเว็บไซต์ฟรี ที่นี่
(ถ้าไม่สมัครสมาชิกจะไม่สามารถตั้งค่าให้มีการส่งอีเมลมาแจ้งเมื่อเกิดความเคลื่อนไหวที่หน้าจอเว็บแคมได้)

2. ถ้าคุณใช้เว็บแคมที่เป็นอุปกรณ์เสริมของคอมพิวเตอร์ก็ต้องมั่นใจว่าได้ติดตั้งตัวเว็บแคมให้ใช้งานได้แล้ว
เข้าไปที่เมนู Record จะเห็นจอสีดำปรากฎขึ้นที่ด้านซ้ายมือ จากนั้นกดปุ่ม
Allow เพื่ออนุญาตให้เว็บไซต์นี้เชื่อมต่อการทำงานกับเว็บแคม
สักพักก็จะเห็นภาพของคุณปรากฎที่หน้าจอ ถ้าพร้อมแล้วก็กดปุ่ม Start
Recording บนจอได้ทันที

3. ระบบก็จะเริ่มอัดภาพและเสียงที่เกิดหน้าจอเว็บแคม
ให้สังเกตตรงด้านล่างของจอจะมีปุ่มให้เปิดหรือปิดการเตือนว่ามีการเคลื่อนไหวสำคัญๆ
เกิดขึ้นให้คุณทางอีเมล นอกจากนี้ยังตั้งค่าความอ่อนไหวของการจับภาพ
(Sensitivity) เลือกได้ตั้งแต่ระดับ 10-90%

ตัวอย่างเมลที่ได้รับเมื่อมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่หน้าจอเว็บแคม
เมื่อคลิกลิงก์ไปก็จะชมวิดีโอได้ทันที

4. ระหว่างที่คุณกดบันทึกภาพ
ระบบก็จะทำการถ่ายภาพและบันทึกเสียงเอาไว้ตลอดเวลาไม่ว่าจะมีการเคลื่อนไหว
หรือไม่ แต่ถ้ามีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ทางเว็บก็จะตัดเฉพาะส่วนที่สำคัญ
ๆ หรือเป็นไฮไลท์ เช่น มีเสียงดัง มีแสงไฟเข้ามา (หากห้องอยู่ในที่มืด)
หรือมีการเคลื่อนไหวมาให้เราดู เช่น หนูวิ่ง โดยแสดงผลเป็นภาพเคลื่อนไหว
(นามสกุล .gif) ให้เราดูตัวอย่าง และเมื่อคลิกดูที่ภาพ
ก็เห็นวิดีโอขนาดใหญ่ พร้อมโค้ดให้เราคัดลอกไปติดที่เว็บไซต์หรือบล็อกได้
โดยกดปุ่ม Sharing Option ทางด้านแถบขวามือของแต่ละวิดีโอ

สำหรับผู้ที่สมัครใช้บริการแบบฟรีๆ
ทางระบบจะเก็บไฟล์วิดีโอทั้งหมดของเราไว้ 24 ชั่วโมง
แต่ถ้าเราต้องการให้ระบบเก็บไฟล์ไว้นานกว่านั้น (2 สัปดาห์)
ก็จะต้องอัปเกรดบัญชีผู้ใช้เพื่อจ่ายเงินเดือนละ 300 บาท
ก็จะสนุกและสุขใจกับการใช้งานเว็บไซต์โดยไม่มีโฆษณา
และมีปุ่มที่ไว้ให้โหลดไฟล์ลงเครื่องได้อีกด้วย
ซึ่งหากคุณต้องไปธุระที่ต่างประเทศและต้องทิ้งห้องคอนโดไว้อยู่เปล่าเปลี่ยว
ก็สามารถสมัครใช้บริการแค่เฉพาะช่วงเวลาที่คุณไป
และพอกลับมาก็ยกเลิกการใช้บริการแบบเสียเงินได้
คลิกที่นี่เพื่ออ่านข้อมูลเกี่ยวกับการชำระเงินและคุณประโยชน์ที่จะได้
มากกว่าการใช้งานแบบไม่เสียเงิน ที่นี่ จุดเด่นสำคัญอีกอย่างของ
HighlightCam คือ
การบันทึกเวลาการถ่ายวิดีโอตามเวลาท้องถิ่นของประเทศที่ผู้ใช้อยู่ได้


ใครบ้างเหมาะที่จะใช้บริการของ HighlightCam

* คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องเดินออกไปทำธุระชั่วครู่
ก็สามารถให้เว็บแคมช่วยตรวจตราดูแลเด็กเล็กๆ ได้

* สำหรับคนรักสัตว์ และพันธุ์พืช สามารถติดตามดูวิวัฒนาการสำคัญ ๆ
ของพวกมันได้ตลอดเวลา เช่น การเลี้ยงกระต่าย เลี้ยงกล้วยไม้พันธุ์หายาก
เป็นต้น

* สำหรับนักศึกษาที่อยู่หอแบบรวมกลุ่ม
อาจมีปัญหาเรื่องการลักเล็กขโมยน้อย
การใช้บริการนี้อาจจะทำให้เราได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในห้องของเราบ้าง

* บ้านหรือร้านค้าธุรกิจขนาดย่อม สามารถใช้ตรวจดูผู้เข้าออกยามค่ำคืนได้

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ HighlightCam

HighlightCam เป็นเว็บไซต์น้องใหม่มาก
เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมานี้ โดยได้รับเงินทุนจาก "Y
Combinator" บริษัทระดมทุนสนับสนุนเว็บไซต์ใหม่ๆ ทั้งบริษัทมีพนักงานแค่
2 คน ประกอบไปด้วยผู้ก่อตั้งคือ Michael J.T. O'Kelly
นักศึกษาปริญญาเอกด้านฟิสิกส์ชีวภาพแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี MIT
มหาวิทยาลัยด้านเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งได้ไอเดียการสร้างเว็บไซต์ใช้เว็บแคมเป็นกล้องวงจรปิดเพราะเขาและภรรยา
อยากหาวิธีดูแลกระต่ายน้อยของพวกเขาอย่างใกล้ชิด
และเล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็ต้องการการดูแลความปลอดภัยด้วยวิธีง่ายๆ
และไม่ต้องลงทุนมากเช่นกัน ส่วนพนักงานอีกคนคือ Mike Katsevman
http://www.manager.co.th/CBizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9520000112467

"หมอเกษม" ชี้ชัดนักการเมืองคิดชั่วชอบซื้อตัวข้าราชการไทย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 กันยายน 2552 15:59 น.
"หมอ เกษม"
ชี้นักการเมืองคิดชั่วหว่านเงินซื้อตัวข้าราชการได้ทุกคน
เตือนสติคนไทยไม่ยอมขายตัว ประเทศเจริญกว่านี้
แนะยึดหลักสันโดษดำเนินชีวิต
ห่วงสุขภาพคนไทยเสนอตั้งหน่วยจัดการภาวะโลกร้อน

วันที่ 25 กันยายน ที่อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)
ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง
"การสร้างสุขภาพดีชีวีมีสุข ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง"
ในงานมหกรรมรณรงค์รวมพลังสร้างสุขภาพดีชีวีมีสุข : นนทบุรีมาราธอน
2552ว่า กระบวนการพัฒนาตนเองมี 8 ข้อ ได้แก่ 1.รู้จักตนเอง
รู้ว่าป่วยเป็นโรคใด มีแนวทางการรักษาอย่างไรและต้องปฏิบัติตนอย่างไร
2.เคารพตนเอง เชื่อมั่นว่าชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดจึงต้องรักษาชีวิตให้เต็มที่ทั้ง
ด้านกาย จิต และคุณธรรม 3.เชื่อตัวเอง
เชื่อว่าตนเองมีศักยภาพพอที่จะพึ่งตนเองและพอที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วย
แต่หากแปลความหมายผิด ก็จะกลายเป็นคนยึดถือทิฐิตัวเองเป็นใหญ่
ไม่ฟังเสียงทัดทานจากคนอื่น

ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต

ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม กล่าวต่อว่า 4.ซื่อตรงต่อตนเอง
ไม่ขายตัวเอง แม้มีคนมาเสนอให้เงินหรือประมูลตัวเรา ไม่ขบถตัวเอง
ยึดมั่นในสิ่งที่ตนคิดว่าถูกต้องและเป็นธรรม
5.บังคับตัวเองให้อยู่ในร่องในรอย ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามอำนาจกิเลส
6.พอใจตนเอง พอใจในการกระทำที่ดีของตนเอง จะทำให้เกิดความสุข
7.เป็นสุขได้ด้วยตนเอง มีความสุขในตนเองที่เกิดจากความพอใจ
8.พึ่งตนเองได้ และ9.รับผิดชอบต่อเกียรติยศตนเอง ซึ่งคนที่มีเกียรติ คือ
คนไม่ขายตัว ไม่ต้องมีเงินเป็นแสนล้านหรือมียศ ตำแหน่ง

"ที่ ผ่านมามีนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง พูดกับลูกน้องว่า
ผู้พิพากษาซื้อได้ทุกคนขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนต้องวางเงินตรงหน้าเท่าไหร่
ซึ่งความคิดเช่นนี้เป็นความคิดที่สามานย์และชั่วสุดๆ ดังนั้น
หากข้าราชการและประชาชนชาวไทย ไม่ขายตัวเอง
ประเทศไทยจะเจริญกว่านี้อีกมาก" ศ.เกียติคุณนพ.เกษมกล่าว

ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม กล่าวอีกว่า สันโดษเป็นคุณธรรมชั้นสูง
ถ้าในสังคมมีคนสันโดษเป็นจำนวนมาก จะช่วยให้สังคมเจริญ ซึ่งคุณลักษณะ 8
ข้อของผู้ถือสันโดษ คือ 1.ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร
2.ไม่อยากได้ของคนอื่นโดยไม่ชอบธรรม ไม่ถูกต้อง
3.ใช้สอยเท่าที่จำเป็นด้วยสติปัญญา
ไม่เป็นทาสของวัตถุอย่างปัจจุบันที่ประเทศไทยเป็นทุนนิยมสุดโต่ง
4.เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่คาดหวัง ก็ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
ไม่ให้ความผิดหวังครอบงำ

5.หาความสุขจากสิ่งที่เป็นของตน ดำรงชีวิตตามฐานะ
6.ภูมิใจในความสำเร็จอันเกิดจากกกำลังตนเองและอดทนรอคอยความสำเร็จครั้งต่อ
ไป 7.มีความรักภักดีในหน้าที่ตน มุ่งปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้า
ทำงานเพื่องานอย่างแท้จริง
และ8ไม่ถือเอาสิ่งที่ตนได้หรือความสำเร็จของตนมาเป็นเหตุให้ยกตนข่มผู้อื่น

ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันเรื่องของสุขภาพ
โรคภัยไข้เจ็บมีการเชื่อมต่อกันทั้งโลก อันเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของโลก
ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)
ควรตั้งหน่วยจัดการภาวะโลกร้อนเป็นการเฉพาะแยกจากหน่วยงานอื่น เพื่อศึกษา
วิจัยผลกระทบจากภาวะโลกร้อนในบริบทของประเทศไทย
โดยสธ.ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า
การเกิดภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบอย่างไรต่อสุขภาพคน

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

Clip video ชั่วโมงเพศศึกษาพิศวง ในรายการ ตาต้า ทีวี ทางช่องซูบเปอร์บันเทิง เมื่อ 12 ก.ย.2552 TATA TV


ชั่วโมงเพศศึกษาพิศวง ในรายการ ตาต้า ทีวี ทางช่องซูบเปอร์บันเทิง เมื่อ 12 ก.ย.2552


ชั่วโมงเพศศึกษาพิศวง ตาต้าทีวี ช่องซูบเปอร์บันเทิง ASTV


คลิปวิดีโอ บรรยากาศงานแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานประจำปี2552 ที่กมลาไสย กาฬสินธ์ุ 26 ก.ย.2552

แข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน2552 กมลาไสย กาฬสินธุ์ kalasin

ขออนุญาตประชาสัมพันธ์การจัดงานพธม.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ จัดงาน "จากมัฆวานฯถึงภูเขียว" เพื่อหารายได้

ผู้เขียน: พธม.รักชาติ มันผิดตรงไหน?
ขอประกาศ สำหรับพันธมิตรฯ ลำพูน -เชียงใหม่ -ใกล้เคียงด้วยนะครับ
พธม.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ จัดงาน "จากมัฆวานฯถึงภูเขียว" เพื่อหารายได้
1. ก่อตั้งวิทยุชุมชนภูเขียว เชื่อมต่อสัญญาณ ASTV : สร้างปัญญาให้ประชาชน
2. สนับสนุน ASTV - TV ของประชาชน
................................................
วัน อาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2552 เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป พบกับ อ.สมเกียรติ
พงษ์ไพบูลย์-ประพันธ์ คุณมี-สำราญ รอดเพชร -อมรเทพ อมรรัตนานนท์--ดนตรี
เศก-ซูซู-ประทีป ขจัดพาล ฯลฯ
ณ ลานศาลเจ้าแม่ทับทิมเมืองภูเขียว ครับ บัตร ราคา 200.00 บาท ซื้อหน้างานได้ครับ
สำหรับพี่น้องพันธมิตรฯลำพูน -เชียงใหม่ ที่ต้องการช่วยเหลือ สนับสนุน ติดต่อที่
08-497-8874 คุณพงษ์เพชร เพชรล้ำ บ้านอยู่ เมือง ลำพูน ส่งถึงที่ครับ
มีบัตร 50 ใบครับ
พรุ่ง นี้ (26-09-52) ส่งบัตรที่เชียงใหม่ หน้า
ม.แม่โจ้ครับ...พี่น้องเอ้ยยย พี่น้องเอ้ยยยย 193 วัน 3 ฤดู ร้อน ฝน หนาว
เก็บไว้ในความทรงจำ
ขอความกรุณาเว็บมาสเตอร์ด้วยนะครับ ขอบพระคุณครับ
Email : pongpetcha_27@windowslive.com
หาพี่น้องพันธมิตรฯแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับ
พธม.ภูเขียว ณ ลำพูน

บีโอไอ:ย้อนรอยความสนใจของผู้ผลิตเหล็กชั้นนำของโลกกับโครงการผลิตเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูงในไทย

โดย ณรงค์ชัย สามภักดี 25 กันยายน 2552 18:07 น.
โครงการตั้งโรงถลุงเหล็กคุณภาพสูงในประเทศเวียดนาม อาจต้องสะดุดลง
เนื่องจากความต้องการใช้เหล็กคุณภาพสูงในเวียดนามยังมีอยู่น้อย
ทำให้การลงทุนผลิตเหล็กคุณภาพสูง ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล
ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน เพราะตลาดเหล็กในเวียดนามส่วนใหญ่เป็นเหล็กราคาถูก
เป็นเหล็กที่นำไปใช้ในการก่อสร้าง
ซึ่งสามารถนำเหล็กเก่ามาหลอมเพื่อผลิตใหม่ได้
ไม่จำเป็นต้องใช้เหล็กคุณภาพสูงเหมือนอุตสาหกรรมในประเทศไทย

จึงเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะเร่งเดินหน้าผลักดัน
โครงการเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูง ซึ่งบริษัทชั้นนำของโลกทั้ง 4 ราย
ประกอบด้วย นิปปอนสตีล เจเอฟอีสตีล บาวสตีล และอาร์ซิลอร์ มิตัล
มีความตั้งใจจริงกับการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นอย่างมาก

โดย บริษัท นิปปอนสตีล ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 1 ของญี่ปุ่น
และเป็นอันดับ 2 ของโลก ระบุว่า
ต้องการเข้ามาลงทุนผลิตเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูง
เพื่อเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมยานยนต์
โดยจะปฏิบัติตามมาตรฐานการผลิตของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้านานาชาติ
(International Iron and Steel Institute)
เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

ทั้งนี้ นิปปอนสตีลได้นำแผนบริหารจัดการของโครงการผลิตเหล็กคุณภาพสูงในเมืองโออิตะ
ซึ่งถือว่าเป็นโรงงานที่มีระบบการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ทันสมัยมาก
ที่สุดในญี่ปุ่น มาเป็นแผนต้นแบบ
สำหรับการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนในประเทศไทย
ซึ่งจะใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
และมีระบบการสื่อสารที่ดีเยี่ยม
โดยเปิดโอกาสให้สังคมสามารถตรวจสอบการดำเนินงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง

นิปปอนสตีล ยังมีแผนด้านการวิจัยและพัฒนา
ซึ่งกำหนดให้มีการถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวด
ล้อม และเทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงาน
รวมทั้งมีแผนในระยะยาวว่าจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตเหล็ก
กล้าคุณภาพสูงให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผลิตเหล็กและเหล็กกล้าในประเทศ
ไทยด้วย

ทางด้าน บริษัท เจเอฟอีสตีล ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 2
ของญี่ปุ่น และอันดับ 3 ของโลก
ยืนยันว่าจะใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สะอาดในทุกขั้นตอนของการผลิต
โดยจะนำมาตรฐานและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่นเดียวกับที่ได้ดำเนินการในประเทศ
ญี่ปุ่น เข้ามาใช้ในการควบคุม
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในไทยอย่างแน่นอน

เจเอฟอีสตีล
ได้นำแผนการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนของโครงการเหล็กในเมืองชิบะ
มาเป็นแผนต้นแบบในการติดตั้งระบบควบคุมและป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่ง
แวดล้อม ซึ่งมีระบบติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งด้านอากาศ ฝุ่น เสียง
และน้ำตลอดเวลา รวมทั้งแสดงผลการตรวจสอบให้ประชาชนสามารถดูผลการตรวจวัดได้ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม เจเอฟอีสตีล ยังแสดงความมั่นใจด้วยว่า
จะสามารถดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและชุมชนของประเทศไทยได้ไม่แพ้ที่ญี่ปุ่น
เพราะการผลิตเหล็กต้นน้ำของเจเอฟอีสตีลในเมืองชิบะนั้น
มีประชากรอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก
ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่าของไทยมาก

นอกจากนี้ เจเอฟอีสตีล
ยังยืนยันว่าจะตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในประเทศไทย
รวมทั้งสร้างเครือข่ายการวิจัยกับหน่วยงานและสถาบันวิจัยในประเทศไทยอีกด้วย

สำหรับ บริษัท บาวสตีล ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของประเทศจีน
และเป็นผู้ผลิตอันดับ 4 ของโลก ได้ระบุว่า การดำเนินธุรกิจของบาวสตีล
ตั้งอยู่บนพื้นฐานการให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม การควบคุมมลพิษ
การประหยัดทรัพยากรธรรมชาติและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด

บาวสตีล ได้เดินทางมาหารือกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(สผ.) ของประเทศไทยแล้ว
ทั้งนี้เพื่อให้เข้าใจถึงมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมของไทย
ในการนำไปออกแบบระบบควบคุมมลพิษ
และปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมของไทยอย่างเคร่งครัด

บาวสตีล ได้ยกตัวอย่างโครงการผลิตเหล็กในตำบลเป่าซาน นครเซี่ยงไฮ้
ประเทศจีน ซึ่งได้รับรางวัลด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมถึง 7 รางวัล อาทิ
รางวัลที่หนึ่งผู้ผลิตเหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงานด้านการปก
ป้องสิ่งแวดล้อมของจีน
รางวัลบริษัทจีนที่ดำเนินธุรกิจอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีกระบวนการ
ผลิตที่สะอาด และติดอันดับ 1 ใน 10 บริษัทจีนที่สามารถลดการใช้พลังงาน
และลดการปล่อยสารพิษในประเทศจีน

หากบาวสตีลเข้ามาลงทุนในประเทศไทย มีแผนจ้างงานคนในพื้นที่
แผนการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการผลิตเหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน
รวมทั้งแผนการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนและนักศึกษาในพื้นที่ด้วย

สำหรับ บริษัท อาซิลอร์ มิตัล ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 1 ของโลก
ได้ยืนยันที่จะนำประสบการณ์การผลิตเหล็กจากทั่วโลก
มาสร้างความก้าวหน้าให้กับโครงการเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูงในประเทศไทย
โดยเฉพาะแผนบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน
ซึ่งสามารถนำประสบการณ์จากการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนของ
โครงการผลิตเหล็กของบริษัทในกว่า 60
ประเทศทั่วโลกมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของไทย

อาซิลอร์ มิตัล มีมาตรฐานสำหรับโครงการผลิตเหล็กทั่วโลก คือ
การเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ทุกประเทศที่อาซิลอร์
มิตัลเข้าไปลงทุน ได้มีการพูดคุยกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
ทั้งกลุ่มเอ็นจีโอ รัฐบาล ชุมชนท้องถิ่น
ตลอดจนจัดทำช่องทางการติดต่อสื่อสารให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถหยิบยก
ประเด็นที่มีความกังวลมาพูดคุยกัน

นอกจากนี้ มูลนิธิอาซิลอร์ได้สนับสนุนโครงการในชุมชนจำนวน 587
โครงการทั่วโลก ด้วยจำนวนเงินกว่า 57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
และยังให้การสนับสนุนด้านการเงินกับองค์กรด้านที่อยู่อาศัยเพื่อมนุษยชน
ในการก่อสร้างบ้านและที่อยู่อาศัยแบบใหม่ที่ใช้เหล็ก
ซึ่งมีต้นทุนต่ำและมีความคงทนแข็งแรง
เพื่อเพิ่มความปลอดภัยหากเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกด้วย

ขั้นตอนล่าสุดของภาครัฐในขณะนี้
อยู่ระหว่างการศึกษาที่ตั้งโครงการอย่างละเอียดโดยจะทำการสำรวจความเหมาะสม
ของพื้นที่ สำรวจพื้นที่ตั้งโรงงาน แหล่งน้ำ
รวมถึงการสำรวจพื้นที่ใต้ทะเล
เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่ที่จะใช้ก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกไม่ใช่แหล่งที่
อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ รวมทั้งการสร้างความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่
ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2553 - 2554

โครงการเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูงจะเกิดขึ้นในประเทศไทยหรือไม่
ขึ้นอยู่กับภาครัฐว่าจะเลือกพื้นที่ใด
รวมทั้งจะสามารถทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ได้หรือไม่
และจะสนับสนุนภาคเอกชนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานอย่างไร
ส่วนภาคเอกชนนั้นพร้อมตั้งแต่ยื่นเอกสารแสดงความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนแล้ว

นอกจากความพร้อมของบริษัททั้ง 4 ราย ที่จะเข้ามาลงทุนในไทย
ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศ
ได้ขานรับแผนการเข้ามาลงทุนผลิตเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูงในประเทศไทย โดย
คุณเพียงใจ แก้วสุวรรณ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมากยิ่งขึ้น
เพราะจะทำให้ต้นทุนหลักของการผลิตรถยนต์ คือ
ต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งลดลง
ขณะที่คุณภาพของเหล็กได้มาตรฐานตามที่ต้องการ
เนื่องจากเหล็กที่จะผลิตเป็นเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูง

ขณะที่ คุณนินนาท ไชยธีรภิญโญ รองประธานกรรมการ บริษัท โตโยต้า
มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า โครงการเหล็กต้นน้ำของรัฐบาล
จะมีส่วนช่วยพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของไทยทั้งระบบให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
และสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น
อุตสาหกรรมอากาศยาน การต่อเรือ รถบัส และรถไฟ
รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน
ตลอดจนช่วยในการพัฒนาระบบลอจิสติกส์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ส่วน คุณพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรม
และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า
หากประเทศไทยสามารถผลิตเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูงได้เอง
จะทำให้อุตสาหกรรมเกือบทุกประเภท ได้รับประโยชน์
เพราะเหล็กเป็นวัสดุพื้นฐานของทุกอุตสาหกรรม ทั้งการก่อสร้าง
เครื่องจักรกลการเกษตร อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้
ยังมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาของอุตสาหกรรมเหล็กขั้นกลางน้ำและปลายน้ำในไทย
ด้วย เพราะเมื่อสามารถผลิตเหล็กต้นน้ำได้
ก็จะเกิดความชัดเจนในการวางแผนผลิตเหล็กขั้นกลางและขั้นปลายน้ำของไทยได้
อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยสนับสนุนให้เกิดเมืองอุตสาหกรรมนิเวศน์
หรืออีโคทาวน์ ขึ้นในประเทศไทยได้ด้วย เพราะแนวคิดของอีโคทาวน์คือ
เมืองที่สามารถนำของเสีย ของเหลือใช้กลับมาใช้ใหม่ ซึ่งเหล็กก็คือ
วัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100%
และยังสามารถนำความร้อนและก๊าซจากกระบวนการผลิตมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้
อีกด้วย


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000112817

เชิญร่วมประกวดตราสัญลักษณ์ 2 ทศวรรษ มทส.

มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ขอเชิญนักเรียน นิสิต นักศึกษา
และผู้สนใจทั่วไป ร่วมส่ง ผลงานเข้าร่วม "การประกวดออกแบบตราสัญลักษณ์ 20
ปี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี" ชิงเงินรางวัลรวม 40,000 บาท

การประกวดตราสัญลักษณ์ 20 ปี มทส. ในครั้งนี้
สำหรับใช้ในสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ,
กิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในวาระแห่งการ เฉลิมฉลอง 2 ทศวรรษ มทส.
ทั้งยังเป็นการสร้างเสริมภาพลักษณ์ขององค์กร
สร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของบุคลากร นักเรียน นิสิต นักศึกษา
และประชาชนทั่วไป โดยมีเกณฑ์การประกวด มีดังนี้

- ออกแบบตราสัญลักษณ์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่สื่อถึงความเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
- มีองค์ประกอบทางศิลปะ สวยงาม จดจำง่าย ทันสมัย มีความเป็นสากล
และสามารถใช้ในสื่อประชาสัมพันธ์ได้ทุกประเภท
- ไม่จำกัดเทคนิคและรูปแบบที่ใช้
- มีโทนสีแสดและสีทอง ซึ่งเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย เป็นองค์ประกอบ
โดยตราสัญลักษณ์ภาษาไทย มีข้อความ "20 ปี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี"
และตราสัญลักษณ์ภาษาอังกฤษ มีข้อความ "20th SUT Anniversary"
เป็นองค์ประกอบ
**ทั้งนี้
ผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นความคิดสร้างสรรค์ของผู้ส่งผลงานเอง
ห้ามมิให้ลอกเลียนแบบตราสัญลักษณ์ของหน่วยงานอื่น
หรือนำผลงานของผู้อื่นส่งเข้าประกวด
**ผลการตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นข้อยุติ
ตราสัญลักษณ์ที่ได้รับรางวัล ถือเป็นลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัย
และขอสงวนสิทธิ์ในการดัดแปลงแก้ไขเพื่อนำไปใช้ตามความเหมาะสม

สำหรับผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ จะได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท
พร้อมโล่และเกียรติบัตร และรางวัลชมเชย 2 รางวัล จะได้รับเงินรางวัลๆ ละ
5,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร

การส่งผลงาน ประกอบด้วย ส่งแบบตราสัญลักษณ์ขนาด A4 แบบสีและขาวดำ
ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ติดบนกระดาษแข็ง หรือแผ่นพลาสติกลูกฟูก
ด้านหลังติดใบสมัคร ซึ่งระบุชื่อ-สกุลผู้ส่งผลงานเข้าประกวด
ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้สะดวก หมายเลขโทรศัพท์ E-mail address
และแนวคิดในการออกแบบโดยสรุป พร้อมไฟล์งานในสกุล .jpg และ .ai
ความละเอียดตั้งแต่ 300 dpi ขึ้นไป บันทึกลงบนแผ่น CD

ผู้ สนใจส่งผลงานด้วยตนเองหรือทางไปรษณีย์ได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่
15 ตุลาคม 2552 ได้ที่ ส่วนประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
111 ถ.มหาวิทยาลัย ต.สุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา 30000 พร้อมระบุมุมซอง
"ผลงานประกวดตราสัญลักษณ์ 20 ปี มทส."
ทั้งนี้ถือวันที่ประทับบนตราไปรษณียากรเป็นสำคัญ

ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนประชาสัมพันธ์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี 0-4422-4081-4
ดูรายละเอียดและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.sut.ac.th
http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000112557

** คน ที่เป็น เพื่อน **

ไม่จำเป็นต้องจบการศึกษา

ระดับเดียวกัน

ไม่จำเป็นต้องมีฐานะ

เท่าเทียมกัน

ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งหน้าที่

การงานเท่าเทียมกัน

เพื่อนดีๆคือเพื่อนอย่างไร???

คอยเตือน ยามเพื่อนพลั้ง

คอยฟัง ยามเพื่อนขอ

คอยรอ ยามเพื่อนสาย

คอยพาย ยามเพื่อนพัก

คอยทัก ยามเพื่อนทุกข์

คอยปลุก ยามเพื่อนท้อ

คอยง้อ ยามเพื่อนงอน

คอยสอน ยามเพื่อนผิด

คอยสะกิด ยามเพื่อนเผลอ

คอยเจอ ยามเพื่อนหา

คอยลา ยามเพื่อนกลับ

คอยปรับ ยามเพื่อนเปลี่ยน

คอยเรียน ยามเพื่อนเที่ยว

คอยเคี่ยว ยามเพื่อนเล่น

คอยเย็น ยามเพื่อนร้อน

คอยหอน ยามเพื่อนเห่า

คอยเฝ้า ยามเพื่อนฟุบ

คอยอุบ ยามเพื่อนปิด

คอยคิด ยามเพื่อนถาม

คอยปราม ยามเพื่อนหลง

คอยปลง ยามเพื่อนแกล้ง

คอยแบ่ง ยามเพื่อนหมด

คอยอด ยามเพื่อนทาน

คอยคาน ยามเพื่อนล้ม

คอยชม ยามเพื่อนชนะ

คอยสละ ยามเพื่อนชอบ

ส่งให้คนที่คุณคิดว่า

เค้าเป็น... 'เพื่อน'

และอย่าลืมส่งกลับ

ให้กับ 'เพื่อน'

คนที่ส่งมาให้คุณ

เพื่อนที่รักเรา

หาไม่ง่ายเลย

ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีแล้ว

จงรักษา"เพื่อน"ไว้ให้ดีดี

รักกันไว้ให้มากๆ

ไม่มีอีกแล้ว

ถ้า

เราเสียเพื่อนที่ดีไป

เพียงเพราะ

แค่เหตุผล โง่โง่

กระแสต่อต้านการเสริมสร้างทุนทางสังคม

โดย ไสว บุญมา 25 กันยายน 2552 17:50 น.
โดย...ไสว บุญมา

เมื่อวันที่ 11 ผมเรียนว่าการจะพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป
สังคมไทยต้องเสริมสร้างทุนทางสังคมให้แข็งแกร่งขึ้น วันนี้จะเรียนว่า
การทำเช่นนั้นนับวันจะยิ่งยากเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อน
วิวัฒนาการโลกจะเป็นอุปสรรคที่หนักหนาสาหัสขึ้น ปัจจัยพื้นฐานมี 4
อย่างด้วยกันคือ ทรัพยากร จำนวนคน การบริโภคของแต่ละคนและเทคโนโลยี
เราทราบดีแล้วว่าโลกมีทรัพยากรจำกัด นั่นเป็นสัจพจน์
ขณะนี้โลกมีประชากรเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 6,800 ล้านคนแล้ว ทุกคนต้องบริโภค
หรือใช้ทรัพยากรเพื่อยังชีวิต เทคโนโลยีถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา
มันมีคุณอนันต์แต่มักแฝงโทษมหันต์มาด้วย

ก่อนเกิดยุคเกษตรกรรมเมื่อเกือบ 10,00 ปีที่แล้ว
โลกมีประชากรประมาณ 5 ล้านคนซึ่งดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่าและล่าสัตว์
จึงจำกัดการบริโภคเท่าที่หาได้
เทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้แก่การรู้จักปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์
ซึ่งเอื้อให้ผลิตอาหารได้มาก เมื่อมีอาหาร คนโบราณก็ผลิตลูกเพิ่ม
พวกเขามีเวลาแสวงหาความก้าวหน้าและสร้างอาณาจักรต่างๆ ขึ้นด้วย
แต่การเพิ่มขึ้นของประชากรและการสร้างอาณาจักรเหล่านั้นนำไปสู่การใช้
ทรัพยากรมากขึ้น
มันเป็นคำสาปของเทคโนโลยีใหม่เมื่อมันนำไปสู่การทำลายสิ่งแวดล้อมและการแย่ง
ชิงทรัพยากรกันอย่างเข้มข้นจนในที่สุดอาณาจักรทั้งหลายก็ล่มสลายลง
ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลน โรมัน หรือมายา

โลกตกอยู่ในยุคเกษตรกรรมหลายพันปีก่อนที่เทคโนโลยีใหม่ซึ่งได้แก่
เครื่องจักรกลจะเกิดขึ้นเมื่อราว 250 ปีที่ผ่านมา
ตอนนั้นประชากรโลกเพิ่มเป็นประมาณ 800 ล้านคน
เครื่องจักรกลทำให้เกิดยุคอุตสาหกรรมอันมีโรงงานขนาดใหญ่ที่จูงใจคนงานให้
ทิ้งถิ่นฐานบ้านเดิมไปรับงานใหม่ในเมือง
พวกเขามักถูกเอาเปรียบจากนายจ้างยังผลให้เกิดความแตกต่างอย่างฟ้ากับดินของ
คนสองชนชั้น ความแตกต่างนั้นผลักดันให้เกิดแนวคิดระบบคอมมิวนิสต์
ระบบนี้แตกต่างกับระบบตลาดเสรีซึ่งมีมาก่อนแล้วคือ
รัฐเป็นเจ้าของทรัพยากรทุกอย่างและจะสั่งใครทำอะไรก็ได้
ในขณะที่ในระบบตลาดเสรี
เอกชนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพยากรและมีอิสระที่จะประกอบอาชีพ

ความก้าวหน้าทางการรักษาพยาบาลที่เกิดพร้อมๆ
กันกับเครื่องจักรกลทำให้จำนวนคนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการแย่งชิง
ทรัพยากรเข้มข้นจนเกิดการล่าอาณานิคมและสงครามน้อยใหญ่ไปทั่วโลก
สงครามเย็นเป็นสงครามที่ฝ่ายตลาดเสรีต่อสู่กับฝ่ายที่ใช้ระบบคอมมิวนิสต์
ซึ่งมีผลทั้งในด้านการค้นพบเทคโนโลยีใหม่และการทำลายทรัพยากรที่ใช้สร้าง
อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เพื่อทำลายล้างกัน
ในบรรดาเทคโนโลยีใหม่ได้แก่เทคโนโลยีดิจิตอลซึ่งขับเคลื่อนให้เกิดยุค
สารสนเทศเมื่อราว 30 ปีที่ผ่านมา แม้ฝ่ายคอมมิวนิสต์จะแพ้สงครามเย็น
แต่การแย่งชิงทรัพยากรยังเข้มข้นเพราะจำนวนคนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ร้ายยิ่งกว่านั้น เกือบทุกคนยังต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด
เทคโนโลยีใหม่ช่วยแก้ปัญหาได้มากแต่ก็พกเอาคำสาปมาด้วยเช่นเดิม
โดยเฉพาะการหลอมรวมตลาดเงินเป็นตลาดเดียวกันจนทำให้การโยกย้ายเงินจำนวน
มหาศาลสามารถทำได้ภายในพริบตา
เมืองไทยได้รับผลร้ายของการโยกย้ายเงินแบบนี้เมื่อกลางปี 2540

การบริโภคที่เพิ่มขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุดนี้มีสหรัฐอเมริกาเป็นหัว
หน้าใหญ่ซึ่งผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดโดยการให้
เสรีภาพแก่ภาคเอกชนจนระบบตลาดเสรีเลื่อนไปตกขอบ
แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวจนเอื้อให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่บริโภคได้มากจนอ้วนเกิน
พอดีและแต่ละคนใช้ทรัพยากรราว 6 เท่าของชาวโลกแล้ว
แต่ชาวอเมริกันยังต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
วิธีที่พวกเขาจะทำได้คือการสร้างความร่ำรวยมหาศาลซึ่งมีค่าทำกับการแย่งชิง
ทรัพยากรมาไว้ในครอบครองนั่นเอง
กระบวนการนี้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ นั่นคือ
หนุ่มสาวอเมริกันที่มีมันสมองปราดเปรื่องนิยมเรียนวิชาบริหารธุรกิจแทนการ
เรียนสาขาที่นิยมกันมาก่อน เช่น แพทย์
เมื่อเรียนจบก็มักไปทำงานในภาคการเงินเพื่อหวังสร้างความร่ำรวยอย่างรวดเร็ว
ส่วนหนึ่งทำได้ แต่อีกส่วนหนึ่งกลับใช้การละเมิดจรรยาบรรณและการฉ้อโกง

วิธีการสร้างความร่ำรวยที่สำคัญได้แก่การสร้างนวัตกรรมทางการเงิน
อาทิ การสร้างตราสารหนี้ขึ้นจากดัชนีและหนี้อื่นๆ
แล้วนำมาขายในรูปของอนุพันธ์
และการตั้งกองทุนขนาดใหญ่เพื่อใช้เก็งกำไรและโจมตีค่าเงิน
เมืองไทยได้เห็นพิษสงของกิจกรรมจำพวกนี้เมื่อปี 2540
วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันก็เกิดจากกระบวนการเดียวกัน นั่นคือ
ชาวอเมริกันจำนวนมากก่อหนี้จนเกินระดับที่ตนสามารถชำระได้เพื่อนำเงินไปซื้อ
บ้าน

การก่อหนี้นั้นได้รับการช่วยเหลือจากนายหน้าซึ่งลดมาตรฐานของการให้
กู้และบางคนทำผิดกฎหมายด้วยการสร้างหลักฐานเท็จขึ้น เมื่อให้กู้ไปแล้ว
พวกเขาก็นำสัญญาหนี้ไปขายให้สถาบันการเงินซึ่งนำสัญญาเหล่านั้นมารวมกันแล้ว
แยกขายในรูปของอนุพันธ์ต่างๆ
ผู้ที่ซื้อไปไม่รู้แม้กระทั่งความเสี่ยงเพราะคิดแต่เพียงว่าจะทำกำไรได้
อย่างงดงาม นั่นเป็นการลงทุนที่มีจรรยาบรรณต่ำมาก
เทคโนโลยีใหม่เอื้อให้การซื้อขายอนุพันธ์จำนวนมหาศาลเกิดขึ้นได้เพราะมันทำ
ให้ตลาดเงินไร้พรมแดนแล้ว
กระบวนการนี้เป็นไปหลายรอบจนกระทั่งถึงวันที่ลูกหนี้จำนวนมากไม่สามารถชำระ
หนี้ได้ตามสัญญา ชนวนวิกฤตก็ถูกจุดให้ปะทุออกมาเมื่อกลางปี 2550

ปรากฏการณ์หลายอย่างในเมืองไทยอาจอธิบายได้ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ผลัก
ดันให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรกันนี่เอง
ความไร้จรรยาบรรณของชนชั้นพ่อค้าและความฉ้อฉลของชนชั้นผู้นำที่หาทางสร้าง
ความร่ำรวยแบบไม่มีที่สิ้นสุดเป็นปรากฏการณ์เลวร้ายที่เห็นได้ชัดยิ่งขึ้น
เทคโนโลยีร่วมสมัยช่วยให้การฉ้อฉลและการซุกซ่อนกลโกงทำได้ง่าย
การสั่งจ่ายสินบนในต่างประเทศ การโยกย้ายเงินไปซุกไว้ในเกาะต่างๆ
และการถอนเงินนั้นมาใช้ในการป่วนบ้านป่วนเมืองล้วนทำได้ภายในพริบตา
แต่สังคมไทยก็ใช่จะโดดเดี่ยวเพราะประเทศที่ก้าวหน้า เช่น
สหรัฐอเมริกาก็มีความฉ้อฉลเพิ่มขึ้นเช่นกัน

หากเราอ่านหนังสือชื่อ Are We Rome? ซึ่งมีบทคัดย่ออยู่ในเว็บไซต์
www.sawaiboonma.com ยิ่งกว่านั้น
การแย่งชิงทรัพยากรกันในระดับประเทศก็เข้มข้นขึ้นด้วย
เกือบทุกสัปดาห์จึงมีรายงานว่าจีนไปซื้อบริษัทขนาดยักษ์ที่ผลิตวัตถุดิบจาก
ทั่วสารทิศ กระบวนการนี้มิใช่ของใหม่เพราะบริษัทใหญ่ๆ
ของฝรั่งทำกันมานานแล้ว

ในภาวะเช่นนี้เรามีทางออกอย่างไร?
อันที่จริงคนไทยเคยมองการณ์ไกลมาก่อน
จึงได้ลดอัตราการเกิดของประชากรลงอย่างรวดเร็ว
แต่เราต้องพยายามลดต่อไปจนกว่าประชากรไทยจะไม่เพิ่มขึ้น
นั่นหมายความว่าคู่สามีภรรยาโดยทั่วไปไม่ควรมีลูกเกินสองคน อย่างไรก็ตาม
การบริโภคของแต่ละคนยังเพิ่มขึ้นทั้งที่บางส่วนไม่มีความจำเป็น ฉะนั้น
ผู้ที่เห็นว่าตนบริโภคเกินก็ควรลดส่วนนั้นลงบ้าง เกี่ยวกับประเด็นนี้
รัฐบาลมีบทบาทสำคัญ นั่นคือ
ใช้มาตรการจูงใจให้ผู้ที่ยังไม่ค่อยตระหนักถึงผลเสียของการใช้ทรัพยากรเกิน
ความจำเป็นให้หยุดยั้งและลดละการกระทำเช่นนั้น

ผมได้เสนอแนวคิดสำหรับมาตรการต่างๆ ไว้ในหนังสือชื่อ "ทางข้ามเหว
: แนวคิดสำหรับแก้วิกฤตไทย" ซึ่งคุณหมอนภาพร
ลิมป์ปิยากรได้จัดพิมพ์เพื่อนำส่วนหนึ่งไปมอบให้ผู้ที่อาจมีบทบาทในการ
เปลี่ยนแปลงสังคมอ่านรวมทั้งผู้ที่อยู่ในรัฐบาลด้วย
แก่นของหนังสือคือการเสนอแนะว่าจะนำพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่แนว
ปฏิบัติอย่างจริงจังได้อย่างไร
แต่ขณะนี้คงไม่มีใครใส่ใจกับหนังสือเล่มนั้น
เพราะนอกจากมันจะกลั่นออกมาจากสมองของปลาซิวปลาสร้อยแล้ว
รัฐบาลยังกำลังประสบกับความกดดันรอบด้านโดยเฉพาะจากคนฉ้อฉลที่ปะปนอยู่ใน
รัฐบาลเองและจากพวกพ้องของนายกรัฐมนตรีขี้ฉ้อฉลสามคนที่พ้นอำนาจไป

ปัจจัย ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมเล่ามานี้จะมีผลผลักดันให้กระแสต่อต้านการเสริมสร้าง
ทุนทางสังคมนับวันจะยิ่งเชี่ยวกรากขึ้น ฉะนั้น
หากคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนัก
ไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่เหมาะสมกว่า
ไม่อาสาเข้ามาทำงานเพื่อส่วนรวมบ้างและไม่ช่วยกันขัดขวางคนเลว หรือดูดาย
โอกาสที่เมืองไทยจะพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไปมีเพียงน้อยนิด

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000112814

"บิ๊ก" ศิริวัฒน์ เก็บไอเดียเยอรมัน สร้างเด็กไทยรักสิ่งแวดล้อม

การเดินทางไปศึกษาแลกเปลี่ยนในต่างประเทศ สำหรับนักเรียนนักศึกษาบางคน
ไม่เพียงแต่ได้ประสบการณ์ด้านการใช้ชีวิต หรือด้านวิชาการ
หากยังได้แรงบันดาลใจกลับมาพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น อย่างเช่น "บิ๊ก"
ศิริวัฒน์ ฤทธาภัย - เยาวชนไทยที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเยอรมนี
กลับมาสร้างเครือข่ายเยาวชนสิ่งแวดล้อม


"บิ๊ก" ศิริวัฒน์ ฤทธาภัย
ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่คณะวิศวกรรมอิเล็กโทรนิกส์และโทรคมนาคม ชั้นปีที่ 2
มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี จุดเปลี่ยนที่ทำให้หนุ่มน้อยคนนี้
เกิดความมุ่งมั่นอยากจะพัฒนาเกี่ยวกับด้านสิ่งแวดล้อมเริ่มจากการเดินทางไป
ศึกษาในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศเยอรมนีเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

"ผม มีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนของมูลนิธิการศึกษา
และวัฒนธรรมสัมพันธ์ไทย-นานาชาติ หรือ AFS ที่ประเทศเยอรมนี
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจ เพราะผมได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์
เกี่ยวกับการตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมของชาวเยอรมัน เช่น การแยกขยะกว่า 20
ประเภท ทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยกังหันลม
หรือครอบครัวชาวเยอรมันที่ผมไปพักด้วย ก็ใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์" บิ๊ก
เปิดเผยถึงจุดเริ่มของแรงบันดาลใจ

เมื่อกลับมาเมืองไทย หนุ่มน้อยไฟแรงคนนี้ จึงคิดค้นประดิษฐ์
"Solar Charge" ที่ประยุกต์ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์
ซึ่งสิ่งประดิษฐ์นี้นี่เอง ทำให้บิ๊กผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรม
"ค่ายทูตไบเออร์เพื่อสิ่งแวดล้อม รุ่นที่ 10" จนกระทั่งท้ายที่สุด
ก็ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 5
ตัวแทนเยาวชนจากประเทศไทยไปทัศนศึกษางานด้านสิ่งแวดล้อม ที่ประเทศเยอรมนี
และนับเป็นการไปสัมผัสประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เมือง
เบียร์อีกเป็นครั้งที่สองของหนุ่มคนนี้

บิ๊ก เล่าประสบการณ์ประทับใจจากการดูงานด้านสิ่งแวดล้อมว่า "ช่วง
ที่ผมเดินทางไปดูงานในฐานะทูตไบเออร์ เป็นช่วงที่ปัญหาโลกร้อนกำลังบูม
ในเยอรมนีมีการรณรงค์ เรื่องการจัดเก็บถุงพลาสติก หากใครใช้
จะต้องจ่ายภาษี ประมาณครึ่งยูโร ดังนั้นคนเยอรมัน
จึงใช้ถุงพลาสติกน้อยลงไปมาก จากนั้นผมมีโอกาสร่วมกับโครงการของสหประชาติ
ไปดูงานที่ประเทศเกาหลี งานด้านระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุม ทั้งรถเมล์
รถไฟฟ้า รถใต้ดิน ใช้บัตรเดียวได้หมด เรียกว่า T-Money
ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์มากหากประเทศไทยเรานำมาใช้บ้าง เพราะด้วยความสะดวก
ใช้งานง่าย และประหยัดค่าใช้จ่าย คนก็จะหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น
นั่นหมายถึงการลดใช้พลังงานน้ำมันลงได้อีกมาก"

เนื่องจาก บริษัทไบเออร์เป็นฝ่ายสนับสนุนของ UNEP (UN Environment
Program) บิ๊ก จึงเป็นตัวแทน ฝ่ายประสานงานของเยาวชนไทยไปในตัว นอกจากนี้
ด้วยความสามารถ และประสบการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม
จึงได้ทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมประสานงานของสภาเครือข่ายเยาวชนสิ่งแวดล้อมแห่ง
ชาติ หรือ Thai Youth Environment Network : Thai YEN
ซึ่งเป็นเครือข่ายที่สามารถขยายความเข้มแข็งของเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อมออกไป
สู่ระดับสากล

บิ๊ก อธิบายเกี่ยวกับการสร้างเครือข่ายเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อมว่า
"เรา เจาะกลุ่มเป้าหมาย คือมหาวิทยาลัยจากทั่วทุกภูมิภาค
เจาะไปในชมรมการอนุรักษ์ของแต่ละมหาวิทยาลัย นอกจากนี้
ปัจจุบันมีหลายองค์กร รณรงค์กันในเรื่องภาวะโลกร้อน เราจึงมองว่า
ทุกองค์กรได้มาเป็นเครือข่ายเดียวกัน
เป็นเวทีที่ทุกเครือข่ายได้ร่วมทำงานเดียวกัน จุดประสงค์เดียวกัน
และสามารถขยายออกไปได้ทั่วโลก"

หนุ่มนักพัฒนาสิ่งแวดล้อม
ยังฝากข้อคิดเกี่ยวกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมของไทยว่า "จาก
การที่ผมไปดูงานในต่างประเทศ ผมคิดว่าความจริงแล้ว ข้อดีของคนไทยมีมาก
แต่เรามักไปทำตามประเทศอื่นมากไป เราพยายามจะพัฒนาตามคนอื่น
แต่มักลืมสิ่งดีๆที่มีอยู่ใกล้ตัว เช่น การใช้ใบตอง
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนไทยไปนิยมใช้โฟม ทั้งๆที่ใบตองดีกว่ามาก
เค้าอาจจะนึกแค่เรื่องความสะดวก
แต่ผมว่าก็ไม่ตรงกับทฤษฎีเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่
หัวฯ อยากให้บ้านเราน่าจะใช้ใบตองกันมากขึ้น
การพัฒนาหลายๆอย่างผมมองว่าเราน่าจะยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ย้อนกลับไปสู่จุดที่เราเคยทำดีไว้แล้ว
แต่ถ้าหากมีอะไรดีๆจากต่างประเทศเราก็ค่อยนำมาประยุกต์ใช้ได้ เช่น
เรื่องพลังงานทดแทน เรื่องระบบขนส่งประหยัดพลังงาน"


http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000112476

ถามเรื่องการเปิดอินเตอร์เน็ต

ถ้าต้องการรู้ว่าวันนี้เราเล่นอินเตอร์เน็ตอะไรไปมั่งมันจะตรวจสอบยังไงครับ
และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้นานแค่ไหนครับ

จากคุณ : KYO TT


จริง ๆ ใน history ของ browser แต่ละตัวก็มี cache เก็บเป็น log
อยู่แล้วนี่ครับ ลองไปเปิด ๆ ดู ถ้าเป็นของ firefox ก็ ctrl+h

จากคุณ : mivecengine

โครงสร้างกับกระบวนการทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย

โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช 25 กันยายน 2552 17:47 น.
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ
ก่อให้เกิดการกระจายตัวของกลุ่มคนที่เริ่มมีอิทธิพลต่อระบบการเมืองมากขึ้น
แต่เดิมรัฐเป็นศูนย์อำนาจ
และเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมสังคมพลังนอกรัฐยังอ่อนแอ
การเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ภาคเอกชนขยายตัวใหญ่ขึ้น
รัฐมีความจำเป็นต้องยอมรับการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และมีการนำระบอบประชาธิปไตยมาใช้
รัฐก็มิได้กลายเป็นรัฐประชาธิปไตยไปโดยอัตโนมัติ
การขัดกันระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับลักษณะของรัฐ
ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงกติกาหลัก คือ รัฐธรรมนูญอยู่เป็นระยะ
จนในที่สุดพลังทางสังคมและเศรษฐกิจได้กดดันให้กติกามีความเป็นประชาธิปไตย
มากขึ้น อย่างน้อยก็ในแง่โครงสร้าง

ในบรรดาโครงสร้างทางการเมือง พรรคการเมืองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เพราะพรรคการเมืองมีบทบาทหลักในการคัดเลือกบุคลากรทางการเมือง
และดำเนินการทางการเมือง

ปัญหามีอยู่ว่า พรรคการเมืองมีความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่
ในตะวันตกพรรคการเมืองกลายเป็นองค์กรคณาธิปไตย
ที่กลุ่มคนกลุ่มเล็กสามารถกุมอำนาจไว้ได้ แต่ในประเทศไทย
พรรคการเมืองส่วนใหญ่เป็นพรรคของผู้นำ มีบางพรรค เช่น
พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่มีลักษณะประชาธิปไตยในแง่การมีส่วนร่วมของ
สมาชิกพรรค การที่พรรคการเมืองส่วนใหญ่ไม่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยนี้
มีผลทำให้กระบวนการทางการเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยตามไปด้วย

อย่างไรก็ดี
โครงสร้างทางการเมืองมีการกระจายตัวมากขึ้นลงไปถึงท้องถิ่น
นอกจากนั้นยังมีองค์กรอิสระที่ช่วยเสริมการทำงานของระบบการเมืองอีก
จึงกล่าวได้ว่า ขณะนี้กติกา (รัฐธรรมนูญ)
และโครงสร้างทางการเมืองของไทยเอื้ออำนวยต่อระบอบประชาธิปไตย
แต่กระบวนการทางการเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย
การตัดสินใจทางการเมืองยังขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรคอยู่

แม้โครงสร้างทางการเมืองจะเอื้อต่อประชาธิปไตย
แต่โครงสร้างของรัฐในส่วนที่เป็นกลไกทางการปกครอง
และการบริหารก็ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับระบอบประชาธิปไตย

ปัญหาสำคัญของระบบราชการเกิดจากการขยายบทบาทของภาครัฐ
ซึ่งลงไปทำกิจการหลายด้านที่เอกชน และประชาชนสามารถดำเนินการเองได้
ดังนั้น เมื่อมีการกระจายอำนาจ
ภารกิจของรัฐส่วนหนึ่งก็จะต้องถ่ายโอนไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และอีกส่วนหนึ่งไปให้ภาคเอกชนดำเนินการ

การที่มีปัญหาความล่าช้าในการกระจายอำนาจเป็นเพราะรัฐไทยเป็นรัฐ
เดี่ยวที่กรม และกระทรวงมีบทบาทสำคัญ ไม่ใช่จังหวัด
ดังนั้นงบประมาณจึงอยู่ที่กรมกิจการต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับราชการส่วนกลาง
งานส่วนภูมิภาคก็ไปจากกรมในส่วนกลาง แทนที่จะเป็นของจังหวัด
จังหวัดของไทยจึงไม่เติบโต แต่เมืองหลวงและกระทรวง ทบวง กรม
กลับขยายตัวอย่างรวดเร็ว

การปฏิรูประบบราชการมีเป้าหมายในการลดขนาดของระบบราชการ
ซึ่งปัจจุบันรายจ่ายด้านบุคลากรสูงถึง 30-40% ในขณะที่งบลงทุนลดน้อยลง
รัฐจำต้องทบทวนภารกิจภาครัฐ โดยคำนึงถึงหลัก 3 ประการคือ

1. ภารกิจที่กำหนดให้รัฐต้องดำเนินการตามกฎหมาย

2. ภารกิจที่เป็นยุทธศาสตร์

3. ภารกิจที่รัฐจำเป็นต้องให้บริการแก่ประชาชน

หากมีการนำหลักเกณฑ์ทั้งสามมากำหนดภารกิจที่รัฐจำเป็นต้องทำแล้ว
รัฐก็จะสามารถลดบทบาทลงได้ และท้องถิ่นจะเติบโตขึ้น
แต่ก็มีข้อคิดว่าท้องถิ่นกับจังหวัดไม่เหมือนกัน
จังหวัดยังเป็นส่วนภูมิภาคที่ได้รับงบประมาณน้อยอยู่
เมื่อจังหวัดสามารถได้รับงบประมาณ
ภารกิจของภาครัฐก็จะกระจายลงไปที่จังหวัดและท้องถิ่น
ทำให้งานของส่วนกลางลดลง และมีการรวมศูนย์อำนาจน้อยลง
ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น

การพัฒนาประชาธิปไตย
ส่วนหนึ่งจึงเกี่ยวโยงกับการปรับบทบาทของรัฐอย่างแยกไม่ออก
เพราะระบอบประชาธิปไตยหมายถึง การมีส่วนร่วมของประชาชน
ตราบใดที่รัฐยังดำเนินกิจการมากมายหลายด้าน
รัฐก็จะครอบงำวิถีชีวิตของคนในสังคมไว้ได้

การพัฒนาประชาธิปไตย จึงต้องทำสองด้านพร้อมๆ กันไป คือ
การพัฒนาพรรคการเมืองให้มีความเป็นประชาธิปไตยกับการปรับบทบาทของภาครัฐ
แต่พรรคการเมืองจะเป็นประชาธิปไตยได้นั้น
ก็จะต้องมีแรงกดดันให้พรรคต้องอาศัยมวลชนมากขึ้น ปัญหาก็คือ
หัวหน้าพรรคการเมืองที่มีคะแนนเสียงแน่นหนาในจังหวัดต่างๆ
ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในพรรค
นอกเหนือไปจากการมาออกเสียงลงคะแนนเป็นระยะๆ

การมีพรรค "ทางเลือก" เช่น พรรคการเมืองใหม่ที่มีการนำเสนอขึ้น
น่าจะเป็นทางออกที่ดีในเวลาที่พรรคการเมืองดั้งเดิมยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
วิธีการทำงานของพรรคการเมืองใหม่
อาจทำให้พรรคแบบดั้งเดิมต้องปรับตัวในที่สุด

การ พัฒนาประชาธิปไตย
ต้องการที่จะมีทั้งโครงสร้างและกระบวนการทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย
เวลานี้เรามีโครงสร้างทางการเมืองที่เอื้ออำนวยต่อการเป็นประชาธิปไตยแล้ว
ปัญหาอยู่ที่การปรับกระบวนการทางการเมืองเท่านั้น

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000112809

ต้องเตรียมรับมือวิกฤตเศรษฐกิจรอบสอง!

โดย สิริอัญญา 25 กันยายน 2552 18:24 น.
เมืองไทยของเรากำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายทางเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง
แต่ขณะนี้คนไทยยังตีกันเองไม่เลิก
หลายหน่วยงานยังทะเลาะเบาะแว้งและขัดแย้งกัน
จนแทบจะบริหารบ้านเมืองไปไม่ได้

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องบอกกล่าวเตือนภัยให้คนไทยทั้งหลายได้เตรียมตัวเตรียมใจเผชิญกับวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่

จะ ต้องหยุดทะเลาะ หยุดขัดแย้ง หยุดแตกแยกกันไว้สักพักหนึ่ง
แม้นักการเมืองก็ต้องหยุดโกง หยุดบ้าบอคอแตก
และหยุดแก้รัฐธรรมนูญเอาไว้ก่อน
หาไม่แล้ววิกฤตคราวนี้จะทำเอาบ้านเมืองและทุกภาคส่วนของสังคมยับเยินป่นปี้
จนยากที่จะแก้ไขให้ฟื้นคืนดีได้อีก

วิกฤตทางเศรษฐกิจรอบที่แล้วที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2551
เป็นวิกฤตที่ไม่ได้เกิดจากประเทศไทย
เพราะเกิดขึ้นและเริ่มต้นที่สหรัฐอเมริกา
ที่ฟองสบู่ทางเศรษฐกิจแตกระเบิดเถิดเทิงแล้วส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก
รวมทั้งประเทศไทยด้วย

ต้องใช้เงินและทรัพยากรครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
เพื่อบรรเทาเบาบางวิกฤตนั้น
แม้ในบ้านเมืองของเราที่ได้รับผลกระทบชั้นปลายแถว
แต่ความหนักหน่วงของวิกฤตก็รุนแรงไม่แตกต่างอันใดกับเมื่อครั้งวิกฤตปี
2540

มันเกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลปัจจุบันเพิ่งตั้งไข่ใหม่ๆ
และยังผสมโรงด้วยการป่วนบ้านป่วนเมืองเพื่อไม่เปิดโอกาสให้รัฐบาลได้แก้ไข
ปัญหาของประเทศชาติ
แต่ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับกันว่ารัฐบาลได้รับมือกับวิกฤตรอบนั้นให้ผ่านพ้น
ไปด้วยดี

แต่แลกมาด้วยการทุ่มเทเงินทองและทรัพยากรครั้งใหญ่ที่สุดและมากกว่า
เมื่อครั้งวิกฤตปี 2540 เสียอีก
แม้กระทั่งการเอาเงินไปแจกแก่ประชาชนก็ต้องฝืนใจและจำใจทำ
ท่ามกลางเสียงติฉินนินทาของผู้ที่ไม่เข้าใจ
และในวันนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามาตรการทั้งหลายที่รัฐบาลได้ใช้ไป
นั้นได้ผล และสามารถหยุดยั้งวิกฤตไม่ให้ลุกลามบานปลายจนกระทั่งเศรษฐกิจไทยเริ่มตั้ง
ตัวได้

แม้ ว่าตั้งตัวได้ แต่ยังคงเปราะบางยิ่งนัก
หากประมาทพลาดพลั้งและเผชิญหน้ากับคลื่นลมแรงทางเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง
โชคก็อาจไม่ดีเหมือนรอบที่ผ่านมา

วันนี้ไม่ต้องเถียงกันหรอกว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะเป็นไปในรูปตัว
L หรือตัว V หรือตัว W หรือตัว M
เพราะนักเศรษฐศาสตร์นั้นย่อมมีข้อโต้เถียงกันได้ไม่มีวันจบสิ้น ก็เหมือนๆ
กับนักกฎหมายนั่นแหละ
ลงไม่ได้โต้ไม่ได้เถียงกันแล้วก็ดูเหมือนว่าจะไร้คุณค่าหมดราคาไปเสียเลย

เพราะไม่ว่าจะเถียงกันไปในทางไหน ความจริงมันก็เห็นกันอยู่ชัดๆ
ว่ารัฐบาลนี้ได้หยุดยั้งวิกฤตทางเศรษฐกิจเอาไว้
แต่สภาวการณ์ยังคงเปราะบางยิ่งนัก
หากจะเผชิญหน้ากับวิกฤตรอบใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
จึงเป็นปัญหาที่บรรดาผู้ทรงปัญญาวิชาคุณทั้งหลายจะต้องร่วมจิตร่วมใจกันคิด
อ่านป้องกันแก้ไข ไม่ใช่เอาแต่โต้เถียงกันเพื่อความเพลิดเพลินบันเทิงใจ

วิกฤต ทางเศรษฐกิจรอบใหม่ที่ก่อเค้าและใกล้ระเบิดแล้วนี้ก็เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา
อีกนั่นแหละ และจะส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยเช่นเดิม
แต่อาจจะหนักหนาสาหัสกว่าเดิมหลายเท่า

เหตุที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ในสหรัฐฯ
ก็เป็นวิบากกรรมของสหรัฐฯ เอง
ที่ทั้งรัฐบาลและประชาชนต่างกระตุ้นเศรษฐกิจกันตามวงจรชีวิตแห่งโลกทุนนิยม
หรือลัทธิบริโภคนิยม จนเกิดหนี้สินล้นพ้นตัว

หากเปรียบเทียบเป็นคนธรรมดาหรือนิติบุคคลธรรมดาแล้วก็กล่าวได้ว่า
สหรัฐอเมริกาทั้งประเทศและชาวอเมริกันทั้งประเทศขณะนี้ตกอยู่ในภาวะล้มละลาย
แล้ว เป็นหนี้สินล้นพ้นตัวจนไม่มีทางที่จะชำระหนี้สินได้อีกเลย

และได้รับผลกระทบจากการทุ่มเทเงินทองและทรัพยากรจำนวนมหาศาลไปในการ
แก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจรอบที่แล้ว
จึงซ้ำเติมให้ระบบเศรษฐกิจย่ำแย่หนักลงไปกว่าเก่า จนเจ้าหนี้รายใหญ่ๆ
ไม่ไว้ใจ ถึงกับต้องเรียกหนี้คืนด้วยวิธีการขายคืนพันธบัตรและตราสารต่างๆ
อย่างไม่หยุดยั้ง

ในกลางปีนี้
จีนก็ได้ถอนเงินฝากในรูปของการขายพันธบัตรคืนเป็นเงินกว่า 800,000
ล้านบาท และลูกหนี้ไม่มีเงินจ่าย
ต้องไปอ้อนให้อังกฤษและญี่ปุ่นเข้าไปรับซื้อหนี้แทน
แล้วภาวะอย่างนี้ก็ได้ส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐต่อไปด้วย
ทำให้จำนวนหนี้ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายทั้งหลายก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นตาม
ไปด้วย

มาตรการ แก้ไขวิกฤตทางเศรษฐกิจแบบโลกทุนนิยมนั้นไม่มีอะไรมาก
คือเร่งใช้จ่าย เพิ่มหนี้ และกระตุ้นการบริโภคกัน จนท้องแตกไปตามๆ กัน
เพราะฉะนั้นบรรดาหนี้เสียหนี้สูญจึงเพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

ขณะนี้สถาบันการเงินตามรัฐต่างๆ ทั่วประเทศร่วม 400
แห่งกำลังใกล้เจ๊งเต็มทีแล้ว สถาบันการเงินเหล่านี้มีทรัพย์สินรวมกันกว่า
400,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
หรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดหนี้ที่จีนเป็นเจ้าหนี้ของสหรัฐฯ
อยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีจำนวนถึง 748,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

คนฝากเงินก็พากันไปถอนเงิน
ในขณะที่สถาบันการเงินเหล่านั้นไม่มีปัญญาจ่ายคืนให้แก่ผู้ฝากเงิน
สภาพเช่นนี้กำลังเกิดขึ้นโดยทั่วไป
แต่มันเกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลกลางได้ใช้จ่ายเงินไปแทบสิ้นประดาตัวแล้ว
และจะก่อหนี้ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะหนี้เก่าที่มีอยู่เจ้าหนี้เขาก็ไม่ไว้วางใจ
กำลังทวงถามไถ่ถอนกันจ้าละหวั่น

ดัง นั้นจึงเป็นที่คาดหมายกันได้แล้วว่า 400
สถาบันการเงินจะเจ๊งเป็นเงินถึง 400,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
และจะกลายเป็นระเบิดลูกโซ่ที่ระเบิดตูมตามไม่หยุดไม่หย่อน
จนพังพินาศไปทั้งระบบ

เพราะสถาบันการเงินทั้ง 400 แห่งนี้
ด้านหนึ่งก็มีผู้ฝากเงินที่จะต้องได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากการถอน
เงินฝากไม่ได้ แล้วจะเกิดภาวะขาดสภาพคล่อง
และความไม่สามารถชำระหนี้หรือดำเนินธุรกิจต่อไปได้ตามมาอีกต่อหนึ่ง

ในอีกด้านหนึ่ง สถาบันการเงินทั้ง 400
แห่งนี้ก็มีลูกหนี้ที่ได้รับสินเชื่อไปในการประกอบธุรกิจและในกิจการต่างๆ
แม้กระทั่งเงินกู้ส่วนบุคคล
ที่เมื่อสถาบันการเงินขาดสภาพคล่องแล้วก็จะไม่มีวงเงินใช้สอยอีกต่อไป
หรือไม่ก็ถูกเร่งรัดเรียกหนี้สินคืน
และทำให้กระแสของเงินที่หมุนเวียนต้องหยุดชะงักตามไปด้วย

เป็นสภาพเดียวกันกับการปิด 56
สถาบันการเงินเมื่อครั้งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ในประเทศไทย
ซึ่งเกิดผลกระทบทั้งด้านผู้ฝากเงินและกระทบทั้งด้านผู้ประกอบการและผู้ใช้
สินเชื่อที่ต้องได้รับผลกระเทือน กระทั่งล้มละลายไปตามๆ กัน

แต่ เหตุการณ์ปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง
ในครั้งนั้นจะเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยแค่หยิบมือเดียวเมื่อเทียบกับการล่มสลายของ
400 สถาบันการเงินของสหรัฐฯ
แรงระเบิดและผลกระทบที่ต่อเนื่องนั้นเทียบกันไม่ได้

มันจะส่งผลกระทบไปทุกภาคส่วนและทุกมลรัฐในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวนี้ดูเหมือนว่ารัฐบาลกลางก็จะรู้ตัวดี
ดังนั้นจึงต้องจำใจทำในสิ่งที่สหรัฐฯ
ไม่เคยทำมาก่อนนับตั้งแต่สถาปนาสหรัฐอเมริกา

นั่นคือการเลิกโครงการเกราะป้องกันการโจมตีจากอวกาศที่จะดำเนินการใน
ยุโรป การลดค่าใช้จ่ายทางการทหาร
ที่ถึงกับต้องชะลอการตัดสินใจทางการทหารในหลายภูมิภาคของโลก
แม้กระทั่งในภาคแปซิฟิก
ฝ่ายทหารของสหรัฐอเมริกาก็วิตกกังวลว่าจะไม่สามารถพัฒนาได้ทันกับความเติบ
ใหญ่ทางแสนยานุภาพทางนาวีของจีน
ซึ่งจะคุกคามต่อปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ในภาคแปซิฟิกในอนาคต

ก็ ในธนบัตรสหรัฐฯ นั้น แม้ไม่มีเงินสำรองหนุนหลัง
แต่ก็มีของหนุนหลังอยู่อย่างหนึ่งนั่นคือแสนยานุภาพทางการทหาร
ดังที่พิมพ์ไว้ในธนบัตรนั้นเองว่า In God We Trust
โดยความหมายที่แท้จริงก็คือ In Gun We Trust

ดังนั้นเมื่อจำเป็นและจำใจที่จะต้องหยุดโครงการและปฏิบัติการมากหลาย
ทางการทหาร เพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งใหม่ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อภาคการ
เงินและคุณค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
ซึ่งตรงจุดนี้จะเป็นสิ่งที่แก้ไขให้ฟื้นคืนดีได้ยากที่สุด

ประเทศไทยของเราแม้อยู่ปลายลมทอร์นาโดทางเศรษฐกิจลูกนี้
แต่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบย่อมไม่พ้น
ดังนั้นในภาวะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเปราะบางนัก
จึงเป็นเรื่องที่จะต้องเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วน
โดยรัฐบาลต้องเป็นผู้นำในการเตือนภัยและเตรียมการระวังภัยในครั้งนี้

สำหรับรัฐบาลเอง
จำเป็นที่จะต้องทบทวนแผนการใช้เงินตามงบประมาณและโครงการเงินกู้ต่างๆ
โดยต้องชำเลืองมองเค้าเมฆใหญ่แห่งวิกฤตที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกทีด้วย

เพราะ ถ้าหากมัวแต่กระตุ้นเศรษฐกิจ มัวแต่ทุ่มงบประมาณ
และใช้จ่ายเงินเกินตัว แถมยังกระตุ้นให้ประชาชนเพิ่มการบริโภคให้มากขึ้น
ก่อหนี้สินให้มากขึ้นแล้ว
เมื่อวิกฤตนั้นมาถึงก็จะสิ้นไร้เรี่ยวแรงในการรับมือ
และเมื่อนั้นความล่มสลายทางเศรษฐกิจของทั้งประเทศและภาคธุรกิจตลอดจนประชาชน
ก็จะมาถึง.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000112829

รบ.จัดทำเว็บไซต์ถวายพระพรในหลวง เปิดโฉมพรุ่งนี้

วันนี้ (25 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกฯ ที่ได้พูดว่าจะเปิดเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนทั่วโลกได้ลงนามถวายพระพร
และติดตามพระอาการประชวร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่านายกฯ
ได้มีความประสงค์ที่จะให้มีการจัดทำเว็บไซต์หรือผ่านทางออนไลน์
เพื่อที่จะให้คนไทยรับทราบพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ตนตั้งใจว่าวันนี้จะประชุมหารือกัน
รวมทั้งจะเรียกทีมไอทีที่ช่วยทำเว็บไซต์ของรัฐบาลอยู่ในขณะนี้
มาร่วมพูดคุย เพื่อกำหนดรูปแบบเว็บไซด์

อย่างไรก็ตาม
การทำเว็บไซต์ดังกล่าวจะต้องไปปรึกษาหารือกับทางสำนักราชเลขาธิการ
แพทย์ผู้รักษา และโรงพยาบาลศิริราช
ว่าต้องทำเนื้อหาในเว็บไซด์ออกมาอย่างไรถึงจะเหมาะสม
และคิดว่าเว็บไซต์ดังกล่าวจะทำให้คนที่อยู่ทั่วโลกได้ติดตามข่าวสารจาก
พระองค์ท่านได้ตลอดเวลา เมื่อถามว่าจะทำเว็บไซต์ขึ้นมาใหม่
หรือว่าใช้เว็บไซต์ของรัฐบาลที่มีอยู่มาปรับปรุงเพื่อจัดทำเว็บไซต์ถวายพระ
พร นายสาทิตย์กล่าวว่า จริงๆ แล้วเว็บไซต์ในทำเนียบฯ ก็มีเยอะ อีกทั้ง
บางเว็บไซต์กิจกรรมในเว็บไซต์อาจจะเบาลงแล้ว เช่น เว็บไซต์
"ฉันรักประเทศไทย" อาจจะลองไปปรับดู ซึ่งจะทำอย่างประหยัดที่สุด
ให้ได้ประโยชน์มากที่สุดเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ในวันที่ 26 ก.ย.
จะมีการเปิดเว็บไซต์ถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อย่างเป็นทางการ


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เคาะข่าวริมโขง : ไขปริศนา "วัยวุฒิ" ช่วยเบิกความคดีหวยบนดิน ที่แท้มีสัมพันธ์ลับที่ปรึกษาชินคอร์ป

รายการ "เคาะข่าวริมโขง" ออกอากาศทาง "อีสานทีวี" ช่วงเวลา
18.30-20.30 น.วันศุกร์ที่ 25 กันยายน มี น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก
นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย และนายประพันธ์ คูณมี เป็นผู้ดำเนินรายการ
โดยวันนี้มีการเชิญ นายโสภณ องค์การ
อดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น
และหนึ่งในพิธีกรรายการ NEWS HOUR สุดสัปดาห์ ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี
และนายสำราญ รอดเพชร แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 2
มาร่วมพูดคุยถึงกรณี บทบาทการทำหน้าที่ของอัยการ
ซึ่งถือเป็นทนายของแผ่นดิน แต่กลับเดินทางไปเบิกความเป็นพยานให้ฝ่ายจำเลย
จนสามารถหลุดพ้นจากคดีกล้ายางได้ รวมไปถึงจับตาคำพิพากษาคดีหวยบนดิน 2
ตัว 3 ตัว สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ ยังมีกรณี เว็บไซต์มติชนออนไลน์ นำเสนอผลงานวิจัยของ
นายวิทอง ตัณฑกุลนินาท นักศึกษา วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (ปรอ.) รุ่น
21 ในข้อหัว ชำแหละ อิทธิพลของสื่อสาธารณะดิจิตอล ASTV
ต่อพฤติกรรมการบริโภคข่าวของคนกรุงเทพฯ โดยสรุปผลงานวิจัยว่า สื่อ ASTV
ทำให้สังคมเกิดความแตกแยก

โดยเริ่มรายการ น.ส.อัญชะลี
กล่าวเปิดประเด็นถึงกรณีบทบาทการทำหน้าที่ของอัยการ
ซึ่งสืบเนื่องมาจากผลจากการพิพากษาคดีกล้ายาง และต่อเนื่องถึงคดีหวยบนดิน
2 ตัวและ 3 ตัว ซึ่งในส่วนคดีกล้ายาง นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด
(อสส.) และนายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด
เดินทางไปเป็นพยานให้ฝ่ายจำเลย จนทำให้สามารถหลุดพ้นจากความผิดมาได้
และทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมว่าแท้จริงแล้วด้วยหน้าที่
ทนายแผ่นดิน สามารถกระทำได้หรือไม่ โดยกรณีนี้ นายประพันธ์ กล่าวว่า
นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส.) และนายวัยวุฒิ หล่อตระกูล
รองอัยการสูงสุด เดินทางไปเป็นพยานให้แก่จำเลยคดีกล้ายาง
ถือว่าเมื่อศาลตัดสินไปแล้ว ทุกฝ่ายต้องยอมรับคำตัดสิน
แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น คือ คดีหวยบนดิน 2 ตัว และ3 ตัว
ซึ่งมีกระแสข่าวว่า ทั้งนายชัยเกษมและนายวัยวุฒิ
จะเดินทางไปเบิกความเป็นพยานให้จำเลยอีกคดี
ทำให้กระบวนการยุติธรรมและสังคมมองว่าการที่อัยการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่
สมควร เพราะทั้ง 2
คนเป็นผู้ที่รู้เห็นสำนวนคดีดังกล่าวทั้งหมดที่ทางคณะกรรมการตรวจสอบการ
กระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
ส่งมาให้อัยการพิจารณาและส่งฟ้องต่อศาล โดยเฉพาะ นายวัยวุฒิ
มีหน้าที่ในฐานะเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบคดีดังกล่าว ฉะนั้น
ไม่ต้องถามก็รู้อยู่แล้วว่าไม่เหมาะสมที่จะเดินทางไปเบิกความ

นายประพันธ์กล่าวต่ว่า คดีกล้ายาง ทางอัยการพยายามเตะถ่วง
ไม่ยอมส่งสำนวนฟ้องต่อศาล ทาง คตส. จึงต้องตั้งทีมมาดำเนินการฟ้องเอง
โดยหลังจากที่ศาลอาญา แผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
อ่านคำพิพากษาคดีกล้ายาง และจำเลยคดีดังกล่าวหลุดพ้นจากความผิด
แทนที่อัยการจะสำนึกที่ได้ส่งเรื่องดังกล่าวของ คตส.
เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล กลับออกมาแถลงข่าวถากถางว่าการทำงานของ
คตส. ไม่มีประสิทธิภาพ ดื้อดึงที่ฟ้องศาล
แม้จะไปท้วงติงไปแล้วว่าให้ไปหาหลักฐานพยานเพิ่มเติม การกระทำดังกล่าว
ตนถือว่าไม่สมควรทำ
มันผิดวิสัยผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง
แต่สิ่งที่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงมากที่สุด คือ คำถามที่ว่า
ทั้งนายชัยเกษมและนายวัยวุฒิ
จะเดินทางไปเบิกความต่อศาลอีกครั้งในคดีหวยบนดิน 2 ตัวและ 3 ตัว
เรื่องดังกล่าวสามารถดำเนินการได้หรือไม่
ซึ่งตนอยากเรียกร้องให้ทั้งคู่ออกมาชี้แจงเหตุผลให้ชัดเจนว่า
เรื่องที่ทำไปแล้วและเรื่องที่จะกระทำถือว่าเหมาะสมหรือไม่
เพราะด้วยหน้าที่อัยการต้องเป็นทนายของแผ่นดิน
ต้องฟ้องในฐานะเป็นทนายโจทย์ฝ่ายรัฐ
ฟ้องร้องจำเลยที่ทำให้ผลประโยชน์รัฐเสียหาย ฉะนั้น ไม่มีหน้าที่ใดๆ
ต้องไปเป็นที่ปรึกษาหรือไปเป็นพยานในคดีใดๆทั้งสิ้น

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า
เดิมทีกระบวนการยุติธรรมไม่เคยมีปัญหาเรื่องดังกล่าว โดยอัยการและ คตส.
ทำงานคู่ขนานกันได้ตามปกติ แต่ความขัดแย้งมาเกิดสมัยที่ นายชัยเกษม
นิติสิริ ขึ้น เป็นอัยการสูงสุด และทาง คตส.
ไปตรวจสอบคดีทุจริตโครงการปรับปรุงระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าและเครื่องตรวจ
สอบวัตถุระเบิด หรือซีทีเอ็กซ์-9000 ซึ่งนายชัยเกษม
เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาว่ามีความผิด ในฐานะที่ดำรงตำแหน่ง อดีตบอร์ด
ทอท. จึงทำให้ต่อจากนั้น การทำงานของทั้ง 2 องค์กรไม่ค่อยราบรื่น
ทางอัยการมีการตั้งแง่ด้านการทำงานกับทาง คตส.
โจมตีว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพ

"คดีกล้ายาง ถือว่าน่ารังเกียจมากกับพฤติกรรมของอัยการ
เพราะก่อนหน้านี้ได้ท้วงติงให้ คตส.ไปหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม แต่จริงๆ
แค่ต้องการประวิงเวลาเพื่อล้วงข้อมูลในเชิงลับ และไปบอกต่อจำเลย
โดยเรื่องดังกล่าวมาแดงขึ้น
เมื่อสิ่งที่จำเลยพูดกับศาลเหมือนข้อแย้งของอัยการ ที่ใช้โจมตี คตส.
เปรียบเสมือนอัยการปลอ่ยความลับในสำนวนให้รั่วไหล
แล้วนำจุดอ่อนสำนวนไปบอกจำเลย
ซึ่งตามมารยาทของการทำงานในระบบกระบวนการยุติธรรม
ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำเด็ดขาด" นายประพันธ์กล่าว

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า
ตนคิดว่าอีกไม่นานจะต้องมีผู้ยื่นถอดถอนทั้งนายชัยเกษมและนายวัยวุฒิ
เนื่องจากกระทำความผิดชนิดที่ในกระบวนการยุติธรรมไม่เคยปรากฏมาก่อนด้วยการ
เดินทางไปเป็นพยานให้ฝ่ายจำเลย นอกจากนี้ ข้อมูลเชิงลึกยังพบว่า
นายวัยวุฒิ ที่อ้างว่าเหตุต้องเดินทางไปเบิกความเป็นพยานให้แก่จำเลยในคดีกล้ายาง
เนื่องมาจาก ศาลออกหมายเรียก ซึ่งเรื่องนี้ในความเป็นจริง
หากศาลออกหมายเรียก นายวัยวุฒิ สามารถปฏิเสธ
และส่งคำชี้แจงไปว่าหากไปเบิกความ
ในฐานะที่เป็นอัยการของแผ่นดินถือว่าไม่เหมาะสม
เพราะได้ล่วงรู้ความลับสำนวนต่างๆของคดีหมดแล้ว
จึงอาจเป็นการเปิดเผยเรื่องราวที่ไม่เหมาะ แต่ทางด้านนายวัยวุฒิ
กลับไม่ยอมทำคำชี้แจง ซ้ำยังเดินทางไปเบิกความต่อศาลช่วยจำเลยจนสำเร็จ
โดยตนเพิ่งทราบข้อมูลมาว่า นายวัยวุฒิ
ที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรองอัยการสูงสุด
ปูมหลังเคยเป็นลูกน้องหน้าห้องของ นายพิมล รัฐปัตย์
อดีตรองอัยการสูงสุดคนก่อน
ซึ่งหลังจากเกษียณได้ไปนั่งเป็นที่ปรึกษาให้แก่ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น
จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป ซึ่งลักษณะเช่นนี้
ถือว่าเข้าข่ายความสัมพันธ์ที่น่าสงสัย ประกอบกับสมัยที่ นายพิมล
ดำรงตำแหน่งเป็นรองอัยการสูงสุด ก็ได้รับการโปรโมต
ให้นั่งเป็นบอร์ดการท่าอากาศยานฯ และบอร์ดสำคัญหลายแห่ง ในช่วงรัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

"ผมไม่ทราบว่าโดยส่วนตัวแล้วนายชัยเกษมกับนายพิมล มีสัมพันธ์ใดๆ
ต่อกันหรือไม่ แต่สิ่งที่มีการแอบไปเจรจาและตกลงผลประโยชน์กัน
ในวงการอัยการและนักกฏหมาย เขาไม่ให้การยอมรับ ดังนั้น
ทั้งนายชัยเกษมและนายวัยวุฒิ ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่า
การที่เดินทางไปเบิกความช่วยจำเลยคดีกล้ายาง ทำไปเพราะศาลออกหมายเรียกมา
หรือมีวาระซ่อนเร้นอันใดแอบแฝง หรือที่แท้ ที่ออกมาโจมตีการทำงานของ คตส.
ก็เพราะกลัวจะถูกดำเนินคดี จึงต้องดิสเครดิต โดยต่อไปนี้
ขอให้จับตามองเรื่องคำพิพากษาคดีหวยบนดิน 2 ตัวและ 3 ตัว
ว่าบทสรุปจะออกมาเป็นเช่นไร
ศาลจะวินิจฉัยโดยเอาคำเบิกความของนายชัยเกษมมาใช้พิจารณาหรือไม่
เรื่องนี้ต้องพิสูจน์กัน" นายประพันธ์กล่าว

น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า พยานฝ่ายจำเลยคดีหวยบนดิน 2 ตัวและ 3 ตัว
มีทั้หมด 44 คน โดยเป็นที่แน่ชัดว่า นายชัยเกษมและวัยวุฒิ
จะเดินทางไปเบิกความให้แก่ฝ่ายจำเลยอีกคดีหนึ่ง นายโสภณ กล่าวกรณีนี้ ว่า
ตนขอถามว่าอัยการทั้งคู่กินเงินเดือนที่ได้จากภาษีประชาชนหรือกินเงินเดือน
จากฝ่ายจำเลย เพราะแท้จริงแล้วอัยการมีหน้าที่ดูแลรักษาผลประโยชน์ของรัฐ
แต่สิ่งที่ 2 คนนี้กระทำ ไม่ได้ทำเช่นนั้น
โดยจะมาอ้างว่าที่ต้องเดินทางไปเบิกความคดีกล้ายาง เพราะศาลมีหมายเรียกมา
ซึ่งในความจริงแล้ว ถ้าลองคิดดูให้ดี
หากฝ่ายจำเลยไม่ได้ติดต่อหรือพูดคุยกับอัยการทั้งคู่ไว้ล่วงหน้า
จำเลยที่ไหนจะกล้าให้อัยการมาเบิกความให้
ถ้าไม่มั่นใจว่าอัยการจะให้การที่เป็นคุณต่อรูปคดี ดังนั้น
การกระทำดังกล่าว ชี้ชัดว่าทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐ
เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถให้การช่วยเหลือจำเลยได้
เพราะคำพูดของอัยการมีน้ำหนักสูง นำพาไปสู่รูปคดีที่พลิกผันได้

"ในประเทศที่เจริญแล้ว หากเกิดกรณีแบบ นายชัยเกษม ต้องลาออกทันที
แต่ประเทศไทยมักมีปัญหาเรื่องจรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่ ดังนั้น
จึงยังคงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน รั้งอยู่ในตำแหน่งต่อไป
โดยหากจะพูดถึงข้อดี เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
ก็ช่วยเตือนสติอัยการหรือเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมคนอื่น
ควรคิดให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร" นายโสภณ กล่าว

ต่อมา น.ส.อัญชะลี กล่าวถึงกรณี เว็บไซต์มติชนออนไลน์
นำเสนอผลงานวิจัยของ นายวิทอง ตัณฑกุลนินาท นักศึกษา
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (ปรอ.) รุ่น 21 ในข้อหัว ชำแหละ
อิทธิพลของสื่อสาธารณะดิจิตอล ASTV
ต่อพฤติกรรมการบริโภคข่าวของคนกรุงเทพฯ โดยผลการวิจัยสรุปว่า สื่อ ASTV
ทำให้สังคมเกิดความแตกแยก นายโสภณ กล่าวกรณีนี้ ว่า
ไม่ว่างานวิจัยชิ้นนี้ บทสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร แต่สื่อ ASTV
ก็คือไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์
ในฐานะที่เป็นสื่อซึ่งรณรงค์ให้ประชาชนรู้จักคำว่าประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
เพื่อต่อต้านระบอบเผด็จการ โดยที่ผ่านมาสื่อ ASTV
ตีแผ่ความไม่ถูกต้องในบ้านเมือง ถือเป็นสื่อที่นำแสงสว่างให้แก่ประเทศ
ดังนั้น ไม่ว่างานวิจัย บทสรุปจะเป็นอย่างไร แต่ความจริงก็คือความจริง
ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ว่าสื่อ ASTV สร้างความแตกแยกให้แก่สังคมหรือไม่
ซึ่งตนเห็นว่า หากพูดถึงความแตกแยก จะมาเหมารวมโทษว่าเป็นเพราะสื่อ ASTV
อย่างเดียวก็ไม่ถูกต้อง มันต้องหลายปัจจัยประกอบ

นายสำราญกล่าวเสริมว่า
กรณีนี้ตนไม่รู้ว่างานวิจัยดังกล่าวต้องการสื่ออะไรให้สังคมและประชาชนได้
รับรู้ แต่ที่น่าตำหนิคือการพาดหัวข่าวของสื่อมติชน
ที่ส่อไปในทางด้านเสียโจมตีสื่อ ASTV ด้านเดียว ทั้งที่ข้อดีของสื่อ ASTV
ในงานวิจัยชิ้นนี้ก็มีมากมาย
จึงทำให้คนอื่นสามารถเอาสารไปแปลงให้เกิดความเข้าใจผิด คล้อยตามว่าสื่อ
ASTV เป็นเช่นนั้นจริงๆ ถูกมองว่าเป็นผู้ร้าย

นายประพันธ์กล่าวว่า งานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นชัดว่า
ผู้ทำต้องการสื่อว่า ASTV มีบทบาท มีอิทธิพลทำให้ผู้คนคล้อยตามได้
และได้รับความนิยมเหนือเคเบิ้ลทีวีทั่วไป
อีกทั้งบางครั้งก็ได้รับความนิยมจากผู้ชมมากกว่าฟรีทีวีบางช่อง
ซึ่งตนอยากบอกว่า ตัวตนที่แท้จริงของสื่อ ASTV ที่แตกต่างจากสื่ออื่นๆ
คือ การนำเสนอความจริง ถ้าหากจะกล่าวหาว่าสร้างความแตกแยก
ก็เป็นความแตกแยกแบบสร้างสรรค์ แยกแยะให้ผู้ชมเห็นว่าการกระทำใดดี
การกระทำใดเลว

นายโสภณกล่าวเสริมว่า ตนว่าสื่อที่สร้างความแตกแยก คือ
สื่อที่นำเสนอความจริงแค่ครึ่งเดียวต่างหาก
เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด

นายสำราญกล่าวเสริมว่า ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เป็นนายกรัฐมนตรี
บรรดาสื่อทั้งหลายต้องมีการเซ็นเซอร์ตนเองในการนำเสนอข่าว
ซึ่งต่างกับสื่อ ASTV ที่แสดงจุดยืนชัดเจน
ว่าต่อต้านการคอรัปชันทุกรูปแบบ
ออกมาเปิดโปงคนชั่วให้สังคมให้ได้รับทราบข้อเท็จจริง


http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000112898

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องเล่าจาก นศ.ฝึกงาน ตอบคำถามเส้นทางชีวิต

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 กันยายน 2552 09:12 น.
เรื่องเล่านักศึกษาฉบับนี้
เป็นส่วนหนึ่งในบางบทตอนของหนังสือที่มีชื่อเรื่องว่า
"ททท.(ท่องเที่ยวทำเนียบ)" ซึ่งเจ้าของผลงานไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน
เป็นฝีไม้ลายมือการเล่าเรื่องของ "ปลา" ชื่อปวริศา ตันตราทร
นักศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาวารสารศาสตร์
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ อดีตนักศึกษาฝึกงานของหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ
ในโต๊ะข่าวการเมือง และได้ไปประจำอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล
ศูนย์กลางการปกครองของประเทศไทย นับเป็นจุดเริ่มต้นของประสบการณ์กว่า 3
เดือนที่เด็กฝึกงานคนหนึ่งได้รับ
และได้เก็บทุกความประทับใจมาร้อยเรียงเป็นตัวหนังสือผ่านมุมมองที่ได้สัมผัส
มา

"ปลา" และ "พี่ดัช"
" 3 เดือนที่ได้เป็นนักศึกษาฝึกงานอยู่ที่หนังสือพิมพ์เอเอสทีวี
ผู้จัดการ คือช่วงเวลาที่ปลามีความสุขมาก ก่อนหน้านี้ปลาเคยคิดไว้ว่า
ตลอดระยะเวลาของการฝึกงาน คงเป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์และอึดอัดใจ
แต่สิ่งที่ปลาได้ประสบมา มันทำให้ปลาอยากจะย้อนเวลากลับไป
เมื่อตอนที่ได้อาศัยอยู่ใต้ชายคาของสำนึกพิมพ์แห่งนี้อีกครา
หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ"
นี้คือจุดเริ่มต้นของปลาที่พร้อมจะมาเล่าถึงช่วงเวลาสำคัญของการฝึกงานที่ผ่านมาให้เราได้ฟังกัน

การเตรียมตัวสำหรับการฝึกงานของนักศึกษา

อับดับแรกที่นักศึกษาทุกคนต้องทำคือ พยายามตอบตัวเองให้ได้ว่า
ชอบงานทางด้านไหน โดยยึดเอาความชอบส่วนบุคคลก่อน
อย่าเพิ่งไปคิดว่าตัวเองจะทำได้ไหม เพราะการวิตกกังวลไปก่อนล่วงหน้านั้น
จะทำให้ไม่ได้พบเจอกับประสบการณ์ที่แปลกใหม่เลย

สิ่งที่มักเป็นปัญหาของนักศึกษาฝึกงานหลายคน คือ
การไม่กล้าออกไปทำงานคนเดียว อย่างน้อย ๆ ขอให้มีเพื่อนสักคนก็ยังดี
แต่สำหรับการทำงานเราไม่สามารถกำหนดอะไรได้
และไม่มีหลักข้อใดที่จะรับประกันว่า เพื่อนจะได้ที่ฝึกงานที่เดียวกับเรา
มีหลาย ๆ คน เมื่อเพื่อนรักไม่ได้ฝึกงาน ก็ตัดสินใจว่า จะไม่ทำเหมือนกัน
นี่เป็นการตัดโอกาสของตัวเอง
เพราะการฝึกงานจะให้เราได้มากกว่าตำราเรียนหลายเท่า

เมื่อคิดได้แล้วว่ามีความชื่นชอบอยากที่จะทำงานด้านหนังสือพิมพ์
หรือ นิตยสาร หรือแม้กระทั่งสายงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่เรียน เช่น
อาจจะเป็นงานทางด้านภาพยนตร์ โทรทัศน์ แต่ถ้าเราชอบก็เลือกได้ทั้งหมด

อันดับต่อมาคือ พยายามหาสถานที่ฝึกงานไว้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ
อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลย ปัญหาข้อนี้ของนักศึกษา คือ
ความกังวลเกี่ยวกับเอกสารที่ยังไม่พร้อม แต่ถ้าเรามัวแต่นั่งคอยให้พร้อม
สถานที่ฝึกงานเหล่านั้นอาจไม่มีที่ว่างสำหรับเราแล้ว

สิ่งที่ควรทำ คือ ต้องอาศัยความใจกล้า อย่าอาย ลองสอบถามว่า
สำนักพิมพ์หรือ บริษัทที่เราอยากจะไปฝึกงานนั้นเปิดรับสมัครหรือไม่
แล้วค่อยเอาเอกสารไปยื่นทีหลังก็ไม่ช้าไป หากได้พูดคุยกันแล้ว
เขารับเราเข้าฝึกงาน เอกสารอาจจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยก็ได้

ห้องประชุมรัฐสภา

เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งคือ หากสถานที่ ๆ เราต้องการจะฝึกงาน
ไม่ตอบรับเราเข้าฝึกงาน ก็ไม่ต้องกังวลไป ลองมองดูหาที่ใหม่ ๆ ดู
สิ่งนี้คือสาเหตุที่บอกไว้ว่าเราต้องเริ่มหาสถานที่ฝึกงานตั้งแต่เนิ่น ๆ
จะได้มีเวลาเผื่อเอาไว้สำหรับหาที่แห่งใหม่ และถ้าสมมุติว่าถึงที่สุดแล้ว
เราอยากที่จะฝึกงานกับนิตยสาร
แต่โชคชะตากับทำให้เราได้ฝึกงานกับหนังสือพิมพ์ เราไม่ต้องกังวล
และลองคิดกลับกันว่า
สิ่งที่จะได้พบในอนาคตอันใกล้นี้อาจจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลง
ความคิดของเราก็เป็นได้

เมื่อได้ที่ฝึกงานแล้ว
ต้องพยายามหาความรู้เกี่ยวกับสถานที่ฝึกงานที่เราต้องไปฝึกก่อน
อย่าเข้าไปแบบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่นั้นเลย
เพราะจะทำให้เราดูเป็นคนไม่ใส่ใจ เมื่อพี่ ๆ ในสถานที่ฝึกงานถามเราว่า
อยากที่จะฝึกงานโต๊ะไหน ทำอะไร แล้วเราตอบไม่ได้

อย่ามาว่าเรื่องเล็กน้อยตรงนี้เป็นประเด็นที่ไม่สำคัญ
เพราะคำถามนี้คือคำถามยอดฮิตสำหรับนักศึกษาฝึกงานทุกคนที่ต้องได้พบ

ถัดมาคือการเลือกหน้าที่ หรืองานที่เราต้องทำ ถ้าถามว่ายากหรือไม่
ตอบได้เลยว่า ยากมากค่ะ เพราะการที่เราเป็นแค่นักศึกษา
เราคงทราบรายละเอียดในการทำงานไม่มากนัก เอาเป็นว่า
ขอให้เราเลือกทำในสิ่งที่เราสนใจจะดีกว่า เช่น ถ้าเราสนใจเรื่อง ดารา
ก็ให้เราตอบไปว่า "อยากทำงานโต๊ะบันเทิงค่ะ"

เทคนิคง่าย ๆ คือ ตอบคำถามในสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ
อยากตอบไปเพื่อรักษาภาพพจน์ หรืออะไรก็ได้
เพราะเมื่อถึงเวลาสิ่งที่เราตอบไปอาจจะกลับมาสร้างปัญหาให้เราระหว่างการฝึก
งานตลอด 3 เดือน

และเมื่อเราได้ทราบแล้วว่าเราต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง
สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมเป็นอับดับสุดท้ายคือ ศึกษาเนื้อหาที่เราต้องทำ
ต้องเขียน ข้อสำคัญคือ อ่านงานจากสำนักพิมพ์ที่เราฝึกงานให้มาก ๆ
เราจะได้รู้ว่า ลักษณะงานที่ออกมามีรูปแบบเป็นเช่นไร
เพราะสำนักพิมพ์แต่ละแห่งนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป
เมื่อเราได้เรียนรู้มา จะทำให้การปรับตัวของเราง่ายมากขึ้น


การฝึกงานได้อะไรบ้าง

... ช่วงเวลากว่า 3
เดือนที่เราต้องออกไปเผชิญกับโลกที่แตกต่างไปจากการเรียนหนังสือในรั้ว
ของมหาวิทยาลัยนั้น ถือเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรสำหรับการปรับตัว
แต่สิ่งที่เราได้มาพบมาเจอนั้น
ไม่แตกต่างกับช่วงเวลาที่ต้องทำเมื่อจบการศึกษาไป

"การปรับตัว"
ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่นักศึกษาฝึกงานทุกคนจะต้องได้เจอ
ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นความอดทนที่ทุกคนจะต้องมีมากขึ้น
การทำงานจะทำตัวเป็นเด็ก ๆเหมือนช่วงเวลาอยู่ในมหาวิทยาลัยไม่ได้
มันเป็นช่วงเวลาของการที่จะต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด

โดยทั่วไปแล้ว
ชีวิตของเด็กนักศึกษาอาจจะต้องใช้ความอดทนที่ต้องตื่นแต่เช้ามานั่งเรียนใน
แต่ละวัน หรืองานในแต่ละภาคการศึกษา เชื่อว่าเมื่อเรียนมาถึงตรงนี้
ทุกคนมีความอดทนที่อยากจะมีอนาคตที่สวยงามแน่นอน
แต่สิ่งที่เราได้พบเจออยู่ ณ วันนี้
คงเทียบไม่ได้เลยกับการทำงานในอนาคตที่ต้องเจอกับแรงกดดันที่มากขึ้น

ในช่วงแรก ๆ ของการฝึกงาน
ความท้อแท้มักจะเกิดขึ้นในใจเป็นเรื่องธรรมดา ทุกอย่างจะดูลำบาก เหนื่อย
รู้สึกเบื่อ ไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่ได้เฮฮา ปาร์ตี้
เหมือนกับอยู่กับเพื่อน ๆ หรือเวลาจะพูดกับพี่เลี้ยงแต่ละครั้ง
ก็มีอาการเกร็งๆ ทำตัวไม่ค่อยถูก กลัวจะโดนดุ โดนต่อว่า สิ่งนี้คือ
การปรับตัว เพราะหากไม่มีปัญหาเข้ามาให้แก้ไข ต้องถือว่าไม่ได้ประสบการณ์
เมื่อเจอปัญหาอยากจะให้ทุกคนคิดแบบนี้
ถือว่าเรื่องที่เรากำลังเผชิญอยู่ถือในตอนนี้จะเป็นประโยชน์ในอนาคต

และสิ่งสำคัญที่สุดที่นักศึกษาฝึกงาน คือการตอบตัวเอง ว่า
การที่ได้ใช้เวลาช่วงหนึ่งของเศษเสี้ยวชีวิตไปสัมผัสกับอาชีพที่ใฝ่ฝันเอา
ไว้ในอนาคต อาจจะมีสุขบ้างทุกข์บ้าง แต่สิ่งที่เราได้ไปเผชิญมา
จะสามารถตอบคำถามได้ถึงปัญหาที่ว่า
เราจะเหมาะสมกับอาชีพที่ได้เรียนมาตลอด 4 ปี หรือไม่
เพราะลำพังการเรียนตามตำรา คงมาสามารถตอบเราได้ว่าเราชอบหรือไม่
แต่การได้มาทำงานจริง ๆ ต่างหากที่จะทำให้ความคิดของเราชัดเจนขึ้น
การฝึกงานอาจจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันจะกลายเป็นมุมมองที่แตกต่างออกไป

สำหรับการออกไปหางานทำอย่างจริงจัง
เหมือนกับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะสามารถนำเอาไปใช้เมื่อต้องเดินเตะฝุ่น
อยู่ริมถนน และอาจเป็นการช่วยลดเวลาในการเดินของเราลงได้......
http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000112377

เตรียมปล่อยพลังวัยมันส์ กับ"มหกรรมพลังเยาวชน พลังสังคม"

พลังสร้างสรรค์จากเยาวชน นับเป็นพลังบริสุทธิ์ที่มีศักยภาพอันยิ่งใหญ่
ไม่ควรมองข้าม การเปิดโอกาส
หรือสร้างพื้นที่ให้บรรดาเยาวชนร่วมแสดงพลังดังกล่าว
จึงไม่ต่างจากการร่วมพัฒนาสังคม พัฒนาประเทศ จากคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง

เดือนตุลาคม ที่จะมาถึงนี้ เยาวชนที่มีความคิดสร้างสรรค์
มีพลังแห่งการพัฒนา จะมีโอกาสได้แสดงออกกันอีกครั้ง
ในกิจกรรมสุดยิ่งใหญ่อย่าง "มหกรรมพลังเยาวชน พลังสังคม"
โดยความริเริ่มของมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
ร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญ 11 องค์กร ได้แก่
มูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์
สยามดิฟคัฟเวอรี่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้(TK Park)
ตลอดจนถึงองค์กรภาคีเครือข่ายพัฒนาเยาวชน 88 องค์กร

มหกรรม "พลังเยาวชน พลังสังคม" จัดขึ้นเป็นครั้งแรก
โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 11 ตุลาคม 2552
มีกิจกรรมที่น่าสนใจแบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่ โซนนิทรรศการ
ซึ่งนำเสนอเรื่องราวความสำเร็จของเยาวชนตัวอย่าง
ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถ และพลังของเยาวชนในด้านต่างๆ อาทิ
ด้านวิชาการ ศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี กีฬา สิ่งแวดล้อม
การมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น รวมถึงเยาวชนพิเศษ (ผู้ด้อยโอกาส/พิการ)
กิจกรรมส่วนแรกนี้ยังครอบคลุม "ตลาดนัดจิตอาสา"
เพื่อให้ผู้สนใจได้มาร่วมทำกิจกรรมจิตอาสารูปแบบง่ายๆที่ไม่ต้องใช้เวลามาก
นอกจากนี้ผู้ร่วมงานยังเพลินไปกับช้อปปิ้งโปรแกรมอาสาสมัครของหน่วยงานต่างๆ
ที่รวบรวมมากกว่า 50 กิจกรรม

กิจกรรมส่วนที่ 2 คือ การเสวนา
เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์งานด้านการพัฒนาศักยภาพเยาวชน เช่น
ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเรื่องเยาวชนกับป่า 2009 , เล่นเกมอย่างเทพ
ทางออกของเด็กติดเกม , มอง พ.ร.บ.เด็ก แบบเด็กๆ ,
เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีแววอัจฉริยะ เป็นต้น

กิจกรรมส่วนที่ 3
เป็นการแสดงความหลากหลายรูปแบบความบันเทิงของเยาวชน เช่น
การแสดงดนตรีคลาสสิคของวงดนตรีคลื่นลูกใหม่ 60 คน ,
การแสดงดนตรีของกลุ่มนักดนตรีโคตรอินดี้ และวรรณสิงห์ โชว์ ,
การแสดงหมอลำ , ลิเกฮูลู , การฟ้อนเจิง และกลองสะบัดชัย ฯลฯ

กิจกรรมส่วนที่ 4 คือ กิจกรรมเวิร์ค ช็อป
ซึ่งจัดสรรมาเพื่อให้เยาวชนสมัครเข้าร่วมพัฒนาทักษะด้านต่างๆตามความชอบ
เช่น เทคนิคการวาดการ์ตูน สร้างเกมเมกเกอร์ 7 และ 3D , อ่าน เขียน
เรียนรู้ชีวิต การทำหนังสั้น การเขียนบทละคร และดนตรีคลาสสิค ซึ่งเยาวชน
หรือผู้สนใจ สามารถเข้าไปดูรายละเอียด
และลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมกิจกรรมล่วงหน้าได้ที่ www.okkid.net หรือ
www.scbfoundation.com

** น้องๆที่รู้ตัวว่ามีความคิดสร้างสรรค์
พร้อมจะร่วมเป็นพลังแห่งการให้ที่ยิ่งใหญ่ร่วมกับเยาวชนจากทั่วประเทศ
มาร่วมกิจกรรมได้ในมหกรรมพลังเยาวชน พลังสังคม ครั้งที่ 1
"ร่วมสร้างประเทศไทย...ด้วยการให้" ระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2552 ณ
สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามเซ็นเตอร์ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้(TK Park) และลาน Skywalk

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

4 มหา'ลัยแดนอีสาน ผนึกกำลัง ก.วิทย์ฯ ยกระดับทฤษฏีการศึกษา-เพิ่มคุณภาพSMEs

ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
ตัวแทนมหาวิทยาลัยในภูมิภาคอีสาน กล่าวว่า ในส่วนของ 4
มหาวิทยาลัยเครือข่าย iTAP ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ซึ่งได้ผนึกกำลังร่วมใจจัดงาน "iTAP อีสาน Big Impact" เพื่อช่วย SMEs
ภาคอีสานให้สามารถปรับตัวสู้วิกฤติเศรษฐกิจให้ได้นั้นประกอบไปด้วย
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
และมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
โดยทั้งหมดมีความเห็นพ้องในแนวทางของการเป็นสถาบันการศึกษาในพื้นที่ซึ่ง
พร้อมที่จะถ่ายทอดและประยุกต์ใช้องค์ความรู้ด้านต่างๆ
เพื่อสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่มีความเข้มแข็ง
ซึ่งเท่ากับเป็นการถ่ายทอดความรู้และการร่วมกันแสวงหาแนวทางการยกระดับภาค
การศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับบทบาทการผลิตบุคลากรเพื่อสนับสนุน
พัฒนาและยกระดับชุมชนผ่านองค์ความรู้ด้านต่างๆ นั่นเอง

"การ ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งจากส่วนกลางและในพื้นที่
ซึ่งสำหรับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีนั้นเห็นพ้องกับแนวทางที่กระทรวง
วิทยาศาสตร์ได้ดำเนินการ
พร้อมทั้งยินดีอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัยเครือข่าย iTAP
ในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งย่อมสามารถประเมินสถานการณ์
สภาพปัญหาของผู้ประกอบการในพื้นที่ได้อย่างตรงจุด

ยัง เป็นการเปิดโอกาสให้สถาบันการศึกษาในพื้นที่ได้ใช้องค์ความรู้ที่มีการศึกษา
อย่างเป็นระบบ ถ่ายทอดลงสู่ผู้ปฏิบัติจริง ซึ่งก็คือภาคธุรกิจ
การเอื้อประโยชน์แก่กันและกันนี้ เท่ากับว่าภาคการศึกษาได้วัดผลทฤษฎี
ภาคธุรกิจได้รับแรงส่งที่ผ่านกระบวนการคิดและทดลองจนเห็นผลแล้ว
ซึ่งจะทำให้โครงสร้างภาคอุตสาหกรรมของเราแข็งแกร่งขึ้น
ทั้งสถาบันการศึกษาและผู้ประกอบการจะก้าวไปพร้อมๆ
กันเพื่อแผ่ขยายและต่อยอดองค์ความรู้สืบไปไม่รู้จบ
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าระบบการศึกษาจะได้ขับเคลื่อนภาคสังคมอย่างแท้จริง"


ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพณิช
ด้าน ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพณิช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ย้ำหลังเปิดตัวโครงการดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2552
พบว่าได้รับแรงตอบรับล้นหลาม และเชื่อว่าการเดินเข้าหากลุ่ม SMEs
ในแต่ละภูมิภาค เพื่อนำเสนอองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคนิคทางวิศวกรรมที่ง่ายต่อการนำ
ไปใช้ให้แก่ผู้ผลิตโดยตรง จะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่
ภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม
อันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่ได้ผลอย่างชัดเจน
เป็นรูปธรรมในวงกว้าง สามารถสนองตอบความต้องการของ SMEs ได้โดยตรง

"3 ภาคการผลิตหลักที่สำคัญระดับมหภาคของประเทศ
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับคนไทยจำนวนมาก นั่นก็คือ การผลิตข้าว
การเลี้ยงไก่ และการอบยางพารา ซึ่ง iTAP มีผู้เชี่ยวชาญกว่า 350 คน
ที่สามารถดึงเอาความเชี่ยวชาญเหล่านั้นมาช่วยยกระดับเทคโนโลยีของ SMEs
ทั่วประเทศ สามารถจะนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันทีกับโรงสีข้าวกว่า 43,000 แห่ง
ฟาร์มไก่ 64,000 แห่ง และเตาอบยางแผ่นรมควันอีก 660 แห่งทั่วประเทศ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่ง
ซึ่งมีโรงสีข้าวประเภทอุตสาหกรรม 28,923 บริษัท
เฉพาะที่จังหวัดนครราชสีมามี 4,626 บริษัท นับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลย

ดังนั้นการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพโรงสีข้าวเพื่อให้
"ก้าวสู่อุตสาหกรรมโรงสีข้าวยุคใหม่ ด้วยกลไกของเทคโนโลยี"
จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ได้เล็งเห็นว่าจะสามารถ
เสริมศักยภาพให้แก่ SMEs ในพื้นที่
ส่วนนี้ถ้าสำเร็จเท่ากับว่าผู้ประกอบการจะมีกำไรจากส่วนที่เคยสูญเสียไปใน
กระบวนการผลิตแบบเดิม จนสามารถคุมต้นทุน ตุนกำไรเพิ่ม
เสริมศักยภาพการแข่งขันได้อีก
นอกจากนั้นยังเท่ากับว่าเราได้ร่วมกันเสริมความแข็งแกร่ง
และติดอาวุธทางปัญญาให้แก่ภาคธุรกิจโครงสร้างโดยตรง
ซึ่งนอกจากประโยชน์ทางการค้าแล้ว
ยังสามารถลดการใช้พลังงานซึ่งเป็นต้นทุนที่ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบด้วย
และได้ผลักดันให้โครงการ iTAP
เข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดที่ 2
ที่เชื่อมโยงกับนโยบายเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของภาครัฐที่ได้เริ่มดำเนินการ
แล้ว" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกล่าว

ศ.ดร.ชัชนาถ เทพธรานนท์

ศ.ดร.ชัชนาถ เทพธรานนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช.
และผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวว่า ในปี 2552 นี้
จะมุ่งเน้นการยกระดับเทคโนโลยีในภาคการผลิตหลักที่สำคัญของประเทศ
ซึ่งจะช่วยสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้างแก่ประเทศได้อย่างมาก
ส่งตรงถึงมือผู้ประกอบการ SMEs และเกษตรกรต่างๆ อันได้แก่
การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการสีข้าว การอบยางพารา
และสภาวะแวดล้อมในโรงเรือนเลี้ยงไก่ ฯลฯ
ด้วยการเพิ่มคุณภาพผลผลิตหลายเท่าตัว ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มมูลค่าสินค้า
พร้อมลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสิ่งที่ iTAP หรือ
โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย
หนึ่งในโครงการภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี
ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
กำลังเร่งดำเนินการภายในปี 2552 นี้ก็คือ
ตั้งเป้าช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีแก่ SMEs ได้กว่า 300 ราย
ให้มีผลสำเร็จจากการดำเนินงานที่ชัดเจน ซึ่ง iTAP ได้ช่วยเหลือ SMEs
ไปแล้วกว่า 2,000 ราย

"iTAP เน้นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดด้วยบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม
นั้นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทำให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์ที่ชัดเจนจากการลดต้นทุน
เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยนำเสนอแนวทางการปรับปรุง
พัฒนาเทคนิคการผลิตที่ดียิ่งขึ้น ทำให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว
และต่อยอดความรู้ออกไปไม่สิ้นสุด
ตลอดจนกระตุ้นส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมได้ปรับตัวพร้อมรับกับสภาพการแข่งขัน
ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งภาคการผลิตข้าวของไทยก็เช่นกันจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องได้รับ
Know-how ใหม่ๆ อยู่เสมอ
เพื่อที่จะรักษาตลาดและคุณภาพสินค้าของเราไว้ให้ได้
ซึ่งเชื่อว่าด้วยเครือข่าย iTAP ที่มีอยู่ทั่วประเทศจำนวนทั้ง 10 แห่ง
และมีความพร้อมทั้งเทคโนโลยีและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่จะให้ความช่วยเหลือ
ผู้ประกอบการในพื้นที่ด้วยความเต็มใจ ดังนั้นโอกาสที่เปิดกว้างอย่างนี้
จึงอยากให้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อให้เข้าถึงผู้ประกอบการอย่างทั่ว
ถึงและรวดเร็ว เพื่อประโยชน์แก่ภาคอุตสาหกรรมของเราโดยตรง" ศ.ดร.ชัชนาถ
เทพธรานนท์ กล่าว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

"ในหลวง" โปรดฯ ให้ถอดคำเทศน์ใน "สังฆราช" เป็นซีดีและ MP3 ให้เข้าถึงวัยรุ่น

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 กันยายน 2552 17:00 น.
สมเด็จพระญาณสังวรณ์ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

"ในหลวง" โปรดฯให้ถอดคำเทศนาสังฆราชเป็นซีดีและ MP3
ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ และเตรียมใช้งานในอนาคตอย่างละ 5,000 ชุด
แจกสถานศึกษาฉลองพระชันษา 96 ปี สมเด็จพระสังฆราช

ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ
ในฐานะกรรมการฝ่ายพิธีและกิจกรรมถวายเป็นพระกุศล งานฉลองพระชันษา 96 ปี
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก กล่าวว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระบรมราชูปถัมภ์ การจัดงานฉลองพระชันษา
สมเด็จพระสังฆราช อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
ซึ่งในปีนี้พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ดำเนินการจัดทำหนังสือคำเทศนาของสมเด็จพระสังฆราช
และยังทรงโปรดเกล้าฯให้ดำเนินการจัดทำคำเทศนาของสมเด็จพระสังฆราช
ลงแผ่นซีดีเป็น MP3 ด้วย
เพื่อให้คำเทศนาเข้าถึงคนรุ่นใหม่และทันต่อการใช้งานในอนาคต

ท่านผู้หญิงบุตรี กล่าวต่อไปว่า คำเทศนาของสมเด็จพระสังฆราช
ส่วนใหญ่จะเทศนาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งพระองค์ทรงบันทึกไว้และมีพระราชวินิจฉัยว่า ควรจะนำมาจัดทำในรูปแบบ
MP3 ให้ประชาชน เด็ก นักเรียน นักศึกษา ได้ฟังคำเทศนาเหล่านั้น
จะเป็นประโยชน์ในการนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
โดยจะมีการจัดพิมพ์หนังสือคำเทศนา และแผ่น MP3 อย่างละ 5,000 ชุด
เพื่อนำไปมอบให้แก่ห้องสมุดสถานศึกษาต่างๆ ได้ใช้ศึกษา นอกจากนี้
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
มีพระราชดำริจัดทำหนังสือพระพุทธเจ้า 45 ปี
ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระสังฆราช
เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระสังฆราชด้วย

"ใน วันที่ 3 ตุลาคม นี้ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติ
และประทับอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์
อัญเชิญดอกไม้พระราชทานของพระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ถวายยังโรงพยาบาล ส่วนพิธีการต่างๆของวัด เช่น
การถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัว อยู่แล้ว" รองราชเลขาธิการ กล่าว


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000112148

ศิษย์หลวงตาบัว เดินหน้าร้อง สคบ.-เลขาฯ กทช.แก้ พ.ร.บ.จัดสรรความถี่

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ศิษย์หลวงตา พร้อมด้วยสภาองค์กรวิทยุท้องถิ่นแห่งประเทศไทยกว่า 3,000
สถานี เดินหน้าเข้ายื่นหนังสือต่อ สคบ.แก้ พ.ร.บ.จัดสรรความถี่ ปี 51
ให้อนุกรรมการ สคบ.มีอำนาจจัดสรรคลื่นความถี่ทั้ง 3 ประเภท
พร้อมร้องขอใบอนุญาตชั่วคราวเพื่อความถูกต้องในการเผยแพร่

วันนี้ (24 ก.ย.) ที่บ้านพระอาทิตย์ พระครูอรรถกิจนันทคุณ
กรรมการมูลนิธิเสียงธรรม พร้อมด้วยพระสงฆ์เครือข่ายมูลนิธิเสียงธรรม
เปิดเผยว่า จากกรณีการยื่นหนังสือสนับสนุนร่างแก้ไขเพิ่มเติม
พ.ร.บ.ว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจาย
เสียงและวิทยุโทรทัศน์
ในขณะนี้ทางมูลนิธิได้มีแนวร่วมจากสภาองค์กรวิทยุท้องถิ่นแห่งประเทศไทยกว่า
3,000 สถานี และเข้าร่วมเพื่อพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.ฉบับนี้
เนื่องจากได้ศึกษา พ.ร.บ.จัดสรรความถี่เเล้ว
เห็นพ้องต้องกันว่ามีผลกระทบต่อการประกอบกิจการวิทยุชุมชนในพื้นที่

โดย มูลนิธิเสียงธรรม และตัวแทนสภาองค์กรวิทยุท้องถิ่นกว่า 3,000
สถานี ได้เข้ายื่นหนังสือต่อทางคณะกรรมการคุมครองผู้บริโภค และ
นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการคณะกรรมการ กทช.ให้แก้ไข พ.ร.บ.ปี 51
บทเฉพาะการมาตราที่ 78 ให้อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
ที่แต่เดิมมีอำนาจจัดการเฉพาะชุมชนเพียงอย่างเดียว
ให้มีอำนาจจัดการได้ทั้ง 3 ประเภท ซึ่งหลังจากเข้าหารือ
ทางคณะกรรมการที่เข้าร่วมมีมติเห็นพ้องต้องกัน
และจะนำไปผลักดันเพื่อแก้ไข
พ.ร.บ.ว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจาย
เสียงและวิทยุโทรทัศน์ ต่อไปให้เสร็จภายใน 3 วาระ

ทั้งนี้ ทางมูลนิธิเสียงธรรมต้องการให้เพิ่มคำนิยาม "ภาคประชาชน"
ให้มีความหมายชัดเจน ไม่คลุมเครือ
เพื่อให้ภาคประชาชนสามารถประกอบกิจการได้ในระดับชาติ ภูมิภาค และท้องถิ่น
โดยมีพื้นที่การให้บริการทัดเทียวกับภาคธุรกิจ อีกทั้งยังต้องการให้ทาง
คณะกรรมการ กทช. สนับสนุนคำว่า "ชุมชน" ตามความหมายของประกาศ
กทช.เนื่องจากมีความหมายที่ครบถ้วนทั้งในเชิงพื้นที่และเชิงประเด็น
นอกจากนี้ ยังต้องการได้รับ "ใบอนุญาตบริการชุมชนชั่วคราว" และเสนอให้
กทช.กำหนดมาตรฐานทางเทคนิคประเภท "สถานีวิทยุชุมชนลักษณะเฉพาะ"

"การยื่นเพื่อขอแก้ไข พ.ร.บ.นั้น
เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้ภาคประชาชน ว่า สามารถจัดการคลื่นวิทยุเองได้
นอกจากนี้ วิทยุชุมชนมีประสิทธิภาพและมีคนรับฟังกันมากขึ้น
แต่ปัญหาอยู่ที่รัฐบาลเกรงว่าบางทีสื่อวิทยุชุมชนบางทีมีคนฟังมากเกินไป
กลัวว่าจะก่อให้เกิดความไม่มั่นคงและเกินความควบคุมของรัฐบาล
ซึ่งต้องแยกให้ออกว่าประเด็นของการจัดอยู่ตรงจุดไหนเพราะบางทีเนื้อหาสาระ
ของวิทยุชุมชนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้ฟัง" พระครูอรรถกิจนันทคุณ
กล่าว