++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความลับคับอก (๒-ตอนจบ) - เรื่องหรรษาในแวดวงที.วี



ถาวร ช่วยประสิทธิ์



            ....อีกวิธีหนึ่งที่เขาว่าได้ผลดีเหมือนกัน คือ ยอมเสียค่าโทรศัพท์ไปถามสุ่มไปตามบ้านในตำบลต่างๆ เป็นหย่อมๆทั่วกรุงเทพฯ ถามคนที่รับโทรศัพท์ว่ากำลังดูรายการอะไรของช่องไหนอยู่ หรือไม่ก็ถามรายการที่ดูเมื่อคืนก่อนหรือที่แล้วๆมาว่า ชอบดูรายการอะไรบ้าง ยกตัวอย่าง เช่น
            "ที่นี่บริษัทวิจัยธุรกิจนะครับ ขอเรียนถามว่า ขณะนี้ท่านกำลังดูรายการทีวีของช่องไหนอยู่ครับ"

            "ถามตะหวักตะบวยอะไรกันคนกำลังนอน อ้อ อยากรู้ว่าบ้านนี้มีคนอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่มีจะได้เข้าขโมยของใช่ไหมล่ะ"
            หรือไม่ก็

            "จะดูรายการอะไรมันหนักกบาลหัวใครล่ะ ไอ้....."

            เขาว่ามีอักวิธีหนึ่งที่ลงทุนน้อยแต่ผลที่ได้รับเชื่อถือได้ วิธีนี้ก็คือ ส่งจดหมายไปยังเจ้าของเครื่องรับทีวีเพื่อให้กรอกแบบสอบถามว่า ชอบดูรายการอะไรของช่องไหนบ้าง และเพื่อไม่ให้เจ้าของเครื่องรับต้องลงทุนซื้อซองและแสตมป์ ก็สอดซองที่จ่าหน้าถึงบริษัทที่ทำการวิจัยอย่างเรียบร้อย พร้อมทั้งชำระค่าแสตมป์ไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่กรอกข้อความแล้วใส่ซองเอาไปหย่อนที่ตู้ไปรษณีย์ก็เสร็จกิจ

             แต่เรื่องมันไม่ง่ายยังงั้นน่ะซีครับ คนไทยเราเป็นโรคขี้เกียจตอบจดหมาย ยิ่งต้องมานั่งนึกว่าจะกรอกข้อความยังไงแล้ว จะต้องเอาไปหย่อนใส่ตู้ไปรษณีย์ ถ้าเป็นตู้ไปรษณีย์ที่อยู่ริมถนนที่เขาห้ามจอดรถด้วยแล้ว ดีไม่ดีจะโดนใบสั่งเอาเสียด้วยถ้าขืนจอดรถแล้ว มัวแต่นึกว่าจะหย่อนซองลงตรงช่อง กทม. หรือที่อื่นๆ อย่ากระนั้นเลย ขยำมันทิ้งลงตะกร้าไปเลย หรือถ้าจะมีซองตอบรับส่งคืนไปให้ก็อาจมีข้อความเขียนไว้ว่า
            "ทีหลังไม่ต้องมาให้อีกหรอกนะ ตะกร้าที่นี่มันเต็ม คนขนขยะเขาก็ไม่ค่อยมาเก็บเลย"

            ถ้ามันมีข้อขัดข้องหมองใจกันยังงี้ ก็ต้องหาวิธีแก้ด้วยการให้อามิสสินจ้าง ถ้าใครกรอกข้อความส่งคืนไปให้ผู้สำรวจ เขาก็จะจับฉลากว่าใครจะได้รับรางวัลอะไรบ้าง เช่น ตู้เย็น เครื่องรับทีวีสี พัดลม เป็นต้น ถ้าลงมีรางวี่รางวัลอย่างนี้ก็ค่อยพอมีแรง กรอกแบบสอบถามกันหน่อย ยิ่งมีรางวัลรถยนต์สักคันก็จะยิ่งได้ผลมากขึ้น นึกอะไรไม่ออกก็กรอกส่งเดชไปตามเรื่องตามราว ปะเหมาะเคราะห์ดีอาจจะได้รางวัลกะเขามั่ง

            เมื่อใช้วิธีอื่นไม่ได้ผล นักปราชญ์ราชบัณฑิตทางด้านเทคโนโลยีการวัดผลท่านจึงคิดเครื่องไม้เครื่องมือชนิดพิสดาร เอาไปติดไว้ที่เครื่องรับทีวีตามบ้าน เครื่องมือชนิดนี้มันจะบันทึกโดยอัตโนมัติว่าเครื่องนี้เปิดเมื่อไหร่ รับช่องไหนแล้วเปลี่ยนไปรับช่องไหนต่อไป แต่มันคงไม่ได้บันทึกว่าตอนโรงเรียนจะเปิดเทอม เครื่องรับเครื่องนี้มันย้ายสำมะโนครัวเข้าไปอยู่ในโรงจำนำนานเท่าไหร หลงจู๊เขาตีราคาให้เท่าไร

            การที่จะเอาเครื่องสืบราชการลับแบบนี้ไปติดในเครื่องของบ้านไหนก็ไม่ใช่ว่าจะเอาไปติดดื้อๆ แต่ต้องเสียค่าป่วยการให้เขาพอสมควร ทางที่ดีแอบเอาไปติดตอนกลางวัน ตอนที่เจ้าของบ้านไปทำงานหมดแล้ว ติดสินบนให้คนใช้ในบ้านนิดหน่อย ก็สำเร็จ และตอนที่จะเข้าไปถอดเอารหัสเอาผลออกมาก็ไปตอนกลางวันนี่แหละ
   
             ถ้าไปโดนครื่องรับที่ปรับเปลี่ยนช่องด้วยรีโมทคอนโทรล ซึ่งใช้วิธีกดปุ่มเปลี่ยนช่องที่ตัวรีโมท ไม่ต้องลุกขึ้นไปหมุนที่เครื่องรับ เครื่องแบบนี้เจ้าของเขาจะกดปุ่มเปลี่ยนช่องอย่างถี่ยิบ กำลังดูอยู่เพลินๆ พอถึงโฆษณาสินค้าก็กดไปช่องอื่น พอถึงช่องอื่นกำลังโฆษณาสินค้าอยู่อีก ต้องกดต่อไปอีกช่องหนึ่ง บางทีโฆษณาพร้อมกันทั้งสี่ช่อง คนกดรีโมทต้องระบายอารมณ์ด้วยการด่าออกมาดังๆ ด่าตามลมตามแล้งมันไปยังงั้นแหละ ถ้าไม่มีโฆษณาสินค้าแล้วเขาจะเอาเงินจากที่ไหนมาจัดรายการได้ล่ะ

            เครื่องสืบความลับที่เามาติดที่เครื่องรับแบบนี้เข้า ขนาดที่มันเป็นแค่เครื่องมือที่ไม่มีหัวใจ มันก็แสดงอาการเหมือนหัวใจจะวายเสียให้ได้ เพราะมันต้องทำงานจนสับสนทนไม่ไหว ปเหมาะเคราะห์ร้าย อาจต้องส่งไปเปลี่ยนเส้นเลือดเข้าหัวใจที่อเมริกาโน่นทีเดียว

            แต่ถึงมันจะทำงานได้ดี แต่มันก็ไม่สามารถบันทึกได้ว่า ขณะที่เปิดดูช่องไหนนั้นมีคนดูกี่ค เด็กกี่คน  ผู้ใหญ่กี่คน ผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน นักปราชญ์ท่านจึงคิดเครื่องมืออีกเครื่องหนึ่งให้มีที่กดปุ่มด้วยมือปุ่มละคน  หมายความว่า  ปุ่มของใครของมัน เช่น ปุ่มนี้ของพ่อ ปุ่มนั้นของแม่ ปุ่มโน้นของลูก ใครดูช่องไหนก็กดปุ่มของตัวเอง แสดงว่ากำลังดูอยู่ ถ้าลุกเข้าห้องน้ำหรือเผลอหลับไปไม่ได้กดปุ่ม ก็แสดงว่าไม่ได้ดูตอนนั้น  อย่างนี้ก็จะได้ข้อมูลที่ถูกต้องแน่นอน แต่ถามว่าใครในโลกนี้บ้างที่ขยันและซื่อสัตย์อย่างนั้น ถึงแม้จะมีอามิสสินจ้างให้ทำก็เถอะ ถ้าบังเอิญมีคนเช่นนี้อุบัติขึ้นมาในโลกสักคน ก็ควรที่จะเรี่ยรายกันสร้างรูปปั้นรูปเหมือนเอาไว้บูชาให้เกิดสิริมงคลกันทั่วไป

            พิจารณากันตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไร จึงจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องว่า เวลาใดใครดูทีวีรายการใดบ้าง เพื่อสปอนเซอร์เขาจะได้จ้างโฆษณาสินค้าของเขาในรายการที่มีคนดูมากๆ และคนทำรายการเขาจะได้รู้ว่ามีคนดูรายการของเขามากน้อยเท่าไร เพื่อที่จะได้เอาไปปรับปรุงรายการของเขา เพื่อแข่งขันกับคนอื่น มันจนใจที่คลื่นโทรทัศน์ที่ส่งออกอากาศไปแล้ว ไปเข้าเครื่องรับของชาวบ้านนั้น ไม่สามารถติดมิเตอร์เหมือนไฟฟ้าหรือน้ำประปาว่า เปิดูรายการช่องใดนานเท่าไรได้ มันจึงกลายเป็นความลับคับอกจนกระทั่งทุกวันนี้

            ถ้าจะให้ผมเป็นคนไขความลับ ผมขอแนะนำว่า ให้ไปนิมนต์อาจารย์ท่านที่สามารถบอกเลขท้ายงวดต่อไปได้อย่างแม่นยำ ขอให้ท่านช่วยนั่งเทียนเขียนข้อมูลให้ รับรองว่าคราวนี้ได้ผลแน่ เชื่อผมเถอะ



ที่มา  ต่วยตูน เดือนมีนาคม ๒๕๓๑ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๗  

กินหมากกินพลู (๓-ตอนจบ) - ชีวิตเด็กบ้านสวนบางลำเจียก

แก้ว แกมทอง

            เต้าปูนของคนแก่ทุกเต้านี่นะ ตรงปากเต้ามักจะมีปูนจับหนา แข็งเป๊ก กินเนื้อที่ออกมาจนแทบจะปิดปากเต้าทีเดียว เหลือรูกลมๆไว้หน่อยพอให้ไม้ควักปูนใส่ลงไปได้ ซึ่งไม้ควักปูนเอง ก็มีปูนจับแข็งตรงถัดมือจับลงไปเหมือนกัน เป็นก้อนกลมพอดีกับรูของเต้าปูน พอเขาป้ายปูนเสร็จวางไม้ควักลงไป จะเหมือนกับปิดฝาเต้าปูนยังไงยังงั้น

            เรื่องเต้าปูนกับไม้ควัก ถูกจับด้วยปูนแข็งเป็กเป็นดินพอกหางหมูนี้ เคยมีนักเลงผู้หวังดีคนหนึ่งในบ้าน  ได้จัดแจงเอาไปทุบทิ้ง คือ ค่อยๆ เอาสิ่วตอกปูนที่จับปากเต้าออกเสียเกลี้ยงเกลา ที่ไม้ควักก็เอามาทุบทิ้ง เหลือแต่เต้าแต่ไม้สะอาดสวยเลย แล้วตั้งหน้าคอยรับคำชมว่า ขยันทำงาน แต่ที่ไหนได้ เหตุการณ์กลับเป็นตรงข้าม กลับโดนเจ้าของเต้าปูนด่าเสียไม่มี เพราะเขาไม่ได้ต้องการให้เต้าปูนเปิดปากกว้างยังงั้น เดี๋ยวปูนในเต้ามันจะแห้งเร็ว

            เรื่องกินหมากกินปูนกินพลูของคนไทยโบราณนี้ ไม่รู้เริ่มกันมาแต่เมื่อไหร่นะ ขี้เกียจค้น ใครขยันค้นกรุณาเล่ามาให้ทราบกันบ้างก็จะดี ทราบแต่ตอนเขาเลิกกิน ก็เมื่อสมัย "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัน" น่ะแหละ ต่อมาซอยสวนพลูจึงถูกถล่ม ..ทันโทษ ไม่ใช่ถล่ม คือ เมื่อเขาเลิกกินหมากกินพลูกัน สวนพลูต่างๆก็พากันสลายตัวไปเอง คือ ถูกผลักดันให้ค่อยๆหมดไป เพราะเดี๋ยวนี้คนกินหมากกินพลูก็เหลือไม่เท่าไหร่แล้ว

            เล่ากันมาเสียหนักหนานี่ เรื่องคนกินหมากกินพลู ถ้าจะถามกันว่า แล้วผู้เขียนซึ่งเป็นคนโบราณเหมือนกัน เคยกินหมากกินพลูกะเขามั่งไหม ก็ขอตอบว่า เคย เคยกินหนเดียวแหละ ตั้งแต่เกิดมา แล้วเป็นหมากเสกเสียด้วย

            ที่วัดพลับเมื่อก่อนโน้น  มีท่านพระครูอยู่องค์หนึ่ง เขาเรียกกันว่า พระครูแป๊ะ กุฎิท่านอยู่ตรงหน้าวัดพอดี ท่านเป็นพระแก่มากแล้วในตอนนั้น รูปร่างท่านอ้วนขาว ฟันไม่มี เดินก็ไม่ค่อยไหว ท่านจึงไม่ค่อยออกบิณฑบาตร มีญาติโยมมาคอยถวายอาหารทุกวัน ว่ากันว่า ท่านเป็นอาจารย์วิปัสนา คือ เก่งทางใน ดูรู้เห็นอะไรหมด ถ้าใครถาม แต่ท่านก็ไม่ชอบรับแขก ชอบปิดกุฎินั่งเงียบอยู่องค์เดียว เขาว่าท่านสวดมนต์ไป ภาวนาไป ท่านก็อมหมากเคี้ยวไปทั้งวันทั้งคืน แต่อีภาพนี้ผู้เขียนเคยเห็นคือ เคยขึ้นไปบนกุฎินั้นบ่อยๆ แอบเขย่งมองเข้าไปในประตู แง้มๆจะเห็นท่านนั่งอยู่ในแสงสลัวๆ หน้าโต๊ะหมู่บูชา หลับตา ปากก็เคี้ยวหมากอยู่งุบๆ คนเขาลือกันว่า หมากในปากท่านน่ะขลัง เพราะท่านอมไปก็ภาวนาไป ใครๆถึงชอบไปเคี่ยวเข็นขอท่านมากิน แต่ท่านก้ไม่ค่อยให้ พอใครขอท่านก็หัวเราะหึๆ แล้วคายหมากทิ้งกระโถน เขาว่าไม่รักไม่ชอบใครจริงๆแล้ว ท่านก้ไม่ให้

            มีอยู่วันหนึ่ง ผู้เขียนกับเพื่อนอีกคนหนึ่งวิ่งเล่นกันอยู่หน้าวัด พอหิวน้ำเข้าก็วิ่งขึ้นกุฎิหลวงปู่แป๊ะ เพราะกุฎินี้อย่าว่าแต่น้ำ ข้าวก็เคยกินแล้ว เข้าถึงก้นครัวเลย คราวนี้พอวิ่งขึ้นไปก็ตกใจ เพราะเจอะท่านนั่งแง้มประตูกุฎิอยู่พอดี พอเราชะงักกึกอยู่ตรงชาน ท่านก็กวักมือเรียกว่า มานี่...

            ผู้เขียนกับเพื่อนมองตากัน ความกลัววิ่งขึ้นไปอยู่บนหัวขมองแล้ว เพราะคิดว่าต้องโดนดุแน่ๆ ที่วิ่งกันเสียงดัง พากันค่อยๆคลานขึ้นไประเบียงหน้ากุฎิท่าน แต่แทนจะดุท่านกลับถามว่า เอ็งลูกใครกันวะ...

            เพื่อนผู้เขียนตอบก่อน เพราะมันคงคิดได้ก่อน ส่วนผู้เขียนคิดอยู่ตั้งนาน ไม่รู้พ่อเป็นใคร รู้จักแต่แม่  แต่อาศัยเวลาไปไหนๆ ผู้ใหญ่เขาชอบชี้ที่ผู้เขียนแล้วบอกกันว่า นี่ไง ไอ้ลูกกบฎ พ่อมันอยู่บางขวางโน่น ผู้เขียนเลยจำไว้ บอกหลวงปู่แป๊ะไปยังงั้น ท่านก็เงียบฟังอยู่

            ท่านเงียบจริงๆนะ ฟังเราพูดจบไปตั้งนานแล้ว ท่านก็ยังหลับตาเคี้ยวหมากงุบๆตั้งพักใหญ่ แล้วลืมตาขึ้นมา คายหมากใส่มือ บิออกเป็นสองส่วน ใส่ใบพลู ยื่นวางลงมาตรงที่วางเท้าขึ้นลงหน้าประตูกุฎิ บอกเราว่า เอ้า แบ่งคนละคำ

            เราทำตามด้วยความกลัวตามประสาเด็ก หยิบหมากใส่ปากอย่างว่าง่าย ยังจำได้เลย รสชาติเย็นๆ แหยะๆ แต่หอมกลิ่นอะไรไม่รู้แปลกๆ  ไม่ได้เหม็นขี้ฟันเลย
       
            หลวงปู่เห็นว่าเรากินหมากแล้ว ก็หลับตาสวดมนต์อยู่เบาๆ เดี๋ยวหนึ่งถึงค่อยๆงับบานประตูเข้าไป

            เมื่อเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง ผู้ใหญ่เขาว่า เราสองคนนี่จะได้ดี มีวาสนาต่อไปภายหน้า เพราะได้กินชานหมากเสกของหลวงปู่แป๊ะ เพราะชานหมากนั่นขลัง

            ตกมาถึงป่านนี้ ผู้เขียนยังไม่รู้หรอกว่า ไอ้เพื่อนอีกคนนั่นน่ะ ไปได้ดีมีวาสนาอยู่ที่ไหนมั่งแล้ว เพราะไม่ได้ข่าวคราวเลย ส่วนตัวผู้เขียนเองจะพูดไปก็งั้นๆ มีชั่วบ้าง ดีบ้าง บางอย่างก็เหมือนเดิม ไม่ได้โลดโผนโจนทะยานอะไร

            แต่ก็นะ จากที่ฟังๆ คนอื่นเขาถพูดถึงตัว แล้วตัวเองดูตัวเองบ้างบางครั้ง ก็ชักรู้สึกอยู่มั่งเหมือนกันว่า เอ๊ะ ไอ้ตัวเรานี่มันก็ชักจะมีอะไรๆที่ติดจะขลังๆ อยู่มั่งเหมือนกันแฮะ

ที่มา  ต่วยตูน เดือนมีนาคม ๒๕๓๑ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๗  

ขอเชิญชวนชาวกรุงเทพ ฯ ที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงออกมาแสดงพลังพร้อมเพรียงกัน ในวันศุกร์ที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓

ขอเชิญชวนชาวกรุงเทพ ฯ
ที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงออกมาแสดงพลังพร้อมเพรียงกัน
ในวันศุกร์ที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ
หน้าอนุสาวรีย์สองรัชกาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ราชอาณาจักรไทย
วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๓
เรื่อง ขอสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและเรียกร้องไม่ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร
กราบเรียน นายกรัฐมนตรี

นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้
ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗
ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๑ พวกเราประชาชนชาวไทย ดังมีรายนามท้ายจดหมายฉบับนี้
ได้ติดตามการปฏิบัติราชการของ ฯพณฯ มาโดยตลอด มีความเห็นว่า ฯพณฯ
ได้ปฏิบัติราชการด้วยความขยันขันแข็ง มีสติปัญญา สุขุมรอบคอบ มีขันติ
อดกลั้นต่อการยั่วยุทำร้ายด้วยความรุนแรง
กล่าวหาด้วยวาจาที่เป็นเท็จและไม่สุภาพ ฯพณฯ
นำพาประเทศผ่านวิกฤตทางการเมืองและเศรษฐกิจตลอดปี พ.ศ.๒๕๕๒
จนกระทั่งเศรษฐกิจต้นปี พ.ศ.๒๕๕๓ เริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน
แต่กลับมีการชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ทั้งๆ
ที่มิได้มีวิกฤตการณ์ในสภาฯ จนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
ซึ่งการชุมนุมประท้วงในครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์และเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก
พวกเราทั้งหลายจึงร่วมกันลงนามในจดหมายฉบับนี้ เพื่อสื่อถึง ฯพณฯ
นายกรัฐมนตรี ได้ทราบว่า พวกเราขอให้กำลังใจและสนับสนุนให้
ฯพณฯปฏิบัติราชการต่อไป เพื่อประโยชน์สุขของประเทศและคนทั้งชาติ
และไม่ยุบสภาผู้แทนราษฎรตามคำเรียกร้องอย่างไม่มีเหตุผลของผู้ชุมนุม
จึงเรียนมาเพื่อกรุณาทราบ

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

ประชาชนชาวไทยผู้สนับสนุนนายรัฐมนตรี
Thai-in-blood

โคราชชวนเที่ยวงานฉลองวันแห่งชัยชนะท้าวสุรนารี

จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
นครราชสีมา และหน่วยงานที่เกียวข้อง
ขอเชิญเที่ยวงานฉลองวันแห่งชัยชนะท้าวสุรนารี ประจำปี 2553
ในระหว่างวันที่ 23 มีนาคม-3 เมษายน ณ
บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมาเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการสักการะและระลึกถึงวีรกรรมของท้าวสุรนารี
ภายในงานมีกิจกรรมมากมายอาทิเช่นสุดยอดการแสดง แสง สี เสียง
"ประวัติศาสตร์เมืองคุณย่า" ณ สนามกีฬาค่ายสุรนารี
การแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOPนิทรรศการออกร้าน การประกวดนางสาวนครราชสีมา
การประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง

ท้าวสุรนารี มีนามเดิมว่า "โม" (แปลว่า ใหญ่) หรือ "โม้"
เป็นชาวเมืองนครราชสีมาโดยกำเนิด เกิดเมื่อปีเถาะ พ.ศ 2341 ในแผ่นดิน
พระเจ้าตากสินมหาราช สมัยกรุงธนบุรีมีนิวาสถานอยู่ ณ
บ้านตรงกันข้ามกับวัดพระนารายณ์มหาราช (วัดกลางนคร)
ทางทิศใต้ของเมืองนครราชสีมา นางสาวโม เป็นธิดาของ นายกิ่ม และ นางบุญมา
(ในสมัยนั้นยังไม่มีนามสกุล) มีพี่สาวหนึ่งคนชื่อ แป้น ไม่มีสามี
จึงอยู่ด้วยกันจนวายชนม์ มีน้องชายหนึ่งคน ไม่ปรากฏชื่อ (ภายหลัง ได้เป็น
เจ้าเมืองพนมซร๊อก ต่อมามีการอพยพชาวเมืองพนมซร๊อก มาอยู่
ริมคูเมืองนครราชสีมาด้านใต้ จึงเอาชื่อเมือง พนมซร๊อก มาตั้งชื่อ
บ้านพนมศรก ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็น บ้านสก
อยู่หลังสถานีรถไฟชุมทางถนนจิระจนทุกวันนี้ เมื่อปี พ.ศ 2339นางสาวโม

เมื่ออายุได้ 25 ปี ได้แต่งงานสมรสกับนายทองคำ
พนักงานกรมการเมืองนครราชสีมา ต่อมานายทองคำ ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น
"พระภักดีสุริยเดช" ตำแหน่งรองปลัดเมืองนครราชสีมา นางโม จึงได้เป็น
คุณนายโม และต่อมา "พระภักดีสุริยเดช" ได้เลื่อนเป็น "พระยาสุริยเดช"
ตำแหน่งปลัดเมืองนครราชสีมา คุณนายโมจึงได้เป็น คุณหญิงโม

ชาวเมืองนครราชสีมาเรียกท่านทั้งสองเป็นสามัญว่า "คุณหญิงโม" และ
"พระยาปลัดทองคำ" ท่านเป็นหมันไม่มีทายาทสืบสายโลหิต
ชาวเมืองนครราชสีมาทั้งหลายจึงพากันเรียกแทนตัวคุณหญิงโมว่า แม่
มีผู้มาฝากตัวเป็นลูก-หลานกับคุณหญิงโมอยู่มาก ซึ่งเป็นกำลัง
และอำนาจส่งเสริมคุณหญิงโมให้ทำการ ใดๆ ได้สำเร็จเสมอ
หนึ่งในลูกหลานคนสำคัญ ที่มีส่วนร่วมกับคุณหญิงโม
เข้ากอบกู้เมืองนครราชสีมาจากกองทัพเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ ณ
ทุ่งสัมฤทธิ์ คือ นางสาวบุญเหลือท้าวสุรนารี เป็นคนมีสติปัญญาหลักแหลม
เล่นหมากรุกเก่ง มีความชำนาญในการขี่ช้าง ขี่ม้า มีม้าตัวโปรดสีดำ
และมักจะพาลูกหลาน ไปทำบุญที่วัดสระแก้วเป็นประจำเสมอท้าวสุรนารี
ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อเดือน เมษายน พ.ศ 2395( เดือน 5 ปีชวด จัตวาศก จศ.
1214 ) สิริรวมอายุได้ 81 ปี

วีรกรรมของคุณหญิงโมนั้นเป็นที่คนไทยรุ่นหลังทราบดีว่า
เมื่อพุทธศักราช 2369 เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์
เป็นกบฏต่อกรุงเทพมหานคร ยกกองทัพเข้ามายึดเมืองนครราชสีมาได้
แล้วกวาดต้อนครอบครัวชาวนครราชสีมาไปเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ คุณหญิงโม
และนางสาวบุญเหลือ ได้รวบรวมครอบครัวชาย
หญิงชาวนครราชสีมาที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย
เข้าต่อสู้ฆ่าฟันทหารลาวล้มตายเป็นอันมาก ณ ทุงสัมฤทธิ์
แขวงเมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พุทธศักราช 2369
ช่วยให้ฝ่ายไทยสามารถกอบกู้เมืองนครราชสีมากลับคืนมาได้ในที่สุด

สำหรับปีนี้ทางจังหวัดนครราชสีมาได้จัดงานฉลองชัยชนะของท้าวสุรนารีถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญเหมือนเช่นทุกปีทุกปี
โดยปีนี้มีการจัดฉลองถึง 12 วัน 12 คืนในระหว่างวันที่ 23 มีนาคม - 3
เมษายน 2553 ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา
อำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา ถือเป็นงานที่จังหวัดนครราชสีมา และ
ชาวนครราชสีมา และถือเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการสักการะ
การเคารพซึ่งวีรกรรมของคุณหญิงโม
ทั้งนี้รูปแบบการจัดงานที่น่าสนใจมีมากมาย อาทิ ขบวนสักการะคุณย่าโม
สุดยอดการแสดง แสง สี เสียง "ประวัติศาสตร์เมืองคุณย่า" ณ
สนามกีฬาค่ายสุรนารี การแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOPนิทรรศการออกร้าน
การประกวดนางสาวนครราชสีมา การประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง
ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
สำนักงานนครราชสีมา โทร 0-4421-3666 / 0-4421-3030

ทำไมต้อง OK

คนส่วนใหญ่ น้อยคนนักที่ไม่รู้จักคำว่า O.K.
เรามักจะได้ยินคนพูดกันติดปาก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ
ไม่ว่าวัยใดก็ตามแต่ท่านทราบหรือไม่ว่า.. คำคำนี้มีที่มาอย่างไร ?


จริง ๆ แล้วที่มาของคำนี้เป็นที่ถกเถียงกันมายาวนาน
และยังไม่มีข้อสรุปอย่างแน่ชัด
แต่หนึ่งในเรื่องราวที่นิยมกันคือเรื่องนี้


คำว่า O.K. มาจากคำเต็มว่า Oll Korrect ซึ่งที่ถูกต้องคือ All Correct (
แปลว่า ถูกต้อง ) มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจจาก
พ่อค้าชาวอเมริกันคนหนึ่ง มีฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงานสูง
แต่การศึกษาน้อย ทุกครั้งที่เขาสั่งงานลงในใบสั่ง ถ้างานชิ้นใดถูกต้อง
ตกลง และอนุมัติเขาจะ เขียนคำว่า Oll Korrect ลงในใบสั่งใบนั้นเสมอๆ

ต่อมากิจการของพ่อค้าคนนี้
มีความเจริญก้าวหน้ามากงานที่ติดต่อมาก็มีมากขึ้น
ใบสั่งงานก็มีมากมายล้นโต๊ะการที่เขาจะต้องเขียนคำ Oll Korrect
ลงในใบสั่งทุกใบทำให้ต้องใช้เวลามาก เขาจึงย่อเหลือเพียงสั้นๆ คำ O.K.
ซึ่งมีผล และความหมายเหมือนกัน คำว่า "อนุมัติ" นั่นเอง


และก็เลยมีการใช้กัน อย่างแพร่หลาย ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน
มากันจนปัจจุบันทั่วโลกทีเดียว


น่าแปลกอีกอย่าง ลองเอียงคอมองคำว่า OK ดูสิ
เหมือนรูปคนมะ มีหัว แขน ขา ครบเลย ^^

ขำขัน การเมือง

บาทหลวงคนหนึ่งเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้ามาก
วันหนึ่งเกิดมีพายุและฝนตกหนักทำให้น้ำท่วม
ชาวบ้านต่างพากันพายเรืออพยพออกจากเมือง
ชาวบ้าน 1 : หลวงพ่อครับ รีบขึ้นเรือเถอะ น้ำท่วมถึงตาตุ่มแล้วนะ
บาทหลวง : ไม่เป็นไรลูกเอ๋ย พ่อเชื่อในพระเจ้า พระองค์ต้องช่วยพ่อแน่
พูดจบบาทหลวงก็สวดมนต์ต่อ เวลาผ่านไปน้ำก็ท่วมถึงเอว
ชาวบ้าน 2 : หลวงพ่อครับไปกับผมเร็ว น้ำท่วมถึงเอวแล้วนะ
บาทหลวง : ลูกไปเถอะ พระเจ้าต้องช่วยพ่อแน่
แล้วหลวงพ่อก็สวดมนต์ต่อ น้ำก็ท่วมขึ้นเรื่อยๆ จนถึงคอ
ชาวบ้าน 3 : หลวงพ่อครับไปกับผมเร็ว ผมเป็นเรือลำสุดท้ายแล้วนะ
บาทหลวง : ไปเถิดลูกเอ๋ย เดี๋ยวพระเจ้าต้องทำให้เกิดปาฏิหาริย์แน่ๆ
พระองค์จะต้องช่วยพ่อ
พูดจบชายคนที่สามก็พายเรือไป บาทหลวงก็สวดมนต์ต่อไปจนน้ำท่วมมิด
บาทหลวงก็เสียชีวิตและขึ้นสวรรค์ไปเจอกับพระเจ้า
บาทหลวง : ทำไมพระองค์ไม่ช่วยลูก ลูกเชื่อในพระองค์ เฝ้าสวดมนต์อ้อนวอนตลอดเลย
พระเจ้า : ก็พ่อส่งคนไปช่วยตั้งสามคนแล้ว เจ้าไม่ไปกับเขาเอง ช่วยไม่ได้
อ่านหนุกๆ จาได้ไม่เครียด

ผู้หญิงมักมีเหตุผลที่ฟังขึ้นเสมอ

สายวันหนึ่งระหว่างหญิงสาวสวยกำลังซักผ้าอยู่ริมน้ำนั้นแปรงซักผ้าคู่มือก็หลุดมือจม
ลงน้ำไป หญิงสาวสวยก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ริมน้ำ

ทันใดนั้นเองเทวดาก็ลอยขึ้นมาจากผิวน้ำแล้วถามว่า ' มีปัญหาอะไรรึ '
' แปรงซักผ้าดิฉันตกลงไปในน้ำแล้ว และตรงนี้น้ำลึกมาก
ต่อไปดิฉันจะเอาอะไรไปซักผ้าหาเลี้ยงลูกสามีได้หละท่าน '

เทวดาได้ยินดังนั้นก็ดำน้ำลงไปสักพักแล้วขึ้นมาพร้อมกับแปรงซักผ้าทองคำ
' เอ้าแปรงซักผ้านี้ใช่แปรงซักผ้าของเจ้าใช่รึไม่ ?'! เทวดาถามหญิงสาวสวย
' ไม่ใช่ค่ะ '

เทวดาก็ดำน้ำลงไปอีกครั้งกลับขึ้นมากับแปรงซักผ้าเงิน
' เอ้าแล้วแปรงซักผ้านี้หละใช่ของเจ้ารึไม่ ?'
' ไม่ใช่ค่ะแปรงซักผ้าของดิฉันทำจากเหล็กมีด้ามไม้เก่าๆ
ไม่ใช่แปรงซักผ้าเงิน แปรงซักผ้าทอง '

เทวดาจึงดำลงน้ำไปอีกครั้งแล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับแปรงซักผ้าเหล็กคู่มือหญิงสาวสวย
' เอ้าแปรงซักผ้าของเจ้า แต่! เร าเห็นเจ้าเป็นคนดีซื่อสัตย์ไม่โกหก
เราจะให้แปรงซักผ้าเงิน กับแปรงซักผ้าทองคำแก่เจ้าไปด้วย
เพื่อตอบแทนในการที่เจ้าเป็นคนดี '
หญิงสาวสวยจึงรับแปรงซักผ้าไว้แล้วกลับบ้านด้วยความสุข

หนึ่งเดือนต่อมา ............

ระหว่างที่หญิงสาวสวยกำลังเดินเล่นอยู่ริมน้ำพร้อมกับสามีของเธออยู่นั้น
สามีก็ลืนตกน้ำไป หญิงสาวสวยทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้ริมน้ำ

ทันใดนั้นเทวดาองค์เดิมก็ปรากฏกายออกมาอีกครั้ง
' เอ้าคราวนี้เจ้ามีปัญหาอะไรรึ '
' สามีดิฉันลื่นตกน้ำไปเมื่อกี้นี้ค่ะ '

ได้ยินดังนั้นเทวดาจึงดำน้ำลงไป
และขึ้นมาพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่เหมือนกันกับพี่เคน ธีรเดช
วงษ์พัวพันธุ์

ตั้งแต่หัวจรดเท้า ' ผู้ชายคนนี้ใช่สามีเจ้ารึไม่ ?'

'ใช่แล้วค่ะ ' หญิงสาวสวยตอบทันที

เทวดาจึงโกรธมาก เพราะเห็นว่าหญิงสาวสวยโกหก และไม่ซื่อสัตย์เหมือนก่อน

' ขออภัยด้วยค่ะท่านเทวดา มันเป็นการเข้าใจผิดค่ะ '

หญิงสาวสวยรีบชี้แจงทันใด

'ถ้าเกิดดิฉันตอบว่าไม่ใช่ ดิฉันเดาว่าท่านก็คงจะลงไปในน้ำอีกครั้ง

แล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับผู้ชายที่เหมือนกับ มาริโอ้

และเมื่อดิฉันปฏิเสธอีกท่าก็คงจำดำลงไปอีกครั้งแล้วนำสามีดิฉันตัวจริงขึ้นมา
สุดท้ายท่านก็คงจะให้ผู้ชายอีก 2 คนดิฉันด้วย
เพื่อตอบแทนที่ดิฉันไม่โกหก

แต่ว่า ..... ดิฉันเป็นแค่หญิงสาวสวยจะมีปัญญาอะไรไปหาเงินเลี้ยงสามีพร้อมกัน!
3 คนได้หละค่ะ
(รับไม่ไหวค่ะ ได้ทีละคน)
ดิฉันจึงจำเป็นต้องตอบว่า ใช่ ตั้งแต่แรก '

เทวดา ' เออ!!! จริงของมึง '

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อใดที่ผู้หญิงโกหก

แสดงว่าหญิงผู้นั้นจะต้องมีเหตุผลจำเป็นในการโกหก และมีเจตนาดีอย่างแน่นอน

ยุบสภา ต้องไม่ใช่ไปตายดาบหน้า

โดย บัณรส บัวคลี่ 29 มีนาคม 2553 17:12 น.

ผมเป็นฝ่ายที่ไม่ยี่หระว่าจะยุบสภา หรือไม่ เมื่อไหร่? ..,

เลือกมาได้ก็ยุบได้ เพราะยังไงสภาชุดนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่มาก
จะเลือกเร็วขึ้นในเดือนหน้าหรือ 3 เดือน 6 เดือนก็เป็นไรมี
เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย

แต่ที่ยังคับข้องติดใจอยู่ก็คือความชัดเจนจากบรรดาผู้เล่นทางการเมืองที่กำลังโรมรันพันตูอยู่ว่าจะยังความมั่นใจให้กับเราคนไทยเจ้าของประเทศได้ขนาดไหนว่าหนทางนี้เป็นประตูทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้

อันที่จริงประชาธิปไตยไทยไม่ได้ถอยหลังไปถึงปี 2475
อย่างวาทะของใครหลายคนที่พยายามโน้มน้าวสร้างภาพให้สังคมเชื่อ

การลุกขึ้นของประชาชนครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 2548
ต่อเนื่องมาถึงวันนี้เป็นผลพวงจากการปฏิรูปการเมืองเมื่อปี 2540
ในท่ามกลางความวุ่นวายไม่สงบ การเดินขบวน
การประท้วงและเหตุรุนแรงหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้เรียกว่าวิกฤตการณ์ทางการเมืองก็มีผลทางบวกกลับมาเช่นกัน
ความวุ่นวายครั้งใหญ่รอบนี้เป็นโรงเรียนการเมืองที่เปิดหลักสูตรบังคับสอนให้กับคนไทยทุกคน-ไม่อยากเรียนก็จำต้องเรียน

สังคมไทยได้เรียนรู้ร่วมกันถึงสิ่งที่แต่ละฝ่ายกล่าวอ้างว่าคือประชาธิปไตย
มีสิ่งดีๆ ผุดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายหลายอย่าง
วงวิชาการอาจเรียกสิ่งนี้ว่า 'การปรับตัวภายในระบบ'
เช่นหลักการเคารพสิทธิการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน Right to
demonstrate ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย

เมื่อปี 2548-49
คนสองมือเปล่าออกมาชุมนุมถูกอำนาจรัฐและนักการเมืองส่งคนไปคุกคาม ทำร้าย
โยนระเบิดใส่ พอมาปี 51
นายกรัฐมนตรีเวลานั้นออกทีวีด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดสั่งสลายการชุมนุมของประชาชนที่เพิ่งเริ่มชุมนุมไม่กี่วัน
สังคมได้เรียนรู้เรื่อยมาว่าวิธีการแบบที่รัฐบาลพยายามทำไม่ได้ผลมีแต่ต้องเคารพหลักการแสดงออกอย่างสงบของประชาชน
ใครหลายคนที่รำคาญประชาธิปัตย์ว่าไม่ทำอะไรเลยซึ่งบางอย่างก็ถูกแต่ที่ต้องให้คะแนนเต็มคือการเคารพสิทธิชุมนุมโดยสงบของประชาชน
รัฐบาลทักษิณ-สมัคร-สมชาย สอบตกในเรื่องหลักข้อนี้
อภิสิทธิ์มาสร้างหลักข้อนี้ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาและหวังว่าจะเป็นพื้นฐาน-มาตรฐานให้รัฐบาลต่อๆ
ไปยึดต่อ

เสื้อแดงก็เหมือนกัน ตอนเป็น นปก. ก็ก่อจลาจล
เมษาที่แล้วเผาบ้านเมือง
ภาพแดงติดกับคำว่าถ่อยตั้งแต่เหตุอุดรฯ-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ
แต่มาปีนี้ขบวนการดังกล่าวสรุปบทเรียนว่า "ความรุนแรงไม่สามารถชนะได้"
ต้องยึดหลักที่สังคมประชาธิปไตยอารยะยึดกันก็คือ
การชุมนุมโดยสงบแสดงสิทธิของประชาชนอย่างเต็มที่

ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมมานี้เวทีเสื้อแดงกอดหลักการนี้แน่น
ซึ่งก็สมควรจะได้รับคำชมเชย
แม้จะมีเหตุระเบิดควบคู่กันหากไม่มีหลักฐานพิสูจน์ชัดก็ไม่สามารถชี้ว่าเป็นฝีมือแดงผ่านฟ้า

ขบวนการแดงสลัดภาพถ่อยเถื่อน หันมายึดหลักสันติอหิงสา
เช่นเดียวกับรัฐบาลที่ไม่บ้าจี้เหมือนรัฐบาลก่อนๆ
ล้วนแต่เป็นพัฒนาการที่น่าพอใจของประชาธิปไตยไทย

ใครบอกประชาธิปไตยไทยถอยหลัง...เพราะในท่ามกลางวิกฤตก็มีพัฒนาการ!!!

สิ่งที่ควรจะได้รับคำชื่นชมที่สุดก็คือเวทีเจรจา 2
ฝ่ายเมื่อเย็นวันที่ 28 มีนาคม ณ สถาบันพระปกเกล้าฯ
แม้ในรายละเอียดจะมีสิ่งที่น่าวิจารณ์ทั้งบวกลบ
และมีข้อคลางแคลงในวาระซ่อนเร้นอยู่บ้าง
แต่ในภาพรวมนี่เป็นสัญญาณความก้าวหน้าของการพยายามใช้ระบบที่ถูกต้องผ่าทางตันปัญหาการเมือง

การเจรจาผ่านการถ่ายทอดสด
อาจจะไม่ถูกใจต่อมุมมองของผู้คาดหวังผลสัมฤทธิ์จากการเจรจา
เพราะโดยทฤษฎีการเจรจาแบบนี้ควรมีพื้นที่และข้อความส่วนตัวแล้วค่อยแถลงผลสรุปร่วมให้สาธารณะรู้เป็นขั้นตอน
อย่างไรก็ตามหากมองจากมุมของประชาชนนี่เป็นห้องเรียนการเมืองวิชาสำคัญที่คนทั่วไปไม่ว่าสีอะไรอยู่ตรงจุดไหนได้รับรู้ข้อมูลตรงอย่างพร้อมเพรียง

ประเทศไทยไม่ใช่เป็นของมวลชนหนุนรัฐบาลหรือคนเสื้อแดงเท่านั้น..
หากยึดผู้ลงคะแนนเลือก ปชป.กับพลังประชาชนรอบที่แล้วแค่พรรคละ 12
ล้านกลมๆ จากประชาชนไทย 70
ล้านคนทั่วประเทศและคนที่เหลือเหล่านี้เองที่จะเป็นพลังสำคัญที่จะประคับประคองไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรงระหว่างมวลชนคู่กรณี...
จึงเป็นการดีที่สุดที่คนไทยส่วนที่เหลือได้เห็นได้ยินได้ฟังการเจรจาที่จะมีผลกระทบต่อตนเองโดยตรง

นี่เป็นบทเรียนของการเรียนรู้สังคมประชาธิปไตยอารยะโดยตรงที่หายากยิ่ง!!

เอาแค่คนเสื้อแดงก็พอ
การรณรงค์ก่อนหน้ามวลชนบางส่วนถูกหล่อหลอมให้เกลียดชังขนาดที่เจอหน้าต้องปาไข่
ฆ่าได้ก็ฆ่า พอมาเจอแกนนำกอดหลักสันติวิธีก็งงมารอบหนึ่งแล้ว
แกนนำต้องพยายามอธิบายบนเวทีเมื่อวันที่ 16-17
มี.ค.ให้ยอมรับในวิธีการนี้
พอมาถึงรอบเจรจาคนเสื้อแดงหน้าเวทีบางส่วนเห็นการเจรจาแบบสุภาพเรียบร้อยถึงกับรับไม่ได้
แสดงความไม่พอใจเก็บข้าวของออกไปทันที ...
แต่ส่วนใหญ่ก็เข้าใจเมื่อแกนนำกลับมาอธิบายความ

สำหรับคนกลางๆ ทั่วๆ
ไปที่ได้ดูการเจรจาจะตัดสินได้ว่าฝ่ายใดที่ยืนข้างหลักการเหตุผลที่ถูกต้อง
ที่ควรชมเชยก็ต้องชม เช่น วีระ มุสิกพงศ์
แสดงออกด้วยความเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะ
ส่วนหมอเหวงที่ลากเอาวงเจรจาออกทะเลพูดเรื่องอะไรไม่รู้ล้วนไม่เกี่ยวประเด็นเจรจาก็ได้รับบทเรียนของตัวเองไป

คนที่พูดบอกว่าทั้งสองฝ่ายมีธง ฝ่ายรัฐบาลไม่ยุบ
ส่วนแดงให้ยุบทันที
..มีธงไม่ผิดอะไรเลยเพราะเป็นเรื่องปกติของการเจรจาต่อรอง
แต่ข้อดีของการถ่ายทอดสดทำให้คนกลางๆ อีกเกือบ 50 ล้านคนได้ชั่งน้ำหนัก
ถ้าเหตุผลของแดงดีคนกลางๆ และสังคมที่เหลือจะกดดัน ปชป.
ให้ยุบสภาเอง...แดงก็จะมีแนวร่วมเพิ่มขึ้น

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
เป็นผู้ที่ยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจให้กับสังคมโดยบอกว่า
ถ้าให้ประชาชนลงประชามติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญพร้อมๆ กับการเลือกตั้ง
เป็นบัตรอีกใบหนึ่งที่หย่อนพร้อมกันจะดีมั้ย?
ข้อเสนอลักษณะนี้แหละที่ทุกฝ่ายควรเสนอออกมาให้สังคมร่วมตัดสินใจ

แต่น่าเสียดายที่เราท่านไม่ได้ยินข้อเสนอรูปธรรมของตัวแทนเสื้อแดง
เขาหารือว่ายุบก็ยุบได้ แต่ถ้าเกิด
กก.บห.พรรคทำผิดแล้วถูกยุบพรรคอีกรอบตามกฎหมายปัจจุบันจะทำยังไง
จะแก้กติกาก่อนดีมั้ย? พวกก็บอกว่าไม่ยอมรับกติกาโจรที่มาจากรัฐประหาร
หมอเหวงตอบประเด็นนี้ไปทาง วีระ ตอบไปทาง

จนกระทั่งถึงตอนท้ายๆ นั่นแหละที่จตุพรทุบโต๊ะบอกว่าพร้อมไปตายดาบหน้า!!!

ข้อเสนอของกอร์ปศักดิ์ อาจไม่ใช่ข้อเสนอที่ดีที่สุด
แต่ในฐานะคนไทยอยากจะได้ยินได้ฟังข้อเสนอแบบนี้เพื่อจะนำมาชั่งน้ำหนัก...
รัฐบาลมีข้อเสนอลักษณะนี้ออกมาอีกมั้ย และเสื้อแดงมีข้อเสนออื่นหรือไม่?

เหล่านี้แหละที่คนไทยและสังคมไทยอยากได้ยินมากกว่าคำว่า
ถ้าไม่ยุบก็วุ่นต่อเถอะ!
เพราะผมก็เป็นคนไทยที่ได้รับผลกระทบคนหนึ่งเหมือนกัน

และที่ไม่อยากได้ยินที่สุดคือข้อเสนอว่าให้ยุบเพื่อไปตายดาบหน้าพร้อมกัน!!!

ใครจะไปตายดาบหน้าก็ไปเถอะ ผมคนหนึ่งที่ไม่ไปด้วย!

ผมอยากเห็นอยากได้ยินข้อเสนอที่ดีที่สุดและหลากหลายที่สุด
เพื่อที่จะเลือกสนับสนุนการเดินออกจากวิกฤตการณ์ด้วยวิจารณญาณของตนเอง ..
อย่ามาอ้างประชาธิปไตยเพราะนี่ก็เป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน!

กลุ่มสยามสามัคคีปลุกคนไทยประณาม "แม้ว"-บริวารจาบจ้วงสถาบัน

กลุ่มสยามสามัคคี สุดทน "นช.แม้ว" -บริวารจาบจ้วงสถาบัน
ปลุกคนไทยร่วมประณาม พร้อมจี้รัฐบาลจัดการ
แถมพ่วงจัดการเว็บหมิ่นทำลายเบื้องสูง
ชี้ข้อเรียกร้องยุบสภาของไพร่แดงไม่ใช่ทางแก้ปัญหา
แต่ต้องการเปลี่ยนอำนาจรัฐให้เอื้อประโยชน์กับ "ไพร่ตัวพ่อ"

วันนี้ (30 มี.ค.) ที่รัฐสภา กลุ่มสยามสามัคคี นำโดย พล.อ.สมเจตน์
บุญถนอม อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ
ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ นายสมชาย แสวงการ นายวรินทร์ เทียมจรัส
ส.ว.สรรหา และ นายสาย กังคเวคิน ส.ว.ระยอง
ร่วมกันแถลงเรียกร้องให้คนไทยทั้งประเทศร่วมกันประณาม พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเครือข่ายแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง
ที่มีพฤติกรรมจาบจ้วง ล่วงละเมิด สถาบันพระมหากษัตริย์

พล.อ.สมเจตน์ อ่านแถลงการณ์ว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดง
ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.เป็นต้นมา พ.ต.ท.ทักษิณ
ได้ทำการวิดีโอลิงก์พูดคุยกับผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง และมีหลายครั้งที่
พ.ต.ท.ทักษิณ ได้บังอาจกล่าวถ้อยคำจาบจ้วงที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
เช่น เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ระบุว่า "อำมาตย์อายุ 80 กว่า คงไม่เข้าใจหรอก
คงไม่เข้าใจนำพาประเทศ ไม่รู้จะจูงประเทศไทยไปทางไหน" และการระบุว่า
"คุณมีบุญครับ เป็นรัฐบาลเพราะอำมาตย์ช่วยปล้นมาให้
เป็นรัฐบาลแล้วก็มีไม้ค้ำอำมาตย์" ที่วิดีโอลิงก์มาเมื่อวันที่ 17 มี.ค.
รวมถึงถ้อยคำอื่นๆ ที่หมิ่นเหม่อีกมาก

แถลงการณ์ระบุว่า
การพูดแบบนี้ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ในทำนองที่ว่า
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีอำมาตย์เป็นไม้ค้ำยัน ซึ่งคำว่า
"อำมาตย์" และ "ไม้ค้ำยัน" ดังกล่าวนี้ ไม่น่าจะหมายถึง พล.อ.เปรม
ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เพราะที่ผ่านมา หาก พ.ต.ท.ทักษิณ
จะเอ่ยถึง พล.อ.เปรม ส่วนใหญ่จะเอ่ยชื่อโดยตรง

ดังนั้น กลุ่มสยามสยามสามัคคี
ไม่อาจยอมรับพฤติกรรมย่ำยีจิตใจประชาชนชาวไทยของนักโทษเด็ดขาดหนีอาญาแผ่นดินคนนี้
จึงขอเรียกร้องต่อคนไทยทั้งประเทศร่วมกันประณาม พ.ต.ท.ทักษิณ
และเครือข่ายด้วย ขณะเดียวกัน ขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการทางกฎหมาย
กับ พ.ต.ท.ทักษิณ
และเครือข่ายวิทยุชุมชนและเว็บไซต์ที่ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ที่รักยิ่งของคนไทย
อย่างรวดเร็วและเข้มงวด
เพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์และความมั่นคงของชาติให้ดำรงอยู่อย่างสถาพรสืบไป

พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า การเจรจาเป็นทางออกในการแก้ปัญหา
แต่ต้องเจรจาเพื่อประโยชน์ของประเทศ
ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อย่างไรก็ตาม
ในเรื่องการยุบสภาที่มีการเสนอกันนั้น
ส่วนตัวเห็นว่าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะสภาไม่ได้ทำอะไรผิด ดังนั้น
ข้อเสนอให้ยุบสภาดังกล่าว เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ
เพื่อให้มีการเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น
ไม่ใช่การแก้ปัญหาให้ประเทศแต่อย่างใด

นายวรินทร์ กล่าวว่า การยุบสภาต้องเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่สภา
ไม่สามมารถทำงานได้เท่านั้น แต่ขณะนี้สภายังทำงานได้
เพราะฉะนั้นการเสนอให้มีการยุบสภา
จึงเป็นแค่การสนองตันหาของนักการเมืองที่ต้องการจะเข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น
เพราะเห็นว่าสภาในปัจจุบันไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมญูตามที่นักการเมืองต้องการได้

หากคุณคือแดง ขอให้ตาสว่างโดยเร็ววัน

หากใครที่ได้ติดตามข่าวของเวทีเสื้อแดง
เราจะเห็นว่าคอนเซปต์ของเวทีเสื้อแดงก็คือ ชวนไพร่มาไล่ "อำมาตย์"
คำถามก็คือคำว่า"อำมาตย์"ของผู้นำคนเสื้อแดงหมายถึงใคร?

หลายครั้ง ที่ ทักษิณโฟนอิน มีเนื้อหาที่ชวนให้คนไทยทุกคนต้องร่วมกันคิด
และจากการรวบรวมคำพูดของทักษิณที่โฟนอินทั้งสี่วันที่ผ่านมา
ขอตั้งคำถามกับทักษิณว่าคำว่า "อำมาตย์"ของคุณนั้นหมายถึงใคร???

1.ทักษิณ บอกว่า "อำมาตย์อายุแปดสิบกว่าแล้ว"
ถามว่าอำมาตย์คนไหนอายุแปดสิบ ปากก็มุ่งโจมตีพลเอกเปรม
แต่คนอย่างทักษิณจะไม่รู้เชียวหรือว่าพลเอกเปรมนั้น
อายุเก้าสิบเอ็ดปีแล้ว คำถามคือ
"อำมาตย์"ที่ทักษิณว่าอายุแปดสิบกว่านั้นหมายถึงใคร?

2.ทักษิณ บอกว่าอำมาตย์นั้นรวยแล้ว มีมรดกเพียงพอแก่ลูกหลานแล้ว
ปล่อยประชาชนไปเถอะ คำถามก็คือ พลเอกเปรมฯที่ทักษิณว่าเป็นอำมาตย์นั้น
ท่านมีลูกหรือเปล่า ท่านไม่เคยแต่งงาน
และไม่มีลูก!!!แล้วคำว่าอำมาตย์ที่ว่านั้นหมายถึงใคร????

3.ทักษิณ บอกว่าอำมาตย์ไทยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้รับการยอมรับเหมือนกับในประเทศที่
พัฒนาแล้ว เพราะไทยมีวัฒนธรรมประเพณีศาสนาที่มั่นคง
คำถามก็คือทักษิณกำลังหมายถึงใคร???

4.ทักษิณบอกว่าถ้าอำมาตย์รัก "ประชาชน"จริงก็ต้องเลิกอุ้มอีกฝ่ายหนึ่ง
ถามว่าคำว่า "ประชาชน"ในบริบทนี้โดยทั่วไปเราจะใช้กับใคร???

5.ทักษิณพูดว่ามีคน ไป "เท็จทูล"อำมาตย์
คำว่าเท็จทูลนี้เราจะใช้กับใคร??? พลเอกเปรมหรือ???

6.ทักษิณ บอกให้อำมาตย์เลิกเอาไม้ค้ำประชาชนได้แล้ว
เพราะไม้ค้ำนั้นเป็นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ คำถามก็คือ
"ความศักดิ์สิทธิ์"ที่เราพวกเราชาวไทยเคารพนับถือนั้นคือใคร!!!

7.ทักษิณ บอกว่า อำมาตย์ไปอยู่เหนือการเมืองเถอะ
อำมาตย์ในที่นี้หมายถึงใคร เพราะในรัฐธรรมนูญมีกฏหมายบางข้อที่เขียนว่า
พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง!!!

8.ทักษิณพูดว่า "คนที่บอกให้ผมพัก ทำไมไม่บอกให้นายอภิสิทธิ์พักบ้าง"
ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์วันที่ 5 เมษายน 2549
ที่ทักษิณออกมาแถลงว่าจะเว้นวรรคโดยการไม่รับตำแหน่งนายก
หลังจากที่ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉะนั้นคนที่บอกให้ผมพัก
คนนั้นทักษิณหมายถึงใคร!!!

9.ทักษิณทวงระบอบประชาธิปไตยโดยผ่านการ โฟนอิน
และเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยเพื่อประชาชน แทนที่จะบอกว่า
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข!!!

ถ้าคนที่ ทักษิณพูดถึงนั้น ไม่ได้หยุดแค่พลเอกเปรม
คำถามต่อไปที่จะถามคนไทยทุกคนคือ...คุณพร้อมจะปกป้องในหลวงของเราหรือยัง???

ในหลวง ผู้ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม
ผู้ที่ได้เหยียบย่างพื้นที่ทุกตารางของแผ่นดินไทยเพื่อเยี่ยมเยียนพสกนิกร
ของพระองค์ ผู้ทรงเป็นเอ็นจีโอตัวจริงที่ไม่เคยอวดอ้างความดีที่ทรงทำมาตลอดหกสิบกว่าปี
ที่ทรงครองราชย์ ผู้ที่บอกให้เราใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยพระวรกายและอุทิศทั้งชีวิตทั้งในการค้นคว้าทดลองและพัฒนา
ชีวิตความเป็นอยู่ให้กับประชาชนของพระองค์
และพระองค์ผู้ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดในการสอนให้เราได้รู้ว่าการปิดทอง
หลังพระนั้นคืออะไร... หวังว่าข้อความที่คนรักในหลวงของเราทุกคน
คงไม่ถูกลบน่ะครับ ขอบคุณครับ

หากคุณไม่ใช่แดง เราต้องการพลัง ส่งต่อให้มากที่สุด ปกติไม่เคย fwd mail
มากอย่างนี้นะ แต่ช่วงนี้มันอดไม่ได้จริงๆ
ที่เห็นใครทำกับคนที่เรารักมากที่สุดอย่างนี้

หากคุณคือแดง ขอให้ตาสว่างโดยเร็ววัน อย่างน้อยให้รู้คุณแผ่นดิน
คนที่คุณเชียร์เค้าอยู่ เค้าทำให้คุณเห็นว่าดีกี่ปี
ถ้าเทียบกับอำมาตย์ที่คุณเรียกกันอยู่นี่
fwmail

ขอร่วมประนามนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดิน

ขอร่วมประนามนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดินด้วยคน
มีพฤติกรรมหมิ่นสถาบันมาเป็นสิบปีแล้ว แต่เดิมอาจหลบ ๆ อยู่
แต่ตอนนี้แสดงพฤติกรรมเปิดเผยชัดเจน
เพราะมีคนที่มีกิเลสหนาคิดเป็นใหญ่เป็นโตด้วยเหมือนกันมาสนับสนุน
นอกจากประนามแล้ว มันยังไม่เพียงพอ
อยากให้คนไทยทุกคนลุกขึ้นมาช่วยกันปกป้องสถาบัน
เพราะขณะนี้พ่อของเรากำลังถูกคนชั่วทำร้ายจิตใจอยู่ทุกวี่ทุกวัน
จนเราคนไทยรู้สึกสุดจะทนแล้ว (ปากเน่า ๆ
ของมันกูพยายามหาเสียงกับรากหญ้าว่าจงรักภักดี
แต่พฤติกรรมที่แสดงออกเห็นได้ชัดเจนว่าพยายามล้มล้างสถาบันอยู่ตลอดเวลา)
เราคนไทยจะยอมให้มันทำร้ายจิตใจพ่อของเราอีกต่อไปหรือ
จะยอมคนชั่วไปอีกนานแค่ไหน
คนไทยต้องช่วยกันลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องพ่อของเราได้แล้ว
ขอประนามด้วยคน

มองไปในเบื้องหน้า โดยชาตา พลาพิไชย ในกรณีมีการยุบสภา

ถ้ามีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ตามความต้องการของทักษิณกับคนเสื้อแดง
จะเกิดปรากฎการณ์ 10 อย่าง ดังนี้

1.พรรคเพื่อไทย กับพรรคที่จัดตั้งโดยเงินของทักษิณ(เช่นพรรค นปช.)
เชื่อว่าพวกตนจะได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นเสียงข้างมาก
สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้
หรือหากจำเป็นต้องผสมกับพรรคอื่นๆที่มิใช่ประชาธิปัตย์เพื่อผูกมิตร
พรรคเหล่านั้นจะไม่มีสิทธิเสียงใดๆ
นอกจากเก้าอี้รัฐมนตรีในบางกระทรวงที่แจกให้เป็นกระดูก
เพื่อกลบเสียงเห่าหอน

2.เมื่อได้ตัวประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว
จะให้มีการออกกฏหมายนิรโทษกรรมทุกเรื่องทั้งทางแพ่งและอาญาแก่ทักษิณกับครอบครัว
เพิกถอนคำพิพากษาทุกคดี และคืนทรัพย์สินที่ถูกอายัด
ถูกสั่งยึดทรัพย์กลับคืนครอบครัวจันทร์ส่องหล้า
ถ้าด่วนมากก็ออกเป็นพระราชกำหนด
จากนั้นค่อยเข้ารัฐสภาเพื่อยกระดับเป็นพระราชบัญญัติ

3.แก้ไขรัฐธรรมนูญ
ให้นายกรัฐมนตรีเข้าไปมีอำนาจจัดการกับพระราชบัลลังก์โดยตรง
และอื่นๆตามที่ทักษิณเคยแสดงความจำนงมาก่อนหน้านี้
เช่นสามารถทำสัญญาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับต่างชาติได้โดยใช้อำนาจด้านการบริหารประเทศเพียงซีกเดียวทุกเรื่อง
ไม่ต้องให้รัฐสภาเข้าเกี่ยวข้องตรวจสอบและรับรองการทำสัญญาหรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
ดึงอำนาจการให้สัมปทานทุกชนิดมาอยู่ในมือนายกรัฐมนตรี
ยกเลิกศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ยกเลิกปปช.ยกเลิกศาลปกครอง ฯลฯ

4.ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีบริหารงบประมาณของประเทศได้เอง ไม่ต้องผ่านรัฐสภา
ให้สิทธินายกฯจัดสรรเงินงบประมาณไปตอบแทนเสื้อแดงตามที่เคยลงแรงต่อสู้เพื่อให้ทักษิณกลับคืนสู่อำนาจ
เหลือเท่าไรจะจัดสรรให้จังหวัดที่แดงโร่ทั้งจังหวัด
ส่วนจังหวัดที่ไม่มีแดงเลย จะไม่ได้รับการปันงบประมาณ
จังหวัดที่มีแดงน้อยมาก
ให้เสื้อแดงย้ายออกไปอยู่จังหวัดอื่นเพื่อเพิ่มเลือดแดง
ทำให้การแบ่งสรรงบประมาณง่ายขึ้น

5.พวกเสื้อเหลืองหรือบุคคลใดๆที่ไม่ยอมรับทักษิณ
จะต้องได้รับการตรวจสอบทั้งทางแพ่ง อาญา การเสียภาษี การดำเนินธุรกิจ
บัญเงินเงินฝาก บัญชีหนี้สิน ชีวิตครอบครัว
ทักษิณจะจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
หรืออาจเพิ่มอำนาจปปง.กับกรมคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ให้ดำเนินการประเภทนี้
(เช่นเดียวกับแม่ค้าซอยละลายทรัพย์สีลม
ที่เคยแสดงความกล้าหาญว่ากล่าวทักษิณขณะเดินหาเสียงในเขตนั้น
ถูกทักษิณในช่วงที่ยังมีอำนาจส่งทั้งสรรพากรและตำรวจเข้าตรวจสอบทุกตารางนิ้วของการทำธุรกิจ)

6.องคมนตรี แกนนำกลุ่มพันธมิตร พรรคการเมืองใหม่ ผู้พิพากษาศาลฎีกา 2
คนที่มีคำพิพากษาส่วนตนให้ยึดทรัพย์ทั้งหมดของทักษิณ
บางส่วนของพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะนายเทพไท ที่เคยด่าทอว่า
ทักษิณตั้งฟาร์มเลี้ยงสุนัข
โยนกระดูกให้แกนนำแดงเพียงชิ้นสองชิ้นทำให้เกิดการทะเลาะใหญ่โตระหว่างก่อม็อบเดือนมีนาคม
2553 คนเหล่านี้จะถูกนำขึ้นศาลกลางม็อบเสื้อแดงเพื่อพิพากษาชะตาชีวิต

7.สื่อมวลชนที่มิใช่สีแดง ต้องยุบทิ้ง ถือเป็นกบฎต่อแผ่นดิน
แต่สามารถทำธุรกิจต่อไปได้
หากเจ้าของหรือบก.พิสูจน์บุญบารมีได้ว่าสามารถรอดคมห่ากระสุนเอ็ม16
กว่า200นัด เอ็ม79อีก3-4นัดกลางสี่แยก นายสนธิ ลิ้มทองกุล
แกนนำพันธมิตรที่เคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว ควรต้องพิสูจน์ตนอีกรอบ

8. ธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารพาณิชย์ถ้าถูกเข้าใจว่าเป็นเสื้อเหลือง
ต้องขายทิ้งกิจการแก่กลุ่มชินวัตรหรือพรรคพวกของชินวัตร
หรือยอมเปิดข้อมูลภายในแก่ทักษิณเพื่อความสะดวกต่อการซื้อขายเก็งกำไรหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
และหากอยากได้เงินกู้โดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ต้องการเท่าไร
ต้องจัดหาให้เท่านั้น ไม่มีสิทธิบิดพลิ้ว
มิฉะนั้นจะมีระเบิดน้อยใหญ่ไปลงตามสำนักงานต่างๆ

ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย
จะต้องให้ข้อมูลแก่นายกรัฐมนตรีเพื่อเพิ่มโอกาสในการเก็งค่าเงินบาท
ไม่ต้องรอสุนัขรับใข้คาบมาบอกเหมือนเมื่อเกลางปี2540

9.รัฐมนตรี และผู้บริหารทุกหน่วยราชการ ต้องคลั่งไสยศาสตร์
แก้เคล็ดด้วยเลือดด้วยขี้ เก่งในการโกหกปลิ้นปล้อน ผีพนัน
ผิดลูกผิดเมียผิดผัว เป็นหนี้สินสูง ไม่รู้จักพอทางการเงินและกามราคะ
มีความสถุลในทุกเรื่อง ฉ้อฉลทุกรูปแบบ เนรคุณพ่อแม่ สั่งให้ฆ่าต้องฆ่า
สั่งให้ทำลายต้องทำ
เคยสั่งทหารไปตายนับไม่ถ้วนในการรบกับลาวแล้วทำเป็นอัลไซเมอร์
เลวทรามต่ำช้าเพียงไรจะได้ตำแหน่งสูงเพียงนั้น
(ยกเว้นตำแหน่งผู้นำสูงสุดที่ทักษิณจอง )

10.ออกกฏหมายว่า ทักษิณจะตายเสียมิได้
เพราะประชาชนโดยเฉพาะเสื้อแดงจะว้าเหว่
ไม่ได้รับความยุติธรรมเพียงมาตรฐานเดียวจากทักษิณ ส่วนลูกหลานของทักษิณ
ได้รับการปกป้องทางกฎหมาย ห้ามแตะต้อง ห้ามวิจารณ์ และห้ามเรียกเก็บภาษี
ชาตา

ไมเกรน

ไมเกรน เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง
ที่มีความแตกต่างจากโรคปวดศีรษะทั่วไปอย่างคาดไม่ถึง
ปัจจุบันสาเหตุของไมเกรนยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
มีอยู่หลายทฤษฎีที่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้
โดยเชื่อกันว่าอาจจะเกิดจากความผิดปกติชั่วคราวของระดับสารเคมีในสมอง
การสื่อกระแสประสาทในสมอง
หรือการทำงานที่ผิดปกติไปของหลอดเลือดสมองชั่วคราว
และจากข้อมูลทางระบาดวิทยา
ปัจจุบันเชื่อว่าไมเกรนสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
แต่จะเกิดอาการหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่มากระทบ

อาการอย่างไรถึงเรียกไมเกรน

อาการปวดศีรษะไมเกรนต่างจากอาการปวดศีรษะธรรมดาตรงที่ว่า
อาการปวดศีรษะธรรมดามักจะปวดทั่วทั้งศีรษะ ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดตื้อ ๆ
ที่ไม่รุนแรงนัก และมักจะไม่มีอาการอื่น เช่น คลื่นไส้ร่วมด้วย
ส่วนใหญ่จะหายได้เองเมื่อได้นอนหลับสนิทไปพักใหญ่ แต่ไมเกรน
มักจะปวดตุ๊บ ๆ เป็นระยะ ๆ แต่ก็มีบางคราวที่ปวดแบบตื้อ ๆ
ส่วนมากจะปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก โดยจะค่อย ๆ
ปวดมากขึ้นทีละน้อยจนกระทั่งปวดรุนแรงเต็มที่แล้วจึงค่อย ๆ
บรรเทาอาการปวดลงจนหาย มักจะปวดข้างเดียว
หรือเริ่มปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง
และแต่ละครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้
แต่บางครั้งก็อาจจะปวดทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อม ๆ กันตั้งแต่แรก

ใครติดอันดับเป็นไมเกรน

โรคปวดศีรษะไมเกรน ส่วนใหญ่จะเป็นในผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์
ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย
มักเป็นในผู้ที่มีความเครียดทางอารมณ์และจิตใจสูง
แต่ก็อาจเกิดในผู้ที่สุขภาพจิตดีก็ได้

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นไมเกรน

อาการปวดศีรษะที่เกิดจากโรคไมเกรน
แพทย์ต้องทำการวินิจฉัยจากลักษณะจำเพาะของอาการปวดศีรษะ
อาการที่เกิดร่วมด้วย ตรวจร่างกายพบว่าสมองทำงานปกติดี
และไม่พบความผิดปกติของร่างกายส่วนอื่น ๆ ที่จะทำให้ปวดศีรษะได้ด้วย

- ลักษณะต่าง ๆ ของอาการปวด ได้แก่ ตำแหน่ง ความรุนแรง
ลักษณะการปวด การดำเนินของการปวด
- อาการที่เกิดร่วมด้วย คลื่นไส้ เวียนหัว
- ไม่พบความผิดปกติของการทำงานของสมองหรืออวัยวะต่าง ๆ
ที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด เช่น ความคิดอ่านเชื่องช้า มองเห็นภาพซ้อน
แขนขาอ่อนแรง เดินเซ ไข้ ตาแดง ตาโปน มีน้ำมูกกลิ่นเหม็น เป็นต้น
- ปัจจัยกระตุ้นอาการปวด เช่น ความเครียด แสงจ้า ๆ อาหารบางชนิด อดนอน
- ปัจจัยทุเลาอาการปวด เช่น การนอนหลับ การนวดหนังศีรษะ ยา การกดจุด

นอกจากนี้
แพทย์อาจต้องสอบถามอาการและตรวจร่างกายผู้ป่วยเพิ่มเติมในกรณีที่จำเป็น
เพื่อการวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้อง

ปัญหาที่พบบ่อยที่เห็นได้ชัดคือ

เสียสุขภาพกาย ต้องทรมานจากความปวด
บางรายปวดรุนแรงมากจนแทบอยากจะวิ่งเอาหัวชนฝาผนัง
บางรายปวดข้ามวันข้ามคืนจนนอนหลับไม่สนิท บ้างก็คลื่นไส้อาเจียน
อ่อนเพลียจนเสียสมรรถภาพการเรียนการทำงาน
ไมเกรนเป็นโรคหนึ่งที่ทำให้ผู้ทำงานประเภทใช้ความคิด
ต้องขาดงานเป็นจำนวนมาก ทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจไม่น้อย
ถ้าเป็นบ่อยและรุนแรงมาก ๆ ก็ทำให้เสียสุขภาพจิตได้
บ้างก็จะวิตกกังวลว่าอาจจะเป็นเนื้องอกในสมอง
ไมเกรนช่วยได้

วิธีการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคไมเกรนที่สำคัญคือ
การบรรเทาอาการปวดศีรษะ และการป้องกันไม่ให้เกิดหรือลดความถี่
ความรุนแรงของอาการ

การบรรเทาอาการปวดศีรษะนั้น อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยา เช่น การนวด
การกดจุด การประคบเย็น การประคบร้อน หรือการนอนหลับ
ในรายที่ไม่ได้ผลหรืออาการปวดรุนแรงจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด

สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดหรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะนั้น
ที่สำคัญมีอยู่ 2 วิธี
* วิธีแรก คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
ร่วมกับการกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม
* วิธีที่สอง คือ กินยาป้องกันไมเกรน
แพทย์จะแนะนำให้กินยาป้องกันก็ต่อเมื่อปวดศีรษะบ่อยมาก เช่น สัปดาห์ละ
1-2 ครั้งขึ้นไป
หรือแม้จะปวดไม่บ่อยแต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน
ยาป้องกันไมเกรนนั้นมีอยู่หลายชนิด ยาแต่ละชนิดจะมีผลข้างเคียงต่างกันไป
จะต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายไป
แนะนำให้กินยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนาน 6 - 12 เดือน
จึงลองหยุดยาได้ เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มกินใหม่

แม้ไมเกรนจะเป็นโรคที่เรื้อรัง แต่สามารถควบคุมให้โรคสงบลงได้
หากรู้จักรับมือกับอาการที่เกิดขึ้น

รศ.นพ.รังสรรค์ ชัยเสวิกุล
อายุรแพทย์ระบบประสาทสมอง

โดยหากท่านพบ ผู้พิการในถิ่นห่างไกลที่ต้องการขา เทียม

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สำนักงานคณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์
126 ถนน ประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140
มือถือ: 08-1809-4631 08-1809-4631 08-1809-4631 08-1809-4631 ,
08- 3913-3504 08- 3913-3504 08- 3913-3504 08- 3913-3504
KING MONGKUT'S UNIVERSITY OF TECHNOLOGY THONBURI OFFICE OF THE DEAN,
FACULTY OF ENGINEERING
126 Prachautit Rd. , Bangmod, Tungkru, Bangkok 10140 Thailand
Mobile: 08-1809-4631 08-1809-4631 08-1809-4631 08-1809-4631 ,
08- 3913-3504 08- 3913-3504 08- 3913-3504 08- 3913-3504

เรียน พี่ๆ น้องๆ และ เพื่อนที่เคารพ
อย่าลบนะ ส่ง ต่อหน่อย , thank you ได้
ทราบจากคุณวุฒิวงศ์ผู้เป็นเจ้าของ บริษัท วงศ์ธนาวุฒิ จำกัดว่า
ได้ร่วมกับ เพื่อนๆ ประดิษฐ์ขาเทียมสำหรับผู้พิการขาขาดตั้งแต่ เหนือ
เข่า โดยเป็น เพียงรายเดียวที่สามารถประดิษฐ์ขาเทียมให้ผู้ที่สวมสามารถงอขานั่งพับเพียบและเดินได้เช่นคนปกติ
ทำให้ผู้ พิการทุกคน ที่ต้องการ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในการนี้
คุณวุฒิวงศ์ไม่ต้องการรับเงินบริจาคแต่อย่างใดเพียงแต่
ต้องการความช่วยเหลือ โดยหากท่านพบ ผู้พิการในถิ่นห่างไกลที่ต้องการขา
เทียมโปรดช่วยจดชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ให้แก่คุณวุฒิวงศ์โดยตรงที่
โทรศัพท์ 081-847 - 9374 081-847 - 9374 081-847 - 9374 081-847
- 9374
ขออนุโมทนาในความเมตตาของทุกท่าน
สาธุ... สาธุ...สาธุ
ขอผลบุญที่พวกท่านได้ กระทำใน วันนี้
จงดลบันดาลให้ท่านและครอบครัวอยู่ เย็นเป็นสุขและมีความสุขตลอดไป

ประสบการณ์ "ปรากฏการณ์โลกเปลี่ยน" จากผู้พิชิตขั้วโลกใต้

นักวิจัย จุฬาฯ เดินทางกลับไทย
หลังประสบความสำเร็จในการเดินทางสำรวจทวีปแอนตาร์กติก เจ้าตัวเผย
พบปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าปกติ พร้อมเก็บตัวอย่างน้ำแข็ง ตะกอนดิน
และสิ่งมีชีวิต เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ผศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล
คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ซึ่งเป็นคนไทยหนึ่งเดียวของคณะสำรวจทวีปแอนตาร์กติกญี่ปุ่น
โดยทวีปแอนตาร์กติกเป็นตัวบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ได้ร่วมกับคณะสำรวจทวีปแอนตาร์กติกญี่ปุ่น คณะที่ 51 เดินทางเป็นระยะเวลา
4 เดือน เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
เดินทางกลับประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย
หลังสำรวจพบความเปลี่ยนแปลงทางภมูิอากาศของโลก

"คณะผู้สำรวจได้พบว่า พื้นน้ำแข็งมีความหนา 4.5 เมตร
ซึ่งหนากว่าพื้นน้ำแข็งปกติที่ 1-3 เมตร สภาพอากาศมีความแปรปรวนสูง
เกิดพายุหิมะกว่า 20 ครั้ง นอกจากนี้
ยังตรวจพบปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าปกติ
ซึ่งแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่อาจจะหนาวหรือร้อนขึ้น
อันเนื่องมาจากการกระทำของมนุษย์และภาวะโลกร้อน
เพื่อหาวิธีแก้ไขและรับมือความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม

ในการสำรวจได้เก็บตัวอย่างในการวิจัย เช่น แท่งน้ำแข็ง
ตะกอนดินจากทะเลสาบ อุกกาบาต และปลา
เพื่อศึกษาวิเคราะห์ระบบนิเวศที่อาจเปลี่ยนแปลงไป
และค้นหานวัตกรรมที่อาจเกิดขึ้นใหม่ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์
คาดว่าผลการวิจัยน่าจะเสร็จภายใน 1 ปี"


http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9530000041605

น่าเศร้าเพราะเรายังขายของเก่ากิน

ชาวไทยส่วนใหญ่คงได้ยินเรื่องราว
หรือได้ไปชมความน่าอภิรมย์ของอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมาแล้ว
ผมเพิ่งมีโอกาสผ่านไปเห็นสองครั้งเมื่อเร็วๆ
นี้เนื่องจากมีผู้ใหญ่ชวนให้ไปร่วมงานในฐานะผู้มีพื้นความรู้ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ
แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงและสิ่งแวดล้อม ก่อนไปที่นั่น
ผมได้รับการบอกเล่าจากผู้ที่ไปพบปะสังสรรค์และประชุมสัมมนากันตามรีสอร์ตต่างๆ
ว่า อากาศในย่านวังน้ำเขียวเย็นสบาย

หลังจากได้สัมผัสอากาศและสภาพแวดล้อมของวังนำเขียวสองครั้ง
ผมมองว่าแม้อากาศที่นั่นจะค่อนข้างเย็นสบายจนทำให้ผมสูดอากาศเข้าปอดได้เต็มที่ก็จริง
แต่สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปทำให้ผมเศร้าใจมากเนื่องจากมันยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า
การพัฒนาของไทยจะไม่มีทางยั่งยืนเพราะวางอยู่บนฐานของการทำไร่เลื่อนลอยและขายของเก่ากิน

สำหรับผู้ที่อาจหลงลืมไป
ขอทบทวนเรื่องไร่เลื่อนลอยว่าเป็นการทำเกษตรกรรมโดยการเผาป่าเพื่อนำที่ดินมาปลูกพืชล้มลุก
หลังใช้ที่ดินนั้นปลูกพืชจนดินจืดเมื่อปุ๋ยธรรมชาติในดินหมดไปซึ่งอาจเป็นในช่วงเวลา
3-5 ปี เกษตรกรก็จะละทิ้งพื้นที่ตรงนั้นแล้วพากันอพยพไปเผาป่าตรงที่ใหม่
ป่าที่ถูกทำลายมักกลายเป็นทุ่งหญ้าคามากกว่าจะคืนสภาพกลับมาเป็นป่าเช่นเดิม
เมืองไทยในอดีต สภาพเช่นนั้นมักเกิดขึ้นทางภาคเหนือเมื่อชาวเขาเผาป่าเพื่อนำที่ดินมาปลูกข้าวผสมผสานกับการปลูกฝิ่น

แต่ในปัจจุบันนี้
ผู้ที่เผาป่าคือผู้มีอิทธิพลและนายทุนขนาดใหญ่ซึ่งนำที่ดินมาทำสวนผลไม้และไร่พืชเชิงเดี่ยว
จะเห็นว่า ณ วันนี้ยังมีการเผาป่ากันอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะป่ารอบๆ
เขตป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติในภาคเหนือ
มีรายงานว่าผู้บงการเผาป่าบางคนเป็นญาติของนักโทษไทยที่หนีคุกไปบงการเผาบ้านเผาเมืองตัวเองอยู่ในต่างแดน

ย่านวังน้ำเขียวมีรีสอร์ตและบ้านผุดขึ้นปานดอกเห็ดเพราะมันกำลังเป็นที่นิยมของนักจัดสัมมนาและมหาเศรษฐีที่มองหาย่านสร้างบ้านไว้สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
การซื้อขายที่ดินด้วยราคาแพงเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายทั้งที่พื้นที่ตรงนั้นยังไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อขายกันได้ตามกฎหมายที่ดิน
หากมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่าวิวัฒนาการนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำไร่เลื่อนลอยซึ่งเกิดขึ้นตามแหล่งต่างๆ
ของประเทศ การเผาป่าเพื่อนำที่ดินมาปลูกพืชเชิงเดี่ยวเกิดขึ้นเรื่อยมาในช่วงเวลา
50-60 ปีจากวันที่เรามีนโยบายเร่งรัดพัฒนาประเทศ
แม้แต่ที่ดินตามชายฝั่งและเกาะต่างๆ ก็ถูกทำลาย
การตัดป่าไม้โกงกางเพื่อนำพื้นที่มาทำบ่อกุ้งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง

ตัวอย่างทางด้านการสร้างรีสอร์ตได้แก่ทางฝั่งตะวันออกของอ่าวไทยซึ่งเริ่มเมื่อหลายสิบปีก่อนที่บางแสน
หลังบางแสนเสื่อมโทรมและหมดความนิยมลงก็เลื่อนไปพัทยาเหนือ
แล้วลงไปพัทยาใต้ต่อไปถึงหาดจอมเทียน และเกาะช้างเกาะกูด
ทางฝั่งตะวันตกของอ่าวไทยก็เริ่มจากหัวหินแล้วลามถึงชะอำ ปราณบุรี
เกาะสมุย และพะงัน

ส่วนทางฝั่งทะเลอันดามันก็ที่ภูเก็ต
เกาะในเขตจังหวัดตรังและชายฝั่งจังหวัดพังงา
สถานที่เหล่านั้นส่วนใหญ่เกิดจากการทำลายป่าเพื่อนำเนื้อที่มาสร้างโรงแรม
รีสอร์ตและบ้านพักตากอากาศ
การทำลายป่ามักตามมาด้วยความสกปรกของผืนดินชายฝั่งและน้ำทะเล
นอกจากนั้นยังมีบริการโสเภณีที่มีทั้งแบบลับๆ และแบบออกหน้าออกตา เช่น
ที่พัทยาเหนือจนทำให้เมืองไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเพื่อปลดเปลื้องความคั่งค้างทางเพศ

หลังจากได้เห็นอำเภอวังน้ำเขียวกลายเป็นเนินเขาหัวโล้นโดยทั่วไป
และแทบจะไม่มีนกบินไปมาให้เห็น ผมนึกถึงหนังสือเรื่อง Silent Spring ของ
Rachel Carson เรื่อง An Inconvenient Truth ของ Al Gore และเรื่อง
Collapse ของ Jared Diamond
เล่มแรกพูดถึงความเงียบเหงาของธรรมชาติเมื่อปราศจากเสียงนก
สภาพเช่นนั้นเกิดขึ้นเพราะสารเคมีจำพวกดีดีทีได้เข้าไปทำลายสิ่งแวดล้อมส่งผลให้เปลือกของไข่นกเปราะบางจนฟักออกเป็นตัวไม่ได้
ผู้แต่งเรียกความสนใจได้สูงมากจนในที่สุดสารเคมีจำพวกดีดีทีก็ถูกห้าม

อย่างไรก็ตาม
มันสายเกินไปสำหรับตัวเขาเองที่ต้องตายก่อนวัยอันควรด้วยโรคมะเร็งซึ่งสารเคมีอาจมีส่วนทำให้เกิดขึ้น
การที่นกหายไปจากวังน้ำเขียวนั้นอาจเกิดจากการทำลายป่าแบบน่าอดสูจนนกไม่มีที่จะอยู่อาศัยจำเป็นต้องอพยพไปอยู่ที่อื่น
หรือจากการใช้สารเคมีทำไร่ในย่านนั้นจนเกิดผลกระทบทางลบต่อการขยายพันธุ์ของนกก็ได้

ส่วนหนังสือสองเล่มหลังซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้วทั้งคู่พูดถึงเกาะฮิสปันโยลาอันเป็นดินแดนแห่งแรกของโลกใหม่ที่คริสโตเฟอร์
โคลัมบัส เดินทางไปถึงเมื่อปี พ. ศ. 2035
ในปัจจุบันเกาะนี้เป็นที่ตั้งของทั้งสาธารณรัฐโดมินิกันและเฮติ
ผู้แต่งนำภาพถ่ายทางอากาศมาเสนอ
ภาพนั้นแสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัดว่าทางฝั่งโดมินิกันยังมีพื้นที่สีเขียวอยู่ทั่วไป
ส่วนทางฝั่งเฮติได้กลายเป็นสีน้ำตาลเกือบทั้งหมด
การนำเกาะนั้นมาเสนอก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า
การทำลายป่านำมาซึ่งความล่มสลายเนื่องจากการทำลายป่าก็คือการทำลายตัวเอง

อย่างไรก็ตาม
ความล่มสลายของเฮติมิใช่ของใหม่เนื่องจากการทำลายป่าได้ทำให้สังคมล่มสลายมามากต่อมากแล้ว
หากย้อนไปดูสังคมใหญ่ๆ ในยุคบาบิโลนในตะวันออกกลาง
ยุคโรมันในทางตอนใต้ของยุโรปและสังคมมายาในอเมริกากลางจะเห็นว่าการทำลายป่าเป็นปัจจัยสำคัญของการทำให้สังคมเหล่านั้นล่มสลาย

เมื่อผมเข้าไปดูภาพถ่ายทางอากาศของเมืองไทยในอินเทอร์เน็ตก็พบว่า
บริเวณวังน้ำเขียวและเขาใหญ่มีสภาพไม่ต่างกับเฮติและโดมินิกันแม้แต่น้อย
นั่นจะเป็นการบอกอะไรกับใครอย่างไรหรือไม่ผมไม่อาจเดา
แต่สำหรับผมมันตอกย้ำให้เกิดความแน่ใจอีกครั้งหนึ่งว่า
การพัฒนาของไทยเป็นแบบการทำไร่เลื่อนลอยและขายของเก่ากินติดต่อกันมาเป็นเวลานานและยังดำเนินต่อไปแบบไม่หยุดยั้ง
ตัวเลขต่างๆ จำพวกรายได้ประชาชาติ หรือจีดีพี
และการอยู่ดีกินดีที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลา 50-60
ปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่มีการทำลายป่าเพื่อนำที่ดินมาใช้ในกิจการต่างๆ
เป็นส่วนประกอบสำคัญ ร้ายยิ่งกว่านั้น
เมื่อการทำลายป่าก่อให้เกิดรายได้ก็ถูกนำไปใช้แบบสุรุ่ยสุร่ายด้วยการก่อสร้างสิ่งต่างๆ
ซึ่งใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่าดังที่คอลัมน์นี้ได้ชี้ให้เห็นแล้วเมื่อวันที่
12 มีนาคม ที่ผ่านมา

การทำลายป่าไม่ได้นำมาซึ่งการลงทุนแบบยั่งยืน ฉะนั้น
เมื่อป่าหมดไป เมืองไทยก็จะไม่มีทุนสำหรับพัฒนาต่ออย่างเพียงพอซึ่งจะทำให้การพัฒนาหยุดชะงัก
ร้ายยิ่งกว่านั้นประเทศอาจล่มจมแบบเฮติก็ได้หากการทำลายป่ายังไม่หยุดยั้งยังผลให้คนไทยมีใจอำมหิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนฆ่าฟันกันเองได้เช่นชาวเฮติ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปีสองปีมานี้ชี้ให้เห็นว่าจิตใจของคนไทยเริ่มวิวัฒน์ไปในทางนั้นแล้ว

ทางออกสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนฐานของการคิดให้เป็นไปในแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยเฉพาะความรู้จักพอของผู้ที่มีอันจะกินแล้ว
รัฐบาลมีหน้าที่ดำเนินนโยบายและสร้างแรงจูงใจเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงดังที่ได้เสนอไว้ในหนังสือชื่อ
"สู่ความเป็นอยู่แบบยั่งยืน" และ "ทางข้ามเหว"
ซึ่งมีแจกให้ผู้สนใจตามที่เรียนไว้ในเว็บไซต์ www.sawaiboonma.com


++
(บทความนี้ถูกตัดออกหรืออย่างไรถึงไม่ขึ้น พยายามอีกครั้งสิ)
.....มีใครสักกี่คนที่สนใจเข้ามาอ่านบทความนี้ หรืออ่านแล้วก็ผ่านเลยไป
ไม่ได้นำมาใส่ใจกระตุ้นความคิดให้ต่อยอดไปในทางสร้างสรร
จุดประกายให้อยากทำอะไรสักอย่างให้เป็นการดึง ฉุดรั้ง
ให้แผ่นดินทองกลับมาเหมือนเดิม ส่วนใหญ่ก็เฉยๆ ธุระไม่ใช่
.....ขอชื่นชม ASTV ที่นำบทความดีๆมีประโยชน์อย่างนี้มาลง
อยากให้นำมาลงเยอะๆ
เพื่อเป็นการกระตุ้นจิตสำนึกของคนไทยถึงสมบัติของประเทศไทยอันมีค่ากำลังถูกทำลายจากคนเห็นแก่ตัว
มองโลกใบนี้แคบๆแค่คืบแค่ศอก ตัวอย่างก็เห็นมามาก
สุดท้ายมันก็มีผลกลับมากระทบตัวเอง
เสียดายคนไทยตะบี้ตะบันเรียนกันจนจบปริญญาโทจนเป็นแฟร์ชั่น แต่คิดไม่เป็น
เพียงเอาแต่กระดาษมาโชว์ชาวบ้านเพื่อความโก้ว่าฉันมีความรู้สูงนะ
แต่ไม่มีคุณภาพ เวลาที่ผ่านมาเสียเวลาเปล่า
ปัญหาที่เกิดคือทำให้สังคมไทยอ่อนแอ ทดถอย ทุกอย่างแย่ลงไปเรื่อยๆ
....ประเทศที่ฉันอยู่เขาห้ามตัดต้นไม้ และฆ่าสัตว์ มิเช่นนั้นติดคุกหัวโต
และประชาชนเขามีจิตสำนึกรักสัตว์มาก
และช่วยกันปลูกต้นไม้ตลอดเวลาเป็นนิสัยตั้งแต่เด็กประถม
ประชากรส่วนใหญ่จบแค่ม.๓ หรือ ม.๖ เท่านั้น แต่เขาฉลาดและมีคุณภาพ
ตัวฉันเองพยายามที่จะเรียนให้ได้สูงมี่สุดเท่าที่จะทำได้จนถึงปริญญาเอก
พวกเขาถามว่าจะรียนเอาไปทำไมมากมาย
ถ้าเอากระดาษแผ่นนั้นไปเก็บไว้เฉยๆโดยขาดจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อสังคม
เพื่อนมนุษย์ และประเทศของเรา
.....ขอชื่นชม ASTV อีกครั้งที่นำเสนอเรื่องดีๆแบบนี้ มันดีกว่าเรื่อง
"ซ้อเจ็ด" "ข่าวดาราดันเต้านมกันจนปลิ้น" "มีกิ๊ก มีตบ มั่วกันยุ่ง"
อ่านแล้วเหมือนประเทศไทยอยู่ในสังคม "ผีขนุน"
cairns

ทุกวันนี้เวลากลางคืนผมมองท้องฟ้าทีไรน้ำตามันจะไหล

ผมเคยดีใจและชื่นชมพร้อมกับคนไทยทั้งประเทศเมื่อได้ดูการเสด็จของสมเด็จพระเทพถ่ายทอดสดทางทีวี
ที่พระองค์ เดินทางไปร่วมในพิธียิงจรวดปล่อยดาวเทียม นามพระราชทาน
ที่มีชื่อว่าไทยคม ที่มีบริษัท ชินแซทเทริน์ไลท์
ของทักษิณและครอบครัวที่ได้ขอสัมปทาน และได้รับอนุญาติ จากรัฐบาลของ
ประเทศไทยให้มีสิทธ์ในการทำธุรกิจ
สร้างและปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรเหนือประเทศไทยเพื่อ
ให้ประเทศต่างๆเช่าคลื่นความถี่ใช้ในการสื่อสาร ณ. ประเทศเฟร้น กิอาน่า
อดีตอานานีคมของฝรั่งเศส
ที่ฝรั่งเศสใช้เป็นฐานยิงจรวดปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่อาวกาศอยู่เป็นประจำ

มาในครั้งนี้ ก็ได้รับการว่าจ้างจากบริษัทชินแซทเทริน์ไลท์ของทักษิณ
ให้ยิงจรวดปล่อยดาวเทียมไทยคมขึ้นสู่อาวกาศ
ในวันนั้นพอยิงขึ้นสู่เอาวกาศเสร็จ
ทักษิณก็ลุกขึ้นถือไมค์โครโฟนพูดกับคนไทยทั้งประเทศ
ว่าดาวเทียมดวงนี้เป็นของคนไทยทั้งประเทศ ขอให้ทุกคนจงภูมิใจ
ทุกคนที่ได้ชมการถ่ายทอดสดในวันนั้นรวมทั้งผมด้วย
ก็หลงดีใจว่าต่อไปนี้ประเทศเราไม่น้อยหน้าชาติอื่นแล้วเพราะเรามีดาวเทียมของเราเองแล้วไม่ต้องไปขอเช่าประเทศอื่นเขา
แต่ต่อมาอีกหลายปีสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศแทบช็อคก็เกิดขึ้น
ช่วงก่อนปีใหม่ก็มีข่าวแพร่ออกมาทางสื่อสารมวลชนในประเทศไทยว่าบริษัท
ชินแซทเทรินไลท์ของทักษิณกำลังจะเสนอขายสัมปทานดาวเทียมพร้อม
คลื่นโทรศัพท์มือถือที่ได้รับอนุญาติจากรัฐบาลของประเทศไทยให้กับบริษัทเทมาเสกของสิงค์โปร
ในราคา76000ล้านบาท
แต่ติดข้อกฎหมายว่าให้ต่างชาติถือหุ้นในส้มปทานได้ไม่เกิน25%
เทมาเสกจึงไม่ตกลงที่จะซื้อเพราะว่าบริษัทเทมาเสกต้องการถือหุ้นใหญ่เกิน
50% ในบริษัทชินแซทเทรินไลท์ จึงจะยอมตกลงซื้อ
ทักษิณซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนั้ัน
จึงได้วางแผนใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี แก้ ออก กฎหมายใหม่ให้ต่างมี
ถือหุ้นในสัมปทานดาวเทียมสื่อสารในประเทศไทยได้49%
และเพื่อเลีย่งกฏหมายที่ไม่ให้ต่างชาติถือหุ้น100%จึงไปตั้งบริษัทกุหลาบแก้วโดยมีคนไทยเป็นนอมินีให้เทมาเสก
ถือหุ้นอีก51% ออกกฏหมายเสร็จเทมาเสกตกลงซื้อก็แอบนัดเซ็นสัญาขายกันในวันขึ้นปีใหม่
ทักษิณพร้อมลูกเมียก็เดินทางไปสิงค์โปรโดยตอบนักข่าวว่าจะไปเที่ยวที่ประเทศสิงค์โปร
ไม่ได้ไปเซ็นสัญญาขายดาวเทียมไทยคม แต่พอทักษิณไปอยู่ที่ประเทศสิงค์โปร
ก็มีสื่อต่างประเทศลงข่าวว่าทักษืณได้ตกลงเซ็นสัญญาขายสัมปทานคลื่นโทรศัพท์มือถือ
และดาวเทียมไทยคมโดยในสัญญาซื้อขายยังรวมเอาวงโคจรดาวเทียมไทยคม
ที่เป็นสมบัติของชาติไทยยกให้เป็นกรรมสิทธ์ของบริษัทเทมาเสกของประเทศสิงค์โปรแต่ผู้เดียว
จึงทำให้ทุกวันนี้ประเทศไทยไม่มีสิทธ์ที่จะอนุญาติให้ใครเช่าใช้
หรือยิงจรวดส่งดาวเทียมขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือประเทศตัวเองทุกกรณีตลอดไปต้องขออนุญาติเช่าจากประเทศสิงค์โปรเท่านั้นเพราะว่าทักษิณได้ขายให้เขาไปแล้ว
มันช่างน่าอับอายประเทศอื่นเขาไปทั้งโลก
ที่ที่รัฐบาลไทยโดยนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่เป็นคนไทยมาขายวงโคจรดาวเทียมที่เป็นสมบัติของชาติไทยให้ต่างชาติ
มันไม่มีประเทศไหนในโลกนี้เขาทำกัน ประเทศก้มพูชา ลาว พม่า
เขายังมีวงโคจรดาวเทียมไว้ปกป้องประเทศเขายามเกิดสงคราม
แต่ประเทศไทยไม่มี
วงโคจรดาวเทียมที่จะยิงจรวดส่งดาวเทียมเพื่อใช้เทคโนโลยี่ที่ทันสมัยเหมือนที่ประเทศอเมริกามีใช้
เพื่อใช้ทำสงครามปกป้องประเทศไทย ให้พ้นภัยเมื่อถูกรุกรานจากประเทศอื่น
ทุกวันนี้เวลากลางคืนผมมองท้องฟ้าทีไรน้ำตามันจะไหล
เมื่อนึกถึงดาวเทียมทีมีชื่อจากการได้รับพระราชทาน ชื่อไทยคม

คำต่อคำ "มาร์ค" นำทีมเจรจาแกนนำเสื้อแดงยก 2

รายละเอียดการเจรจาระหว่างฝ่ายรัฐบาล ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายชำนิ
ศักดิเศรษฐ์ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และฝ่ายแกนนำคนเสื้อแดง
ประกอบด้วยนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายเหวง โตจิราการ
ที่สถาบันพระปกเกล้า เวลา 18.00-22.00 น. วันที่ 29 มีนาคม 2553


วีระ - ต้องขอบคุณท่านนายกฯ วันนี้เป็นวันที่ 2
เรากลับมาคุยกันอีกแล้ว การพบกันเมื่อวาน ถ้าจะประเมินโดยทั่วไป
ผมคิดว่าชาวบ้านรู้สึกสบายใจ เรื่องอื่นไม่ต้องพูด
พูดว่ามีคนรู้สึกสบายใจ ว่าแนวทางที่จะไปสู่ความปกติสุขพอจะมี ท่านนายกฯ
เองก็มีเวลา ผมเห็นใจจริงๆ เดี๋ยวเดินทางไปนู้นมานี่มาเหลือเกิน
เพราะฉะนั้นเราจะไม่รบกวนเวลามาก จากข้อสรุปที่เราคุยกันค่อนข้างยืดยาว
ธรรมดาของการพบกันครั้งแรก มันมาสู่ข้อเรียกร้อง
ขอย้ำข้อเรียกร้องเท่านั้นเองว่า ก่อนจากกันผมได้ขอว่า พิจารณายุบสภา สัก
15 วันน่าจะเหมาะสม เหตุผลเราก็ได้ถกกันไปมากแล้ว
ท่านก็คงกลับไปตรึกตรองอย่างดีแล้ว
เพราะฉะนั้นวันนี้อยากให้เป็นการคุยกัน คือไม่อยากพูดว่าเป็นขั้นสุดท้าย
แต่มันควรจะได้ข้อสรุป เพราะว่าเราไม่อยากกวนเวลาท่านมากเกินไป
เพราะฉะนั้นก็ขอถามตรงถึงคำตอบว่า ตรึกตรองแล้วท่านนายกฯ
และคณะมีความคิดเห็นอย่างไรต่อข้อเสนอที่ได้ฝากไว้เมื่อวานครับ

อภิสิทธิ์ - ก็คงตอบได้ว่า เมื่อวานที่ผมให้เหตุผลไปว่า
การที่จะมีการเลือกตั้งใหม่เพื่อเป็นทางออกของสังคม
คงจะมีเงื่อนไขที่เราจะต้องช่วยกันทำให้มันสำเร็จจริง
เราถึงจะมั่นใจว่านั่นเป็นทางออกที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
แล้วก็เป็นทางออกที่แท้จริง ผมก็ฟันธงได้เลยว่าวันนี้ กับ 15 วัน
ไม่ต่างกันเลยครับ ยุบสภาวันนี้ กับยุบอีก 15 วัน ไม่ต่างกัน
ความหมายก็คือว่า ผมไม่เชื่อว่าคือทางออกของสังคม และจะนำไปสู่ความสงบ
แต่ทางผมเองก็ได้มีการปรึกษาหารือกันในหลายๆ
ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลโดยตรง ได้สดับตรับฟังจากพี่น้องประชาชน
ก็ต้องเรียนตรงๆ ว่า ประชาชนส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา
แต่ผมคิดว่าประชาชนส่วนใหญ่ก็อยากให้มีความยืดหยุ่น
เพราะฉะนั้นผมก็ยืนยันได้ว่า ถ้าจะให้วาระของผมที่จะเป็นรัฐบาล
ซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่ 1 ปี กับ 9 เดือน ว่าไม่ครบตามวาระ
จัดให้มีการเลือกตั้งเสียก่อนที่จะครบวาระ ผมไม่มีปัญหา
สิ่งที่ผมเชิญชวนมาช่วยกันทำก็คือ ปูทางไปสู่ความสงบ ไปสู่การเลือกตั้ง
ซึ่งได้พูดไป 2-3 ประเด็น เช่น เรื่องรัฐธรรมนูญ เช่น
เรื่องของการที่จะช่วยกันดูแลให้ฝ่ายต่างๆ ในสังคม
ซึ่งมีลักษณะการเคลื่อนไหว ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความแตกแยกมากขึ้น
ได้เริ่มปรับลดอารมณ์ลงมา ระยะเวลาตรงนี้ไม่ได้ยาวนานมาก
ผมคิดว่าคงจะต้องถามก่อนว่า พร้อมจะคุยกันในกรอบแบบนี้หรือไม่
หรือว่ายืนยันว่า 15 วันแล้ว ไม่ต้องพูดกันแล้ว นั่นเป็นสิทธิของท่าน
แต่ถ้าพูดว่า 15 วันไม่ต้องคุยกันแล้ว ผมต้องเรียนว่า
ผมก็ไม่มีทางอื่นนอกจากจะบอกว่า มันเป็นข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้
เพราะผมไม่คิดว่ามันเป็นประโยชน์กับการจะนำความสงบสุข
และเป็นทางออกของประเทศ ผมอาจจะผิดท่านอาจจะถูก
แต่ผมได้ตรึกตรองแล้วเห็นว่าไม่ใช่ แต่ผมเห็นว่า
การมีกระบวนการขั้นตอนที่ช่วยกันคิดเรียงออกมา ใช้เวลานัดวัน
กี่เดือนแล้ว นำไปสู่การเลือกตั้ง ผมคิดว่าอันนี้ทำได้
ถ้าสนใจก็คุยกันต่อ ถ้าท่านไม่สนใจก็อันนี้ก็แล้วแต่ท่าน

วีระ - ก็ควรจะมีเหตุผล
เราก็มาฟังการพูดมันก็ต้องมีเหตุผลกันเท่านั้นเอง ท่านมีเงื่อนเวลา
หรือท่านต้องการอธิบายเหตุผลเพิ่มเติม
หรือจตุพรจะเสริมในส่วนประเด็นนี้ก็ลองดู

จตุพร - ผมต้องเรียนอย่างนี้นะครับว่า คือ ณ ขณะนี้
ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
แล้วตัวนายกรัฐมนตรีเองก็เคยแสดงความคิดเห็นในวันที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน
ว่าการยุบสภาเพื่อจะผ่านพ้นวิกฤตไป
เวลาที่ท่านเป็นผู้นำฝ่ายค้านท่านใช้คำพูดว่า
ผมยอมเสียเปรียบกับการเลือกตั้ง เรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช ได้ยุบสภา
คืนอำนาจให้กับประชาชน และก็ให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแก้ปัญหา

อภิสิทธิ์ -
ประทานโทษนิดหนึ่งนะครับพอดีเมื่อวานเราคุยกันเรื่องนี้แล้ว
เพราะว่าผมจะย้ำว่าวันนั้นไม่มีกรณีผู้ชุมนุมมาเรียกร้องให้ยุบสภา
และผมได้ให้ความเห็นว่า เหตุผลหนึ่งซึ่งเราต้องดูตรงนี้ด้วย ก็เพราะว่า
ถ้าหากว่ามีการชุมนุมกดดันเรียกร้องสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งเห็นว่าการไปโอนอ่อนผ่อนปรนจะเป็นลักษณะของการเชื้อเชิญให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้
วันนั้นไม่ได้เสนอให้ยุบสภา เพราะว่าผู้ชุมนุมเขาไม่ต้องการให้ยุบสภา
มันจึงเป็นข้อเสนอที่แตกต่าง
เวลาเราเปรียบเทียบเหตุผลมันต้องเอาสถานการณ์เดียวกันมาพูด
แต่ว่าวันนี้ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธการยุบสภา แต่ไม่ใช่วันนี้หรือ 15 วัน

จตุพร - คือวันนั้นที่นายกรัฐมนตรีพูดมีอยู่ 2 ตอน
ตอนหนึ่งคนแสนคน ยกตัวอย่าง รัฐมนตรีของเกาหลีใต้
และต่อมาเรื่องเสนอเงื่อนไขให้มีการยุบสภา บอกว่าตัวเองยอมเสียเปรียบ
และก็ยุบสภาเพื่อที่จะฝ่าวิกฤต เป็นถ้อยคำอยู่ในซีดี สามารถเปิดดูได้
ผมเรียนอย่างนี้นะครับว่า คือสถานการณ์ที่เดินกันต่อไปนี้
วันนี้เราได้ถือโอกาสที่ดีว่าเหตุที่พวกกระผมมาเรียกร้องให้ท่านยุบสภานั้น
เป็นเหตุผลที่ได้รวบรวมเพื่อที่ท่านจะได้ประเมินในการตัดสินใจ
และใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงพี่น้องประชาชน
ปกติพวกผมพูดอยู่ที่สะพานผ่านฟ้าฯ ท่านชี้แจงอยู่ในราบ 11 บ้าง ที่ใดบ้าง
วันนี้ก็ถือสรุปว่าข้อต่างๆ ว่าเหตุใดจึงเรียกร้องให้มีการยุบสภาภายใน 15
วัน เพราะว่าข้อเท็จจริงนั้น ถ้าบวกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ก็คือ 60 วัน
15+45

ประเด็นต่อมา กรณียุบสภาก็คือ หมายความว่าระยะเวลา 15 วันนั้น
ความจริงก็คือ 15+45 ในกรณียุบสภา

อภิสิทธิ์ - อันนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วนะครับ
เพราะยุบสภากับเลือกตั้งต้องห่างกัน 45-60 วัน

จตุพร - ประเด็นต่อมาก็คือว่า
ผมยังยืนยันว่าเหตุที่มาเรียกร้องให้มีการยุบสภาเพราะว่าพวกผมเห็นว่าท่านมาโดยมิชอบ
เพราะว่าการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารนั้นยังเป็นเรื่องหลัก
และเป็นหัวใจหลัก การยกกล่าวอ้าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เสียง 18
เสียง พรรคประชาธิปัตย์ได้ 72 เสียง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
ไม่ได้ไปจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร เพราะฉะนั้นถือว่าตำแหน่งนายกฯ
เป็นลาภมิควรได้ ท่านเป็นนายกฯ 1 ปี 4 เดือน ถือว่าเป็นประเด็นที่มากพอ
เพราะฉะนั้นท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นตั้งแต่แรก จึงจะมาบอกว่าเหลือ 1
ปี 9 เดือนนั้นคงจะไม่ใช่

ประเด็นที่ 2 ที่วันนี้มีการข่าวบอกว่า
ได้มีการพูดคุยกับพรรคร่วมเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่านก็คงจะทราบว่า
รัฐธรรมนูญปี 50 ที่ผ่านประชามตินั้น
คนไทยอยู่ในสภาพของการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ทุกคนต้องการให้มีการเลือกตั้ง หลายส่วน
ฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการผ่านรัฐธรรมนูญก็บอกว่า
ให้มีการเลือกตั้งก่อนแล้วมาแก้กันทีหลัง แม้กระทั่งตัวท่านเอง
จะเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ตาม
หรือว่าใครก็ตามเวลานั้นก็จะพูดอย่างนี้เหมือนกันหมด
ทุกคนมีความคาดหวังว่า วันที่ 23 ธันวาคม ปี 50
เราจะได้มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
และขจัดปัญหาอะไรที่เป็นเผด็จการได้ออกไป แต่ปรากฏว่าเราไม่ได้หลุดพ้น
เพราะว่ากลไก ที่ผมเคยใช้คำพูดว่า 1 ประเทศ 2 ระบบ
ประชาธิปไตยมีเฉพาะเรื่องการเลือกตั้งเท่านั้น
แต่ที่คณะรัฐประหารทิ้งเอาไว้ นั่นคือรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ
และการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ปี 50 นั้น
คนไทยไม่เคยเลือกพรรคภูมิใจไทย ไม่เคยเลือกพรรคมาตุภูมิ หรือพรรคกิจสังคม
แต่ว่าเงื่อนไขพิเศษบางอย่าง กลไกพิเศษบางอย่าง
ทำให้พรรคเหล่านี้ได้เกิดขึ้นและนำพาสู่การสนับสนุนในการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารกับท่าน
เพราะฉะนั้นนี่เป็นสิ่งที่คนไทยไม่ได้ใช้สิทธิ์ในวันที่ 23 ธันวาคม

ประเด็นต่อมาเพื่อให้ท่านได้ตอบในคราวเดียวกันว่า
ทำไมเวลานี้ที่คนเสื้อแดงจึงเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
ท่านนายกรัฐมนตรีสามารถไปตรวจสอบได้นะครับว่า
ข่าวว่าจ้างมาบ้างอะไรมาบ้าง ท่านมีกลไกรัฐพิเศษทุกอย่าง ท่านตรวจสอบได้
แต่ผมอยากจะบอกว่า ที่เกิดขึ้นมาทุกหนทุกแห่ง เพราะทุกคนติดคำว่า 2
มาตรฐาน ซึ่งคำนี้มาจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ตรัสเรื่อง
ดับเบิลสแตนดาร์ด แต่ว่าวันนี้ไม่ว่ายากดีมีจน
รู้หนังสือจนกระทั่งปริญญาเอก ทุกคนต่างเข้าใจเรื่องความเป็น 2 มาตรฐาน
เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นบาดแผลร้าวลึกของคนไทย

ประเด็นที่ 4 เมื่อท่านเข้ามาเป็น ที่ 4 ครับที่ 4 1
คือท่านเป็นรัฐบาลโดยมิชอบ 2
คนไทยถูกบังคับให้ผ่านรัฐธรรมนูญโดยให้รับไปก่อน 3 เรื่องสองมาตรฐาน

4 ครับ วันนี้การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่าน เข้ามาสู่ในวาระ
1 ปี 4 เดือน เมื่อ 3 เดือนแรก พวกผมเป็นกลุ่มคนที่ออกมาประท้วง
แล้วเชิญชวนให้ท่านลาออก หรือยุบสภาก็ตาม หลายคนบอกว่ามันเร็วเกินไป
แต่บัดนี้ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 50 ใช้มา ท่านเป็นรัฐบาลที่ยาวนานที่สุด
คุณสมัคร สุนทรเวช เป็น 7 เดือน คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็น 2 เดือนเศษ
แต่ว่า 1 ปี 4 เดือนนั้น เหตุที่บอกว่า นอกจากที่มาโดยมิชอบแล้ว
ท่านยังล้มเหลวทางนโยบายหลายอย่าง เช่น การไปเซ็นสัญญาอาฟตา
ในเสรีนำเข้าสินค้าเกษตร
ซึ่งเรื่องนี้เปรียบเทียบกับการนำเนื้อวัวเข้าประเทศเกาหลีใต้
ได้เป็นอย่างดี หรือการกู้เงินที่เป็นจำนวนสูงสุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
แล้วคนไทยเป็นหนี้ทั้งประเทศ ที่สำคัญที่สุด คือว่า
การกู้เงินมาใช้จ่ายของท่านนั้น ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ก.หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน
รวม 8 แสนล้าน หรือรูปแบบการกู้มาก่อนหน้านี้
เป็นการนำเงินกู้จำนวนมหาศาลมาใช้นอกงบประมาณแผ่นดิน
ไม่อยู่ในงบประมาณของแผ่นดิน จึงอยู่นอกเหนือการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการ
35 คณะ ซึ่งเขาจะต้องตรวจสอบงบประมาณแผ่นดิน
จึงเกิดข้อสงสัยเรื่องการทุจริตหลายแสนล้าน ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์
จนกระทั่งคนไทยติดปากว่า กู้มาโกง เช่น ทุจริตโครงการชุมชนพอเพียง
ที่ท่านกอร์ปศักดิ์เคยรับผิดชอบ หรือแม้กระทั่งเรื่องปลากระป๋อง
อย่างไม่น่าควรจะเป็น เรื่องชุมชนไทยเข้มแข็ง กระทรวงสาธารณสุข
ที่นายแพทย์บรรลุได้ตรวจสอบออกมา
การจัดซื้ออาวุธที่ไร้ประสิทธิภาพของกระทรวงกลาโหม ไม่ว่าจะเป็น จีที 200
เรือเหาะ นะครับราคาสูงกว่าความเป็นจริง แล้วก็ใช้การไม่ได้
นอกจากนี้ในกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย ในการสอบเข้านายอำเภอ
ไม่มีรัฐบาลใดที่ลอกข้อสอบกันชนิดก๊อปปี้ลายมือเดียวกัน
แล้วไม่มีการดำเนินการใดๆ ตามกฎเหล็ก 9 ข้อที่ท่านพูดเรื่องความโปร่งใส
ว่านักการเมืองควรมีมาตรฐานมากกว่าคนอื่น

ประเด็นต่อมา ที่มีการหยิบยกว่า
เราควรจะแก้ไขรัฐธรรมนูญกันก่อนยุบสภา
หรือว่าจะยุบสภากันก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมเรียนกับท่านนะครับว่า
พวกผมเห็นว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น หนึ่ง
มันไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้ เพราะตลอดตั้งแต่ท่านมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ท่านมีเพียงแต่คำพูดเท่านั้น ว่าไม่ขัดข้องจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ท่านเป็นคนแรกหลังจากรัฐธรรมนูญผ่านว่าจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ท่านเป็นคนที่รับปากกับพรรคร่วมฯ ไม่ว่ารับปากกับคุณเนวิน คุณบรรหาร
และก็อีกหลายพรรค เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วก็มีการทวงกัน

เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการชุดสมานฉันท์เพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อเขาพิจารณามา 6
ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาใหม่ในวันนี้นั้น
ปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์เองไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับการแก้ไข
ตามข้อเสนอของคุณดิเรก ถึงฝั่ง และคณะ
แต่ว่าเรื่องนี้เมื่อถูกบรรจุเข้าในที่ประชุมรัฐสภา
ท้ายที่สุดก็ไม่ได้มีการดำเนินการอะไร
เพราะฉะนั้นพวกกระผมก็เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปนี้
มันควรเกิดขึ้นจากภายใต้กติกาโดยประชาชนได้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้ามาใหม่
และก็เป็นเงื่อนไขกับประชาชน เพราะวันนี้เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า
เรามีความเห็นที่แตกต่างเรื่องรัฐธรรมนูญ เช่น มาตรา 309
เป็นบทบัญญัติที่นักประชาธิปไตยรับไม่ได้เลย
ที่ยอมรับการกระทำของคณะรัฐประหาร ว่ากระทำการใดๆ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน
อนาคต แล้วไม่มีความผิด มาตราแบบนี้ไม่ควรอยู่ในระบอบประชาธิปไตย
แต่ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ก็ไม่ได้มีการพยายามที่จะพูดเรื่องประเด็นเหล่านี้
แม้กระทั่งเรื่องความเห็นที่แตกต่างกับพวกผมโดยสิ้นเชิง

ผมเห็นเรื่องตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นเรื่องใหญ่
เพราะฉะนั้นพวกผมเองก็มีความเห็นว่า ถ้าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น
พวกผมก็จะแก้ไขในประเด็นนี้
เพราะผมเห็นว่าองค์รัชทายาทควรจะได้รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
หรือคนที่พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยแต่งตั้ง เช่นปี
2504-2505 เสด็จฯ ต่างประเทศยาวนาน
ก็ตั้งสมเด็จย่าเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในความเห็นของพวกผม
ผมไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง สอง
พวกผมเห็นว่ามันสายไปแล้วที่จะพูดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
และหมดเวลาที่จะมาพูดกันเรื่องนี้ และการยุบสภานั้น
ที่ท่านเคยพูดในวันที่นายสมัครเป็นนายกฯ ว่า จะทำให้ประเทศผ่านวิกฤตไปได้
แล้วก็เอาผลการเลือกตั้งไปผ่านวิกฤต
วันนี้ผมยังเห็นว่าข้อเสนอของท่านที่เคยพูดต่อนายสมัคร
ผู้ล่วงลับไปแล้วในวันนี้ ยังนำมาใช้กับตัวท่านได้เองอยู่
ในวันที่ท่านเป็นตำแหน่งหน้าที่เดียวกับที่นายสมัครเคยเป็น
เพราะฉะนั้นพวกผมเองยอมให้ท่านจัดการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญปี 50
เพื่อดำเนินการเลือกตั้งโดยทันที เสร็จแล้วก็ประกาศต่อประชาชน
เพื่อจะมาเปลี่ยนแปลงกติกาอันใหม่ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
โดยแจ้งกับประชาชนผู้เลือกตั้ง
ว่าใครจะสนับสนุนแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญกันอย่างไร

เพราะฉะนั้นความจริงแล้วเรื่องซีดีที่ท่านพูดมาอย่างไร
ความจริงจะเปิด แต่ว่าไม่เป็นไร แต่ผมมีความรู้สึก
ด้วยความรู้สึกนึกคิดว่า วันนี้ที่ผมลำดับความมาทั้งหมด 6 ประเด็นนั้น
ผมอยากต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยแนวทางประชาธิปไตย
คำพูดของนายกรัฐมนตรีจะเป็นอมตะ เรื่อง 1 คน แสนคน
คือวันที่ท่านปฏิบัติเอง วันที่ท่านพูดให้คนอื่นปฏิบัตินั้น
มันอาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับการปฏิบัติของตัวท่านเอง เพราะฉะนั้นวันนี้
ถ้าท่านยกตัวอย่างเรื่องรัฐบาลดำเนินการทางนโยบายผิดพลาด ลาออก
มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ลาออก วันนี้ ท่านต้องยอมรับ
รัฐมนตรีของท่านก็ลาออก มีการปรับหลายตำแหน่ง
ก็เรื่องข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งสิ้น
แม้กระทั่งเรื่องเสียดแทงหัวใจพี่น้องคนไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ
พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ว่าเขามาร้องขอชีวิตจากท่านที่ทำเนียบรัฐบาล
เขาโชคร้ายไม่ได้เจอท่านและกลับไปเสียชีวิต

ผมจึงสรุปอย่างนี้ว่า ทั้ง 7 ข้อ ที่พวกผมประเมินสถานการณ์กัน
อยากบอกท่านนายกรัฐมนตรีว่า
พวกผมไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นข้อขัดแย้งอะไรส่วนตัวกับท่าน
และไม่เคยมีปัญหาใดๆ แต่ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ วันนี้ พวกผมมาเรียกร้อง
เพื่อต้องการให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ และที่ท่านบอกว่า
ถ้ายุบสภาแล้วปัญหามันจะจบอย่างไร คือท่านต้องเป็นหลัก พวกผมต้องเป็นหลัก
กลุ่มต่างๆ ที่เป็นกลุ่มการเมือง หรือแม้กลุ่มคนกลางๆ
ซึ่งมีตัวตนชัดเจนให้สัตยาบรรณซึ่งกันและกัน
เพื่อประเทศมันจะได้เดินทางต่อไปข้างหน้า และพวกผมไม่ได้ขัดข้องอะไร
ท่านจะรับข้อเสนอหรือไม่รับข้อเสนอก็ตามเป็นสิทธิของท่าน
ในฐานะผมเป็นประชาชนคนหนึ่ง ผมไม่ต้องการที่จะมาทะเลาะ
หรือเกิดสงครามกลางเมือง ระหว่างผู้ใช้อำนาจ รัฐบาลกับพี่น้องประชาชน
เพราะถ้าท่านใช้ทหารล้อมปราบ เข่นฆ่าประชาชน ท่านก็อยู่ไม่ได้
และถ้าท่านอยู่ ท่านจะต้องถูกดำเนินคดี

เพราะฉะนั้น ผมจึงเรียนกับท่านว่า
การเปลี่ยนแปลงด้วยวิธีประชาธิปไตย เป็นเรื่องงดงามที่สุด และวันนี้
ท่านได้เปรียบทุกอย่าง ไม่ว่าจะท่านจะพูด 240 เสียง เลขาธิการพรรคจะ 280
เสียงก็ตาม พวกผมขอเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และยอมรับผลการเลือกตั้งโดยดุษณี
และเชิญชวนพี่น้องทุกภาคส่วน
เอาผลการตัดสินใจของพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้ง
เพื่อบ้านเมืองได้ฝ่าวิกฤตเดินไปข้างหน้า
วันนี้เราจะอยู่ภายใต้ลักษณะรัฐประหารนั้น ท่านก็มีความอึดอัด
จบจากประเทศที่มีความศิวิไล แต่ปรากฏว่า ทหารอยู่ในวัด
อยู่ในทำเนียบรัฐบาล อยู่ในสภา อยู่ในสวนสัตว์ อยู่ในโรงเรียน
อยู่ตามสี่แยก อยู่บนทางด่วน นี่มันไม่เป็นประเทศแล้ว
เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่า การเสียสละของท่านจะนำพาประเทศฝ่าฝันวิกฤตไปได้
เพียงแต่ท่านสามารถมองข้ามสถานการณ์ ณ เวลานี้ได้หรือไม่
ถ้าท่านเสียสละและได้รับการยอมรับจากประชาชนกลับมา ท่านจะเป็นนายกฯ
ที่ยิ่งใหญ่ แต่ท่านไม่เสียสละ ท่านเห็นว่าท่านต้องอยู่
ผมไม่แน่ใจว่าท่านจะจบชีวิตในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างไร จะทรราชย์
หรือว่าเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่สั่งปราบปรามประชาชน ด้วยความเคารพ

เหวง - นายกฯ จะตอบก่อนหรือจะอนุญาตให้ผมพูดก่อน

อภิสิทธิ์ - ผมคิดว่าคงจะต้องตอบนะครับเพราะว่าใช้เวลาเยอะ
ที่จริงนึกว่า วันนี้เรามาไม่มีพูดซ้ำประเด็น
นึกว่าวันนี้มาเพื่อที่จะเดินไปข้างหน้า
แต่ว่าเมื่อท่านกล่าวหาเยอะนะครับ ผมก็ต้องบอกว่าหลายเรื่องเท็จ ถือว่า

จตุพร - แลกเปลี่ยนกัน ได้โอกาสพูดกันต่อหน้า

อภิสิทธิ์ - ประเด็นแรกที่บอกว่ามาโดยไม่ชอบ
ผมก็ได้ชี้แจงมากไปกว่าที่พูดหยิบยกประเด็นตัวอย่างของอดีตในประเทศไทย
หรือในประเทศอื่น การเลือกนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ค่อนข้างจะพิเศษกว่าในอดีตเสียด้วยซ้ำ สมัยก่อนเขาล็อกกันเป็นพรรคๆ เลย
เชิญหัวหน้าพรรคมาพูดแล้วบังคับเป็นมติพรรคแล้วก็ส่งบัญชีเลือกกันตามนั้น
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ ส.ส. พูดง่ายๆ ภาษาหลวมๆ มีเอกสิทธิ์ มีอิสระ
ไม่จำเป็นต้องทำตามมติพรรค
แล้วการลงคะแนนในวันนั้นก็ไม่ได้เป็นไปตามมติพรรคด้วย
มีบางพรรคที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขาลงมติไม่เหมือนกับเสียงส่วนใหญ่ในพรรคเขา
ผมคิดว่าเป็นการดูถูกดุลพินิจของ ส.ส.มากเกินไป
ตัวแทนของปวงชนชาวไทยมากเกินไป ที่จะไปบอกว่า
กระบวนการนั้นไม่ใช่กระบวนการที่ตั้งนายกรัฐมนตรี สำคัญกว่านั้นก็คือว่า
รัฐบาลนี้ดำรงอยู่ในวาระ ในตำแหน่งมา ก็อยู่ในกระบวนการรัฐสภาทั้งสิ้น
พรรคเพื่อไทยก็เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจก็แล้ว การพิจารณาเรื่องสำคัญๆ
ในสภา ก็ดำเนินการกันมาตามปกติ การเลือกตั้งซ่อมก็มีขึ้นหลายครั้ง
ปีที่แล้วน่าจะสัก 30 กว่าเขต รัฐบาลชนะไป 20 กว่าเขต
เพราะฉะนั้นมันก็เป็นกระบวนการของรัฐสภาตามปกติ
คือในแต่ละประเด็นถ้าเราจะเถียงกันอย่างนี้คงไม่จบ
แต่ว่าผมเรียนเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง

เช่นเดียวกันนะครับ เมื่อบอกว่ามาโดยกติกาที่ไม่ชอบ
ลาภมิควรได้อะไรก็แล้วแต่ มันก็มีข้อคิด ถ้าท่านบอกรัฐธรรมนูญไม่ชอบ
แล้วท่านลงเลือกตั้งทำไมครับ ตำแหน่ง
ส.ส.ท่านก็เป็นลาภที่ไม่ควรได้เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้น ผมก็เห็นท่านเป็น
ส.ส.ใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ทุกประการ ประเด็นก็คือว่า
เมื่อมันมีกติกาเราก็เล่นตามกติกา อยากมาแก้กติกาเดี๋ยวเป็นประเด็นที่ 5
แล้วว่ากัน กติกาก็น่าคิด เพราะว่าเขาก็ดูจากประสบการณ์ในอดีต
ท่านเห็นด้วยไม่เห็นด้วยก็สุดแล้วแต่ แต่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เขาป้องกัน
เขากลัวมากเรื่องการทุจริตการเลือกตั้ง ใส่ยาถูกยาผิดไม่ทราบนะครับ
แต่กติกาเป็นอย่างนั้น
รัฐบาลที่มาแล้วปรากฏต่อมาภายหลังพบว่าเสียงที่ได้มามันได้มาโดยไม่ชอบ
นี่ละครับ ก็ถือว่า ถ้าจะใช้หลักลาภมิควรได้
มันเป็นจุดที่ทำให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมคิดว่า
วันนี้อยู่ดีๆ เรามาบอกว่า เราปฏิบัติกันมา ท่านดำเนินการในสภากันมา 2
ปีกับ 2-3 เดือน มาถึงวันนี้เราก็มาบอกว่า
มันไม่ถูกมาตั้งแต่ต้นแล้วจะมาเรียกร้อง มันเป็นเหตุผลที่แปลกอยู่
อันนี้ประเด็นที่ 1

คาบเกี่ยวประเด็นที่ 2 ที่พูดเรื่องรัฐธรรมนูญ
ผมย้ำอีกครั้งนะครับ ผมเป็นคนที่พูดว่า รับแล้วแก้ แต่คำว่า
แก้รัฐธรรมนูญ ต้องเข้าใจกันสักนิดนะครับ คุณชำนิพูดแก้รัฐธรรมนูญ
อาจจะคิดคนละเรื่องกับคุณวีระ พูดแก้รัฐธรรมนูญ
อาจจะคิดคนละเรื่องกับที่ประชาชนบางคนสนใจเรื่องรัฐธรรมนูญ อยากจะแก้ไข
กระบวนการของรัฐธรรมนูญเมื่อวางมาแล้ว
เราก็ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเพราะเราเป็นนิติรัฐ
เดี๋ยวในรายละเอียดว่าแก้ไม่แก้ตรงไหนอย่างไร
อดีตที่ผ่านมาพยายามแก้ไขกันอย่างไรหรือไม่ นั่นอยู่ประเด็นที่ 5 นะครับ
ประเด็นที่พูดว่า 1 บอกไม่ยอมรับผลของการทำงานของสภา 2
ไม่ยอมรับผลรัฐธรรมนูญ ผมมีความรู้สึกว่า เราบางทีเลือกกันตามใจชอบ
อยากใช้เอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญก็ยอมรับได้
ไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาตามรัฐธรรมนูญก็ไม่ยอมรับ ทั้งๆ
ที่รัฐบาลชุดก่อนก็มาตามรัฐธรรมนูญเหมือนกัน ผมว่าอย่างนี้เขาเรียก 2
มาตรฐานเหมือนกัน

ก็เลยมาประเด็นที่ 3 เรื่อง 2 มาตรฐาน
คือกรณีที่เป็นเรื่องเดียวกันแล้วก็ใช้หลักปฏิบัติไม่เหมือนกัน
ตอนที่มีการพูดถึงเรื่องประมาณปี 44-45
ที่เขาเห็นชัดกรณีคดีของคุณทักษิณกับคุณประยุทธ์ นะครับขออภัย
พฤติกรรมคล้ายๆ กัน เรื่องปิดบังทรัพย์สิน แล้วบอกอยู่ในชื่อภรรยา
ปรากฏว่าคดีนึงบอกว่า ต้องรู้อยู่แล้วละสามีภรรยา ลงโทษคุณประยุทธ์
แต่อีกกรณีหนึ่ง คุณทักษิณเกิดบอกว่า คงไม่ได้เกี่ยวข้องกัน
ไม่ตัดสินว่าคุณทักษิณผิด นั่นคือที่มาที่วิจารณ์กันมากคำว่า 2
มาตรฐานในยุคนั้น ส่วนที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านรับสั่งนั่น
ผมว่าพระองค์ท่านคงไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองนะครับ ก็ถามว่า
วันนั้นผมรู้สึกว่าเป็น 2 มาตรฐานไหมคดีซุกหุ้นคุณทักษิณ ผมว่าเป็นนะครับ
ผมจำไม่ได้เหมือนกันคุณหมอเหวงคิดว่าเป็นรึเปล่าขณะนั้น
แต่ว่าสิ่งหนึ่งซึ่งเราก็ยอมรับก็คือว่า เราก็ต้องดำรงความถูกต้อง
ชอบธรรมของกระบวนการของศาล ถ้าวันหนึ่งเราเริ่มที่จะพูดได้ว่า
คดีนี้ศาลใช้ได้ คดีนี้ต้องไม่ยอมรับออกมาต่อต้าน
สุดท้ายระบบบ้านเมืองไม่เหลือ เมื่อวานคุณจตุพรพูดเรื่องคลิปเสียงผม
บอกว่าฟ้องร้องกันแล้วให้ศาลตัดสินซิ ออกมาอย่างไรก็อย่างนั้น

จตุพร - คือเรื่องนี้ให้ศาลตัดสิน เป็นจริงท่านก็ถูกดำเนินคดี

อภิสิทธิ์ - ผมก็บอกว่า มันก็แปลก
เพราะท่านก็ขึ้นเวทีปราศรัยว่าศาลเชื่อถือไม่ได้หลายคดี
คำพูดของท่านและแกนนำเสื้อแดงหลายคน ที่ผมนำไปประกอบการฟ้องด้วย
ก็เห็นชัดเจนว่า ถ้าคดีไหนตัดสินถูกใจท่าน ท่านก็บอกให้ฟังศาล
คดีไหนตัดสินไม่ถูกใจ ท่านก็บอกว่า ศาล 2 มาตรฐาน ศาลไม่ควรรับฟัง

จตุพร - บางเรื่องผมก็ยื่นถอดถอนศาลเพราะว่าทำผิดรัฐธรรมนูญ
มันต้องแยกเป็นคดีๆ ไป ผู้พิพากษาไม่ใช่ทั้งหมด

อภิสิทธิ์ - ตะกี้ผมก็ให้คุณจตุพรพูดจนจบนะครับ

จตุพร - ท่านก็ขัดผมช่วงแรกหน่อยๆ ถือว่าเอาคืน ถือว่าหายกัน

อภิสิทธิ์ - ผมไม่ติดใจ แต่ผมก็เรียนให้ทราบว่า
เวลาเราพูดมันต้องมีความสม่ำเสมอ 2 มาตรฐานขณะนี้ที่หยิบยกไปอ้างว่า
บางคดีไม่ดำเนินการ บางคดีเพิกเฉย บางคดีเร่งรัด ไม่ใช่หรอกครับ
คดีไหนยากมันก็นาน คดีคุณจักรภพ เกิดขึ้นตั้งนานแล้วคนก็ยังติดใจกันอยู่
แต่เมื่ออัยการ หรือพนักงานสืบสวนสอบสวนติดขัดขั้นตอนอะไร
เขาก็ดำเนินการไป
คดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมสมัยที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ผมก็เรียนว่า
บางคดีที่ไม่ซับซ้อนเขาก็ออกหมายจับแล้ว
บางคดียังมีในขั้นตอนออกหมายเรียกก็มี บางคดีเสร็จไปแล้ว คุมขังไปแล้ว
เช่น บุก NBT เช่นที่มีการยิงปืนเข้าไปที่ซอยวิภาวดี ยุคผมทั้งนั้น
ที่ดำเนินคดีเหล่านี้ ยุคผมทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ไม่มีหรอกครับที่บอกว่า จะมาเอื้อ มาละเว้น มาอะไรกัน
คดีที่เดือนเมษายน ที่เสื้อแดงล้อมกรอบทุบรถผม
หลายคนมองประสงค์ชีวิตผมด้วยซ้ำ ก็ว่าไปตามปกติ ผมก็ไม่เคยเข้าไปยุ่ง
ข้อหาจะเป็นอย่างไร ใช้เวลานานเท่าไร ถือว่า กระบวนการเหล่านี้
รัฐบาลไม่พึงที่จะไปยุ่ง ถ้าจะมีการสั่งการ มีอย่างเดียวคือ
ให้รายงานความคืบหน้าคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
และเร่งรัดแต่ให้เกิดความโปร่งใส เท่านั้น

เพราะฉะนั้น การไปหยิบเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาแบบนี้
คือสิ่งที่มันไปเติมเชื้อความขัดแย้ง ซึ่งผมพยายามที่จะบอกว่า
เรื่องแบบนี้ มันเกินเลยไปกว่าประเด็นที่เราพูดถึงเรื่องยุบสภาเยอะ
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม
ผมถึงบอกว่ามันต้องมีกระบวนการอีกหลายอย่างทำความเข้าใจกัน
ถ้าเราคิดว่าจะนำไปสู่การแก้ปัญหานี้ ประเด็นที่ 3 นะครับ

ประเด็นที่ 4 ที่จริงจุกจิกมาก เพราะเรื่องเหล่านี้
น่าจะไปอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา แต่เมื่อพูดแล้ว ถ้าผมไม่ตอบก็เสียหาย
เช่น เรื่องอาฟตา นี่ข้อตกลงนานแล้ว สินค้าเกษตร
รัฐบาลนี้ตัดสินใจที่ยังสงวนไว้ 3 จุด ที่มีการเรียกร้องกัน จนถึงวันนี้
จึงยังไม่ได้เอาเข้ากระบวนการอาฟตา ท่านต้องไปดูข้อเท็จจริงก่อนจะพูด
และจนถึงขณะนี้ ก็ยังเป็นสินค้าที่สงวนอยู่
มีการเจรจากับเพื่อนในอาเซียนว่า เราจะสงวน 3 ประเภทนี้ เราจะทำยังไง

อันนี้ ผมก็งงเหมือนกัน อยู่ๆ หยิบยกขึ้นมา กู้เงินนะครับ
ปีที่แล้ว การกู้เงินที่เรียกว่า
เป็นการกู้เงินพิเศษนอกกรอบงบประมาณที่ว่า มีพระราชกำหนด 400,000 ล้าน
ซึ่งรัฐบาลเห็นว่า เร่งด่วนก็ฟื้นเศรษฐกิจ และปีที่แล้ว หลายคนปรามาสว่า
ฟื้นเศรษฐกิจไม่ได้ ปีนี้ ตัวเลขล่าสุดก่อนมีการชุมนุม พูดกันมากว่า
จะไปสูงมาก มีแต่การปรับขึ้นไป 3.5 บางคนพูดถึง 5% แล้ว แต่ว่าน่าสนใจคือ
จริงๆ เราวางกรอบไว้ว่า มันอาจต้องกู้ถึง 800,000
ผมเองเป็นคนที่ตัดสินใจว่า ถ้าจะไปออก พ.ร.ก.800,000 เหมือนสมัยก่อนๆ
เขาจะออกเป็น พ.ร.ก.หมด ผมว่า มันคงจะเกินเลยไป
เพราะศักยภาพการใช้เงินไม่เร็วขนาดนั้น ยังแบ่งออกว่า พ.ร.ก.ส่วนหนึ่ง
พ.ร.บ.ส่วนหนึ่ง พ.ร.บ.ยังไม่ผ่านนะ ยังอยู่ในสภา

เพราะฉะนั้น ในปีที่แล้วที่กู้พิเศษ 400,000
ถามผมว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ไหม ไม่ใช่ มากที่สุดในประวัติศาสตร์
2545 นายกฯทักษิณ กู้ พ.ร.บ.ฉบับเดียว 745,000 ล้าน

เพราะฉะนั้น ผมไม่ได้ติดใจ ผมคิดว่า สมัยนั้น
คุณทักษิณก็จำเป็นต้องกู้ สมัยนี้มีความจำเป็นก็กู้ แต่ขณะนี้
ฐานะประเทศไทย ไม่ได้มีปัญหาหนี้สิน
และหนี้สินที่เป็นของรัฐบาลที่จะดำเนินการลดลงไปได้จากการใช้หนี้ตามกระบวนการคลัง
ตามปกติ ไม่ได้กระทบพี่น้องประชาชนว่า ขณะนี้ แต่ละคนหนี้เพิ่มลักษณะนั้น
ต้องเอาความจริงมาพูดกัน ไม่งั้นเราจะมีปัญหา

ส่วนเรื่องการทุจริต ผมก็พูดมาตลอดว่า
เรื่องการทุจริตเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย คนถามผมว่าผมมาเป็นนายกฯ
จะมีทุจริตไหม ผมยังตอบเลยครับ ว่าผมเชื่อว่าสมัยผมเป็นนายกฯ
ก็ต้องมีทุจริตแน่นอน ความต่างอยู่ที่ว่าจะจัดการกับปัญหาเหล่านี้หรือไม่
เพราะฉะนั้นจะกรณีของท่านรัฐมนตรีฯ วิฑูรย์ รัฐมนตรีฯ วิทยา มานิตย์
ที่ได้แสดงความรับผิดชอบต่อความรู้สึกของประชาชน
มันเป็นบรรทัดฐานซึ่งเกิดขึ้นใหม่ ไม่เหมือนบางยุค
ไม่ได้สนใจใยดีกับเรื่องพวกนี้ แล้วก็ทุจริตที่ศาลตัดสินแล้วสิครับ
ทำไมท่านไม่พูด อันนั้นล่ะครับที่ยึดทรัพย์กันไปมโหฬารครั้งนี้
ลาภมิควรได้ ศาลอธิบายชัดเจน ทำไมไม่พูด
แล้วยุคนั้นมีไหมครับในการที่จะแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ใจให้ตรวจสอบ
ให้ดำเนินการกันก่อน ก็ไม่ใช่ แต่ยุคนี้ทำครับ GT200
ซื้อครั้งแรกทราบไหมครับยุคใครครับ นายกฯ ทักษิณครับ ราคาก็แบบนี้ล่ะครับ
เพราะฉะนั้นไม่ว่ากันครับ เขาซื้อมีเหตุผล/ไม่มีเหตุผล
กำลังอยู่ในกระบวนการที่จะมีการติดตามสอบสวน เราทำอย่างโปร่งใส
แต่ว่าเราต้องเอาความจริงให้กับประชาชน
มันจะมาบอกว่าไม่มีการดำเนินการอะไร คงไม่ใช่หรอกครับ แต่ละเรื่องก็จะทำ
อย่างสาธารณสุขพอเกิดเรื่องปั๊บ เขาอยากได้กรรมการอิสระ ผมก็ตั้ง
ตำรวจมีการกล่าวหาซื้อขายตำแหน่ง ผมก็ตั้ง กำลังดำเนินการกันอยู่
ชุมชนพอเพียง ผมสอบได้สมาชิกพรรค ผมก็ทำตรงนั้นไปก่อน ที่เหลือส่ง ป.ป.ช.
เขาก็ว่าไป ท่านเลขาธิการนายกฯ
ออกมาจากการรับผิดชอบโครงการนั้นเพื่อเปิดโอกาสให้มีการสอบ
เอาคนใหม่เข้าไป ทำโครงการใหม่หมด นี่คือความดำเนินการในลักษณะที่โปร่งใส
ส่วนที่ท่านออกจากรองนายกฯ เพราะท่านเลขาธิการนายกฯ ท่านเดิม ท่านลาออก
ก็สลับตำแหน่งกัน แต่ถ้าผลสอบออกมาบอกว่า มีมูลทุจริต ไม่ได้หรอกครับ
เป็นเลขาฯ นายกฯ ก็ไม่ให้เป็นครับ ไม่ใช่รัฐมนตรีครับ เลขาฯ นายกฯ
ก็ไม่ให้เป็น เพราะฉะนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับว่า
แต่ละเรื่องบังเอิญช่องทางการร้องเรียน การส่งการสอบ อยู่ที่ไหน
แต่ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่สอบ

อย่างกรณีกระทรวงมหาดไทยขณะนี้ ป.ป.ช.สอบอยู่ครับ ผมตรวจสอบแล้ว
เขาตั้งอนุฯ สอบสวนเรียบร้อย ถึงเป็นที่มาที่ว่าข้อสอบมีการลอกกันหรือไม่
ออกมาผมดำเนินการแน่ ไม่ต้องห่วงครับ เพราะนี่คือมาตรฐานของรัฐบาลนี้
และผมยังมองไม่เห็นว่าประเด็นตรงนี้จะหยิบยกขึ้นมาแล้วบอกว่า
เป็นรัฐบาลซึ่งโกงมากมาย อะไรต่างๆ แล้วไม่รับผิดชอบ มันตรงกันข้าม
อันนี้ก็ไม่ว่ากันนะครับ ความเห็นแตกต่างกันก็มี

ประเด็นที่พูดถึงเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ
แก้รัฐธรรมนูญผมย้ำอีกครั้งนะครับ ผมเนี่ยเป็นคนบอกว่าแก้ได้
และผมก็เห็นว่าควรแก้ในบางประเด็น เช่น
ความสอดคล้องระหว่างที่มาของวุฒิสภา กับอำนาจของวุฒิสภา
ไม่นับประเด็นทางเทคนิคที่หลายคนพูดกัน มาตรา 190 อะไรต่างๆ
แต่ผมพูดมาตลอดว่า อย่าไปแก้ประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน 2 ลักษณะ 1.
แก้แล้วเหมือนกับเอาประโยชน์ให้ตัวเอง 2. แก้เพื่อไปล้างความผิดคนทุจริต
คนทำผิดใดๆ ก็ตาม แล้ววันที่พูดเรื่องนี้เราก็ชัดเจนในลักษณะนี้
และเราก็เห็นว่ากระแสที่เขาต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญกัน มันก็มุ่งอยู่ 2
เรื่องนี้ ทีนี้ท่านบอกว่าผมไปรับปากแก้ไข ใช่ฮะ ผมคุย คุยกันชัดเลยครับ
คุยกันชัดตอนตั้งรัฐบาล บอกว่า 1. บางประเด็นเอานะ เช่น
ทำให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น มาเรียงกัน 2. บางประเด็นไม่เอานะ
นิรโทษกรรม ล้างความผิด หรือในลักษณะที่ทำเพื่อตนเอง
แต่ว่านิรโทษกรรมผมก็ทิ้งไว้บางส่วน ก็คือว่า
ถ้าเป็นความผิดในลักษณะแบบการเมือง อาจจะคุยกันได้ แต่ผิดอาญา ไม่ได้
ทุจริต ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เราวางไว้

แล้วบางประเด็นผมก็บอกว่า คงต้องคุยกันยาว เช่น เขตใหญ่ เขตเล็ก
เพราะพรรคการเมืองมันเห็นไม่ตรงกัน ก็ทำตามนี้ทุกอย่างครับ
จะมารู้ดีกว่าผมได้ยังไงครับว่าพูดคุยยังไง
แล้วก็เวลานี้ก็เข้าใจกันอย่างนี้
ทีนี้พอต่อมาเกิดเหตุการณ์ท่านมาเรียกร้องกันเมื่อปีที่แล้ว
เหตุการณ์เดือนเมษายน ผมก็เป็นคนเสนอว่า ให้มีตั้งคณะกรรมการ คุณดิเรก
ถึงฝั่ง ก็เข้ามา ความจริงรายงานคุณดิเรกมีเยอะมากนะ
มีทั้งมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว มีการแยกประเด็น
มีการพูดถึงการทำประชามติ แล้วก็มีประเด็นที่บางอย่างทุกคนเห็นตรงกันหมด
บางอย่างก็แบ่งเป็นเสียงข้างมาก เสียงข้างน้อย ผมก็ย้ำอีกครั้งนะครับ
ผมไม่ได้แก้ อยากแก้บางประเด็นที่ 6 ประเด็นที่เสนอมา
ผมก็เชิญวิปทุกฝ่ายมาคุยกัน ตกลงกันด้วยความจริงใจว่า
เอาไปทำประชามติเสีย ทำให้มันจบ แล้วก็ถ้าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดี
เศรษฐกิจฟื้น ผมยังบอกเลยว่า เอ้า ยุบสภาก็ได้ ย้ำอีกครั้ง
นั่งตกลงกันที่ทำเนียบรัฐบาล มีวิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน วิปวุฒิสภา
ผู้ที่ล้มกระบวนการนี้คือฝ่ายค้าน ขอไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย
ซึ่งก็ทำให้ทุกคนบอกว่า
ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่แน่ใจแล้วล่ะว่าทำแล้วจะสมานฉันท์หรือไม่
เพราะฉะนั้นกระบวนการที่พยายามทำกันมา คนที่ปฏิเสธคือฝ่ายท่าน
จึงไม่ควรมากล่าวหาว่าฝ่ายผมไม่ดำเนินการ
อันนี้จะได้ชัดเจนในเรื่องของรัฐธรรมนูญ

ส่วนมาตรา 309 ผมก็ต้องเรียนว่า
ตรงนี้ที่เขาตีความก้ำกึ่งว่ามันนิรโทษกรรมหรือเปล่า และท่านนายกฯ สมัคร
พอท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านยังบอกเลยครับว่า อย่าพูดเลยมาตรานี้
เพราะฉะนั้นผมว่าการที่จะบอกว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกัน อยากจะแก้
แล้วคนมีอำนาจหรือใครไม่พยายามแก้ คงไม่ใช่หรอกครับ อย่าง 309 ผมจำได้
ท่านนายกฯ สมัครบอกว่า 237 ได้ 309 ไม่ต้อง
มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ตกผลึกกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่ถ้าเรามาพูดรวมๆ กันไป
คนก็จะสับสน เสมือนกับว่าเห็นตรงกันแล้ว

ทีนี้ ท่านเกินเลยไปด้วยนะครับตอนนี้
ไปถึงประเด็นในหมวดพระมหากษัตริย์
ซึ่งความจริงก่อนหน้านี้ทุกพรรคการเมืองก็มีความรู้สึกว่าไม่น่าที่จะต้องหยิบยกมาพูดกัน
นี่ไงล่ะครับคือสิ่งที่ผมบอกว่ายังมีอีกหลายประเด็นที่เป็นปมความขัดแย้งทางสังคมที่มันเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง
แล้วถ้าไปยุบสภา ดูจะขัดแย้งมากยิ่งขึ้น บางประเด็นมีความละเอียดอ่อนมาก
ฉะนั้นผมก็ต้องเรียนว่า จะมาบอกว่าสายไปแล้วที่จะแก้ มันคงไม่ใช่หรอกครับ
ถ้าไม่ยึดติดอยู่กับ 15 วันของท่าน มากางกันดูเลย
ปฏิทินจะเป็นยังไงในเรื่องที่มีฐานอยู่
เป็นส่วนหนึ่งของประเด็นที่พูดคุยกันได้

สุดท้ายเป็นประเด็นที่ท่านยกขึ้นมา เรื่องสั้นๆ ของ
พล.ต.อ.สมเพียร ก็ต้องเรียนอย่างนี้นะครับ ข้อเท็จจริงก็คือว่า
ท่านมาที่ทำเนียบฯ วันอังคาร ระหว่างที่ผมประชุมคณะรัฐมนตรี
ซึ่งปกติจะมีผู้ที่มาร้องขอความเป็นธรรมเยอะ
แล้วก็ปกติเวลาประชุมคณะรัฐมนตรี
ผมก็จะไม่ได้มีโอกาสมารับหนังสือของใครเลย ท่านก็ยื่นหนังสือไว้
แล้วการประชุม ก.ตร.ครั้งต่อมา ซึ่งผมไม่ได้เป็นประธาน
เพราะผมทราบว่ามีการประชุม ได้มีการหยิบยกเรื่องนี้เข้ามา
บังเอิญการย้ายของท่านจะเป็นการย้ายข้ามภาค
มันจึงมีติดขัดในการที่จะไปสลับลหมุนเวียนตำแหน่งในภาค 9 จากภาค 10
ก็มาเกิดเหตุที่ทุกคนเสียใจนะครับว่าเกิดขึ้นก่อน แต่ว่าโดยหลักการ
ก.ตร.เขาให้ความเห็นขอบในการเยียวยาให้ความเป็นธรรมอยู่แล้ว
ผมก็คิดว่าการที่จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา ผมเข้าใจครับ
ทุกคนสะเทือนใจทั้งสิ้น ผมก็เสียใจ

นี่ก็เป็นประเด็นที่ท่านรวบรวมมา แต่ว่าสำคัญก็คือว่า
ท่านพูดถึงว่า ผมให้เหตุผลอะไรในการที่บอกว่าไม่เชื่อว่ายุบสภาทันที หรือ
15 วัน จะแก้ปัญหาได้ แล้วก็พูดถึงสิ่งที่ผมเคยพูด
แล้วพูดถึงเรื่องของทหาร เรื่องของการดำเนินการ
ผมก็ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า หนึ่ง
การเป็นหลักประกันของความสงบเรียบร้อยของการเลือกตั้ง
ผมว่าไปสอบถามคนส่วนใหญ่ได้ครับ
ว่ากี่คนที่เชื่อว่าจะสามารถเลือกตั้งโดยสงบ
ภายใต้บรรยากาศบ้านเมืองอย่างนี้ได้

ถึงแม้ผมจะเชื่อท่าน 100 เปอร์เซ็นต์ ถึงแม้ผมจะเชื่อท่าน 100
เปอร์เซ็นต์ ว่าท่านคุมทุกอย่าง พยายามทุกอย่าง
ผมก็ไม่คิดนะครับว่าในความเป็นจริงควบคุมได้ ตอบผมได้ไหมครับ
เหตุการณ์เดือนเมษาฯ ที่แล้ว ที่ล้อมกรอบตีรถถที่กระทรวงมหาดไทย
แดงแท้หรือแดงเทียม
แกนนำของท่านที่อยู่บนเวทีวันนี้ก็อยืนอยู่ข้างนอกรั้วกระทรวงมหาดไทยนั่นล่ะครับ
บัญชาการอยู่ ไม่แาแต่ห้ามปรามเลยนะครับ ในขณะที่กำลังเกิดขึ้น
ถ้าเป็นแดงเทียมก็ต้องบอกสิครับว่าหยุด นี่ไม่ใช่แนวทางของคนเสื้อแดง
มีแต่คระดมคนเข้ามามากขึ้นๆ อันนั้นครับคือเจตนาที่บอกว่า (***)
เพราะเมื่อกี้นี้พูดถึงว่าผมจะอยู่แล้วคิดจะเอาทหารล้อมปราบเข่นฆ่าประชาชน
ไม่มีครับ การสั่งการของผมในฐานะนายกรัฐมนตรี กับผู้นำเหล่าทัพ
กับฝ่ายนโยบาย การสั่งการของผมในฐานะนายกรัฐมนตรี กับผู้นำเหล่าทัพ
กับฝ่ายนโยบายทุกครั้ง ให้ความสำคัญสูงสุดกับชีวิตของคนครับ
แต่สิ่งที่ผมถูกกระทำมาปีกว่าๆ ซิครับ สะท้อนให้เห็นว่า
ท่านคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพจริงหรือไม่ แกนนำของท่านบางคน
ประกาศเอาชีวิตพวกผมนะครับ พวกผมมีแต่สั่งการกับทางทหาร ตำรวจว่า
ระมัดระวังที่สุด ทหาร ตำรวจ
ทหารโดยเฉพาะที่ออกไปปฏิบัติการใกล้พื้นที่การชุมนุม
จึงต้องมีการกำชับว่า มีได้แค่โล่กับกระบอง ที่ท่านไปขอให้เขาถอนออก
ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่า อารมณ์ของคนในปัจจุบันมันรุนแรง
เมื่อวานผมก็พูดเรื่องคลิปเสียงไม่ต้องพูดกันต่อแล้ว
แต่ว่ามันเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้น
ซึ่งต้องใช้เวลาในการจะเริ่มปรับอารมณ์ลงมา เช่นเดียวกันนะครับ
ผมไม่พูดว่า มีคนอีกจำนวนมาก
ซึ่งมีความรู้สึกหรืออารมณ์รุนแรงเกี่ยวกับพวกท่านเหมือนกัน ถามว่า
ผมจะบอกเขาว่าอย่างไร ผมจะบอกเขาเสมอว่าอดทนอดกลั้น
อย่าไปทำอะไรซึ่งทำให้เกิดการปะทะกัน แต่ถามว่า ผมสามารถห้ามได้ทุกคนไหม
ผมไม่เก่งขนาดนั้นละครับ
อาจจะไม่เก่งเท่าท่านที่จะไปบอกว่าผมสามารถสั่งได้ทุกคน
แต่ผมคิดว่าสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ
เวลาอีกระยะหนึ่งที่เราพยายามช่วยกันทำบรรยากาศบ้านเมืองให้สงบ
อย่างนั้นต่อไปเราจะคุมได้ เพราะฉะนั้น ผมยืนยันนะครับว่าวันนี้
ผมไม่ได้มาบอกว่า ผมจะต้องอยู่ครบวาระอีก 1 ปี 9 เดือน
ผมไม่มีความปราถนาเลยที่จะให้เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน
หรือระหว่างประชาชนกับประชาชน ช่วงก่อนที่ผมมาเป็นรัฐบาล
มีเกือบทุกรูปแบบนะครับ ชาวบ้าน 2 ฝ่ายตีกันถึงขั้นตายก็มี
ระเบิดยิงเข้าไปสู่ผู้ชุมนุมก็มี ผมไม่ต้องการเห็นเหตุการณ์อย่างนั้น
ไม่ว่าผมจะอยู่ฝ่ายไหน ผมไม่ต้องการเห็นทั้งสิ้น ไม่ว่าผมจะเป็นฝ่ายค้าน
เป็นฝ่ายรัฐบาล หรือประชาชนคนธรรมดา
ผมไม่เคยต้องการเห็นสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น

ผมจึงบอกว่า ที่ท่านพูดว่า ผมเคยเรียกร้องต่อท่านนายกฯ สมัคร
เสียสละ ดำเนินการ ฟัง ผมบอกผมฟังครับ ถ้าผมไม่ฟังผมไม่มานั่งตรงนี้
แล้วถ้าผมไม่ฟังผมก็จะยืนยันสิทธิ์ของผมตามรัฐธรรมนูญว่า ผมอยู่ 1 ปี 9
เดือน ผมฟังแล้วครับ แต่ผมฟังคนฝ่ายอื่นๆ ที่เขากำลังบอกว่า
การเลือกตั้งในวันนี้หรืออีก 15 วัน บางคนห่วงเศรษฐกิจ
บางคนห่วงปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น บางคนกลัวด้วยซ้ำว่าไม่ได้เลือกตั้ง
บางคนก็เห็นว่ามันไม่ถูกต้องที่ต้องจำนนกับกลุ่มคนซึ่งเขามองว่า
เป็นการใช้กำลังมาข่มขู่ ซึ่งผมไม่ได้พูดอย่างนั้น
เพราะผมถือว่าเป็นการชุมนุมตามกรอบของรัฐธรรมนูญ แต่เช่นเดียวกัน
ถ้าท่านบอกว่า จะอยู่ไม่ได้เพราะจะต้องไปปิดล้อมกันอะไรกัน
อันนั้นก็เกินเส้นสิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ผมเรียนย้ำนะครับ
หลายเรื่องท่านพูดท่านอ้างต่างประเทศ
ผมก็อ้างต่างประเทศได้เหมือนกันนะครับ ประเทศส่วนใหญ่
การลงคะแนนในสภาเป็นอิสระตลอดเลยครับ
ไม่มีแม้กระทั่งเรื่องจะต้องมีมติพรรคการเมือง
ลงสมัครยังไม่ต้องสังกัดพรรคเลยครับ การเมืองในต่างประเทศ ประเทศส่วนใหญ่
กฎหมายการชุมนุมสาธารณะที่จะใช้สิทธิ์ลักษณะที่เขาตีความว่า ข่มขู่คุกคาม
จริงๆ ในกฎหมายหลายประเทศที่เป็นแม่แบบประชาธิปไตย ใช้คำว่า
ก่อให้เกิดความกลัวกับบุคคล นั่นก็ผิดกฎหมายแล้วครับ
เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเป็นประชาธิปไตยกันจริงๆ ผมถึงบอกมาตั้งหลักกันครับ
ผมไม่อยู่ครบวาระได้ ยุบสภาได้ แต่มาทำเรื่องอื่นๆ
ให้มันเป็นไปตามแก่นของประชาธิปไตย ดีไหม
เพราะวันนี้สิ่งที่เราต้องการคือ ความปกติสุข ในเมื่อท่านรับมาได้ 1
ปีกับ 2-3 เดือน

จตุพร - จะเข้าเดือนที่ 4

อภิสิทธิ์ - จะต่อไปอีกจุดๆ เดือน มันจะเป็นปัญหาอะไร
เพราะฉะนั้นผมขอเรียนว่า ทั้งหมดผมชี้แจง
แล้วผมคิดว่าเราไม่ควรเสียเวลากับประเด็นที่ได้พูดไปแล้วเมื่อวานนี้
บังเอิญท่านหยิบยกมาซ้ำ ผมว่าวันนี้เอาง่ายๆ ดีกว่า ท่านเสนอว่า
ยุบสภาทันที เปลี่ยนมาเป็น 15 วัน ผมก็บอกว่า ด้วยเหตุผลของผม
การยุบสภาใน 15 วันไม่แก้ไขปัญหา ได้ไตร่ตรองกันแล้ว ปรึกษากันแล้ว
แต่ยินดีที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งโดยไม่อยู่ครบวาระ
บนพื้นฐานการมาทำความเข้าใจกันต่อไปว่า
มีอะไรบ้างที่สังคมนี้ควรจะได้ทำด้วยกัน แล้วนำไปสู่การยุบสภา
เป็นความรับผิดชอบของผมที่มีต่อบ้านเมืองว่า
นั่นคือทางออกที่ผมว่าดีที่สุด ถ้าท่านสนใจว่าจะมาคุยกันต่อว่า
อะไรบ้างที่ต้องทำ จะใช้เวลากันเท่าไหร่ เราก็คุยกันต่อ
แต่ถ้าท่านยืนยันว่า ต้องภายใน 15 วัน
ผมก็คิดว่ายังไงเราก็คงมองไม่ตรงกัน ก็เท่านั้น

จตุพร - ผมขออนุญาตท่านนายกฯ เกิดประเด็นต่อเนื่องนิดเดียว
คือถ้าท่านจำได้ที่ท่านพูด ในวันที่พันธมิตรฯ ชุมนุม
แล้วท่านไปเยี่ยมพันธมิตรฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เข้าไปในทำเนียบเลย เพราะฉะนั้นท่านพูดว่า ให้นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช
เสียสละ แล้วเอาการเลือกตั้งครั้งหน้าเข้ามาแก้ไขวิกฤต
ขนาดวันนั้นพี่น้องประชาชนไม่ถึงขนาดนี้ แต่ว่าความเชื่อของท่าน
ท่านเชื่อว่าผลการเลือกตั้งจะพาประเทศฝ่าวิกฤต
แต่วันนี้เมื่อท่านมาเป็นนายกรัฐมนตรีซะเอง ความเชื่อของท่านเปลี่ยนไป

อภิสิทธิ์ - สถานการณ์มันเปลี่ยน

จตุพร - ผมขออนุญาต ตอบในคราวเดียวกัน ประเด็นต่อมาครับ
พวกผมเองไม่เคยพูดเรื่องนิรโทษกรรม
เพราะฉะนั้นแม้กระทั่งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องยุบพรรค
วันนี้เป็นเรื่องยุบพรรคเดียว คือพรรคประชาธิปัตย์ เรื่อง 263 ล้าน จาก
29 ล้าน ซึ่งเป็นงบ กกต. อยู่ในขั้นตอนนั้น พรรคอื่นยุบไปหมดแล้ว
นี่ก็พูดเรื่อง 2 มาตรฐานได้อีกเรื่องหนึ่ง
เรื่องการทุบรถที่กระทรวงมหาดไทย ท่านลองไปดูข่าวย้อนหลัง
การรายงานข่าวว่า ตัวท่านไม่ได้อยู่ หรือแม้กระทั่งการเปิดประตู
หรือแม้กระทั่งที่เป็นจุดที่น่าสนใจมาก พวกผมถูกดำเนินคดีทุกจังหวัด
ที่เป็นคนเสื้อแดง โดนแล้วทุกคดี มีคดีทุบรถเท่านั้นที่มีผู้ต้องหา 20 คน
กว่า 20 คนที่ยังไม่มีการมอบตัวแล้วยังจับกุมไม่ได้
ถามเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรู้ว่า คนเหล่านี้เป็นทหารทั้งสิ้น
เหมือนพวกผมขณะนี้จับในที่ชุมนุม มียศ โฆษก ศอ.รส. พ.อ.สรรเสริญ
แก้วกำเนิด ยอมรับว่า ที่ต้องทำบัตรปลอมเพื่อให้กลมกลืน
กรณีทุบรถเป็นคดีเดียวที่ผู้ต้องหามอบตัวไม่ครบ 20 กว่าคน
เพราะฉะนั้นทำท่าจะออกหมายจับรอบที่ 3 มีการทักท้วงกัน
ท่านลองไปดูรูปเป็นนายทหารสังกัดไหน เพราะฉะนั้นท่านฟ้องผมคดีอยู่ในศาล
ผมจะพิสูจน์เรื่องนี้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหาเรื่องแดงเทียมหรือแดงไม่เทียม
ตัวท่านจะอยู่ในรถหรือไม่ก็ตาม แต่ผมก็ต่อสู้ ท่านก็ยืนยัน
แต่ข่าวรายงานเวลานั้น และภาพการส่งของ
หรือแม้กระทั่งการให้ปากคำต่อคณะกรรมการสอบสวน
ระหว่างคนที่นั่งอยู่ในรถกับรองนายกฯ สุเทพ ยังให้การขัดกัน

อภิสิทธิ์ - ไม่มีขัดกัน

จตุพร - มีครับลองไปดูซิครับ คือท่านไปดูเลย ผมติดตามเรื่องแบบนี้
ผมไม่มาพูดประเภทใส่ร้ายกับคนโดยที่ไม่มีมูลความจริง
ท่านลองไปดูผลการสอบสวนและการให้ปากคำ

อภิสิทธิ์ - ศาลประทับรับฟ้องแล้วนะครับ

จตุพร - ก็ต้องต่อสู้กัน

อภิสิทธิ์ - ถ้าจะพูดเรื่องเก่านะครับ ผมว่า

จตุพร - นิดเดียว ที่ท่านเข้าใจผิดอีกประเด็นหนึ่งก็คือว่า เรื่อง
พ.ร.ก.เงินกู้ 7.4 แสนล้าน สมัยคุณทักษิณ
เขาใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูให้กับรัฐบาลท่าน

อภิสิทธิ์ - แล้วเขากู้ไหมละครับ

จตุพร - คนที่ขายสินทรัพย์ ปรส. 8 แสนล้าน ขายเพียงแค่ 1.5
แสนล้าน ขาดทุน 6.5 แสนล้าน
รัฐบาลมาใหม่เขาก็จะไปกู้เพื่อแบกรับสิ่งที่รัฐบาลท่านทำ
ตอนนั้นท่านเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ

อภิสิทธิ์ - ไม่ครับ
ตอนที่ไปกู้ไอเอ็มเอฟแล้วเป็นที่มาของเงื่อนไขนี้ คุณทักษิณเป็นรองนายกฯ
พล.อ.ชวลิต เป็นนายกฯ ครับ แล้วไปกู้จากไอเอ็มเอฟ แล้วเป็นเงื่อนไขเรื่อง
ปรส.

จตุพร - เป็นงวดๆ กันระหว่างรัฐบาลชวลิตกับรัฐบาลชวน

อภิสิทธิ์ - ก็นี่ไงครับผมถึงบอกว่า ก็กู้กันทุกรัฐบาล สั้นๆ
ไม่ควรจะพูดเรื่องย้อนหลัง แต่ว่าผมต้องยืนยันว่า
ผมอยู่ในรถที่กระทรวงมหาดไทย รูปก็มี

จตุพร - รูปที่สาทิตย์เอามาแสดงมันเหมือนจะมีคนล้ำออกมานอกกระจก

อภิสิทธิ์ - ผมคิดว่า

วีระ - ผมว่าประเด็นนี้

อภิสิทธิ์ - พี่วีระครับ ผมว่าอันนี้สำคัญ
เพราะอันนี้คือหัวใจเลยครับ ผมไม่ทราบเรื่องคดีไปถึงไหน
เพราะผมแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดี ประเด็นมีอยู่ว่า ผมอยู่ในรถแน่นอน
ถึงไม่อยู่ในรถ ถามว่าทำไมแกนนำเสื้อแดงบนเวทีไม่ห้ามปรามคนที่กระทำการ
นี่คือหัวใจต่างหากที่ผมกำลังจะบอกว่า แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่า
เวลาคุณบอกว่า ตกลงเราจะสงบเรียบร้อยใครไปทำอะไรเป็นแดงเทียม ผมบอกว่า
ถ้าเป็นผม ถ้าผมเป็นคนเสื้อแดงตัวจริงอยู่บนเวที นอกกระทรวงมหาดไทย
ผมจะต้องบอกเลยว่า พี่น้องที่อยู่ตรงนั้น หยุดการกระทำไม่ใช่

จตุพร - ซึ่งเขาช่วย คุณนิพนธ์ พร้อมพันธุ์

อภิสิทธิ์ - เล่าเรื่องคุณนิพนธ์ไหมครับ ผมอยากจะพูดต่อ
บนเวทีแกนนำบนเวทีทุกคนมีแต่บอกว่าให้ไปล่าตัวผมที่กระทรวงมหาดไทย
ผมยังไม่เคยได้ยินแดงแท้คนไหนบอกว่า ใครอย่าไปยุ่งกับรถยนต์ท่านนายกฯ นะ
เพราะฉะนั้นอันนี้มัน

จตุพร - เรื่องคุณนิพนธ์ ผู้บัญชาการท่องเที่ยว
ที่เป็นอดีตตำรวจติดตาม เขายังมาขอบคุณคนเสื้อแดงเลย

อภิสิทธิ์ - เขาต้องขอบคุณครับ มันมีการเจรจากันครับ แต่ถามว่า
คนที่ทำให้คุณนิพนธ์เจ็บตกลงแดงเทียมหมดใช่ไหมครับ ใครช่วยคือแดงแท้

จตุพร - คืออย่างนี้เขาขับรถชนกำแพง แล้วประเด็นต่อมา ทำไม 20
คนคดีนี้ ตำรวจจึงจับกุมไม่ได้ ทำไมไม่จับกุมล่ะครับ

อภิสิทธิ์ - ผมอยากให้จับกุมครับ ผมก็ร้องทุกข์ดำเนินคดี
แล้วประเด็นที่ผมหยิบขึ้นมาก็คือว่า หัวใจสำคัญคือ
ผมไม่ได้ยินแกนนำเสื้อแดงห้ามปราม

จตุพร - ก็ท่านไม่อยู่

อภิสิทธิ์ - ผมอยู่ครับ คุณสุพรอยู่นอกรั้วครับ

วีระ - ขณะนี้มันไปสู่ศาลแล้ว

อภิสิทธิ์ - ผมคิดว่าต้องระวังนะครับ บางคนอาจจะใช้วิธีกล่าวร้าย
โกหก แล้วบอกว่าไปว่ากันในศาล แล้วใช้เอกสิทธิ์ กว่าจะไต่สวนก็ ธ.ค.

จตุพร - ท่านนายกฯ ท่านก็เป็น ส.ส.เหมือนกัน คำว่า เอกสิทธิ์
ตอนที่ท่านจะถูกดำเนินคดี คำว่า เอกสิทธิ์ ตัวท่านเองไปร้องขอได้ไหม

อภิสิทธิ์ - ได้ครับ

จตุพร - มันอยู่ที่ผู้ดำเนินคดี เช่น ตำรวจ อัยการ ศาล
ทำเรื่องถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ใช่ตัวผู้ถูกดำเนินคดี

อภิสิทธิ์ - ถูกต้องครับ แต่ขณะเดียวกันเวลาถัดไปก็สละได้ครับ

จตุพร - ก็ดำเนินการไปซิครับ

อภิสิทธิ์ - แล้วคุณจะสละใช่ไหมครับ

จตุพร - ไม่ท่านเองก็เคยใช้ไม่ใช่หรือ คดีหมอพรหมินทร์

อภิสิทธิ์ - หมอพรหมินทร์ผมยินดีสละครับ ผมบอกกับศาลเลย

จตุพร - ท่านไม่ได้ไปฟังคำตัดสินของศาล

อภิสิทธิ์ - ผมไปครับ

จตุพร - ไปตอนหลังแล้ว หลังจากผ่านการใช้แล้ว

อภิสิทธิ์ - ศาลเขาเรียกไปใช่ไหมครับ ผมก็บอกผมยินดีสละ
ขอให้ศาลทำเรื่องไปที่สภา เรื่องเก่าไม่อยากพูดแล้วละครับ

วีระ - ขอความกรุณาว่า

อภิสิทธิ์ - ผมเพียงแต่บอกว่า

จตุพร - ตัวเองจะไปร้องได้ยังไงผู้ดำเนินคดีเขาต้องทำเรื่อง

อภิสิทธิ์ - อย่างน้อยผมก็ได้แสดงเจตนา เอาละไปเรื่องข้างหน้าดีกว่า

วีระ - เรากลับมาสู่ประเด็นปัจจุบัน พุ่งเข้าสู่ประเด็นนะ
ตามที่เราตั้งคำถามไว้

อภิสิทธิ์ - ประเด็นง่ายๆ ตอนนี้คือว่า คำถามคือว่า ตกลงเกิน 15
วันท่านไม่พิจารณาใช่ไหม

วีระ - อันนี้ยังพิจารณา

ชำนิ - คือกรณีที่ท่านนายกฯ ได้ถามพวกเราก็คือว่า
เราจะต่อเนื่องกันอย่างนี้ครับว่า สิ่งที่ได้เสนอมาว่าเราจะยุบสภา กับ 15
วัน หมายถึงข้อเสนอนี้เป็นเรื่องตายตัวใช่ไหม
หรือถ้าคิดว่ามันมีเรื่องต้องปรับแต่งเวลา

วีระ - รับฟังก่อน มันต้องรับฟังก่อน

เหวง - ผมอยากเชิญท่านนายกฯ กลับมาพูดเรื่องตรงประเด็น
แต่ด้วยความเคารพท่านนายกฯ ในวันนี้ผมอายุมากกว่าท่าน
เพราะฉะนั้นผมขออนุญาตให้คำแนะนำ
บางเรื่องท่านกรุณาอย่าลงไปต่อล้อต่อเถียง สาธารณชนเขามีสายตาอยู่
ท่านต่อล้อต่อเถียงทุกเม็ดมันเสียเกียรติคุณของสถานะนายกรัฐมนตรี
และเสียเกียรติคุณของท่านเอง ท่านไม่ต้องกลัว สิ่งที่จตุพรพูดถูกหรือผิด
สาธารณชนจะตัดสิน แต่ถ้าคุณมาต่อล้อต่อเถียงตัวคุณเองเสียหาย
ขออนุญาตให้คำแนะนำในฐานะเป็นคนแก่ ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ท่านนายกฯ บอกว่า 1
วัน หรือ 15 วันไม่ต่างอะไรกัน ผมกลับเห็นตรงข้ามกับท่านนายกฯ
โดยสิ้นเชิง ยุบสภาทันทีจะแก้ปัญหาได้
เมื่อสักครู่เหตุการณ์มันเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
และวันนี้ผู้คนทั่วทั้งประเทศ และทั่วโลก กำลังชมอยู่ นี่ไงครับ
เมื่อมีระบบการเมืองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงมาต่อล้อต่อเถียง
ยังไงมันไม่จบ เพราะฉะนั้น วิธีการจบคือว่า ลงไปสู่คูหาเลือกตั้ง
หากคนที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด มาเป็นรัฐบาล
นี่คือความพิเศษของระบอบประชาธิปไตย

ระบอบประชาธิปไตยยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการให้ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
บานปลายจนถึงการทะเลาะ หรือสู้รบด้วยอาวุธ คือเดินสู่คูหาเลือกตั้ง
หลังมีการอภิปราย

ด้วยความเคารพท่านนายกฯ ผมไม่แน่ใจว่า
นายกฯเคารพความเป็นมนุษย์ของคนเท่าเทียมหรือเปล่า
ผมอยากเรียนท่านนายกฯว่า
ขอความกรุณาเคารพความเป็นมนุษย์ของทุกคนเท่าเทียมกัน ท่านใช้คำว่า
อารมณ์ไม่รู้กี่ครั้ง ผมไม่อยากจะนับ เพราะจะกลายเป็นว่า จับผิดท่านนายกฯ
เคารพคนอื่นเถอะ ท่านนายกฯมองคนอื่นว่า
เขามีอารมณ์ท่วมท้นจนจะไม่อนุญาตให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น
ผมปฏิเสธท่านเลย และผมมองเห็นตรงกันข้าม
กระทั่งคนที่มีทัศนะทางการเมืองต่างกับผม ผมเคารพเขา ถึงเขาจะมีอารมณ์
แต่ผมเชื่อว่า ความเป็นมนุษย์จะมีสติปัญญามาควบคุมอารมณ์ได้

เพราะฉะนั้น 33 ข้อ ที่ท่านพูดมา ชัดเจนเลยว่า
ถ้ายุบสภาวันพรุ่งนี้ แก้ได้หมด ข้อที่ 1 ผมเคารพมนุษย์ ข้อที่สอง
ผมเคารพองค์กรอิสระทุกอันที่มีอยู่ กระทั่งเป็นเครื่องมือที่ตั้งโดย
คมช.ผมยังเคารพ เพราะว่า การยุติความขัดแย้งและแตกต่างทางการเมือง
ไม่มีทางอื่น และด้วยความเคารพนะท่านนายกฯ ถึงแม้ผมจะไม่เคยเป็น ส.ส.
ไม่เคยเข้าร่วมพรรคการเมือง แต่ผมร่วมการต่อสู้ทางการเมืองยาวนาน

ผมเรียนด้วยความเคารพ นักการเมืองที่อยู่ในอำนาจ
มักอาศัยความที่ตัวอยู่ในอำนาจ
มาใช้ประโยชน์ในการสร้างปัจจัยที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง ที่สำคัญที่สุด
เรื่องการซื้อเวลา ผมมีประสบการณ์กับพรรคประชาธิปัตย์ในระยะใกล้
อย่างน้อยก็สมัยท่านชวน หลีกภัย คือวันนั้น ฉลาด วรฉัตร เขาประท้วงอดข้าว
เพื่อต้องการให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ รศช. คุณชวน หลีกภัย ปฏิเสธว่า ทำไม่ได้
เนื่องจากมีรัฐธรรมนูญ 2534 รศช.อยู่แล้ว
และมีมาตราเกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว มี ส.ว. มี ส.ส.
มีรัฐบาลอยู่แล้ว แก้ไม่ได้ คุณชวน เถียงคอเป็นเอ็น หัวชนฝา
ผมไปพลิกดูประวัติรัฐธรรมนูญไทย พบว่า อาจารย์ปรีดี ในปี 2489
สามารถทำได้ คือมีรัฐธรรมนูญอยู่ และมี ส.ส. ส.ว.อยู่ มีรัฐบาล
มีมาตราเกี่ยวข้องในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่

อาจารย์ปรีดี ตั้งคณะกรรมการ 7ร ขึ้นมา
ผมเลยอธิบายให้ท่านนายกฯชวนฟัง จนท่านเข้าใจและเห็นด้วย
ท่านกลับมามอบหมายให้ผมกับหมอสันต์ ไปเจรจา
กับกรรมการบริหารของพรรคประชาธิปัตย์ กับคณะรัฐมนตรี ผมก็ไป
ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์
และไม่ได้เป็นข้าช่วงใช้ของรัฐบาล แต่ผมเห็นแก่บ้านเมือง อธิบายเสร็จ
ผมเข้าใจว่า ท่านนายกฯอยู่ด้วย แต่ผมไม่แน่ใจว่า ชำนิอยู่ด้วยหรือเปล่า
มีอลงกรณ์ พลบุตร และมีบัญญัติ บรรทัดฐาน และมีจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ตอนเช้าวันนั้น บัญญัติ บรรทัดฐาน ยอมนะครับ ว่า
ตั้งคณะกรรม 7ร มาจาก ส.ส. แต่ตอนเย็นท่านพลิก

วันนั้น มีการพูดกันมาก และอาจารย์สันต์ก็ใช้คำนี้
ผมขออนุญาตเอาคำพูด อ.สันต์ มาพูดว่า นี่ไงเป็นหลักฐานที่เห็นชัดเจนว่า
รัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ตระบัดสัตย์ เพียงแต่ กราบเรียนท่านนายกฯ
นะครับ จึงทำให้ผมเห็นว่าอย่ามาพูดเรื่องรัฐธรรมนูญ
ยุบสภาในวันพรุ่งนี้ดีกว่า แล้วที่ท่านบอกว่า ดูแลการเคลื่อนไหวที่แตกแยก
ไม่มีทางอื่นเลยนะครับ
เพราะว่าเมื่อสักครู่นี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้พี่น้องประชาชนไทยทั่วทั้งชาติเห็นอย่างชัดเจนนะครับว่า
ใครมีระบบคิดทางการเมืองอย่างไร
ก็จะยืนเหนียวแน่นอยู่กับระบบคิดทางการเมืองของตัวเองอย่างนั้น ท่านนายกฯ
ก็มีของท่าน ผมก็มีของผม คุณตู่ก็มีของคุณตู่
เพราะฉะนั้นวิธีการอย่างเดียวแทนที่เราจะทะเลาะเบาะแว้งกัน
หรืออาจจะนำไปสู่การตบตีกัน หรือการยิงกัน หรืออะไรก็แล้วแต่
ไปสู่คูหาเลือกตั้งดีกว่า เพราะฉะนั้นเหตุผลที่ท่านนายกฯ อ้างมา 3 ข้อ
รากฐานลึกๆ เลยก็คือว่า ท่านไม่เชื่อมั่นในมนุษย์
ท่านไม่เชื่อมั่นในกลไกการเลือกตั้งทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ผมขอโต้แย้งท่านนายกฯ ถึงที่สุดและผมยืนยันว่า
ข้อเสนอของเราเป็นข้อเสนอที่ยุติปัญหาของบ้านเมืองได้โดยสิ้นเชิงจริงๆ
นายกฯ ลองดูสิครับ ให้มีการเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ ทุกอย่างยุติหมด
และด้วยความเคารพ ผมเคารพนะครับไม่ว่าจะเสื้อสีอะไรก็ตาม เอ้า
ผมขออนุญาตที่จะเรียนก็ได้นะครับว่า สำหรับผมนะ ท่านนายกฯ อาจจะเห็นต่าง
ผมเห็นว่าพี่น้องเสื้อแดงมีระเบียบวินัย และพูดจาอะไรมีเหตุมีผล
และมีสำนึกทางการเมืองที่สูง ในสายตาของผมนะท่านนายกฯ
ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับผม ผมกลับเห็นว่าคนเสื้อเหลืองไม่มีระเบียบวินัย
และบ้าเลือด บ้าคลั่ง จับไปแต่ละทีมีใบกระท่อมเยอะแยะ อาวุธมากมาย
วิธีการที่ยุติทัศนะทางการเมืองที่ตรงข้ามอันนี้
ไม่ใช่ผมไปโต้แย้งกับท่านนายกฯ หรือไปโต้แย้งกับพวกเสื้อเหลือง
ก็คือไปสู่คูหาการเลือกตั้ง
ถ้าประชาชนในประเทศนี้ตัดสินว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ดีเลิศประเสริฐศรี
ประชาชนก็จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์
แต่หากว่าประชาชนเห็นว่าอีกพรรคหนึ่งดีกว่า เขาก็จะเลือกอีกพรรคหนึ่ง
ปัญหาก็จะยุติทุกอย่าง ท่านอย่าไปคิดว่าประชาชนเป็นคนป่า เมืองเถื่อน
หรือเพิ่งพัฒนามาจาก คือท่านนายกฯ
พูดราวกับว่าไม่มีหลักประกันแห่งความสงบเรียบร้อยของการเลือกตั้ง
อันนี้ด้วยความเคารพนะครับ ผมฟังท่านนายกฯ มานาน และท่านอธิบายยาวนานเลย
รากฐานแห่งความคิดก็คือว่า..

คือเมื่อวานนี้ผมได้เรียนท่านนายกฯ ว่าไม่ใช่ความคิดของผม
มีประชาชนจำนวนไม่น้อยเขาปักใจเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้สั่งทหารยิงประชาชน
ในขณะที่โฆษกรัฐบาล ผมไม่แน่ใจว่าตัวนายกฯ เองได้พูดหรือเปล่า
ปฏิเสธบอกว่ายิงปืนขึ้นฟ้า ผมก็เลยบอกว่าผมจะเอาหลักฐานมาชี้ให้นายกฯ
ดูว่ามีการยิงปืน กระสุนจริง ด้วยอาวุธจริง ใส่ประชาชนจริง และท่านนายกฯ
ต้องตอบว่านายกฯ สั่งหรือเปล่านะครับ ผมขออนุญาตชูอันนี้ขึ้น
อันนี้เอามาจากทีวี แล้วก็เอามาจากอินเตอร์เน็ต เยอะแยะ
อันนี้เห็นชัดนะครับว่ายิงแน่นอน แล้วกระสุนปืนจริงแน่นอน
และพวกนี้ก็หมอบซุ่มอยู่ในที่มิดชิด กำบังกาย มุ่งหวังที่จะทำร้ายผู้คน
อันนี้ก็เห็นชัดนะครับอยู่ในวงซุ่มทั้งสิ้น
และที่น่าสังเกตก็คือมีปลอกแขนเป็นสภากาชาด สิ่งนี้กติกาของกาชาดสากล
ไม่อนุญาตให้ทหารมีปลอกกาชาดได้
มันเกิดขึ้นได้อย่างไรครับในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
กระผมไม่เคยเห็นนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถามหาเรื่องนี้เลยนะครับ
ผมเอาภาพที่ชัดๆ ขึ้นมาอีกรูปหนึ่งนะครับ เห็นไหมครับ
ซุ่มยิงชัดเจนนะครับ ซุ่มยิงชัดเจนนะครับ ท่านต้องตอบนะครับ
เพราะโฆษกปณิธานพูดฝ่ายเดียวในวันนั้น พูดฝ่ายเดียวว่ายิงปืนขึ้นฟ้า
ใช้กระสุนปลอม นี่ไงครับมีหลักฐานว่ายิงใส่ประชาชนจริง และใช้กระสุน
และนี่ขออนุญาตนะครับ รถคันนี้ติดกาชาด
แต่ที่ผมทราบมาประชาชนเขาแจ้งว่าสงสัยว่ารถคันนี้อาจจะเป็นที่ขนคนที่เสียชีวิตก็ได้
ผมไม่ยืนยัน ผมเพียงแต่เอามากราบเรียนท่านนายกฯ
ในฐานะที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง
ซึ่งจะต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างต่อสายตาของสาธารณชน
เพราะฉะนั้นท่านนายกฯ ท่านต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้
ท่านต้องตอบต่อสาธารณชนว่าในวันนั้นท่านสั่งหรือเปล่า
ยิงใส่ประชาชนหรือเปล่า ถ้าไม่สั่งทหารพวกนี้ยิงได้อย่างไร ใครสั่ง
ผบ.ทบ.หรือเปล่าครับ หรือว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
หรือรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณ ผมก็กราบเท่านี้นะครับ
เพราะผมเห็นว่าเราคงจะเจรจาคงไม่รู้เรื่องแล้ว

วีระ - เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ ท่านรับการบ้านแล้วก็..

อภิสิทธิ์ - ขอเรียนนิดหนึ่งนะครับ
ที่จริงภาพพวกนี้เคยมีการหยิบขึ้นมาอภิปรายในสภา
แล้วเราก็ให้คณะกรรมการสอบเหตุการณ์เขาไปดำเนินการ มีการเรียกพยานต่างๆ
รวมทั้งสื่อต่างประเทศ ก็มีการสอบถามกัน ถ้ายังติดใจผมก็ไปตรวจสอบให้ครับ
ไม่มีปัญหาหรอกครับ

เหวง - ขอบคุณมากครับ เพราะเรื่องนี้ผมอยากเรียนท่านนายกฯ โดยตรง

อภิสิทธิ์ - ผมอยากจะย้ำว่า
จะอย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมยืนยันได้ก็คือว่า ผมไม่เคยสั่งทำร้ายประชาชน
ถ้ามีใครทำผิด ก็จะต้องมีการดำเนินการ

เหวง - ขออนุญาตถามประเด็นหนึ่ง ปณิธาน วัฒนายากร
พูดไม่ตรงความจริงว่ายิงปืนขึ้นฟ้า ข้อที่ 2 ปณิธาน วัฒนายากร
พูดไม่ตรงความจริงว่ายิงด้วยกระสุนปืน

วีระ - ไม่เป็นไร เนื่องจากท่านรับ...

อภิสิทธิ์ - ที่จริงก็มีการชี้แจงกันไปครั้งหนึ่งแล้ว จริงๆ
ผมไม่อยากลงรายละเอียดนะครับ
แต่ว่าที่ผมต้องขอเรียนว่าต้องพูดสักนิดหนึ่ง คิดว่าผมก็มาพูดคุย
ผมไม่เคยกล่าวหาท่านเลยนะครับ
แต่การที่กล่าวหาผมว่าไม่เห็นความเป็นมนุษย์ เห็นคนเป็นอย่างนั้น
ไม่มีเลยครับ กรุณาอย่าไปสร้างความรู้สึกอย่างนี้กับหมู่พี่น้องประชาชน
ไปดูคำสัมภาษณ์ผมทุกครั้งสิครับเกี่ยวกับการชุมนุม ผมพูดเสมอเลย
และผมยังบอกเลยว่า คนเสื้อแดงจำนวนมากมา เขามาด้วยความเชื่อ
เป็นความคิดเรื่องประชาธิปไตย เรื่องความยุติธรรม ตามที่เขาได้รับข้อมูล
ผมยังบอกเลยว่าถ้ามีคนมาบอกผมว่านายกรัฐมนตรีสั่งฆ่าประชาชน ผมก็มาครับ
เพราะฉะนั้นไม่มีตรงไหนเลยที่ผมไปกล่าวหาคนเหล่านั้น
แต่ขณะเดียวกันคนที่พูดจาใช้ความรุนแรงก็มีครับ อย่าปฏิเสธกัน มีเทป
มีอะไรกัน อยู่บนเวทีพูดว่ากันอย่างไร ก็มี
ผมไม่ได้บอกว่าเราไม่เชื่อประชาชน จึงไม่ไปเลือกตั้ง
แต่เรามีประสบการณ์ครับ การรัฐประหาร 19 กันยาฯ ท่านจำได้ใช่ไหมครับ
ที่ท่านรังเกียจ เกิดขึ้นเพราะอะไร
เกิดขึ้นเพราะอยู่ในระหว่างการยุบสภาแล้วประชาชนมาตีกันครับ
ถึงเป็นข้ออ้างในการรัฐประหาร
ผมก็ไม่ทราบว่าท่านอยากให้มีรัฐประหารหรือครับ

วีระ - มันไม่ตีกันหรอกครับ แต่เป็นข้ออ้าง

อภิสิทธิ์ - ถูกไหมครับ แล้วมันก็มีการตีกันจนมีบาดเจ็บ
อาจจะไม่ถึงขั้นตายก็มี ในต่างจังหวัด
นั่นคือข้อเท็จจริงซึ่งมันเกิดขึ้นแล้ว
ทีนี้ผมก็ไม่สบายใจว่าท่านมากล่าวหาคนที่อยู่ข้างนอก
อาจจะไม่ค่อยเป็นธรรมกับเขา แต่เอาล่ะ ไม่จุกจิกกัน
ผมคิดว่าเรากลับมาเรื่องดีกว่า ว่าตกลงถ้าไม่ยึดติดอยู่กับ 15 วัน
เราก็จะคุยกันต่อ

วีระ - ท่านลองเสนอก็ได้ว่า 15 วันมันไม่ไหว
ท่านลองเสนอดูครับกี่วันที่ท่านคิดว่าจะไปดำเนินการแล้วน่าจะราบรื่นได้

อภิสิทธิ์ - เรื่องนี้นะครับ เราได้พิจารณากันหลายเรื่อง
ประเด็นแรกก็คือ วาระเหลือ 1 ปี 9 เดือน
ถามว่าผมอยากเห็นอะไรก่อนการเลือกตั้ง 1. ผมเคยพูด จริงๆ
ผมเคยสัมภาษณ์ไปหมดแล้ว จำได้ ผมเคยพูดไว้ 3 ข้อ 1. เศรษฐกิจ 2.
เรื่องของกติกา 3. คือเรื่องของบรรยากาศ เรื่องที่ 1 เรื่องเศรษฐกิจ
ความจริงตอนนี้ไม่ค่อยกระไรแล้วนะครับ ก็ค่อนข้างจะดี
แต่ว่าครึ่งเดือนแรกผลกระทบนิดหน่อย แต่ยังรอดูตัวเลขอยู่
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องท่องเที่ยว ยังคิดว่าไม่น่าจะกระทบส่วนอื่นมากนัก
แต่ก็คุยกับพรรคร่วมรัฐบาล คุยกับข้าราชการ คุยกับหลายๆ คน
เขาก็มองว่าถ้าทำได้ให้ปฏิทินงบประมาณมันเดินของมันตามปกติได้ไหม
อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง พักไว้ หมายถึงว่ากระบวนการงบประมาณไปตามปฏิทิน
ส่วนใครจะมาใช้งบประมาณก็อีกเรื่องหนึ่ง นั่นเรื่องเศรษฐกิจ

2. เรื่องกติกา ก็ลองมาดูกันแล้วว่า
ถ้าสมมุติว่าจะเริ่มจากการประกาศทำประชามติ แล้วก็ลงมติกัน
สมมุติว่ามีประเด็นไหนแก้ไข ก็ทำให้สภาดำเนินการ แล้วก็พอทำเสร็จแล้ว
กฎหมายต่างๆ รับกันแล้ว ก็จะเป็นกรอบเวลา เรื่องที่ 3
สิ่งที่เราพูดกันก็คือว่า การทำบรรยากาศบ้านเมือง คือทำให้มันเป็นปกติ
ฝ่ายท่านทำหน้าที่ตรวจสอบก็ตรวจสอบได้
ชุมนุมก็ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ไม่มีปิดล้อม ไม่มีข่มขู่
ไม่มีอะไรต่างๆ แล้วใครที่ทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินคดี
ซึ่งก็มีแกนนำบางท่านที่ทำผิดกฎหมายไปแล้ว ก็ต้องถูกดำเนินคดี
ผมก็ไปทำงาน ฝ่ายค้านก็ทำงาน ภาคประชาชนก็ทำงาน
เพราะว่าที่ผ่านมาก็ต้องบอกว่า การทำงานก็ยังไม่สะดวกนัก ถ้าจะทำก็ทำได้
แต่ก็จะถูกกล่าวหาว่าจะต้องมีกองกำลังอะไรต่างๆ ไป ผมก็เรียนนะครับ
ท่านกลับไปดูเถอะครับ สมัยก่อนเดือนเมษาฯ ปีที่แล้ว
ผมไปไหนมาไหนแทบจะไม่มีอะไรเลยนะครับ ไม่มีอะไรเลยครับ
แต่พอเกิดเรื่องแล้ว แล้วก็มีคนประกาศด้วย ว่าจะเอาชีวิตผม
เจ้าหน้าที่เขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขา แต่ว่าถ้าบรรยากาศมันดีตรงนี้
ผมว่ามันก็ใช้เวลาไม่นานหรอกครับ มันก็จะเริ่มเห็นความชัดเจนขึ้น ก็ 3-4
ปัจจัยนี้มาคำนวณดู ผมว่าก็พูดถึงสิ้นปีนี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
นี่ก็พูดแบบคร่าวๆ ให้เห็น ถ้าติดใจก็มาไล่เรียงกันเป็นประเด็นๆ
ไปว่ามีอะไรที่เราต้องทำ นี่ผมก็ยกเป็นกรอบให้เห็นภาพกว้างๆ
ว่าสนใจไหมที่จะคุยกันแบบนี้ หรือบอกว่า 15 วัน เท่านั้นเอง

วีระ - ผมก็ขอให้ความเห็นลัดๆ นะครับ ลัดๆ ก็คือว่า
ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจมันเป็นเรื่องของความเชื่อ
ทางฝ่ายเสื้อแดงมีความเห็นว่าจะให้เวลาเท่าไรก็คงจะไม่เป็นทางออกสำหรับอนาคตที่ดี
นี่เป็นความเชื่อ แต่ในขณะเดียวกันฝ่ายท่านก็เชื่อว่าท่านก็แก้ได้ แล้วดี
ผมว่าถ้าท่านเชื่อว่าแก้ได้ก็ดีเหมือนกัน
เพราะว่าถ้าไปพิสูจน์กันโดยประชาชนตัดสิน ก็เป็นคะแนนส่วนหนึ่ง
เป็นต้นทุนท่านล่ะ เพราะว่าท่านแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ดี

กติกานี่มีปัญหาแน่นอน เพราะว่ามันมากเรื่องหลายเรื่อง จนกระทั่ง
คือเดิมก็รอกัน เดิมก็รอ แต่รอจนบัดนี้ก็เห็นว่ารอไม่ได้แล้ว
คือรอสภามันไม่เป็นที่พึ่งแล้ว
พอไม่เป็นที่พึ่งก็คิดว่าถ้าอย่างนั้นกติกาต้องยกยอด
เอาไว้เลือกตั้งแล้วมาทำให้มันเป็นไปตามประชามติด้วย
เพราะในการยุบสภาเลือกตั้งก็จะไปถามกันเรื่องว่าจะเอากติกาแบบไหน
จะได้ใช้เวลาตรงนั้นทำกัน ส่วนบรรยากาศทางการเมือง ข้อ 3
ผมคิดว่าเราทำได้ เราสร้างกันได้ ถ้าปัญหาคู่ขัดแย้ง
อย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ ก็คือ เสื้อแดงก็สร้างได้
แต่หมายความว่าไม่ใช่เหตุผล 3 ประการนี้แล้วก็มามัดทันทีว่าต้อง 15
วันเท่านั้น ก็ไม่ฟังเลย มันก็ไม่ได้หรอก เจรจามันก็ต้องฟังท่านด้วย
มันถึงจะเจรจาสมบูรณ์ แต่ผมคิดว่าการเสนอกรอบเวลาเลยงบประมาณ มันจะยาวไป
ผมไม่เอาใจผมก็ได้ ผมดูนักวิชาการซึ่งผมไม่เห็นด้วยนะ แต่เห็นเขาพูดกัน
เขาว่า 3 เดือน นั่นนักวิชาการ ซึ่งไม่ใช่ข้อเสนอของผม แต่ว่า
ท่านลองพิจารณา สมมุติว่า ตั้งข้อสมมุติ กรอบกติกามันไม่ควรจะยาวนานไปถึง
6 เดือน กรอบกติกาถ้าผมดูคร่าวๆ แล้วแค่ 2 เดือนน่าจะทำได้กรอบกติกา
ถ้าทำจริงนะ แต่ถ้าทำไม่จริงก็ช่วยไม่ได้
เพราะว่าสภาหวังพึ่งไม่ได้อยู่แล้ว เว้นแต่รัฐบาลลงไปจี้
รัฐบาลรับปากว่าไปทำมันถึงจะผ่าน ถ้ารัฐบาลไม่รับปากทำเอง
ลำพังปล่อยสภาเถียงกันอยู่นั่นไม่จบ เพราะฉะนั้นมันไกลเกินความเป็นจริง
ถ้าลองพิจารณาตัดเรื่องงบประมาณออกไป เพราะผมคิดอย่างนี้ มันก็เคยมี
ไม่นานมาก็เคยมีการยุบสภาใกล้ๆ มิ.ย., ก.ค. แล้วรัฐบาลใหม่มาทำงบประมาณ
ก็เคยเห็น แล้วก็ไปได้ ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า
คือท่านต้องเห็นใจพวกผมหน่อยตรงที่ว่า
คนเสื้อแดงเขามาทวงสิทธิ์ของเขาในการจะขอสิทธิ์คืนไปตัดสินใจอนาคตตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นแน่นอนเขาต้องการความเสียสละจากท่าน คือท่านต้อง
ถ้าท่านคิดว่ามันแก้ปัญหาได้ ท่านยอมเสียสละตรงนี้ จตุพรว่าแล้ว
มันเป็นเกียรติยศ ผมคิดถึงว่า เสียสละ จะสรุปตรงนี้นิดเดียวว่า
บังเอิญมาพูดที่สถาบันพระปกเกล้า
เลยนึกถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คือท่านบอกว่า
ท่านก็จำใจเหมือนกันนะ
"ข้าพเจ้ายินดีสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าแต่เดิมให้แก่ปวงชน"
อันนี้ท่านเสียสละ ผมเชื่อว่าท่านก็เจ็บปวดเหมือนกัน
แต่ความเสียสละมันสำคัญกว่า ก็ยอมเจ็บปวด ให้สิทธิแก่ประชาชน
ประชาชนเสื้อแดงเวลานี้มาขอความเสียสละแก่ท่านนายกฯ ถ้าท่านนายกฯ
จะพิจารณาสละอำนาจบริหารตามกรอบเวลาที่เหมาะสมพอสมควร ยังไม่ใช่ 15 วัน
แต่พอสมควร มันเป็นความเสียสละ เป็นเกียรติยศส่วนตัว
ผมก็เรียนด้วยความปรารถนาดีอย่างนี้ ก็เหลือว่า สักกี่เดือน

อภิสิทธิ์ - ผมอธิบายอย่างนี้นะครับ
คือเรื่องนโยบายเศรษฐกิจเราไม่ต้องมานั่นกัน มันเป็นเรื่องต่างหาก
แต่ที่พูดถึงปฏิทินเป็นอย่างนี้ครับ
บังเอิญเราอยู่ในภาวะที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก แล้วมีผลกระทบมา
การฟื้นตัวของหลายประเทศยังไม่ค่อยแข็งแรง เขาก็พูดกันว่า
ที่เรากำลังฟื้นตัวกันได้แต่ละประเทศมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่
ค่าใช้จ่ายรัฐ นโยบายที่เป็นงบประมาณหรือว่าจะเป็นกรณีของ พ.ร.บ., พ.ร.ก.
จะเป็นตัวที่ประคองเศรษฐกิจไป ผมไม่พูดเรื่อง พ.ร.บ. เพราะยังไม่จบ
ยังไม่ออกมาเหมือนกัน แล้วผมได้ประกาศแล้วว่า ที่เคยทำ พ.ร.บ.ว่า 4 แสน
คิดว่าคงไม่กู้จริงตามนั้น เพราะว่าคิดว่าปรับลดลงมาได้
เพราะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น แต่ถ้าปฏิทินงบประมาณชะงักมันมีปัญหานิดหนึ่ง
คือ สมัยก่อนงบประมาณจะเพิ่มขึ้นทุกปีๆ แล้วเวลาที่เกิดปัญหาทางการเมือง
มันทำงบประมาณไม่ทัน กฎหมายบอกว่าให้ใช้ของเก่าไปพรางก่อนได้
เวลางบประมาณเพิ่มขึ้นทุกปีก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะว่าใช้ของปีก่อนได้
พูดง่ายๆ คือ ใช้เท่าเดิม ส่วนที่อยากจะเพิ่มปีนั้นให้รอทำใหม่
บังเอิญปีที่เราใช้อยู่เป็นปีที่เจอวิกฤตเศรษฐกิจแรงมาก รายได้หายไป
ตอนที่ผมเข้ามาหายไป 2 แสนล้าน เพราะฉะนั้นงบบางหน่วยราชการ
อย่างสำนักนายกฯ ปีนี้ เราตัดงบจากปีที่แล้วลงไป 45 เปอร์เซ็นต์
ถ้าบอกว่าให้ใช้งบตัวนี้ไปพรางก่อนสำหรับปีหน้า เดือดร้อนกันมาก
อันนี้ให้เห็นภาพไม่ใช่เรื่องว่า รัฐบาลเก่งหรือไม่เก่ง
แต่โดยสภาพข้อเท็จจริงของปฏิทิน ว่ากันด้วยเหตุด้วยผล
เพราะว่างบประมาณที่จะต้องมี ที่จะต้องออกไป
หลายเรื่องพี่น้องประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ อย่างประกันรายได้ อะไรต่างๆ
เรียนฟรี มันได้ประโยชน์เต็มๆ อันนี้เป็นเรื่องซึ่งเราหวังว่า
รัฐบาลชุดไหนก็ทำ ทีนี้ถ้าตรงนี้ชะงักมันก็ส่งผลกระทบได้
ผมเพียงแต่บอกว่าอันนี้เป็นปัจจัยหนึ่ง

เรื่องรัฐธรรมนูญ
ช้าเร็วตอนนี้มันจะไม่อยู่ที่ว่ารัฐบาลไปเอาจริงกับสภาหรือสภาจะเอาจริงหรือไม่
วันนี้เรากำลังจะเอาให้มันชัดๆ ไปเลย ให้ประชาชนเป็นคนมัด คำว่า
ประชาชนเป็นคนมัด คือ เราไปถามประชามติในประเด็นที่ยังอยากจะแก้กันอยู่
วางลงไปเลย ประชาชนลงคะแนนอย่างไร ผมมั่นใจพรรคการเมืองทุกพรรคทำตามนั้น
หรือยอมรับตามนั้น ซึ่งมันไม่เหมือนกับเลือกตั้ง ยุบสภาเลือกตั้ง
ถามว่าแก้รัฐธรรมนูญกันไหม ทุกพรรคก็ตอบว่า แก้อีก
จะแก้คนละประเด็นกันอีก ไม่รู้ประเด็นไหนใครยอมรับให้แก้ไม่แก้
แล้วก็มีกลุ่มที่เขาไม่เห็นด้วย ทำประชามติ
เพราะฉะนั้นกระบวนการประชามติบวกกับมาแก้ไข มันก็ใช้เวลาของมัน
เราอาจจะต้องมานั่งเรียงดูว่าใช้เวลากี่วัน เท่านั้นเอง

ส่วนบรรยากาศบ้านเมือง ผมเห็นว่าถ้าเราสามารถทำเรื่องยากๆ
ร่วมกันได้ เช่น เรื่องประชามติ ผมว่าเป็นบทพิสูจน์ระดับหนึ่ง
เราไม่ได้พูดกันลอยๆ อย่างที่บอก เราไม่สามารถพูดถึงคนกลุ่มอื่นๆ
ที่เขาไม่นั่งอยู่บนโต๊ะนี้ได้ แต่ถ้าเรามีอะไร เช่น
ประชามติแล้วเราเดินหน้าได้ ร่วมแรงร่วมใจกันทุกฝ่ายในสังคม
ผมว่าอันนี้คนสบายใจขึ้นว่ามันทำได้
เพราะฉะนั้นกรอบเวลาที่เราคำนวณมาอย่างที่บอกประมาณสิ้นปี ปลายปี
ก็คือด้วยความคิดอันนี้ ถามว่าเสียสละไหม ผมไม่อยากพูดเสียสละ
แต่ผมพูดว่า จริงๆ ตามกฎหมายขณะนี้รัฐบาลเหลือ 1 ปีกับ 9 เดือน
ถ้าสิ้นปีนี้ก็ตัดไป 1 ปี เฉือนไป 1 ปี ถ้าผมไม่ฟังไม่มีเฉือนหรอกครับ
ฟังกัน แล้วมีเหตุมีผล

ผมอยากจะเรียนอีกครั้งหนึ่งว่า ที่ผมย้ำตลอดก็คือ
คนบางกลุ่มก็มองว่า เรามาตกลงกัน 6 คนได้อย่างไร ผมเรียนว่า
สมมุติมีคนเสนอ ไปประชามติจะยุบสภาไม่ยุบ
ผมว่าเดี๋ยวจะกลายเดินวนกันไปกันมา
แต่ผมว่าถ้าวันนี้ไปสำรวจความคิดเห็นของประชาชน
ผมไม่มั่นใจหรอกครับว่าคนส่วนใหญ่ต้องการให้ยุบสภา
ดีไม่ดีเป็นเพียงเสียงส่วนน้อย ถ้าอย่างนั้นท่านยอมรับไหม เราไม่เถียงกัน
ผมพยายามไม่หยิบเรื่องอย่างนี้มาเถียงกัน แต่หาจุดกลางๆ พอไปได้
คนที่สนับสนุนว่าไม่ควรจะยุบสภาเพราะเขาไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม
แล้วเขาเกรงว่า ถ้าการชุมนุมมีผลอย่างนี้ได้
วันข้างหน้าจะเกิดการชุมนุมอีกหรือไม่ เราไม่ต้องไปเถียงกับเขา
เราเพียงแต่บอกว่า มากำหนดมองไปข้างหน้า แล้วกำหนดกรอบอย่างนี้
เราก็เดินได้ ถ้าอย่างนี้มันพอพูดคุยกันมา วันนี้ผมไม่อยู่ผมไปบรูไนมา
ท่านเลขาฯ อยู่ได้คุยกับหลายๆ ส่วน ดังนั้นผมจึงย้ำว่า
อันนี้คือสิ่งที่รัฐบาลวางลงได้ให้เห็น ส่วนถ้ายังยืนว่า ทันที 15 วัน
ก็ต้องบอกว่า รัฐบาลกลับไปพิจารณาแล้วก็ไม่เห็นด้วย

อ่านต่อที่ http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000043798