++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เสียงสะท้อนหญิงไทยต้องการสิทธิเท่าชาย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง "เสียงสะท้อนของผู้หญิงไทย
ต่อการเมืองกับสิทธิผู้หญิง และสื่อมวลชนของสังคมไทย"
กรณีศึกษาตัวอย่างผู้หญิงไทยอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศ
ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี จันทบุรี
ราชบุรี เชียงใหม่ เชียงราย กำแพงเพชร บุรีรัมย์ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด สกลนคร
ชุมพร พัทลุงและสงขลา จำนวน 1,355 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่
20-30 พฤษภาคม 2552 พบว่า กลุ่มผู้หญิงส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.1 เห็นว่า
นายกรัฐมนตรีควรมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง ในขณะที่เพียงร้อยละ
8.4 เห็นว่าควรผ่านกระบวนการอย่างอื่น แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ
กลุ่มผู้หญิงให้คะแนนว่า
ประเทศไทยได้ดำเนินการปกครองตามความต้องการของประชาชนคนไทยได้อย่างแท้จริง
มากน้อยเพียงไร พบว่า จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ค่าคะแนนเฉลี่ยได้เพียง 5.50
คะแนน
กลุ่มผู้หญิงร้อยละ 88.1
ระบุให้ความสำคัญต่อการที่ผู้หญิงควรมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชาย
รองลงมาคือ ร้อยละ 80.7 เห็นว่าควรมีรัฐมนตรีหญิงในรัฐบาลมากขึ้น ร้อยละ
79.2 เห็นว่าควรมี ผู้หญิง ในรัฐสภาเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 76.2
ระบุ คนเชื้อชาติต่างๆ ในสังคมไทยควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
เช่นเรื่อง การทำงาน การศึกษา และการเข้าถึงระบบบริการด้านสุขภาพถ้วนหน้า
เป็นต้น และร้อยละ 72.1
ระบุสื่อมวลชนควรมีอิสระในการเสนอข่าวและความคิดได้โดยรัฐบาลไม่สามารถเข้า
มาควบคุม
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจพบว่า
เมื่อเปรียบเทียบตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา
เมื่อเทียบกับสิทธิที่ผู้ชายได้รับจากสังคม มีเพียงร้อยละ 1.6
ที่เห็นว่าผู้หญิงมีสิทธิมากกว่าผู้ชาย ในขณะที่ร้อยละ 49.3
เห็นว่าผู้หญิงไทยมีสิทธิเพิ่มขึ้นมาก แต่ร้อยละ 33.4
เห็นว่าผู้หญิงมีสิทธิเพิ่มขึ้นบ้างเพียงเล็กน้อย ร้อยละ 7.8
เห็นว่าเหมือนเดิม
ผู้หญิงส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.4
เห็นว่ารัฐบาลควรพยายามให้มากขึ้นที่จะเข้ามาดูแลป้องกันไม่ให้มีการดูถูก
เพศหญิงในสังคมไทย ในขณะที่ร้อยละ 7.1 เห็นว่า
รัฐบาลพยายามอย่างเพียงพอแล้ว และร้อยละ 16.5 ไม่ทราบ
เมื่อถามถึงสิทธิการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน พบว่า ร้อยละ 45.8 เห็นว่า
สื่อมวลชนมีสิทธิเสนอข่าวใดๆ โดยปราศจากการควบคุมของรัฐบาล
ในขณะที่ร้อยละ 37.3 เห็นว่า
รัฐบาลมีสิทธิห้ามสื่อมวลชนเสนอข่าวที่กระทบต่อความมั่นคงทางการเมือง
ที่น่าสนใจคือ ตัวอย่างผู้หญิงส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.6 เห็นว่า
คนไทยควรมีสิทธิที่จะอ่านข้อมูลข่าวสารอะไรก็ได้บนอินเตอร์เน็ต
ในขณะที่ร้อยละ 9.5
เห็นว่ารัฐบาลควรมีสิทธิจะห้ามคนไทยเข้าถึงข้อมูลข่าวสารบนอินเตอร์เน็ต

แสวงหาอย่างมีขอบเขต

ความทะเยอทะยานนั้น จะต้องมีขอบเขต
ธรรมชาติของสังคมมนุษย์เรา ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสวงหาอำนาจ
ความมีลาภเสื่อมลาภ ความมียศเสื่อมยศ มี สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา
แต่การที่เราจะแสวงหา เราจะแสวงหาอย่างไร ในฐานะที่เราเป็นนักปฏิบัติ
เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พระองค์ให้เรามั่นคงในศีล 5 ข้อ ความโลภ
ความโกรธ ความหลง
ที่มีอยู่นั้นเป็นสิ่งกระตุ้นเตือนความรู้สึกของเราให้มีความทะเยอทะยานใน
ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น แต่ความทะเยอทะยานนั้น
จะต้องมีขอบเขต ซึ่งขอบเขตคือศีล 5 ข้อ
ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้นตามกฎธรรมชาติ

ในกายของเรามีใจเป็นใหญ่ ใจเป็นผู้บงการกายทำทุกสิ่งทุกอย่าง

เราควรสังวรระวัง ควรงดเว้น ควรระวังรักษา ไม่ละเมิดในศีล 5 ข้อ
เท่านี้เราก็ไม่บาป ไม่มีกรรม ซึ่งบาปกับกรรมเกิดจากการทำบาปทำกรรมต่างๆ
เพราะคนเรามีกายกับใจ ในกายของเรามีใจเป็นใหญ่
ใจเป็นผู้บงการกายทำทุกสิ่งทุกอย่าง ในเมื่อใจเป็นผู้บงการแล้ว
กายทำอะไรลงไป พูดอะไรออกไป ใจเขาจะเก็บเอาไว้โดยอัตโนมัติ
เขาจะเก็บผลงานของเขาบันทึกเอาไว้ เป็นบาปเป็นกรรม ซึ่งใครเป็นผู้สร้าง
ใครเป็นผู้แต่งนั้นไม่มี แต่เป็นสิทธิหน้าที่ของแต่ละบุคคลสร้างขึ้นมาเอง
เช่น เราไปฆ่าใครสักคนหนึ่ง แต่เราไม่ต้องการผลงาน มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
สุดท้ายมันก็จะต้องวิ่งเข้ามา เป็นผลงานที่เก็บเอาไว้ภายในใจ

แหล่งที่มา: ฐานิโยนุสรณ์ ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ
พระราชสังวรญาณ(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

นศ.แนะช้อปปิ้งบนเว็บอย่างไร?ไม่ให้ถูกหลอก

เรียกว่าบูมสุดๆบนหน้าเว็บไซต์ สำหรับ กิจกรรมสุดโปรดของบรรดาสาวๆ
อย่างการ "ชอปปิ้ง"ซื้อ ขายนานาสารพัน
โดยโลกไซเบอร์ก็จะเป็นพระเอกคอยทำหน้าเปิดพื้นที่ ศูนย์กลางในการซื้อขาย
ต่อรองแลกเปลี่ยน
จับอารมณ์แล้วก็ไม่ต่างกับการช้อปปิ้งตามตลาดนัดหรือตามห้างสรรพสินค้าซึ่ง
สามารถเลือกหากันได้ในหลายระดับ อย่างที่นิยมก็มี จำพวกเสื้อผ้า
เครื่องสำอาง สินค้าเทคโนโลยี อุปกรณ์แต่งบ้าน ฯลฯ

ทว่า เมื่อปัจจัยในการตัดสินใจซื้อเกิดขึ้นมาเพียงเพียงแค่กรอบการมองเห็น
และผู้ซื้อไม่ได้สัมผัสสินค้าจริง
นั่นก็เท่ากับการหลับตาเลือกสินค้าแล้วจ่ายเงิน
เอา ล่ะ!เพื่อไม่ให้เป็นการถูกหลอกโดนโอนเงินกันไป ฟรี
เราลองไปศึกษาวิธีการค้าๆขายๆของเหล่าคนไฮเทค
รวมไปถึงเทคนิคการซื้อของบนโลกอินเทอร์เน็ต กันดู


ซื้อของผ่านเว็บถูกตรงไหน
"แนน-อุษา เรืองจรูญ" นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยหอการค้า
แนนใช้อินเทอร์เน็ตดูเว็บไซต์ต่างๆทุกวัน
และไม่พลาดที่จะเข้าดูสินค้าในตลาดออนไลน์
สำหรับเกณฑ์ของสินค้าจำพวกเสื้อผ้าที่เธอดูมานั้น
เธอบอกมันมีราคาไล่เลี่ยกับท้องตลาด จะถูกกว่ามากๆเป็นบางอย่าง
แต่ที่ประหยัดไปก็ตรงไม่เสียค่าเดินทาง มีสินค้าส่งถึงบ้าน
เลือกได้มากขึ้นมีหลากหลายร้านให้เลือก
โดยเรื่องที่เธอพูดเป็นคนละเรื่องกับด้านความเสี่ยง

" เงินที่โอนไปซื้อของ อาจจะราคาถูกกว่าความเป้นจริง 20 -30 %
แต่ว่าเสียงกว่ากันประมาร 30-50% ทีเดียว
หลายครั้งที่หลายคนโอนไปแล้วไม่ได้ของ หรือส่งของมาผิดแล้วไม่รับผิดชอบ
ตรงนี้เพื่อนๆก็โดนกันบ่อยๆแล้วต้องสูญเงินไปฟรี
แต่หากพูดถึงการซื้อของผ่านเว็บแล้วประหยัด มันก็ประหยัดดี
เพราะไม่ต้องเสียค่าเดินทาง มีสินค้ามาส่งถึงบ้างทันที
ถ้าคิดว่าคุ้มที่จะเสี่ยง ต้องลองวัดใจกันดูว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม
หรือเลือกเว็บที่มีความแน่นอนดีกว่าจะเสี่ยงดวง"

สรุปได้ว่า...คนที่คิดจะท่องตลาดออนไลน์บนโลกอินเตอร์เน็ตแล้วจะ
เพิ่มพฤติกรรมในการดูให้ขยายเป็นพฤติกรรมซื้อสินค้าต่างๆขึ้นมานอกจากความ
ถูกและคุ้มค่าเรื่องราคาแล้ว ควรจะต้องศึกษากันให้ดีก่อนซื้อ

เปรียบเทียบราคา บวกคุณภาพ
"แนน วิณุรา มหามิตร" สาวออฟฟิศ ที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาโท
ใต้รั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นอกจากเวลาประจำวันทำงาน
และวันเรียนช่วงเสาร์อาทิตย์แล้ว เวลาน้อยนิดของเธอที่เหลือในแต่ละวัน
เธอมักชอบท่องอินเตอร์เน็ต คลายเครียด
ในเว็บต่างๆโดยเว็บโปรดส่วนใหญ่ก็จะเป็นเว็บที่ประกาศขายสินค้า

"ปกติ เป็นคนชอบชอปปิ้งซื้อเสื้อผ้า ซื้อโน่นนี่อยู่แล้ว
แต่พอไม่มีเวลาเว็บขายของก็จะทดแทนในสิ่งที่เราทำไม่ได้อยู่เหมือนกันโดยมาก
ก็ชอบเปิดดูไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ซื้อ
เลือกซื้อแต่สินค้าที่มีราคาถูกกว่าท้องตลาด"

สำหรับลูกค้าหน้าใหม่เจ้าตัวบอกให้เช็คราคาไว้ก่อนแล้วเปรียบเทียบ
ราคา บวกกับคุณภาพสินค้า
หน้าที่ของลูกค้าควรหาข้อมูลให้มากก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ
"ที่ เพิ่งสั่งซื้อไปคือเครื่องสำอางของนอกซึ่งปกติก็จะไม่ค่อยมีเวลาไปเดินเลือก
หาซื้อหรือเช็คราคา แต่ก็จะเช็คจากเพื่อนๆที่เคยใช้มาก่อน
และทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะเลือกเปรียบเทียบราคา
โดยมากที่มันราคาถูกกว่าร้านในเมืองไทยเราก็มาดูอีกถึงเว็บนั้นๆว่าตั้งราคา
ถูกกว่าเท่าไร เพราะจะมีผู้ขายที่มาตั้งราคาตัดหน้ากันด้วย"

เว็บโกงหรือเปล่า?
นอกจากจะตรวจสอบคุณภาพของสินค้าและการเช็คราคาที่พึงพอใจ
หรือสอบถามจากคนที่เคยใช้บริการมาแล้วแล้วก็ควร
สำรวจตรวจตราตัวเว็บไซต์ด้วย ว่าเป็นเว็บโกงหรือเปล่า?

"ป็อป- พรลภัส นิยมญาติ" นักศึกษาชั้นปีที่ 4
จากรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง ป็อปรับจ็อบเป็นแม่ค้าออนไลน์
เธอหาได้เสริมโดยการนำเสื้อผ้าสภาพดีของตัวเองมาเปิดกระทุ้ตั้งขายในเว็บไซ
ต์ต่างๆ เจ้าตัวยืนยันว่ามีเว็บโกงกันจริงๆให้หาข้อมูลก่อนซื้อดีกว่า

"มัน มีพวกให้โอนไปแล้วไม่ส่งของมาเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ไปเลย
มันมีอย่างนี้จริงๆส่วนใหญ่คนที่โดนก็จะเอามาบอกต่อๆกันในเว็บนะ
ก่อนซื้อต้องหาข้อมูล หรือถ้าไม่มีคนบอกอยากให้รู้จักเว็บไซด์ก่อน
หรือถามคนที่เคยซื้อบ้าง"

กรณีการป้องกัน ล่วงหน้าโดนโกงจากตัวเว็บไซต์ ให้ค้นหาจากSearch
google พิมพ์ชื่อเว็บไซต์หรือชื่อบัญชีลงไป
แล้วคอยอ่านความคิดเห็นที่คนอื่นๆเคยใช้บริการ
หรือรู้จักที่มาที่ไปบ้างเพื่อความมั่นใจอีกเปราะ

สารพัดการโอนเงิน-ส่งพัสดุ
ส่วน หากได้สินค้าที่พึงพอใจแล้วทีนี้ก็เป็นเรื่องของการจ่ายเงิน
ระบบธนาคารก็จะมีหลากหลายวิธีในการโอนเงิน อย่างในเว็บเมืองนอก
จะนิยมใช้เว็บไซต์ paypal
ที่เหมือนเป็นธนาคารออนไลน์ให้ซื้อของได้ตามสะดวก
และจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเล็กน้อย
โดยใช้บัญชีบัตรเครดิตเป็นตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน
ซึ่งต้องระวังไม่ใช้รหัสบัตรเครดิตกับเว็บไซต์โนเนม ที่ไม่มีชื่อเสียง
ทั้งนี้ส่วนในประเทศไทยป็อปแนะว่าให้เลือกใช้วิธีที่มีการรายงานจากเอสเอ็ม
เอส เช็คการโอนเงินออนไลน์ อย่างไรก็ดีห้ามประมาท
อย่าไว้ใจเพราะวงการอินเทอร์เน็ตบางครั้งก็โกงกันในขั้นตอนสุดท้ายก็มี

" เราก็ต้องเลือกโอนเงินด้วยความสบายใจทั้งสองฝ่าย
คือให้มันมีการรายงานผลเข้าเครื่องโทรศัพท์ผู้รับเงินไม่ก็โทรเช็คออนไลน์
ได้ทันทีว่ายอดเงินเข้าแล้ว
แต่บางครั้งมันก็มีวิธีนี้ออกไปโอนเงินแล้วนำสลิปแสกนหรือถ่ายรูปมาโพสให้ดู
ในเว็บบอร์ด ซึ่งของจริงก็มีแต่บางรายแนบไฟล์มาอย่างดี
แต่ใบสลิปโอนเงินเป็นของปลอม"

มุมคนซื้อโกงก็มีมุมคนขายโกงก็มีแม่ค้าออนไลน์อธิบายว่าการส่งพัสดุ
มีสองรูปแบบเจ้าตัวบอกให้แม่ค้าลงทุนจ่ายเพิ่มสักหน่อยเพื่อไม่ให้พัสดุสูญ
หาย1ป็อปเล่าต่อว่า " คนขายพอเขาโอนมาก็ไม่ให้ของเขาบ้างแล้วก็เงียบหาย
แต่ปกติแล้วเวลามีคนมาเลือกซื้อสินค้า
พอเขาติดต่อมาว่าจะซื้อคนขายก็จะต้องแจ้งชื่อและเลขบัญชีให้เขาโอนเงินมา
เสียค่าธรรมเนียม 20 - 30 บาทแล้วแต่ธนาคารแล้วให้เลือกรูปแบบส่งพัสดุ
ก็จะใช้แบบที่มันเช็คได้แล้วให้ส่งเป็นอีเอ็มเอสไปหรือส่งธรรมดาแต่ให้ส่ง
แบบลงทะเบียนที่สามารถเช็คได้ว่าของอยู่ที่ไหน ถึงหรือเปล่า"
อย่าซื้อของแพงดีกว่า
ถึงตรงนี้คงต้องบอกได้ว่า ด้วยสารพัดวิธีการโกง
และสารพัดวิธีการป้องกันอย่างรัดกุม
ทำให้คนที่เข้าท่องโลกอินเตอร์เน็ตต่างไม่กล้าที่จะสั่งซื้ออะไรด้วยไม่ไว้
ใจวงการหน้าจอที่ไม่เห็นหน้าและรู้จักแหล่งที่มาของสินค้ามาก่อน
ฉะนั้นการตัดสินใจซื้อของบางคนจึงวางจำนวนเงินที่ต้องเสี่ยงไว้ไม่สูง

"นุ้ย อารยา พัฒนแก้ว" นักศึกษาระดับปริญาโท
จากรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นุ้ยชอบซื้อซีดีผ่านเว็บเพราะสะดวกและราคาถูกแต่ทว่าหากจะให้เธอซื้ออะไรนอก
เหนือจากนั้นสำหรับเจ้าตัวแล้วต้องพบกับคำว่า"ไม่"
ของแพงมากที่ขายผ่านเว็บจะไม่ได้รับการตัดสินใจจากเธอนุ้ยระบุทางที่ดี
ซื้อเองไปเลยดีกว่า

"ชอบ ซื้อดีวีดีผ่านเว็บสะดวกมีให้เลือกเยอะกว่าตามร้าน
แล้วการให้เลือกมีให้เลือกสะดวกมีพรีวิวหนังในขณะที่เวลาไปเลือกตามร้านไม่
มีให้ดู และก็ไปยืนเลือกนานๆไม่ค่อยดันกดดันคนขาย
และเราสามารถเช็คได้ด้วย
ของจำพวกซีดีนุ้ยแนะว่าจะกล้าสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตพวกไม่แพงมากนะ
อย่างพวกซีดี แต่หากเป็นของราคาแพงนักนุ้ยไม่เชื่อเพราะคิดว่ายังไงก็เสี่ยงอยู่"
สำหรับราคา สนนหน้าจอเป็นเกณฑ์ที่พอใจนุ้ยระบุมีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันต้นๆเท่านั้น

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000050641

กรมวิชาการเกษตรเจ๋ง!! พัฒนาสับปะรดกินทั้งเปลือก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


กรมวิชาการเกษตรประสบความสำเร็จ ในการวิจัยสับปะรดพันธุ์เพชรบุรี
ซึ่งสามารถกินได้โดยไม่ต้องปลอกเปลือก ลักษณะบริเวณปลายคอดเล็ก
ตาใหญ่และนูนเล็กน้อย
ทำให้สามารถแกะผลย่อยออกมารับประทานได้ทันทีโดยไม่ต้องปลอกเปลือก
ทั้งยังมีรสหวาน หอมแรง เนื้อกรอบ น้ำหนักผลเฉลี่ย 1 กิโลกรัม
แกนยังสามารถรับประทานได้ด้วย ผลผลิตที่ได้สูงกว่าพันธุ์ภูเก็ตและสวี
ปลูกได้ทุกภาคของประเทศ ซึ่งกรมวิชาการเกษตร
พัฒนาสายพันธุ์มาจากพันธุ์ไต้หวัน
ทั้งนี้ จะนำสับปะรดพันธุ์นี้ออกจัดแสดงเผยแพร่แก่บุคคลทั่วไป
ในงานมหัศจรรย์พันธุ์สับปะรดเพชรบุรี 36
ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์วิจัยพืชสวนเพชรบุรี ถนนบายพาส-ปราณบุรี ตำบลสามพระยา
อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ในวันที่ 9 มิถุนายนนี้

เผยคนไทยกินผลไม้น้อย แนะเพิ่มวิตามินซีหนุนลิ้นจี่ล้นตลาด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


กรมอนามัย เผย คนไทยกินผลไม้น้อย หวังหนุนกิน 6-8 ผล
หลังอาหารเพิ่มวิตามินซีให้ร่างกาย ช่วยเกษตรกรแก้วิกฤติลิ้นจี่ล้นตลาด
พร้อมเตือนลดพฤติกรรมเสี่ยงดื่มเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว และขนมหวาน
ที่มากเกินความต้องการของร่างกาย

นพ.สุวัช เซียศิริวัฒนา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า
ผลสำรวจภาวะอาหารและโภชนาการของประเทศไทย ครั้งที่ 5 พบว่า
คนไทยยังกินผลไม้เฉลี่ยเพียงวันละ 1 ขีด หรือประมาณ 100 กรัมเท่านั้น
โดยเด็กนักเรียนกินผลไม้เฉลี่ยวันละ 61.5 กรัม
วัยทำงานกินผลไม้เฉลี่ยวันละ 77.1 และผู้สูงอายุกินผลไม้เฉลี่ยวันละ 63.6
กรัมเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ทุกกลุ่มวัยควรกินผลไม้ให้มากขึ้นประมาณ 280-480
กรัม/วัน โดยเฉพาะผู้สูงอายุจำเป็นต้องมีการกินผลไม้เพิ่มขึ้น
เนื่องจากมีการเสื่อมของเซลล์มากกว่าวัยอื่น ๆ
และเป็นวัยที่ต้องการวิตามินและเกลือแร่เพื่อยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระที่
เป็นสารทำลายเซลล์และเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง
อีกทั้งยังต้องการกากใยเพื่อช่วยในการขับถ่ายด้วย

นพ.สุวัช กล่าวต่อว่า
จากสถานการณ์ปริมาณลิ้นจี่ในปีนี้ให้ผลผลิตสูง
ทำให้มีปริมาณที่มากเกินกว่าความต้องการของตลาด
ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกลิ้นจี่เป็นอย่างมาก
จึงเป็นอีกหนึ่งทางที่จะช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเดือนร้อน
และยังเป็นการสนับสนุนให้คนไทยหันมากินผลไม้โดยเฉพาะลิ้นจี่แทนการกินขนม
ขบเคี้ยว ขนมหวาน และเครื่องดื่มรสหวานกันมากขึ้น
เพราะจากข้อมูลโภชนาการกรมอนามัยพบว่า เด็กนักเรียนดื่มเครื่องดื่ม วันละ
87.2 กรัม ขนมขบเคี้ยว 13.2 กรัม และขนมหวาน 38.2 กรัม
ในขณะที่วัยทำงานดื่มเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว และขนมหวาน วันละ 52.5 กรัม
15.2 กรัม และ 47.9 กรัม ตามลำดับ
ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงเกินความต้องการของร่างกาย

"ทั้ง นี้ ลิ้นจี่จัดเป็นผลไม้ที่ให้น้ำตาลฟรุกโตส
ซึ่งเป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยวที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที
และมีวิตามินซีสูง มีหน้าที่ที่สำคัญในการทำให้เซลล์ผิวหนัง กระดูกอ่อน
เอ็น กล้ามเนื้อ ผนังเส้นเลือด โครงสร้างภายในกระดูกและฟันแข็งแรง
และการกินลิ้นจี่ให้ได้คุณค่าทางโภชนาการนั้น ควรกินครั้งละ 6-8 ผล
หรือประมาณ 100 กรัมหลังมื้ออาหาร
โดยในแต่ละมื้อควรกินอาหารจานหลักและตามด้วยผลไม้ 1 ส่วนหรือประมาณ
70-120 กรัม แทนขนมหวานที่ทำจากแป้งและน้ำตาล
จะทำให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ตามที่ร่างกายต้องการ
อันจะส่งผลดีต่อร่างกายในระยะยาวอีกด้วย นอกจากนี้
สำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพป่วยเป็นโรคเบาหวาน
หรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักควรเลือกกินผลไม้ที่รสไม่หวานจัดแทน"
รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000060525

คำขอร้องของแม่หมู ถึงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล

ผู้เขียน: แม่หมูตัวกลมๆ

แม่หมูเห็นด้วยกับการตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตร
และ..
หากแกนนำท่านใดจะเข้าสู่ภาคการเมืองหรือไม่อย่างไรก็ตามแต่ความเหมาะสมเถิด
ขอเพียง..
เว้น"คุณสนธิ"ไว้ได้มั๊ยค่ะ
ขอให้คุณสนธิอยู่กับภาคประชาชน
จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ในค่ำคืนใดสักคืนหนึ่งในทุกๆ สัปดาห์
จัดรายการ Goof Morning Thailand ในทุกๆ เช้า
เพื่อจุดและต่อเทียนธรรมเล่มต่อไป และต่อๆ ไป
ให้เกิดแสงสว่างทางปัญญาแก่มวลชนอีกมากมาย
คุณสนธิ สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ
ให้ผู้ฟังเข้าใจในเนื้อหาใจความได้ง่าย และมีพลัง
เพื่อให้..
ภาคประชาชนมีความเข้มแข็ง และภาคการเมืองมีความมั่นคง

..นะคะ..

วันที่ : 28 พฤษภาคม 52 12:02

http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx?QNumber=296710&Mbrowse=9

เรียนคุณแม่หมูตัวกลมๆ

พธม. เรียกหาการเมืองใหม่

การเมืองใหม่ หัวหน้าพรรคการเมือง ไม่จำเป็นต้องรับตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองก็ได้

หัวหน้าพรรคการเมืองหรือสมาชิกพรรคการเมืองยังไม่ใช้นักการเมือง

อย่าเพิ่งซีเรียส

แกนนำพันธมิตรนะครับ(ไล่ทักษิณมาแล้ว) คงไม่ตายน้ำตื่นๆหรอกครับ
28 พฤษภาคม 52 14:47
+++
แกนนำ พธม ทุกท่านมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว
มีค่ามากเราอยากรักษาไว้ในภาคประชาชน
ไม่อยากให้ลงสมัครเล่นการเมืองเลยค่ะ
ท่าน จำลองก็เด่นในด้านขวัญกำลังใจให้ธรรมะ คุณสนธิเป็นปราชญ์ให้ความรู้
ปลุกประชาชนให้ตื่นรู้ ลุงสมศักดิ์ก็เป็นผู้นำประชาชน
อาจารย์พิภพก้เป็นครูบาอาจารย์น่าศรัทธา ฯลฯ
เราทนไม่ได้ที่จะให้ใครมาล่วงเกิน-ทำร้ายด้วยกิริยา และวาจา
28 พฤษภาคม 52 16:19
+++
เห็นด้วยอีกคนครับ
เราก็ อยากจะขออย่างจริงจังจริงใจ
เพื่อให้ทั้งมวลชนและพรรคมีความมุ่งมั่นและแข็งแรงไปพร้อมๆ กัน
สามารถต่อสู้กับคนชั่วได้อย่างเข้มแข็ง ไม่ต้องมีเหตุใดๆ
ให้ต้องอับอายหรือหลบตาเวลาโต้ตอบใครๆ ในเรื่องจริยธรรม
แม้จะเห็นด้วยเรื่องตั้งพรรค
แต่เราก็เห็นว่าความศักดิ์สิทธิ์ของมวลชนพันธมิตรฯ สำคัญที่สุด
เลิกให้เหตุผลโต้กันไปกันมาดีกว่า ก่อนจะแตกแยกกันจริงๆ
28 พฤษภาคม 52 17:13
++
แกนนำทั้งห้า น่าสงสารเนอะเป็น ชีวิตที่ต้องอุทิศให้ประชาชน หวังว่า พธม
ก่อนที่จะวิจารณ์อะไร ค่อยๆคิด วิเคราะห์ ดีๆ ว่าเค้าทำเพื่อใคร
แต่เราก้ออย่าลืมชีวิตพวกเค้าเหมือนกัน หลังชุมนุมเสร็จ
เราก้อกลับไปมีชีวิต ปกติ แต่พวกเค้าหละ ไม่เหมือนเดิมนะ ต้องเจอกับ
อำนาจมืด อีกเยอะ เราต้องช่วยกันระดมความคิด ว่าจะช่วยกัน
ปกป้องเค้าด้วยอย่างไร
28 พฤษภาคม 52 17:19
++
ความรู้สึกรักและเป็นห่วง คุณสนธิไม่ผิดครับ
แต่ในสถานการสงครามการเมืองแม่ทัพเป็นสิ่งสำคัญ
และในการต่อกรกับอสูรย์ร้ายทางการเมืองต้องอาศัยผู้นำที่อยู่เหนือความตาย
ใจเป็นประธาน และคนที่เราเห็นในขณะนี้ก็คือแกนนำพันธมิตรฯ
และที่ดีที่สุดก็คือคุณสนธิ ทราบครับว่าทุกคนห่วงความปลอดภัยของคุณสนธิ
รักและเห็นใจท่านมากหลังถูกลอบสังหาร แต่ในสมรภูมิการต่อสู้กับคนมีอำนาจ
ต้องรบในที่แจ้งถึงจะปลอดภัย
ฉะนั้นต้องให้คุณสนธิอยู่ในพื้นที่ข่าวเหมือนอยู่ในที่แจ้งคุณสนธิจะปลอดภัย
ที่สุดและถ้าคุณสนธิมีอีกสถานะหนึ่งก็คือนักการเมืองก็จะมีความชอบทำในการ
ต่อสู้กับนักการเมือง
ฉะนั้นขอเสนอด้วยความเคารพขอให้คิดถึงปัญหาของชาติมาเป็นที่ตั้ง
ให้ระงับใจที่ชอบรักและหวังดีแล้วช่วยกันสร้างการเมืองใหม่
พรรคของประชาชน ตามเจตนารมณ์ของคุณสนธิ
ส่วนเรื่องหัวหน้าพรรคให้เป็นไปตามขบวนการของการตั้งพรรคแบบประชาธิปไตยทาง
ตรงถ้าเสียงข้างมากเลือกคุณสนธิเราก็ต้องยอมรับและถ้าเสียงส่ววใหญ่ไม่ต้อง
การไม่เลือกคุณสนธิเป็นหัวหน้าพรรคก็ต้องยอมรับเช่นกันครับ
แต่สำหรับผมแล้วไม่มีใครเหมาะที่สุดเท่าคุณสนธิอีกแล้ในการนำทัพการเมือง
ใหม่ และสู้กับนักการเมืองเก่าโกงชาติแบบประชิดตัว
28 พฤษภาคม 52 17:55
++
ที่ผ่านมาแกนนำก็ไม่มีพรรค ไม่มีอำนาจ ไม่มีเงินทอง
มีแต่มวลชนและความมุ่งมั่น แต่ก็สามารถต่อสู้อย่างมีความหมายได้
คนมีปัญญาอย่างแกนนำทั้งห้า อยู่ในบทบาทใดก็สามารถทำประโยชน์ให้ประเทศได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบทบาทผู้เฒ่าคุ้มครองกฎ
บทบาท หัวหน้าพรรคและนายกฯ ก็ไม่สำคัญเท่า
เพราะจะไปหนักอยู่ที่พรรคกันหมด
ซึ่งพัฒนาการที่ดีของพรรคมีข้อจำกัดอีกมาก
หากพลังภาคประชาชนขาดแกนนำทั้งห้าไป จะเข้มแข็งอยู่ต่อไปได้หรือไม่
เราไม่แน่ใจ
28 พฤษภาคม 52 18:32
+
เห็น ด้วยค่ะ คุณสนธิมีความรอบรู้และมีข้อมูลสื่อสารและอธิบายความให้เข้าใจได้ดีมากๆ
อยากให้ทำหน้าที่สื่อมากกว่า
ถ้าไปอยู่ในสภาแล้วจะไม่สามารถแสดงความรู้ความสามารถได้เต็มที่
พูดได้ไม่มากพอ เหมือนคนเก่งๆมีความรู้ดีหลายคนที่เข้าสภาแล้วใบ้กินไม่ได้แสดงออกเท่าที่
ควร ต้องการให้คุณสนธิทำหน้าที่สื่อจะได้เป็นแบบอย่างในการทำงานสื่อคุณภาพและจะ
ได้เป็นประวัติศาสตร์สื่อให้คนรุนหลังทำงานด้วยอุดมการณ์
จะได้เป็นแนวหน้าให้เหล่าพธม.คอยตรวจสอบ ปล่อยงานสภาให้คนอื่นๆทำ
ด้วยรักและเป็นความหวังของคนที่รักชาติด้วยจิตบริสุทธิ์
28 พฤษภาคม 52 19:32

++
ถ้า คุณสนธิจะเป็นแค่หัวหน้าพรรค แล้วไม่ลงสมัคร ส.ส. ทั้ง 2 แบบ
ผมว่าโอเคนะครับ เพราะกฏหมายห้ามเกี่ยวข้องกับสื่อแค่
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง -> ส.ส. ส.ว. นายกฯ รัฐมนตรีฯ
28 พฤษภาคม 52 20:18

++
เรียนแม่หมู

คุณสนธิจัด รายการ อีก คงโดน ยิงอีกแน่นอน

คุณคงไม่อยากให้คุณสนธิ โดนยิงอกี พวกมันมาเก็บงานแน่ๆ ทำงาน
ตอนแช้มาเป็น เวลาทุกวัน

ผมว่า ให้คุณสนธิไปลอง การเมือง ก็ดี อยากเหนคุณสนธิ พูดออกทีวี ฟรีบ้าง
หัวหน้าพูด เค้าเวลาพูด15นาที

ดีกว่า ดูแต่พวกเรา ที่ดูเอเอสทีวี

พอ คุณสนธิ เป้นสส แล้ว พกวมันจะทำอะไรคงยาก

ราบการอาจจัดไม่ได้ แต่มาเป็น แขกรับเชิญได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ เจอ

28 พฤษภาคม 52 21:59
++
พรรคการเมืองคืออะไรครับ????

พรรค การเมืองคือเรื่องของคนทั้งประเทศไทย
ถ้าพันธมิตรไม่มีปัญญาหาคนอื่นมาเป็นหัวหน้าพรรคแทนคุณสนธิ ลิ้มทองกุล
ก็ไม่ต้องตั้งพรรคแล้วครับ ไร้สาระ!!!

คุณสนธิ ลิ้มทองกุล
ทำไมถึงต้องประกาศสัจจะวาจาว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ
ขนาดที่ถ้าผิดสัจจะให้คนถ่มน้ำลายใส่หน้า เอารองเท้าตบหน้าได้เลย

เพราะว่า นั่นคือความบริสุทธิ์และอาวุธชิ้นเดียวที่ทรงพลังที่สุดของพันธมิตร

คุณ จะเอาอะไรไปสู้พวก"การเมืองเก่า" เงินเหรอ? คนเหรอ? จำนวนส.ส.เหรอ?
สื่อในมือเหรอ? ข้าราชการเหรอ? ....พรรคของพันธมิตรฯ
ไม่มีอะไรไปสู้ได้ทั้งสิ้น แต่พรรคของพันธมิตรฯ
มีเพียงอย่างเดียวที่สู้ได้นั่นคือ "ความดีงาม ความบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์"
ถ้าแค่หัวหน้าพรรคก็ต้องเสียสัตย์ เสียสัจจะไปแล้ว .....จบเห่
29 พฤษภาคม 52 0:25

+++

จีนและระเบียบโลกใหม่

โดย ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน


สาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังมีส่วนอย่างมากในการจัดระเบียบโลกใหม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ
วิกฤตทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
มีส่วนผลักดันให้บทบาทของจีนในเวทีสังคมนานาชาติ
ทั้งในแง่เศรษฐกิจและการเมืองโดดเด่นและสูงขึ้น
ในขณะเดียวกันบทบาทที่โดดเด่นของสหรัฐฯ
ในฐานะมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกก็อาจจะมีการแปรเปลี่ยนไปในระดับหนึ่ง

เมื่อ 20 ปีที่แล้ว
จีนเพิ่งเปิดประตูประเทศด้วยนโยบายสี่ทันสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง
คือการพัฒนาเกษตร อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการป้องกันประเทศ
หลังจากที่จีนหันไปใช้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมโดยมีระบบตลาดเป็นกลไก
รัฐก็ยังคุมรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ดูแลและสอดส่องการประกอบธุรกิจของเอกชน
การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน นโยบายการเงินการคลัง
โดยไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปอย่างอิสรเสรีไร้การควบคุม ไร้ทิศทางเหมือนสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นศึกษาหาความรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยาการจากประเทศ
ตะวันตกอันได้แก่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีในการผลิต การจัดการ
และการบริหารผสมผสานกับความรู้ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของจีน
จนสามารถถีบตัวขึ้นมากลายเป็นเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของโลก

ในขณะเดียวกัน
ทางการเมืองจีนก็ให้เสรีภาพกับประชาชนในการดำรงชีวิต
แต่ก็ไม่ไปไกลถึงกับให้เสรีภาพทางการเมืองแบบระบบประชาธิปไตยแบบตะวันตก
มีการเลือกตั้งผู้นำหมู่บ้านแต่ไม่มีการเลือกตั้งในระดับชาติ
มีการแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระแต่จะกระทบกระทั่งหลักการสังคมนิยม
อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ และพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้
ระบบเศรษฐกิจแบบจีนและระบบการเมืองแบบจีนเริ่มมีการกล่าวถึงโดยนักวิชาการ
เพราะเป็นระบบที่สร้างดุลยภาพระหว่างเสรีภาพและการควบคุมของรัฐ
โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีอุดมการณ์สังคมนิยมคอยสร้างกรอบและกำหนดทิศทาง
แต่ไม่ตึงเหมือนในสมัยเหมา เจ๋อตุง

ผลที่ตามมาคือ
การที่จีนประสบความสำเร็จโดยมีเสถียรภาพทางการเมือง
และมีการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีอัตราความจำเริญอย่างต่อเนื่องในระดับสูง
อันมาจากนโยบายที่ชาญฉลาดผสมผสานกับข้อเท็จจริงที่ว่าจีนมีตลาดภายในใหญ่
มหึมา มีประชากรถึง 1,300 ล้านคน และต้องตั้งข้อสังเกตไว้ว่า
จีนนั้นเป็นหนึ่งประเทศใน 200 กว่าประเทศของโลกตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ซึ่งมีการนับหน่วยของรัฐชาติเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริง
ในทางเศรษฐกิจต้องถือว่าจีนคือจักรวรรดิที่ประกอบด้วย 30 กว่าประเทศ
มณฑลเสฉวนมณฑลเดียวมีประชากร 100 ล้านคน ใหญ่กว่าประเทศเวียดนาม
มณฑลกวางตุ้งมีประชากร 80 ล้านคน ใหญ่กว่าประเทศไทย
เมืองฉงชิ่งหรือจุงกิงเมืองเดียว มีประชากร 30 ล้านคน

นี่คือข้อเท็จจริงที่มองข้ามไม่ได้
ตลาดภายในอย่างเดียวก็สามารถจะนำไปสู่การกระตุ้นความเจริญได้
เหตุนี้จึงทำให้จีนพึ่งพาต่างประเทศเพียง 30 ใน 100
ซึ่งตรงกันข้ามกับประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวถึง 70%
ของรายได้ จากประเทศที่มีฐานะยากจน ล้าหลัง
จีนได้พัฒนามาจนกลายเป็นประเทศที่สามารถเสนอการช่วยเหลือฟื้นฟูเศรษฐกิจของ
ประเทศอื่นแม้กระทั่งของสหรัฐฯ
และเป็นประเทศที่มีเงินตราต่างประเทศจำนวนมหาศาล

เมื่อสภาวะเปลี่ยนไปเช่นนี้
จีนเริ่มประกาศให้โลกรู้ว่าระเบียบโลกที่มีสหรัฐฯ เป็นเสาหลัก
มีเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็นรูปแบบ
คงไม่ใช่ข้อเสนอที่ทุกประเทศต้องนำไปใช้แบบลอกแบบทั้งดุ้นอีกต่อไป
จีนอ้างว่าระบบการปกครองของตนก็เป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยรูปแบบ
หนึ่ง และเศรษฐกิจแบบจีนเป็นเศรษฐกิจที่มีภูมิป้องกันตัวเองได้ดีกว่าทุนนิยมแบบ
ปล่อยลอยไร้ทิศทาง
จีนเริ่มเรียกร้องให้เงินหยวนของจีนเป็นเงินสกุลแข็งอยู่ในระดับเดียวกับดอลลาร์
ปอนด์ ยูโร ฯลฯ

คำถามก็คือ ระเบียบโลกเดิมที่จีนและประเทศต่างๆ
จำเป็นต้องเข้าเป็นสมาชิกโดยที่ไม่มีทางเลือก
เป็นระเบียบโลกที่พึงประสงค์มากน้อยเพียงใด ในเบื้องแรก คำว่าการค้าเสรี
(Free Trade) จะเป็นการค้าที่ยุติธรรม (Fair Trade) ได้หรือไม่
ระหว่างประเทศที่ระดับการพัฒนาไม่เท่ากันเนื่องจากระดับการพัฒนาทางวิทยา
ศาสตร์และเทคโนโลยี
ในกรณีที่ประเทศยากจนและล้าหลังค้าขายในระดับที่เท่าเทียมกันกับประเทศที่
พัฒนาแล้ว ความได้เปรียบในดุลการค้าและดุลชำระเงินย่อมจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย
และถึงแม้จะมีการชดเชยด้วยมาตรการใดก็ตามก็คงไม่สามารถจะทำให้เกิดความ
ยุติธรรมได้

นอกเหนือจากนั้นการมีกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิบัตรก็ดี ลิขสิทธิ์ก็ดี
รวมตลอดทั้งสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ก็ดี
ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะถกเถียงได้
แต่สิ่งนี้ก็นำไปสู่การผูกขาดในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงโดยประเทศ
ที่พัฒนาแล้ว และในความเป็นจริงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สหรัฐฯ
เป็นประเทศสุดท้ายที่เข้าเป็นสมาชิกอนุสัญญากรุงเบิร์น (Bern Convention)
เกี่ยวกับสิทธิบัตรและลิขสิทธิ์

ขณะที่มีการพูดถึงการรักษาสภาพแวดล้อมการป้องกันปัญหาโลกร้อน
สหรัฐฯ เองก็ได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงเกียวโต (Kyoto Protocol)
และในขณะที่มีการกล่าวถึงบรรษัทภิบาล (Corporate Governance)
ซึ่งจะต้องมีหลักธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส มีการแข่งขันอย่างยุติธรรม
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจนนำไปสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจนี้
ก็เนื่องจากการขาดความโปร่งใสในกรณีของซับไพรม์
การขาดบรรษัทภิบาลของผู้บริหารบรรษัทใหญ่ๆ
ด้วยการตั้งเงินเดือนตัวเองและแจกรางวัลประจำปีด้วยอัตราที่สูงลิ่ว
รวมทั้งบริหารธุรกิจอย่างหละหลวมถึงขั้นล้มละลาย

ขณะเดียวกันรัฐบาลสหรัฐฯ เองภายใต้การนำของนายบารัค โอบามา
ก็ใช้ภาษีของประชาชนอเมริกันเข้าไปอุ้มบรรษัทใหญ่ๆ เอาไว้
เพราะถ้าบรรษัทเหล่านั้นล้มละลายจะส่งผลในทางลบต่อเศรษฐกิจทั้งมวล
มาตรการดังกล่าวนี้สหรัฐฯ เคยเสนอแนะไม่ให้ประเทศกำลังพัฒนานำไปปฏิบัติ
หลักการคือว่า บรรษัท บริษัทที่อ่อนแอบริหารผิดพลาดต้องให้ล้มไปเอง
แต่ที่รัฐบาลสหรัฐฯ
ทำอยู่ขณะนี้ขัดต่อหลักการที่ตนประกาศไว้ต่อสังคมนานาชาติ
การอุ้มชูและค้ำจุนบริษัทที่มีหนี้เสียโดยรัฐบาลได้เกิดขึ้นแม้ในสมัยรัฐบาล
บิล คลินตัน ที่ประคับประคองบรรษัทการเงินที่เสียหายจากการโจมตีเงินตราต่างประเทศของ
ประเทศอื่นเพื่อไม่ให้บรรษัทการเงินเหล่านั้นล้มละลาย

การปฏิบัติการสองมาตรฐานนี้จะดูเป็นอื่นไม่ได้นอกจากจะพูดตามแบบภาษาอังกฤษ
ที่ว่า He did not practice what he preached
คือบาทหลวงที่เทศนาให้คนอยู่ในกรอบศีลธรรมและจรรยาบรรณ
กลายเป็นผู้ที่ไม่ปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนเองเทศน์ออกไป

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ย่อมจะส่งผลต่อระเบียบโลกในอนาคต
แม้สหรัฐฯ ยังจะเป็นมหาอำนาจที่สำคัญของโลกอยู่
และสหภาพยุโรปก็คงเป็นเศรษฐกิจที่ไม่สามารถจะมองข้ามได้

แต่บทบาทในทางเศรษฐกิจและการเมืองของจีน อินเดีย และรัสเซีย
คงต้องจัดเข้าอยู่ในสมการในเวทีการเจรจาการเมืองระหว่างประเทศ
และข้อตกลงทางเศรษฐกิจและการค้า สหรัฐฯ
คงไม่สามารถจะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของโลกโดยผู้เดียวได้อีกต่อไป
เงินเหรียญสหรัฐ
ซึ่งเป็นเงินสกุลที่สำคัญที่สุดสกุลหนึ่งก็น่าจะเปิดให้เงินสกุลหยวนเข้ามา
มีบทบาทมากขึ้น หรือในอนาคตอาจจะมีเงินสกุลของอาเซียนเกิดขึ้นด้วย

ยุคแห่งสหรัฐฯ ที่เป็นเสาหลักเสาเดียวหลังสงครามเย็น
หรือหนึ่งในสองเสาหลักคู่กับสหภาพโซเวียตในยุคสงครามเย็นคงต้องแปรเปลี่ยนไป
เสาหลักของโลกและภูมิภาคน่าจะกระจายไปทั่ว นอกจากจีน อินเดีย รัสเซีย
และญี่ปุ่นแล้ว บราซิล อินโดนีเซีย เกาหลีใต้
และประเทศที่มีศักยภาพอื่นกำลังเปิดประตูมาสู่สังคมนานาชาติโดยมีบทบาทมาก
ขึ้น

และในยุคที่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วนี้
ไม่มีใครสามารถจะห้ามการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของประเทศที่มีทุนเดิมในทาง
วัฒนธรรมและความรู้ได้ กรณีของจีนสามารถทำสำเร็จได้ภายในสองทศวรรษ
กรณีของบราซิลก็น่าจะทำให้สำเร็จได้ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันหรือนานกว่า
เล็กน้อย เกาหลีใต้ซึ่งเคยยากจนกว่าญี่ปุ่นมาก
มาบัดนี้สามารถจะผลิตสินค้าทางเครื่องไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
รวมทั้งรถยนต์ที่กำลังท้าทายคู่แข่งที่เป็นศัตรูเก่าของตนคือญี่ปุ่น
ไม่นานนักตลาดรถยนต์ก็คงจะดาษดื่นไปด้วยรถยนต์ของอินเดียและรถยนต์จากจีน
รวมทั้งรถยนต์จากมาเลเซีย

โลกา ภิวัตน์เป็นยุคของโลกแบน นั่นคือ
ความเสมอภาคแห่งโอกาสของการพัฒนาเหมือนสนามฟุตบอล ทุกคนยืนเท่าๆ กันหมด
การพัฒนาในสองทศวรรษหน้านี้เป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าติดตาม

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000050722

ชีวิตพอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับส องของโลก : วอร์เรน บัพเฟตต์ (Warren Buffet)

http://news.bn.gs/images/articles/20080306065406686_1.jpg


มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์ วอร์เรน
บัพเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก (รองจากบิล เกตส์)
ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศลถึง 31 , 000 ล้านดอลล่าร์
(เป็นเงินไทยก็ราวๆ 1,000,000,000,000 อ่านว่า 1 ล้าน ล้านบาท โอ้แม่เจ้า)

ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา :

1) เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ
และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!

2) เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์

3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา
ที่ซื้อไว้หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน
เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้
บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม

4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน

5) เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว
แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท
เขาเขียนจดหมายถึงซีอีโอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว
เพื่อให้เป้าหมายประจำปี
เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ

7) เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อ
กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย
กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1

8 ) เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน
คือทำข้าวโพดคั่วกินและดูโทรทัศน์

9) บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน
บิล เกตส์คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย
จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบบัฟเฟตต์จริงๆ
ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล
เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน บัพเฟตต์

10) วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน

11) เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า :

ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย ๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง

มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม1มื้อ เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ
ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร
สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน

บุหรี่!! สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 รองจากเอดส์-เหล้า

บุหรี่!! สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 รองจากเอดส์-เหล้า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยตัวเลขเตือนภัยต่างๆ
ที่เกิดจากการสูบบุหรี่ เนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคมของทุกปี
เพื่อเป็นการเตือนสติผู้ที่สูบบุหรี่ให้เลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด
จากสถิติพบว่า บุหรี่สามารถคร่าชีวิตคนกว่า 5 ล้านคนต่อปีทั่วโลก
หรือวันละกว่าหมื่นคน สำหรับในประเทศไทยมีผู้เสพติดบุหรี่กว่า 10.8
ล้านคน และเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ปีละ 42,000 คน
สำหรับการเสียชีวิตด้วยบุหรี่
นับเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเสียชีวิตอันดับ 3 รองจากโรคเอดส์ และสุรา
รวมถึงสูญเสียค่าใช้จ่ายในการสูบบุหรี่ คิดเป็นเงินโดยเฉลี่ยกว่า 20
ล้านบาทต่อวัน นอกจากนี้
ควันบุหรี่ยังเป็นอันตรายต่อเด็กที่เสี่ยงในการเกิดโรคหลอดลมอักเสบ
หืดหอบ หูน้ำหนวก ปอดบวม และไหลตายได้อีกด้วย

อ ย่ า เ สี ย สั ต ย์ !

อ ย่ า เ สี ย สั ต ย์ !

ผู้เขียน: ว.แหวนลงยา (wachira89 สมาชิก)
ฤา น้ำขึ้น ต้องรีบตัก

มิรอพัก ตะกอนขุ่น

ฤา เถยจิต คิดแบบทุน

โอกาสทอง ต้องรีบฉวย


เหล็กร้อน ต้องรีบตี

สร้างเหล็กดี เป็นดาบสวย

โหมไฟ ให้พลุ่งพวย

หลอมเหล็กแกร่ง ด้วยแรงร้อน


ช้า ช้า รอพร้างาม

เห็นต่าง ตาม มาแทรกซ้อน

รีบตัก ทั้งตะกอน

อาจปนเปื้อน ไม่ปลอดภัย


เหล็กดี มีไฟพร้อม

ย่อมหล่อหลอม ดาบดีได้

ค้อน ทั่ง ได้ดังใจ

จึงพรั่งพร้อม หลอมเหล็กตี


หลากคน หลากคมคิด

หลอมรวมจิต ให้ถ้วนถี่

ใดดี ใดไม่ดี

ต้องออกแบบ ให้แยบยล


เห็นต่าง เยี่ยงอย่างมิตร

ย่อม ถูก-ผิด ต่างเหตุผล

การณ์ใหญ่ ในวังวน

แหวกคับแคบ ให้แยบคาย


หนทาง ยังไกลนัก

อุปสรรค ยังหลากหลาย

สารพัน ภยันตราย

ยังเรียงราย ทุกรายทาง


พันธกิจ ที่พันผูก

แห่งการปลูก แห่งการสร้าง

เทียนธรรม ส่องนำทาง

อย่าเสียสัตย์ อย่าเสียธรรม !


ว.แหวนลงยา

http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx?QNumber=296837&Mbrowse=9


คนหน้าไม้


ประพฤติ ธรรมให้สมกับธรรม,
ธรรมในทางพระพุทธศาสนาแบ่งเป็นสภาวธรรม(ธรรมที่เป็นไปตามธรรมดาของเหตุ
ปัจจัย) และปรมัตถธรรม(ความจริงโดยความหมายสูงสุด),
สมมติสัจจะ(สัจจะความจริงโดยสมุติ
ที่มนุษย์ทำให้เสมอด้วยความจริงอันสูงสุด)
และปรมัถ์สัจจะ(เป็นความจริงแท้ จริงตามกฎของธรรมชาติ
ที่ไม่อยู่ในการควบคุมไดๆ ของมนุษย์), มนุษย์จะพัฒนาตนเองได้ต้องมีสัจจะ
หรือมีสัตย์ ต้องมีหลักมีศีล ซึ่งเป็นเครื่องมือพัฒนา
หรือวิวัฒนาการไปสู่เป้าหมาย,
ธรรมที่เป็นเครื่องมือคือทำให้ถูกเหตุถูกผล ถูกกาล ถูกสถานที่
ถูกบุคคลเป็นต้น. คือต้องใช้สภาวธรรม
ต้องใช้สมมติสัจจะเพื่อพัฒนาไปสู่การบรรลุเข้าถึงความจริงแท้
ความจริงตามกฎของธรรมชาติ คือปรมัตถ์ธรรม และปรมัตถสัจจะ. คุณสนธิ
พูดเรื่องการไม่ขอรับตำแหน่งในทางการเมืองในสมัยที่ทำการประท้วง
การกระทำที่ไม่ถูกต้องของรัฐบาลในยุคนั้น
เป็นความจริงที่การกระทำขณะนั้นไม่ได้ทำไปเพื่อหาผลประโยชน์ของตนเอง
ในทางการเมืองนั่นคือสภาวธรรมขณะนั้น,
แต่ในขณะนี้พันธมิตรไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้ถ้าไม่มีพรรคการเมืองจึงมี
การตั้งพรรคสภาวธรรมมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว คุณสนธิ
และกลุ่มพันธมิตรทั้งหลายจึงควรแยกแยะว่าคำพูดในวันนั้นเมื่อมันอยู่ในสภาว
ธรรมนั้น แต่เมื่อสภวธรรมมันเปลี่ยนข้อจำกัดนั้นก็ควรจะหมดไป, คุณสนธิ
พันธมิตร และแนวร่วมควรแยกแยะธรรมในระดับที่มีข้อจำกัดคือสภาวธรรมอย่าเอามาปนกับ
ปรมัตถธรรม, ถ้าประพฤติธรรมไม่สมควรต่อธรรม ยึดกฎระเบียบเอาผิดๆ
จนเสียประโยชน์จากสิ่งที่ควรจะได้รับมันจะกลายเป็นสีลัพพตปรามาส
ในทางพระพุทธศาสนา, การจะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่
สัจจะในระดับสภาวขณะนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ทำอย่างถูกเหตุ ถูกผล
ถูกสภาวธรรมขณะนี้ต่างหากที่สำคัญกว่า. สัจจะในระดับสภาวธรรมเป็นStatic
เพื่อพัฒนาไปสู่สัจจะในระดับที่ทุกอย่างเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงDynamic
30 พฤษภาคม 52 9:09

สภากาชาดเผยเลือดร้อยละ 40 คุณภาพต่ำ ข้นไม่พอ-พลาสมาขุ่น

สภากาชาดเผยเลือดร้อยละ 40 คุณภาพต่ำ ข้นไม่พอ-พลาสมาขุ่น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


สภากาชาดเผยผลโครงการดูแลผู้บริจาค โลหิต
พบสาเหตุที่ไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ ร้อยละ 40 ความเข้มข้นของโลหิต
ไม่ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน จากภาวะโลหิตจาง ร้อยละ 10 ไม่รู้ว่าต้องงดยา
ปฏิชีวนะ ยารักษาสิว แอสไพริน ก่อนบริจาค
รวมถึงไม่ควรกินอาหารที่มีไขมันสูงก่อนมาบริจาคโลหิตทำให้ พลาสมาขาวขุ่น
นำเลือดไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ แนะดื่มน้ำ 3-4 แก้วก่อนบริจาคป้องกันเป็นลม

นาวาโทหญิง พญ.อุบลวัณณ์ จรูญเรืองฤทธิ์
รองผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ กล่าวว่า
จากการที่สภากาชาดจัดให้มีโครงการดูแลผู้บริจาคโลหิต 4 โครงการ คือ
1.โครงการการดูแลผู้บริจาคโลกหิตด้วยการดำเนินโครงการคัดกรองผู้บริจาคโลหิต
ที่ใช้ยา ระหว่างปี 2547 -2550 พบว่า
สาเหตุสำคัญที่ไม่สามารถบริจาคโลหิตมาจากการใช้ยาร้อยละ 10
เนื่องจากไม่ทราบว่าต้องมีการงดยาบางประเภทก่อนที่จะมาบริจาคโลหิตหรือหาย
จากโรคหรือสาเหตุที่ต้องใช้ยาอย่างน้อย 3-7 วัน เช่น ยาปฏิชีวนะ
ยารักษาสิว และยาแอสไพริน เป็นเต้น

นาวาโทหญิง พญ.อุบลวัณณ์ กล่าวต่อว่า
2.โครงการการป้องกันและลดการเป็นลมระหว่างหรือหลังบริจาคโลหิต
โดยได้ให้ผู้บริจาคโลหิตดื่มน้ำก่อนการบริจาคโลหิต 30 นาที ประมาณ 3-4
แก้ว หรือเท่ากับปริมาณโลหิตที่บริจาค 450 ซี.ซี. เพราะจะช่วย
จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น เลือดไหลเวียนดี
ป้องกันภาวะการขาดน้ำซึ่งเป็นสาเหตุของการเป็นลม
ซึ่งภายหลังการดำเนินการเช่นนี้ พบว่า
อัตราการเป็นลมหลังบริจาคโลหิตที่ศูนย์บริการโลหิตฯ ระหว่าง
ส.ค.2550-มิ.ย.2551 ลดลงจาก ร้อยละ 0.25 เหลือ ร้อยละ 0.16
และที่หน่วยรับบริจาคเคลื่อนที่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงระหว่างเดือนก.ค.2550
- มิ.ย. 2551 ลดลงจาก ร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 0.16

"3. โครงการลดการสูญเสียพลาสมาขาวขุ่น พบว่าโลหิตที่ได้รับบริจาค
เมื่อนำไปปั่นแยกส่วนประกอบของโลหิต มักจะพบว่าพลาสมาหรือ น้ำเหลือง
มีสีที่ผิดปกติเช่น สีขาวขุ่น สีเขียว และสีดำ
ไม่สามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยได้ ซึ่งพลาสมาขาวขุ่น พบในปริมาณมากที่สุด
จึงทำการศึกษาจากผู้บริจาคโลหิตที่มีพลาสมามีสีขาวขุ่น พบว่าร้อยละ 98
ไม่ทราบว่าต้องงดอาหารที่มีไขมันสูงก่อนมาบริจาคโลหิต
ทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารและไขมันเข้าสู่กระแสเลือด
จึงมีไขมันอยู่ในโลหิตปริมาณมาก
ผู้บริจาคโลหิตควรงดการทานอาหารที่มีไขมันสูงก่อนมาบริจาคโลหิตอย่างน้อย
6 ชั่วโมง สามารถลดปริมาณการเกิดพลาสมาขุ่นขาวได้"นาวาโทหญิง
พญ.อุบลวัณณ์ กล่าว

นาวาโทหญิง พญ.อุบลวัณณ์ กล่าวด้วยว่า 4.โครงการ
การป้องกันภาวะโลหิตจาง พบว่า สาเหตุที่ผู้ไม่สามารถบริจาคโลหิตได้
อันดับ 1 หรือ ร้อยละ 40 ของผู้บริจาคโลหิต คือ ความเข้มข้นของโลหิต
ไม่ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากเกิดภาวะโลหิตจาง จากการสูญเสียธาตุเหล็ก
ดังนั้น ผู้บริจาคโลหิตต้องให้ความสำคัญกับการรับประทานธาตุเหล็ก
ในรูปของเม็ดยา ภายหลังจากการบริจาคโลหิตทุกครั้ง
เพื่อรักษาภาวะความสมดุลของร่างกายให้สามารถบริจาคโลหิตได้ทุก 3 เดือน
เพื่อให้โลหิตมีความเข้มข้นพอที่จะสามารถบริจาคโลหิตได้อย่างต่อเนื่อง
โดยสามารถสอบถามและขอรับเอกสารความรู้ได้ที่โทร. 0 2256 4300, 0 2263
9600 ต่อ 1760 หรือ www.blooddonationthai.com

ปลุกเสกบ้านเมือง ให้เป็นเมืองพันธมิตร

ผู้เขียน: aeonmind
ใคร จะมาเป็นหัวหน้าพรรค ผมไม่ค่อยจะสนนะ แต่อยากให้ทั้งห้าแกนนำมานำเรา
ปลุกและปลอบเราอย่างเคย ให้ฝ่าฟันเข้าสู่สนามการเมือง
ซึ่งทุกอย่างก้าวช่วยนำเราไปอย่าให้เราตกขอบการเมืองใหม่
ลงสู่การเมืองเก่า เสียงในสภาไม่สำคัญ เท่าการทำให้ทุกย่างก้าวเราสง่างาม
เฉกเช่น 193 วัน... เสน่ห์อย่างหนึ่งของพันธมิตร คือ
การเป็นอยู่ร่วมกันของเรา ในนิยามว่า เมืองพันธมิตร นี่แหละ
ที่ทำให้เราสู้ได้ยาวนาน เพราะมีความดีงาม ความเสียสละ
การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน น้ำใจ อันสร้างแรงดึงดูดมวลชนอันไพศาล
ซึ่งยอมรับกันได้ว่า ในสังคมทั่วไป ยากที่จะหาได้แบบนี้...
ดังนั้นการที่พันธมิตร จะเข้าไปสู่การเมือง
ต้องอย่าให้การเมืองเปลี่ยนเรา แต่เราต้องเปลี่ยนการเมือง
การจะมีกลุ่มหรือตัวแทนพรรคในแต่ละพื้นที่ สำคัญสุดคือ
ต้องปักหลักให้เกิดมณฑลย่อยของเมืองพันธมิตรขึ้นที่นั่น...
กลุ่มคนที่จะเสียสละลงมาเป็นตัวเลือกลงเลือกตั้ง
ต้องทำงานภายใต้ทีมงานที่มาจากประชาชนที่พร้อมเข้ามาเสียสละ
ตัวแทนแม้จะมีกี่คนก้อตามที่จะเสนอตัวแข่งกันเป็นทางเลือก
แต่ทั้งหมดต้องอยู่ในทีมงานใหญ่ชุดเดียวกัน แม้จะเลือกตั้งได้เป็นสส.
แต่สส.นั้นต้องทำงานเป็นตัวแทนนำเสนอเรื่องราวจากทีมงานในจังหวัดนั้นๆ
ขึ้นสู่สภา การแข่งขันเป็นตัวแทน ต้องมิใช่การแก่งแย่งชิงดีกัน
แต่ควรมาจากการคัดคุณสมบัติ ความสามารถ ปูมหลัง
คนที่ได้เลือกกับคนที่พลาดหวัง ต้องยังสามารถทำงานเกื้อกูลกันได้
หากเราทำได้แค่นี้ นั่นก้อถือว่าเป็นการเมืองใหม่ไปแล้วครึ่งทาง...
ส่วนรูปแบบการหาเสียง ควรใช้สโลแกน "มาทำหน้าที่ ใช้หนี้แผ่นดิน
และมาทำบุญ (กั๊บ..บ-เสียงหนูบอล)" ตัวแทนพรรคในพื้นที่
ไม่ต้องไปซื้อเสียง หรือ สัญญาว่าจะให้เมื่อได้รับเลือกตั้ง
แต่ให้คิดโครงการพัฒนา ทำสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ขึ้นมาเลย
แล้วนำเสนอเข้าส่วนกลาง แล้วนำมาบอกแกนนำพันธมิตร
แกนนำจะจัดกิจกรรมนำมวลชนอาสาสมัครชาวพันธมิตร
บุกไปยังจังหวัดหรือเขตนั้นๆ แล้วสร้างมหกรรม มาทำหน้าที่ ใช้หนี้แผ่นดิน
และมาทำบุญ เอาให้คนในจังหวัดนั้นๆ ตกใจ งงว่าคนจากทุกจังหวัด
บุกมาเที่ยว ค้างคืน แถมยังช่วยกันทำงานที่สร้างสรรค์
อย่างบุกไปปลูกป่าชายเลน ไปปลูกป่า
บุกไปทำความสะอาดศาสนสถานทุกศาสนาในจังหวัดนั้นๆ ทำสีกำแพงวัด โรงเรียน
ทำอาหารเลี้ยงผู้ด้อยโอกาส เปิดโรงทานพันธมิตร ฯลฯ...
งานสาธารณะแบบนี้อีกร้อยแปดพันเก้า
เพื่อให้เหล่านักแสวงบุญแบบชาวพันธมิตร ได้ทำกัน...
ระหว่างนักการเมืองเก่าที่สัญญาว่าจะให้ หรือจ่ายก้อครึ่งหนึ่ง
กะนักการเมืองใหม่ที่ไม่ว่าจะเลือกหรือไม่เลือก
เราทำสาธารณประโยชน์ให้คนในพื้นที่นั้นแล้ว... และหากเราไม่ได้เลือก
ก้อไม่ต้องเสียใจ
เพราะคนที่มาช่วยทำงานบุญก้อล้วนได้บุญติดไม้ติดมือกลับบ้านไปแล้ว...
การรณรงค์ปลูกป่าชายเลนกันทีนะ มีคนไปร่วมแค่ไม่กี่สิบ ไม่กี่ร้อย
แต่หากพันธมิตรเคลื่อนพล แม่ยกพันธมิตรขยับ
มันจะก่อผลอย่างยิ่งใหญ่แค่ไหน... ผมฝันเฟื่องได้แค่นี้
และหากทำได้แค่นี้แล้ว พลาดหวังจากเก้าอี้ในสภา
ก้อไม่คิดจะเสียใจใดๆเลย...
วันที่ : 30 พฤษภาคม 52 13:31


++
เด็กแนว


ฝัน ไปเลยพี่ หนูก้อชอบฝันเรื่องเมืองใหม่ตลอด เมืองที่ผู้คนมีน้ำใจกัน
มีอะไรก้อแบ่งปันกันกิน ไม่เห็นเงินเป็นพระเจ้า อยากให้ พธม
ขยายแนวร่วมด้วยการกำหนดกิจกรรมเพื่อสังคม ไปตามต่างจังหวัด
ขับเคลื่อนไปให้ความรู้เรื่องการเมืองด้วย อยากให้ชาวชนบท
มีความรู้ไม่เป็นทาสนักการเมืองชั่ว เราต้องฟันฝ่ากันไปให้ได้
ถึงแม้ว่ามันจะมีอุปสรรคเยอะแยะมากมาย จะใช้เวลาอีกกี่ปี ก้อจะไปให้ถึง
ขอบคุณคะ สำหรับกระทู้สร้างสรรค์อันนี้

++
พัันธมิตรแท้และดังเดิม

ถ้า เราได้เสียงน้อยในสภา พวกเราก็จะช่วยกัน........ ประท้วง
นี่แหล่ะคือประชาธิปไตยในอุดมคติอย่างแท้จริง การเมืองใหม่กิ๊กล่าสุด
พวกเราจะไม่มีทางแพ้เด็ดขาด เราจะประกาศชัยชนะทุกวัน
เรามีฐานเสียงคนกรุงเทพหลายแสนคนเป็นเสียงส่วนใหญ่ของปัญญาชนในประเทศ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคิดถูกหมดใครคิดไม่ทันเราคือพวกชาวบ้านขาดการศึกษา
ใครไม่เห็นด้วยกับเรา มันคือพวกทรราชทักษิณ

++
ดำเกิง

เห็น ด้วยกับเจ้าของกระทู้ครับ
เป็นความคิดที่เป็นการเมืองใหม่อย่างแท้จริง และหวังว่า
การเมืองของเราจะเป็นไปในรูปแบบนี้
อยากให้แกนนำร่างกฎเกณฑ์ให้ชัดเจนเลยครับว่าเราต้องทำในรูปแบบนี้
หากใครไม่เห็นด้วยก็ให้ถอยออกไปอย่ามายุ่งเกี่ยวในพรรคการเมืองของเรา
พรรคพันธมิตรจะได้พิสูจน์ตัวเองได้ว่าเราไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของพรรค
หรือนักการเมือง แต่เราทำเพื่อสังคมและประเทศชาติเป็นหลัก
ในระยะยาวที่นั่งในสภาไม่ไปไหนแน่นอนต้องเป็นของพันธมิตร
และหากเราจะสร้างให้พรรคการเมืองอื่นๆเอาอย่างก็นับเป็นกุศลของ พธม.
ที่จะได้เป็นคนนำ

from http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx?QNumber=296862&Mbrowse=9

มองไกลได้แต่อย่าลืมจุดเริ่ม

มองไกลได้แต่อย่าลืมจุดเริ่ม

ผู้เขียน: พธม.ปากพนัง
ผม อยากให้การเริ่มต้นของการทำการเมืองใหม่ของ
พธม.ค่อยๆเป็นที่ละก้าวของจังหวะ
ต่อประเด็นที่เสนออยากให้คนนั้นคนนี้เข้ามาเป็นนายก
ผมคิดว่ายังไม่ถึงเวลานะครับ
อยากจะให้พี่น้องร่วมกันสร้างความแข็งแกร่งที่จุดเริ่มในตัวพรรคก่อนครับ
โดยเริ่มที่โครงสร้างพรรค นโยบายพรรค การสรรหาหัวหน้าพรรค
ไล่ไปจนถึงผู้สมัครรับเลือกตั้ง
มิฉนั้นเราก็จะจับหลักกันไม่ติดแล้วอาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเรา พธม.
มักใหญ่ใฝ่สูง ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็น้อมรับและให้ความเคารพต่อทุกความเห็นของพี่น้อง
พธม.นะครับ ตอนนี้อยากจะให้โฟกัสกันที่โครงสร้างพรรคโดยเฉพาะการเสนอผู้ที่เข้ามาเป็น
หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค
เหมือนเดิมครับผมขอเสนอ ท่าน พล.อ ปฐมพงษ์ เกษรสุข ขอผู้รับรองด้วยครับ
ส่วนเพื่อน พธม.จะเสนอใครก็เชิญร่วมกันเสนอนะครับ
วันที่ : 29 พฤษภาคม 52 11:34

http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx?QNumber=296781&Mbrowse=9

ลือดไทย (juntarasopin สมาชิก)

เก็บ พลังเอาไว้พี่น้องเอ้ย....ไม่นานแค่หมดฝนเราก็งานเข้าอีก
เพราะงานเรายังไม่เสร็จประเทศชาติยังต้องพึ่งพี่น้องและจะไม่ยอมให้พี่น้อง
เราตายฟรีแน่นอน "เอาประเทศชาติของเราคืนมาจริงๆสักที"

++
สนับสนุน ท่านปฐมพงษ์


ผม สนับสนุนแนวความคิดในการให้ พลเอกปฐมพงษ์ เป็นปาร์ตี้ลิสท์คนที่หนึ่ง
นำตัวแทน พธม.เข้าสภา ต่อสู้กับการเมืองเน่า เกรงแต่ท่านจะไม่เอาด้วย
อยากเห็นแกนนำทั้ง 5 ยกเว้น อาจารย์สมเกียรติ์
เป็นแบล็กอัพนำทัพพันธมิตรอยู่เป็น สภาพันธมิตร
เพื่อหาฉันทามติในการต่อสู้ในรัฐสภาเพื่อให้ตัวแทนเอาไปต่อสู้
หากเสียงสู้ไม่ได้ก็เอาเสียงจากพันธมิตรจัดตั้ง เข้าชื่อ 50000 คน
คัดค้านการทำงานของการเมืองน้ำเน่า อย่างที่อาจารย์ปราโมท ท่านว่าก็ได้
ไม่ต้องออกไปตากแดด เดินบนถนนอีกต่อไป เราใช้สภาพันธมิตร ระดมความคิด
ความเห็น ขับเคลื่อนการเมืองภาคประชาชน รูปแบบใหม่ ดีกว่า
เพราะขืนให้แกนนำเราลุยตอนนี้ทั้งโคลน
กระสุนและคดีที่โดนฟ้องต้องสาดใส่จนเราอาจเสียรูปขบวนเป็นแน่
เพราะถึงเข้าสภาได้ในตอนนี้ คดีที่ศาลตัดสิน
ถึงจะไม่สิ้นสุดก็อาจต้องลาออกในตอนรับตำแหน่งปล่าวๆ สร้างฐาน พธม.
นอกสภาให้แน่น พรรค พธม. มีผลงานในรัฐสภา
และเป็นที่ยอมรับกับสังคมและเห็นเจตนาที่บริสุทธิ์ในการทำเพื่ิอชาติ
ศาสน์ กษัตริย์ ด้วยความกล้าหาญแล้ว แกนนำค่อยเข้าสภาในฐานะเบอร์
หนึ่งถึงห้า จะไม่ห้ามและจะสนับสนุนให้สุดตัวเลย
29 พฤษภาคม 52 20:41

++

slow but sure

เดิน ที่ละก้าว กินข้าวทีละคำ รีบแต่ไม่ร้อน พธม
ต้องเดินหน้าทางการเมืองในรัฐสภาแต่แกนนำควรทำฐานมวลชนให้แน่นมากกว่านี้
ไม่ควรกระโดดเข้ารัฐสภาให้เปลืองตัวในตอนนี้
แกนนำรุ่นสองและท่านผู้กล้าที่มีประสบการณ์ทางการเมือง เข้าไปลุยก่อน
เพื่อขับไล่น้ำเน่าให้เหลือน้อยลง
โดยการเข้าไปผลักดันสร้างกฏหมายเพื่อยกระดับนักการเมืองให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
นักการเมืองน้ำเน่าไม่สามารถเข้ารัฐสภาได้อีกต่อไป
เปรียบเหมือนการเคลื่อนทัพ ทัพหลวงต้องอยู่หลังคอยสนับสนุน
ทัพหน้าต้องใช้ขุนพลกล้านำทัพ

++
พอเพียง

พรรค ของเราคงไม่เหมือนกับพวกไอ้เหลี่ยมหรอกคับ เลือกที่จะทำดีดีกว่า
เพราะอายุเวลามีชีวิตมันสั้น แต่เวลาที่ตายอะ มันยาว
เราต้องเชื่อมั่นในแนวทางร่วมกันเพื่อทำให้ชาติไทย เจริญยิ่งกว่าพวกฝรั่ง
เพราะทรัพยากรมีอย่างเพียงพอแล้ว
30 พฤษภาคม 52 3:08

ทวงคืนประเทศไทย ทวงคืนชีวิตพี่น้องพันธมิตร

ทวงคืนประเทศไทย ทวงคืนชีวิตพี่น้องพันธมิตร

ผู้เขียน: คนของแผ่นดิน
ลืมกันแล้วหรือที่เราออกมาทวงคืนประเทศไทย แล้วเราได้คืนหรือยัง?
และที่พี่น้องเสียชีวิตมีใครรับผิดชอบหรือยัง?


ฝาก ถามนายก อภิสิทธิ์และ พรรคประชาธิปปัตย์ หนี้เลือก 7ตุลา
พี่น้องพันธมิตรตายไป 10คน อีกคนก็ โคม่า ยังไม่ฟื้น คนที่แขนขาดขาขาด
ตาบอด นี่ก็ผ่านมา ครึ่งปีแล้ว คุณเอง เป้นรบ มา4เดือนแล้ว ตำรวจ
ก็ไม่ขยับอะไร คุณก้ไมได้ สั่งการอะไร

คนร้ายที่ยิงระเบิดM79 มาเข่นฆ่าประชาชานพี่น้อง พธม ก็จับไม่ได้

งานศพ น้องโบว์ คนในพรรคคุณก็ไป ก็เกือบหมด


ใคร ทำ หลักฐานก็ชัดเจน ผลชันสูตรก็ชัดแจ้ง พอคุณ รบ ก็ไม่ขยับ ขนาด
พัชวาท ก็นั่งติดเก้าอี้ ทั้งที่มีความผิดมากมาย คุณก้ไม่ถอด ปล่อย
จำเลยทำคดีของโจทย์ผู้สูญเสีย

ฝากถาม พรรคประชาธิปปั้ตย์ว่าคุณมีอำนาจล้นฟ้าแล้ว
ความยุติธรรมของพี่น้องพธมก็ไม่เกิด ปล่อยให้
พี่น้องพธมตายฟรีเหมือนหมูเหมือนมา พอมีเรื่องอีก
พรรคคุณก็ไปหลบอยุ่ข้างหลัง ปล่อยให้ พี่น้องพธมออกมาตายบนท้องถนนอีกละซิ

สันดานจริงๆ

สมชาย ทักษิณว่าร้ายแล้ว ผมว่าไปๆ มาๆ คนที่ร้ายกว่า
เกิดขึ้นแล้วและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ให้เรื่อง ฟ้า สั่ง กากี ฆ่า เหลือง

30 พฤษภาคม 52 23:13

http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx?QNumber=296852&Mbrowse=9

คุณไชยวัฒน์ คุณไทกร และอีกหลายคนหายไปไหน ?

คุณไชยวัฒน คุณไทกร และอีกหลายคนหายไปไหน ?

ผู้เขียน: พันธมิตรปราจีนบุรี
ท่าน ทั้งหลายที่ผมเขียนตั้งคำถามถึงบุคคลเหลานี้
เพาระเคยฟังท่านปราศรัยบนเวทีจนครบ 193 วัน แต่วันนี้ท่านไปไหน ผมแปลกใจ
เพราะมีอยู่วันผมเห็นคุณปองพูดว่าคุณไทกร คุณอย่ามั่ว
อะไรขัดใจกันแล้วเหรอครับกับมิตรที่เคยร่วมทุกข์กันมา
ใครทราบตอบผมทีอึดอัด พอเสร็จศึก คิดต่าง ไม่ต้องออกทีวี ของพันธมิตร
ยากให้ทุกคนเคารพในความคิดที่ต่างกัน
วันที่ : 29 พฤษภาคม 52 10:09

http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx?QNumber=296773&Mbrowse=9

ขงเบ้ง

การ เมืองทำให้คนคิดต่าง แต่ต้องยอมรับว่าพันธมิตรมีสองส่วน
คือพันธมิตรธรรมชาติกับแนวร่วม พอทราบมาว่าท่านไชยวัฒน์
ไปร่วมตั้งพรรคกับ ท่านมนูกฤต รูปขจร
ส่วนคุณไทยกรนั้นไม่ทราบแต่ความคิดเห็นที่ต่างมันคือการพัฒนาทางความคิด
ไม่มีสิ่งที่ถูกที่สุดและแย่ที่สุด
ความคิดต่างแต่เป้าหมายเดียวกันก็เป็นเพื่อนร่วมทางกันได้ใช่ไหมครับ

+++
หมอความ

คุณ ไชยวัฒน์-ไทกร อยู่ช่องสุวรรณภูมิ เป็นแนวร่วม
พธม.บอกว่าพบกันเมื่อชาติต้องการ แยกกันเดิน-เห็นต่างแต่เขาหวังดีกับ
พธม. คุณปองก็หวังดีเกินไป แซวคืนกลับตามสไตล์

++

เสียดายพันธมิตร

ความเห็นต่าง
เข้าร่วมกลุ่มไม่ได้หรอก
โดนเหน็บแนม
เขาปรารถนาดี
แต่กลับเหน็บแนมเขา
ต่อไปก็คงย่อยสลาย
หายไปจากสารบบ

++
กำลังกระเถิบออก 1 ก้าว

เห็นเช่นเดียวกับ ความคิดเห็นที่ 4
เขาปรารถนาดี
แต่กลับเหน็บแนมเขา
คน ทำงานมวลชนจริงๆ ที่เขาเริ่มเดินทางก่อนคุณอัญชะลี นับกว่า 10 ปี
เขาจะถนอมฐานมวลชนเอาไว้ ไม่ไล่ ถ้าเห็นไม่ตรงกัน ให้ดู ที่ แกนนำ 4 ท่าน
(เว้นคุณสนธิ) ที่เดินทางมวลชนมานาน เขาจะมีวิธีที่ต่างกับคุณสนธิและ
คุณอัญชะลี ให้สังเกตดีๆ
++

ธรรมดาโลก

ความเห็นไม่ตรงกันก็ไปตั้งกลุ่มใหม่ มีอะไรภัยมา กลุ่มย่อยก็มาผนึกกำลังกันอีก
29 พฤษภาคม 52 22:30
++
pat09

หากพันธมิตรมีเป็นสิบล้านคนจริง ๆ ก็ไม่แปลกที่จะมีความคิดต่างกันไปบ้าง
จะให้เหมือนกับเปี๊ยบไปทุกอย่างเหมือนหุ่นยนตร์ได้อย่างไร

แต่จุดยืนที่สำคัญของทุกคน ก็คือ กำจัดน้ำเสียออก
และทำเพื่อชาติเพื่อเมืองด้วยใจบริสุทธิ์
30 พฤษภาคม 52 6:13
+++
พคทมิฬ

ค่าของคน..ผลของงาน ๒ คนเขาต่อสู้เสี่ยงคุก.ปืนมากกว่าคนวย่าเขามาก


30 พฤษภาคม 52 17:04
+++

คำทำนายประเทศไทย

คำทำนายประเทศไทย

ผู้เขียน: พอเพียง (juntarasopin สมาชิก)
แผ่น ดินจะเดือดร้อนทุกย่อมหญ้า เมื่อคนชั่วปรากฏกายท้าทายคุณธรรม
การโกหกเป็นเรื่องธรรมดา คนพาลรวมตัวกันโกงชาติ ผู้รักษากฏหมายเป็นโจร
เรื่องเดือดร้อนประชาชนไม่ได้รับการดูแล ข้าวยากหมากแพง
คนรวยจะถูกคนรวยกว่ารังแกขูดรีด คนจนต้องกลายเป็นโจรปล้นสะดม
เหตุเช่นนี้เกิดจากกรรมที่ผู้นำในการบริหารประเทศหวังเพียงเพื่อมีอำนาจถ้า
ไม่มีเขาเราก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล
คุณธรรมและความถูกต้องไม่เกิดขึ้นในแผ่นดิน กรรมก็จะตกอยู่กับแผ่นดิน
ประเทศนี้กำลังดิ่งลงสู่จุดต่ำสุด
จะต้องมีคนดีลุกขึ้นมาทั้งแผ่นดินเพื่อขจัดคนพาลคนเลวให้หมดแผ่นดินแบบขุด
รากถอนโคนมันถึงเวลาแล้ว
และคำตอบสุดท้ายไม่อยู่ที่พรรคพันธมิตรแต่เป็นพลังมวลชนของพันธมิตร
อย่าหลงภาพมายา ข้าเห็นคนไทยจับอาวุธขึ้นสู้กับอสูรกายใช้เลือดคนชั่งล้างแผ่นดิน
กรรมของแผ่นดินถึงจะหมด ความสงบจึงเกิดขึ้น
วันที่ : 29 พฤษภาคม 52 13:09

http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx?QNumber=296786&Mbrowse=9

ครูรวม

เอาธรรมนำหน้า คนดีทั้งหลายออกมาสู้กับพวกเลวเนรคุณแผ่นดิน
เราต้องแยกพรรค
และเราต้องมีการเมืองภาคประชาชนต่อ
++

สื่อที่ดี ควรเป็น "กลาง"จริงหรื

สื่อที่ดี ควรเป็น "กลาง"จริงหรือ

ผู้เขียน: กระปุกออมสิน (kapukomsin สมาชิก)
ยกตัวอย่างข่าว ที่เด็กหนี รร
ถ้าสื่อที่บอกว่าเป็นกลาง
คงจะออกทำนองให้คนไปคิดเอง ว่าที่เด็กทำนั้นผิดหรือถูก
( ถ้ามีดไม่บาดมือพวกนักข่าว พวกเค้าคงไม่ฟันธงว่ามีดคม
ก็คงจะบอกอย่างกลางๆว่า คงจะคม มั้ง )

++
อูด
ความคิดเห็นที่ 1


ในประเด็นที่เป็นเนื้อหาข่าวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ต้องเสนอข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา
ต้องสืบค้นข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา
ได้มากได้น้อยอย่างไร
ต้องรายงานตามตรง
รู้แค่ไหนรายงานแค่นั้น
ไม่มีสิทธิ์ใช้ความคิดเห็นหรือจินตนาการส่วนตัวต่อเติมเอาเอง
หรือบิดเบือนเนื้อข่าวตามใจชอบ

แต่การแสดงความคิดเห็นในฐานะสื่อ
อาจเอนเอียงได้
แต่ก็ยังคงต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง
ที่สำคัญต้องแยกแยะให้ชัดว่า
อันไหนคือการเสนอข้อเท็จจริง
อันไหนคือการแสดงความคิดเห็น
++
คนหน้าไม้
ความคิดเห็นที่ 2


ความ เป็นกลางไม่สามารถมีได้ในชีวิตของปุถุชนที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาทางจิตร,
โดยสัญชาตญาณคนจะต้องตอบคำถามกับตัวเองให้ได้ในทุกสรรพสิ่ง
ที่พบและสัมผัสมิฉะนั้นจิตรจะบีบคั้น กระสับกระส่าย ปวดหัว
คนจึงมีคำตอบในสิ่งต่างๆ ถูกบ้าง ผิดบ้าง มาตามยุคสมัยในประวัติศาสตร์,
ปราชญ์จีนกล่าวว่าหลักประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งที่สำคัญคือการออกเสีย
ให้ได้จากคติทวินิยมคือความเห็นเป็นฝักฝ่ายตามสัญชาตญาณ
ซึ่งต้องฝึกฝนมาก,
ในทางพุทธศาสนาการเข้าถึงความเป็นกลางคือการเข้าถึงขบวนการของเหตุปัจจัย
(โดยสงบความคิดเห็นของตนเองซึ่งมาจากกิเลสก่อน ด้วยอำนาจของสมถ
เพื่อวิปัสสนา) เมื่อเห็นเหตุผลเป็นทิศทางที่ถูกต้อง(สัมมาทิฐิ
ตามกฏอิทัปัจยตา) ต้องลงมือกระทำให้ถูกเหตุ
ถูกผล(กุศลกรรม)เพื่อพ้นจากทุกข์ ปัญหา เพื่อคนจะได้พึ่งตนเองได้.
ขอตั้งข้อสังเกตุความเป็นกลางที่อ้างกันนั้นไม่มีอยู่จริง
ไม่มีประโยชน์เพราะไม่ได้นำมาสู่การกระทำที่ถูกต้องไดๆ
เพื่อการลงมือกระทำในการแก้ปัญหา แต่เป็นสีลพพตปรามาส คือวัตรปฏิบัติ
หรือคำพูดที่ยึดเอาด้วยอุปาทาน(ยึดเอาเพราะขาดความรู้
ความเข้าใจของสิ่งนั้น คำนั้นอย่างแท้จริง),
ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประมาทคืออยู่เฉย เฉื่อย เพราะขาดความรู้ที่ถูกต้อง
และไม่ลงมือกระทำแก้ไขในสิ่งไดๆ
ซึ่งไม่ใช่หลักการพ้นทุกข์จากการกระทำที่ถูกต้อง(กุศลกรรม)
และหลักการพึ่งตนเอง
ซึ่งเป็นหลักที่สำคัญในทางพระพุทธศาสนา.......ด้วยความเคารพหวังว่าเว็บ
มาสเตอร์คงให้บทความนี้ผ่าน สังคมไทยมีปัญหาเพราะคนขาดธรรม
และปัญญาจริงๆ อย่างที่แกนนำพันธมิตรพูดไว้จริงๆ

++
เจ้าของกรรมนายของเวร

ความเป็น"กลาง" ต้องมีหนทางพัฒนาสู่ "ปัญญา"เสมอ

แต่..ถ้าหมายถึง "อยู่ตรงกลาง" ระหว่างสองฝ่ายสองสิ่ง
เขาเรียกว่า "ผู้ไม่มีความสามารถในการเลือก" สิ่งที่ดีกว่า
ถ้าเป็นสื่อ..
ก็คงเป็นสื่อที่ไม่มีความสามารถในการชี้นำสิ่งที่ดี..
ตัวเองยังเลือกไม่ได้ แล้วจะชี้นำผู้อื่นได้อย่างไรเล่า...

ถาม TPBS แบบไม่ต้องการคำตอบว่า..
ขณะที่คุณปวดท้อง..
แล้วเห็นผู้ชุมนุม ถูกยิงขาด..
ใคร? เจ็บปวดมากกว่ากัน?..

++
ดำเกิง

สื่อ ส่วนใหญ่ทุกวันนี้กำลังสร้างบรรทัดฐานผิดๆให้สังคมคล้อยตาม
โดยพยายามยัดเยียดสิ่งที่ผิดให้เป็นถูก ด้วยอามิสสินจ้างต่างๆ
นับว่าเป็นความล้มเหลวของวงการสื่อไทยเป็นอย่างมาก
และเป็นเครื่องยืนยันข้อกล่าวหาว่า สื่อขายตัว จริงๆ
ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นในยุคนี้ซึ่งสื่อได้อิสระในการนำเสนอ
จริงอยู่สื่อต้องพึ่งทุน
แต่สื่อต้องพิจารณาด้วยว่าทุนนั้นมีเจตนาอย่างไร
หากทุนนั้นขัดแย้งกับความถูกต้อง
สื่อก็ต้องกล้าหาญที่จะปฏิเสธทุนนั้นๆ
หากสื่อไม่ได้ทำตัวอย่างที่ว่านี้ ก็ต้องยอมรับว่า " ขายตัว "
อย่ามาปฏิเสธเสียให้ยากเลย
30 พฤษภาคม 52 13:07

++
ขงเบ้ง

คุณภาพ สื่ออยู่ที่รายได้ ค่าโฆษณาเพราะนักข่าวก็คนอยากจะรวยเหมือนกัน
ผู้ประกาศข่าวหรือคนเล่าข่าวเขาคิดว่าตัวเองเป็นดาราไม่ใช่นักข่าวค่าตัวเลย
แพง หนังน้ำเน่ายังขายได้ในสังคมไทยเพราะโฆษณาเยอะมาก
มันสะท้อนสภาวะสื่อไทย มันต้องโทษผู้บริโภคสื่อเพราะสื่อเดินตามตลาด
อะไรที่ทำให้คนชอบและเพิ่มค่านิยมสูงสื่อจะไม่รังเล
เช่นข่าวอาชญากรรมโหดทะลุจอแบบตำรวจพาไปทำแผนแล้วโดนกระทืบชาวบ้านชอบ
และประเภทดาราแย่งผัวแย่งเมียตบกันหัวยุ่งชาวบ้านชอบ
แต่ไอ้ที่นักการเมืองโกงเห็นๆโกงกลางแดด
ตำรวจรีดไถจับแพะเป็นโจรเล่นข่าววันเดียวหาย
เพราะชาวบ้านบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
ฉะนั้นอิธิพลของสื่อถูกกำหนดโดยระบบการตลาดหรือระบบทุน
มันเป็นธุรกิจสื่อไม่ใช่สื่อในอุดมคติ
เราต้องทำให้ประชาชนฉลาดที่จะบริโภคสื่อเพราะประชาชนหรือผู้บริโภคสื่อเป็น
ผู้ทรงอิธิพลของสื่อที่แท้จริง
30 พฤษภาคม 52 14:02

++
รักเดียว


ผมว่า สื่อควรเสนอข่าวสารอย่างเป็นกลาง และเป็นจริง ไม่บิดเบือน ไม่ชี้นำ
แต่บทวิเคราะห์นั้นก็ขึ้นอยู่กับมุมมองแต่ละบุคคล
ASTV วิเคราะห์เจาะลึกได้ดีและชัดเจน แต่ต้องยอมรับว่า หลายๆ
ครั้งเป็นการเสนอบทวิเคราะห์ข้างเดียวและอิงความเห็นพิธีกรและวิทยากรรับ
เชิญล้วนๆ เกินไป
เช่น ตอนเสนอการตั้งพรรค
ก็ให้เหตุผลว่าควรตั้งพรรคว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้สมควรอย่างยิ่งเพราะเหตุนั้นเหตุนี้แต่ด้านเดียว
ไม่มีข้อมูลประกอบในอีกด้านว่า
การเน้นภาคประชาชนอย่างเดียวโดยไม่ตั้งพรรคมีข้อดีอย่างไรเลย

อย่างเรื่อง คุณเทพชัยและคุณประสงค์ อยากให้สภาท่าฯ
ต่อสายไปคุยกับคุณเทพชัยแล้วถามทัศนะเขาดู
ให้เราได้ฟังความเห็นของเขาด้วย

เรา ดู ASTV ทั้งวันและมาร่วมกับพันธมิตรฯ
ก็เพราะเห็นว่าสื่ออื่นทั้งหมดเสนอข่าวสารและบทวิเคราะห์ด้านเดียวมาตลอด
เราจึงอยากฟังความจริงอีกด้านหนึ่ง แล้วก็พบว่าแฟร์
จึงเลิกดูฟรีทีวีไปเลย แต่หากว่า ASTV
จะให้ข้อมูลจากมุมมองตนเองเพียงด้านเดียว
ก็เท่ากับเป็นการบังคับให้เราต้องกลับไปดูแหล่งข่าวอื่นๆ
อีกด้วยเพื่อจะได้ข้อมูลจากสองด้าน

เห็นด้วยครับที่เราต้องเลือกข้าง ความถูกต้อง
แต่การจะสรุปว่าถูกต้องจริงต้องได้รับข้อมูลทั้งสองด้านจึงตัดสินได้
วานทีมงาน ASTV ให้ความสำคัญด้านนี้ด้วยครับ
30 พฤษภาคม 52 14:11

++
from http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx?QNumber=296847&Mbrowse=9

ถ้าอยากได้การเมืองใหม่จริงๆ ต้องดูวีดีโอนี้

ถ้าอยากได้การเมืองใหม่จริงๆ ต้องดูวีดีโอนี้

ผู้เขียน: สเตฟาน
www.zeitgeistmovie.com
ลองดูนะ มีสามเรื่อง

สรุปคร่าวๆ
ตราบ ใดที่สังคมยังวางตัวเองขึ้นอยยุ่กับ การเงิน การโกงไม่มีวันหมด
การเงินคือมาตรฐานทางสังคมที่หลอกลวง มันไม่make sense
ที่ทุกประเทศเป็นหนี้ตัวเอง
แต่ละประเทศสร้างระบบการเงินขึ้นมาแล้วก็เป็นหนี้ตัวเอง ตลกมาก
เป็น เรื่องการหลักการที่เสนอใหม่ให้ทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีผู้นำ
ไม่มีรัฐบาล (คือมีแบบหลวมๆ ไม่ให้อำนาจกระจุกอยู่ที่กลุ่มคนไม่กี่คน)
ไม่มีการใช้เงิน
ใช้ทรัพยากรธรรมชาติตามความเป็นจริงโดยไม่มีการลวงโลกว่าทรัพยาการบางอย่าง
ขาดแคลนต้องขายแพงๆ ผู้คนไม่มีการเป็นเจ้าของทรัพย์สินใดๆทั้งสิ้น
อาชญากรรมจะหายไป
เรียกว่าเปลี่ยนจากเดิมที่เป็น money-based economy
ให้เป็น resources-based economy

ดูเสร็จแล้วก็แวะมาเว็บนี้ thevenusproject.com

beyond politics, poverty & war

++

สเตฟาน
ความคิดเห็นที่ 1
แจ้งลบ

ลืมบอกไปอย่าง ข้อมูลในวีดีโอผิดหลายอย่างเหมือนกัน
คนทำมันคงอยากหาเงินเข้ากระเป๋าโดยขายDVD

แต่ โดยรวมแล้วได้ข้อคิดดีๆ หลายอย่างจากวีดีโอนี้
ยังนับว่าดูแล้วได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์
อย่าเสียตังค์ไปซื้อดีวีดีละกันไม่แนะนำ

สร้าง"พันธะมิตร"เพื่อการเติบใหญ่แห่งอุดมการณ์พันธมิตรฯ

สร้าง"พันธะมิตร"เพื่อการเติบใหญ่แห่งอุดมการณ์พันธมิตรฯ

ผู้เขียน: Younger Pat
พี่น้องพธม.ครับ

ทันที ที่เราเริ่มต้นการนับหนึ่งว่าจะตั้งพรรคการเมืองพธม.
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการสร้างการเมืองใหม่
ชาวพธม.เราจำเป็นต้องปรับท่าทีและทัศนคติ
เพื่อสร้าง"แนวร่วม"ทางสังคมให้มากที่สุดครับ

เมื่อมากมิตร เราย่อมมีหลากมิตรด้วย
เราจะไปคาดหวังให้แนวร่วมทุกส่วนในสังคมไทย
"เป็น"และ"คิด"แบบพธม.พันธุ์แท้ 100 % คงจะไม่ได้ ดังนั้น
เราต้องปรับทัศนคติเราเองว่า "แนวร่วม"นั้นแค่มีบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน
แต่คงจะไม่เหมือนพวกเราทั้งหมด

ตามความเห็นของผม เราควรพยายามเลี่ยงการก่อศัตรูรอบด้านแบบที่แล้วๆมาครับ
หากเราคิดจะสร้างการเมืองใหม่ การเมืองของพี่น้องปชช.เพื่อนร่วมชาติ
ซึ่งมีความหลากหลาย (Diversity) ทั้งความคิดและการกระทำอย่างเป็นธรรมชาติ
ของสังคมประชาธิปไตยอยู่แล้ว
เราจำเป็นต้องปรับท่าทีและทัศนคติต่อเพื่อนร่วมชาติใหม่ เช่น

- สื่อสารมวลชนแบบเอเอสทีวีและพธม.
นั้นเป็นองค์กรที่มีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะมากๆ หากเราจะไปคาดหวังว่า
สื่อมวลชนสายอื่นๆในประเทศนี้
"ควร"จะเป็นหรือดำเนินรอยตามเอเอสทีวีทั้งหมด แบบนั้นผมคิดว่ามันฝืนสภาพ
ความเป็นจริง เอ้า...ลองคิดดูครับ สื่อที่ไหนเขาจะยอมถึงขนาด มาขายข้าว
ขายปุ๋ย ขอเงินบริจาค เลี้ยงตนเองบ้าง
ผมอยากให้พี่ๆน้องๆในเอเอสทีวีลองนึกดูดีๆ การไปประนาม
การไปต่อล้อต่อเถียง บางทีก็ปล่าวประโยชน์
บางครั้งการ"ทำใจ"รับสภาพความเป็นไปและความจริงของสังคมรอบข้างเราบ้าง
จะทำให้เราไม่ก่อศัตรูแบบสุดโต่งอย่างที่แล้วๆมาได้นะครับ

แนวคิด อุดมการณ์ที่ดีของเรา
เราก็ยึดมั่นและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดให้เพื่อนๆร่วมอาชีพได้เห็นเชิง
ประจักษ์ แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องไปประนามเขาหรอกครับ
พูดไปเขาก็ไม่เปลี่ยนมาทำแบบเราหรอก เป็นแนวร่วมหลวมๆกันไปดีกว่า
ถ้าเราอยากจะสร้างฐานมวลชนขนาดใหญ่พอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในประเทศนี้

ไม่เช่นนั้น เรานั่นแหละที่จะโดดเดี่ยวตนเอง กลายเป็น
"คนดีที่สังคมรับไม่ได้"
ซึ่งมันไม่เป็นผลดีเลยต่อการเมืองใหม่ที่เราอยากจะสร้าง
เพราะเราจะไม่มีแนวร่วมเพื่อนร่วมอาชีพนะสิครับ ลองถามใจตัวเองดู
ตอนนี้ชาวเอเอสทีวีเข้าหาเพื่อนๆร่วมอาชีพที่เราเคยสนิทสนมหรือพูดคุยกันดี
ในอดีตได้ไหมครับ? อุดมการณ์นั้นดีแน่
แต่มิตรภาพฉันเพื่อนมนุษย์/เพื่อนร่วมอาชีพในวงการก็จำเป็นนะครับ

- ชาวเสื้อแดง เสื้อน้ำเงิน เสื้อขาว ฯลฯ ก็เหมือนกัน
แน่นอนผมภูมิใจและกล้าจะประกาศตนว่าเป็นชาวเสื้อเหลือง
แต่ผมก็ไม่ได้คิดเกลียดชาวเสื้อแดงบริสุทธิ์เลย
จำวันที่เสื้อแดงถูกล้อมหน้าทำเนียบแล้วต้องยอมสลายตัวราวก่อนได้ไหมครับ?
มีผู้หญิงอายุระดับสว.แบบชาวพธม.เสื้อเหลืองนี่แหละ
หน้าตาก็คนแถวๆกทม.นี่แหละ แกร้องห่มร้องไห้หลังโดนสลายว่า
ขอให้เอาประชาธิปไตยคืนให้ประเทศไทยได้ไหม?
ผมรู้เลยคนแบบนี้เป็นกลุ่มที่ถูกแกนนำหลอกมาร่วมชุมนุม และปิดหูปิดตา
ให้ข่าวสารผิดๆกับเขา

จริงๆผมว่า สิ่งที่เขาฝันก็คงไม่ต่างจากพวกเราเท่าไหร่
แต่มันไปติดอยู่ที่รูปแบบหยาบๆ เช่น รธน.ที่มาจากการปฏิวัติ
รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมาก อะไรแบบนี้
คนกลุ่มนี้ผมว่าต่อไปสามารถเข้าร่วมกับพธม.ได้ไม่ยาก ในการเมืองใหม่
หากเขาเห็นนโยบายของพธม.ในอนาคต ผมว่า เราสามารถดึงมวลชนคนเสื้อแดง
เสื้อขาวมาได้จมเลย

จึงเรียนมาให้พวก เราโปรดพิจารณาถึงท่าที
ถึงทัศนคติของพวกเรากันเองสำหรับปฏิบัติการครั้งใหม่นับแต่นี้ครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีลักษณะพลวัต ครั้งหนึ่งเราเคยชุมนุมขับไล่รัฐบาล
เราจำเป็นต้องแฉ ต้องประนาม ฯลฯ แต่กลับคนที่เป็นพี่น้องร่วมชาติ
ที่หากเราคิดจะสร้างการเมืองใหม่บนฐานมวลชนขนาดใหญ่
ในระดับที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในประเทศนี้ได้จริงๆ มิใช่แค่พรรค 10-20
เสียงที่ไม่มีวันโตแล้วละก็........

.......... เราจำเป็นต้องปรับทาทีและทัศนคติของพวกเรากันใหม่ครับ

ด้วยจิตน้อมคารวะในความเป็นพธม.

++

ขออนุญาติเห็นต่างในบางประเด็นครับ...

แน่นอน ครับว่าเราไม่ควรไปชวนทะเลาะกับใครต่อใคร
แต่เราควรมีสิทธิ์ปกป้องการถูกโจมตีฝ่ายเดียว เพราะทุกกรณีที่มีการวิวาทะ
หรือการออกมาสวนกลับสไตล์สนธิ มันเนื่องมาจากว่า
เราถูกคนนอกมองและวิพากษ์ โดยไม่ได้ชวนเราไปอธิบาย
ซึ่งมันน่าอึดอัดใจยิ่ง (เลยมักสวนออกไปแรงเกินความจำเป็น)

คิดดูเถอะครับ กรณีพันธมิตรตั้งพรรคเนี่ย... มีพูดถึงกันทุกสื่อทุกช่อง
ถามความเห็นกันไปทั่ว แต่ลืมอย่างหนึ่ง...
ลืมเอาความเห็นจากพันธมิตรไปออก... ด้วยสามัญสำนึกนะครับ
หากเป็นประเทศอื่น จะมีการตั้งพรรคการเมืองหนึ่งขึ้นมา
คนที่จะถูกเชิญให้ไปออกรายการ เชิญไปซักถาม ต้องเป็นแกนนำแน่นอน...
นี่มันมีอะไรแปลกๆแล้วหล่ะครับ

การเมืองใหม่ มันไม่ได้ทำให้นักการเมืองขาสั่นเท่านั้น
ฝ่ายสื่อสารมวลชนทั้งหมดก้อกำลังกลัวการเปลี่ยนแปลง
การถูกเอาไปเปรียบกับสื่อทางเลือกแบบ ASTV ซึ่งรับรองเทียบไม่ติด...
ดังนั้นนะครับสื่อจะพยายามตีรวน พธม. ASTV และพรรคที่กำลังจะเกิดขึ้น...
อาจจะทำโดยการตั้งประเด็นตรวจสอบล่วงหน้าเกินงาม เช่น
พรรคพันธมิตรจะไม่ทุจริตหรือ...

ดังนี้แล้ว สื่ออื่นๆจะโปรยคำถาม ความน่าสงสัย ไปยังประชาชนทั่วไป
ชี้นำประชาชนทั่วไปให้ตั้งแง่กับพันธมิตร
แล้วทำให้เราแปลกในสายตาคนทั่วไป แบบที่เราเผชิญมาตลอดเวลา

ผมจึง เห็นว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตนเอง
เปลี่ยนแนวคิดไปจนทำให้ประชาชนทั้งหมดทุกภาคส่วนยอมรับเราได้อยู่ดี
ผลของการเปลี่ยน(ประนีประนอม)มันจะทำให้เราเสียจุดยืนและเราจะกลายเป็น
เหมือนคนส่วนใหญ่ของสังคม ซึ่งหมายถึงว่า ปัญหาต่างๆจะไม่ได้รับการแก้ไข
เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้สึกว่า นี่-นั่นเป็นปัญหาสำหรับเค้า...

อย่าเลย อย่าพยายามลดสำนึกและการตื่นตัวของตนเองลงไป
เพียงเพื่อให้คนอื่นๆยอมรับว่าเราเหมือนเค้าเลย

ลอง ย้อนไปมองช่วงการต่อสู้ที่ผ่านมา เราผ่านมาได้
ไม่ใช่เพราะคนทั้งหมดเห็นด้วยกับเรา
แต่เราและคนส่วนหนึ่งทำไปยังถูกต้องต่อสามัญสำนึกและศีลธรรมในใจเรา...

แต่ เห็นด้วยว่า อย่าไปทะเลาะกับคนที่มุ่งเตะตัดขาเราเลย
เสียเวลาเสียอารมณ์ เพราะ "เค้าจะเริ่มว่าเราก่อนอย่างสุภาพแต่ไร้เหตุผล
เราก้อสวนกลับด้วยเหตุผลอย่างไม่สุภาพ"... คนทั่วไปฟังก้อ
ตัดคะแนนความไม่สุภาพไปแล้ว เราเสียคะแนนไปฟรีๆ ทั้งที่พูดความจริง...
นี่แหละยุคที่สื่อกระแสหลักขาสั่นจนต้องสกัด ASTV ด้วยทุกวิถีทาง...

อย่า หลงไปในวาทะกรรมว่า นักการเมือง พรรคการเมือง
ต้องเป็นตัวแทนและรักษาผลประโยชน์ของประชาชนทุกคนโดยไม่แบ่งแยก
ตลอดมานักการเมือง พรรคการเมือง รักษาผลประโยชน์ตนเองทั้งนั้น
ดังนั้นการเมืองใหม่ พรรคพันธมิตร ไม่จำเป็นต้องทำให้ประชาชนทุกคนพอใจ
เช่น ไม่จำเป็นต้องทำให้นายทุนหวยตู้พอใจ
ไม่จำเป็นต้องรับฟังเงื่อนไขจากนายทุนข้ามชาติ
ไม่จำเป็นต้องยอมให้ผู้ขายผู้เสพยาเรียกร้องสิทธิ์ในการเสพของเขา...
{2} ้เพียงแต่ เราต้องพยายามผลักดัน สิ่งที่เราตรองแล้ว
ตรองอย่างถึงที่สุดแล้วว่า นั่นเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง
ความจริงและความดีจะพิสูจน์ตัวมันเองได้ในที่สุด แล้วสักวัน
พันธะแห่งมิตร จะถูกผูกผสานขึ้นเองอย่างช้าๆ แต่มั่นคง...

วิ่ง ...เพื่อสุขภาพ/ผศ.นพ.ยุทธนา อุดมพร หน่วยสร้างเสริมสุขภาพกีฬาและนันทนาการ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

     เคยมีคนบอกว่า “สุขภาพดี ส่วนหนึ่งมาจากการออกกำลังกาย”
      
       การออกกำลังกายที่สามารถทำได้ง่ายที่คนส่วนใหญ่นิยมกัน คือ การวิ่งเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีความแตกต่างกับการวิ่งเพื่อแข่งขัน โดยการวิ่งเพื่อสุขภาพ (จอกกิ้ง) เป็นการวิ่งเหยาะๆ ด้วยความเร็วระหว่างการเดินกับการวิ่งเร็ว
      
       การวิ่งที่ได้ผลดี ต้องเป็นธรรมชาติ ไม่เกร็ง โดยมีข้อแนะนำเพื่อนำไปปรับใช้ในการวิ่งเพื่อสุขภาพมาฝาก
      
       1.เทคนิคในการวิ่ง
      
       1.1 การลงเท้าที่ถูกวิธี เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อป้องกันการบาดเจ็บสำหรับนักวิ่งเพื่อสุขภาพโดยส้นเท้าจะสัมผัสพื้นก่อน ทั้งฝ่าเท้าจึงจะตามลงมา และเมื่อปลายเท้าหมุนลงมาแตะพื้น ก็เป็นจังหวะที่ส้นเท้าเปิดขึ้น ปลายเท้าก็จะคล้ายตะกุยดิน ถีบตัวเหมือนสปริงดีดตัวขึ้นบนและเคลื่อนไปข้างหน้า จุดที่เท้าสัมผัสพื้นควรจะตรงกับหัวเข่างอเข่านิดๆ เท้าควรจะสัมผัสพื้นหลังจากที่ได้เหยียดออกไปข้างหน้า ส่วนอีกเท้าเหวี่ยงไปข้างหลัง ควรจะลงแตะพื้นเบา นักวิ่งส่วนใหญ่จะลงพื้นด้วยริมนอกของเท้า และหมุนเข้าด้านใน ซึ่งการหมุนเข้าด้านใน ช่วยเป็นเกาะกันกระแทก การลงเท้าและการก้าวเท้าจะช่วยให้วิ่งเร็วขึ้น ส่วนจะก้าวยาวหรือสั้นนั้นขึ้นอยู่กับนักวิ่งว่าต้องการความเร็วแค่ไหน โดยนักวิ่งเร็วจะลงพื้นด้วยปลายเท้าก่อน ส่วนนักวิ่งระยะกลางจะลงพื้นด้วยอุ้งเท้าก่อน และสำหรับนักวิ่งระยะไกลและนักวิ่งเพื่อสุขภาพจะลงด้วยส้นเท้าก่อน
      
       1.2 ท่าทางในการวิ่ง ควรวิ่งให้หลังตรงและเป็นธรรมชาติมากที่สุด ศีรษะตรงตามองตรงไปข้างหน้าให้ส่วนต่างๆ จากศีรษะลงมาหัวไหล่และสะโพกจนถึงพื้นเป็นเส้นตรง ลำตัวไม่โน้มไปด้านหน้าหรือเอนไปด้านหลัง
      
       1.3 การเคลื่อนไหวของแขน จะช่วยเป็นจังหวะและการทรงตัวในการวิ่ง ขณะวิ่งแขนแกว่งไปมาเหมือนกับลูกตุ้มนาฬิกาไปตามแนวหน้าหลัง พยายามอย่าให้ข้อศอกงอเข้ามาแคบกว่า 90 องศา หัวแม่โป้งวางบนนิ้วชี้สบายๆ กำนิ้วหลวมๆ ข้อมือไม่เกร็ง บางครั้งอาจเหยียดแขนตรงลงมา หรือเขย่าแขนเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวบ้าง หลังจากยกแขนไว้นานๆ
      
       1.4 การหายใจ ควรหายใจเข้าทางจมูกและปล่อยลมหายใจออกพร้อมกันทั้งทางจมูกและปาก อย่างไรก็ดีให้ยึดกฎง่ายๆ คือ การหายใจควรเป็นไปตามสบายและพยายามหายใจด้วยท้อง การหายใจด้วยท้องคือ สูดหายใจเข้าไปในปอดจนท้องขยายและบังคับปล่อยลมให้ออกมาด้วยการแขม่วท้อง การหายใจไม่ถูกวิธีอาจจะทำให้เกิดการจุกเสียดขณะวิ่งได้
      
       2.ความหนัก ความนาน และความบ่อยของการวิ่ง
      
       ความหนัก หรือความเร็ว ควรใช้ความเร็วที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยจนต้องหายใจแรง แต่ไม่ถึงกับต้องหายใจทางปากหรือมีอาการหอบ เมื่อวิ่งไปแล้ว 4-5 นาที ควรมีเหงื่อออก ยกเว้นในอากาศเย็นจัดอาจยังไม่มี แต่สามารถวิ่งต่อไปได้เกิน 10 นาที อาจใช้ความเร็วความคงที่ตลอดระยะทางหรือจะวิ่งเร็วสลับช้าบ้างก็ได้ แต่การวิ่งติดต่อกันโดยไม่หยุดถึง 10 นาที เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักสำหรับผู้ที่ไม่ได้เล่นกีฬาหรือวิ่งเป็นประจำอยู่ก่อน ฉะนั้น ผู้ที่เริ่มวิ่งทุกคนจึงไม่ควรตั้งความหวังสำหรับการวิ่งครั้งแรกไว้ว่า จะวิ่งให้ได้ตลอดมากกว่า 10 นาที โดยไม่สลับด้วยการเดิน
      
       ความจริงแล้วการวิ่งสลับกับการเดินยาวๆ โดยไม่หยุดวิ่งในวันแรกๆ เป็นสิ่งถูกต้อง เพราะเป็นการผ่อนคลายร่างกายที่ไม่ทำให้เกิดความเครียดมากจนเกินไป แต่ในวันต่อๆ ไป ควรเพิ่มระยะเวลาของการวิ่งให้มากขึ้น และลดระยะเวลาของการเดินให้น้อยลง จนในที่สุดสามารถวิ่งเหยาะได้ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 10 นาที โดยไม่ต้องสลับด้วยการเดิน และทำเช่นนี้อย่างน้อย 3 วัน ต่อสัปดาห์ จึงถือได้ว่าเป็นการวิ่งเพื่อสุขภาพ

       3.การอบอุ่นร่างกายก่อนวิ่งและการผ่อนคลายร่างกายหลังวิ่ง
      
       ก่อนและหลังการวิ่งทุกครั้ง ควรอบอุ่นร่างกายและผ่อนคลายร่างกายประมาณ 4-5 นาที โดยวิ่งเหยาะๆ ด้วยความเร็วที่น้อยกว่าที่ใช้ในการวิ่งจริง พร้อมกับทำกายบริหารยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วย
      
       แต่ บางครั้งร่างกายอ่อนแอ อาจอดนอน หรือเจ็บไข้ หรือวิ่งในขณะอากาศร้อนจัด และไม่ได้ทดแทนน้ำและเกลือแร่พอเพียง อาจเกิดอาการที่ส่อ “สัญญาณเตือนอันตราย” ขึ้นขณะวิ่งได้ เช่น อาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้หรือหน้ามืดเป็นลม รู้สึกคล้ายหายใจไม่ทันหรือหายใจไม่ออก ใจสั่น แน่น เจ็บตื้อบริเวณหน้าอก หรือลมออกหู หูตึงกว่าปกติ มีบางรายอาจควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ ซึ่งถ้าเกิดมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น ให้ทำตามลำดับดังนี้
      
       1.ขณะวิ่ง ให้ชะลอความเร็วลง หากอาการหายไปอย่างรวดเร็ว อาจวิ่งต่อไปอีกระยะหนึ่งด้วยความเร็วที่ชะลอไว้แล้วนั้น
      
       2.แต่หากชะลอความเร็วแล้ว ยังมีอาการอยู่อีก ให้เปลี่ยนเป็นเดิน
      
       3.ถ้าเดินแล้วยังมีอาการอยู่ ต้องหยุดนั่งหรือนอนราบจนว่าอาการจะหายไป
      
       4.ซึ่งในวันต่อไป จำเป็นต้องลดความเร็วและระยะทางลง
      
       5.ถ้าอาการที่เป็นสัญญาณเตือนอันตรายไม่หายไปแม้พักแล้วเป็นเวลานาน ต้องรีบปรึกษาแพทย์
      
       สำหรับประโยชน์ของการวิ่ง มีมากมายตั้งแต่...
      
       1.ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือด ปอด หัวใจทำงานดีขึ้น ลดระดับไขมันในเลือด เพื่อป้องกันโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และช่วยให้ไม่เป็นลมหน้ามืดง่าย
      
       2.ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ลดภาวะกระดูกพรุน
      
       3.ช่วยปรับภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานดีขึ้น
      
       4.ช่วยควบคุมน้ำหนักของร่างกาย
      
       5.กระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ขึ้น ซึ่งเป็นสารเคมีธรรมชาติที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด และทำให้รู้สึกสุขสบาย
      
       และสุดท้าย จะดีมากขึ้น ถ้าการวิ่ง ใช้เสื้อและกางเกงที่ทำจากผ้าฝ้าย ไม่รัดแน่น หรือหลวม จนเกินไป รวมทั้งรองเท้าหุ้มส้นที่พอดีกับขนาดและรูปเท้า ตลอดจนพื้นรองเท้าควรหนาและนุ่ม
      
       หากออกกำลังกายได้อย่างที่ว่า สุขภาพดีก็อยู่แค่เอื้อม
      
       เรียบเรียง: ยุพดี ห่อเนาวรัตน์

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000034196

พิชิต “โรคน้ำหนีบ” ภารกิจกู้ชีพนักดำน้ำ “รพ.วชิระภูเก็ต”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


       คงต้องยอมรับกันว่า “จ.ภูเก็ต” นั้นคือ สวรรค์แห่งการท่องเที่ยวในทุกมิติ โดยแต่ละปีสามารถดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศมายังเกาะไข่มุกอันดามันแห่งนี้ ได้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ภูเก็ตเป็นแหล่งดำน้ำที่สวยงามแห่งหนึ่งของโลก ทำให้การดูแลป้องกันความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวทางทะเลเป็นสิ่งที่ไม่อาจ มองข้ามได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการดำน้ำอย่าง “โรคน้ำหนีบ” หรือ การได้รับบาดเจ็บจากแรงดันใต้น้ำ ที่เป็นภัยเงียบคุกคามนักดำน้ำอย่างไม่รู้ตัว

   
ณัฏฐ์ภรณ์ ณัฐปัณฑ์ร
       ณัฏฐ์ภรณ์ ณัฐปัณฑ์ร พยาบาลวิชาชีพ 6 งานเวชศาสตร์ใต้น้ำ รพ.วชิระภูเก็ต ให้รายละเอียดไว้ว่า โรคน้ำหนีบเป็นโรคซึ่งเกิดจากการที่แก๊สละลายเข้าสู่เนื้อเยื่อในร่างกายขณะ ดำน้ำแล้วแก๊สนั้นรวมตัวกันเป็นฟองอากาศอยู่ภายในเส้นเลือด และเนื้อเยื่อต่างๆ โดยมีสาเหตุมาจากการดำน้ำที่ลึก และใช้เวลานานเกินกำหนดแล้วขึ้นสู่ผิวน้ำ โดยไม่หยุดลดความกดดันภายในร่างกายให้เป็นปกติ ซึ่งเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนได้กับขวดน้ำอัดลมที่หากมองตาเปล่าก็จะมองไม่ เห็นฟองอากาศ แต่หากเขย่าขวด ฟองอากาศก็จะขยายใหญ่ขึ้นจนเกิดแรงดันออกมา
      
       เช่นกันกับคนที่อยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน ซึ่งขณะที่ดำลงไปยิ่งลึกเท่าไหร่ มวลของอากาศจะถูกบีบให้เล็กลง และเมื่อดำขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ก็เหมือนกับการเขย่าขวดน้ำอัดลม คือ หากดำขึ้นเร็วกว่าความดันอากาศที่หายใจออก อากาศก็จะขยายใหญ่ขึ้น แล้วแทรกตามหลอดเลือด เข้าไปทางกล้ามเนื้อ เส้นประสาท ถ้าเป็นฟองก้อนขนาดใหญ่จะไหลเวียนเข้าสู่สมอง อาจทำให้เส้นเลือดสมองตีบตัน ความรู้สึกลดลง คลื่นไส้ เวียนหัว หากเป็นบริเวณเส้นประสาทจะมีอาการชาเหมือนเข็มทิ่มแทง
      
       “คน ที่ขึ้นจากผิวน้ำอย่างรวดเร็วแล้วเกิดอาการ บางรายถึงขั้นหมดสติ บางรายจะไม่หมดสติเสียทีเดียว แต่จะมีอาการชาตามปลายมือ ปลายเท้า มีอาการเวียนหัว คลื่นไส้ ถ้าเข้ารับการรักษาไม่ทันเวลาอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะอาการจะไม่เป็นอย่างรวดเร็ว บางรายใช้เวลา 2 วัน บางรายรู้สึกช้า ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับการดำน้ำถ้าใช้เวลานานมากอาการของโรคก็จะมีมากเช่นกัน” ณัฏฐ์ภรณ์ ขยายความ

มาตรวัดควบคุมแรงความดันอากาศ
       สำหรับภารกิจกู้ชีพผู้ประสบเหตุจากโรคน้ำหนีบนั้น ณัฏฐ์ภรณ์ บอกว่า นักท่องเที่ยวที่มาดำน้ำที่นี่ส่วนใหญ่จะมีอาการน้ำหนีบ และได้รับการบาดเจ็บจากปัญหาแรงดันใต้น้ำ ทางโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตจึงได้จัดตั้ง “ห้องปรับบรรยากาศความกดดันสูง” (Hyperbaric Chamber) ขึ้น
       
       โดย กลไกการทำงานของเครื่องนั้น เป็นการรักษาด้วยออกซิเจนภายใต้ความดันอากาศสูง โดยจำลองให้เหมือนกับว่าเป็นการดำน้ำกลับลงไปในระดับความลึกที่มีอาการอีก ครั้ง เพื่อต้องการบีบมวลอากาศที่ขยายใหญ่ขึ้นให้เล็กลงเหมือนเดิม แล้วระบายมวลอากาศนั้นออกทางลมหายใจให้หมด โดยเครื่องนี้จะให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% จากนั้นจะมีตัวดูดอากาศออก เพื่อให้มีการหมุนเวียนเป็นไปอย่างปกติ
      
       ด้านหลักการทำงานของเครื่อง Hyperbaric Chamber ที่มีลักษณะเป็นถังเหล็กขนาดใหญ่นั้นเมื่อปิดประตูจะมีการอัดแรงดันลมเข้าไป โดยจำลองให้เท่ากับความลึกของน้ำที่แสดงอาการ

แผงควบคุมภายนอก
       “การเข้าเครื่อง นี้จะช่วยลดขนาดฟองอากาศที่ไหลเวียนเข้าสู่หลอดเลือดของผู้ป่วยทั้งหมด บีบให้มีขนาดเล็กลงเหมือนเดิม เหมือนตอนอยู่ใต้ความลึกระดับที่เคยดำ แล้วระบายออกทางลมหายใจโดยผ่านหน้ากากดูดอากาศออก ให้แรงดันภายในร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งหลักการทำงานตรงนี้ได้ช่วยชีวิตของนักท่องเที่ยวอาการน้ำหนีบมาแล้วหลาย ราย บางรายมีอาการมากว่า 2 วันแต่ไม่ทราบ มาทราบเอาวันที่ตัวเองหมดสติ ไม่รู้สึกตัวต้องจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เมื่อฟื้นตัวขึ้นมาผู้ป่วยก็เข้าสู่ภาวะอัมพาต แต่หลังจากที่ผู้ป่วยเข้าเครื่องนี้ผ่านไปประมาณ 7 ครั้ง ผู้ป่วยก็สามารถลุกเดินได้ ทั้งนี้หากผู้ป่วยที่เป็นโรคน้ำหนีบ มาเข้ารับการรักษาทันภายใน 6 ชั่วโมง หลังจากขึ้นจากน้ำแล้วมีอาการ การรักษาจะสามารถหายได้ 100% ไม่มีพยาธิสภาพหลงเหลืออยู่”

ลักษณะของห้องปรับบรรยากาศความกดดันสูง (Hyperbaric Chamber)
       ณัฏฐ์ภรณ์ ยังบอกอีกว่า นอกจากการรักษาโรคน้ำหนีบแล้วนั้น เครื่องนี้ยังสามารถรักษาโรคเสริมได้อีกหลายโรคเช่น โรคที่เกิดจากแผลเบาหวาน แผลเรื้อรัง แผลจากการฉายรังสี แผลที่เนื้อเยื่อถูกทำลาย ซึ่งหากผู้ที่มีอาการเหล่านี้มาเข้าเครื่องรักษา ออกซิเจนภายในเครื่องจะช่วยสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ เป็นการทำให้แผลที่เกิดหายเร็วยิ่งขึ้น
      
       สำหรับ ค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการรักษานั้น หากเป็นโรงพยาบาลรัฐจะถูกกว่าเอกชนประมาณ 3 เท่า หากมีการใช้ในการรักษาโรคเสริมจะเสียครั้ง 1,250 บาท แห่หากเป็นการรักษาด้วยโรคน้ำหนีบจะคิดชั่วโมงๆ ละ 12,000 บาท ทั้งนี้ในส่วนของการใช้สิทธิประกันสังคมตามที่กรมบัญชีกลางกำหนดไว้ที่ให้ สามารถใช้เครื่องนี้ได้นั้นคือ โรคจากการดำน้ำ แผลเบาหวาน ภาวะของการเกิดแผลจากการฉายรังสี

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000034197

กรรมฐานแก้กรรมได้จริงไหม???

ใครทราบอยู่แล้ว ก็จะได้ช่วยบอกคนอื่น ให้มีทิฏฐิที่ถูกต้องนะ

ธรรมเทศนา ณ โรงพยาบาลกลาง
โดยพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
4 กุมภาพันธ์ 2552


ถาม : การนั่งวิปัสสนากรรมฐาน สามารถแก้กรรมได้มั้ยคะ

ตอบ : กรรมที่ทำแล้วแก้ไขไม่ได้นะ แต่มันแก้กรรมใหม่ได้
เช่น เดินๆไป โดนเขาด่า ถูกเขาด่า นี่เป็นกรรมเก่า
แก้ไม่ได้ จะไปแก้ยังไงในชาติก่อน
เราทำกรรมใหม่ที่ดี ถูกเขาด่า แล้วเราก็รู้ทันใจที่โกรธ
เราก็ไม่โกรธตอบนะ อยากด่าก็เชิญด่าไป เดี๋ยวมันก็เลิกไปเอง

เพราะฉะนั้น เราชาวพุทธไม่ยุ่งกับกรรมเก่านะ ชาวพุทธเราทำกรรมใหม่ที่ดี
กรรมเก่านี้ส่งผลให้เราต้องเจอปรากฏการณ์ในปัจจุบัน
เมื่อเจอปรากฏการณ์ปัจจุบันแล้วมีสติมีปัญญา เราได้ทำกรรมใหม่ที่ดี
กรรมเก่าที่เลวก็จะค่อยๆถูกบั่นทอนหมดกำลังไปเอง
ในที่สุดกรรมใหม่ที่ดีนั้น จะมีพลังแรง แล้วก็ทำลายผลของกรรมเก่า
ไม่ใช่ทำลายตัวกรรมเก่านะ ทำลายการให้ผลของกรรมเก่าไป
เช่น เขาด่าเราหลายวันแล้ว เราก็ใจเย็นยิ้มกับเขาไปเรื่อยๆนะ
วันหนึ่งเขาก็เลิกด่า มันหมดกรรมเก่าแล้ว หมดเพราะเราไม่ทำกรรมใหม่

ชาวพุทธอย่าไปเล่นเรื่องกรรมเก่านะ ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร
เจ้ากรรมนายเวรของชาวพุทธนี่ชื่อว่า ชนกกรรม (ชะ-นก-กำ)
คือ กรรมที่บันดาลให้เรามีกายมีใจอันนี้มา
นี่แหละ คือเจ้ากรรมนายเวรของเราตัวจริง
เมื่อเรามีกายมีใจอันนี้มาแล้ว เราจะใช้กายนี้ใจนี้ ก่อกรรมทำชั่วก็ได้
เราจะใช้กายนี้ใจนี้ มาพัฒนาตัวเองก็ได้ มาทำกรรมใหม่ที่ดีหรือที่เลว

เพราะฉะนั้น เราฝึกนะ มีสติรู้กายรู้ใจ
เราทำกรรมใหม่ที่ดีไปเรื่อยๆ แล้วชีวิตเราจะดีขึ้น

อย่างหลายบ้านนะมีปัญหาในครอบครัว ง้องแง้งๆตลอดเลยนะ
มาหัดภาวนาสักคนหนึ่ง สามีหรือภรรยาอะไรนี่มาหัดสักคนหนึ่ง
แต่เดิมภรรยานะ ขี้บ่นมากเลย สามีก็เลยทนอยู่ในบ้านไม่ได้
หนีออกบ้านไปเรื่อย ไปมีอีหนู อีหนูมันไม่บ่นนะ
ต่อมานี่ ภรรยามาหัดดูของตัวเองเรื่อยๆ
ปากเริ่มหุบลงเรื่อยๆ อ้าช้าขึ้น ใจก็สงบ ใจก็ร่มเย็น
หน้าตาผ่องใสขึ้นๆ สามีกลับบ้านเลยนะ นี่เสน่ห์ร้ายแรงเลย
ฉะนั้น หัดเจริญสตินะ จะสวยกว่าเก่า จะสาวกว่าเก่า
นี่แก้กรรมแบบนี้นะ แก้กรรมของชาวพุทธ คือทำกรรมใหม่ที่ดี
ไม่ใช่พยายามไปล้างกรรมเก่าที่ไม่ดีที่ผ่านมาแล้ว
เพราะของที่ผ่านมาแล้วทำอะไรไม่ได้ ใช้ปัจจุบันให้ดีที่สุด
นี่แหละ คือทางแก้กรรมของชาวพุทธ

ความจริงไม่มีการแก้กรรมหรอก กรรมทั้งหลายให้ผลมาถึงจุดหนึ่ง
มันก็ต้องหมดผล ต้องสลายตัวไป แต่ถ้าเราทำกรรมใหม่ที่มีกำลังเข้มแข็งนะ
กรรมใหม่ที่มีกำลังเข้มแข็งมันให้ผลขึ้นมา มันแทรกขึ้นมา มันแซงขึ้นมา
อิทธิพลของกรรมเก่าที่ไม่ดีก็สลายตัวไป
ไม่ใช่ว่าไปล้างกันนะ ไม่ใช่กรรมใหม่ กรรมดี ไปล้างกรรมชั่ว ไม่ใช่
ยกตัวอย่างนะ อย่างพระองคุลีมาล ฆ่าคนเยอะแยะใช่มั้ย
พอท่านเป็นพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี เป็นพระอรหันต์นี่
กรรมที่ท่านฆ่าคนมันก็ยังอยู่ แก้ไม่ได้ เพราะฆ่าไปแล้ว
แต่กรรมใหม่ของท่านดี ท่านบรรลุพระอรหันต์ เป็นกรรมดีที่ยิ่งใหญ่
ท่านไม่ต้องไปตกนรกอีกแล้ว นี่แก้กรรมกันแบบนี้นะ
ไม่ใช่แก้อย่างอื่น ไม่ใช่ถอดจิตไปเจรจากับผีตัวที่หนึ่งที่ฆ่าไว้ว่า
ขออโหสินะ เอ้า ตัวที่หนึ่งยอม ตัวที่สองทำยังไงจะยอม
กว่าจะหมดพันตัวท่านคงไม่ได้เป็นพระอรหันต์นะ

ใช้ปัจจุบันให้ดีที่สุดนะ

การรับรองคุณภาพ ว่า เป็น ข้าวหอมมะลิอินทรีย์(Organic Rice) และการกระจายสินค้า

การรับรองคุณภาพ ว่า เป็น ข้าวหอมมะลิอินทรีย์(Organic Rice) และการกระจายสินค้า



การรับรองคุณภาพ  ว่า เป็น ข้าวหอมมะลิอินทรีย์(Organic Rice)    มีเครือข่ายรับรองดังนี้

1)  ข้าวจาก-อำนาจเจริญ-ยโสธร-อุบลราชธานี    รับรองคุณภาพโดย  ราชธานีอโศก+พันธมิตร 3 จังหวัด
2)  ข้าวจากศรีสะเกษ      รับรองคุณภาพโดย  ศีรษะอโศก+พธม.ศรีสะเกษ
3)  ข้าวจากสุรินทร์          รับรองคุณภาพโดย  สุรินทร์อโศก+พธม.สุรินทร์
4)  ข้าวจากบุรีรัมย์          รับรองคุณภาพโดย  เมฆาอโศก+ พธม.บุรีรัมย์
5)  ข้าวจากโคราช          รับรองคุณภาพโดย   สีมาอโศก+พธม.นครราชสีมา
.........................................ฯลฯ..........................................

การโฆษณาประชาสัมพันธ์  ก็ใช้  คำว่า


....ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ตราASTV.....   


นอกจากจะมีร้านค้าของชาวอโศกมีอยู่ในแต่ละจังหวัดแล้ว

ก็ขอให้ พธม. ในจังหวัดนั้นๆช่วยกระจายสินค้าได้อีกช่องทางหนึ่ง

    มีเครือข่ายรับรองดังนี้

1)  ข้าวจาก-อำนาจเจริญ-ยโสธร-อุบลราชธานี    รับรองคุณภาพโดย  ราชธานีอโศก+พันธมิตร 3 จังหวัด
2)  ข้าวจากศรีสะเกษ      รับรองคุณภาพโดย  ศีรษะอโศก+พธม.ศรีสะเกษ
3)  ข้าวจากสุรินทร์          รับรองคุณภาพโดย  สุรินทร์อโศก+พธม.สุรินทร์
4)  ข้าวจากบุรีรัมย์          รับรองคุณภาพโดย  เมฆาอโศก+ พธม.บุรีรัมย์
5)  ข้าวจากโคราช          รับรองคุณภาพโดย   สีมาอโศก+พธม.นครราชสีมา
.........................................ฯลฯ..........................................

การโฆษณาประชาสัมพันธ์  ก็ใช้  คำว่า


....ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ตราASTV.....   


นอกจากจะมีร้านค้าของชาวอโศกมีอยู่ในแต่ละจังหวัดแล้ว

ก็ขอให้ พธม. ในจังหวัดนั้นๆช่วยกระจายสินค้าได้อีกช่องทางหนึ่ง

 
********************************************************************************
 
 

วันนี้ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์(Organic Rice)มีขายที่กรุงเทพแล้ว


ที่สันติอโศก ของกองทัพธรรมมูลนิธิ

(ร้านพลังบุญ)  โทรศัพท์ 02-7335435  วันนี้ราคาขายส่งกิโลกรัมละ  29  บาท (กระสอบละ 25 กก.)



ทำอย่างไรจึงจะนำไปบรรจะถุงข้าวตราASTV  ที่จะสามารถขายส่ง ใน กทม.และณฑล ได้

และวันนี้  ข้าวASTV  ส่งในราคา กิโลกรัมละ  39  บาท (บรรจุถุงละ 5 กก. )    โทร.02-6335353  [ /b]



เงินส่วนต่าง  39.00 - 29.00  =  10.00 บาท  ต่อ 1 กิโลกรัม
ถ้าขายได้วันละ   1  หมื่นถุงๆละ 5 กิโล  =  5  หมื่นกิโล  x 10  บาท  จะมีส่วนต่าง    5  แสน บาท/วัน
 

ก็จะสามารถนำมาบริหารจัดการเพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่พันธมิตรในรื่อง  ทีวีได้ทั้ง 2  เครือข่ายคือ

1)  เครือข่าย  ASTV

2)  เครือข่าย FMTV  ของกองทัพธรรม(สันติอโศก)
 
 
พี่น้องพันธมิตรก็จะได้  บริโภคข่าวจากทีวีปลอดสารพิษ  -  รับประทานข้าวปลอดสารพิษ


....ข่าว คือ ข้าว...และ  ข้าว  คือ ข่าว....   ให้เป็นจริงโดยเร็ววัน



....ลุงจำลอง  กับ ลุงสนธิ....โปรดรีบคุยกันเรื่อง       ข่าวคือข้าวและข้าวคือข่าว  ด่วนนนนนน

 

Fw: แจ้งประกาศตำแหน่งงานใหม่ ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ. :: ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552



--- On Fri, 5/29/09, job@ocsc.go.th <job@ocsc.go.th> wrote:


Subject: แจ้งประกาศตำแหน่งงานใหม่ ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ. ::
T

ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552



1.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการตรวจสอบสิทธิบัตรปฏิบัติการ (ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์, ด้านวิศวกรรม, ด้านเคมี) จำนวนตำแหน่งว่าง : 3 ตำแหน่ง

ชื่อหน่วยงาน : กรมทรัพย์สินทางปัญญา

ช่วงรับสมัคร : วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552 - วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=633792107744324403



2.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการตรวจสอบสิทธิบัตรปฏิบัติการ (ด้านเคมี, ด้านวิศวกรรม) จำนวนตำแหน่งว่าง : 3 ตำแหน่ง

ชื่อหน่วยงาน : กรมทรัพย์สินทางปัญญา

ช่วงรับสมัคร : วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552 - วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=633792112041640650



ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ.





** หากต้องการยกเลิกการรับข่าวสาร โปรด Login เข้าสู่ระบบ แล้วเลือก ข้อมูลส่วนบุคคล เมนูย่อย ข้อมูลทั่วไป เลือก ไม่ต้องการ ที่ ความประสงค์ที่จะรับข่าวสาร


วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แนะวิธีใช้ชีวิตมหา'ลัยอย่างมีคุณค่า

อธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวต้อนรับนักศึกษาใหม่ ปี 2552
ของวิทยาเขตหาดใหญ่ ย้ำความเป็นสถาบันที่เน้นการสร้างทักษะชีวิต สังคม
ทักษะทางวิชาการ และความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ

วันปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ ปี 2552 ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตหาดใหญ่ ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ เมื่อ 26
พฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมา รองศาสตราจารย์ ดร.บุญสม ศิริบำรุงสุข
อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้กล่าวแก่นักศึกษาใหม่ว่า

การเข้าสู่รั้วสงขลานครินทร์ มีความหมายที่ยิ่งใหญ่
เป็นการเริ่มต้นแห่งการเป็น "ลูกพระบิดา"
และมีการวางเป้าหมายของชีวิตตามพระราชปณิธานของพระองค์ ที่ทรง
"ให้ถือประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง"
ซึ่งในความเป็นนักศึกษาสามารถทำได้โดยการใช้วิถีแห่งวิชาชีพที่ได้ศึกษาเล่า
เรียนมา เช่น ถ้าเป็นด้านการแพทย์ ก็จะใช้วิชาชีพแพทย์
ช่วยเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากความเจ็บป่วย ถ้าเป็นนักกฎหมาย
ก็จะเป็นนักกฎหมายเพื่อสร้างความยุติธรรมและความเท่าเทียมกัน
ของคนทุกชั้น และ หากเป็นวิศวกร
ก็เป็นวิศวกรที่ทำงานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของมวลมนุษย์ เป็นต้น
ซึ่งหากทำได้แล้วสิ่งที่จะได้คือ "ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ
จะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพให้บริสุทธิ์"
พระราชปณิธานดังกล่าว จึงเป็นสิ่งที่เราต้องน้อมนำเอาไว้ตลอดชีวิต

"มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เหมือนกับครอบครัวที่แยกกันอยู่ในจังหวัดต่างๆ
ของภาคใต้ เพราะนอกจากนักศึกษาใหม่จำนวน 4,000 คนในห้องประชุมนี้แล้ว
ทุกคนยังมีเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันที่วิทยาเขตปัตตานีอีก 2,200 คน
ที่วิทยาเขตภูเก็ตอีก 900 คน วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี 700 คน
และเขตการศึกษาตรัง 900 คน ซึ่งล้วนเป็นช่อศรีตรังช่อใหม่ทั้งสิ้น
ครอบครัวนี้จะเชื่อมโยงกันเป็นครอบครัวเดียวกัน และมีจิตรำลึกถึงกัน
ด้วยการร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น ด้านการกีฬา และการเรียน
นักศึกษาจะมีเพื่อนร่วมเรียนวิชาเดียวกันจากต่างวิทยาเขต
ด้วยการใช้ระบบสารสนเทศในวิชาพื้นฐานบางวิชา
การที่สามารถเรียนข้ามวิทยาเขตได้ในภาคฤดูร้อน
ซึ่งทำให้นักศึกษาเปลี่ยนสถานที่เรียน และพบเพื่อนในวิทยาเขตอื่นๆ ได้"



รองศาสตราจารย์ ดร.บุญสม กล่าวต่อว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
เป็นสถาบันการศึกษาที่เน้นคุณภาพทางวิชาการ
ซึ่งผู้เรียนต้องมีความเข้มแข็งมุ่งมั่น แต่อีกด้านหนึ่ง
มหาวิทยาลัยต้องการสร้างศิษย์ให้เป็นผู้มีจิตสาธารณะ มีคุณธรรม
มีสุขภาพที่แข็งแรง

"ก่อน ที่จะจบการศึกษาและมีสิทธิ์ได้รับพระราชทานปริญญาบัตร
นักศึกษาทุกคนต้องทำกิจกรรมอย่างน้อย 100 ชั่วโมง หรือ 17 กิจกรรม
จะได้เรียนวิชากิจกรรมสาธารณะประโยชน์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิต
ใจ ด้านร่างกายก็เป็นส่วนสำคัญ
เมื่อรวมกันระหว่างการมีความเข้มแข็งทางวิชาการ การมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
การทำกิจกรรมที่เน้นสาธารณะประโยชน์ ความมีคุณธรรม
และการได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
จะเป็นการสร้างเยาวชนให้มีคุณสมบัติครบทั้ง 3 ส่วน คือ กาย ใจ
และสติปัญญา"

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000060276

สังคม นี้ขอที่ยืนคนอ้วนได้ไหม

สังคม นี้ขอที่ยืนคนอ้วนได้ไหม


เราเป็นคนอ้วน แต่ไม่มีโรคภัยเพราะออกกำลังกายแต่ไม่ผอม

ผอมหละดีแล้ว ได้เปรียบคนอ้วนหลายเท่าตัว

คนอ้วนมองคนผอม

คนผอมหางานง่าย หาเสื้อผ้าใส่ง่าย หาคู่ได้ง่าย ทางสังคมยมรับได้มากกว่าคนอ้วน

คนผอมมองคนอ้วน

น่า อึดอัด เชื่องช้า ไม่น่าคบ เหมือนตัวตลกน่าล้อเลียน
ไม่ต้องถามว่าชื่ออะไร เรียกไอ้อ้วนไว้ก่อน น่าอาย กินเก่ง น่ารังเกียจ
ติงต๊อง ไม่สวย-หล่อ ถ้าไม่กล้าแสดงออกคนก็บอกว่าอ้วนมากจนขาดความมั่นใจ
แค่พอแสดงออกก็มีการแซวว่า อ้วนแค่นี้ก็เด่นพอแล้วยังจะอยากเด่นอีกรึ
ถ้าไม่แต่งตัวก็ประนามว่าไม่มีไซด์เสื้อผ้า
ถ้าแต่งตัวก็บอกว่าอ้วนแล้วทำเป็นเปรี้ยวหรืออ้วนแบบ11รดนั่นเอง

สังคม นี้ขอที่ยืนคนอ้วนได้ไหม ไม่มีใครบัญญัติว่าความอ้วนคือความพิการ
แต่เราอยู่เหมือนคนพิการ ไม่มีใครเลือกเข้าทำงาน ไม่มีใครให้อนาคต
นอกจากจะแบบร่างอ้วนๆของเราไปหาอนาคตเอง
เรื่องคู่ไม่ต้องพูดถึงมันเป็นแค่ฝัน

............แต่ถึงเราอ้วนเรา ก็ยังอยากมี
อนคตที่ดีและเลือกที่จะมีชิวิตที่ไม่เบียดเบียนใคร
จงภูมิใจไว้เถิดคนอ้วนทั้งหลายเราจงรักและให้กำลังใจตัวเอง
ชีวิตเป็นเรื่องสนุกเมื่อเราได้หาทางฝ่าฟัน..........
พธม ตุ้ยนุ้ย

ความเป็นจริง ของโลกใบนี้

ความเป็นจริง ของโลกใบนี้

ข้อคิด เตือนใจ

โลกกลมๆ ใบนี้ ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
คุณว่าจริงไหม . . .?

อย่าไปให้ความสำคัญกับใครบางคน เมื่อคุณเป็นแค่ทางเลือกของเขา.
สัมพันธภาพจะดีที่สุดเมื่อทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกันอย่างสมดุล

ไม่ต้องสาธยายเกี่ยวกับตัวคุณให้ใครฟังหรอก
เพราะคนที่ชอบคุณ ยังไงเขาก็ชอบ และไม่ต้องการฟังมัน
แต่คนที่เกลียดคุณ ยังไงเขาก็ไม่เชื่อคุณหรอก

เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณยุ่ง คุณก็จะไม่ว่างเลย
เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณไม่มีเวลา คุณก็จะไม่มีเวลาเลย
เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณจะทำในวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้จะไม่มีวันมาถึงเลย

เมื่อเราตื่นขึ้นมาในยามเช้า เรามีทางเลือกง่ายๆ 2 อย่าง
กลับไปนอนและฝันหวานต่อ หรือ ลุกขึ้นมาแล้วทำความฝันให้เป็นจริง
มันก็แล้วแต่คุณจะเลือกแล้วล่ะ

เรามักทำให้คนที่ใส่ใจเราต้องร้องไห้
เรามักร้องไห้ให้กับคนที่ไม่เคยใส่ใจเรา
และเรามักใส่ใจกับคนที่ไม่มีวันร้องไห้ให้เรา
นี่คือความจริงของชีวิต เป็นเรื่องแปลกแต่จริง
ถ้าเห็นคุณเห็นด้วย มันก็ยังไม่สายเกินแก้

เมื่อคุณกำลังสนุกสนาน ก็อย่ารับปากพล่อยๆ
เมื่อคุณกำลังเศร้า ก็อย่าได้ตอบกลับ
เมื่อคุณกำลังโกรธ ก็อย่าไปตัดสินใจอะไร

คิดให้ถี่ถ้วน ทำอย่างสุขุม


เวลาก็เหมือนสายน้ำ
คุณไม่มีทางสัมผัสน้ำเดียวกันได้สองครั้งหรอก
เพราะมันได้ไหลผ่านไปแล้ว
มีความสุขกับทุกช่วงชีวิตของเราดีกว่า...


ส่งผ่านให้ใครก็ได้ที่คุณห่วงใย
หากคุณได้รับคืน หมายถึง คุณได้พบเพื่อนแท้แล้ว


หากวันนั้น.. ไม่มีตัวหนังสือซนๆ
และต่างไม่เหลียวมอง ความเป็นไปของอีกคน

เราคงจะไม่รู้.. ว่ามีกัน

หากวันนั้น.. ฉันปล่อยให้ทุกอย่างผ่านเลย..

และเธอเองก็นิ่ง เงียบ ชา เฉย ..

เราคงจะไม่เคย.. ทักทายกัน

หากวันนั้น.. ไม่มีความอ่อนแอ

และต่างหมางเมิน.. ไม่เหลียวแล

เราคงจะไม่แม้.. ปลอบโยนกัน

หากวันนั้น.. เราต่างไม่เปิดใจ

และจมอยู่กับสิ่งที่ผ่านไป..

เราคงจะไม่ได้.. หัวเราะไปด้วยกัน

หากวันนี้ .. เมื่อหนึ่งปีก่อนนั้น..

ฉันไม่ได้นั่งอยู่ที่นั่น และเธอไม่ได้เปิดประตูบานนั้น..

เราคงจะไม่ ....

มองเห็นกัน

.... อาจเป็นเรื่องบังเอิญ ..

.. หรือ อาจเป็นความตั้งใจ ..

.. ไม่รู้ว่าเพราะสิ่งไหน ....

.. แต่ฉันดีใจที่มี "เรา" ในทุกๆวัน ..


ธรรมะสวัสดี กรุ๊ป

การสนับสนุน สื่อ ASTV ผู้จัดการ ให้ยืนอยู่ได้

พี่น้องครับ ถ้าต้องการสนับสนุน สื่อ ASTV ผู้จัดการ ให้ยืนอยู่ได้
โดยไม่ต้องอาศัยเงินค่าโฆษณาจากรัฐบาล เราช่วยได้หลายวิธี :
-รับข่าว SMS เดือนละ 200 บาท
-ซื้อข้าว ASTV มีหลายแบบ ราคาตั้งแต่ 155-195 บาท
-ซื้อผงซักฟอก ถุง 1 กก. 100 บาท
-บอกรับ สมาชิกหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ รายวัน รับ 1 ปี 4500 บาท
แถมฟรีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ตกฉบับละ 12 บาท (จากราคาปลีก 20 บาท)
-บอกรับสมาชิก ASTV ผู้จัดการ รายสัปดาห์ รับ 1 ปี 1200 บาท แถมฟรีกระเป๋าล้อลาก
ผม จะสมัครสมาชิกฉบับรายวัน 1 ปี พรุ่งนี้ เพราะอ่านประจำอยู่แล้ว ASTV
จะได้มีเงินก้อนไว้ใช้จ่าย และช่วยเงินเดือน พนง ASTV
ผมก็ประหยัดรายจ่ายค่า นสพ. ด้วย
ถ้าท่านสนับสนุน ASTV ต้องช่วยกันมากๆ นะครับ
ใครเห็นด้วย ช่วยกันโหวต
คนรักแผ่นดิน

สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็น

ในอดีตนานมาแล้ว นักปราชญ์ท่านหนึ่งเดินทางท่องเที่ยวแสวงหาความรู้
กับลูกศิษย์กลุ่มหนึ่ง ขณะที่เดินทางผ่านแคว้นๆหนึ่ง ซึ่งกำลังเกิดสงคราม
จึงทำให้เกิดข้าวยากหมากแพง หาเสบียงอาหารไม่ค่อยจะได้

หลังจากที่ขาดอาหารผ่านไปถึงเจ็ดวัน ลูกศิษย์คนหนึ่งซื้อข้าวสารมาได้บ้าง
จึงรีบนำข้าวสารไปหุง ขณะที่ข้าวกำลังจะสุก นักปราชญ์ท่านนั้นเห็นลูกศิษย์
เปิดฝาแล้วหยิบข้าวใส่ปาก ท่านแกล้งทำเป็นไม่เห็น และไม่ถามอะไร

เมื่อข้าวสุกแล้ว ลูกศิษย์จึงเรียกนักปราชญ์นั้นไปทานข้าว ท่านพูดขึ้นว่า

"เมื่อกี้ ข้าฝันเห็นปรมาจารย์มาหา ข้าอยากจะนำข้าวที่ยังไม่มีใครได้กินก่อน
มาเซ่นไหว้ท่านสักถ้วย"

"ไม่ได้ ข้าวหม้อนี้เมื่อกี้ข้าพเจ้ากินไปหนึ่งคำ นำมาเซ่นไหว้ไม่ได้แล้ว"

"ทำไมล่ะ?" นักปราชญ์ถาม

"เมื่อกี้ขณะที่ข้าวกำลังจะสุก เผลอทำขี้เถ้าหล่นลงไปหน่อย จะตักทิ้งก็
เสียดาย ก็เลยตักกิน ไม่ได้มีเจตนาที่จะกินเองก่อน" ลูกศิษย์ตอบ

นักปราชญ์ท่านนั้นรู้สึกเสียใจที่เข้าใจลูกศิษย์ผิด และรู้สึกละอายใจ พร้อมกับ
เอ่ยขอโทษว่า "ปกติข้าเคยไว้ใจเจ้ามากที่สุด แต่ก็ยังคงคลางแคลงใจเจ้า
แสดงว่าในใจข้าไม่มั่นคง ตัดสินใจแค่จากความคิดของตนเอง
แล้วบางทียังผิดพลาด

พวกเจ้าต้องจำไว้ การจะเข้าใจคนๆหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆ เมื่อพบกับเรื่องใดๆ
ควรจะพิจารณาไตร่ตรองหลายๆด้านให้รอบคอบ มุมมองของตนเองเป็นเพียง
ด้านใดด้านหนึ่ง เป็นความจริงเพียงด้านหนึ่งเท่านั้น การจะตัดสินเรื่องใดเพียง
ด้านเดียว ไม่สามารถตัดสินเรื่องทั้งหมดได้"


ธรรมะสวัสดี กรุ๊ป

กลโกงเอาเลขหลังบัตรเครดิต

ข้อความต่อไปนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งที่จะรู้จักวิธีการหลอกลวงฉ้อฉล
ด้วยการแอบอ้างว่าโทรมาจาก Visa หรือ Master Cards
เพื่อให้คุณได้ระมัดระวังตนเองไม่ตกเป็นเหยื่อวิธีการฉ้อฉลดังกล่าว

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ภรรยาผมได้รับโทรศัพท์จาก Visa
และผมก็ได้รับโทรศัพท์จาก Master Card ในวันพฤหัสบดีต่อมา
คนที่โทรมาพูดว่า "ดิฉัน...(ชื่อ) โทรจากฝ่ายรักษาความปลอดภัยของ Visa ค่ะ
คือเราตรวจพบว่ามีความผิดปกติในการสั่งซื้อ
จึงโทรมาตรวจสอบว่าบัตร Visa ของคุณ ที่ออกโดยธนาคาร...(ชื่อ)
มีการสั่งซื้ออุปกรณ์ระบบป้องกันภัยมูลค่า 20,000 บาท
จากบริษัทในอเมริกาหรือเปล่าคะ"

เมื่อคุณบอกว่า "เปล่านี่คะ" คนที่โทรมาก็จะบอกว่า
" ถ้าอย่างงั้นเราจะคืนเงินให้คุณกลับคืน เรากำลังตรวจสอบบริษัทฉ้อฉล
โดยมีวงเงินที่ฉ้อฉลโกงลูกค้า ครั้งละ 12,000-20,000 บาท
เราจะส่งหนังสือแจ้งการคืนเงินให้คุณทราบที่...(ที่อยู่ของคุณ) ถูกต้องมั๊ยคะ"

เมื่อคุณบอกว่า "ถูกต้องคะ" คนที่โทรมาจะพูดต่อไปว่า
" ดิชั้นจะทำการสืบสวนต่อไป
หากคุณมีข้อสงสัยให้โทรตามหมายเลขที่อยู่หลังบัตรแล้วต่อฝ่ายรักษาความ
ปลอดภัย
คุณต้องระบุหมายเลขอ้างอิงนี้ (คนที่โทรมาจะบอกหมายเลข 6 หลัก)
คุณต้องการให้ดิชั้นทวนหมายเลขมั๊ยคะ"

ต่อไปนี้จะเป็นส่วนสำคัญของกลโกง
คนที่โทรมาจะพูดว่า
"เพื่อให้ทราบว่าคุณเป็นเจ้าของบัตรที่แท้จริงของบัตรเครดิตการ์ดใบนี้
กรุณาพลิกด้านหลังของบัตรและให้ดูที่หมายเลข 7 ตัวสุดท้าย
4 ตัวแรกจะเป็นหมายเลขบัตร 3 ตัวต่อมาจะเป็นเลขสำหรับรักษาความปลอดภัย
ว่าคุณคือเจ้าของที่แท้จริงและใช้ในการสั่งซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต
กรุณาบอกเลข 3 ตัวสุดท้ายด้วยคะ"

เมื่อคุณบอกเลข 3 ตัวสุดท้ายไป คนที่โทรมาจะบอ กว่า
" ตัวเลขถูกต้อง ดิชั้นต้องการให้แน่ใจว่าบัตรยังอยู่กับคุณ มิได้สูญหาย
หรือถูกขโมย คุณมีข้อสงสัยอื่นใดอีกหรือเปล่าคะ"

เมื่อคุณบอกว่า "ไม่มีคะ"
คนโทรมาจะขอบคุณและบอกว่าหากมีในภายหลังก็ให้โทรสอบถามได้เสมอ แล้ววางสาย

ความจริงคุณพูดไปน้อยมาก คนโทรมาไม่ได้ขอหมายเลขบัตรเครดิตของคุณ
แต่ภรรยาผมเกิดเอะใจ จึงโทรกลับไปทันทีหลังจากวางสายไป 20 นาที
และปรากฏว่า Visa ตัวจริงบอกว่าภรรยาผมถูกหลอกแล้ว
และเมื่อ 15 นาทีที่ผ่านมาได้มีรายการซื้อสินค้าจำนวน 20,000 บาท
ส่งมาเรียกเก็บ ในที่สุด Visa ได้ยกเลิกบัตรและออกบัตรใหม่ให้

ผู้ฉ้อฉลต้องการเลขเพียง 3 ตัวสุดท้ายด้านหลังบัตร
อย่าให้ไปเป็นอันขาด ให้คุณบอกว่าแล้วจะโทรกลับไปแจ้งเองโดยตรงจะดีกว่า

วันพฤหัสบดีต่อมา ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณ...(ชื่อ)
อ้างว่าโทรจาก Master Card ซึ่งมีข้อความเหมือนกับที่ภรรยาผมได้รับคำต่อคำเลย
ผมเลยไม่รอให้เขาพูดจบ
ผมรีบวางสาย แล้วไปแจ้งความที่สถานีตำรวจตามที่ Visa ให้คำแนะนำมา

ตำรวจบอกว่าได้รับแจ้งแบบเดียวกันนี้ วันหนึ่งหลายราย
จึงขอร้องให้ข่วยกันบอกต่อ ด้วย เราต้องระมัดระวังตนเอง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

แพทย์เตือนวัยรุ่นคลั่งผอม เสี่ยงตายเร็ว 9 เท่า

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


แพทย์เผยวัยรุ่น มีปัญหาการกิน ไม่ผอมก็อ้วนเกินไป
ชี้กินมากเสี่ยงเป็นโรคผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน สิวเห่อ
เตือนคลั่งผอมเสี่ยงตายเร็วกว่าคนปกติ 9 เท่า
แนะกินอาหารแต่พอดีแต่ให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน

นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกันบอร์ดสาขาโรคผิวหนัง
อาจารย์พิเศษภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เปิดเผยว่า ปัญหา การกินที่พบในวัยรุ่น มีทั้งที่กินน้อยเกินไป
จนถึงขั้นที่เรียกว่าโรคคลั่งผอม หรือ anorexia nervosa
ที่จริงแล้วโรคนี้จัดเป็นอาการป่วยทางจิตที่เกี่ยวกับการกินอาหาร
ทำให้มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติมาก
และมีความกังวลย้ำคิดกลัวว่าตัวเองจะอ้วนเกินไป
ทำให้ผู้ป่วยกินอาหารน้อยมาก พบบ่อยในวัยรุ่นเพศหญิง แต่ก็พบว่าร้อยละ10
พบในเพศชาย พบบ่อยในดารา นักร้อง นางแบบ
จนต้องมีการรณรงค์ให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่นางแบบว่าจะต้องไม่ผอมจนเกินไป
โรคนี้รักษาให้หายได้ยากมาก
และสตรีที่เป็นโรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็น 9 เท่าของคนปกติ
ในทางตรงข้ามวัยรุ่นบางกลุ่มจะกินมากเกินไปทำให้เป็นโรคอ้วน
ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคผิวหนังสูงขึ้น
กล่าวคือคนอ้วนอาจเป็นโรคสะเก็ดเงิน ผิวเป็นผื่นดำ
เห็นเป็นปื้นหนาดำที่ต้นคอ มีติ่งเนื้อ โรคอ้วนยังทำให้เกิดโรคติดเชื้อ
เช่น สังคัง ติดเชื้อยีสต์ และทำให้ผิวแตกลาย มีกลิ่นตัว
ส่วนการกินขนมหวานมีน้ำตาลสูงทำให้สิวเห่อได้

นพ.ประวิตร กล่าวว่า
มีโรคผิวหนังหลายชนิดที่เกี่ยวกับภาวะโภชนาการ
ซึ่งอาจเกิดจากการได้สารอาหารมากเกินไป หรือการขาดสารอาหาร เช่น
ขาดวิตามินเอทำให้มองไม่เห็นในเวลากลางคืน ผิวและผมแห้ง คันผิวหนัง
เล็บเปราะหักง่าย และรูขุมขนหนา ในทางตรงข้ามหากได้วิตามินเอสูงเกินไป
ก็ทำให้ผิวเปลี่ยนสี ผมร่วง ผิวแห้ง และลอก มียารักษาสิวตัวหนึ่งคือ
isotretinoin ซึ่งเป็นกรดวิตามินเอ
ผู้ที่กินยาตัวนี้จะมีผิวและเยื่อบุแห้งและลอกมาก
และถ้าผู้หญิงกินแล้วตั้งครรภ์ ทารกจะพิการ ขาดวิตามินบี 2 ทำให้ริมฝีปาก
ช่องคอบวมแดง มุมปากอักเสบ ที่เรียกว่าโรคปากนกกระจอก
มีผื่นผิวหนังอักเสบมีขุยที่ใบหน้า คือเป็นโรคเซ็บเดิร์ม (seborrheic
dermatitis) ขาดวิตามินบี 3 หรือ niacin ทำให้ผิวไวต่อแสง ผิวหนังอักเสบ
และมีผื่นผิวหนังรอบลำคอคล้ายใส่สายสร้อยคอ (Casal necklace)
ขาดวิตามินซีทำให้เกิดตุ่มตามผิวหนัง มักเป็นที่ขาและต้นขา เหงือกบวม
มีเลือดออกตามไรฟัน ที่เรียกว่าโรคลักปิดลักเปิด ขาดเหล็กทำให้อ่อนเพลีย
เป็นโรคโลหิตจาง อาจพบเล็บโค้งงอเหมือนช้อนได้ ขาดสังกะสีทำให้ผมร่วง
เป็นสิว เป็นต้น

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000060306

"หมอ-พยาบาล" กังวลร่าง กม.ขอ "ตาย" หวั่นถูกฟ้อง นัดถกครั้งสุดท้าย 12 มิ.ย.

"หมอ-พยาบาล" กังวลร่าง กม.ขอ "ตาย" หวั่นถูกฟ้อง นัดถกครั้งสุดท้าย 12 มิ.ย.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


รับฟังความเห็น ร่างกฎหมายปฏิเสธยืดการตาย แพทย์ พยาบาล
ห่วงแนวทางปฏิบัติส่อเกิดปัญหาเหตุขัดหลักการรักษาทั่วไปของแพทย์ จี้
ราชวิทยาลัยแพทย์ ประกาศหลักเกณฑ์วาระสุดท้ายของชีวิตคลอบคลุมทุกโรค
เพื่อเป็นแนวปฏิบัติให้แพทย์ ป้องกันถูกฟ้องร้อง
เตรียมฟังความเห็นครั้งสุดท้าย 12 มิ.ย.นี้ก่อนนำเข้าที่ประชุมใหญ่ คสช.
26 มิ.ย.นี้

วันที่ 29 พ.ค.ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(คสช.) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น
ร่างกฎกระกรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่
ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของ
ชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ. ...
ซึ่งอาศัยอำนาจตามมาตรา 12 วรรค 2 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550
ซึ่งเป็นเวทีรับฟังความเห็นของภาคกลาง โดยมีแพทย์ พยาบาล
เจ้าหน้าที่สาธารณสุข นักกฎหมาย และเครือข่ายผู้ป่วยมะเร็ง
เข้าร่วมรับฟังความเห็นประมาณ 50 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมส่วนใหญ่โดยเฉพาะแพทย์ พยาบาล
แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่มีหนังสือแสดงเจตนาฯ
ที่แพทย์จะต้องยุติการรักษา ซึ่งขัดกับหลักปฏิบัติโดยทั่วไปที่แพทย์
พยาบาลจะต้องช่วยชีวิตผู้ป่วยให้ถึงที่สุด เช่น
ใครจะเป็นผู้ถอดเครื่องช่วยหายใจ
อาการเจ็บป่วยลักษณะใดที่เรียกว่าช่วงสุดท้ายของชีวิต
หากญาติมีความเห็นต่างจากหนังสือแสดงเจตนาฯ แพทย์จะทำอย่างไร เป็นต้น

ศ.นพ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ ศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การจัดเวทีรับฟังความเห็นครั้งนี้
เน้นชี้แจงทำความเข้าใจเรื่องการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการ
สาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต
หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย ให้กับญาติ
และผู้ป่วยที่ป่วยรับทราบวิธีการเขียนหนังสือแสดงเจตนาฯ
ที่ถูกต้องและไม่เกิดปัญหาในภายหลัง
และการชี้แจงแนวทางการปฏิบัติของแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยในวาระสุดท้ายเพื่อ
การจากไปอย่างสงบ ซึ่งทั้งญาติผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์
ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับปฏิเสธการรับรักษาเพื่อยืดชีวิตอยู่มาก
โดยเฉพาะลักษณะการเจ็บป่วยอย่างไร ที่เรียกว่าเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต
เช่น การเจ็บป่วยโรคเรื้อรัง อุบัติเหตุ เป็นต้น

"การ วินิจฉัยอาการเจ็บป่วย
และบาดเจ็บของแพทย์แต่ละคนย่อมมีความเห็นแตกต่างกัน
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องวิชาการทางการแพทย์โดยเฉพาะ ดังนั้น
ราชวิทยาลัยแพทย์ต่างๆ
ควรจะมีเข้ามามีบทบาทในการพิจารณาถึงเกณฑ์ของวาระสุดท้ายในชีวิตให้ครอบคลุม
ทุกโรค เพราะแต่ละโรคมีข้อมูลวิชาการแตกต่างกัน
และประกาศออกมาเป็นหลักเกณฑ์เพื่อให้แพทย์นำมาใช้ประกอบการพิจารณายุติการ
รักษาที่เป็นการยืดอายุของผู้ป่วยที่มีหนังสือแสดงเจตนาฯ
และเพื่อป้องกันการฟ้องร้องแพทย์ในภายหลังหากเกิดปัญหาญาติไม่เข้าใจ"
ศ.นพ.วิฑูรย์ กล่าว

ศ.นพ.วิฑูรย์ กล่าวต่อว่า ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ ยังอนุญาตให้แพทย์
พยาบาลสามารถให้คำแนะนำให้กับผู้ป่วยทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ได้
โดยทางสถานพยาบาลอำนวยความสะดวกด้วยการจัดทำแบบฟอร์มหนังสือแสดงเจตนาฯ
ได้ ซึ่งประเด็นนี้บุคลกรทางการแพทย์จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เพราะอาจทำให้ผู้ป่วย ญาติเข้าใจผิดได้ โดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ
ที่มีปัญหาภาพลักษณ์เนื่องจากที่ผ่านมาเคยมีการปฏิเสธการรักษาผู้ป่วย
ขณะที่โรงพยาบาลเอกชน สามารถให้คำแนะนำเรื่องนี้กับผู้ป่วยได้สะดวกกว่า
และผู้ป่วย ญาติอาจจะมีความรู้สึกดีกับโรงพยาบาลด้วยซ้ำ
เพราะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่มี่ราคาสูงได้
เพราะที่ผ่านมาโรงพยาบาลเอกชนมักจะถูกเข้าใจว่ายื้อชีวิตผู้ป่วย
เพื่อให้แบกรักภาระค่ารักษาราคาแพง

ทั้งนี้ คสช.มีกำหนดต้องจัดเวทีรับฟังความเห็น 4 ภาค
เป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 12 มิถุนายนนี้ ที่จ.เชียงใหม่
จากนั้นจะมีการแก้ไขร่างกฎกระทรวง เป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนนำเข้าที่ประชุมใหญ่ คสช.ในวันที่ 26 มิถุนายนนี้
จากนั้นจะนำร่างกฎกระทรวงฯ เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
เพื่อขอความเห็นชอบ หากครม. เห็นชอบในหลักการก็จะส่งร่างกฎกระทรวง
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมาย
จากนั้นจึงประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000060568

4 ปัญหายอดฮิต เมื่อสอบติดมหา'ลัย

4 ปัญหายอดฮิต เมื่อสอบติดมหา'ลัย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์



การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย หากรับรู้ถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นก่อน
จากนั้นจึงหาหนทางแก้ไขก่อนที่จะสายเกินแก้ ด้วยเหตุนี้ Life On Campus
มีข้อเสนอดีๆ มาฝากถึง 4 ปัญหายอดฮิต
ยอดนิยมที่เหล่าน้องใหม่มักจะประสบพบเจอ
พร้อมกับแนวทางแก้ไขและวิธีการรับมือกับปัญหาได้อย่างทันท่วงที

เริ่มที่ ปัญหาที่ 1. "เรียนไม่รู้เรื่อง - จด Lecture ไม่ทัน"

เมื่อ เปิดเทอมเข้าชั้นเรียน น้องๆ
จะพบกับการเข้าห้องเรียนที่มีคนเป็นร้อยๆ คน
เมื่ออาจารย์เข้ามาถึงก็บรรยายไปเรื่อยๆ บางคนพูดมากจนจดไม่ทัน
แถมบางครั้งฟังแล้วยังไม่เข้าใจ จะถามก็ถามไม่ได้ และไม่กล้าถามด้วย
เพราะอายเพื่อน อายคนอื่น หรือไม่ให้ถามเป็นการส่วนตัวก็ไม่กล้า
เพราะยังไม่สนิทกับอาจารย์

ดังนั้นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุดคือ การ
ยืมสมุดจดของเพื่อนที่เราคิดว่า อ่านแล้วเข้าใจที่สุดไปถ่ายเอกสาร
แล้วนั่งทำความเข้าใจในสิ่งที่เรียนมา หรือปรึกษาพี่รหัสหรือพี่ๆ
คนอื่นที่เคยผ่านวิชานั้นมาว่าจะอ่านเอกสารหรือตำราอะไรได้บ้างที่จะช่วยให้
เข้าใจมากขึ้น หรืออาจจะจับกลุ่มเพื่อนใหม่ติววิชาที่ไม่เข้าใจ

ปัญหาที่ 2. "ไม่มีเพื่อน - เพื่อนไม่จริงใจ"

ปี แรกของการเข้าเรียนไม่ว่าจะคณะใด สิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องๆ
ส่วนใหญ่ คือการปรับตัวกับเพื่อนใหม่
เปรียบเสมือนก้อนกรวดมากมายที่อยู่ในตะแกรง ซึ่งต้องใช้เวลาในการค่อยๆ
ร่อนตะแกรงจนเจอก้อนกรวดที่มีลักษะคล้ายคลึงกัน
อาจจะต้องใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์ หรือ อาจเป็นเดือน
หรืออาจจะเป็นปีก็ว่าได้

สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่ คือ เริ่ม
ต้นด้วยการให้ผู้อื่นก่อน เช่น การยิ้มให้ก่อน ทักทายคนอื่นก่อน
ชวนคนอื่นก่อน ฯลฯ อย่าให้คนอื่นเริ่มต้นก่อนแล้วเราถึงจะได้
เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่า เราต้องการอะไรและคิดอะไรอยู่

อีกหนึ่งวิธี คือ
อย่าเปรียบเทียบเพื่อนในมหาวิทยาลัยกับเพื่อนเก่าในโรงเรียน
เพราะเปรียบเทียบกันไม่ได้ เวลาที่เราอยู่ร่วมกับเพื่อนในโรงเรียน
เราใช้เวลาหลายปีกว่าจะสนิทกัน แต่เพื่อนในมหาวิทยาลัย
เราต้องถามตัวเองว่า เราคบกันมากี่วัน กี่เดือน

ปัญหาที่ 3. "ผิดหวังกับคณะที่เรียน - ไม่ชอบคณะที่เรียน"

เหตุผล การตัดสินใจเลือกคณะของน้องๆ นั้น จะมีสักกี่คนที่คิดแล้ว
คิดเล่าจนสามารถตัดสินใจได้ว่า ตนเองจะเรียนอะไร
ซึ่งส่วนใหญ่ที่เลือกเพราะ 1.) ตามเพื่อน 2.)
คนเรียนเก่งแบบนี้ต้องเรียนคณะแบบนี้ 3.) พ่อ/แม่ ตัดสินในเลือกให้ 4.)
ติดคณะอะไรก็ได้ขอให้มีที่เรียน

พอน้องใหม่เจ้ามาสัมผัสจริงๆ แล้ว
หลายคนผิดหวังและไม่ชอบคณะที่เรียน ส่งผลให้ไม่อยากเข้าเรียน
ไม่อยากสุงสิงกับใคร เบื่อ
ยิ่งมาเจอกับบรรยากาศการเรียนที่หนักและต้องรับผิดชอบดูแลตัวเองแล้ว
ยังต้องปรับตัวกับสังคมใหม่ หลายคนที่ปรับตัวไม่ได้
ส่งผลให้การเรียนตกต่ำ
ซึ่งเท่ากับว่าคะแนนซึ่งเป็นต้นทุนในปีแรกของเรานั้น
ยังไม่ทันไรก็ขาดทุนเสียแล้ว

วิธีการไขปัญหาคือ เวลา ที่เราบอกว่า ไม่ชอบ เกลียด ผิดหวัง
เรามักจะปิดประตูการรับรู้ด้านอื่นๆ เช่น เกลียดคณะ
เราก็ไม่เปิดใจที่จะมองในมุมอื่นๆ เช่น
คณะนี้มีสาขาวิชาอะไรที่เรายังพอจะสนใจและเรียนได้บ้าง
ซึ่งการที่จะได้ข้อมูลเหล่านี้ได้นั้น น้องๆ
อาจจะต้องหาข้อมูลจากการพูดคุยกับรุ่นพี่ อาจารย์ที่ปรึกษา
อาจารย์ฝ่ายนิสิต นักศึกษา สำหรับน้องๆ ที่ชัดเจนกับตนเองว่า
ไม่ชอบคณะเรียนจริง ไม่ถนัดในวิชาของคณะ

น้องๆ มีทางเลือกได้ 3 ทาง คือ 1.) ลาออก
และไปตั้งหลักดูหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ ซึ่งอาจจะสอบได้หรือไม่ได้
หากสอบได้ น้องๆ ก็ได้สมใจในสิ่งที่ต้องการ หากสอบไม่ได้ น้องๆ
ก็ต้องเคว้งคว้างไปอีก 1 ปี

2.) เรียนวิชาในคณะไปด้วย
พร้อมกับเตรียมตัวสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
หากสอบได้ก็สละสิทธิ์ที่น้องเรียนอยู่ไปเรียนในคณะที่เราได้เลือกใหม่
หากสอบไม่ได้ อย่างน้อยน้องๆ ก็มีที่เรียน

3.) เปิดใจให้กับคณะที่น้องๆ เรียนอยู่ โดยศึกษาหาข้อมูลว่า
คณะที่เรีนอยู่นั้นมีศาสตร์หรือสาขาใดบ้างที่ตนสนใจและน่าเรียน

สุดท้ายด้วยปัญหาที่ 4 "หลงระเริงกับกิจกรรม จนดูหนังสือสอบไม่ทัน"

เมื่อ แรกเข้า สำหรับเฟรชชี่จะมีกิจกรรมมากมายที่ตื่นเต้น
สนุกสนาน น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมปฐมนิเทศนิสิต นักศึกษาใหม่
กิจกรรมรับน้อง พี่รหัสน้องรหัส ประชุมเชียร์ กีฬาน้องใหม่ พิธีไหว้ครู
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร พอกิจกรรมซาลง การสอบมิดเทอมก็เริ่มต้น
ทำให้อ่านหนังสือไม่ทัน ลนลานไปหมด บางครั้งเครียดจนไม่สบาย
ทำข้อสอบได้ไม่ดี

แนวทางการแก้ไขวิธีที่ง่ายที่สุด สำหรับปัญหานี้คือ 1.)
ตรวจสอบว่า แต่ละวิชาที่ลงทะเบียนนั้น กำหนดสอบมิดเทอมเมื่อไหร่
จากนั้นวางแผนการดูหนังสือแต่เนิ่น ตั้งแต่สัปดาห์แรกของการเรียน

2.) แผนการทบทวนดูหนังสือนั้น น้องๆ จะต้องวางแผนอยู่บนความจริงๆ
เท่าไร เช่น มีเวลาที่จะดูหนังสือจาก 3 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม รวมเป็น 2
ชั่วโมง ดังนั้น หากน้องๆ ตั้งเป้าหมายว่า คืนนี้จะทำแบบฝึกหัด
(สมมุติว่าเป็นวิชาฟิสิกส์) ให้ได้สัก 1 บท ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่
ย่อมเป็นไปไม่ได้ พอน้องๆ ทำตามเป้าหมายวางไว้ไม่ได้ น้องๆ
ก็รู้สึกท้อถอยและรู้สึกว่าตนทำไม่ได้ แต่ถ้าน้องๆ ตั้งเป้าหมายว่า
จะทำแบบฝึกหัดให้ได้สัก 3 ข้อ เพราะมันยากมาก พอน้องๆ
ทำได้ก็จะเกิดกำลังใจทีจะเพิ่มจำนวนข้อในวันต่อไป

3.) อย่าผัดวันประกันพรุ่ง บ่อยครั้งที่เรามักจะตามใจตัวเอง เช่น
ค่อยดูอาทิตย์หน้าก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก ยังทัน แต่พอถึงเวลาจริงๆ
มักจะทำไม่ได้ ทำให้รู้สึกลนและกลัว

4.) จับกลุ่มทำแบบฝึกหัดหรือดูหนังสือกัน
เพราะจะทำให้มีคนเตือนซึ่งกันและกัน แต่ต้องระวังว่า
อย่าเพลินกับการคุยหรือเล่นจนเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

5.) ทำไม่ได้ ไม่เข้าใจ ให้เข้าพบอาจารย์ที่สอน
อย่ากลัวและอย่าคิดแทนอาจารย์ว่า อาจารย์เขายุ่ง คงไม่มีเวลาให้ลูกศิษย์
หากไปพบอาจารย์แล้วไม่เจอให้น้องๆ เขียนโน้ตถึง
อาจารย์ผู้สอนเพื่อขอเวลาว่างอาจารย์เพื่อที่น้องจะสามารถมาพบและปรึกษาได้
น้องๆ ทราบไหมว่า บ่อยครั้งอาจารย์ก็แอบบ่นน้อยใจว่า
ทำไมลูกศิษย์ไม่เคยมาถามเลย

คำแนะนำเหล่านี้คงจะเป็นทางออกที่ดีให้สำหรับนิสิต
นักศึกษาน้องใหม่ได้เป็นอย่างดี ** ขอบคุณคำแนะนำดีจาก รุ่นพี่นิสิต
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000060584


ปัญหาข้างบนมันจิ๊บๆ พี่ ข้างล่างนี่ใหญ่กว่าเยอะ
1 ท้องก่อนแต่ง แล้วก็ต้องทำแท้ง
2 เรียนๆ ดร็อปๆ แล้วก็ต้องรีไทร์ เรียนใหม่กลายเป็นเด็กซิ่ว
3 ติดเพื่อนงอม ไปไหนไปกัน เพื่อนโดดกรูโดด เพื่อนเที่ยวกรูเที่ยว
4 ใช้เงินเกินตัว พ่อแม่หาเงินให้ไม่ทัน ไหนจะกระเป๋าโหล่ยหวิดต๊อง ไหนจะไอโฟน
ปัญหาวัยเรียน
++
ปัญหาตอนผมเรียนมหาวิทยาลัย
1 สาวๆสวยๆน่ารักเยอะไปหมด ไม่มีสมาธิเรียน( จบมาจากชายล้วนอ่ะครับ )
2 แยกกะเทยแต่งหญิงไม่ออก
3 แยกสาวสวยนิสัยดี กับสาวสวยแฬดไม่ออก มีคนหนึ่งท่าทางสดใสบริสุทธิ์มาก
ไม่กี่วันเมากอดจูบกับฝรั่งหน้าคณะตอนฝนตกยามบ่าย อะจึ๋ย
4 หลงรักอาจารย์สาวสวย แต่ไม่กล้าจีบ แต่ก็อยากจีบ ทรมานใจมาก
โจ๊กท่าช้าง
++
นกน้อยออกจากกรงทอง มีหรือจะไม่บินไปให้ไกลๆ

แต่หารู้ไม่ที่บินไปหน่ะมันออกนอกทางแลว

กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไป ไทร์บ้าง ท้องบ้าง ติดยา

มหาลัยให้อะไรที่น่ากลัวกว่าที่คิด(ถ้าไม่มีสติ)
c
++
เรียนไม่รู้เรื่อง - จด Lecture ไม่ทัน
- ปัญหานี้แก้ง่ายมากเลยครับ ก็หาพวกเครื่องอัด MP3, MP4 มาอัดซะ
แล้วเราก็จดตามที่อาจารย์ Lecture ตรงไหนที่จดไม่ทัน
ก็เหลือบไปดูเวลาที่เครื่อง MP3 แล้วก็ Note ไว้กลับไปบ้านก็มาถอดเทป
- ถ้าอยากเรียนรู้เรื่องมากขึ้น พยายามอย่านั่งอยู่หลังห้องนะครับ
ควรนั่งด้านหน้า บริเวณกลางห้อง เพราะอาจารย์ผู้สอนมักจะสบตาผู้เรียนด้วย
ซึ่งนั่นจะทำให้ตัวคุณต้องมีสมาธิในการเรียนเพิ่มขึ้นด้วย

ไม่มีเพื่อน - เพื่อนไม่จริงใจ
- การเลือกคบเพื่อนในมหาวิทยาลัยถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ ครับ
เราได้เพื่อนแบบไหน ก็มักจะเป็นแบบนั้นไปด้วย
ดังนั้นถ้าอยากได้เพื่อนที่ขยันเรียน ควรนั่งเรียนอยู่ด้านหน้าห้องนะครับ

ผิดหวังกับคณะที่เรียน ไม่ชอบคณะที่เรียน
- น้อง ๆ รู้กันบ้างหรือเปล่าว่า หลาย ๆ
คนที่เรียนจบแล้วไม่ได้ทำงานตามวิชาชีพที่ตนเรียนน่ะครับ
ดังนั้นเรียนอะไรก็ได้ให้จบมาก่อน และเกรดค่อนข้างดี ก็เพียงพอแล้ว
เมื่อไปทำงานมีประสบการณ์ การเปลี่ยนงานให้ตรงตามที่อยากทำ
ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ ไม่จำเป็นต้องลาออกไปสอบใหม่หรอกครับ

ทำกิจกรรม จนดูหนังสือสอบไม่ทัน
- อันนี้ต้องรู้จักแบ่งเวลาน่ะ เพราะเมื่อกิจกรรมต่าง ๆ หมดลง
ก็จะเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงวันสอบแล้ว
ดังนั้นเราต้องแบ่งเวลาให้เป็น
การอ่านหนังสือสอบไม่ใช่ว่ามาอ่านแค่ไม่กี่วันก่อนสอบน่ะครับ
แต่ควรเตรียมตัวให้ดีอย่างน้อยควรอ่านก่อนสอบซัก 1 เดือน
ถ้าเราไม่เข้าใจยังมีเวลาที่จะไปถามอาจารย์ หรือเพื่อน ๆ ได้ทัน
- อย่ากลัวที่จะ Drop วิชาที่ไม่พร้อม เพราะดีกว่าปล่อยให้ติด F
ซึ่งนอกจากจะต้องลงเรียนใหม่แล้ว GPA ยังถูกฉุดไปด้วย เพราะน้อง ๆ
ต้องเรียนมากกว่าชาวบ้าน
- ฝึกทำแบบฝึกหัด
- ลองเก็งข้อสอบ แล้วฝึกทำก่อนสอบ อันนี้จะช่วยได้มาก ถ้าคุณทำบ่อย ๆ
คุณจะเก็งข้อสอบได้ค่อนข้างแม่น หลายครั้งที่ข้อสอบออกมาตรงตามที่เก็งไว้
ซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการทำข้อสอบได้มาก หลักการก็ง่าย ๆ
ต้องเข้าใจว่าเนื้อหาที่อาจารย์สอนนั้นมีตรงไหนเป็นประเด็นสำคัญที่น่าจะออก
สอบ แล้วก็ลองเก็งแนวข้อสอบ แล้วก็ฝึกทำครับ

ปล. ปริญญาตรี จะจบได้เกรดต้องไม่ต่ำกว่า 2 นะครับ
Loto
++
การเรียนก็เหมือนฟุตบอล ต้องขยันอ่านหนังสือเหมือน
กับการเล่นฟุตบอลต้องมีการซ้อม พอถึงเวลาสอบหรือ
เวลาแข่งจริงก็ย่อมประสบความสำเร็จ

ส่วนตัวเห็นด้วยกับ 4 ปัญหายอดฮิตนี้

แต่ทั้งนี้การสอบหรือการเล่นบอลก็ต้องขึ้นอยู่กับอาจารย์
และกรรมการด้วย ถ้ากรรมการห่วยก็ซวย เหมือนทีมผมที่
ตกรอบเพราะกรรมการห่วย
ดร็อกบา
+