++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ชาวสวนปาล์มชวนรับเมล็ดพันธุ์พริกฟรีปลูกแซมสร้างรายได้เสริม



ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เกษตรกรชาวสวนปาล์มปลูกพริกแซมตามร่องสวนปาล์มน้ำมัน สร้างรายได้เสริม หลังพริกราคาพุ่งสูงขึ้น ทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ สามารถเก็บขายได้ทุกวัน เชิญชวนเกษตรกรหันมาปลูกพริก หากต้องการเมล็ดพันธุ์มารับไปปลูกได้ฟรี

นางอุทัย แซ่เจ่น อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34 หมู่ที่ 7 ต.กระดังงา อ.สทิงพระ จ.สงขลา เกษตรกรชาวอำเภอสทิงพระ ฉายา “หญิงเหล็กสู้ชีวิต” มีความคิดริเริ่มในการนำพันธุ์พริกหอมเหลือง มาปลูกแซมตามร่องสวนปาล์มน้ำมัน ซึ่งมีประมาณ 100 ไร่ โดยเริ่มปลูกครั้งแรก จำนวน 3 ไร่ เมื่อต้นเดือนมกราคม 2555 ที่ผ่านมา

ขณะนี้ สามารถเก็บผลผลิตพริกส่งขายได้ทุกวันๆ ละ 10 กิโลกรัม โดยทำการเก็บพริกส่งขายวันเว้นวัน ครั้งละ 20 กิโลกรัม สร้างรายได้เสริมได้อย่างงามเป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากในช่วงนี้ราคาพริกมีราคาสูงขึ้น จากเดิมกิโลกรัมละ 60-70 บาท ขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งเป็นราคาส่งจากชาวสวน ส่วนราคาพริกในท้องตลาดทั่วไป ราคากิโลกรัมละ 120-140 บาท และขณะนี้ได้ทำการปลูกพริกในร่องสวนปาล์มเพิ่มขึ้นอีก 5 ไร่ และจะสามารถเก็บผลผลิตได้ในระยะเวลาอีก 2 เดือนข้างหน้า

นางอุทัย แซ่เจ่น กล่าวว่า ตอนนี้ปลูกพริกทั้งหมด 8 ไร่ ที่เก็บขายได้อยู่ 3 ไร่ โดยเก็บวันเว้นวันได้ครั้งละ 20 กิโลกรัม ตลาดที่ส่งขายอยู่ที่แม่ขลี อ.ตะโหมด จ.พัทลุง ตอนนี้ขายกิโลกรัมละ 100 บาท เก็บมา 7 เดือนแล้ว ที่ผ่านมา ต่ำสุดกิโลกรัมละ 60 บาท ตอนนี้ราคาขึ้นมากิโลกรัมละ 100 บาทแล้ว ตอนนี้เก็บอยู่ 3 ไร่ อีก 5 ไร่เพิ่งเริ่มเป็นดอก ขายได้ทุกวันตลาดดีอยากให้เพื่อนๆ ปลูกกัน

“อยากแนะนำให้หันมาปลูกพริกกัน ปลูกแล้วมีรายได้ทั้งปี พริกนี้เป็นพริกพันธุ์หอมเหลือง หากใครต้องการปลูกต้องการพันธุ์เมล็ดก็มาเอาจากที่นี่ได้ เพราะอยากจะช่วยทุกคน” นางอุทัยกล่าวทิ้งท้าย

เจลลี่โภชนา..จากในหลวง

เจลลี่โภชนา..จากในหลวง

อาหารเจลลี่โภชนาพระราชทานสำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก


เจลลี่โภชนา คือ อะไร?
เป็นผลสัมฤทธิ์จากโครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ “นวัตกรรมอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก” เป็นอาหารสำเร็จรูปรับประทานได้ทันที มีลักษณะกายภาพกึ่งแข็งกึ่งเหลว ทำให้เคี้ยวและกลืนได้ง่าย แม้จะไม่มีฟันหรือเจ็บปากเจ็บคอ มีองค์ประกอบเป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรตประมาณ 50% โปรตีนประมาณ 20% และไขมันประมาณ 30% จึงถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง
เจลลี่โภชนา 1 กล่อง มีปริมาตร 250 มิลลิลิตร ให้พลังงาน 230-260 กิโลแคลอรี จึงเหมาะสำหรับรับประทานเสริม เพื่อให้ได้รับพลังงานจากอาหารเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาการ บดเคี้ยวและการกลืน เช่น ผู้ป่วยมะเร็งช่องปากและคอหอย ซึ่งมีคุณภาพชีวิตไม่ดี เนื่องจากขาดสารอาหารและน้ำหนักลด ดังนั้น การรับประทานเจลลี่โภชนาจึงจะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้
ปัจจุบัน เจลลี่โภชนาที่ผลิตสำเร็จแล้ว มี 2 รสชาติ ได้แก่ รสชานม และรสมะม่วง

หากต้องการเจลลี่โภชนาพระราชทานต้องทำอย่างไร?
เจลลี่โภชนาพระราชทาน เป็นอาหารพระราชทาน ห้ามจำหน่าย จึงยังไม่สามารถหาซื้อได้ ณ ปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม มูลนิธิได้จัดทำโครงการอาหารพระราชทานสำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก ซึ่งจะแจกจ่ายให้แก่ผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก หรือ อื่นๆ ที่มีปัญหาการเคี้ยว การกลืน ตามสถานพยาบาล 9 แห่ง คือ

1. โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา 044-235582, 081-955-9002
2. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรุงเทพฯ 02-3547025-35
3. ศูนย์มหาวชิราลงกรณ ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 02-5461960-6
4. ศูนย์มะเร็งชลบุรี 038-784001-5
5. ศูนย์มะเร็งลพบุรี 036-621800
6. ศูนย์มะเร็งลำปาง 054-335262-8
7. ศูนย์มะเร็งอุดรธานี 042-207375-80
8. ศูนย์มะเร็งอุบลราชธานี 045-285610-5, 045-285637-40
9. ศูนย์มะเร็งสุราษฎร์ธานี 077-211625-8 ต่อ 1006
ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สถานพยาบาล ดังกล่าว หรือ ติดต่อสอบถามมูลนิธิทันตนวัตกรรม ได้ที่ คุณบัวขาว หงษาชุม โทรศัพท์ 089-664-4634, 02-218-9027

หากต้องการมารับเจลลี่โภชนาพระราชทานที่มูลนิธิต้องทำอย่างไร?
1. ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่มูลนิธิ คุณบัวขาว หงษาชุม โทรศัพท์ 089-664-4634, 02-218-9027 เพื่อนัดหมาย
2. นำสำเนาบัตรประชาชนของผู้ป่วยมารับด้วย
3. นำรูปถ่ายผู้ป่วยมาด้วย (ถ้ามี)

วิธีรับประทานต้องทำอย่างไร?
- ใช้กรรไกรตัดปากกล่อง แล้วใช้ช้อนตักรับประทาน หรือ เทออกใส่จานเพื่อรับประทาน
- หลังจากเปิดกล่องแล้ว ควรรับประทานให้หมด หรือเก็บในตู้เย็นไม่เกิน 7 วัน
- แช่เย็น เพื่อความอร่อย
- สามารถรับประทานได้ทั้งผู้บริโภคทั่วไป และผู้มีปัญหาเรื่องการบดเคี้ยวและการกลืน
- ผู้ที่มีปัญหาแพ้นม สามารถรับประทานได้
*เจลลี่โภชนาพระราชทาน ผ่านการทำปราศจากเชื้อด้วยระบบ UHT จึงเก็บได้ 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น

"เชฟหนุ่ม" คนเมืองส้มโอ มอง AEC คือโอกาสครั้งใหญ่ที่ไทยต้องโชว์อาหารไทยไปสู่ครัวโลก



นครปฐม.....รายงาน

อาหาร คือหนึ่งในปัจจัย 4 ที่มนุษย์ไม่สามารถจะขาดได้ และอาหารสำหรับมนุษย์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การเติมพลังงานให้กับชีวิตแต่มากกว่านั้นคือศิลปะวัฒนธรรม ประเพณี รวมถึงบ่งบอกรสนิยม รวมถึงการแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์เท่านั้น ฉะนั้น การรับประทานอาหารของมนุษย์ทั่วโลก จึงต้องมีรสชาติที่อร่อยและสะอาดอุดมไปด้วยโภชนาการและที่สำคัญใน 1 วันเราต้องรับประทานอาหารอย่างน้อยถึง 3 มื้อเราเราจึงไม่อาจเลี่ยงได้เลยว่าอาหารคือสิ่งที่สร้างความสุขให้กับมนุษย์อีกทางหนึ่งเช่นกัน

ธนินธร จันทรวรรณ หรือ เชฟหนุ่ม วัย 39 ปี เป็นหนึ่งคนในวงการเชฟไทยที่กำลังถูกจับตามองถึงฝีมือและความสามารถของเขา เพราะจากเด็กจังหวัดนครปฐม ที่มองเป้าหมายเพียงจะไปศึกษาปริญญาโท ด้าน MB จากรลอนดอนประเทศอังกฤษ แต่เมื่อไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ไม่นานกลับพบว่า อาชีพเสริม คือ การทำอาหารเป็นสิ่งที่เจ้าตัวหลงใหลและเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรายได้ระหว่างการศึกษา และเมื่อได้ใบปริญญาที่ต้องการ เขากลับมองว่า นั่นคือแต่กระดาษใบหนึ่งที่เป็นความตั้งใจจะคว้ามาให้ได้ แต่สิ่งที่ฝังอยู่ในความคิด คือ การทำอาหาร ตลอดระยะ 14 ปีที่อาศัยอยู่ในมหานครลอนดอน

เชฟหนุ่ม ได้วนเวียนเสาะแสวงหาวิธีการทำอาหารรูปแบบต่างๆ จากครัวชั้นนำระดับโลกหลายแห่งจนได้รับการยอมรับจากเชฟระดับโลกว่า เป็นคนไทยที่มากความสามารถมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำอาหารในเมนูต่างๆ โดยเฉพาะ สไตล์ Molecular Gastonomy ซึ่งเป็นศาสตร์อาหารให้ที่เป็นการประดิษฐ์อาหารโดยเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง และเป็นอาหารประเภทที่ปลุกเร้าอารมของผู้รับประทาน ซึ่งเป็นการทำอาหารแนวใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในชาติตะวันตกและเชฟหนุ่มเป็นคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งมีความเชี่ยวชาญกับอาหารด้านนี้ไม่น้อยกว่าใครในระดับโลก

“ผมเพิ่งกลับมาเมืองไทยได้ 1 ปีเศษเพื่อจะมาพักผ่อน หลังจากไปอยู่ในห้องครัวหลายแห่งกว่า 14 ปี ที่ลอนดอน แต่เมื่อกลับมาบ้านผมเลยคิดว่า ยังไงวันหนึ่งเราก็ต้องกลับมาบ้านเลยตัดสินใจพักใหญ่ว่าจะเอายังไงกับชีวิตจะกลับไปสู่ห้องครัวในมหานครลอนดอนตามแบบชีวิตที่เป็นอยู่หรือว่าจะกลับมาบ้านเพื่อมาช่วยพัฒนาทางด้านอาหาร สุดท้ายเมื่อได้เดินสายไปทั่วเพื่อชิมอาหารไทยที่ไม่ได้ลิ้มรสมานานนับสิบปีผมจึงคิดว่าบ้านเรามีเสน่ห์ในการทำอาหารมากกว่าชาติใดในโลกและเชื่อว่าการมาปักหลักที่บ้านเกิดและนำความรู้ความสามารถมาใช้ในการช่วยพัฒนาอาหารน่าจะดีกว่า”

“ผมมองว่ากว่าจะถึงจุดนี้ผมต้องใช้เวลาในการอดทนต่อความเหนื่อยล้าการต่อสู้บนหน้าเตาร้อนและไม่เคยปิดกั้นตัวเอง จากพนักงานล้างจาน ก้าวสู่การเสิร์ฟอาหารก่อนจะขึ้นมาเป็นพ่อครัว และก้าวสู่ความเป็นเชฟ และเดินทางสู่ห้องครัวระดับโลกเช่น เชฟอาวุโสที่ร้านอาหาร Restaurant & SketchMomo, สหราชอาณาจักร , หัวหน้าเชฟที่ร้านอาหารไทยในสหราชอาณาจักร ,เชฟอาวุโสฝ่าย ที่คลับเตียงคู่ (สนับสนุนโดย Prada) , หัวหน้าบริกรและพ่อครัวพรรคที่ROKA และ ZUMA Restaurant Group , Chefde ปาร์ตี้ที่ ร้านอาหารแพตเตอร์สัน (คู่มือที่แนะนำโดยมิชลิน) , เชฟอาวุโสปาร์ตี้ที่ร้านอาหาร Sumosan ใน Mayfair , Manager ของกลุ่มร้านอาหารไทยสแควร์ , หัวหน้าช้างกลุ่มบริษัท ไทยร้านอาหาร Blue และสุดท้ายผมก็สามารถได้เข้าร่วมงานกับ Mr David Jones หัวหน้าเชฟที่ร้านอาหาร Momo ซึ่งในยุโรปทราบดีว่าร้านนี้คือร้านที่มีชื่อเสียงมากและผมก็ภูมิใจที่ได้เรียนรู้กับการทำอาหารจนสามารถทำงานร่วมกับเชฟระดับโลกและเขายอมรับคนไทยที่อดทนและมีใจต่อการทำงานที่สุดหินได้” เชฟหนุ่มเล่าบรรยากาศในการทำงานอย่างเข้มข้น

จากประสบการณ์ที่ผ่านงานกับเชฟระดับโลกมาอย่างโชกโชนแน่นอนในวงการอาหารชื่อเชฟหนุ่มในประเทศไทยเค้าเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่ยังไม่เคยมีใครรู้จักและไม่เชื่อว่าเขามีฝีมือดีพอที่จะถูกยกระดับว่าเป็นเชฟระดับโลกจากนั้นเมื่อ ทางรายการเชฟกระทะเหล็กประเทศไทยได้สืบค้นข้อมูลและพบว่าคนไทยคนนี้มีโปรไฟล์ที่น่าตื่นตาตื่นใจและน่าทึ่งว่าจะมีคนไทยกี่คนที่จะผ่านกำแพงแห่งความล้มเหลววิ่งเข้าสู่ถนนสายการทำอาหารอย่างมืออาชีพจึงได้รับการเชื้อเชิญไปออกรายการถึง 2 ครั้ง และนั่นเป็นจุดกำเนิดที่ทำให้ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการอาหารไทยต่างชื่นชมถึงความสามารถที่เต็มเปี่ยมและเชื่อว่านี่คือคลื่นลูกใหม่ในสายการพัฒนาอาหารที่จะช่วยยกระดับการทำอาหารโดยคนไทยได้และเริ่มเป็นที่ถกเถียงกันในสังคมออนไลน์เช่น facebook หรือ youtube มากขึ้นชื่อของเชฟหนุ่มจึงมีคนรักการทำอาหารและนักชิมค้นหาชื่อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ถ้าถามผมว่า หลังจากกลับมาบ้านได้ 1 ปีเศษ การเดินทางหาร้านอาหารแบบท้องถิ่นและชุมชนรวมถึงร้านเก่าแก่ว่าเป็นอย่างไรผมก็ได้คำตอบว่า อาหาร แบบ MolecularGastonomyจริงๆแล้วบ้านเราก็มีมาก่อนแต่เราไม่เคยได้เรียนรู้จัดทำเป็นประบวนการวิทยาศาสตร์เพราะจริงๆแล้วแกงกะทิ ก็คือการทำ Molecular อย่างหนึ่งแต่ไม่เคยมีใครย้อนกลับไปหาต้นกำเนิดหรือวางเป็นวิชาการแสดงว่าทักษะของคนไทยในการทำอาหารนั้นมีที่มาที่ไปอย่างน่าทึ่งไม่น้อยผมจึงคิดว่าผมควรประยุกต์การทำอาหารแบบใหม่ที่สร้างสรรค์ออกมาให้ดีที่สุด”

แต่เมื่อปลายปี 54 ถึงต้นปี 55 ที่ผ่านมาเชฟหนุ่มก็ต้องกระประสบปัญหาเช่นเดียวกันกับพี่น้องคนไทยเมื่อเริ่มที่จะเปิดร้าอาหารเพื่อจะทดลองนำอาหารสไตล์ใหม่ๆมาผสมผสานกับอาหารไทยที่เปิดเพียงไม่กี่เดือนก็ต้องปิดลงด้วยปัญหาน้ำท่วมในวิกฤติจึงเป็นโอกาส เชฟหนุ่มปิดร้านและเดินทางออกแสวงหาชิมอาหารจากร้านอาหารไทยเก่าแก่หลายแห่งและได้เข้าพบกับเชฟชื่อดังในเมืองไทยหลายคนและได้แลกเปลี่ยนทัศนะคติในการทำอาหารร่วมกันจึงมีแนวคิดว่าใหม่ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายไม่น้อยเช่นกัน

“ผมเจอปัญหาน้ำท่วมมาเหมือนกับหลายๆคนแต่อย่างที่บอกผมผ่านความกดดันจากในห้องครัวลอนดอนมามากกว่านี้ ที่ห้องครัวในลอนดอนไม่มีใครมานั่งเทคแคร์ใคร คุณมีเวลาไม่มากสำหรับการทำอาหารลูกค้ามารอสิ่งที่คุณต้องทำคือแสดงฝีมือสุดกำลังและแข่งกันเวลาและมุมสะท้อนกลับก็ทำให้ผมเห็นเมื่อพบว่า จริงๆ แล้ว นโยบาย ครัวไทยสู่ครัวโลก ที่ผมได้ยินมาหลายปีนั้นมันยากและไกลเหลือเกิน เพราะผมยังไม่เห็นมีแม่งานอย่างจริงจังจริงๆแล้วคนไทยแห่บินข้ามน้ำข้ามทะเลไปเสาะแสวงร้านอาหารชื่อดังมากนักต่อนักแต่ผมมองว่าผมฝันเห็นว่าจะมีคนต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกบินมากินอาหารไทยถึงประเทศของเราบ้านเพราะวันนี้ฝรั่งรู้จัก ผัดไทย ส้มตำ ต้มยำกุ้ง เท่านี้ผมอยากเห็นอาหารไทยถูกเผยแพร่ไปเป็นเชิงวัฒนธรรมอย่าง อาหารญี่ปุ่น หรืออาหารเกาหลีที่กำลังฮิตในบ้านเรา และสิ่งนั้นจะสามารถเม็ดเงินรายได้และโอกาสให้คนไทยอย่างมหาศาล”

“แต่ผมก็ยังมองว่าการจะให้เป็นจุดนั้น เราต้องพัฒนา พ่อครัวของเราที่มีให้เป็นเชฟให้ได้เพราะเชฟกับพ่อครัวแม่ครัวต่างกันจะทำอย่างไรให้เราสามารถผลิตเชฟออกมาสู่ตลาดเพื่อรองรับการขยายตัวของประชาคมอาเซียนให้ๆได้ เพราะคนไทยวันนี้ 60 กว่าล้านกำลังจะจะถูกเชื่อมโยงกับคนอีก 600 ล้านคนรวมถึงหากการขยายตัวของจีนเข้ามาอย่างเต็มตัวอีกไม่กี่ปี โอกาสของอาหารไทยจะมีอย่างมหาศาลจะทำให้คนไทยมีรายได้และสร้างชื่อกับเรื่องของอาหารไทยอีกลายประเภทเช่น เราอาจเห็นคนจากหลายๆชาติมานั่ง กินส้มตำไก่ย่าง มานั่งกินขนมไทยพร้อมกับท่องเที่ยวไปด้วย คือวางเป้าหมายให้เขามาแล้วคุ้มได้เที่ยวสถานที่สวยงามและกินอาหารอร่อยมีเทศกาลอาหารแต่ละฤดูกาล เรียกแขกเข้าบ้านและยังมีอะไรอีกเยอะที่เราต้องทำการบ้าน” เชฟกลุ่มกล่าว

ส่วนในประเด็นการพัฒนาอาหารไทยนั้นเชฟหนุ่มมองว่า ปัญหาคือการพัฒนาคุณภาพวัตถุดิบที่มีอยู่ให้ได้มาตรฐานไม่ใช่เน้นปริมาณและการพัฒนาคนให้รองรับการเติบโตของประชาคมอาเซียนได้โดยเฉพาะความอดทนที่จะเรียนรู้ การคิดสร้างสรรค์และที่สำคัญต้องพัฒนาด้านภาษาเช่นภาษาอังกฤษที่ต้องเป็นภาษากลางในการสื่อสารและภาษาจีนที่จะออกไปทำอาหารไทยสู่ประเทศจีนที่มีกำลังซื้ออย่างมหาศาล

“ผมมองว่าตอนนี้วงการอาหารบ้านเราต้องตื่นตัวได้แล้วซึ่งจุดนี้น่าจะเป็นก้าวแรกที่แท้จริงของการพัฒนาครัวไทยสู่ครัวโลกได้และเป็นทางลัด ผมว่าอย่างฟิลิปปินส์ ส่งนักร้องออกไปทั่วโลกทำไมเราไม่จัดการผลิตเชฟออกไปทั่วโลกบ้าง ผมว่าคนไทยมีศักยภาพพอที่จะทำตรงนี้และผมพร้อมที่จะเข้าสนับสนุนโครงการนี้นะแต่ผมยังไม่เห็นว่าใครจะเป็นแม่งานที่แท้จริงจริงๆแล้วผมวางเป้าหมายอยากนำความรู้มาถ่ายทอดและเรียนรู้ศาสตร์อาหารไทยผสมผสานกับMolecular ให้ลงตัวให้ได้เพราะเราจะได้มีเมนูใหม่ออกมาอีกเยอะมากมาย รวมถึงอยากพัฒนาอาหารไทยกับนักวิชาการเพื่อนำการแปรรูปส่งออกอีกทางหนึ่งซึ่งผมว่าไม่ยากแต่เราจะทำหรือไม่ตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะคว้าโอกาสหรือให้ประเทศอื่นๆฉกฉวยโอกาสนี้ของเราไปซึ่งถ้าพลาดเราก็น่าเสียดายไม่น้อยและต้องทำอย่างเร่งด่วนและทันทีด้วย”

จากแนวคิดที่เคยคิดจะเปิดร้านอาหารเหมือนับคนทั่วไปธนินธร หรือ เชฟหนุ่มกลับหยิบช่วงวิกฤตของคนไทยมาเป็นโอกาสที่จะส่งผลไปยังรายได้มวลรวมของประเทศได้นั่นหมายถึงองค์กร ต่างๆรวมถึงภาครัฐไม่มองข้ามโอกาสนี้นี่จะเป็นหนึ่งในแนวคิดที่คาดหวังให้เป็นรูปธรรมให้เกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้เราเชื่อว่า ประสบการณ์และความตั้งใจให้ครัวไทยสู่ครัวโลก ของเชฟมากประสบการณ์คนนี้มาช่วยจุดประกายให้วงการอาหารไทยแต่เขาคนเดียวคงไม่สามารถจะเปลี่ยนอะไรได้ในช่วงข้ามคืนการทำงานของเอกชนและรัฐจึงต้องมีร่วมกันอย่างชัดเจนและจริงจังเพื่อความเป็นเลิศของอาหารไทยในเวทีระดับโลกอีกด้วย

สาธารณสุขพัทลุง จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้/ประกวดนวัตกรรมงานบำบัดรักษายาเสพติด ปี ๒๕๕๕


by สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง
วัที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมขวัญเมือง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง นายแพทย์สาธิต ไผ่ประเสริฐ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพัทลุง เป็นประธานเปิดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และมอบเกียรติบัตรประกวดนวัตกรรมงานบำบัดรักษายาเสพติด ปี ๒๕๕๕ โดยมีนางวันทนา สุริยวงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานควบคุมโรคไม่ติดต่อ กล่าวรายงานความเป็นมาของโครงการฯ นายแพทย์สาธิต ไผ่ประเสริฐ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า จากสภาพปัญหายาเสพติดที่แพร่ระบาดสูงในปัจจุบัน ปีงบประมาณ ๒๕๕๕ รัฐบาลจึงกำหนดให้งานยาเสพติดเป็นนโยบายของชาติ ตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด โดยกำหนดเป้าหมายการบำบัดรักษายาเสพติดของประเทศ จำนวน ๔๐๐,๐๐๐ ราย โดยจังหวัดพัทลุง ต้องเร่งรัดดำเนินการบำบัดรักษายาเสพติด จำนวน ๒,๓๒๙ ราย การดำเนินงานดังกล่าวจะมีรูปแบบการดำเนินที่หลากหลาย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง จึงดำเนินการจัดการประกวดนวัตกรรมรูปแบบการดำเนินงานป้องกันแก้ไข และบำบัดรักษายาเสพติด การประกวดบุคคลดีเด่นด้านการบำบัดและดำเนินงานยาเสพติดในโรงพยาบาล/ชุมชน นายแพทย์สาธิต ไผ่ประเสริฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล และขอให้รักษาความดีนี้ตลอดไป สำหรับผลการประกวด มีดังนี้ ๑) นวัตกรรมรูปแบบการดำเนินงานป้องกันแก้ไข และบำบัดรักษายาเสพติด รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นางสุธาทิพย์ ขุนทอง รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ มี ๓ ท่าน ได้แก่ นางกุลธิดา จันทรานุสรณ์ นางวันดี พัฒนพงศ์ และนางสาวมนสิชา ชุมแก้ว ๒) การประกวดบุคคลดีเด่นด้านการดำเนินงานด้านการบำบัดรักษายาเสพติดในโรงพยาบาล รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นางยุพิน จันทร์แดง รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ได้แก่ นางสุธาทิพย์ ขุนทอง รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ได้แก่ นางวราพร ชูทอง รางวัลชมเชย ได้แก่ นางสมใจ นกยูงทอง ๓) การประกวดบุคคลดีเด่นด้านการดำเนินงานยาเสพติดในชุมชน รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นายกิตติศักดิ์ รักเกตุ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ได้แก่ นางกาญจนา ผอมดำ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ได้แก่ นางเยาวลักษณ์ ตุ้นดำ

“ทนายสุวัตร” เผยกองทุน พธม.สู้คดีเข้าขั้นวิกฤต ขาดเงินประกันตัว



“สุวัตร” เผยน้ำใจพี่น้องพันธมิตรฯ บริจาคเงินเข้ากองทุนสู้คดีตลอด แม้ไม่ได้โฆษณามาเป็นปี แต่ตอนนี้เข้าขั้นวิกฤตเหลือ 5 แสนกว่าบาท โดยในวันที่ 8 ต.ค.อัยการจะสั่งฟ้อง 114 คน คดีชุมนุมสนามบิน ซึ่งต้องใช้เงินประกันตัวมากถึง 12.8 ล้าน ชี้อาจต้องลองขอความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมที่ใช้ประกันตัวเสื้อแดง

วันที่ 29 ส.ค. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV




นายสุวัตรกล่าวว่า วันที่ 26 กันยายนนี้ ศาลจะตัดสินคดีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล นำคำพูดของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล หรือดา ตอร์ปิโด มาปราศรัยบนเวที ซึ่งถ้าตัดสินลงโทษอย่างน้อยต้องติดคุก 5 ปี ก่อ

นออกรายการตนก็ได้คุยกับนายสนธิ นายสนธิไม่ได้วิตกในคดี อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แล้วตนก็มั่นใจว่าสามารถพิสูจน์ได้ว่าเราไม่มีเจตนา และใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ คนดีไม่ควรมาติดคุกเสียเอง เพียงเพราะอัยการเลือกที่จะฟ้องใครและไม่ฟ้องใครก็ได้ ปกติคดีใครมาก่อนต้องฟ้องก่อน แต่นี่นายสนธิพูดหลังดา ตอร์ปิโด ถึงวันนี้ ดา ตอร์ปิโด ยังไม่ถูกฟ้องเลย ที่โดนติดคุก 15 ปี เป็นความผิดจากกรรมอื่นที่พูดหมิ่นสถาบันฯ ในระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 51 ไม่ใช่ 18-19 กรกฎาคม 51

นายสุวัตรกล่าวต่อถึงสถานะกองทุนพันธมิตรฯ สู้คดีว่า เป็นเวลาเกือบปีที่ไม่มีการโฆษณาขอรับบริจาคเงินเข้ากองทุนพันธมิตรฯ สู้คดี เพราะเกรงใจพี่น้อง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนบริจาคเข้ามาเรื่อยๆ เฉลี่ยที่เดือนละประมาณ 1 แสนบาท ซึ่งก็เป็นการรับมาใช้ไปตลอด ถึงวันนี้สรุปยอดในวันที่ 24 สิงหาคม 55 อยู่ที่ 554,599.74 บาท นี่คือวิกฤต เพราะอาทิตย์หน้าต้องไปประกันตัวนายประพันธ์ คูณมี ซึ่งคิงเพาเวอร์ฟ้องกรณีปราศรัยบนเวที นอกจากนั้นยังถูกกลั่นแกล้ง เรื่องเกิดที่กรุงเทพฯ แต่ไปฟ้องที่ศาลเชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต สมุทรปราการ เพื่อให้เราเสียเวลา

ตอนนี้พันธมิตรฯ มีคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณา 54 รายการ ส่วนใหญ่เป็นบริวาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มาฟ้องอยู่เรื่อยๆ และยังมีนายเนวิน ชิดชอบ และตำรวจ ที่รุมเรา

นายประพันธ์กล่าวว่า แล้ววันที่ 8 ตุลาคม อัยการจะส่งฟ้องศาลทั้งหมด 114 คน ในคดีชุมนุมที่สนามบิน โดยแกนนำรุ่น 1-2 มี 14 คนที่โดนคดีผู้ก่อการร้าย ศาลตีราคาประกันที่คนละ 2 แสนบาท ส่วนอีก 100 คน โดนคดีมั่วสุมก่อให้เกิดความวุ่นวาย ประกันตัวคนละ 1 แสน รวมทั้งหมดเป็น 12.8 ล้านบาท ที่จะต้องหาเงินไปประกันตัว ระดมอย่างไรก็ไม่มีทางได้ ตนปรึกษานายสนธิว่าจะระดม ส.ว.ไปประกัน เอาโฉนดใครมาบางส่วน ติดต่อบริษัทประกัน แต่อย่างที่เรียนถ้าไม่ลำบากจริงก็ไม่อยากขอ นี่ก็ว่าจะลองไปขอเงินกองทุนยุติธรรมที่ใช้ประกันตัวเสื้อแดง คาดว่าจะไม่ให้แต่จะลองดู เพราะนี่คือเหตุการณ์การเมืองชัดๆ

นายพิภพกล่าวว่า ตนยอมรับผลอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แม้ต้องติดคุกก็ตาม เพราะพี่น้องพันธมิตรฯ มีน้ำใจมาโดยตลอด เข้าใจและเห็นใจว่าลำบาก ถึงขั้นบาดเจ็บ ล้มตาย เสียสละมากกว่าเราเยอะ ฉะนั้นต้องยอมรับในชะตากรรม

ยกฐานะเป็นเทศบาลนครเกาะสมุยแล้วมีผล 14 ก.ย.นี้



สุราษฎร์ธานี - เทศบาลเมืองเกาะสมุย ยกฐานะเป็นเทศบาลนครเกาะสมุย ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2555 เป็นต้นไป

นายรามเนตร ใจกว้าง นายกเทศมนตรีเมืองเกาะสมุย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ประกาศเปลี่ยนแปลงฐานะเทศบาลเมืองเกาะสมุย เป็นเทศบาลนครเกาะสมุย เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2555 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงฐานะเทศบาลเมืองเกาะสมุย เป็นเทศบาลนครเกาะสมุย

โดยที่เทศบาลเมืองเกาะสมุย ซึ่งมีราษฎรตั้งแต่ห้าหมื่นคนขึ้นไป ทั้งมีรายได้พอควรแก่การที่จะปฏิบัติหน้าที่อันต้องทำตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 มีความประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงฐานะเป็นเทศบาลนครเกาะสมุย

และกระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้วเห็นว่า เทศบาลเมืองเกาะสมุย เข้าเงื่อนไขหลักเกณฑ์ ตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2546 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงประกาศเปลี่ยนแปลงฐานะเทศบาลเมืองเกาะสมุย เป็นเทศบาลนครเกาะสมุย ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2555 เป็นต้นไป

ศาลภูเก็ตนำระบบข้อพิพาททางเลือกมาใช้



ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ศาลจังหวัดภูเก็ตจัดสัมมนาการส่งเสริมการนำระบบการระงับข้อพิพาททางเลือกมาใช้ในศาล





เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (30 ส.ค.) ที่ห้องบอลรูม โรงแรมเพิร์ล ภูเก็ต นายอรรถการ ฟูเจริญ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดโครงการ ”การส่งเสริมการนำระบบการระงับข้อพิพาททางเลือกมาใช้ในศาลและหน่วยงานอื่น” โดยมี นายประคอง เตกฉัตร รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง มาเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ นายไพโรจน์ ทิมจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลจังหวัดภูเก็ต ผู้ไกล่เกลี่ยประนีประนอมศาลจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจในจังหวัดภูเก็ต ผู้นำองค์กรส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และอาจารย์โรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต ตลอดจนประชาชนทั่วไปเข้าร่วม





นายไพโรจน์ ทิมจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ศาลยุติธรรมมีนโยบายสนับสนุน และพัฒนาระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยกำหนดเป็นพันธกิจหนึ่งของการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ที่ 1 ของศาลยุติธรรมในการรักษาความเข้มแข็ง และมุ่งสู่ความเป็นเลิศในการอำนวยความยุติธรรม มีการนำระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมาปรับใช้ควบคู่กับการดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีของศาล เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนในการยุติข้อพิพาท รวมทั้งสนับสนุนการระงับข้อพิพาทด้วยหลักสมานฉันท์ และสันติวิธี และการสร้างความรู้รักสามัคคีให้เกิดในสังคม





โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนรวมของคู่ความในการยุติข้อพิพาทในศาล และนอกศาล อำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนในสังคม ก่อให้เกิดความสมานฉันท์รู้รักสามัคคี และการมีส่วนรวมในกระบวนการศาลยุติธรรม เพื่อให้การดำเนินคดีของคู่ความ หรือคู่พิพาทเป็นไปโดยประหยัด รวดเร็ว และเป็นธรรม กับสร้างความพึงพอใจและสร้างความสมานฉันท์ในสังคมจากการใช้วิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท





เพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในศาล และนอกศาล สร้างความร่วมมือของทุกฝ่ายในการทำกิจกรรมร่วมกัน เผยแพร่ประชาสัมพันธ์การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายแก่ประชาชน อีกทั้งเป็นการลดระยะเวลาในการพิจารณาพิพากษาคดี และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินคดีในศาล ซึ่งโครงการนี้ศาลจังหวัดภูเก็ตได้จัดให้มีกิจกรรมหลายอย่าง เช่น การจัดนิทรรศการเผยแพร่การไกล่เกลี่ย และประนอมข้อพิพาท เป็นต้น





ขณะที่ นายอรรถการ ฟูเจริญ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากการจัดโครงการสัมมนาดังกล่าว นับว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะต่อคู่ความ หรือผู้มีอรรถคดี ให้สามารถมีส่วนในกระบวนการยุติธรรมในการยุติข้อพิพาทด้วยตนเอง ทั้งมีทางเลือกในการยุติข้อพิพาทด้วยความรวดเร็ว ประหยัด เป็นธรรม และได้รับความพึงพอใจด้วยกันทุกฝ่าย เพราะการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทจะไม่มีฝ่ายใดเป็นผู้แพ้ หรือฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ แต่ถือว่าชนะด้วยกันทั้งคู่ หรือทั้งสองฝ่าย หรือที่เรียกว่า “Win-Win Situation” และทั้งสองฝ่ายยังสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อไปได้ ซึ่งนับว่าเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุน และให้ประชาชนเกิดความสมานฉันท์รู้จักสามัคคี เกิดความสงบสุขในสังคม

ชลประทานบุรีรัมย์งดปล่อยน้ำทำนา หวั่นวิกฤตขาดน้ำอุปโภคบริโภค



บุรีรัมย์ - ชลประทานบุรีรัมย์งดปล่อยน้ำให้เกษตรกรทำนา หวั่นเกิดวิกฤตขาดน้ำไม่เพียงพอผลิตประปาเพื่ออุปโภคบริโภค หลังประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงส่งผลให้อ่างทั้ง 22 แห่งมีน้ำกักเก็บไม่ถึง 50% ของความจุรวม ขณะ “อ่างฯ ห้วยจระเข้มาก” แหล่งน้ำดิบผลิตประปาป้อนเมืองบุรีรัมย์เหลือแค่ 32% พร้อมวอนประชาชน-เกษตรกรใช้น้ำประหยัด

วันนี้ (30 ส.ค.) นายยงศักดิ์ ประภาพันธ์ศักดิ์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า จากการสำรวจสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และขนาดกลาง 22 อ่างทั้งจังหวัด ล่าสุดพบว่าขณะนี้มีปริมาณน้ำกักเก็บเพียงร้อยละ 45 ของปริมาณความจุทั้งหมดกว่า 298 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ ทางโครงการชลประทานจึงจำเป็นต้องงดปล่อยน้ำให้เกษตรกรเพาะปลูกข้าวนาปีแล้วจำนวน 19 อ่าง เพราะเกรงจะเกิดปัญหาน้ำดิบไม่เพียงพอในการผลิตประปาบริการประชาชน หลังประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงทำให้มีฝนตกในพื้นที่รับน้ำน้อย

โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มากที่ต้องใช้ผลิตประปาบริการประชาชนในเขต อ.เมืองบุรีรัมย์ และ อ.ห้วยราชกว่า 20,000 ครัวเรือน ปัจจุบันมีน้ำกักเก็บอยู่เพียง 8 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 32 ของขนาดความจุอ่าง 26 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่แต่ละวันต้องใช้น้ำดิบในการผลิตประปาวันละกว่า 20,000 ลูกบาศก์เมตร หรือเฉลี่ยเดือนละ 600,000-700,000 ลูกบาศก์เมตร

อย่างไรก็ตาม หากปริมาณน้ำในอ่างลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ทางชลประทานก็ได้เตรียมแผนรองรับ โดยการสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำลำน้ำมาศ อ.ลำปลายมาศ ระยะทางกว่า 16 กิโลเมตร มาเติมใส่อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มากเพื่อสำรองไว้เป็นน้ำดิบในการผลิตประปาแล้ว เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคของประชาชนอย่างแน่นอน

“ฤดูฝนปีนี้ ตั้งแต่ต้นฤดูจนถึงขณะนี้มีฝนตกลงมากว่า 1,200 มิลลิเมตร แต่ตกในพื้นที่รับน้ำของอ่างเพียง 600 มิลลิเมตรเท่านั้น ดังนั้น ทางชลประทานจึงต้องงดปล่อยน้ำเพื่อการเกษตร ประกอบกับบางพื้นที่ก็มีฝนตกลงมาบ้างแล้ว ทำให้สามารถไถหว่านปักดำข้าวได้แล้ว

พร้อมกันนี้ยังได้ขอความร่วมมือประชาชน และเกษตรกรได้ช่วยกันใช้น้ำอย่างประหยัดด้วยเพราะเกรงว่าจะเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงอีก เนื่องจากขณะนี้เหลือฤดูฝนอีกเพียงเดือนเศษเท่านั้น” นายยงศักดิ์กล่าว

พังงาเปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทให้ประชาชน



ศูนย์ข่าวภูเก็ต - สำนักงานยุติธรรมจังหวัดพังงา เปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง ลดความขัดแย้ง

ที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดพังงา อ.เมือง จ.พังงา ได้ทำการเปิดที่ทำการศูนย์ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทจังหวัดพังงาขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง โดยมีนายธำรงค์ เจริญกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เป็นประธาน มีหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และประชาชนทั่วไปร่วมพิธีเปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทจังหวัดพังงา

นายสมชัย หลีอาภรณ์ ผู้บัญชาการเรือนจำอำเภอตะกั่วป่า กรรมการบริหารสำนักงานยุติธรรมจังหวัดพังงา กล่าวว่า การจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทจังหวัดพังงานี้ จะเป็นศูนย์กลางในการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท ความขัดแย้ง รับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน และนำไปสู่การประสานงานแก้ไขปัญหาตลอดจนให้คำแนะนำด้านกฎหมาย การรักษาสิทธิและเสรีภาพที่ประชาชนพึงมีตามกฎหมาย และประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง ซึ่งมีกลไกในการบริการจัดการ คือ คณะกรรมการบริหารศูนย์ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท

ร่วมรำลึก 22 ปี สืบ นาคะเสถียร "หากสืบไม่สิ้น..." จัดโดย น้องๆ นิสิต เกษตรศาสตร์ ปีนี้จัดกิจกรรมต่อเนื่อง ไปร่วมงานกันครับ - คนอนุรักษ์

ร่วมรำลึก 22 ปี สืบ นาคะเสถียร "หากสืบไม่สิ้น..." จัดโดย น้องๆ นิสิต เกษตรศาสตร์ ปีนี้จัดกิจกรรมต่อเนื่อง ไปร่วมงานกันครับ - คนอนุรักษ์

ที่มา www.facebook.com/events/221092588018510/
www.facebook.com/iamforester
-----------------------------
งานสืบสานวันสืบ นาคะเสถียร ครั้งที่ ๔
วันที่ ๓๑ ส.ค.และ ๑ ก.ย.๒๕๕๕
ณ อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน

เชิญชม"นิทรรศการเส้นทางอนุรักษ์บนร่างสืบ ครั้งที่ ๑๙"
"The Death of Sueb Nakhasathien, The Turning Point in Thailand's Conservational Awareness # 19"

๓๑ ส.ค.๕๕
๐๙.๐๐ น. พิธีเปิด
๐๙.๐๐ น. มอบรางวัลชนะการประกวด
ฉายวีดีทัศน์อัตชีวประวัติคุณสืบ นาคะเสถียร
๑๐.๐๐ น. เสวนาในหัวข้อ..ประเทศไทยยั่งยืนตามแนวพระ ราชดำริ "ต้นทางคือป่าไม้ ปลายทางคือประมง ระหว่างทางคือเกษตรกรรม"
๑๓.๐๐ น. โต้วาทีระหว่างคณะเศรษฐศาสตร์ Vs คณะสังคมศาสตร์ ในยัตติ "ปลูกป่าไว้ใช้ ดีกว่าปลูกไว้ให้บวช"
๑๖.๐๐ น. คอนเสิร์ตรวมพลคนคิดถึง"สืบ"
ปู พงษ์สิทธิ์,หงา คาราวาน,สีเผือก คนด่านเกวียน,พิทักษ์ป่า สายันต์ น้ำทิพย์,วงกำแพง (จากมหาวิทยาลัยราชภัฏจันเกษม และ The Forester Music Family

๑ ก.ย.๕๕
๐๗.๐๐ น. ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ ๒๓ รูป
๐๘.๐๐ น. พิธีประกาศสดุดีรำลึกและพิธีวางพวงมาลา
๐๙.๐๐ น. ฉายวีดีทัศน์อัตชีวประวัติคุณสืบ นาคะเสถียร
บรรยายพิเศษการอนุรักษ์ป่าไม้ โดยผู้บริหารระดับสูง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
๑๐.๐๐ น. การประกวดวงดนตรีจากชาวตึกชาวหอ ชมรม และสโมสรนิสิตคณะต่างๆ
๑๔.๐๐ น. พูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานในแนวทางอนุรักษ์
โดย คุณติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี และ หมอล็อต น.สพ.ภัทรพล มณีอ่อน นายสัตวแพทย์สัตว์ป่าคนแรกของเมืองไทย
๑๗.๐๐ น. ประกวดวงดนตรีโฟล์คซอง และ ประกาศผลรางวัล
๑๘.๐๐ น. จุดเทียนรำลึกถึงคุณสืบ นาคะเสถียร
พิธีปิด

อัยการพัทยาพร้อมจัดโครงการยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงในประเทศปีที่ 3



ศูนย์ข่าวศรีราชา-สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา พร้อมจัดโครงการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงในประเทศ ปีที่ 3 รับพระราชดำริ “องค์ภา” หวังสร้างจิตสำนึกห่วงใยในสถาบันครอบครัว

นายธีระวัฒน์ พุฒิบูรณวัฒน์ อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการภาค 2 รักษาการในตำแหน่งอัยการจังหวัดพัทยา เปิดเผยว่า ทางสำนักงานอัยการจังหวัดพัทยาเตรียมจัดโครงการการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงในประเทศ โดยปีนี้ถือเป็นการดำเนินการจัดขึ้นเป็นปีที่ 3 หลังจากพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงมีพระราชดำริห่วงใยในเรื่องของการใช้ความรุนแรงต่อสตรี และเด็ก

สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา จึงน้อมนำพระราชดำริดังกล่าวดำเนินโครงการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงในประเทศ โดยในปีนี้กำหนดจัดขึ้นวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2555 นี้ โดยมีตัวแทนภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม ทั้งนี้ ได้กำหนดให้มีการวิ่งมินิมาราธอนรณรงค์หยุดการใช้ความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก โดยเริ่มจากหน้าสำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา วิ่งไปยัง 4 แยกชัยพฤกษ์ ก่อนย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น รวมระยะทาง 607 กิโลเมตร

นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงละครสั้นจากเด็กนักเรียนสังกัดโรงเรียนเมืองพัทยาทั้ง 11 โรงเรียน รวมถึงองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กในพื้นที่จังหวัดชลบุรี มาร่วมกันจัดนิทรรศการให้ความรู้เรื่องการหยุดใช้ความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก และกิจกรรมร่วมสนุกอื่นๆ อีกมากมาย

นายธีระวัฒน์ เผยต่อว่า ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมืออย่างดีจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มข้าราชการ เอกชน และพ่อค้า ประชาชน ทำให้กิจกรรมดูเป็นที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญของการยุติความรุนแรงคือ การเอาใจใส่ในสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นสถาบันที่เล็กที่สุด แต่เป็นสถาบันที่สำคัญมากที่สุด การจัดกิจกรรมดังกล่าวยังเป็นการสร้างจิตสำนึกให้เกิดความเข้าใจ และเอาใจใส่ในสถาบันครอบครัวด้วย

อย่างไรก็ดี สิ่งที่มุ่งหวังคือ การสร้างเครือข่ายยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็กให้มีเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ก และขอเชิญชวนให้ทุกคนร่วมเป็น 1 เสียง ที่ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงในประเทศ ตามที่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ได้ทรงเชิญชวนไว้ เพราะนอกจากจะเป็นการสนองพระราชดำริแล้ว ยังเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติให้เข้มแข็งต่อไปด้วยเช่นกัน

บุรีรัมย์คุมเข้มโกงจำนำข้าวนาปรัง-โรงสีแจ้งปิดแล้ว 2 จุด เหตุชาวนาร่วมน้อย



บุรีรัมย์ - จังหวัดบุรีรัมย์ยังคุมเข้มโรงสีที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวนาปรังป้องกันการทุจริต ขณะผู้ประกอบการแจ้งปิดรับจำนำแล้ว 2 จุดจากทั้งหมด 6 จุด เหตุมีเกษตรกรมาเข้าร่วมโครงการน้อย เผยการค้าภายในประสาน ตร.ฝ่ายปกครองตั้งจุดตรวจป้องกันลอบนำข้าวนอกพื้นที่คุณภาพต่ำปลอมปนสวมสิทธิ

วันนี้ (30 ส.ค.) นายสุทธิศักดิ์ พรหมบุตร การค้าภายในจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปีการผลิต 2555 ของ จ.บุรีรัมย์ ว่า หลังได้เริ่มเปิดโครงการมาตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. พบว่าได้มีเกษตรกรนำข้าวมาเข้าร่วมโครงการเพียงกว่า 1,800 ราย ปริมาณข้าว 7,662 ตัน จากพื้นที่เพาะปลูกทั้งจังหวัดกว่า 70,000 ไร่ ผลผลิตกว่า 25,000 ตัน โดยสาเหตุที่เกษตรกรนำข้าวมาเข้าร่วมโครงการน้อย เนื่องจากบางส่วนประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงได้ผลผลิตไม่เต็มที่ และบางส่วนมีพันธุ์ข้าวอื่นปลอมปนทำให้คุณภาพไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนดจึงไม่สามารถนำเข้าร่วมโครงการจำนำได้ และคาดว่าเวลาที่เหลืออีก 2 สัปดาห์จะสิ้นสุดโครงการฯ คือในวันที่ 15 ก.ย.นี้ จะไม่มีเกษตรกรนำข้าวมาจำนำเพิ่มเติมอีก

จากกรณีดังกล่าว ล่าสุดทางผู้ประกอบการโรงสีที่สมัครเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวนาปรังจำนวน 6 แห่ง กระจายใน 6 อำเภอ ได้มีการแจ้งปิดรับจำนำไปแล้ว 2 จุด คือ โรงสีสหพัฒนาข้าวพุทไธสง อ.พุทไธสง และโรงสีสหพัฒนาค้าข้าวพูนผล อ.ห้วยราช ส่วนที่เหลืออีก 4 แห่งยังเปิดรับจำนำตามปกติ

ขณะเดียวกันก็ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเฝ้าดูแลตรวจสอบความผิดปกติประจำจุดรับจำนำทั้ง 4 จุดอยู่อย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นสุดโครงการถึงแม้จะไม่มีเกษตรกรนำข้าวมาเข้าร่วมโครงการก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันการฉวยโอกาสกระทำทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง

“ตั้งแต่เปิดโครงการรับจำนำข้าวนาปรังจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานพบความผิดปกติหรือการกระทำผิดแต่อย่างใด แต่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยเฝ้าดูแลตรวจสอบอย่างเข้มงวดทุกจุดรับจำนำจนกว่าจะสิ้นสุดโครงการฯ นอกจากนี้ยังได้มีการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และฝ่ายปกครองให้มีการตั้งจุดตรวจสกัดอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันกลุ่มพ่อค้าลักลอบนำข้าวเปลือกจากนอกพื้นที่ ซึ่งมีคุณภาพต่ำและราคาถูกเข้ามาปลอมปนหรือสวมสิทธิในโครงการรับจำนำข้าวนาปรังอย่างเข้มงวดด้วย” นายสุทธิศักดิ์กล่าว

“ม็อบสมาคมผี” ขู่เผาตัวตายหน้าอนุสาวรีย์พ่อขุนฯ ประชด “ปู”



เชียงราย - สมาชิกสมาคมฌาปนกิจฯ เชียงรายร่วม 200 คนฮือชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัดฯ จี้จัดการปัญหาถูกสมาคมฯ โกงเงินคนตาย โวยลั่นร้องเรียนทุกหน่วย แถมขึ้นโรงพักแจ้งความแล้วเรื่องกลับเงียบเป็นเป่าสากมานานถึงปีครึ่ง แกนนำถึงขั้นขู่เผาตัวตายหน้าอนุสาวรีย์พ่อขุนฯ ประชด “นายกฯ ปู”

วันนี้ (30 ส.ค.) กลุ่มผู้ที่เคยเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เมืองเชียงราย และสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เชียงรายร่วมใจ ประมาณ 200 คน นำโดยนายเอกนรินทร์ รักพงค์ อายุ 51 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน ม.7 ต.ทุ่งก่อ อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย ได้พากันมาชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดฯ เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้จังหวัดฯ ช่วยเร่งรัดดำเนินการ หลังจากชาวบ้านเคยร้องเรียนว่าได้รับความเดือดร้อนกรณีญาติผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นสมาชิกสมาคมฯ กว่า 102 คนไม่ได้รับเงินตามวงเงินรายละ 42,000 บาท ซึ่งผ่านมากว่า 1 ปีครึ่งแล้ว

นายเอกนรินทร์ และชาวบ้านระบุว่า ที่ผ่านมาเคยร้องเรียนทางจังหวัด ฝ่ายปกครอง อ.เมือง เทศบาล ต.ท่าสุด อ.เมือง แจ้งความต่อตำรวจ สภ.เมืองเชียงราย ฯลฯ มาครบถ้วนหมดแล้วแต่ก็ไม่มีความคืบหน้า ที่สำคัญในปัจจุบันผู้ที่เป็นประธานสมาคมฯ ซึ่งเป็นคู่กรณีกับชาวบ้านกลับได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรีอีกด้วย ทำให้ชาวบ้านเกรงว่าจะมีการโยกย้ายหรือเปลี่ยนแปลงหลักฐานที่เคยร้องเรียนไปก่อนหน้านี้ด้วย

นายเอกนรินทร์ยังได้ขู่ว่า หากไม่ได้รับความเป็นธรรมในวันนี้ ได้เตรียมแก๊าซหุงต้ม 2 ถัง น้ำมันเบนซิน 1 แกลลอน รอไว้ที่รถยนต์ที่ขับมาแล้ว หากทางจังหวัดไม่สามารถช่วยให้โยกย้ายเอกสารหลักฐานจากเทศบาล ต.ท่าสุดไปไว้ ณ ที่ว่าการ อ.เมืองเชียงราย และไม่แจ้งความคืบหน้าคดีก็จะไปเผาตัวเองให้ตายหน้าลานอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราย บริเวณห้าแยกพ่อขุนฯ อ.เมือง

โดยช่วงปราศรัย นายเอกนรินทร์ได้นำเงินส่วนตัวจำนวน 17,000 บาทแจกชาวบ้าน โดยระบุว่าขายข้าวได้ 20,000 บาท แบ่งให้ภรรยา 3,000 บาทเพื่อเอาไว้ทำพิธีศพของตน ที่เหลือจะขอต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย รวมทั้งได้เรี่ยไรเงินจากชาวบ้านที่ไปร่วมกันได้อีกร่วม 4,000 บาทเพื่อแจกจ่ายให้ชาวบ้าน ใช้เป็นค่าน้ำมันไปชุมนุมด้วย

จากนั้นประกาศจะไปเผาตัวเองให้ตายเพื่อเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และให้สังคมทราบว่าสังคมนี้มีความเป็นธรรมหรือไม่ ตำรวจ อำเภอ และจังหวัดจะหันมาสนใจหรือไม่

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ต่อมานายยุทธนา สายสิงห์ทอง ท้องถิ่น จ.เชียงรายได้รับเรื่องจากชาวบ้าน โดยได้ให้ทางพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.เชียงราย นิติกรเทศบาล ต.ท่าสุด ปลัดอาวุโส อ.เมืองเชียงราย ฯลฯ ชี้แจงความคืบหน้าพร้อมรับฟังปัญหาเพิ่มเติมจากชาวบ้านได้ความว่า กรณีปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2554 โดยชาวบ้านได้ร้องเรียนว่าไม่ได้รับเงินดังกล่าว พร้อมตรวจสอบพบหลักฐานที่เป็นพิรุธหลายรายการ เช่น รายชื่อของผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นเหตุให้สมาคมฯ ต้องเก็บเงินจากสมาชิกศพละ 20 บาท

ปรากฏว่ากลับมีรายชื่อผู้เสียชีวิตคนเดียวหลายครั้ง เช่น นายปัน ประยงค์ เสียชีวิตคนเดียวถึง 4 ครั้ง, นายจุ่ม ถาวร เสียชีวิตหัวปีท้ายปีในปี 2553 ฯลฯ และยังมีคนอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนผู้ที่ทำงานในสมาคมฯ ก็ลงรายชื่อจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้ตัวเอง

นายเอกนรินทร์ยังระบุอีกว่า จากสมาชิกประมาณ 10,000 คนได้ทำให้มีมูลค่าความเสียหายทั้งหมดกว่า 33 ล้านบาท เพราะเป็นการวนเสียชีวิตและเก็บเงินร่ำไป โดยชาวบ้านเสียเงินให้สมาคมฯ คนละประมาณ 600-1,200 บาทต่อเดือนสะสมกันมานาน

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ด้านเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงว่าปัจจุบันตำรวจก็อยู่ระหว่างดำเนินคดี พบผู้ที่คาดว่ากระทำความผิด 1 คนหลบหนีไป ทำให้จับกุมและดำเนินคดีต่อไม่ได้ ส่วนสมาคมทั้ง 2 แห่งก็ได้ยกเลิกไปแล้ว เพราะหลังจากเกิดปัญหาขึ้นชาวบ้านก็มีการร้องเรียน จนเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2554 มีการประชุมใหญ่และมีมติให้ยกเลิกสมาคมฯ

แต่ขั้นตอนการตรวจสอบคือจะต้องมีการตรวจสอบบัญชีเพื่อหาความผิดที่เกิดขึ้น ซึ่งมีการตั้งคณะตรวจสอบบัญชีขึ้นมา แต่ปรากฏว่าต้องอาศัยผู้มีความชำนาญจึงได้ประสานไปยังสำนักงานทะเบียนกลาง กรุงเทพฯ ให้ไปตรวจสอบ แต่เนื่องจากต้องรับผิดชอบการตรวจบัญชีทั่วประเทศจึงทำให้ล่าช้า ทางจังหวัดก็เคยส่งหนังสือแจ้งไปแล้วถึง 2 ครั้ง

ในส่วนของคณะกรรมการระดับอำเภอก็ได้ตรวจสอบเรื่องราว และลงความเห็นว่าเรื่องนี้น่าจะมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น และชาวบ้านก็ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้บริหารสมาคมฯ จำนวน 15 คนด้วย

นายยุทธนากล่าวว่า กรณีที่ชาวบ้านเรียกร้องจะแจ้งให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดได้ทำหนังสือไปยังสำนักงานทะเบียนกลางให้รับทราบ เพราะหากผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งไปเองคงจะมีการเร่งรัดกันมากขึ้น ส่วนกรณีจะให้ย้ายเอกสารหลักฐานนั้นทางอำเภอจะร่วมกับชาวบ้านไปดำเนินการนำเอกสารหลักฐานไปเก็บไว้ที่อำเภอได้เลย

นายเอกนรินทร์กล่าวตอนท้ายอีกว่า ตนไม่เข้าใจว่าสังคมมีความเป็นธรรมหรือไม่เพราะเอกสารหลักฐานที่พวกตนไปตรวจสอบก็ค่อนข้างจะหนาแน่น โดยเฉพาะเอกสารของสมาคมฯ ระบุชัดเจนเรื่องรายชื่อผู้ตายซ้ำซ้อน การเบิกจ่ายเงินให้ตัวเอง ฯลฯ แต่ปรากฏว่าเมื่อไปร้องเรียนหน่วยงานต่างๆ ก็โยนกันไปมา ตำรวจก็บอกผู้ต้องหาหลบหนีทำให้ฟ้องศาลไม่ได้ ตนก็สงสัยว่าเหตุใดจึงมุ่งไปที่บุคคลที่ทำบัญชีภายในสมาคมฯ คนเดียว เพราะคนที่สั่งจ่ายเงิน และมีอำนาจหน้าที่ในสมาคมฯ ขณะนั้นก็คือคณะกรรมการ และหลายคนก็คือนักการเมืองท้องถิ่นที่ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกและรองนายกท้องถิ่นในขณะนี้ รวมทั้งยังมีผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่อีกหลายคนในเทศบาล แล้วตำรวจยังมารอสำนักงานทะเบียนกลางอีกทั้งๆ ที่หลักฐานชัดเจน

“ปล่อยให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีหน้ามีตาในสังคมอย่างสุขสบาย ขณะที่ชาวบ้านเดือดร้อน ข้าราชการก็โยนเรื่องกันไปมาให้ล่าช้า ส่วนระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ก็อ้างกันอยู่ได้ ทั้งๆ ที่ชาวบ้านต้องการความคืบหน้าของการดำเนินการไม่ใช่เรื่องระเบียบ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการดำเนินการดังกล่าว ดังนั้นพวกผมคงทนไม่ไหวเพราะอึดอัดในการไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเฉพาะผมถูกขู่ฆ่ามาแล้วหลายครั้ง ผมจึงขอบอกว่าไม่ต้องขู่เพราะผมพร้อมจะตายอยู่แล้ว” นายเอกนรินทร์กล่าว

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า การประชุมหาข้อยุติเริ่มวุ่นวาย เมื่อทางจังหวัดไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าจะเร่งรัดให้ทางตำรวจดำเนินคดีให้รวดเร็วได้อย่างไร และต้องการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอไปรับเรื่องเพราะเคยร้องไปแล้วแต่ยังเงียบอยู่ ทำให้นายเอกนรินทร์พาชาวบ้านจะเดินทางไปที่ลานหน้าอนุสาวรีย์ฯ เพื่อเผาตัวเองตามคำขู่ แต่เจ้าหน้าที่ได้ห้ามปรามและขอให้กลับไปประชุมหารือกันตามเดิม

ซึ่งนายเอกนรินทร์ยังสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีผู้สมัครท้องถิ่นว่า เหตุใดทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จึงรับคนเหล่านี้เข้าไปสมัครทั้งๆ ที่คณะกรรมการอำเภอได้ตรวจพบความผิดปกติของคนเหล่านี้แล้ว

กระทั่งนายยุทธนา และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าจะเร่งรัดคดีให้โดยเร็ว และให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรับเรื่องเพื่อแจ้งไปยังดีเอสไอให้รับทราบต่อไป

ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมแยกย้ายกันออกจากศาลากลางจังหวัด แต่ไปชุมนุมที่หน้าสำนักงาน กกต.เพื่อสอบถามเรื่องคุณสมบัติผู้สมัครเป็นผู้บริหารท้องถิ่นต่อไป

หลายหน่วยงานรุมช่วยหญิงชราลำปางตาบอดวัยใกล้ร้อยแล้ว



ลำปาง - หลายหน่วยงานโดดเข้าช่วยเหลือหญิงชราวัย 95 ปี ตาบอด พร้อมเตรียมให้การรักษาดวงตาและนำอยู่บ้านพักคนชราเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีในบั้นปลายชีวิต

หลังจากที่มีการนำเสนอข่าวยายมูล แก้วสนุก อายุ 95 ปี ตาบอด ชาวบ้านสามัคคี ม.2 ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง ถูกญาติทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง มีเพียงหลานห่างๆคอยดูแล แต่ก็ไม่สามารถดูแลได้ดีเท่าที่ควรต้องปล่อยให้อยู่ในบ้านที่ไร้เฟอร์นิเจอร์ นอนกับพื้นกระดานจนร่างกายบางส่วนเริ่มเกิดแผล สภาพภายในห้องเหม็นคละคลุ้งไปด้วยปัสสาวะ และอุจจาระ ข้างกายมีเพียงกระติกน้ำ หมอนใบเล็กๆ ที่เก่าดำ ผ้าห่มหนึ่งผืนเท่านั้น สร้างความเวทนาแก่ผู้ที่เข้าไปพบเห็นเป็นอย่างมากนั้น

ล่าสุดวันนี้ (30 ส.ค.) นายพรนิมิตร สายเทพ ปลัดอำเภอเมืองลำปาง ได้เป็นตัวแทนนายอำเภอเมืองลำปางเข้าตรวจสอบที่บ้านของยายมูล ก็พบว่าสภาพความเป็นอยู่ไม่ถูกสุขลักษณะ จึงเตรียมประสานโรงพยาบาลค่ายสุรศักดิ์มนตรีลำปางเพื่อรักษาดวงตายายมูลให้สามารถมองเห็น และจะประสานงานกับเหล่ากาชาดจังหวัดฯ ให้เข้าช่วยเหลืออีกทางหนึ่งเป็นการด่วน

ขณะที่นายบุญส่ง สมพงษ์ นายกเทศมนตรีทเศบาลตำบลพิชัย พร้อมด้วยปลัดเทศบาลและเจ้าหน้าที่ และนายประพรรณ์ เป็งตาวงศ์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 ได้นำเครื่องใช้ เช่น ที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าถุง ผ้าเช็ดตัว ที่รองก้นสำหรับขับถ่าย และเครื่องใช้ประจำวันมามอบแก่ยายมูล พร้อมกำชับหลานที่คอยดูแล คือ นายปรัชญา หรืออ๊อด ให้คอยดูแลความเป็นอยู่ให้มากขึ้น

ด้านนายชัยวัฒน์ นันต๊ะกุล ปลัดเทศบาลตำบลพิชัย กล่าวถึงความช่วยเหลือยายมูลว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ ได้เข้าตรวจเยี่ยมเป็นประจำ โดยล่าสุดโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพได้เข้าตรวจสุขภาพเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 55 และกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการออกบัตรประจำตัวผู้พิการเพื่อจะได้รับเบี้ยผู้พิการด้วย หลังจากที่ผ่านมาได้รับเบี้ยผู้สูงอายุเดือนละ 1,000 บาท โดยหลาน คือนางสุภา เขียวงาม จะเป็นผู้มารับแทนตลอด และนอกจากนั้น อสม.ประจำหมู่บ้านก็จะมาดูเรื่องสุขภาพอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง

และวันเดียวกันนี้ ตัวแทนของบ้านพักและครอบครัว สำนักงานการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้นำเงินช่วยเหลือมามอบให้ 2,000 บาท และหลายหน่วยงานได้มาประชุมร่วมกันและลงความเห็นว่าหากยายมูลไม่มีคนดูแลหรือญาติไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง ทางบ้านพักและครอบครัวจังหวัดลำปางจะนำตัวยายมูลไปพักที่บ้านฯ แทน โดยจะให้ญาติยินยอมก่อน หลังจากนั้นเทศบาลฯ จะเป็นผู้ติดตามดูแลต่อไป

พัทยาถกแก้ภาพลักษณ์ล่อแหลมลุยล้างเจ็ตสกีแกะดำ



ศูนย์ข่าวศรีราชา - เมืองพัทยาจัดระดมสมองหามาตรการแก้ไขปัญหาเจ็ตสกีอย่างจริงจัง หลังพบสถานการณ์ท่องเที่ยว และภาพลักษณ์เริ่มล่อแหลม ล่าสุด เสนอพื้นที่หาดพัทยานำร่องจัดโซน ทำประกัน เน้นการตรวจสอบ หวังล้างผู้ประกอบการแกะดำ

วันนี้ (30 ส.ค.) นายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา เป็นประธานการประชุมร่วมกับคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเมืองพัทยา หัวหน้าส่วนราชการ และตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภ.เมืองพัทยา กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจน้ำ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 รวมทั้งภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งถือเป็นคณะกรรมการชุดเฉพาะกิจที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เพื่อให้ดำเนินการร่วมหารือ และกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาผู้ประกอบการเรือเจ็ตสกีอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ประกอบการบางรายที่มีพฤติกรรมในการข่มขู่ ขูดรีดเอาทรัพย์สิน และทำร้ายนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาใช้บริการ จนทำให้เกิดคดีความ และการร้องเรียนผ่านทางสถานทูตต่างๆ จนเมืองพัทยาได้รับผลกระทบทางภาพลักษณ์ และการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง

นายรณกิจ เผยว่า เรื่องนี้ยืดเยื้อมานาน และถือว่าสร้างความเสียหายต่อการท่องเที่ยวรุนแรง เนื่องจากปัจจุบัน สถานการณ์เริ่มบานปลาย และกลายเป็นปัญหาระดับชาติ จนกระทั่งรัฐบาลเพ่งเล็งและให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ซึ่งที่ผ่านมา นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี จึงมีการประชุมร่วมทุกภาคส่วน พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด เพื่อกำหนดมาตรการการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน และเป็นรูปธรรม ซึ่งหลังจากที่ได้ผลสรุปเป็นที่น่าพอใจแล้ว ก็จะมีการประชุมร่วมกับผู้ประกอบการเพื่อชี้แจง พร้อมประกาศใช้มาตรการอีกครั้ง

ด้านนายสนิท บุญมาฉาย สมาชิกสภาเมืองพัทยา ในฐานะประธานชมรมเรือท่องเที่ยวพัทยา กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเรือเจ็ตสกีที่ลงทะเบียนไว้กว่า 452 ลำจาก 168 ราย ซึ่งจะมีทั้งชายหาดพัทยา จอมเทียน และเกาะล้าน แต่ที่เกิดปัญหานั้นเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อปัญหาเกิดขึ้นก็ต้องหามาตรการป้องกันและแก้ไขที่เด็ดขาด เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของการท่องเที่ยวไว้ จึงควรดำเนินการเริ่มที่ชายหาดเมืองพัทยาเพื่อเป็นพื้นที่นำร่อง พร้อมกำหนดจุดจอดบริการที่ชัดเจน โดยมีเมืองพัทยาเป็นเจ้าภาพที่จะประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเจ้าหน้าที่ลงไปคุมเข้มอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกำหนดมาตรการที่เด็ดขาดก็จะสามารถควบคุมปัญหาได้ โดยต้องจัดการแก้ไขปัญหาเรื่องของการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ประกอบการ และความใส่ใจในการแก้ไขปัญหาด้วย

ทั้งนี้ ในที่ประชุมต่างมีมติเห็นพ้องต้องกันที่จะเริ่มดำเนินการในพื้นที่ชายหาดเมืองพัทยาเป็นการเบื้องต้น โดยจะทำการกำหนดพื้นที่จุดจอดบริการสำหรับเรือเจ็ตสกีเป็นการเฉพาะ โดยเรือเหล่านี้ต้องเป็นเรือที่มีการลงทะเบียน ทำประวัติ และได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ทั้งการต่อทะเบียน และใบนายท้าย โดยจะมีสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคเป็นผู้ตรวจสอบ ขณะที่มาตรการด้านอื่นๆ นั้น ก็เสนอให้มีการจัดทำประกันภัยสำหรับเรือ และนักท่องเที่ยวทุกครั้งที่ใช้บริการ โดยจะประสานไปทางสำนักงานประกันภัยเข้ามาชี้แจงรายละเอียด รวมทั้งการตั้งตู้พักสำหรับเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปควบคุม และกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อเคลียร์ปัญหา และตกลงค่าใช้จ่ายหากเกิดกรณีอุบัติภัยขึ้น

สำหรับผู้ประกอบการที่ยังมีความประพฤติที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียก็จะใช้มาตรการทางกฎหมายเข้ามาจัดการ พร้อมยกเลิกการเดินเรือในพื้นที่อ่าวเมืองพัทยาอย่างเด็ดขาด ซึ่งจากนี้จะได้มีการประชุมร่วมกับผู้ประกอบการเพื่อชี้แจงมาตรการที่กำหนดไว้อีกครั้ง

รอง ผบ.ตร.มั่นใจ ตร.ชายแดนใต้มีประสิทธิภาพควบคุมฝูงชนในกรณีฉุกเฉิน



ยะลา - รอง ผบ.ตร.มั่นใจการฝึกควบคุมฝูงชนและปราบจลาจลของตำรวจชายแดนใต้ เชื่อมีความพร้อมรับสถานการณ์ชุมนุมหากเกิดขึ้นในพื้นที่

วันนี้ (30 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่สนามลานฝึกศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ อ.เมือง จ.ยะลา พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง ได้เป็นประธานโครงการประกวดการฝึกยุทธวิธีควบคุมฝูงชนของศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พล.ต.ท.ไพทูรย์ ชูชัยยะ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้บังคับบัญชาในสังกัด ศชต. กองกำลังพลกองร้อยควบคุมฝูงชนจากตำรวจภูธร จ.ปัตตานี จ. ยะลา และ จ.นราธิวาส รวมทั้งกลุ่มอาสาสมัครชุมชนเข้มแข็งในเขตเทศบาลนครยะลา เข้าร่วม กว่า 700 คน และพร้อมกันนี้ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง ได้รับฟังบรรยายสรุปจาก กองบังคับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส ภจ.ว.ปัตตานี และ ภจ.ว.ยะลา ก่อนที่จะร่วมชมการสาธิตการควบคุมฝูงชน

พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน มีการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองของประชาชนกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลได้ขยายเป็นวงกว้าง มีลักษณะเป็นเครือข่าย องค์กร จัดตั้งขึ้นมาโดยมีการพัฒนารูปแบบของการชุมนุม มีการใช้อาวุธ เด็ก สตรี และความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงมีนโยบายให้ทุกหน่วยจัดการฝึกอบรมกองร้อยควบคุมฝูงชน เพื่อเข้ามาปฏิบัติการกรณีจำเป็นต้องใช้กำลังควบคุมฝูงชนที่มาชุมนุมเรียกร้อง ทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องอื่นๆ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และส่วนกลาง โดยยึดหลักมนุษยธรรม ปฏิบัติตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก ยึดหลักกฎหมาย และถูกต้องตามหลักสากล ซึ่งคาดว่าการฝึกจากสถานการณ์สมมุติดังกล่าวจะทำให้ผู้เข้ารับการฝึกมีประสิทธิภาพหากเกิดสถานการณ์จริง รวมทั้งจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อไป

พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ตำรวจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้มีการฝึกทบทวนมาตรการควบคุมฝูงชน และการปราบจลาจล ก็เชื่อมั่นว่าหากเกิดเหตุการณ์สถานการณ์การชุมนุมในพื้นที่ขึ้น เจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกก็มีความพร้อมรับสถานการณ์และจะสามารถใช้ความรู้ทักษะรวมถึงการผสานความร่วมมือกันในการควบคุมสถานการณ์ได้อย่างแน่นอน ซึ่งตนเองก็มั่นใจและพอใจกับการสาธิตการฝึกในวันนี้

ติวเข้มสถาบันเกษตรกรยางฯ เหนือ-ตอ.ร่วมโครงการ 1.5 หมื่นล้าน ดันราคาก่อนเจ๊ง



พิษณุโลก - สกย.-ธ.ก.ส.เรียกตัวแทนสถาบันเกษตรกรยางพาราภาคเหนือ และตะวันออกอบรมคัดมาตรฐานยางพารา ก่อนส่งขาย อสย.ตามโครงการ 1.5 หมื่นล้านบาท เผยหากฝีมือคัดคุณภาพยางไม่ถึงมีสิทธิ์เจ๊งได้

วันนี้ (30 ส.ค.) ที่โรงแรมอมรินทร์ลากูน จ.พิษณุโลก สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) พิษณุโลก และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใน 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ได้จัดประชุมตัวแทนสถาบันเกษตรกรยางพาราในภาคเหนือ และภาคตะวันออก พร้อมพนักงาน สกย.รวมแล้วประมาณ 300 คน เพื่ออบรมหลักสูตรมาตรฐานการผลิต การบริหารจัดการตลาดยางพารา

โดย สกย.เป็นผู้ให้ความรู้และความเข้าใจแก่สถาบันเกษตรกรในการคัดเลือกคุณภาพยางพารา และซื้อยางพาราจากสมาชิก ตามโครงการพัฒนาศักยภาพและรักษาเสถียรภาพยางพารา 1.5 หมื่นล้านบาทของรัฐบาล เพื่อที่จะขอเงินกู้จาก ธ.ก.ส.ไปรับซื้อผลผลิตจากสมาชิก และนำไปขายต่อแก่องค์การสวนยาง (อสย.)

ซึ่งขณะนี้มีสถาบันเกษตรกรได้จัดตั้งเป็นนิติบุคคล สามารถรวมรวบยางพาราเพื่อส่งขาย อสย.แล้วทั่วประเทศ 419 สถาบัน ส่วนสถานบันเกษตรที่กำลังยื่นขอจดทะเบียนทั่วประเทศอีกกว่า 700 สถาบัน เพิ่งอนุมัติก่อตั้งสถาบันเกษตรกรแล้วกว่า 600 สถาบัน

นายสุรพล ฝันเชียร ผู้อำนวยการ สกย.พิษณุโลก เปิดเผยว่า ผู้บริโภคยางพาราสูงสุดในโลกคือ ประเทศจีน โดยนำวัตถุดิบยางไปผลิตเพื่อส่งออกเป็นสินค้าต่างๆ ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจจีนลดความร้อนแรงทำให้ภาวะตลาดยางพาราไม่ร้อนแรง โครงการ 1.5 หมื่นล้านบาทของรัฐบาลจึงพยายามรักษาเสถียรภาพราคายางพาราให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ณ วันนี้ราคายางพาราที่ อสย.รับซื้อ 100 บาทต่อกิโลกรับ ขณะราคาตลาดอยู่ที่ 73 บาท ส่วนยางก้นถ้วย 100% รับซื้อสูงถึง 92 บาท แต่ราคาตลาดต่ำกว่ามาก

ซึ่งการรับซื้อในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดมากเพราะวางเกณฑ์คุณภาพยางพาราไว้สูง แต่ถ้าคุณภาพของผลผลิตจริงไม่ถึง ราคาก็ต้องลดลงไปตามเกณฑ์คุณภาพยาง

ในการอบรมตัวแทนสถาบันเกษตรกรครั้งนี้มีเป้าหมายให้ตัวแทนสถาบันเกษตรกรมีความรู้เกี่ยวกับยางพารา สามารถคัดคุณภาพยางพาราให้ได้มาตรฐาน ไม่เช่นนั้นหากสถาบันฯ รับซื้อยางพาราจากสมาชิกโดยให้ราคาสูงเกินไป เมื่อนำไปขายให้องค์การสวนยางจะได้ราคาต่ำกว่าทำให้ขาดทุนได้ เพราะ อสย.มีหลักเกณฑ์มาตรฐานอยู่ ดังนั้นตัวแทนสถาบันเกษตรกรต้องมีความเข้าใจในการประเมินคุณภาพราคายางพาราก่อน

“สกย.ไม่อยากเห็นสถาบันเกษตรกรเจ๊ง โครงการ 1.5 หมื่นล้านบาทเป็นโอกาสของเกษตรกรชาวสวนยาง ฉะนั้นอย่าทิ้งโครงการ และอยากให้เดินหน้าโครงการต่อ หลังจากหมดโครงการในเดือนมีนาคม 56 สถาบันเกษตรกรควรเก็บเกี่ยวผลกำไรไว้ต่อยอดต่อไป”

สำหรับสถาบันเกษตรกรที่พิษณุโลกก่อตั้งและรวบรวมยางพาราแล้ว 2 แห่ง คือ สหกรณ์เกษตรยางพาราพิษณุโลก และสหกรณ์ลูกค้า ธ.ก.ส.ยางพาราพิษณุโลก และยังมีอีก 5 กลุ่มที่ยื่นขอก่อตั้งเป็นนิติบุคคล คือ สหกรณ์บ้านชมพู 55, สหกรณ์น้ำริน, บ้านใหม่ชัยเจริญ, สหกรณ์อินโดจีน และสหกรณ์บ้านใหม่ชัยมงคล

เตรียมแผนย้ายสัตว์ป่าของกลางสัตว์ผู้ล่าทั่ว ปท.ไปที่ราชบุรี



ราชบุรี - กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เตรียมแผนย้ายสัตว์ป่าของกลางสัตว์ผู้ล่าทั่วประเทศไปที่ราชบุรี เผยปี 55 มีคดีเกี่ยวกับสัตว์ป่าประมาณ 550 คดี มีสัตว์ป่าที่ตรวจยึดได้ไม่ต่ำกว่า 15,000 ตัว

เวลา 10.00 น.วันนี้ (30 ส.ค.) นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้เดินทางมาดูพื้นที่สถานีวิจัยและเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เพื่อเตรียมความพร้อมด้านสถานที่ในการนำสัตว์ป่าของกลางประเภทสัตว์ผู้ล่าที่เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดไว้จากทั่วประเทศมาไว้ที่สถานีวิจัยและเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง

นายธีรภัทร กล่าวว่า จากสถิติคดีที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งปี 2555 นี้ เฉลี่ยแล้วจะมีคดีเกี่ยวกับสัตว์ป่าประมาณ 550 คดี โดยปีนี้ มีประมาณ 550 คดี ซึ่งคดีต่างๆ จะมีสัตว์ป่าที่ตรวจยึดได้ไม่ต่ำกว่า 15,000 ตัว โดยเฉพาะปีนี้ตรวจยึดได้ประมาณ 13,000 ตัว สัตว์ป่าที่ได้ดำเนินการจับได้มีการเคลื่อนย้ายกระจายไปอยู่ตามสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าต่างๆ จำนวน 24 แห่งทั่วประเทศ โดยทั้ง 24 สถานีจะมีการดูแลสัตว์ป่าที่เป็นสัตว์ป่าของกลางแตกต่างกันไป ซึ่งแล้วแต่ความชำนาญของแต่ละพื้นที่

เช่น สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่ากระบกคู่ จ.ฉะเชิงเทรา จะดูแลเรื่องลิง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 500 ตัว สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าบางละมุง จ.ชลบุรี จะมีหมีหมา หมีควาย ที่ต้องดูแลอยู่ประมาณกว่า 100 ตัว ส่วนสถานีนกน้ำ จ.ชลบุรี จะมีพวกนกกระจิบ นกกระจาบ นกกระติ๊ด และสัตว์ป่าต่างประเทศ เช่น เต่าดาว และสัตว์อื่นๆ ไปรวมกันอยู่ที่นั่น

สำหรับสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน จ.ราชบุรี กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้จัดพื้นที่ให้เป็นสถานสำหรับดูแลสัตว์ผู้ล่าโดยเฉพาะเสือโคร่ง และเสือชนิดต่างๆ ส่วนสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง ถูกจัดให้เป็นที่พักสำหรับเสือโคร่ง และเสือชนิดต่างๆ ในลักษณะกรงขังเดี่ยว ซึ่งที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้างนี้จะแตกต่างจากที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน ซึ่งจะเป็นพื้นที่กึ่งเปิด สามารถปล่อยสัตว์คืนสู่ธรรมชาติได้ โดยจะเลี้ยงให้อยู่ในกรงขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีการนำสัตว์ป่าของกลางบางชนิดที่ถูกจับได้บริเวณพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ลิง หรือสัตว์บางอย่างนำมาดูแลในพื้นที่เหล่านี้ด้วย

สำหรับการดูแลจะมีการจัดทำกรงอย่างดีให้แก่สัตว์เหล่านี้ได้อยู่พอเหมาะ โดยต้องคำนึงถึงสุขภาพของสัตว์ ซึ่งจะมีสัตวแพทย์คอยดูแลในพื้นที่ตลอด นอกจากระบบกรงที่ดียังจะมีระบบการให้อาหารที่เป็นเวลา มีการจัดการน้ำเสีย และขยะ ซึ่งจะต้องพยายามทำให้ได้มาตรฐานเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าทางกรมอุทยานฯ มีการดูแลสัตว์ป่าของกลางเหล่านี้มีความเป็นอยู่ที่ดี

ในอนาคต สัตว์ที่ตรวจยึดมาประมาณ 13,000 ตัว ที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้เลี้ยงดูอยู่นี้มีอยู่ส่วนหนึ่งที่นำมาเก็บเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์สำหรับสัตว์ป่าที่หายาก บางส่วนเพาะขยายพันธุ์เพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติด้วย อีกส่วนจะปล่อยขยายพันธุ์เพื่อจะใช้ในเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีการประกาศให้มีการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าจำนวน 59 ชนิด ที่มีการเพาะพันธุ์ได้

สำหรับการปล่อยสัตว์ป่าคืนสู่ธรรมชาติสัตว์ป่าที่เรามีการเพาะพันธุ์ได้ไม่ต่ำกว่า 30 ชนิด เช่น ไก่ป่า ไก่ฟ้า นกยูง เก้ง กวาง กระจง เลียงผา กวางผา และสัตว์อื่นอีกบางชนิด เราก็มีโครงการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ เมื่อปีที่แล้วได้ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติกว่า 2,500 ตัว ปีนี้เป็นปีมหามงคล 80 พรรษา มหาราชินี ก็จะปล่อยสัตว์ป่ากว่า 20 ชนิด ประมาณ 3,080 ตัว ดำเนินการปล่อยในพื้นที่ทั่วประเทศ อย่างพื้นที่สำคัญทางตอนเหนือ และเขตภาคกลาง เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ทางภาคใต้ ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง โดยจะเลือกพื้นที่ที่เคยมีสัตว์ป่าอาศัยอยูแต่ลดน้อยลง ซึ่งจะปล่อยสัตว์ป่าเพื่อไปฟื้นฟูธรรมชาติเพื่อให้ความสมดุลธรรมชาติกลับคืนมา

อีกส่วนหนึ่งคือ สัตว์ป่าซึ่งมีจำนวนมาก และคนให้ความสนใจ เช่น เสือโคร่ง หมี ในอนาคตได้มีโครงการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติบางพื้นที่ที่สามารถควบคุมได้ แต่เรื่องเสือโคร่งจะอยู่อันดับท้ายๆ ซึ่งจะดูเรื่องของหมี และลิงก่อน ซึ่งจะมีโครงการฝึกการตรวจโรคให้สามารถอยู่กับธรรมชาติได้ หลังจากนั้นจึงปล่อย คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปีที่จะต้องมี ไม่เช่นนั้นแล้วจะทำให้เราต้องเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ไปตลอดชีวิต

อย่างไรก็ตาม แผนต่างๆ เหล่านี้ทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชได้มีการเตรียมความพร้อมไว้ ทั้งเรื่องการดูแลสุขภาพ สวัสดิภาพของสัตว์ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเข้ามาช่วยกรมอุทยานฯ โดยที่ไม่ต้องเลี้ยงสัตว์ป่าเองในพื้นที่ ก็นำสัตว์ป่านั้นมาส่งให้แก่เจ้าหน้าที่ ซึ่งทางกรมได้มีโครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ ซึ่งสามารถเข้ามาสนับสนุนเป็นพ่อแม่อุปถัมภ์ให้แก่สัตว์เหล่านี้ และมาเยี่ยมเยียนได้ตลอดเวลา สนใจสอบถามได้ที่ 1362 สายด่วนตลอด 24 ชั่วโมง

ชาวไร่ยาสูบหนองคายจี้รัฐบาลยกเลิกกฎกระทรวงใหม่ รีดภาษีเกษตรกรสูง 10 เท่า



หนองคาย - ชาวไร่ยาสูบหนองคายรวมตัวยื่นหนังสือต่อจังหวัดถึงรัฐบาล ร้องให้ยกเลิกกฎกระทรวงฉบับใหม่ที่ทำให้ชาวไร่ยาสูบต้องเสียภาษียาสูบจากเดิมกิโลกรัมละ 1 บาท ขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 10 บาท ขูดรีดเกษตรกร ขณะที่รองผู้ว่าฯ รับหนังสือก่อนจะทำหนังสือแจ้งรัฐบาล

เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (30 ส.ค.) ได้มีตัวแทนเกษตรกรชาวไร่ยาสูบในพื้นที่อำเภอเมืองหนองคาย และอำเภอท่าบ่อ ประมาณ 150 คน เดินทางด้วยรถกระบะถือป้ายข้อความต่อว่าโจมตีรัฐบาลขูดรีดภาษีสูง พร้อมขนตัวอย่างใบยาสูบ อากรแสตมป์ยาสูบ มายังบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดหนองคาย โดยเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกกฎกระทรวงฉบับใหม่ที่เพิ่มอัตราค่าแสตมป์ยาสูบ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา

โดยนายสุรชัย ทิพยมาศ อายุ 70 ปี อยู่บ้านเลขที่ 106 หมู่ 3 ต.กวนวัน อ.เมืองหนองคาย เป็นผู้ยื่นหนังสือข้อเรียกร้องของเกษตรกร ต่อนายวิวัฒ เมธีวรรณกิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย

นางสุพิชญา สุวรรณโสภา อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 281 หมู่ 5 ต.เวียงคุก อ.เมืองหนองคาย หนึ่งในเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลได้บังคับใช้กฎกระทรวงการคลังฉบับใหม่ที่กำหนดอัตราค่าแสตมป์ยาสูบ จากเดิมที่เกษตรกรต้องจ่ายค่าแสตมป์ยาสูบกิโลกรัมละ 1 บาท แต่กฎกระทรวงฉบับใหม่ เกษตรกรต้องจ่ายค่าแสตมป์เพิ่มขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 10 บาท หรือ 10 เท่าของอัตราเดิม

ทำให้เกษตรกรต้องแบกรับค่าภาษีอากรแสตมป์ที่ไม่เป็นธรรม สวนทางกับต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะปุ๋ยสำหรับยาสูบมีราคาแพง ทำให้เกษตรกรประสบปัญหาขาดทุนเป็นอย่างมาก

การชุมนุมในครั้งนี้จึงเป็นการรวมตัวกันของเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบในพื้นที่อำเภอเมืองหนองคายและอำเภอท่าบ่อ ซึ่งมีปริมาณการปลูกยาสูบมากถึงร้อยละ 70 ของพื้นที่จังหวัด ปลูกยาสูบเป็นอาชีพมานานหลายสิบปี ต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกกฎกระทรวงฉบับใหม่ที่ขูดรีดภาษีจากเกษตรกร หันกลับไปใช้กฎกระทรวงฉบับเดิม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตร และประชาชน

หากรัฐบาลจะปรับขึ้นควรค่อยๆ ปรับ ไม่ใช่ปรับครั้งเดียวในอัตราสูงทำให้เกษตรกรอยู่ไม่ได้ หลังจากชุมนุมและยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมในครั้งนี้แล้วไม่ได้รับคำตอบจากรัฐบาลเป็นที่น่าพอใจ กลุ่มเกษตรกรจะนัดชุมนุมกันอีกครั้ง และจะเป็นการชุมนุมที่ใหญ่กว่าครั้งนี้หลายเท่า

ด้านนายวิวัฒ เมธีวรรณกิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย กล่าวกับกลุ่มเกษตรกรหลังรับหนังสือว่า จะเร่งทำหนังสือส่งต่อไปยังกระทรวงที่เกี่ยวข้องและรัฐบาลเพื่อพิจารณาโดยเร็ว และขอให้ประชาชนใจเย็นๆ ก่อน กลุ่มเกษตรกรพอใจในขั้นตอนแรกก่อนจะแยกย้ายกันเดินทางกลับ

ศาลหนองคายส่งเสริมการประสานงานด้านการยุติธรรม



หนองคาย - ศาลจังหวัดหนองคายร่วมกับศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดหนองคาย จัดทำโครงการส่งเสริมการประสานงานความร่วมมือด้านการยุติธรรมของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมจังหวัดหนองคาย

วันนี้ (30 ส.ค.) ที่ห้องประชุมมรกต โรงแรมแกรนด์พาราไดซ์ อ.เมือง จ.หนองคาย นายเลิศบุญ เหลืองฐิติสกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดหนองคาย เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนาโครงการส่งเสริมการประสานงานความร่วมมือด้านการยุติธรรมของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมจังหวัดหนองคาย

นายอำไภย เจริญศรี ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลจังหวัดหนองคาย กล่าวว่า ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมได้กำหนดให้การประสานงานความร่วมมือด้านการยุติธรรมในประเทศเป็นกลยุทธ์หนึ่งภายใต้ยุทธศาสตร์ศาลยุติธรรม พัฒนาด้านความร่วมมือด้านวิชาการศาล และการยุติธรรมทั้งในและระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ การดำเนินการต่างๆ ของศาลยุติธรรมจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือและมีการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม เพื่อขับเคลื่อนให้ดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ศาลจังหวัดหนองคาย ร่วมกับศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดหนองคายจัดทำโครงการส่งเสริมการประสานงานความร่วมมือด้านการยุติธรรมของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมจังหวัดหนองคายขึ้น โดยจัดให้มีการประชุมสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และร่วมกันแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องในการดำเนินการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

และเพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นระบบ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้รับบริการให้สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างแท้จริง โดยเน้นให้ทุกหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการนำเสนอปัญหาข้อขัดข้อง ข้อเสนอแนะ ตลอดจนแนวทางแก้ไขเพื่อพัฒนาความร่วมมือในการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนในจังหวัดหนองคาย

ปัญหาฝนแล้งกาฬสินธุ์ยังไม่คลี่คลาย



กาฬสินธุ์ - ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดกาฬสินธุ์ระบุปัญหาฝนแล้งยังไม่คลี่คลาย แม้จะมีฝนตกลงมาในพื้นที่แต่ไม่ทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเขื่อนลำปาวปริมาณน้ำเหลือใช้แค่ 23%

จากการติดตามปัญหาฝนทิ้งช่วงที่จังหวัดกาฬสินธุ์ แม้ระยะนี้เริ่มมีฝนตกลงมาแต่ก็ไม่ทำให้ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติเพิ่มขึ้น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดกาฬสินธุ์เตรียมจะประกาศให้พื้นที่อย่างน้อย 15 อำเภอเป็นเขตภัยพิบัติแล้ง เนื่องจากสภาพพื้นที่นากว่า 6 หมื่นไร่ประสบปัญหานาข้าวตายแล้ง และทุกพื้นที่ชาวนายังต้องทำนาใหม่ถึง 3 รอบ

ด้านนายพรเทพ เหม็งประมูล ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว เปิดเผยว่า ฝนที่ตกลงมายังไม่สามารถเพิ่มระดับน้ำให้เขื่อนลำปาวเพิ่มขึ้น ปริมาณเหลืออยู่เพียง 471 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 23 จากปริมาณกักเก็บที่ 1,980 ล้านลบ.ม. ส่วนพื้นที่ชลประทานยืนยันว่าเขื่อนลำปาวยังสามารถส่งน้ำหล่อเลี้ยงพื้นที่การเกษตรได้เพียงพอ

แต่เกษตรกรต้นน้ำก็ไม่ควรกักน้ำไว้ใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพราะน้ำจะไม่เพียงพอไปถึงพื้นที่ท้ายน้ำ ถึงแม้ว่าจะมีฝนตกลงมาเกษตรกรก็ไม่ควรประมาท เนื่องจากความแห้งแล้งที่ปกคลุมยาวนานยังคงมีอิทธิพลในทุกพื้นที่

ชาวนาเมืองลำปางตั้งแท่นทำพิธีขอฝนแล้ว นิมนต์พระสงฆ์สวดจนกว่าฝนลงเม็ด



ลำปาง - ชาวบ้านแม่กืย เมืองลำปาง ตั้งแท่นทำพิธีขอฝนกลางฤดู หลังนาข้าวเริ่มเหี่ยวแห้งเพราะขาดน้ำ นิมนต์พระสงฆ์สวดคาถาขอฝน 18 บทจนกว่าฝนจะลงเม็ด ตามความเชื่อคนโบราณ

วันนี้ (30 ส.ค.) ที่บริเวณกลางทุ่งนา บ้านแม่กืยชัย ม.9 ต.ปงแสนทอง อ.เมืองลำปาง ชาวบ้านประมาณ 50 คน ได้ทยอยมาร่วมพิธีขอฝน พร้อมนิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 3 รูปมาทำพิธีสวดคาถา 18 บทขอฝน หลังจากที่ไร่นาในพื้นที่ซึ่งได้มีการปลูกข้าวไปกว่าพันไร่ และขณะนี้ต้นข้าวกำลังเจริญเติบโตได้ในระดับหนึ่ง แต่กลับขาดน้ำทำให้ต้นข้าวเริ่มมีสีเหลือง-น้ำตาลเนื่องจากขาดน้ำเพราะฝนทิ้งช่วง หากไม่มีฝนตกลงมาภายในหนึ่งเดือน ข้าวทั้งหมดจะต้องเหี่ยวตายทันที สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวนาเป็นอย่างมาก

โดยสิ่งที่สามารถจะช่วยได้ในขณะนี้ตามความเชื่อของชาวบ้านที่ได้ถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่โบราณเมื่อฝนทิ้งช่วงก็คือ การทำพิธีขอฝน โดยชาวบ้านได้นำไม้มาสานเป็นซุ้มประดับด้วยทางมะพร้าว ดอกไม้ ของบูชาพระแม่ธรณี และบูชาเทวดา รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงมีการนำไม้มาสานเป็นรูปสัตว์น้ำ เช่น กบ ปลา วางไว้ในซุ้มไม้ไผ่เพื่อให้เห็นว่าที่นาแห่งนี้อุดมไปด้วยน้ำและสัตว์น้ำที่เป็นอาหาร

นอกการนั้นยังได้ทำกระทงบรรจุด้วยอาหารคาวและหวาน และของเซ่นไหว้ บูชาทั้ง 4 ทิศ และบูชาเทวดาอีก 1 ทิศ รวม 5 ทิศ ก่อนที่จะนิมนต์พระสงฆ์ สวดคาถาขอฝนจำนวน 18 บท ซึ่งก็จะมีการสวดไปเรื่อยๆ จนครบ คาดว่าจะใช้เวลาตลอดวันนี้ หรือจนกว่าฝนจะตกลงมา

โดยในระหว่างที่สวดจบแต่ละบทก็จะมีการตีฆ้อง หรือจุดประทัดเป็นช่วงๆ จนกระทั่งพระสงฆ์สวดบทสุดท้ายเสร็จก็จะมีการจุดประทัดจำนวน 6 ลูก ขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี

ผู้ว่าฯ ชุมพรเตือนสถาบันเกษตรกรอย่าสวมสิทธิซื้อยางจากพ่อค้ามาขายให้โครงการประกันราคายาง



ชุมพร - ผู้ว่าฯ ชุมพร แจ้งเตือนสถาบันเกษตรกร ห้ามสวมสิทธิซื้อยางพาราจากพ่อค้าเพื่อจำหน่ายให้แก่โครงการรักษาเสถียรภาพยาง ตรวจสอบพบจะถูกตัดสิทธิ

นายพินิจ เจริญพานิช ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทำโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพารา โดยดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางนั้น ซึ่งได้รับซื้อยางจากสถาบันเกษตรกรที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ที่มีองค์การสวนยางทำหน้าที่ในการรับซื้อยางพาราตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่กำหนด มีการตั้งจุดรับซื้อยางจากสถาบันเกษตรกรที่สมัครเข้าร่วมโครงการ 2 จุด คือ บริษัท ชุมพรอุตสาหกรรมยางพารา จำกัด และบริษัท ไทยแสง จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลดอนยาง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร

นายพินิจ เปิดเผยอีกว่า จากปัญหาสถานการณ์ยางพาราในท้องตลาดทั่วไปและราคาที่รับซื้อตามโครงการฯ มีความแตกต่างกันมาก ทำให้มีความพยายามนำยางที่พ่อค้าซื้อจากเกษตรกรทั่วไปมาขายในโครงการฯ เพื่อหวังกำไรส่วนต่าง ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้สถาบันเกษตรกรนำยางของพ่อค้ามาขายในโครงการฯ จังหวัดชุมพรจึงกำหนดมาตรการป้องกันดังนี้ หากมีการตรวจพบยางที่สถาบันเกษตรกรนำมาขาย เป็นยางของพ่อค้าที่รับซื้อมาในการขายแต่ละครั้ง ทางจุดรับซื้อจะไม่ซื้อยางของสถาบันเกษตรกรที่มีปัญหาในวันนั้น ซึ่งสถาบันเกษตรกรจะต้องนำยางทั้งหมดกลับไปตรวจสอบ และคัดยางของพ่อค้าที่ซื้อมาออกให้หมด จึงนำกลับมาขายใหม่ หากมีการตรวจพบครั้งที่สอง จะนำเสนอคณะกรรมการบริหารโครงการฯ ตัดสิทธิการขายยางตามโครงการฯ และจะแจ้งความดำเนินคดีต่อคณะกรรมการบริหารของสถาบันเกษตรกรที่กระทำความผิด

จึงขอแจ้งเตือนให้สถาบันเกษตรกรที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง อย่างเคร่งครัดด้วย

ชาวชุมพรตั้งกลุ่มเฝ้าดูแล "หอยมือเสือ" หลังตังเกลักลอบจับขายได้ราคาดี



ชุมพร - หอยมือเสือราคาแพง ทั้งเนื้อ ทั้งเปลือก ถูกลักลอบจับไปขาย ชาวบ้านตำบลชุมโค อ.ปะทิว จ.ชุมพร ตั้งกลุ่มอนุรักษ์เฝ้าดูแล

นายสุพนัด ดวงกมล หรือ “ผู้ใหญ่แดง” ประธานกลุ่มอนุรักษ์หอยมือเสือ หมู่ที่ 5 ต.ชุมโค อ.ปะทิว จ.ชุมพร เปิดเผยว่า ปัญหาการลักลอบจับหอยมือเสือ ปลิงทะเล และปะการัง เป็นปัญหาใหญ่ในเชิงอนุรักษ์ หากปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานราชการเพียงอย่างเดียวคงดูแลไม่ทั่วถึง ดังนั้น ในพื้นที่ ต.ชุมโค จึงได้ตั้งกลุ่มอนุรักษ์หอยมือเสือขึ้น และทำกันอย่างจริงจัง โดยการกำหนดเขตห้ามทำประมง พื้นที่ประมาณ 20 ตารางกิโลเมตรใกล้กับเกาะอ้ายลก ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ห่างจากฝั่งประมาณ 7 กม. และได้วางทุ่นกันเป็นแนวไว้ โดยให้ชาวประมงพื้นบ้านช่วยกันเป็นยามเฝ้าดูแล ทำให้หอยมือเสือ ปลิงทะเล และสัตว์น้ำตามแนวปะการังขยายพันธุ์มากขึ้น

นายสุพนัด เปิดเผยต่อว่า สาเหตุที่หอยมือเสือถูกจับเนื่องจากเนื้อของหอยมือเสือขายกันกิโลกรัมละ 1,000 บาท เปลือกหอย ขนาด 40-70 ซ.ม. ฝาละ 500 บาท ไม่รวมถึงเอ็นหอยที่ราคาแพงกว่าเนื้อหอยอีกเท่าตัว ทำให้มีชาวประมงบางส่วนที่เห็นแก่ได้ลักลอบจับไปขาย ทั้งที่หอยมือเสือได้รับการประกาศให้เป็นสัตว์สงวน ตาม พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ห้ามล่า ห้ามมี และห้ามซื้อขาย ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท เปลือกของหอยมือเสือถือ เป็นซากสัตว์ป่า เช่นเดียวกับปะการัง ที่ห้ามไม่ให้มีการซื้อขายโดยเด็ดขาด

อนาถแท้! เหยื่อถูกตัดน้ำแพร่ถูกบีบซ้ำ ขู่ปรับ 60 เท่าคนช่วยต่อน้ำให้ใช้



แพร่ - ชาวบ้านสันกลาง เมืองแพร่ ที่ถูกตัดมาตรวัดน้ำแลกให้จ่ายเงินทำบุญสร้างวัด ถูกบีบซ้ำอีก กรรมการหมู่บ้านขู่ปรับคนช่วยต่อน้ำให้ใช้ 60 เท่า ฐานขโมยน้ำ จนบางรายต้องเอา จยย.เข้าไฟแนนซ์หาเงินมาจ่ายค่าทำบุญ แต่ไม่วายยังต้องเจอค่าปรับอีก 1 เท่าตัว

รายงานข่าวจากจังหวัดแพร่แจ้งว่า หลังจากชาวบ้านสันกลาง หมู่ 9 ต.ป่าแดง อ.เมืองแพร่ ที่ถูกผู้นำชุมชน กรรมการหมู่บ้าน สั่งตัดมาตรวัดน้ำเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าทำบุญสร้างวัดสันกลางตามมติในชุมชนนั้น จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ทำให้ชาวบ้านหลายหลังคาเรือนที่ถูกตัดน้ำไม่มีน้ำประปาใช้เกือบ 2 สัปดาห์ติดต่อกันแล้ว ทั้งที่มีการทำเรื่องร้องเรียนต่อศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมืองฯ และศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดแพร่ อีกทั้งนายเกษม วัฒนธรรม ผู้ว่าฯ แพร่ ก็สั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงภายใน 7 วันแล้วก็ตาม

ขณะเดียวกัน ปัญหาดังกล่าวทำให้คนในชุมชนแตกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย จนมีการตั้งกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก ผู้นำชุมชนกลับประกาศกฎระเบียบเพิ่มเติม ห้ามชาวบ้านตั้งวงคุยกันเกินกว่า 5 คน เหมือนกับที่คณะปฏิวัตินำมาประกาศใช้ทุกครั้งที่มีการปฏิวัติรัฐประหาร เพื่อตัดปัญหาไม่ให้มีการวิจารณ์ผู้นำชุมชน

นายสงัด ตากลม อายุ 53 ปี บ้านเลขที่ 171/1 หมู่ 9 ต.ป่าแดง อ.เมืองแพร่ บอกกับผู้สื่อข่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า คนในชุมชนมีปัญหาถูกผู้นำชุมชนบีบบังคับมาตลอด ล่าสุดที่เจอกับตัว คือ หาเงินมาให้ค่าทำบุญที่วัดสันกลาง ตามที่กรรมการฯ กำหนด 2,000 บาทต่อครัวเรือนไม่ได้ จนถูกตัดมาตรวัดน้ำ ทั้งที่ในบ้านมีหลานเกิดใหม่ต้องใช้น้ำสะอาดอยู่ตลอดเวลา

“ขอร้องยังไงกรรมการหมู่บ้านก็ไม่ยอม ในที่สุดก็ถูกตัดน้ำ ระหว่างนั้นคนข้างบ้านสงสารต่อสายยางปล่อยน้ำให้ใช้ ก็ถูกขู่ว่าถ้าต่อน้ำให้จะปรับคนต่อน้ำ ถือว่า ขโมยน้ำตามระเบียบ คือ เอายอดจ่ายค่าน้ำ 3 เดือนรวมกัน คูณด้วย 20 คือ 60 เท่าเป็นค่าปรับ ทำให้คนข้างบ้านไม่กล้าช่วยอีก”

นายสงัดบอกอีกว่า ด้วยความจำเป็นทำให้ตนต้องเอาจักรยานยนต์ไปเข้าไฟแนนซ์ เอาเงินมาจ่ายค่าทำบุญ แต่ปรากฏว่ากรรมการเรียกเก็บถึง 4,000 บาท บอกเป็นค่าทำบุญวัด 2,000 บาท ค่าปรับที่ทำผิดกฎหมู่บ้านอีก 2,000 บาท เมื่อนำเงินไปจ่ายกรรมการหมู่บ้านก็มาติดตั้งมาตรวัดน้ำ และเปิดน้ำให้ใช้

“ที่ผ่านมาผมไม่เคยติดค้างค่าน้ำแม้แต่บาทเดียว” นายสงัด กล่าวย้ำ

นายสงัดกล่าวอีกว่า คนชุมชนถูกผู้นำบีบบังคับมาตลอด อย่างการออกโฉนดชุมชน ด้วยความที่ชาวบ้านอยากได้ความมั่นคงในที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย ก็ต้องยอมจ่ายเมื่อมีการเรียกเก็บเงินทุกครั้ง และในหมู่บ้านมีการประชุมบ่อยครั้ง ถ้าไม่เข้าประชุมก็เสียค่าปรับ เวลาประชุมชาวบ้านต้องทำตามความต้องการของกรรมการหมู่บ้าน ถ้าใครไม่ให้ความร่วมมือก็จะถูกเพ่งเล็ง แม้การโหวตเสียงประชาคมเรื่องใดก็ตามชาวบ้านจะต้องยกมือตามความต้องการของกรรมการหมู่บ้าน

นางจารุณี ศรีสันต์ อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 196/14 หมู่ 9 ต.ป่าแดง อ.เมือง จ.แพร่ เป็นผู้หนึ่งที่ไม่ได้จ่ายเงินค่าทำบุญวัด 2,000 บาท และถูกตัดน้ำ ยืนยันว่าไม่เคยติดค่าน้ำเลยแม้แต่งวดเดียว และการทำบุญได้ทยอยจ่ายให้ไปก่อนแล้ว 500 บาท แต่กรรมการหมู่บ้านไม่ยอม เอาเงิน 500 มาคืนแล้วตัดมิเตอร์น้ำไป

“ร่วม 2 อาทิตย์แล้ว ที่ในบ้านไม่มีน้ำใช้” นางจารุณีบอก

หมดกังวล! สาวรอบเอวหนา เภสัชฯ มข.ผลิตครีมนวดสลายเซลลูไลต์สำเร็จ ใช้ 4 สัปดาห์เห็นผล



ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ข่าวดีผู้หญิงมีปัญหาเส้นรอบเอวหนาและสัดส่วนผิดรูป คณะเภสัชศาสตร์ มข.วิจัยและผลิตครีมนวดสลายเซลลูไลต์สำเร็จ ส่วนผสมล้วนเป็นสารสกัดจากสมุนไพรใช้แล้วไม่มีผลข้างเคียง เผยนวดติดต่อ 4 สัปดาห์เห็นผล หลังหยุดใช้เซลลูไลต์ไม่หวนกลับมาอีก

ที่ห้องประชุมสิริคุณากร 4 ชั้น 2 อาคารสิริคุณากร สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัย ขอนแก่น (มข.) มหาวิทยาลัยขอนแก่นจัดแถลงข่าวนักวิจัย มข.พบสื่อมวลชน โดยแนะนำ “ผลิตภัณฑ์สำหรับนวดสลายเซลลูไลต์” ซึ่งเป็นผลงานวิจัยที่มี รศ.ดร.วัชรี คุณกิตติ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มข.เป็นหัวหน้าทีมผู้ศึกษาวิจัย

รศ.ดร.วัชรีกล่าวว่า กว่าร้อยละ 80 ของผู้หญิงทุกเชื้อชาติประสบปัญหาเซลลูไลต์ คือผิวหนังที่มีลักษณะขรุขระ เป็นก้อนนูนคล้ายผิวเปลือกส้ม ซึ่งจัดเป็นความผิดปกติของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง บริเวณที่มีการสะสมของเซลลูไลต์มากคือบริเวณต้นขา ต้นแขน หน้าท้องรอบเอวและสะโพก เซลลูไลต์พบมากในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรงกับฮอร์โมนเอสโตรเจน และมักเกิดกับหญิงชาวยุโรปมากกว่าหญิงเอเชีย แม้เซลลูไลต์ไม่ใช่การเจ็บป่วย ไม่ก่อให้เกิดโรคร้าย

แต่เป็นภาวะที่มีผลต่อจิตใจทำให้เกิดความกังวล รู้สึกไม่มั่นใจและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพด้านอื่นๆ ได้ นอกจากนี้ ปัญหาการเกิดเซลลูไลต์ยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญของผู้หญิงส่วนใหญ่ที่รับอิทธิพลของแฟชั่น การแต่งกายที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบเปิดเผยผิวหนังมากขึ้น เกิดการเปรียบเทียบรูปร่าง ปัญหาการมีเซลลูไลต์จะทำให้ผู้หญิงขาดความมั่นใจในการแต่งกาย บุคลิกภาพ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาหรือกำจัดเซลลูไลต์วิธีใดที่ได้รับการยืนยันทางการแพทย์ว่าสามารถลดหรือกำจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ วิธีการรักษาเซลลูไลต์ที่มีใช้ปัจจุบันทั้งการรักษาโดยการควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลให้เกิดเซลลูไลต์ ได้แก่ พฤติกรรมการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การลดความเครียด และการรักษาโดยใช้การนวดด้วยมือและด้วยเครื่องมือ รวมถึงการใช้ยาหรือสารที่มีฤทธิ์เภสัชวิทยาที่อยู่ในรูปผลิตภัณฑ์สำหรับทา ไม่ว่าจะเป็นครีมหรือเจล ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุดเนื่องจากไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น สะดวกสามารถใช้เองได้

รศ.ดร.วัชรีกล่าวต่อว่า จากกรณีปัญหาเซลลูไลต์ดังกล่าว ตนและทีมนักวิจัยจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับนวดสลายเซลลูไลต์ (KKU Anticellulite Massage Cream) โดยการศึกษาวิจัยได้นำเอาสารสกัดสมุนไพร เช่น กาแฟ ขิง น้ำมันตะไคร้ ฯลฯ มาทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อบรรเทาอาการเซลลูไลต์ เมื่อใช้ร่วมกับกรรมวิธี เช่น การนวด อัลตราซาวนด์ความถี่วิทยุในช่วงคลื่นวิทยุ เป็นต้น มานำส่งสารสมุนไพรที่สามารถเพิ่มการเผาผลาญไขมันในชั้นผิวหนัง ทำให้ผนังของเซลล์ไขมันแตก เพิ่มการไหลเวียนของระบบเลือดที่ผิวหนัง อันส่งผลให้ชั้นไขมันไม่เป็นคลื่น มีความเรียบเนียนและความหนาของชั้นไขมันลดลง

นอกจากนี้ สารสกัดสมุนไพรยังช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกผ่อนคลายและยังสามารถเพิ่มมูลค่าสมุนไพร ตลอดจนการนำมาใช้ในเชิงพานิชย์ได้อีกด้วย

รศ.ดร.วัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มีการทำวิจัยในอาสาสมัครจำนวน 40 คน โดยการทดสอบเปรียบเทียบกับวิธีลดเซลลูไลต์มาตรฐานด้วยการใช้เครื่องกำเนิดความถี่วิทยุ กลุ่มละ 20 คน จากผลการทดสอบพบว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ลดเซลลูไลต์ตามการประดิษฐ์นี้สามารถลดเส้นรอบเอว และปรับรูปร่างของอาสาสมัครได้มากกว่าวิธีมาตรฐาน

นอกจากนี้ เมื่อหยุดใช้ 2 อาทิตย์ เส้นรอบเอวยังมีขนาดเล็กกว่าก่อนทำการทดสอบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แม้ว่าการใช้วิธีลดเซลลูไลต์มาตรฐานโดยใช้เครื่องกำเนิดความถี่วิทยุจะสามารถลดขนาดเส้นรอบเอวได้มากกว่าก่อนทำการทดสอบอย่างมีนัยสำคัญ แต่หลังจากงดการทดสอบ 2 สัปดาห์ ขนาดของเส้นรอบเอวจะไม่แตกต่างกันทางสถิติจากก่อนการทดสอบ

“ผลิตภัณฑ์สำหรับนวดสลายเซลลูไลต์ที่เราศึกษาวิจัยดังกล่าว ขณะนี้ได้ผลิตและจำหน่ายในวงจำกัดอยู่ เช่น วางขายที่สำนักงานอุทยานวิทยาศาสตร์ ตึกเพียรวิจิตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มข. และที่ศูนย์บริการนวดสุขภาพแบบองค์รวมของคณะเภสัชศาสตร์ ส่วนการนำไปพัฒนาเพิ่มมูลค่าเชิงพาณิชย์นั้นอยู่ในขั้นตอนประสานงานกับบริษัทเอกชนที่สนใจจะซื้อสิทธิ์พัฒนา” รศ.ดร.วัชรีกล่าว

สพป.ยะลาศึกษาดูงานที่มาเลเซีย ทำ MOU กับโรงเรียนเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการสอน



ยะลา - สพป.ยะลา ทั้ง 3 เขตเดินทางศึกษาดูงานการนิเทศการศึกษาเพื่อพัฒนาระบบนิเทศแนวใหม่ และจัดทำ MOU โรงเรียนเครือข่ายกับประเทศมาเลเซีย

วันนี้ (30 ส.ค.) ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษารัฐฮูลูเปรัค ประเทศมาเลเซีย นายสุริยัณ จันทร์ทบ รอง ผอ.สพป.ยะลา เขต 3 และนายดนุพล อ้นพวงรัตน์ รอง ผอ.สพป.ยะลา เขต 1 นำคณะศึกษานิเทศก์ของจังหวัดยะลา และผู้อำนวยการโรงเรียนในสังกัด เดินทางศึกษาดูงานการนิเทศการศึกษาเพื่อพัฒนาระบบนิเทศแนวใหม่ จำนวน 47 คน และจัดทำ MOU โรงเรียนเครือข่ายกับประเทศมาเลเซีย โดยได้รับการต้อนรับจากนายอับดุลวาฮิบ บินนูรุดดีน ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฮูลูเปรัค และคณะเป็นอย่างดี

นายสุริยัณ จันทร์ทบ รอง ผอ.สพป.ยะลา เขต 3 กล่าวว่า การศึกษาดูงานเป็นกระบวนการหนึ่งของการพัฒนาบุคลากรศึกษานิเทศก์ของจังหวัดยะลา ในการพัฒนาองค์ความรู้ และสร้างเสริมประสบการณ์ใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อการนิเทศการศึกษา ตลอดจนการพัฒนาระบบการนิเทศแนวใหม่เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และพัฒนารูปแบบการนิเทศที่ส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพการศึกษา

โดยใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างบุคลากรศึกษานิเทศก์ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาของจังหวัดยะลา กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฮูลูเปรัค พร้อมทั้งได้มีการจัดทำ MOU โรงเรียนเครือข่ายระหว่างโรงเรียน “เชอรี อาดีก้า รายา” กับโรงเรียนบ้านเบตง “สุภาพอนุสรณ์” และโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 94 (บ้านบ่อน้ำร้อน)

นอกจากนี้ รองผอ.สพป.ยะลา เขต 3 ยังได้กล่าวอีกว่า จากที่ได้ศึกษาดูงานในครั้งนี้ ทำให้ได้รู้กระบวนการบริหารจัดการศึกษาที่เน้นการ อ่าน เขียน คิดคำนวณเป็น และมีการติดตามเด็กพิเศษเข้าสู่ระบบการศึกษาในโรงเรียน โดยเปิดห้องเรียนสอนเด็กพิเศษ โดยบรรจุภาษาใบ้ในสถานศึกษาอีกด้วย

ไข้เลือดออกระบาดหนักย่านนิคมอุตสาหกรรม 304



ปราจีนบุรี - ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี สั่งคุมเข้มไข้เลือดออกระบาดหนักย่านนิคมอุตสาหกรรม 304

วันนี้ (30 ส.ค.) ที่โรงพยาบาลศรีมหาโพธิ์ อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี พบผู้ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกจำนวนหลายราย และบางรายที่มีอาการหนักได้ส่งต่อไปที่โรงพยาบาลศูนย์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี

สำหรับพื้นที่ที่ระบาดมากที่สุด ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วย 10 กว่ารายแล้ว ซึ่งอยู่ในพื้นที่ย่านนิคมอุตสาหกรรม 304 บ้านคลองรั้ง ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถควบคุมโรคได้

นางพัชรินทร์ ยงมงคล อายุ 38 ปี บ้านเลขที่ 559/5 ม.10 บ้านคลองรั้ง ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาลูกชายอายุ 12 ปีได้ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกแล้ว อีกไม่กี่วันลูกสาวอายุ 11 ปี มาป่วยเป็นไข้เลือดออกอีก ตอนนี้ตนเองก็กลัวจะเป็นโรคไข้โรคออกเหมือนกัน

นางกัญญาณัฐ ทันใจ อายุ 37 ปี บ้านเลขที่ 123/37 หมู่บ้านสวนพฤกษา บ้านคลองรั้ง ม.4 ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า ลูกสาวตนเองอายุ 15 ปี เรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4 ได้เป็นไข้เลือดออกมาแล้ว 6 วัน อาการมีไข้ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ในช่วงที่ตนเองเฝ้าลูกสาวอยู่นั้นมีคนไข้ที่เป็นไข้เลือดออกนับ 10 รายแล้ว บางรายที่มีอาการหนักทางโรงพยาบาลได้นำส่งต่อไปยังโรงพยาบาลศูนย์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร บางคนกลับบ้านได้แล้ว นางกัญญาณัฐกล่าว

น.ส.จิตรา พรหมชุติมา ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ได้สั่งการให้ทางสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี เร่งควบคุมโรคอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้โรคไข้เลือดออกแพร่ระบาด เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ย่านนิคมอุตสาหกรรม 304 มีประชาชนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สถาบันดาราศาสตร์ฯชวนชมปรากฎการณ์"บลูมูน"31ส.ค.




นายศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.)เปิดเผยว่า

วันที่ 31 สิงหาคม จะเกิดปรากฏการณ์บลูมูล (Blue Moon) หรือดวงจันทร์จะเต็มดวงรอบที่สองในเดือนเดียวกัน ซึ่งโดยปกติปรากฏการณ์ดวงจันทร์เต็มดวง (Full Moon) จะเกิดขึ้นเพียงเดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น หากเดือนไหนที่มีดวงจันทร์เต็มดวง 2 ครั้ง จะเรียกดวงจันทร์เต็มดวงในครั้งที่สองว่า “บลูมูน” ในภาษาอังกฤษมีสำนวนว่า Once in a blue moon หมายถึงนาน ๆ จะเห็นสักครั้ง หรือเปรียบได้กับคำว่า Rarely ในภาษาอังกฤษ

นายศรัณย์กล่าวว่า ปรากฏการณ์บลูมูนเกิดขึ้นเนื่องจากใน 1 ปี มี 12 เดือน และบางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน

แต่ว่ารอบของดวงจันทร์มีเพียง 29.53059 วันต่อเดือน และใน 1 ศตวรรษจะมีทั้งหมด 1200 เดือน โดยจะเกิดดวงจันทร์เต็มดวงได้ถึง 1236.83 ครั้ง แต่จะเป็นบลูมูนเพียง 36.83 ครั้ง เฉลี่ยแล้วประมาณ 2.72 ปีต่อครั้ง หรือประมาณ 3% ของฟูลมูนจะเป็นบลูมูน แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือ จะมีการเกิดบลูมูนปีละ 2 ครั้งในทุกๆ 19 ปี ซึ่งปีล่าสุดที่เกิดบลูมูน 2 ครั้งซ้อนในหนึ่งปี (Double Blue Moons) ก็คือปี 2542 และถัดไปคือปี 2561 โดยจะเห็นว่ามีปรากฏการณ์ดวงจันทร์เต็มดวง 2 ครั้ง ในวันที่ 2 และ 31 สิงหาคม 2555

นายศรัณย์กล่าวต่อว่า สำหรับวันที่ 31 สิงหาคม จะเห็นดวงจันทร์เต็มดวง รอบที่สองในเดือนเดียวกันทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เวลาประมาณ 18.18 น.

โดยดวงจันทร์เต็มดวงอย่างสมบูรณ์เวลาประมาณ 20.57 น. และตกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ช่วงเช้าวันที่ 1 กันยายน เวลาประมาณ 05.37 น. ตามเวลาประเทศไทย ทั้งนี้ ดวงจันทร์จะสว่างเต็มดวงเหมือนเช่นเคย โดยไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินแต่อย่างใด ทั้งนี้ สามารถสังเกตเห็นปรากฏการณ์ Blue Moon ครั้งต่อไปได้ในวันที่ 02 กรกฎาคม 2558



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์แนวหน้า

โดย :หมูอ้วน

ด.ญ.ป่วยเบาหวาน วัยแค่1ขวบ8เดือน อาการเข้าขั้นวิกฤติ ญาติวอนช่วยเหลือ




ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากครอบครัวของ“น้องแสนหวาน” ด.ญ.จิรประภา ขันอาสา อายุ 1 ขวบ 8 เดือน

ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และอาจมีภาวะแทรกซ้อน ซึ่งอาการในขณะนี้้เป็นตายเท่ากัน และแพทย์ผู้ให้การรักษาบอกให้ครอบครัวทำใจเผื่อเอาไว้ และการรักษาจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก



น.ส.อุมารินทร์ สายวงษ์ ผู้เป็นป้าของ น้องแสนหวาน เปิดเผยว่า

แต่เดิมหลานสาวเป็นเด็กร่าเริง แต่เมื่อช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีอาการไม่สบาย ทางครอบครัวจึงนำตัวไปหาหมอที่คลีนิคใกล้บ้านแห่งหนึ่ง แพทย์วินิจฉัยอาการแล้วก็ให้ยาลดไข้มารับประทาน ซึ่งเมื่อกลับมาบ้านได้สักระยะอาการไข้ก็หายไป แต่กลับมีอาการซึมเศร้าเข้ามาแทน และไม่ค่อยเล่นกับคนอื่นๆ เหมือนเคย ซ้ำยังเอาแต่ดื่มน้ำและนมมากผิดปกติ รวมทั้งปัสสาวะบ่อย จึงได้นำตัวไปที่โรงพยาบาลปากเกร็ด เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอย่างละเอียด และคราวนี้พบว่า น้องแสนหวานมีอาการป่วยเป็นโรคเบาหวาน มีน้ำตาลในเลือดสูง โดยสาเหตุเกิดจากการทำงานของตับผิดปกติ



จากนั้น แพทย์ได้ส่งตัวน้องแสนหวานไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลรามาธิบดี

เนื่องจากมีเครื่องไม้เครื่องมือในการรักษาที่พร้อมกว่า โดยแพทย์ได้ส่งเข้ารักษาในห้องไอซียู และได้บอกกับครอบครัวของน้องแสนหวานว่า การรักษาอาจจะทำได้ไม่เต็มที่เนื่องจากกรณีนี้ผู้ป่วยเป็นเด็กที่เล็กมาก กระบวนการรักษาบางอย่างที่ใช้กับผู้ใหญ่อาจนำมาใช้กับน้องแสนหวานได้ลำบาก ต้องดูว่าร่างกายของน้องจะตอบสนองกับการรักษาในแต่ละวิธีได้มากน้อยแค่ไหน



ผู้สื่อข่าวรายงานอาการล่าสุดของน้องแสนหวานว่า ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว แต่แพทย์ยังคงต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะอาจจะมีโรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับไตเกิดขึ้นมาได้ ขณะที่การรักษาก็ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป



น.ส.อุมารินทร์ กล่าวว่า เมื่อทางครอบครัวทราบอาการป่วยของน้องน้ำหวานต่างก็รู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก

ที่เด็กผู้หญิงอายุเพียงขวบเศษต้องมาประสบกับชะตากรรมแบบนี้ แต่ทุกคนก็ได้ตั้งความหวังที่จะให้น้องแสนหวานหายเป็นปกติ กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้อีกครั้ง สำหรับผู้ที่มีจิตศรัทธาต้องการบริจาคเป็นค่ารักษาเพื่อช่วยเหลือน้องแสนหวาน สามารถบริจาคได้ที่บัญชีเลขที่ 3422232493 ชื่อบัญชี อุมารินทร์ สายวงษ์ หรือโทรศัพท์สอบถามรายละเอียดกับ น.ส.อุมารินทร์ ได้ที่เบอร์ 086 777 8045



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ผูกน้ำใจคน ธรรมะวันหยุด


ผูกน้ำใจคน


ธรรมะวันหยุด
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร


การที่คนเรามีใจไม่ตระหนี่ รู้จักโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เป็นคนใจแคบ มีใจกว้างขวาง สามารถบริจาคสิ่งของของตนเป็นทาน เผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้รับความสุข ความสะดวกสบาย การให้เช่นนี้ย่อมช่วยสมานไมตรีจิต สร้างมิตรภาพ ทำให้ประสบผลที่ตนเองจะพึงเห็นได้หลายประการ ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก คนเป็นอันมากย่อมคบหาเขา เกียรติยศและบริวารยศย่อมเจริญ ผู้ไม่ตระหนี่เป็นผู้องอาจ ไม่เก้อเขินเข้าสู่สมาคม

การผูกน้ำใจคน ไม่จำเป็นจะต้องให้สิ่งของมากมาย จะให้อะไรหรือจะช่วยเหลือใคร ควรช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้ เท่านี้ก็เห็นน้ำใจแล้ว

การพูดจาอ่อนหวาน ไพเราะดีงาม สามารถเสริมสร้างไมตรีจิต ส่วนวาจาเป็นพิษ หรือวาจาหยาบคาย อาจทำให้เสียมิตรได้

คนจะผูกน้ำใจคน ต้องพูดจาไพเราะอ่อนหวาน ฟังแล้วสบายหูสบายใจ ถ้าพูดหยาบคายต่อกัน นอกจากจะเสียมิตรแล้ว อาจเสียทรัพย์ด้วย บางครั้งพูดไม่ดีอาจถูกทำร้ายร่างกาย ถึงกับเสียชีวิตได้ ส่วนคำพูดที่ไพเราะอ่อนหวาน สามารถผูกน้ำใจคนไว้ได้ การพูดจึงต้องระวังว่า พูดไปแล้วจะทำลายมิตรหรือไม่ ถ้าเป็นไปในทางทำลาย ไม่ควรพูด แต่ถ้าเป็นการสร้างสรรค์ให้เกิดมิตรภาพ จึงควรพูด

ดังนั้น ก่อนพูดควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาตัวเราเป็นเครื่องเปรียบเทียบว่าคำพูดเช่นนี้ ถ้าเราเป็นผู้ฟัง จะพอใจไหม ถ้าเราไม่ชอบ เขาคงไม่ชอบเหมือนกัน

ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ต้องเป็นคนสร้างประโยชน์ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ จะอยู่ที่ไหนก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ที่นั่น จะอยู่กับใครก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่เขาที่นั่น อย่างนี้แล้วย่อมมีคนต้องการ เพราะคนที่ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นที่ต้องการทั้งนั้น

ประโยชน์หมายถึง สิ่งที่ต้องการ ถ้าไม่มีประโยชน์ มักไม่มีใครต้องการ การผูกน้ำใจคน ต้องทำตนให้เป็นคนมีประโยชน์ จึงจะเป็นที่ต้องการของคนหมู่มาก

การวางตนเหมาะสมคือ เราอยู่ในสถานะอย่างไร ก็วางตนให้เหมาะสม เป็นเจ้านายก็เป็นเจ้านายที่เหมาะสม ให้ลูกน้องเคารพนับถือ เป็นลูกน้องก็เป็นลูกน้องที่เหมาะสม มีความเคารพนับถือเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา ทำให้ผู้บังคับบัญชามีเมตตากรุณา มีไมตรีจิตตอบ เป็นพ่อก็เหมาะสมที่เป็นพ่อ เป็นแม่ก็เหมาะสมที่เป็นแม่ เป็นเพื่อนก็เหมาะสมที่เป็นเพื่อน ทำได้อย่างนี้จึงมีคนรัก มีมิตรมาก ไม่มีคนรังเกียจ เพราะวางตัวได้เหมาะสม ไม่มีข้อน่าตำหนิ

ถ้าเราวางตัวเหมาะสมก็จะผูกน้ำใจคนไว้ได้ แต่ถ้าวางตัวไม่เหมาะสม เช่น เป็นเจ้านาย วางตัวไม่เหมาะสม เอาแต่อำนาจ ไม่มีเมตตากรุณา เป็นลูกน้องก็อวดดีกับเจ้านาย อย่างนี้ก็ไม่ได้รับความร่วมมือแน่

ถ้าธรรมะเหล่านี้มีอยู่ในบุคคลใด บุคคลนั้นก็จะมีคนรักคนชอบ มีมิตรมากมาย ไม่มีศัตรู การที่คนเราจะดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข สามารถสร้างความเจริญให้ตนเองและประเทศชาติ ควรอบรมบ่มนิสัยให้มีธรรมะเหล่านี้ไว้ประจำตัวประจำใจ เพื่อเป็นเครื่องมือผูกน้ำใจคนทั้งหลายให้มาเป็นมิตร



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

ทายนิสัยจากน้ำดื่ม ที่ชอบดื่มมากที่สุด




- น้ำหวาน

คนที่ชอบดื่มน้ำหวานมักเป็นคนรักสงบชอบทำงานที่มีความมั่นคงมีความมานะพยายามสูง ไม่ชอบความวุ่นวายไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงแต่ก็เป็นคนมองโลกในแง่ดี

- น้ำอัดลม

แสดงว่าเป็นคนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองไม่ชอบการบังคับและกฏเกณฑ์ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น แต่ก็สนใจธรรมะสนใจเรื่องแปลกใหม่และชอบการผจญภัย

- น้ำผลไม้

มักเป็นคนที่มีความขยันขันแข็งมีความสุขมากกับการทำงานชอบช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ ค่อนข้างเจ้าระเบียบและจู้จี้จุกจิกให้ความสำคัญกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ

- กาแฟ

คนที่เป็นคอกาแฟมักเป็นคนที่มีความคาดหวังในชีวิตสูงและมีความใจเย็นที่จะรอสิ่งที่หวัง ต้องการความมั่นคงทางการเงินเป็นคนเจ้าระเบียบจริงจังและตรงไปตรงมา

- น้ำชา

มักเป็นคนที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยนและชอบเอาอกเอาใจคนอื่นเข้ากับคนง่ายปรับตัวเก่ง ไม่ชอบความขัดแย้งมักลังเลในการตัดสินใจเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และยุติธรรม

- ไวน์

เป็นคนที่มีกฏเกณฑ์ในชีวิต ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีมากและยึดมั่นในความถูกต้อง รู้จักกาละเทศะเข้าสังคมเก่งแต่ค่อนข้างเป็นคนอนุรักษ์นิยม

- เบียร์

เป็นคนมีชีวิตชีวากล้าหาญรักการผจญภัยแต่เป็นคนใจร้อนไม่ค่อยรอบคอบเปลี่ยนใจง่าย แต่ก็เป็นตัวของตัวเอง มีความเป็นอิสระสูงและชอบการแสดงออก

- ดื่มเหล้า

คนที่ชอบดื่มเหล้าทุกชนิด เช่น บรั่นดี วิสกี้ แม่โขง มักเป็นคนที่รักความสนุกสนานใจกว้าง แต่เป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ บุคลิกดูเข้มแข็งแต่จิตใจอ่อนแอ



ขอบคุณ n3k.in.th

อาหารว่างยอดนิยม




จังหวัดทางเหนือของกรุงพนมเปญในกัมพูชามีอาหารว่างอันโอชะเป็นแมงมุมขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า บึ้ง ซึ่งคนหลายชาติหลายภาษามาเป็นลูกค้าสำคัญ รูปปั้นบึ้งเด่นตระหง่านอยู่ภายในจ."สกึน" ทั้งนี้ เนื่องจากอาหารว่างพื้นเมืองอันเลื่องชื่อ คือ แมงมุมขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือทอดพริกกับเกลือ หรือทอดกระเทียม

จังหวัดสกึนนี้ตั้งห่างจากกรุงพนมเปญมาทางเหนือ 75 กิโลเมตร โดยแม่ค้าร้านริมทางบอกว่า ลูกค้าใหญ่มาจากหลายชาติหลายภาษา ทั้งเกาหลี จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนาม ในราคาตัวละ 1,000 เรียล หรือประมาณ 8 บาท

แม่ค้าที่ยึดอาชีพขายบึ้งมากว่า 10 ปี บ่นด้วยว่า พื้นที่ป่าในจังหวัดสกึนร่อยหลอ ทำให้บึ้งพลอยหายไปด้วย ดังนั้นแมงมุมขนาดใหญ่ที่เห็นอยู่นี้ นำเข้ามาจากจ.กัมปงธม เสียมเรียบ และพระวิหาร ซึ่งป่ายังคงอุดมสมบูรณ์ เชื่อกันว่าบึ้งเป็นแมงมุมที่มีพิษร้าย แต่ทว่ากับมนุษย์ การกัดของมันก็ไม่ได้ก่ออันตรายสักเท่าใด ส่วนในด้านรสชาด แม่ค้ายืนยันว่า แม้จะไม่เหมือนเสียทีเดียว แต่ก็คล้ายไก่


ที่มา news.thaipbs
โดย :จิ้มจุ่ม

โรคประหลาดคล้ายเอดส์ แต่ไม่ใช่เอดส์




นักวิจัยของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ หรือ NIH ของสหรัฐ เผยแพร่รายงานการวิจัยลงในเวบไซต์ของวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ ระบุว่า โรคใหม่คือ โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองในวัยผู้ใหญ่ หรือ อดัลต์ ออนเซ็ต อิมมูโนดีเฟียนซี ซินโดรม (adult-onset immunodeficiency syndrome) ผู้ป่วยจะมีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรค และจะมีอาการป่วยคล้ายกับโรคเอดส์ แม้ไม่ได้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีก็ตาม โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อจากคนสู่คน ไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และมักเกิดในผู้ใหญ่มีอายุตั้งแต่เกือบ 50 ปีขึ้นไป

ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยกว่า 200 คนที่ทำการศึกษา จะสร้างสารที่เรียกว่าแอนตี้บอดี้ทำลายตัวเอง ขึ้นมาปิดกั้นอินเตอร์เฟอรอน แกมมา สารโปรตีนในร่างกายที่จะช่วยยับยั้งการติดเชื้อต่าง ๆ ทำให้ร่างกายสามารถติดเชื้อไวรัส รา ปรสิต และโดยเฉพาะแบคทีเรียได้ง่าย ทำให้เชื่อว่าจะสามารถหาทางรักษาโรคนี้ได้ด้วยการพุ่งเป้าไปที่เซลล์ที่ผลิตแอนตี้บอดี้ทำลายตัวเอง (คมชัดลึกออนไลน์ 30 สิงหาคม 2555)




โรคประหลาดคล้ายเอดส์ เป็นโรคที่ไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี พบมานับ 10 ปี เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้มีอาการป่วยจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสชนิดต่างๆ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มมัยโคแบคทีเรีย การติดเชื้อราที่อาการรุนแรง เป็นต้น ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการไข้เรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองอักเสบหลายแห่ง ร่วมกับปอดอักเสบ ฝีตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งผิวหนังอักเสบเป็นหนอง

โรคดังกล่าว ไม่ใช่โรคติดต่อ พบไม่บ่อย และไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติเหมือนอย่างโรคเอดส์ที่รู้ว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่อง และไม่ได้เกิดจากรับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกันต่าง ๆ โรคนี้พบมากในชาวเอเชียรวมทั้งคนไทย มักเกิดในผู้ใหญ่อายุเฉลี่ย 40-50 ปี





การรักษาผู้ป่วยในปัจจุบัน เป็นการรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสด้วยยาต้านจุลชีพ ผู้ป่วยอาจมีการดำเนินโรคแตกต่างกัน การรักษาขณะนี้ ทำให้โรคติดเชื้อฉวยโอกาสสงบ แต่อาจมีการกำเริบหรือพบการติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆเป็นครั้งคราว

ขณะนี้คณะผู้วิจัยซึ่งเป็นแพทย์โรคติดเชื้อจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศไทยได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล รวมถึงคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคณะผู้วิจัยจากสถาบันสุขภาพอเมริกา ได้ทำการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีการสร้างสารแอนติบอดีต่อสารอินเตอร์เฟอรอนแกมม่า ทำให้ภูมิคุ้มกันซึ่งใช้ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ ดังกล่าวผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการป่วยจากการติดเชื้อฉวยโอกาสเหล่านั้น ซึ่งขั้นต่อไปคณะผู้วิจัยกำลังวางวิจัยเพื่อให้รู้สาเหตุการก่อโรค เพื่อจะได้วางแผนการรักษาโรคนี้ให้หายขาด




ดังนั้นหากมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรมารับการตรวจตามขั้นตอนจากแพทย์โรคติดเชื้อ เพราะการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องแม้ไม่หายขาด แต่ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ




ขอบคุณข้อมูลจาก ศ.พญ. ยุพิน ศุพุทธมงคล ภาควิชาอายุรศาสตร์
Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

กำหนดการจาก "ไม้เมืองห่มรักให้คลายหนาวกับแฟนคลับ"


กำหนดการจาก "ไม้เมืองห่มรักให้คลายหนาวกับแฟนคลับ"
ออกเดินทางจากจ. เชียงใหม่ เช้า 8 ธ.ค แวะบริจาคสิ่งของตามจุดต่างๆ พักค้างคืนที่น้ำพุร้อนฝางพร้อมทำกิจกรรมบริจาคของ+ภาคการแสดงดนตรีแบบอบอุ่นกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขา
เช้าวันที่ 9 ธ.ค อาจมีการขึ้นดอยผ้าห่มปก(รอถามสมาชิกก่อน)
คืนวันที่ 9 ธ.ค ร่วมกิจกรรมเฉลิมฉลองถนนคนเดินเชียงใหม่ครบรอบ 10 ปี

ในกิจกรรมครั้งนี้ มีศิลปินค่ายมายเฟรนด์เอนเตอร์เทนเม้นท์จาก กทม. ร่วมเดินทางทำกิจกรรมกับเฮา และพี่เล็ก ขันอาสาเรดิโอกับแฟนคลับ.....เรียนเชิญทุกท่านเน้อเจ้า ค่าใช้จ่ายต่างๆช่วยๆกันออกเจ้า ยินดีเจ้า ...

สอบถามข้อมูลการบริจาคและร่วมเดินทางได้ที่เฟสบุ๊ค "ไม้เมืองห่มรักให้คลายหนาวกับแฟนคลับ" http://www.facebook.com/pages/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A/276773042438790?ref=stream 

เที่ยวทะเลตรัง ชมความงาม เกาะมุกต์-ถ้ำมรกต




เกาะมุกต์-ถ้ำมรกต คือ อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดในทะเลตรัง ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ของอำเภอกันตัง จังหวัดตรัง โดยลักษณะของเกาะทางด้านทิศตะวันตกส่วนใหญ่ เป็นโขดหน้าผาหินสูงตระหง่านหันหน้าออกสู่ทะเล

โดยทางฝั่งตะวันออกเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมง ที่ยังคงวิถีชีวิตของชาวเกาะไว้อย่างดี สามารถเดินเที่ยวรอบเกาะได้ และ ทางด้านทิศตะวันตกของเกาะมุกต์ มีถ้ำมรกตหรือถ้ำทะเลซึ่งมีความงดงามตระการตาอย่างมาก จากปากทางเข้าถ้ำเป็นโพรงเล็กๆ การเข้าชมภายในถ้ำ จะต้องว่ายน้ำลอยคอเข้าไป ระยะทาง 80 เมตร

บริเวณปากทางเข้าถ้ำแสงจากภายนอกจะสะท้อนกับน้ำภายในถ้ำทำให้เห็นน้ำเป็นสีเขียวมรกต ดูแปลกตาและมหัศจรรย์ในความสวยงามที่ธรรมชาติได้บรรจงสร้าง เมื่อพ้นปาก ถ้ำออกมาอีกด้านหนึ่งจะเห็นหาดทรายขาวสะอาดล้อมรอบด้วยหน้าผาสูงชัน นั่งเล่นน้ำได้ เกาะมุกต์มีที่พักเอกชนบริการ

การเดินทาง นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปเกาะมุกต์ สามารถเช่าเหมาลำเรือจากท่าเรือปากเมง อำเภอสิเกา ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที ค่าเช่าเรือเหมาลำราคาประมาณ 2,000-3,000 บาท/วัน หรือใช้บริการเรือโดยสาร จากท่าเรือควนตุ้งกู ซึ่งมีบริการวันละ 1 เที่ยว เวลา 12.00 น. และเรือจากเกาะมุกต์ เวลา 07.00 น.

ข้อมูลโดย : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สำนักงานใหญ่)
Image By : Flickr /Xiaozhuli

โดย :จิ้มจุ่ม

นวิธีทำนายทายทักนิสัยโดยใช้ชื่อขึ้นต้นอักษรที่เราตั้งเป็นชื่อ E mailประจำ


วันนี้มาแนวแปลกๆใหม่ๆค่ะเป็นวิธีทำนายทายทักนิสัยโดยใช้ชื่อขึ้นต้นอักษรที่เราตั้งเป็นชื่อ E mailประจำตัวของเราเองอยากรู้ว่าใครนิสัยเป็นอย่างไรบ้างก็มาดูคำทำนายกันเลยค่ะ


ขึ้นต้นด้วย A J S
คุณเป็นคนมีความคิดสร้างสร รค์ ชอบทำอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ ถ้าจะทำงานสักชิ้นต้องเป็น งานที่โดดเด่น ได้แสดงออกถึงความสามารถของตน นอกจากนั้นจะเป็น พวกชอบเดินทาง ผจญภัย ถ้ามีแฟนจะเป็นคนที่ไม่ให้ คำสัญญาใดๆ ที่เป็นการผูกมัดตัวเอง
ขึ้นต้นด้วย B K T
เป็นคนร่าเริงกระฉับกระเฉง ชอบโต้แย้งอยู่เสมอความคิดเห็นในเรื่อง ชีวิตของคุณจะดำเนินไปตามค วามรู้สึกและอารมณ์ ไวต่อสิ่งรอบข้าง ไม่ค่อยให้ความสนใจเรื่องใ ดเรื่องหนึ่งนาน ค่อนข้างไฮเปอร์ แต่เป็นคนที่ไม่ยอมย่อท้อต่อปัญหาที่เข้ามาในชีวิต
ขึ้นต้นด้วย C L U
เป็นคนมองโลกในแง่ดี อ่อนโยน เข้ากับคนง่าย มีความสามารถพิเศษในการติด ต่องาน แต่มีโลกที่ผู้อื่นยากเข้า ถึง ไม่ค่อยเผยแพร่ความต้องการ ของตัวเองให้คนอื่นรู้ ชอบทำงานศิลปะ ให้ความสำคัญกับจิตนาการ
ขึ้นต้นด้วย D M V
ค่อนข้างมีระเบียบในชีวิตทั้งเรื่องส่วนตัวและครอบครัว ทำงานทำอะไรก็ต้องเรียบร้อยหมด ไม่ชอบชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงเท่าไหรนัก เป็นคนขยัน หนักแน่น อดทน เหมาะกับการเป็นผู้นำ
ขึ้นต้นด้วย E N W
มีนิสัยซอกแซก เห็นทุกเรื่องน่าสนใจไปหมด ชอบทดสอบทดลองทุกอย่างด้วย ตนเอง เป็นพวกอยากรู้อยากลอง แต่ถ้าเป็นเรื่องของคุณใคร อย่ามายุ่ง จะปิดบังไว้อย่างดี เป็นคนขี้ระแวงไปนิด ไม่เชื่อใครง่าย จนกว่าจะได้พิสูจน์ว่าเค้า ดีจริง
ขึ้นต้นด้วย F O X
เป็นคนอ่อนโยน มีน้ำใจกับทุกคน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เกลียดการกระทำที่หยาบคาย ให้ความสำคัญกับครอบครัวอันดับหนึ่ง อยากให้คนใกล้ชิดมีความสุข รักใคร่กัน แต่ข้อเสียคือไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ชอบหนีปัญหา
ขึ้นต้นด้วย G P Y
เป็นคนรักความปราณีต จะต้องให้สมบูรณ์ทุกกระบวนการ ชอบความหรูหราเริ่ดหรู รสนิยมดี รักศักดิ์ศรี ไม่ยอมใครง่ายๆ แต่ถ้าเจอคนถูกใจแล้วเท่าไ หรก็เท่ากัน ยอมได้ทุกอย่าง
ขึ้นต้นด้วย H Q Z
มีน้ำอดน้ำทนสูงกับทุกเรื่ อง ไม่ว่าเป็นปัญหาส่วนตัวหรือเรื่องอื่น เข้าใจโลกและเข้าใจชีวิต เป็นนักแก้ปัญหาด้วยความรอบคอบอย่างมีเหตุผล ไม่ค่อยวางใจคนอื่น เพราะมี ความเชื่อมั่นในตัวเองสูง
ขึ้นต้นด้วย I R
เป็นนักอุดมคติ มีความคิดทันสมัย บางครั้งถึงขั้นล้ำสมัย ชอบหาเหตุและผลให้กับทุกเรื่อง ชอบทำงานเพื่อส่วนรวม มีน้ำใจ ใจกว้างเปิดโอกาสให้คนอื่น แสดงความ คิดเห็นแม้ตัวเองจ ะไม่เห็นด้วยก็ตาม
เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับวิธีทายนิสัยแบบใหม่หวังว่าคงถูกใจชาวไซเบอร์ไม่มากก็น้อยนะคะ

อาจารย์ มาลินี

สมุทรสาครชวนเที่ยวงาน “สมุทรสาคร Expo 2012”




   ททท.สมุทรสงคราม และหน่วยงานต่างภาครับและเอกชน ชวนเที่ยวงาน “สมุทรสาคร Expo 2012” ในวันที่ 31 ส.ค. - 9 ก.ย. 55 ตั้งแต่เวลา 12.00 น.-20.00 น. ณ ตลาดทะเลไทย ต.มหาชัย อ.เมือง ฯ จ.สมุทรสาคร
     
       นางสาวอังคณา พุ่มผกา ผู้อำนวยการสำนักงาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสมุทรสงคราม (สมุทรสงคราม นครปฐม สมุทรสาคร) เปิดเผยว่า จังหวัดสมุทรสาคร ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน และททท. สำนักงานสมุทรสงคราม จัดงาน “สมุทรสาคร Expo 2012” ขึ้น โดยในปีนี้คณะกรรมการฯ ได้จัดโซนแสดงสินค้าให้สอดคล้องกับคำขวัญของจังหวัดสมุทรสาคร คือ เมืองประมง ดงโรงงาน ลานเกษตร เขตประวัติศาสตร์ ภายในงานมีการจัดแสดงสินค้าและจำหน่ายอาหารทะเลสด อาหารทะเลแปรรูป อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง ผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมเกี่ยวกับอาหาร ผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP สาธิตการทำเครื่องเบญจรงค์ การจัดแสดงกล้วยไม้ สินค้าเกษตร อาทิ พุทรา ชมพู่ ฝรั่ง ลำไย โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อนที่จำหน่ายในราคาเพียงลูกละ 4 บาท การแสดง MOTER SHOW และการแสดงนวัตกรรมของกระทรวงทั้ง 20 กระทรวงในจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมทั้งมีการแสดงโครงการส่งเสริมและการพัฒนาการผลิตมะพร้าวของกลุ่มภาคกลางตอนล่าง 8 จังหวัด อีกด้วย
     
       นอกจากนี้แล้วจะได้เดินเลือกซื้อสินค้าต่างๆ จากผู้ประกอบการโดยตรงในราคาย่อมเยาแล้ว และพบกับ นักร้อง นักแสดง ตลก และการแสดงบนเวทีอีกมากมาย
     
       ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท. ) สำนักงานสมุทรสงคราม โทร. 0-3475-2847-8

ความกล้าหาญ





                   ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม หลักก็ไม่ได้ต่างกันคืิอ
หนึ่ง ความรักในความเป็นธรรม ความถูกต้อง และความจริง
สอง ความกล้าที่จะจักยืนทำในสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม รวมถึงเข้าใจโลกและชีวิตอีกด้วย
                   สังคมโลกนับวันๆจะขาดความกล้าหาญเช่นนี้มากขึ้นๆ มีแต่ความเห็นแก่ตัว สุดท้ายมันก็จะทำลาย                                            และทำร้ายตนเอง เพราะไม่เคยที่จะยอมรับความจริงหรือแม้กระทั่งเห็นความจริงเลย
                   นอกจากนั้นอาจลามไปถึงทำให้สังคมฉิบหายได้ ดังที่ได้รู้ได้เห็นกันมาทางสื่อทั่วโลก
                   ที่เขารียกกันเองว่าความกล้าหาญในสิ่งที่เขาทำ ความจริงมันไม่ใช่ มันควรจะเรียกว่ากร้าว เกรียน แว้นมากกว่า
                   เหมือนนึกจะพูดอะไรที่คิดว่าเท่ห์ก็พูดไป พูดอะไรได้เงินไม่ว่าจะผิดแค่ไหนก็พูด พูดทำลายคนอื่นก็พูด แต่หากว่าถามไปว่าพูดไปแล้วได้อะไรจริงๆแก่ใครๆ ก็คงหาคำตอบดีๆให้ไม่ได้
                   แล้วสังคมทั้งใหญ่และเล็กมันจะเป็นเช่นไรถ้ามีแต่คนกล้าหาญประเภทหลังนี้
                   ผู้ประพฤติผู้ปฎิบัติทั้งหลายต่างทำตัวให้เป็นเยี่ยงอย่าง ด้วยการปฎิบัติ เขียนบทความแห่งการสร้างสรรค์โดยเฉพาะจากประสบการณ์อันแท้จริง...อย่างมีกำลัง และชวนให้คนอ่านมีกำลัง..........กำลังใจที่จะกล้าหาญทางจริยธรรม
                   ข้าพเจ้าขอกราบคารวะแด่ท่านว.วชิรเมธี ลุงแสงแห่งเฟซธรรมะทั้งหลาย และลุงVirocana Pawapotakoแห่งเฟซเพื่อนชาวพุทธ ที่น้องพอเพียง มากปลื้มใจและกระตือรือล้นในการอ่านบทความของท่านมาก รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย
                   และขอกราบคารวะความกล้าหาญแแด่ท่านทั้งหลายที่มิได้กล่าวถึงในสังคมออนไลน์นี้ ที่ยังไม่เหือดแห้งจากความเอื้อเฟื้อ...............ความกรุณา

                                                            สาธุชน คนกันเอง
                   ตามหาแก่นธรรมตอนล่าสุด อ่านดูเรียบง่ายๆแต่ก็เห็นด้วยกับท่านผู้เขียนว่าความกล้าหาญทางจริยธรรมมันลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆในทุกๆสังคม แต่ในสังคมเว็บธรรมะของเราน่าจะเพิ่มความกล้าหาญประเภทนี้ให้มากขึ้น เพราะเราเห็นความจริงแห่งความไม่เที่ยงทั้งหลาย ความกล้าหาญประเภทนี้ไม่ใช่ความกล้าที่เกิดจากความกลัวและการยึดติด แต่เป็นความกล้าที่จะสละเวลาแห่งความสุขภายนอกเพื่อจะค้นหาความสุขที่ลึกซึ้งกว่าที่อยู่ภายในกายและใจนี้ ด้วยสัมมามรรคหรือทางสายกลาง เพื่อการตื่นรู้ ขออนุโมทนาและสาธุการครับ
                                                       สะมะชัยโย
คุณธรรม ตามคำสอนของอริสโตเติล วิกีพีเดีย
อริสโตเติลนิยาม คุณธรรม ว่าคือ จุดสมดุลย์ระหว่างความขาดและเกินของคุณลักษณะ[1] โดยคุณธรรมสูงสุดไม่ได้อยู่ที่ตรงกลางๆ แต่อยู่ที่จุดเฉลี่ยทอง ที่บางครั้งก็ใกล้ปลายหนึ่งมากกว่าอีกปลายหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ความกล้าหาญ เป็นจุดเฉลี่ยระหว่าง ความขี้ขลาด กับ ความโง่เขลา ความมั่นใจ เป็นจุดเฉลี่ยระหว่าง ความน้อยเนื้อต่ำใจ กับ ความหลงตัวเอง ความโอบอ้อมอารี เป็นจุดเฉลี่ยระหว่าง ความขัดสน กับ ความฟุ้มเฟือย

อริสโตเติลเชื่อว่า การเป็นคนเป็นสิ่งประเสริญ ที่ได้มีทักษะเในการดำรงชีวิต ในการเจริญก้าวหน้า ในการมีความสัมพันธ์ที่ดี และในการแสวงหาความสุข การเรียนรู้คุณธรรมอาจจะยากตอนแรกๆ แต่มันจะง่ายขึ้นถ้าได้รับการฝึกฝนจนเป็นนิสัย

นักวิจัยจุฬาฯ ชี้อาชีพนักบินมีความเสี่ยงสูงเป็น “โรคปวดหลัง”




       ภาควิชากายภาพบำบัด คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาฯ เผยผลงานวิจัย “อาการปวดหลังเรื้อรัง” พบง่ายในสังคมสมัยใหม่ที่มักทำงานโดยอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน โดยเฉพาะ “อาชีพนักบิน” และ ผู้ที่ทำงานในสำนักงาน คนขับรถ คนงานในโรงงาน ฯลฯ ส่งผลให้ร่างกายขาดความยืดหยุ่น แนะควรทำกิจกรรม Stretching หรือการเหยียดยืดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหลัง หรือเล่นโยคะและเล่นกีฬาก็จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหลังได้
     
       รศ.ดร.ประวิตร เจนวรรธนกุล ภาควิชากายภาพบำบัด คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคปวดหลังส่วนล่างในนักบินที่ขับเครื่องบินโดยสารเชิงพาณิชย์ชาวไทย กล่าวถึงโรคปวดหลังว่า ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดที่บริเวณหลังส่วนล่างหรือบั้นเอวเท่านั้น ไม่แผ่หรือลามไปที่อื่น มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อเกร็งหรือข้อต่อกระดูกสันหลังมีปัญหา แต่หากมีอาการปวดหลังบริเวณบั้นเอวร่วมกับอาการปวดร้าวลงไปที่ก้น หรือบางคนอาจร้าวลงไปถึงบริเวณน่องและข้อเท้า จะมีสาเหตุจากหมอนรองกระดูกสันหลังยื่นหรือเคลื่อน หรือเส้นประสาทถูกกดทับ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดทันที เพราะส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่า สำหรับการนั่งแม้จะดูเป็นกิจกรรมที่ไม่หนัก แต่ความจริงแล้วส่งผลเสียต่อหลังหลายประการ เนื่องจากปกติแล้วกระดูกสันหลังจะเว้าไปข้างหน้า แต่ขณะนั่งมันจะเว้าไปข้างหลัง ทำให้กระดูกสันหลังบิดผิดรูปไป อีกทั้งการนั่งเฉยๆ เป็นเวลานานยังทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลง ส่วนของกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อก็ได้รับสารอาหารน้อยลงอีกด้วย
     
       รศ.ดร.ประวิตร เปิดเผยถึงผลงานวิจัยดังกล่าวว่า มีที่มาจากการที่นิสิตนักกายภาพบำบัดซึ่งทำงานที่โรงพยาบาลภูมิพลฯ ได้มีโอกาสดูแลนักบินจำนวนหนึ่งและพบว่ามีนักบินจำนวนมากที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง จึงสนใจทำการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ ประกอบกับตนมีความสนใจเกี่ยวกับโรคปวดหลังอยู่แล้ว จึงร่วมกันทำงานวิจัยชิ้นนี้ขึ้นเพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังในนักบิน
     
       กลุ่มตัวอย่างในครั้งนี้เป็นกัปตันที่ขับเครื่องบินโดยสารเชิงพาณิชย์ชาวไทยจำนวน 708 คน โดยใช้การวิจัยแบบตัดขวางและแบบสอบถาม ผลการศึกษาพบว่าร้อยละ 56รายงานว่าตนเองมีปัญหาโรคปวดหลังในรอบปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจเล็กน้อย เนื่องจากหากมีอาการปวดหลังในขณะขับเครื่องบินจะเป็นการรบกวนร่างกายและสภาพจิตใจของนักบินไม่มากก็น้อย ซึ่งอาจส่งผลถึงประสิทธิภาพในการขับเครื่องบินได้



       “ส่วนปัจจัยที่สัมพันธ์กับอาการปวดหลังพบว่ามี 2 กลุ่มปัจจัยคือ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคง่ายขึ้นได้แก่ การประสบกับสภาพอากาศแปรปรวนหรือตกหลุมอากาศในระหว่างการบินบ่อยครั้ง โดยมีสมมติฐานว่าอาจเกิดจากความเครียดที่สูงขึ้นทันที ซึ่งความเครียดมีส่วนสำคัญต่ออาการปวดหลังเป็นอย่างยิ่ง หรือการกระแทกอย่างรุนแรงระหว่างตกหลุมอากาศทำให้ข้อต่อบริเวณกระดูกสันหลังแพลง การยกกระเป๋าสัมภาระบ่อยๆ เนื่องจากนักบินมักจะนั่งตลอดการบินเป็นเวลาหลายชั่วโมง ร่างกายจึงไม่ยืดหยุ่น เมื่อต้องมาหิ้วของหนักก็ทำให้บาดเจ็บง่ายขึ้น การอยู่ในห้องบังคับการที่มีเสียงดังมากเป็นเวลานานและการมีความรู้สึกว่างานนักบินเป็นงานที่มีอันตรายมากทำให้เกิดความเครียด และปัจจัยป้องกันโรคปวดหลัง ได้แก่ การออกกำลังกายเป็นประจำ และระยะเวลาการพักระหว่างเที่ยวบินที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากการทำงานและป้องกันอาการบาดเจ็บได้"
     
       รศ.ดร.ประวิตร กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการวิจัยต่อไป ขณะนี้กำลังสนใจศึกษาเกี่ยวกับอาการปวดหลังในผู้ที่ทำงานในสำนักงาน เนื่องจากเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของประเทศ ทำให้สูญเสียเงิน เวลา และทรัพยากรไปกับการรักษาเป็นจำนวนมาก จึงต้องการศึกษาหาวิธีการป้องกันโรคปวดหลังสำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานนานๆ โดยกำลังศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันโดยการขยับร่างกายบ่อยๆ ในระหว่างวัน นอกจากนี้ยังได้คิดท่าบริหารง่ายๆ ที่สามารถทำเองได้ที่บ้านขึ้นเพื่อทดสอบดูว่าจะสามารถป้องกันอาการปวดหลังได้หรือไม่
     
       “สำหรับผู้ที่ยังไม่มีอาการปวดหลังควรป้องกันด้วยการดูแลสภาพร่างกายให้ดี เนื่องจากต้นเหตุของปัญหาปวดหลังของผู้ที่นั่งนานๆ คือร่างกายขาดความยืดหยุ่น จึงควรทำกิจกรรม Stretching หรือการเหยียดยืดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหลัง หรือเล่นโยคะและเล่นกีฬาก็จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหลังได้ ส่วนผู้ที่เป็นโรคปวดหลังแล้ว เมื่อเกิดอาการปวดก็ไม่ควรให้ความสนใจกับมันมากเกินไป ให้พยายามใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ แต่ลดระดับความหนักของกิจกรรมลงมาเล็กน้อย และควรงดกีฬาบางชนิดที่ออกแรงมาก เช่น เทนนิส วิ่ง ฟุตบอล ฯลฯ จนกว่าอาการจะทุเลา แต่หากเป็นกีฬาเบาๆ เช่น ว่ายน้ำ เดินเร็ว ฯลฯ ก็สามารถทำได้และจะส่งผลดีต่อโรคปวดหลังอีกด้วย ส่วนใหญ่แล้วอาการปวดหลังจะหายเองภายในเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ แต่หากยังไม่หายก็ควรปรึกษาแพทย์” คำแนะนำทิ้งท้ายสำหรับนักบินและผู้ที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน โดย รศ.ดร.ประวิตร

"ปาก จมูก เป็นประตู...หู ตา เป็นหน้าต่าง...


"ปาก จมูก เป็นประตู...หู ตา เป็นหน้าต่าง...
เราต้องคอยปิดเปิดให้ถูกกาลเวลา จึงจะได้รับประโยชน์และปลอดภัย"

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร

ตลก - การมองอะไรๆให้เป็นเรื่องตลกเสียบ้างในชีวิตประจำวันจะลดแรงกดดันจากความเครียดไปได้


 ตลก

               

                 คนไทยชอบดูตลกมาก แต่จะมากกว่าคนชาตือื่นๆหรือเปล่าไม่ทราบ รู้แต่เพียงว่าซีดีตลกที่ตลาดคลองถม ยามออกใหม่ ถ้าเป็นตลกดังขายกันได้วันละเป็นร้อยล้านบาท
                 การมองอะไรๆให้เป็นเรื่องตลกเสียบ้างในชีวิตประจำวันจะลดแรงกดดันจากความเครียดไปได้มากหากยังตามอารมณืไม่ทัน
                 แต่ถ้าท่านมองเรื่องทุกเรื่องเป็นเรื่องตลก.........หมอที่ศรีธัญญารอท่านอยู่
                 อาการตลกก็เป็นเรื่องของการเปลี่ยนอารมณ์ มาเป็นอารมณ์ที่ชอบ สุขเวทนา หลายๆอารมณ์ตลกเป็นเรื่องขำขำ เช่นลืมรูดซิปกางเกง ซิปกระโปรง
                ตลกในเฟซก็คือหลายๆคน โพสต์หลายๆครั้ง แต่เปลี่ยนชื่อและลุคทุกครั้ง จนงงว่าเพื่อนเราคนไหน
                คนที่ตลกที่สุด ท่านลองพิจารณาดูสิว่า"ถ้าไม่ใช่ตัวเองแล้วจะเป็นใคร "
                หากเราขาดสติสัมปชัญญะ(ความรู้ตัวและความระลึกได้) ขาดหิริโอตัปปะ(ความเกรงกลัวและละอายต่อบาป) ขาดการรู้จักใจตัวเอง
                มันเป็นตลกฝืด...ที่เราควรรู้ก่อนที่จะหมดเวลาตลก เพราะอาจจะเสียเวลาในโลกไปทั้งชีวิต จนเลยเถิดไปเกิดในอบายที่แปลว่าที่ๆหาความเจริญไม่ได้เลยนานมากในภพภูมิต่างๆ แล้วก็กลับมาตลกอีก
                ตลกฝืดเป็นเรื่องน่ากลัว เพือนๆเอ๋ยเพราะมันเป็นตลกร้ายหรือตลกเจ็บตัวที่โดนเพื่อนตลกเอาแผ่นสังกะสีคอยตบกระโหลก

                                                    somsak d
นานๆเอาบทความดีๆมาฝากอีกตามเคย ก็อย่างที่ท่านเขียนจริงๆ มาพิจารณาเรื่องในชีวิตหลายๆเรื่อง มันตลกสิ้นดีหรือหมดดี เสียท่าเสียเวลา ใจเตลิดเปิดเปิง กว่าจะตั้งหลักกันได้นาน บางคนเสียหลักไปเลยเพราะมัวแต่ตลก ธรรมะเบาๆวันแม่"ตลกชวนคิดพิจารณาธรรม"ควรค่าแ่ก่การอนุโมทนาและสาธุการ ว่างๆเขียนมาอีกนะครับ รออ่านครับ
                                                         สะมะชัยโย  

                หมายเหตุแก่นธรรม ผู้เขียนเป็นผู้เขลาทางปัญญา หากมีข้อผิดพลาดหรือบกพร่องในข้อขียนนี้ ขอน้อมรับไว้ทุกประการ
บุญกุศลอันใดที่เกิดขึ้นกับข้อเขียนนี้ ขอน้อมถวายให้แด่หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ และอุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร บรรพบุรุษอันมีพ่อแม่เป็นปฐมและท่านผู้อ่านทุกท่านอีกทั้งบุคคลที่ผู้เขียนกล่าวถึง ขอให้ทุเลาแก่วิบากและเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป