++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปรับชีวิตให้สมดุลทุก 10 ปี



20-29 วัยแห่งการบั่นทอนสุขภาพ
เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างชีวิตวัยเรียนและชีวิตการทำงาน สาวๆ วัยนี้จึงเต็มไปด้วยพลังงานและความกระตือรือร้นต่อ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ รอบตัว จึงไม่น่าแปลกที่การดำเนินชีวิตจะค่อนข้างสมบุกสมบัน เช่น การอ่านหนังสือเรียนจนดึกดื่น การทำงานอย่างเคร่งเครียดไม่มีเวลาพักผ่อน หรือแม้กระทั่งร่วมฉลองทุกสุดสัปดาห์กับเพื่อนๆ ด้วยการดื่มและท่องราตรี แม้จะได้เปรียบเรื่องอายุ ร่างกายฟื้นตัวเร็ว แต่หากยังคงใช้ชีวิตแบบสุดขั้วเป็นประจำ ก็อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น
โรคอ้วน มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีไขมันสูง เนื่องจากหาซื้อง่ายและสะดวกรวดเร็ว หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลมาก เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน โดยเฉพาะชาหรือกาแฟร้อน-เย็น ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและคาเฟอีน ซึ่งหากรับประทานมากกว่า 3 แก้วต่อวันมีผลต่อการดูดซึมของวิตามินและเกลือแร่
การปวดประจำเดือน มักเป็นอาการยอดนิยมของผู้หญิงวัยทำงาน การปวดประจำเดือนเกิดจากหลายสาเหตุตั้งแต่พันธุกรรม วิถีการดำเนินชีวิต ภาวะความเครียดและอาหาร แต่เราสามารถบรรเทาอาการปวดได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเบื้องต้น เช่น การงดดื่มชาและกาแฟ การออกกำลังกายเป็นประจำวันละ 30 นาทีประมาณ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี6 หรือน้ำมันอีฟนิ่งพรีมโรสก่อนเวลามีประจำเดือน เพื่อบรรเทาอาการปวด
รู้จักดูแลถนอมตับที่อาจทำงานหนักเกินไป โดยเฉพาะคนรับประทานอาหารที่มีรสเค็มและมีปริมาณไขมันสูง หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้และหันไปรับประทานผักผลไม้มากๆ แทน เพื่อเร่งการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จากการวิจัยพบว่าการดื่มน้ำบีทรูทคั้นสดๆ จะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษใน ร่างกายได้ดี



30-39 วัยแห่งการเตรียมพร้อมรับมือจากความเสื่อมต่างๆ
หากพูดถึงอายุเมื่อขึ้นเลข 3 หลายคนรู้สึกเขินหรือบ่ายเบี่ยงที่จะตอบทุกครั้งที่มีคนถาม อย่างไรก็ตามลักษณะภายนอกที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญต่อสุขภาพหรือการดำเนินชีวิตเท่าไรนักหากเปรียบกับความแข็งแรงของร่างกาย ช่วงอายุนี้จึงควรเน้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้นและออกกำลังกาย เพื่อฟื้นฟูอวัยวะ ต้านความเสื่อมจากภายในสู่ภายนอก
ป้องกันโรคกระดูกพรุนก่อนวัย ภาวะมวลกระดูกสูงสุด (peak bone mass) จะหยุดอยู่ช่วงอายุ 30-35 ปี หลังจากนั้นร่างกายจะรักษาระดับมวลกระดูกไว้คงที่ จนกระทั่งอายุมากขึ้น ร่างกายจะดึงเอาแคลเซียมจากกระดูกไปใช้ ทำให้กระดูกบางและแตกง่าย เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนในอนาคต ดังนั้นช่วงอายุดังกล่าวจึงไม่ยังไม่สายเกินไปที่จะสะสมแคลเซียมให้กระดูก โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เช่น เต้าหู้ นม โยเกิร์ต ผักใบเขียว ปลากระป๋องหรือปลาซาร์ดีนที่รับประทานได้ทั้งกระดูกและผลไม้ต่างๆ
เพิ่มพลังเมตาโบลิสม เคยมีรายงานกล่าวว่าทุก 10 ปีที่อายุมากขึ้นน้ำหนักจะเพิ่มประมาณ 5 กิโลกรัม ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายลดประสิทธิภาพการทำงานลง ประกอบกับตนเองยังรับประทานอาหารปริมาณเท่าเดิมและมีวิถีชีวิตเหมือนเดิม ซึ่งหากยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตก็อาจเป็นสาเหตุของโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ ดังนั้นวิธีพื้นฐานในการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานคือ รับประทานคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนอย่างพอเหมาะ ลดปริมาณไขมันลง เพิ่มผักหรือผลไม้ในแต่ละมื้อให้มากขึ้น บางคนอาจลองรับประทานอาหารปริมาณครั้งละน้อยๆ แต่รับประทาน วันละหลายๆ มื้อ เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร และป้องกันไม่ให้รับประทานอาหารจุบจิบระหว่างมื้อใหญ่ๆ
เพิ่มพลังให้ผิวสวย ไร้ริ้วรอย ผู้หญิงวัยนี้สามารถฟื้นฟูผิวให้ดูสดใส ไร้ริ้วรอยก่อนวัยด้วยการนอนหลับให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง ประกอบกับรับประทานผลไม้และผักมากๆ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินอีมาก เช่น นม ไข่ ถั่ว ผักโขม มะเขือเทศ เป็นต้น รวมถึงการรับประทานน้ำ ให้ได้วันละ 7-8 แก้ว เพื่อเร่งกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ผลัดเซลล์เก่าภายในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการทาครีมบำรุงและครีม- กันแดด ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจ้า เพราะจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื่น แห้งกร้าน เป็นสาเหตุทำให้มีริ้วรอยก่อนวัย



40-49 วัยแห่งการปรับตัวเท่าทันโรค
ช่วงนี้ถือวัยที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการทำงานภายในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะหมดประจำเดือน (menopause) ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเท่านั้นแต่ยังมีผลกระทบต่ออารมณ์และจิตใจอีกด้วย
การรับมือจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เนื่องจากเมื่อเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะหยุดการทำงาน ทำให้มีผลต่อการทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ เช่น ผิวแห้งและแพ้ง่าย เกิดอาการร้อนวูบวาบ ความดันโลหิตสูง ปวดหัวไมเกรนบ่อยๆ ช่องคลอดแห้งมีอาการคันและแสบ ภาวะนอนไม่หลับและโรคกระดูกพรุน ทั้งนี้เราสามารถรับมือกับโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยการปรึกษาแพทย์ ขอคำแนะนำในการรับประทานฮอร์โมนทดแทนเพื่อบรรเทาอาการข้างต้น นอกจากนี้ยังต้องหมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่ต้องมีใยอาหาร แคลเซียมมากๆ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกเสื่อมมากยิ่งขึ้น โดยการรับประทานอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งประกอบด้วยเอสโตรเจนจากธรรมชาติ เช่น ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ธัญพืชและผักผลไม้ต่างๆ เป็นต้น
รับมือกับภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำตำหนิเมื่อเจอผู้หญิงสูงวัยที่หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวนว่า “อยู่ในภาวะหมดประจำเดือน” ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ ถูกต้อง (ไม่นับนิสัยส่วนตัว) ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้องเผชิญเมื่อถึงวัย แต่เราสามารถ ควบคุมและจัดการกับอารมณ์แปรปรวนหรือความเครียดนี้ได้ โดยการหากิจกรรมที่ผ่อนคลายจิตใจ เช่น ฟังเพลงเบาๆ ท่องเที่ยวกับครอบครัว พูดคุยปรึกษากับเพื่อน เป็นต้น และที่สำคัญควรงดสูบ-บุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมากขึ้น นอกจากนี้ยังต้องระวังโรคร้ายอื่นๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำทุกปี



50-59 วัยแห่งการปรับสมดุลชีวิตสู้โรคภัย
หลายคนในช่วงวัยนี้ประสบภาวะโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ฯลฯ ทั้งนี้แม้ว่าจะรู้อาการของโรคและวิธีการรักษา แต่ก็ยังต้องการความดูแลเอาใจใส่ต่อสุขภาพและการควบคุมไม่ให้โรคร้ายแรงขึ้นโดยไม่ประมาท พื้นฐานของการดูแลรักษาไม่ให้โรคกำเริบหรือเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ คือ การทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การรับประทานอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะต่อโรคนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น
โรคเบาหวาน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูง ควรเน้นผักและผลไม้ที่ไม่มีน้ำตาลมากและให้ใยอาหารสูง ไม่สวมเสื้อผ้าหรือใส่รองเท้าบีบรัดมากเกินไปและดูแลร่างกายไม่ให้เกิดบาดแผล โดยเฉพาะบริเวณเท้า หลังอาบน้ำตอนเย็นทุกวันให้ใช้กระจกส่องฝ่าเท้าเพื่อเช็คว่ามีแผลหรือไม่ หากตรวจพบว่ามีแผลให้รีบทำความสะอาดและเฝ้าระวังไม่ให้แผลลุกลาม หรือให้รีบไปพบแพทย์ทันที
โคเลสเตอรอลสูง หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ส่วนหนังและไขมันสัตว์ รวมถึงอาหารทะเลต่างๆ ทั้งนี้สำหรับบางคนที่ต้องรับประทานยาที่แพทย์แนะนำก็ต้องหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ และหมั่นออกกำลังกายเพื่อช่วยการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดให้ดียิ่งขึ้น
โรคไขข้อ พยายามควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินมาตรฐาน เพราะจะทำให้กระดูกและข้อแบกรับน้ำหนักมาก ทำให้อาการปวดยิ่งรุนแรงมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การลุกนั่ง นอกจากนี้ควรออกกำลังกายเป็นประจำ เน้นประเภทที่ไม่กระเทือนข้อเข่า เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ รำไทเก็ก ชี่กง ฯลฯ
ดังนั้นผู้หญิงควรเอาใจใส่ดูแลความสวยงามและสุขภาพร่างกายไปพร้อมๆ กัน โดยเริ่มตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ ทั้งนี้หากอายุมากคิดจะกลับไปสุขภาพดีเหมือนเดิมย่อมเป็นไปไม่ได้ เป็นสัจธรรมของธรรมชาติ อย่างไรก็ตามการดูแลตามสภาพของวัยอย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้นและมีความสุข

คน Gen Y เลือกความสมดุลมากกว่า เงิน ตำแหน่ง



ผลสำรวจระบุว่า พนักงานในกลุ่ม Gen Y ให้ความสำคัญกับเรื่อง การสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัว (Work/life balance) มากกว่าคนรุ่นอื่นๆ โดยร้อยละ 71 ของคน Gen Y มองว่าค่าตอบแทนหรือการเลื่อนตำแหน่งเป็น priority รองเปรียบเทียบกับคนรุ่นอื่น (Non Milliennials) ที่ร้อยละ 63
ในขณะเดียวกัน พนักงานในกลุ่ม Gen Y กว่าร้อยละ 60 ต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน (Greater flexibility) เช่น สามารถเลือกหรือปรับเปลี่ยนเวลาเข้าทำงานได้ หรือทำงานจากที่บ้าน หรือที่อื่นๆ และเชื่อว่าการได้มาซึ่งความสามารถในการผลิต (Productivity) ไม่ได้วัดกันที่จำนวนชั่วโมงที่ใช้ทำงาน แต่อยู่ที่ผลงานที่ได้มากกว่า (Results/goals achieved over time invested) ซึ่งแตกต่างกับคนรุ่นเก่าที่ถูกปลูกผังและเคยชินกับการทำงานหนักที่ทำงาน เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง และความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
นางสาววิไลพร กล่าวต่อว่า ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่เราพบ คือ คนทำงานรุ่นนี้ (Gen Y) ต้องการรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนร่วมและกำหนดทิศทางของบริษัทไปพร้อมๆ กับการเติบโตไปในองค์กร ผู้บริหารจะต้องตอบโจทย์ความต้องการของเด็กรุ่นนี้ให้ได้ และต้องสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ให้พนักงานทุก level มีส่วนร่วม กระตุ้นให้เกิดความคิดริเริ่ม ร่วมทำงานกับเพื่อนร่วมงานและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
พนักงานในกลุ่ม Gen Y ร้อยละ 41 ต้องการที่จะได้รับความยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน และผู้บริหารอย่างน้อยเป็นประจำทุกเดือน ในขณะที่คนรุ่นเก่ามักไม่ชินกับการแสดงออกความคิดเห็น หรือมักทำงานตามคำสั่งอย่างเดียวและไม่ได้รับ Feedback จนกว่าจะถึงรอบ Performance review cycles (ร้อยละ 30)
คนรุ่นนี้ทำงานรวดเร็วและต้องการให้เจ้านายมีเสียงตอบรับกับผลงานอยู่เป็นประจำ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาความสามารถ แทนที่จะนั่งรอรายงานวัดผลงาน คนเป็นผู้บริหารควรให้คำตอบรับ แนะนำ หรือติชมในทางสร้างสรรค์ ไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตามอยู่เสมอ เพราะคนรุ่นนี้มักคาดหวังว่าจะได้มีผลตอบรับจากนายจ้างทันที และที่สำคัญที่สุดคือการชื่นชมความสำเร็จของพวกเขาอย่างจริงใจ
ผลสำรวจยังระบุว่าคน Gen Y ยังมองหาโอกาสในการทำงานในต่างประเทศหรือ Opportunity oversea (ร้อยละ 37) ผิดกับคนรุ่นเก่า (ร้อยละ 28) ที่มักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง หรือย้ายถิ่นฐานห่างจากครอบครัว
เมื่อมองแนวโน้มในอนาคต สำหรับประเทศไทย เริ่มเห็นหลายๆ องค์กรปรับกระบวนการทางด้านพัฒนาบุคลากร ที่จะ Retain พนักงานให้เหมาะกับแต่ละ Gen อย่างจริงจังมากขึ้น เมื่อก่อนเราอาจจะมีแค่วิธีเดียว สูตรเดียวใช้กับทุกคนในองค์กร เดี๋ยวนี้เริ่มมีบางที่ ที่ทำการวิเคราะห์สัดส่วนจำนวนพนักงานแต่ละ Gen ว่ามีจำนวน Gen X กี่เปอร์เซ็นต์ Gen Y กี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อออกแบบ กลยุทธ์ให้เหมาะสม อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือ บางบริษัทเริ่มมีการประเมินผลงานในรูปแบบ Result-oriented โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพของ Output มากกว่าปริมาณ
นโยบายจากบนลงล่าง หรือ Top-down approach อาจจะเป็นรูปแบบการทำงานที่ใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะคนทำงานรุ่นใหม่ที่เข้ามาในตลาดแรงงานมีการศึกษามากขึ้นกว่าเดิมและคนรุ่นนี้กล้าที่จะตั้งคำถามกับเจ้านาย คนรุ่นหลังๆเติบโตมากับการตั้งถามกับพ่อแม่ ครูอาจารย์ มากกว่าการทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว ถ้าองค์กรยังใช้วิธีบริหารแบบเดิมๆ ก็มีแนวโน้มที่คนรุ่นนี้จะไม่ตอบสนองกับวิธีการบริหารแบบใช้อำนาจและการควบคุม จนในที่สุดบางรายลาออกไป โดยเราไม่สามารถรักษาเขาไว้ได้
นางสาว วิไลพร กล่าวว่า ทุกวันนี้เราจะเห็นพนักงานส่วนใหญ่เป็นคนใน Gen Y และเริ่มมี Gen Z เข้ามาทำงานเพิ่มขึ้น เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงว่า มีผู้บริหารระดับกลางถึงสูง ในบางองค์กรที่เป็นคนในรุ่น Gen Y แล้ว หากผู้บริหารสามารถวางกลยุทธ์เพื่อเชื่อมความแตกต่าง และลดช่องว่างระหว่างวัยของพนักงานเหล่านี้ได้มีประสิทธิภาพมากเท่าไหร่ องค์กรก็จะยิ่งได้เปรียบทางการแข่งขัน ส่งผลดีทั้งในแง่การบริหารงานที่ได้ไอเดียมาจากคนรุ่นใหม่ และยังรักษาคนเก่งๆที่เป็น Gen Y โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเปิด AEC ในปี’58 ที่การโยกย้ายแรงงานจะเป็นไปอย่างเสรี เราจำเป็นที่จะต้องสร้างแรงดึงดูดเพื่อรักษา Talent ให้อยู่กับธุรกิจให้ได้
สำหรับ คำศัพท์ Generation Y (Gen Y), Millennial Generation หรือ Generation M (Gen M) คือผู้ที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523 – พ.ศ. 2538 โดยคนกลุ่มนี้เติบโตมาในยุคดิจิตัล ที่เต็มไปด้วยการสื่อสารผ่านอีเมลล์ เทคโนโลยีบนมือถือ อินเทอร์เน็ต และ สื่อออนไลน์ (Facebook, Skypes, Facetime, Twitter และอื่นๆอีกมาก) มีความเชื่อมั่นในความคิดเห็นของตนเองสูง มีสไตล์การใช้ชีวิตอย่างสมดุล (Work/Life Balance)

วิธีการให้กำลังใจตัวเองในการทำงาน




บทความโดย: ดร.สมสิทธิ์ มีแสงนิล
นิตยสารงานวันนี้

คุณรู้หรือไม่ครับว่าความเคร่งเครียดจะนำมาสู่การมีทัศนคติแง่ลบกับงานที่คุณทำ ไม่ว่าคุณเจออุปสรรค์เล็กหรือใหญ่ คุณก็จะมองว่ามันใหญ่โต เกินกว่าที่คุณจะรับมือได้ สุดท้ายคุณก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปในที่สุด

จริง ๆ แล้วหากเรามองให้ดี ๆ จะพบว่า อะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราพบความล้มเหลว ตัวเราเอง หรือคนอื่น หรือสภาพแวดล้อมอื่น ในวันนี้ ผมอยากบอกท่านผู้อ่านทุกท่านว่า ไม่มีอะไรที่จะมาทำร้ายเราได้ นอกจากเราจะทำร้ายตัวเราเอง

ดังนั้น ก่อนที่เราจะแก้ปัญหาความเคร่งเครียดด้วยสาเหตุอื่น ๆ เรามาปรับทัศนคติให้ดีขึ้นกันดีกว่านะครับ เรามาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง

1. ไม่เป็นไร ผิดพลาดกันได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่

คุณทำงานผิดพลาดแล้วยังจะมานั่งโทษตัวเองให้เหนื่อยทำไม ให้กำลังใจตัวเองเพื่อทำงานชิ้นต่อไปดีกว่านะครับ ยิ่งมัวจมกับความผิดพลาดเดิม ๆ เราก็จะทำงานอื่นต่อไม่ได้ สู้เอาความผิดพลาดมาทำให้ถูกต้องในงานชิ้นใหม่ดีกว่า

สัจธรรมของชีวิตที่ต้องจำไว้อย่างหนึ่งคือ ไม่มีใครจำเรื่องของคนอื่นนานหรอก ถึงใครจะว่าเรามากมายแค่ไหน แต่พอเดินพ้นหน้าเราไปเขาก็ต้องคิดเรื่องอื่นแทน แล้วเราจะมาลงโทษตัวเองอยู่ทำไม

2. งานไม่ได้หนักทุกวันสักหน่อย เดี๋ยวก็ได้พักแล้ว

เวลางานล้นมือเราอาจท้อ แต่ท้อไปงานก็ไม่เสร็จ ลุกมาทุ่มเททำให้เสร็จ ๆ ไปดีกว่า เหนื่อยแค่ไหนเดี๋ยวก็ได้พัก และสิ่งที่ต้องทำเมื่องานเยอะคือ จัดระเบียบเส้นตายของงานแต่ละชิ้น เจรจาต่อรองถ้าคิดว่าจะไม่เสร็จตรงเวลา แล้วค่อย ๆ ทำไปทีละงาน เดี๋ยวดีเองครับ

3. ถึงจะไม่เก่งงานนี้ แต่เราก็พยายามเต็มที่แล้ว

บ่อยครั้งที่เราได้รับมอบหมายงานที่ไม่ถนัด ก็คิดเสียว่าไม่เป็นไร ทำให้เต็มที่ แต่ก่อนทำก็บอกคนที่มอบหมายหน่อยว่าไม่ค่อยถนัดนะ แต่จะทำเต็มที่ ผิดพลาดอะไรบอกได้ เขาจะได้ไม่คาดหวังมาก แต่ถ้าทำออกมาแล้วดีก็ถือเป็นกำไร

อย่าเสียใจที่ทำงานบางประเภทไม่เก่ง เพราะเราอาจจะเก่งในงานประเภทอื่นก็ได้ จำไว้ว่าปลาอาจจะว่ายน้ำเก่งกว่าลูกสุนัข แต่ปลาวิ่งไม่ได้เหมือนกัน ถ้าปลาตัวหนึ่งจะโดดขึ้นมาบนบกแล้วคืบคลานจนถลอกปอกเปิกก็คงไม่มีใครว่าอะไร เพราะมันเป็นปลาจริงไหมครับ

4. ใครจะว่าอะไรก็ช่าง ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็พอแล้ว

เคยได้ยินคนพูดเรื่องการติดฉลากไหม การติดฉลากคือการประทับตราว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพื่อให้ง่ายต่อการจัดประเภท ทีนี้ปัญหาอยู่ที่ว่าถ้าติดฉลากถูกก็ดีไป แต่ถ้าเมื่อไรติดฉลากผิด สิ่งนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นตามฉลากก็เท่านั้น

ในหลักการเดียวกัน ถ้าใครมาว่าคุณสารพัดเรื่อง แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นอย่างเขาบอก ก็ไม่เห็นจะต้องคิดมากกับฉลากที่เขาเอามาติดไว้ ถ้าคุณเป็นน้ำตาล แล้วเขาเอาฉลากน้ำปลามาติดให้ก็ไม่ใช่ปัญหาของคุณ เขาเองต่างหากที่คิดผิด

5. ให้เกียรติงานที่ทำด้วยการทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ อย่าบ่นว่าไม่ชอบงาน

นึกถึงกระเป๋ารถเมล์ที่ยิ้มแย้มแจ่มใสสิครับ แล้วเปรียบเทียบกับเราที่นั่งบ่นอยู่นั่นแล้วว่าเหนื่อย ไม่สนุก ถามว่างานหรือเปล่าที่ทำให้เราทุกข์ จริง ๆ แล้ว เราต่างหากที่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ เพราะนั่งพร่ำบ่นกับสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ ถ้าใครได้ทำงานที่ชอบก็ดีไป แต่อย่าลืมว่างานที่ชอบก็มีด้านที่ทำให้เราเหนื่อยได้เหมือนกัน

ใช่ว่าหนทางการทำงานจะปูด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป สิ่งที่เราควรคิดคือ งานคือสิ่งที่ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า อย่าดูถูกงานของตัวเอง ไม่เช่นนั้นเราก็ดูถูกตัวเองด้วยที่เลือกทำงานนั้น อย่าลืมว่าเราต่างหากที่เป็นคนเลือกที่จะทำหรือไม่ทำ ดังนั้นทำงานที่เราเลือกในเวลานั้น ๆ

หวังว่าทุกท่านจะเริ่มมีทัศนคติดี ๆ ที่มีพลังพอที่จะเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ นะครับ

ที่มา : ejobeasy.com

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 104 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - My King

รายการรักพ่อ104 My King

พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน ธงไทยในต่างแดน, เส้นสาย ลวดลายชีวิต ทีนพลัสรักพ่อ จากชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว จ.ชลบุรี, ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว, บทกวี บังคับอุทกภัย จาก ณุ บูรพา

http://www.youtube.com/watch?v=Cd5yfj_N_LM



มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

. ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ


บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นในวันที่ 11 กันยายน (ตึกเวิรด์เทรดถล่ม) หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้นด้วย.. ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ อยากให้ทุกคนได้อ่าน ข้อความนี้ มีความหมายดีนะ

ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น
เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า
แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น.....
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง
เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นจากนี้ไปขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ
เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ โอกาสที่พิเศษสุดแล้ว
จงแสวงหา การหยั่งรู้
จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ..อยาก
จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น.
กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป
ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด
เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย
น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้
เอาคำพูดที่ว่า.สักวันหนึ่ง..ออกไปเสียจากพจนานุกรม
บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน
อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น
ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย
เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง

..และเวลานี้.
ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้ไปให้คนที่คุณรักอ่าน แล้วคิดว่า.สักวันหนึ่ง..ค่อยส่ง..จงอย่าลืมคิดว่า.สักวันหนึ่ง..วันนั้น คุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้เพื่อทำอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้

สุนทรพจน์ที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลกของ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple และผู้สร้าง Macintoch


สุนทรพจน์ที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลกของ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple และผู้สร้าง Macintoch

โอวาทที่ Steve Jobs ผู้สร้าง Macintosh แสดงในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัย Stanford เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แก่บัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกคอมพิวเตอร์ที่ Silicon Valley และยังคงได้รับการชื่นชมและกล่าวขวัญไปทั่วโลกจนถึงวันนี้

สุนทรพจน์วันนั้น Jobs เพียงแต่เล่าถึงบทเรียนในชีวิตของเขา 3 บท แต่เป็น 3 บทที่ทำให้เขาซึ่งแม้แต่แม่ที่แท้จริงก็ไม่ต้องการ กลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

บทเรียนบทแรกของ Jobs ซึ่งเขาเรียกมันว่า “การลากเส้นต่อจุด” เริ่มต้นด้วยการเล่าว่า ตัวเขาเองไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะได้ลาออกหลังจากเรียนในมหาวิทยาลัย Reed College ไปได้เพียง 6 เดือน ส่วนเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยนั้น Jobs กล่าวว่า มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังไม่เกิด

แม่ที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นนักศึกษาสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ต้องการเลี้ยงดูเขา และตัดสินใจยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก แต่เธอมีเงื่อนไขว่า พ่อแม่บุญธรรมของลูกของเธอจะต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย Jobs เกือบจะได้เป็นลูกบุญธรรมของนักกฎหมายที่จบมหาวิทยาลัยและมีฐานะ ถ้าเพียงแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายว่า พวกเขาไม่ต้องการเด็กผู้ชาย

กว่า Jobs จะได้พ่อแม่บุญธรรม ซึ่งต่อมาเป็นผู้เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ก็อีกหลายเดือนหลังจากเขาเกิด เนื่องจากแม่ที่แท้จริงของเขาเกิดจับได้ว่า ว่าที่พ่อแม่บุญธรรมของ Jobs ได้ปิดบังระดับการศึกษาที่แท้จริงซึ่งไม่ได้จบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของ Jobs ไม่ได้เรียนมัธยมด้วยซ้ำ แต่ต่อมาเธอก็ได้ยอมเซ็นยก Jobs ให้แก่พ่อแม่บุญธรรม เมื่อพวกเขารับปากว่าจะส่งเสียให้ Jobs ได้เรียนมหาวิทยาลัย

17 ปีต่อมา Jobs ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสมตามความต้องการของแม่ที่แท้จริง ผู้ไม่เคยเลี้ยงดูเขาแต่กลับต้องการกำหนดชะตาชีวิตของลูกที่ตนไม่เคยเลี้ยงดู เพียง 6 เดือนในมหาวิทยาลัย Jobs ใช้เงินเก็บที่พ่อแม่บุญธรรมซึ่งเป็นเพียงชนชั้นแรงงานได้สะสมมาตลอดชีวิต หมดไปกับค่าเล่าเรียนที่แสนแพง Jobs ตัดสินใจลาออก เพราะเขามองไม่เห็นคุณค่าของการเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่สามารถช่วยให้เขาคิดได้ว่า เขาต้องการจะทำอะไรในชีวิต

แม้ว่าตอนนี้เมื่อมองกลับไปเขาจะรู้สึกว่า การตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา เพราะการลาออกทำให้เขาไม่ต้องฝืนเข้าเรียนในวิชาปกติที่บังคับเรียนซึ่งเขาไม่เคยชอบหรือสนใจ แต่สามารถเข้าเรียนในวิชาที่เขาเห็นว่าน่าสนใจได้

แต่เขาก็ยอมรับว่า นั่นเป็นชีวิตที่ยากลำบาก เมื่อเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาจึงไม่มีห้องพักในหอพัก และต้องนอนกับพื้นในห้องของเพื่อน ต้องเก็บขวดโค้กที่ทิ้งแล้วไปแลกเงินมัดจำขวดเพียงขวดละ 5 เซ็นต์ เพื่อนำเงินนั้นไปซื้ออาหาร และต้องเดินไกล 7 ไมล์ทุกคืนวันอาทิตย์ เพื่อไปกินอาหารดีๆ สัปดาห์ละหนึ่งมื้อที่วัด Hare Krishna

อย่างไรก็ตาม เขาชอบที่หลังจากลาออก เขาสามารถที่จะไปเข้าเรียนวิชาใดก็ได้ที่สนใจ และวิชาทั้งหลายที่เขาได้เรียนในช่วงนั้น ซึ่งเขาใช้เวลาทั้งหมด 18 เดือน โดยเลือกเรียนตามแต่ความสนใจและสัญชาตญาณของเขาจะพาไป ได้กลายมาเป็นความรู้ที่หาค่ามิได้ให้แก่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา และหนึ่งในนั้นคือ วิชา ศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร (calligraphy)

Jobs ยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาเองก็ยังมองไม่ออกเช่นกันว่า จะนำความรู้ที่ได้จากวิชานี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้ในอนาคตของเขา แต่ 10 ปีหลังจากนั้น เมื่อเขากับเพื่อนช่วยกันออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก วิชานี้ได้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อน และทำให้ Mac กลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ที่มีการออกแบบตัวอักษรและการจัดช่องไฟที่สวยงาม

ถ้าหากเขาไม่ลาออกจากมหาวิทยาลัย เขาก็คงจะไม่เคยเข้าไปนั่งเรียนวิชานี้ และ Mac ก็คงไม่อาจจะมีตัวอักษรแบบต่างๆ ที่หลากหลาย หรือ font ที่มีการเรียงพิมพ์ที่ได้สัดส่วนสวยงาม รวมทั้งเครื่องพีซี ซึ่งใช้ Windows ที่ลอกแบบไปจาก Mac อีกต่อหนึ่งก็เช่นกัน คงจะไม่มีตัวอักษรสวยๆ ใช้อย่างที่มีอยู่ในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม Jobs บอกว่า ในเวลาที่เขาตัดสินใจลาออกนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถ “ลากเส้นต่อจุด” หรือหยั่งรู้อนาคตได้ว่า วิชาออกแบบและประดิษฐ์ตัวอักษร (คอลิกราฟฟี่) จะกลายเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ในการออกแบบ Mac เขาเพียงสามารถจะลากเส้นต่อจุดระหว่างวิชาลิปิศิลป์กับการคิดค้นเครื่อง Mac ได้อย่างชัดเจน ก็ต่อเมื่อมองย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้น

ในเมื่อไม่มีใครที่จะลากเส้นต่อจุดไปในอนาคตได้ ดังนั้นคำแนะนำของ Jobs ก็คือ คุณจะต้อง “ไว้ใจและเชื่อมั่น” ว่า จุดทั้งหลายที่คุณได้ผ่านมาในชีวิตคุณ มันจะหาทางลากเส้นต่อเข้าด้วยกันเองในอนาคต ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา โชคชะตา ชีวิต หรือกฎแห่งกรรม ขอเพียงแต่คุณต้องมีศรัทธาในสิ่งนั้นอย่างแน่วแน่

บทเรียนชีวิตบทที่สองที่ Jobs เล่าต่อไปคือ ความรักและการสูญเสีย Jobs อายุเพียง 20 ปี เมื่อเขาเริ่มก่อตั้ง Apple กับเพื่อนที่โรงรถของพ่อ เพียง 10 ปีให้หลัง Apple เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์และพนักงานมากกว่า 4,000 คน

แต่หลังจากที่เขาเพิ่งเปิดตัว Macintosh ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดของเขา ได้เพียงปีเดียว Jobs ก็ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งเองกับมือ เมื่ออายุเพียงแค่ 30 ปี หลังจากเขาทะเลาะถึงขั้นแตกหักกับนักบริหารมืออาชีพ ที่เขาเองเป็นผู้ว่าจ้างให้มาบริหาร Apple และกรรมการบริษัทกลับเข้าข้างผู้บริหารคนนั้น

ข่าวการถูกไล่ออกของเขาเป็นข่าวที่ใหญ่มาก และเช่นเดียวกัน มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา Jobs กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา และเขารู้สึกเหมือนตัวเองพังทลาย เขาไม่รู้จะทำอะไรอยู่หลายเดือน และถึงกับคิดจะหนีออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต

แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งกลับค่อยๆ สว่างขึ้นข้างในตัวเขา และเขาก็พบว่า เขายังคงรักในสิ่งที่เขาทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple มิอาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วแม้เพียงน้อยนิด เขาจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาพบว่า การถูกอัปเปหิจาก Apple กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขา เพราะความหนักอึ้งของการประสบความสำเร็จได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการเป็นมือใหม่อีกครั้ง และช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ จนสามารถเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตของเขา

ช่วง 5 ปีหลังจากนั้น Jobs ได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar และพบรักกับ Laurence ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา Pixar ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก

ส่วน Apple กลับมาซื้อ NeXT ซึ่งทำให้ Jobs ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง และเทคโนโลยีที่เขาได้คิดค้นขึ้นที่ NeXT ได้กลายมาเป็นหัวใจของยุคฟื้นฟูของ Apple

Jobs กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขมแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก Jobs เชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เขาลุกขึ้นได้ในครั้งนั้น คือเขารักในสิ่งที่เขาทำ ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่คุณจะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว

ส่วนบทเรียนชีวิตบทสุดท้ายในโอวาทของเขาคือ ความตาย เมื่ออายุ 17 ปี Jobs ประทับใจในข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านมา ซึ่งเสนอแนวคิดให้คนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอด 33 ปีที่ผ่านมา Jobs จะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่เขากำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง

Jobs กล่าวว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่าความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่านั้น

วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ตับอ่อนชนิดที่รักษาไม่ได้ และจะตายภายในเวลาไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ถึงกับบอกให้เขากลับไปสั่งเสียครอบครัวซึ่งเท่ากับเตรียมตัวตาย

แต่แล้วในเย็นวันเดียวกัน เมื่อแพทย์ได้ใช้กล้องสอดเข้าไปตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อนของเขาออกมาตรวจอย่างละเอียด ก็กลับพบว่า มะเร็งตับอ่อนที่เขาเป็นนั้นแม้จะเป็นชนิดที่พบได้ยากก็จริง แต่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด และเขาก็ได้รับการผ่าตัดและหายดีแล้ว

นั่นเป็นการเข้าใกล้ความตายมากที่สุดเท่าที่ Jobs เคยเผชิญมา และทำให้ขณะนี้เขายิ่งสามารถพูดได้เต็มปาก เสียยิ่งกว่าเมื่อตอนที่เขาเพียงแต่ใช้ความตายมาเตือนตัวเองเป็นมรณานุสติว่า ไม่มีใครที่อยากตาย แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนเพื่อจะไปสวรรค์ แต่ก็ไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น และเขาคิดว่า มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น Jobs เห็นว่า ความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ชีวิต” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ความตายกวาดล้างสิ่งเก่าๆ ให้หมดไปเพื่อเปิดทางให้แก่สิ่งใหม่ๆ

ดังนั้น Jobs บอกว่า เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะพาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่า คุณต้องการจะเป็นอะไร

Jobs ปิดท้ายสุนทรพจน์ของเขา ด้วยการหยิบยกวลีที่อยู่ใต้ภาพบนปกหลังของวารสารฉบับสุดท้ายของวารสารเล่มหนึ่งที่เลิกผลิตไปตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งเขาเปรียบวารสารดังกล่าวเป็น Google บนแผ่นกระดาษ และเป็นประดุจคัมภีร์ของคนรุ่นเขา วารสารดังกล่าวมีชื่อว่า The Whole Earth Catalog จัดทำโดย Stewart Brand ส่วนวลีนั้นคือ “จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหวังจะเป็นเช่นนั้นเสมอมา

Fortune ฉบับเดือนกันยายน 2548

แปลและเรียบเรียงโดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์"

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

น้ำใจ ต่อลมหายใจ ลุงแดง เสภา


บนเส้นทางของมิตรภาพที่ยาวไกล กับ
น้ำใจเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ของ เหล่าศิลปิน จากเวทีแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย
ต่อลมหายใจ ให้ลุงแดง เสภา เมื่อ 29 มีค2557



น้ำใจ ต่อลมหายใจ ลุงแดง

เพื่อชีวิต ฅ : เรียบร้อยกับงานคอนเสิร์ตต่อลมหายใจให้ลุงแดง-เสภา ธนาชัย คนรักในหลวง แดง-เสภา ยอดเงินทั้งสิ้น 40000 บาท
ขอบคุณ ทุกสิ่งอย่างที่ทำให้งานนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ขอบคุณๆๆ
พรุ่งนี้ 30 มีค พวกเราจะนำเงินไปมอบให้ลุงแดง ขอบคุณอีกคร้ง จากใจ

ธนาชัย คนรักในหลวง แดง-เสภา : กราบขอบคุณพี่น้องผู้ไม่เคยทอดทิ้งลุงแดงเลย ช่วยเหลือลุง
มาครังที่สามแล้ว ลุงจึงรอดตายจากการช่วยเหลือจากพี่น้องมาตลอดยอดเงินนี้นำม่สำคัญเท่าจิดใจ ที่้ขาเรียกวไ้ดใจ กันมากกว่ากัการทุ่เมจนเกิดกิจกรรมและความสำเร็จตามมา คุณจาก็มาร่วมดีใจจังพี่น้องต้อมาเยี่ยมผมที่ รพ.นะ คิดถึงครับ
ชอบคุณครับทุกคนทุกท่าน



ช่วยลุงแดง เสภา

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

6 เหตุผลสำคัญว่าทำไมคุณต้องมีและตามหาความฝัน



1. ทำให้ชีวิตคุณมีค่าและมีชีวิตชีวามากชึ้น
การมีและมุ่งมั่นทำให้ฝันเป็นจริงจะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้คุณสามรถเอาตัวรอดผ่านวันร้ายๆ ในชีวิตได้ เป็นเหตุผลให้ก้าวเดินต่อเมื่อพบอุปสรรค์สูงชันมาขวางกั้น เป็นเหตุผลให้คุณกระโดดออกจากเตียงทุกเช้าเพื่อทำมัน และเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณมีคุณค่า ชีวิตที่ไม่มีความฝันที่คุณต้องการเพื่อจะทำให้มันเป็นจริงเป็นชีวิตที่น่าเบื่อแค่ตื่นขึ้นมาแล้วทำเรื่องเดิมซ้ำๆ
2. ทำให้คุณพบนักล่าฝันคนอื่นๆ
จากกฎของแรงดึงดูด “สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดสิ่งที่เหมือนกัน” เมื่อคุณเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและความตื่นอย่างมากที่จะทำฝันให้เป็นจริง จะดึงดูดคนอื่นๆ ที่สนใจคล้ายกันมาอยู่ใกล้ๆ ทำให้คุณแวดล้อมตัวเองไปด้วยผู้คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงซึ่งจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้สูงขึ้นและมากขึ้น
3. ทำให้คุณสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น
ในขณะที่คุณมุ่งมั่นทำฝันให้เป็นจริง คุณสามารถเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้คนที่มีความต้องการคล้ายกันได้โดยไม่รู้ตัว ช่วยให้คนอื่นมีเหตุผลที่ดีในการลงมือทำสิ่งที่เขาต้องการ คุณสามารถช่วยเป็นโค้ซหรือที่ปรึกษาเพื่อให้พวกเขาสามารถเดินต่อไปได้ ช่วยให้ตัวคุณเองรู้สึกเติมเต็มและมีความสุขเพิ่มขึ้น
4. ทำให้คุณมีเหตุผลในการทำสิ่งที่ไม่ชอบแต่จะช่วยให้ฝันของคุณเป็นจริง
เมื่อคุณมีความฝันที่คุณต้องการและมีแผนในการทำฝันให้เป็นจริง คุณอาจพบว่ามีบางกิจกรรมตามแผนเป็นสิ่งที่คุณไม่ชอบ ความฝันจะเป็นเหตุผลให้คุณตอบตัวเองว่าคุณต้องอดทนทำมันชั่วคราวเพื่อความสุขที่ถาวรในการทำฝันให้เป็นจริง
5. เพื่อสร้างความภูมิใจและความสุขให้กับตัวคุณเองอย่างต่อเนื่อง
คุณสามารถภูมิใจและมีความสุขตั้งแต่เดี๋ยวนี้ที่คุณมีฝันที่คุณต้องการ คุณจะมีความภูมิใจและความสุขตลอดกระบวนการในการทำตามความฝันแม้มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเพราะคุณรู้ดีว่ากำลังขยับเข้าใกล้มันทุกวัน
6. เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว
ชีวิตของเรามันสั้น คุณไม่มีทางรู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้อีกกี่วัน คุณควรใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีคุณค่าสูงสุดเพื่อตัวเองและคนที่คุณรัก ไม่มีเหตุผลที่จะใช้ชีวิตอยู่ในการอาศัยชีวิตของคนอื่นและทำสิ่งที่คุณไม่ได้รัก
ถึงเวลาที่คุณจะมีและตามหาความฝันของคุณหรือยังครับ เพราะคุณสามามรถเริ่มทำมันตั้งแต่เดี๋ยวนี้พร้อมกับสิ่งที่คุณทำอยู่ในปัจจุบันได้เสมอ

ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน



โดย : ภัทรศักดิ์ อุตตมะโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท APM Learning จำกัด
จะทำอย่างไรให้สามารถสร้างผลงานที่ดีขึ้นมาได้ คำตอบคือต้องมีความรู้ในงานที่ทำ แต่มีเพียงความรู้เท่านั้นคงไม่พอเพราะรู้แต่ทำไม่เป็นก็มี
ผลงานที่ดีจึงต้องรู้แบบมีความชำนาญด้วยการฝึกฝนเหมือนมีดาบแล้วลับให้คมเสมอ แต่ความรู้และความชำนาญ ก็ไม่อาจสร้างผลงานที่ดีถ้าขาด “ใจ” เพราะมันเป็นตัวขับเคลื่อน
คนทั้งรู้ทั้งเก่งและชำนาญ แต่ทำไมทำไม่ดีหรือไม่ทำ นั่นก็เพราะ “ไม่มีใจที่จะทำ” มันเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ (Intangible) เราจับต้อง “ความรู้ความชำนาญ” หรือความเก่งในตัวใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ แต่เราเห็น เราได้ยินได้ฟัง เราอ่านแล้วทดลองทำฝึกฝนลองผิดลองถูก จนเกิดเป็นความรู้และเป็นความชำนาญขึ้นโดยมีใจเป็นตัวชี้นำ จนให้เกิดเป็น “ผลงาน” ที่มีคุณค่า
แต่ในโลกของความเป็นจริงมีหลายสิ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ “ผลงาน” ของคนแต่ละคนมีความแตกต่างกัน จากการศึกษาของ American Society for Training and Development หรือ ASTD ระบุว่าสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาผลงานของบุคลากรมีปัจจัยหลัก 6 กลุ่ม ได้แก่
1.ทรัพยากรกายภาพ (Physical Resources) หมายถึง การมีอยู่หรือความมีพร้อมของ เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ในการทำงาน เทคโนโลยี เครื่องจักร แสงสว่าง งบประมาณด้านการเงิน เป็นต้น
2.โครงสร้าง/กระบวนการ (Structure/Process) หมายถึง สายการบังคับบัญชาในการทำงาน การสนับสนุนของฝ่ายบริหารจัดการในองค์กร ขั้นตอนการทำงาน นโยบายและกฎระเบียบในการทำงาน
3.ข้อมูล (Information) ด้วยขีดความสามารถที่สูงขึ้นของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และเครือข่ายที่กว้างไกล ทำให้ทุกวันนี้เราต่างใช้ข้อมูลในการสร้างผลงานกันมากขึ้น
4.ความรู้ (Knowledge) เป็นความรู้ที่บุคลากรสร้างขึ้นภายในตัวจากการทำงานในหน้าที่งานหนึ่งๆ ซึ่งอาจได้รับจากการเรียนรู้ที่องค์กรจัดให้ผ่านทางการอบรม การสอนงาน การมีพี่เลี้ยงในการทำงาน การฝึกปฏิบัติจริงในงาน หรือจากการศึกษาค้นคว้าทดลองด้วยตนเอง การศึกษาต่อเนื่องในระดับที่สูงขึ้น เป็นต้น
5.แรงจูงใจ (Motive) เป็นแรงกระตุ้นให้บุคลากรเรียนรู้และสร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง แรงจูงใจเกิดขึ้นได้ทั้งจากปัจจัยที่เป็นรูปธรรมเช่น การได้รับผลตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานการได้รับเงินรางวัลพิเศษ สิทธิประโยชน์เพิ่ม การแบ่งปันผลกำไร ฯลฯ และปัจจัยที่เป็นนามธรรม เช่น การยกย่องชมเชย ความมั่นคงในงาน เกียรติยศชื่อเสียงตามตำแหน่งหน้าที่ผลงาน ความก้าวหน้า ฯลฯ
6.ความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness) หมายถึง สภาพความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจของบุคลากร เช่น การได้ออกกำลังกาย มีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ ได้รับการดูแลรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง การได้รับคำปรึกษาปัญหาเรื่องชีวิตส่วนตัว ครอบครัว การบริหารจัดการความเครียดเพื่อให้มีสภาพจิตใจที่พร้อมกับการทำงาน เป็นต้น
ในมุมของ ASTD ยังพูดไปถึงสภาพแวดล้อมที่เชื่อมโยงกับตัวบุคลากรและการสร้างผลงานที่ดีด้วย โดยแยกเป็นปัจจัยนอกตัวบุคลากรอันได้แก่ ทรัพยากรกายภาพ โครงสร้าง/กระบวนการ และข้อมูล ในขณะที่ความรู้ แรงจูงใจ และความเป็นอยู่ที่ดีเป็นปัจจัยที่ตัวบุคลากร องค์กรจำเป็นต้องบริหารจัดการปัจจัยนอกตัวและที่ตัวบุคลากรเพื่อสร้างเสริมให้เกิดผลงานที่ดีและรักษาผลงานที่ดีนี้ไว้
แนวโน้มด้านการบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่าเป็นประเด็นสำคัญที่คนในวงการพูดถึงมากเป็นเรื่อง การบริหารจัดการผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) ซึ่งเชื่อว่ายังคงเป็นประเด็นสำคัญอีกหลายปี เนื่องจากผู้บริหารและผู้จัดการในองค์กรจำนวนมากมักเข้าใจว่า การบริหารจัดการผลการปฏิบัติงานคือการสร้างระบบในการประเมินผล การสร้างแบบฟอร์ม ตัววัดผลสำเร็จในงานแต่ละงานที่สอดรับกับเป้าประสงค์และตัววัดผลสำเร็จหลักขององค์กร รวมทั้งการกำหนดอัตราผลตอบแทน
ผมมองเรื่องเหล่านี้ว่าเป็นมุมการจัดการ ยังมีมุมของการบริหารที่เกี่ยวข้องกับความพร้อมของผู้ปฏิบัติงานทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ผมจึงอยากพูดถึงรูปแบบของการพัฒนาผลงานบุคลากรในสถานที่ทำงาน (Human Performance Improvement in the Workplace - HPI in the Workplace) ซึ่ง ASTD พัฒนาขึ้นโดยผสานความคิดผลงานการค้นคว้าวิจัยศึกษาศาสตร์แขนงต่างๆ เช่น จิตวิทยาสาขาพฤติกรรมศาสตร์ (Behaviorism) การออกแบบการเรียนรู้และระบบการสอน (Organizational Learning and Instructional Systems Design) การพัฒนาองค์กรและการจัดการการเปลี่ยนแปลง (Organizational Development and Change Management) ทฤษฎีระบบ (System Theory) ฯลฯ
รูปแบบของการพัฒนาผลงานบุคลากรในสถานที่ทำงานดังกล่าวแบ่งเป็น 7 ขั้นตอน ได้แก่
1.การวิเคราะห์องค์กรหรือธุรกิจ (Business Analysis) องค์กรแต่ละแห่งมีคุณลักษณะไม่เหมือนกันจำเป็นต้องทำความเข้าใจในตัวองค์กรเสียก่อน ไม่เช่นนั้นอาจมีความผิดพลาดหรือล้มเหลวได้
สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ เป้าประสงค์ขององค์กร แยกสิ่งที่เป็นเพียงความต้องการ (Wants) ออกจากความจำเป็น (Needs) และผลลัพธ์ที่แท้จริงที่ต้องการ (Results) โดยเริ่มจากการตอบคำถามสามประการคือ 1.เราคือใคร (Who are we?) 2.เราทำอะไร (What business are we in?) 3.เราเกิดขึ้นมาหรือถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อทำอะไร (Why are we here? Or what are our business objectives?) และเราจะมุ่งหน้าไปทางไหน (Where are we going?) หรือ เราต้องการบรรลุผลสำเร็จอะไร? (What do we want to be or to achieve?)
2.การวิเคราะห์ผลงาน (Performance Analysis) การทำความเข้าใจในงานที่บุคลากรได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติ ความสัมพันธ์ของผลงานที่ทำได้กับความสำเร็จขององค์กรหรือธุรกิจ มุ่งเน้นระดับผลงานที่ต้องการและระดับผลงานที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อชี้ให้เห็นถึงช่องว่างผลงาน (Performance Gap) อันจะนำไปสู่การวิเคราะห์หาสาเหตุของช่องว่างผลงานในขั้นตอนที่สามต่อไป
3.การวิเคราะห์สาเหตุ (Causes Analysis) ช่องว่างผลงาน (Performance Gap) อาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุ จำเป็นต้องวิเคราะห์ในทุกประเด็นและสรุปความเชื่อมโยงของประเด็นสาเหตุ ก่อนที่จะกำหนดวิธีการในการแก้ไขหรือพัฒนาผลงานในขั้นตอนถัดไป
4.การเลือกวิธีแก้ไข/พัฒนาผลงาน (Solution Selection) การเลือกวิธีแก้ไข/พัฒนาผลงานเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ต้องคำนึงถึงระดับความพยายามที่ต้องใช้ขอบเขตของการปฏิบัติที่ต้องการ เพื่อสร้างให้เกิดผลลัพธ์ในทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับผลลัพธ์ที่ปรารถนา (Desired Performance) ครอบคลุมไปยังบุคลากรหรือหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กร เวลาที่จะใช้ในการสร้างผลลัพธ์ตามวิธีการแก้ไข/พัฒนาผลงานที่เลือก รวมทั้งงบประมาณการลงทุนด้านทรัพยากรกายภาพอื่นด้วย
5.การนำวิธีแก้ไขหรือพัฒนาผลงานไปปฏิบัติ (Solution Implementation) เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ การกำหนดแผนงาน ทีมงาน วิธีการเพื่อนำวิธีแก้ไข/พัฒนาผลงานที่เลือกไปปฏิบัติ การจัดให้มีระบบติดตามผล รวบรวมข้อมูลรายงานความคืบหน้า และประเมินผลลัพธ์ที่ได้ การสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ในขั้นตอนนี้จำเป็นต้องอาศัยความรู้ความสามารถด้านการบริหารจัดการโครงการ (Project Management) มาประกอบ
6.การประเมินผลลัพธ์ (Evaluation of Results) เป็นการระบุวิธีประเมินและประเภทของข้อมูลที่ต้องการ การจัดทำรายงานสรุปผลเพื่อนำเสนอ การประเมินผลลัพธ์ความจริงแล้วไม่ใช่ขั้นตอนรองสุดท้าย แต่เริ่มมาตั้งแต่การวิเคราะห์ผลงาน เพื่อให้ทราบถึงช่องว่างผลงานซึ่งต้องเปรียบเทียบระหว่างผลงานที่ปรารถนากับผลงานที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
7.การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ในทางปฏิบัติแล้วขั้นตอนนี้ครอบคลุมภาพทั้งหมดตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 จนถึงขั้นตอนที่ 6 เพราะเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นนั่นเอง
แนวคิดดังกล่าวนี้ได้ชี้ถึงแนวทางการปรับแต่งและสร้างเสริมผลงานบุคลากรในระดับต่างๆ ขององค์กร และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบุคลากรสมดั่งคำที่ว่า “ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน”

11 เหตุผลที่ไม่ควรเป็นมนุษย์เงินเดือน



บันทึกเรื่องเล่าของคนที่ไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน
บทความก่อนหน้านี้ผมได้เขียนเกี่ยวกับ จุดเริ่มต้นของคนที่ไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน ซึ่งมาในบทความนี้ผมได้รวบรวมสิ่งที่ผมได้เจอมาในช่วงที่เคยเป็นมนุษย์เงินเดือน (มาสักพักหนึ่ง) ซึ่งเหตุผลเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจลาออกจากบริษัทนั่นเอง
เหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจลาออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน
• เงินไม่พอใช้ – การเกษียณ แล้วเงินไม่พอใช้ เอาง่ายๆ อย่างน้อยๆ ผมก็หวั่นกับ คุณพ่อและคุณแม่ ของผม ที่รับราชการครู อยู่นี่แหละ
• ใช้เวลาทำงานเยอะเกินไป – ทำงานทั้งชีวิต (อายุ 22-60) ใช้เวลา ถึง 38 ปี แล้วค่อยกินเงินเก็บ มันออกจะใช้เวลานานไปหน่อย แล้วถ้าเงินเก็บไม่พอ ก็ต้องย้อนกลับไปดูหัวข้อก่อนหน้านี้แล้วล่ะ
• นายจ้างได้ผลประโยชน์เต็มๆ – คนที่ได้จากประโยชน์จากมนุษย์เงินเดือนคือบริษัทเต็มๆ และเมื่อไหร่ก็ตามที่หมดความสำคัญแล้ว ทั้งผลงาน ทั้งบทบาท ก็ยุติลงที่นั่นแทบจะทันที
• ทำงานไร้ประสิทธิภาพ – ทำงานเวลา 08.00 – 17.00 น. ไม่ใช่เรื่องที่ดี อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีช่วงเวลาหนึ่งล่ะ ที่มนุษย์เงินเดือน ต้องแอบเล่นเกมส์, ดูหนัง, ฟังเพลง หรือแม้แต่คุยเรื่อยเปื่อยกับเพื่อนร่วมงาน นั่นหมายถึง การทำงานให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ไม่จำเป็นต้องทำในช่วงเวลาของทุกๆวัน วันละ 8 ชั่วโมง เป็นแบบนี้ทุกๆเดือน
• หนี้สิน – มนุษย์เงินเดือนมักจะหลวมตัว ผ่อนรถ, ผ่อนบ้าน, ผ่อนบัตรเครดิต สารพัดการผ่อน และการใช้ฟุ่มเฟือย ไม่ว่าจะเป็น การเที่ยวกับเพื่อนร่วมงาน, การซื้อโทรศัพท์ใหม่ หรือ ชุดใหม่ หรือ เครื่องประดับใหม่ เพื่อไม่ให้น้อยหน้าเพื่อนร่วมงาน และแน่นอน มันทำให้ลาออกไม่ได้ ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนไปใช้หนี้เขา
• กับดักของการเลื่อนขั้น – มนุษย์เงินเดือน มักจะทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้เลื่อนขั้น ได้เป็นหัวหน้า แต่ประสบการณ์ที่น่ากลัวที่สุดที่ผมได้ยินมาก็คือ ตำแหน่งสูงๆของมนุษย์เงินเดือนนั้น ถ้าลูกไล่ออกแล้ว จะหางานได้ยากมาก เพราะค่าตัวสูงเกินที่บริษัทใหม่จะจ้างได้ และแน่นอน มีคนที่ผมรู้จักหลายๆคน หวั่นเรื่องการ Layoff หรือการปลดพนักงานอยู่ร่ำไป และผมได้มีประสบการณ์จากเพื่อนร่วมงาน ที่โดนปลดกลางอากาศ (หมายถึง การที่เจ้านายยื่นซองขาวหรือใบลาออก โดยเดินเอามาให้ที่โต๊ะทำงานกันเลยทีเดียว) น่ากลัวสุดๆ
• ไม่มีเวลา – มนุษย์เงินเดือน มักจะทำทุกอย่างเพื่อเงิน เพื่อเอาเงินไปใช้จ่าย และแน่นอนครับ สิ่งที่ต้องแลกกับเงินคือ เวลาที่หายไปในการทำงาน แถมหลายๆคนก็หมดไปกับการทำ OT (Over Time) อีกด้วยซ้ำไป สิ่งที่ทำให้ผมปวดร้าวมากในข้อนี้ก็คือ เป็นประสบการณ์ตรงที่ทำให้ผมเกือบเสียแฟนไป 2-3 ครั้ง โดยมีปัญหาเรื่องการมีเวลาให้แก่กัน เป็นปัญหาที่รุนแรงมาก เพราะผมบ้างานมาก (อันที่จริงไม่อยากบ้างานขนาดนั้น แต่เจ้านายสั่งมา
ไม่เสร็จห้ามกลับ โว๊ะ! บ้าไปแล้วเจ้านาย)
• สุขภาพร่างกายทรุดโทรม – มนุษย์เงินเดือนกว่าจะได้เงินนั้น ต้องเอาตัวเข้าแลก เพราะถ้าไม่ลงมือทำงานเอง ก็ไม่มีใครอยากจ่ายค่าจ้างหรอก แต่อันที่จริงแล้ว ยุคสมัยที่มีเทคโนโลยีและเครื่องอำนวยความสะดวกขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องลงมือทำเองทั้งหมดหรอก ขนาด Nike ยังจ้างคนจีนทำรองเท้าได้ แล้วทำไมเราจะจ้างบ้างไม่ได้ล่ะ เพราะงานทุกอย่างไม่จำเป็นต้องลุยเองเสมอไป
• เพื่อเงินผมทนได้ – มนุษย์เงินเดือน มักจะตั้งหน้าตั้งตา รอเงินโบนัสออกเป็นก้อน ซึ่งสิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ การทำงานอย่างบ้าคลั่ง เพื่อให้ได้โบนัสก้อนโต (เพราะถ้าผลงานดี โบนัสก็จะเยอะตามไปด้วย) ไม่พ้นแม้กระทั่งผมเอง ซึ่งผลงานออกมาดีกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน เลยได้โบนัสเยอะกว่า แต่จริงๆแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก เพราะมันเหนื่อยมาก เผลอๆ เอาเงินที่ได้มานั้น ไปเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวจากอาการโหมงานหนักไปซะอย่างงั้น
• ทำงานทั้งๆที่ไม่ชอบ – ร้อยทั้งร้อย ต้องมีบ้างล่ะที่มนุษย์เงินเดือน ทำงานในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบ เพราะมันเลือกไม่ได้นี่นา บริษัทไหนรับก็เอาหมดนั่นแหละดีกว่าตกงาน นี่ก็เป็นกับดักของมนุษย์เงินเดือน ที่มักจะติดกับทำงานที่ตัวเองไม่ได้ชอบ
• เลือกเพื่อนร่วมงานไม่ได้ – มนุษย์เงินเดือน เลือกเพื่อนร่วมงานไม่ได้ อันนี้ยกเว้นว่า รอให้เพื่อนย้ายแพนกหรือรอให้เพื่อนมันลาออก เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะต้องทำเป็นประจำก็คือ ใส่หน้ากากเข้าหากัน และห้ามทะเลาะกัน เพราะไม่งั้น ทำงานด้วยกันลำบากแน่ และส่วนใหญ่ต้องเจอหน้ากันไปอีกนาน จะมีปัญหามองหน้ากันไม่ติดอีกด้วย
แล้วเหตุผลที่เพื่อนๆไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน มีอะไรกันบ้าง เล่าสู่กันฟังได้นะครับ
ที่มา http://www.asuradech.com/

กฎสามข้อในชีวิตการทำงาน


กฎสามข้อในชีวิตการทำงาน
1) ท่ามกลางความยุ่งเหยิง จงมองหาความเรียบง่าย
2) ท่ามกลางการทะเลาะขัดแย้ง จงมองหาสิ่งที่เข้ากันได้
3) ในภาวะวิกฤตย่อมต้องมีโอกาส

Three rules of work:
Out of clutter there is simplicity; Out of discord finds harmony; and in the middle of difficulty lies opportunity

อุทาหรณ์สำหรับคนรุ่นหลัง



Karl Pillemer อาจารย์จาก Cornell ได้ทำการสัมภาษณ์คนแก่ชาวอเมริกันที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไปกว่า 1,200 คน โดยตั้งคำถามว่า “จากประสบการณ์ชั่วชีวิต อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน” แล้วเอามาเขียนเป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living แต่ 30 เยอะไป..ลองมาดู Top 10 Lessons for Living กัน..
1. เลือกอาชีพที่รักที่ชอบมากกว่าผลตอบแทนทางการเงิน (choose a career for the intrinsic rewards, not the financial ones) คนแก่ๆว่ามันเคยเป็นความผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพ เพราะไปเลือกที่ผลตอบแทนมากกว่าจะทำในสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ
2. ให้ทำราวกับจะต้องใช้ร่างกายนี้ไปอีกสักร้อยปี (act now like you will need your body for a hundred years) แปลว่าให้ลด ละ เลิกพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อโรคทั้งหลาย ที่ทำอยู่มันไม่ได้ทำให้เราตายทันทีแต่มันจะทรมานเราตอนแก่นี่แหละ
3. ตอบรับโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิต (say "Yes" to opportunities) มีอะไรดีๆ แจ๋วๆผ่านเข้ามา อย่าไปปฎิเสธมันเพราะจะต้องมานั่งเสียใจ เสียดายทีหลังแน่นอน
4. เลือกคู่ทั้งที เล็งให้ดีเสียก่อน (choose a mate with extreme care) อย่าด่วนตัดสินใจ ให้ใช้เวลาทำความรู้จักให้ถ่องแท้ มีคนให้สัมภาษณ์คนหนึ่งว่า "Don't rush in without knowing each other deeply. That's very dangerous, but people do it all the time." เวรแท้ๆ
5. เที่ยวเข้าไว้ (travel more) อันนี้ถูกจริตมาก เมื่อมีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวก็ไปเถิด ก่อนจะไปไม่ไหว คนส่วนใหญ่ที่ถูกสัมภาษณ์บอกว่ามันเป็นคุณค่า เป็น highlights ของชีวิตเลยเชียว หลายคนเสียดายเมื่อมองย้อนไปแล้วพลาดการท่องเที่ยวผจญภัยในชีวิต มีคนแก่คนนึงว่า "If you have to make a decision whether you want to remodel your kitchen or take a trip -- well, I say, choose the trip!"
6. อยากจะพูด อยากจะบอกก็พูดก็บอกเสียเดี๋ยวนี้ (say it now) ให้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดเมื่อยังมีโอกาสพูด คนแก่มักจะเสียใจและเสียดายว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เจ้าตัวอยากจะพูดกับหลายๆ คน เพราะเราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
7. เวลามีค่า (time is of the essence) ความจริง คือ ชีวิตนี้สั้นนัก แต่ไม่ควรเศร้า เราควรทำสิ่งที่สำคัญและมีค่าเดี๋ยวนี้ อายุมากขึ้น เวลายิ่งโบยบินไปอย่างเร็ว มีป้าคนหนึ่งว่า "I wish I'd learned that in my thirties instead of in my sixties!" เฮ้อ...เหมือนกันเลยฮะป้า
8. ความสุข คือ การเลือก สิ่งที่เลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากเงื่อนไข (happiness is a choice, not a condition) ความสุขไม่ใช่ความสมบรูณ์แบบ หรือ เป็นไปตามสิ่งที่เกิดขึ้นที่คาดหวังของคน เราสามารถสุขได้เพราะเราเลือกที่จะสุขไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆในชีวิต คนแก่ให้คำแนะนำว่า จงรับผิดชอบต่อความสุขของตัวเราเองตลอดชีวิตเรา
9. การเอาเวลามานั่งกังวลต่อสิ่งต่างๆ เป็นการเสียเวลา (time spent worrying is time wasted) หยุดกังวลนะฮะ หรือ อย่างน้อยตัดกังวลออกไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลในสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้น
10. คิดเล็กๆ (think small) ไม่ต้องคิดใหญ่ การซึมซับสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นเรื่องสวยงาม เป็นสิ่งดีๆในชีวิต เรียนรู้ที่จะมีความสุขกับมัน
แม้กระทั่งคนแก่อย่างเรา คาดว่ายังไม่สายนะ ลังกาหลังกลับตัวไปน่าจะทันอยู่ บ้านเราก็น่าจะมีใครทำแบบนี้มั่ง เผื่อจะมีอะไรดีๆแบบไทยๆให้ลูกหลานได้คิด

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 103 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - A Man For All Reason

รายการรักพ่อ103 A Man For All Reason

พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน คนไข้ ในพระราชานุเคราะห์,มิตรประเทศ, บทความ "ในหลวงผู้ทรงเข้าพระทัยศาสนาอิสลามและมุส­ลิมดีที่สุด", ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว, กลเม็ดเคล็ดลับกับการพึ่งตนเอง, บทกวี สักวาหน้าน้ำ จากณุ บูรพา

http://www.youtube.com/watch?v=44DKIg_46qs



มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

คนเก่ง


คนเก่ง
ธนินท์ เจียรวนนท์: ผมบอกพนักงานอยู่เสมอ คือ ในโลกนี้ ไม่มีคนไหนเก่งไปตลอดกาล วันนี้คุณอาจเก่ง แต่พรุ่งนี้ อาจมีคนเก่งกว่าคุณ เพราะฉะนั้น คนใดก็ตามที่ภูมิใจว่า ตนเองเก่ง จงจำเอาไว้ได้เลยว่า ความหายนะใกล้มาถึงตัวคุณแล้ว ความโง่คืบคลานมาใกล้ตัวคุณแล้ว

ยุคสมัยนี้ เป็นยุคที่เราพากันยกย่องคนเก่งมากกว่าคนดี จึงมีคนจำนวนไม่ใช่น้อย..เราก็ด้วยที่ไม่ยอมน้อมรับถึงสัมพันธภาพที่สร้างสรรค์ระหว่างตัวเองและคนอื่น จึงเลยเถิดจนไปคิดว่าตัวเองเจ๋ง รู้และเก่งด้วยตัวเอง นับวันยิ่งอันตรายสำหรับค่านิยมที่เก่งเกินใครเพียงผู้เดียว เราเองบางทีก็ทำตัวให้เก่งและมักเคืองขุ่นใจเมื่อมีคนอื่นเสนอแนวทางที่แตกต่าง ซ้ำร้ายหลงในความอัจฉริยะของตัวเองโดยไม่ฟังความรอบด้าน หูดับขึ้นมาซะงั้น พยายามครอบครองโอกาสเพื่อแสดงความสามารถ ไม่มีการแบ่งปันความดีงามให้ผู้อื่นได้กระทำ ไม่เว้นระยะให้ผู้อื่นเป็นทางเลือก เหล่านี้ที่เราทำอยู่ คือ ภัยแห่งยุค ภัยมืดที่มาพร้อมกับความเห็นแก่ตัวด้วยการแอบเร้นมาในรูปของความเก่งกาจ ผลักดันให้คนอื่นตกขอบ บางทีตั้งใจ บางทีไม่ตั้งใจ ซึ่งเราก็ลืมไปเหมือนกันว่าไม่มีใครในโลกที่สามารถเก่งได้ด้วยตัวเอง ความเก่ง ความสำเร็จของเราย่อมมาจากคนอื่นรอบข้างทั้งนั้น ง่ายๆเลย ถ้ามันไม่โง่ ความฉลาดของเราจะฉายรึเปล่า บางครั้งหนักกว่านั้น คือ การฉกฉวยความคิดของคนอื่นไปเป็นของตัว เพียงเพราะว่า อยากเก่ง อันนี้ เก่งไม่จริง.. อันไหนที่ไม่ใช่มาจากเรา ก็ต้องให้รู้ว่ามันเป็นของคนอื่น ให้เกียรติ ให้เครดิตชาวบ้านบ้าง มันไม่ได้ทำให้ใครตกต่ำลงกับการให้ความดีความชอบคนอื่นแน่ๆ
เข็มที่มีประโยชน์ใช้ได้จริงสำหรับ เย็บ ปะ สอย ไม่มีปลายแหลมสองด้าน มันแหลมด้านเดียว ทุกคนมีจุดเด่นและจุดด้อย คนเราจึงไม่มีใครเก่งทุกเรื่อง ทุกด้าน ถ้ายังคิดว่าคนอื่นโง่ตัวเองฉลาด เก่งอยู่คนเดียวมันก็หนีไม่พ้นความคิดวังวนเดิมๆ แน่นอน..เราอาจจะเป็นคนเก่งที่สุดในองค์กร แต่ไม่ใช่ทุกที่แน่ๆ เราไปอยู่อีกที่ เราอาจจะเป็นได้แค่ท้ายแถว และที่ชัดๆตัวเองก็เป็นเด็กอนุบาลในเรื่องธรรมะ หรือ อาจกลายเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ได้เพราะโลกนี้มันกว้างใหญ่เกินที่ใครจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ไอ้คนที่เราเห็นว่าสุดยอด สุดยอดนี่แหละ แพ้ภัยตัวเองมานักต่อนักด้วยความด้อยปรีชาญาณ ด้วยมิจฉาทิฐิ แต่ละคนล้วนมีความเก่งเฉพาะด้าน เราเชื่อว่าคนเก่งควรใช้ความเก่งนั้นเพื่อสร้างความสุขให้คนอื่น สร้างสันติ ให้ความงดงามแก่โลก แต่ถ้าไม่ไหวก็..ลาไปบวชดีกว่า สำคัญ คือ เราจะใช้อัจฉริยะภาพเพื่อลดละความห่างเหินในการเรียนรู้ ในการอยู่ร่วมกันได้ยังไง และที่สำคัญกว่านั้น การเว้นช่องให้คนอื่น คือ การให่้เกียรติอย่างยิ่ง เก่งจริงต้องให้โอกาสคนอื่น อย่าเก่งแบบ “ข้ามาคนเดียว” มันจะกลายเป็นถือตัวเองเป็นศูนย์กลาง ในหน่วยงานหรือองค์กรไหนที่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องทั้งหมดและสามารถตัดสินใจได้ คนๆนั้นถือว่าอันตรายมาก ต้องให้ออก มีเรื่องเล่าว่าระหว่างการประชุมของพนักงานขาย ผู้จัดการว่าพนักงานอย่างรุนแรงที่ทำยอดขายตก เขาบอกว่า “ผมเอือมกับผลงานที่ไม่ได้เรื่องและข้อแก้ตัวต่างๆนานาเต็มทีแล้ว ถ้าพวกคุณทำไม่ได้ ก็ยังมีคนจากข้างนอกพร้อมที่จะกระโดดเข้ามารับหน้าที่แทน” แล้วเขาก็ชี้ไปที่อดีตนักฟุตบอลอาชีพคนหนึ่งซึ่งเกษียณอายุมาเป็นพนักงานขายใหม่ๆพร้อมกับพูดว่า “ถ้าทีมฟุตบอลเล่นไม่ชนะครั้งเดียว อะไรจะเกิดขึ้น เขาก็จะหานักฟุตบอลคนใหม่มาลงแทนใช่ไหม?” คำถามนั้นสร้างความอึดอัดอยู่ชั่วครู่ แล้วนักฟุตบอลจึงตอบว่า “ท่านครับ อันที่จริงถ้าทั้งทีมกำลังมีปัญหา ปกติแล้วเราจะหาโค้ชคนใหม่ครับ” (ฮ่า ฮ่า ขออนุญาตขำ)

ไม่มีใครที่ไม่อยากทำงานให้ดี คนงาน ลูกจ้าง พนักงาน ต้องการก้าวหน้าทั้งนั้น แต่ว่าจะทำงานได้ดีแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับนาย ขึ้นกับผู้บริหารนั่นแหละ ว่าเก่งพอหรือเปล่า มีเทคนิคหรือวิธีการเจ๋งๆหรือเปล่าที่จะยกทั้งแผงให้เก่งกันทั้งหมด ถ้าคิดว่าเป็นผู้นำแล้วทำให้คนอื่นตามไม่ได้ ก็เป็นได้แค่คนที่มาเดินเล่น โชว์ความเก่งในองค์กรชั่วคราวเท่านั้น...ซึ่งตอนนี้..กำลังรู้สึกว่าเดินเล่นอยู่..ดังนั้น ไปดีกว่า..

บัญญัติ 10 ข้อในการทำงาน




ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ ประเทศญี่ปุ่นพัฒนาไปได้ไกลกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย ก็เพราะแนวคิด ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมได้บ่มเพาะใช้คนญี่ปุ่นเป็นคนที่มีสไตล์ที่เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะทำอะไรคนญี่ปุ่นมักมีความคิดแหวกแนว สร้างสรรค์ ไม่ซ้ำใคร ในขณะที่ยังคงดำเนินชีวิตตามกรอบประเพณีญี่ปุ่นที่ยึดถือกันมายาวนานได้ อย่างเคร่งครัด
หลายคนคงอยากทราบว่า แนวคิดในการทำงานของคนญี่ปุ่นเป็นอย่างไร จึงทำให้เขาทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ วันนี้เรามี บัญญัติ 10 ข้อในการทำงานของคนญี่ปุ่นมาฝาก จากหนังสือ “เคล็ดลับและมารยาทในการทำงาน” ซึ่งเรียบเรียงโดย ฮิโรโกะ นิชิเดะ แปลโดย กิ่งดาว ไตรยสุนันท์
1. ฝึกฝนความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เทคนิคฉาบฉวย
มารยาทในการสูบบุหรี่ การกลั่นแกล้ง ล้วนเป็นปัญหาที่พบได้ในสถานที่ทำงาน แต่แท้ที่จริงแล้วก่อนจะเป็นปัญหาในการทำงาน มันคือ “ปัญหาของตัวบุคคล” มาก่อนนั่นเอง “งาน” กับ “เรื่องส่วนตัว” นั้นเป็นคนละเรื่องกัน แต่แทบจะไม่มีใครที่ทำงานไม่ดี แต่กลับเป็นคนใช้ได้ในเรื่องอื่น ๆ “ความมีวุฒิภาวะ” คือก้าวแรกของการเป็นคนทำงานมืออาชีพ
2. ความต้องการสื่อสารกับผู้อื่นคือสิ่งสำคัญ
ไม่มีงานใดที่สำเร็จเสร็จสิ้นลงได้โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่นเลย ความสามารถในการสื่อสารกับผู้คนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานทุก ประเภท ความสามารถในการสื่อสารไม่ได้หมายถึง ความสามารถในการใช้ถ้อยคำสำบัดสำนวน แต่หมายถึงท่าทีที่แสดงออกถึงความต้องการสื่อสารกับคนรอบข้างหรือไม่ต่างหาก
3. ความสามารถในการคาดเดา [ความเอาใจใส่]
การ คิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของคู่กรณี (หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง) เช่นเดียวกับการคิดจากมุมมองของลูกค้า คือความคิดแบบมืออาชีพ จากนั้นจึงใช้ความสามารถในการคาดเดา เราควรฝึกฝนการคาดเดาล่วงหน้าอยู่เสมอว่าคู่กรณีต้องการสิ่งใด ทำอย่างไรจึงจะทำงานร่วมกันด้วยความพอใจให้ติดเป็นนิสัย
4. เรื่องงานเกี่ยวโยงกับเรื่องส่วนตัว
การแยกเรื่องงานออก จากเรื่องส่วนตัวถือเป็นเรื่องสามัญสำนึก แต่จะแยกพฤติกรรมและความรู้สึกของคนคนเดียวออกจากกันอย่างสิ้นเชิงก็ไม่ใช่ เรื่องง่าย เพื่อให้เรื่องงานสมบูรณ์ ควรทำเรื่องส่วนตัวให้ดีที่สุดก่อน แม้จะเป็นแนวคิด “กันไว้ดีกว่าแก้” แต่ก็ควรนำไปใช้
5. งานเริ่มต้นเมื่อออกจากบ้าน
งานไม่ได้เริ่มเมื่อไปถึงที่ทำงานแล้ว เท่านั้น แม้สวิตช์โหมดการทำงานของคุณจะยังปิดอยู่ แต่ถ้าหากใครสักคนบังเอิญได้เห็นคุณตามท้องถนนซึ่งต่างไปจากตัวคุณในเวลาทำ งาน เขาอาจคิดว่านี่คือ “ตัวตนที่แท้จริงของคุณ” ก็ได้ จงคิดเสมอว่างานเริ่มทันทีเมื่อก้าวเท้าออกจากบ้าน
6. หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายต้องมาก่อน
ระดับ ความสัมพันธ์สูงต่ำในองค์กรหรือการทำงาน หากจะพูดให้ชัดเจนก็คือ “การแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ” นั่นเอง ซึ่งไม่ใช่เพื่อตีค่าบุคคลตามความสามารถ แต่เป็นข้อตกลงเพื่อให้งานเดินหน้าไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
7. ถ้าไม่มีกำหนดเส้นตาย ก็เป็นแค่ “งานอดิเรก”
การกำหนด “เส้นตาย” หมายถึงมีการกดปุ่มให้ใครบางคน “เริ่มทำงาน” คำนึงไว้เสมอว่างานเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก การรู้จักบริหารเวลาคือกฏพื้นฐานของการทำงาน
8. ทำงานอย่างมืออาชีพ
หากสิ่งที่คุณทำก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายแม้เพียงบาทเดียวก็ตาม ถือว่านั่นคือการทำงานและคุณก็คือมืออาชีพ ไม่เกี่ยงว่าคุณคือพนักงานพาร์ตไทม์หรือลูกจ้างชั่วคราว หากคุณต้องเกี่ยวข้องกับลูกค้าหรือผู้ที่ทำงานด้วย คุณก็ถือเป็นตัวแทนของบริษัทนั้น ๆ
9. ลองมองจากมุมของผู้บริหาร
สมมุติว่าคุณคือผู้บริหาร คุณจะอดทนต่อพนักงานที่คุยโทรศัพท์ส่วน ตัวนาน ๆ ในเวลางาน หรือนั่งหลับในเวลางานได้หรือไม่? หรือไม่ก็เอาเรื่องกับพนักงานที่เรียกแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้หรือเปล่า? บางครั้งควรลองมองจากมุมของผู้บริหารว่า “ตอนนี้เราทำงานให้บริษัทพึงพอใจที่จะจ่ายเงินเดือนแล้วหรือยัง”
10. สร้างสมสถานการณ์ WIN-WIN เล็ก ๆ น้อย ๆ
WIN-WIN คือ การที่เราและคู่กรณีได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ซึ่งมิได้หมายถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจใหญ่โต เมื่องานชิ้นใหญ่ย่อมแบ่งออกเป็นงานชิ้นเล็ก ๆ ได้ การทำให้เกิด WIN-WIN เล็กน้อยในเรื่องใกล้ตัวก็เชื่อมโยงกับ WIN-WIN ขนาดใหญ่ได้เช่นกัน
ถึงจะเป็นแนวคิดของคนเพียงชาติเดียว แต่ก็มีความเป็นสากลและเป็นมารยาทที่ทุกคนพึงมี ซึ่งหากเราจะนำมาปรับใช้ในการทำงานของเรา ก็คงจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยเลย
อ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ เคล็ดลับและมารยาทในการทำงาน
เรียบเรียงโดย ฮิโรโกะ นิชิเดะ แปลโดย กิ่งดาว ไตรยสุนันท์

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

ไม่สนใจหรือเกี่ยวข้องกับคนที่ผิดใจกัน




ปุจฉา - กราบนมัสการพระอาจารย์ค่ะ หากเราไม่ชอบหรือผิดใจกับใครสักคน เราไม่สนใจเขา เห็นเขาเป็นแค่ธาตุอากาศ ไม่เสวนาหรือข้องเกี่ยวด้วย ดิฉันทำถูกแล้วใช่ไหมคะพระอาจารย์

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - คุณทำถูกแล้ว แต่นั่นเป็นขั้นต้น ขั้นต่อไปก็คือ เจริญเมตตาจิตต่อเขา เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนทุกข์ ที่ปรารถนาความสุขเช่นเดียวกับคุณ มีทั้งความดีและความเห็นแก่ตัวตามประสาปุถุชน เมตตาจิตนี้จะช่วยให้คุณพบกับความสงบเย็น และปรารถนาที่จะช่วยเหลือเขายามประสบทุกข์ น้ำใจของคุณสามารถปลุกความดีในตัวเขาจนสามารถละเลิกพฤติกรรมที่ไม่ดีได้ ในที่สุดเขาอาจกลายเป็นกัลยาณมิตรของคุณก็ได้ ใครจะไปรู้

การพิพากษาให้ประหารชีวิต เป็นบาปไหม




Visanu Cham ปุจฉา - กราบนมัสการ ผมกราบเรียนถามกรณีอาชีพผู้พิพากษาที่ลงโทษประหารชีวิตผู้อื่นทางธรรมะจะถือว่าบาปหรือไม่ จะอ้างได้ไหมว่าทำตามหน้าที่ ในฐานะทางโลก

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระเตมีย์ โอรสของพระเจ้ากรุงพาราณสี ขณะที่เป็นพระกุมารพระองค์ระลึกชาติได้ว่าเคยตกนรกเนื่องจากสมัยที่เกิดเป็นกษัตริย์ได้ตัดสินลงโทษประหารชีวิตผู้คนมากมาย พระองค์เกิดความหวาดกลัว ไม่อยากเป็นกษัตริย์ จึงแกล้งทำเป็นคนง่อยเปลี้ย หูหนวก และเป็นใบ้ เป็นที่มาของสมญานามว่า “พระเตมีย์ใบ”

เรื่องราวข้างต้นชี้ให้เห็นว่า การตัดสินลงโทษประหารชีวิตนั้นเป็นบาป แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าด้วยตนเองก็ตาม อย่างไรก็ตามบาปอาจจะลดลงไปได้บ้างหากตัดสินด้วยความเที่ยงธรรม ไม่ได้ทำด้วยความโกรธเกลียด โดยที่ในใจนั้นมุ่งที่การรักษากฎหมาย ยิ่งกว่ามุ่งกำจัดชีวิตของจำเลยให้ตกไป

ขอเชิญ download เสียงอ่าน จิตตนคร


พระอาจารย์ไพศาล จะไปบรรยายธรรม ที่งานวัดลอยฟ้า : จิตตนคร จัดระหว่าง วันที่ 3 - 7 เมษายน ที่ชั้น 5 สยามพารากอน รายละเอียดที่แน่นอน ติดตามได้ที่ แฟนเพจ "' งานวัดลอยฟ้า : จิตตนคร " https://www.facebook.com/TheHiddenCapital101

- admin
ขอเชิญ download เสียงอ่าน จิตตนคร พระนิพนธ์ในองค์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก อ่านโดย คุณเพชรี พรหมช่วย ได้ที่ http://bia.or.th/

จากพุทธพจน์ของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสไว้เมื่อสมัยพุทธกาลว่า

"พึงรู้ว่ากายนี้มีอุปมาแตกง่ายเปรียบด้วยหม้อดิน พึงกั้นจิตที่มีอุปมาด้วยนครที่มีป้อมปราการสร้างไว้ดีแล้ว พึงรบชนะมารด้วยใช้ปัญญาเป็นอาวุธ"

ได้ก่อให้เกิดเป็นหนังสือ "จิตตนคร" บทพระนิพนธ์ใน "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก" เพื่ออธิบายและขยายความพุทธพจน์ข้างต้นให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

ด้วยการนำเรื่องราวของ "จิต" และ "ธรรมะ" ในแง่มุมต่าง ๆ มาผูกเป็นเรื่องราวทำนองบุคลาธิษฐานคล้ายนิยายธรรมที่ลึกล้ำพิสดาร คือมีการสร้างตัวละครขึ้นมายกประกอบการเล่าเรื่อง เช่น จิต. บารมี, สมุทัย, ศีล, หิริ, โอตัปปะ, โลโภ, โทโส, โมโห, อาสวะ, อินทรีย์สังวร,สติสัมปชัญญะ, สังโยชน์ ๑๐, กิเลสพันห้า ฯลฯ

เนื้อเรื่อง เป็นการอุปมา “กาย” ของมนุษย์เป็นเมืองหนึ่งชื่อว่า “จิตตนคร” ภายในเมือง มีทางเข้าออก ๖ ทาง คือ ตา หู จมูก ปาก กาย ใจ ในเมืองทุกเมือง จะมีผู้บริหารเมือง หรือที่ปรึกษาเจ้าเมือง แต่ในบทพระนิพนธ์ จะเรียกว่า ”ฝ่ายสมุทัย” กับ “ฝ่ายบารมี” แต่ละฝ่ายก็จะมีผู้ช่วยที่อยู่ภายใต้ด้วย ตัวอย่างเช่น ฝ่ายบารมี มีผู้ที่ให้ความช่วยเหลือคือ

พระนิพนธ์นี้ ได้นิพนธ์ไว้ครั้งยังดำรงพระสมณศักดิ์เป็นพระสาสนโสภณ โดยสมเด็จพระญาณสังวร ได้ทรงอ่านออกอากาศทางสถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิต ในรายการ “การบริหารทางจิต” เป็นประจำทุกเช้าวันอาทิตย์ ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕๑๓ ถึง ๒๕๑๕

และพบกับ งานวัดลอยฟ้า : จิตตนคร ได้ที่ ชั้น ๕ สยามพารากอน วันที่ ๓ - ๗ เมษายนนี้

ชมนิทรรศการจิตตนคร การเสวนาธรรม ละครเวที ดนตรี การแสดงธรรมจากพระเถระ ที่จะช่วยสร้างความเข้าใจเรื่องการทำงานของจิต และการบริหารจิตเพื่อประโยชน์สุขในการดำรงชีวิต

ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวได้ที่
https://www.facebook.com/TheHiddenCapital101





25 วิธีมีความสุข ไม่ใช่เรื่องยากหากต้องการใช้ชีวิตให้เต็มที่




ถ้าอยากมีความสุข คุณต้องรู้จักซึมซับความรู้สึกอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้าหรือความโกรธที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมทั้งยอมรับในสิ่งที่คุณมีและสถานภาพที่คุณเป็น เพื่อจะได้มีความสุขกับชีวิตมากที่สุดเท่าที่จะทำได้


หากคุณหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมจึงไม่มีความสุขทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ลำบากยากแค้นอะไร ลองอ่านข้อคิดต่อไปนี้เพื่อจะได้ระลึกว่า "เราเองก็มีชีวิตที่ดีทีเดียว"

1. คิดใหม่ ใช้ชีวิตราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย คนที่ป่วยหนักหรือเผชิญกับอุบัติเหตุใกล้ตาย เห็นโศกนาฏกรรมหรือสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักมักมีมุมมองชีวิตที่ต่างออกไป หลายคนบอกว่าจะไม่ปล่อยเวลาให้สายเกินไปอีกแล้ว จะท่องเที่ยวไปในโลกกว้างหรือติดต่อพบปะเพื่อนฝูง เราทุกคนก็ควรตระหนักว่าอาจไม่มี "พรุ่งนี้" ก็ได้

2. จดบันทึก เขียนเล่าถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณทุกวัน การจดบันทึกยังช่วยแก้ปัญหาและขจัดเรื่องไม่ดีที่รกสมองออกไปได้ด้วย ลองเริ่มเขียนตั้งแต่วันนี้ รับรองได้ผลแน่

3. มองในแง่มุมอื่นบ้าง ลองคิดว่าคุณอยากให้คนอื่นจดจำคุณในด้านใด หรือหากวันหนึ่งต้องเล่าเรื่องชีวิตตนเองให้หลานๆ ฟัง คุณจะเล่าอะไร

4. อย่าให้เรื่องเล็กน้อยกวนใจ ไม่คุ้มหรอกที่จะหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากคนขับรถคันข้างๆ ไม่ยอมให้คุณเบียดเข้าเลนก็ยิ้มและโบกมือให้เขาไปเลย

5. ทำงานยากให้เสร็จ ลงมือได้แล้วอย่าผัดวันประกันพรุ่ง โอ้เอ้ไปก็มีแต่ทำให้หนักใจเหนื่อยกาย ไหนๆ งานนี้ก็ต้องทำโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ก็น่าจะทำให้เสร็จแทนที่จะมัวกังวลและคิดจนรกสมอง

6. เลิกทำตัวจำเจ ชีวิตคงน่าเบื่อหากทำอะไรซ้ำซากทุกวันทุกสัปดาห์ เราน่าจะมีเรื่องแปลกใหม่มาทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยบ้าง ถ้าเอาแต่นอนตื่นสายทุกวันอาทิตย์ก็น่าจะลุกขึ้นมาแต่เช้าไปกินอาหารอร่อยๆ นอกบ้าน หรือไปตลาดแล้วจ่ายกับข้าวมาทำอาหารมื้ออร่อยกินกันที่บ้าน

7. อย่าเปรียบตัวเองกับคนอื่น ใครจะมีสระว่ายน้ำ เครื่องเสียงแพงๆ รุ่นล่าสุด หรือรถหรูใหม่เอี่ยมไม่ต้องสนใจ หากดูให้ดีๆ คุณอาจพบว่าคนพวกนี้ต้องทำงานสัปดาห์ละเจ็ดวัน ไม่มีเวลาเจอหน้าคนในบ้านหรือเพื่อนฝูง หรืออาจต้องผ่อนหนี้สินไปอีกหลายสิบปี แล้วชีวิตอย่างนี้ดีจริงหรือ

8. กำจัดข้าวของรกในบ้าน เสื้อผ้าที่ไม่เคยใส่มาเป็นปี เครื่องครัวที่ตั้งอยู่ตรงนั้นจนน้ำมันจับเป็นคราบหนา ไหนจะของเล่น หนังสือเก่า และเครื่องเรือน ยกไปบริจาคเถิด นอกจากจะได้บุญแล้ว ชั้นวางของและห้องต่างๆ ในบ้านจะโล่งและเป็นระเบียบมากขึ้น

9. รู้จักเอ่ยคำว่า "ไม่" ไม่ต้องลงมือทำเองทุกเรื่องเพราะชีวิตคุณก็วุ่นวายพออยู่แล้ว ไหนจะต้องทำเรื่องโน้น สะสางเรื่องนี้ ปล่อยให้สมองมีที่ว่างเพื่อคิดหรือทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง

10. รดน้ำต้นรัก รักคู่ครองของคุณอย่างที่เขาเป็น ที่คุณคิดว่าเขาเปลี่ยนไปนั้นเป็นความจริงหรือ (คิดให้ดีก่อนตอบ) ของทุกอย่างเมื่อใช้งานไปได้ระยะหนึ่งก็ต้องบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมเป็นธรรมดา ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาก็เช่นกัน ต้องมีการดูแลใส่ใจกันบ้าง

11. อย่าให้ความคุ้นเคยกลายเป็นไม่ไว้หน้า หากคุณให้เกียรติเพื่อนหรือผู้อื่น คู่ครองหรือคนในครอบครัวคุณก็ควรได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน และคุณเองก็ควรได้เกียรติจากคนในครอบครัวเช่นกัน

12. มอบความรักให้ครอบครัวและเพื่อนๆ อย่าเขินที่จะบอกคนเหล่านี้ว่าคุณรักพวกเขาตรงไหน เมื่อเขาทำอะไรดีๆ ให้ก็กล่าวคำชื่นชมบ้าง คำชมเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยทำร้ายใคร

13. อย่ารับปรับทุกข์ทุกเรื่อง หากปัญหาของเพื่อนเริ่มมีผลกระทบต่อตัวคุณ ก็ไม่ต้องฝืนทำตัวเป็นเสาหลักให้เขาพิงอยู่เรื่อยไป ให้เพื่อนหัดแก้ปัญหาและก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง

14. ติดต่อเพื่อนเก่า คุณอาจขาดการติดต่อกับเพื่อนไปนาน แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะโทรศัพท์ ส่งอีเมล์ หรือเขียนจดหมายถึงเขา และนานแค่ไหนแล้วที่คุณไม่ได้คุยกับป้า ท่านอยากได้ยินเสียงคุณจะแย่แล้ว

15. บำรุงอารมณ์ด้วยสีเขียว ดอกไม้สดจากสวน หรือตื่นแต่เช้าไปตลาดซื้อดอกไม้ ผักผลไม้ราคาไม่แพงมาแต่งบ้านให้สดใส คุณเคยมีสวนกระถางในบ้านไม่ใช่หรือ นำกลับมาอีกครั้ง แล้วบ้านคุณจะชุ่มชื่นมีชีวิตชีวาแน่นอน

16. ไปทะเลกันดีกว่า ทิวทัศน์กว้างไกล สายลม เกลียวคลื่น สองเท้าเปลือยเปล่าย่ำบนผืนทราย และแสงแดดระยับ ไม่มีอะไรทำให้จิตใจเริงรื่นชื่นบานได้ดีกว่านี้อีกแล้ว
17. สร้างสรรค์ผลงาน จะเป็นภาพเขียน งานปั้น เย็บปักถักร้อย อบขนม จัดสวน หรืออะไรก็ได้

18. สูดอากาศบริสุทธิ์ ออกไปข้างนอกหรือเปิดหน้าต่างกว้างๆ สูดหายใจให้เต็มปอด คุณจะรู้สึกว่าอากาศเสียถูกขับออกจากตัว

19. ออกไปเดินเล่น การออกกำลังเบาๆ จะช่วยเติมชีวิตชีวาให้คุณทั้งร่างกายและจิตใจตั้งแต่เดินเล่นครั้งแรกเลยทีเดียว การออกกำลังสม่ำเสมอจะทำให้คุณกระปรี้กระเปร่าและรู้สึกดีขึ้นทุกวัน

20. ดูหนังตลกและหัวเราะให้สบายใจ ร้านให้เช่าวิดีโอมีหนังเบาสมองให้เลือกมากมาย จะเป็นหนังไทยหรือฝรั่งไม่สำคัญ ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาบ้าง

21. ย้ายเครื่องเรือนและของแต่งบ้าน หรืออาจทาสีห้องและผนังใหม่ด้วย รับรองว่าบรรยากาศที่ได้คุ้มค่าไม่แพ้วันหยุดเลยทีเดียว

22. รอคอยสิ่งดีๆ เช่นวันหยุดพักร้อน ออกไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง หรือแม้แต่ไปนวดแผนโบราณ

23. ชวนเพื่อนมากินมื้อค่ำ จัดห้องและโต๊ะอาหารที่บ้านให้แปลกไปจากเดิม เสิร์ฟเครื่องดื่มค็อกเทลหรือแชมเปญ เปิดเพลงเสริมบรรยากาศ สนุกกับการเตรียมอาหาร ทุกคนจะปลาบปลื้มหากเห็นว่าคุณทุ่มสุดฝีมือ แล้วค่ำคืนนั้นก็จะครึกครื้น

24. ยิ้มไว้ ยิ้มเป็นโรคติดต่อ ไม่เชื่อก็ลองยิ้มดูสิ

25. ทำให้คนอื่นมีความสุขบ้าง ทำเพื่อตัวเองมามากแล้วก็น่าจะทำเพื่อคนอื่นบ้าง เริ่มจากอดกลั้นไม่บีบแตรไล่รถที่วิ่งเหมือนเต่าคลาน หรืออาสาช่วยงานกุศล

เพียงเท่านี้ การใช้ชีวิตให้สุดคุ้มก็ไม่ยากอย่างที่คิด

สุขได้เมื่อไม่มีฉัน




ความสุขมีสองแบบ คือ สุขที่เกิดจากความยึดมั่นในตัวกูของกู กับสุขที่อิสระจากความยึดมั่นในตัวกูของกู หรือสุขที่ยังมีตัวกูของกูอยู่ กับสุขที่ไม่มีตัวกูของกู

ที่ยังมีตัวกูของกูเพราะยังมีอวิชชา เนื่องจากยังไม่มีปัญญาอย่างแท้จริง กามสุข เป็นสุขที่มีตัวกูของกู เวลาได้มาก็ยึดว่าเป็นของกู เวลาเสพแล้วมีความสุข ก็ยึดว่ามีกูผู้สุขเรียกว่ามีการยึดมั่นในตัวกูของกู อย่างเหนียวแน่น จึงเป็นสุขที่นำไปสู่ทุกข์ โดยเฉพาะในยามที่ต้องพลัดพรากสูญเสีย แต่สุขที่ไม่มีตัวกูของกูหรือสุขที่เกิดจากความไม่ยึดมั่นในตัวกูของกู อันนี้เป็นสุขที่ประเสริฐที่สุด เมื่อเราสามารถทำลายความยึดมั่นในตัวกูของกู ก็จะเข้าถึงความสุขที่ประเสริฐที่สุด

ทกุคนในโลกนี้เอาแต่ครุ่นคำนึงว่า “ฉันอยากมีความสุข” มีคนหนึ่งอธิบายไว้ดี ถ้ายังมีความคิดว่า “ฉันอยากมีความสุข” คุณก็จะไม่พบความสุข แต่พอลองเอาตัว “ฉัน” ออกไป เอาความ
“อยากมี” ออกไปสิ่งที่เหลือคือ “ความสุข”

พระไพศาล วิสาโล

จากความสุขอันประเสริฐ




สติ คือ ไม่ลืม



สติ คือ ไม่ลืม
สัมปชัญญะ คือ ไม่หลง
ถ้าลืมเมื่อไหร่ มันก็เผลอเมื่อนั้น
แล้วเมื่อเผลอแล้วมันก็ไปยึดกับ
อะไรต่อมิอะไรเข้ามาทำร้ายตัวเอง

พระไพศาล วิสาโล




ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 102 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - พ่อหลวงในดวงใจ

รายการรักพ่อ102 พ่อหลวงในดวงใจ

พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน ปีกแมลงทับ ความงามจากพื้นดิน, สัตวแพทย์พระราชทาน ช่วงในหลวงในดวงใจ16, ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว, กลเม็ดเคล็ดลับกับการพึ่งตนเอง, บทกวี อันสายน้ำ จากณุ บูรพา

http://www.youtube.com/watch?v=uR6cNhrTbFM



มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

ไม่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ลบหลู่ จะผิดไหม


ไม่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ลบหลู่ จะผิดไหม

เจริญศิลป์ทำป้าย แอนด์ สติกเกอร์ ปุจฉา – กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ ผมรบกวนถามพระอาจารย์ว่า การที่ผมไม่ใหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใหว้เทพเจ้าใดๆ แต่ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ มีจริง และไม่ได้หลบหลู่ แต่ผมถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างเดียว ถือว่าผิดหรือเปล่าครับ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - จะผิดได้อย่างไร ในเมื่อคุณไม่ได้ถือเอาสิ่งเหล่านี้เป็นสรณะ ไม่ได้เทอดทูนว่าเป็นที่พึ่งของคุณ การที่คุณไม่ไหว้ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็อย่าไปลบหลู่ดูถูกคนที่เชื่อสิ่งเหล่านี้ รวมทั้งไม่ควรไปลบหลู่ดูถูกสิ่งเหล่านี้ด้วย เพราะเป็นเพื่อนร่วมวัฏสงสารเช่นเดียวกับเรา จึงควรมีเมตตาต่อกัน ท่าทีเช่นนี้เป็นสิ่งที่เราควรทำกับเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายด้วย

ทำไมของที่เคยชอบ ไม่อร่อยเหมือนเดิม




ปุจฉา - นมัสการพระคุณเจ้าเจ้าค่ะ ดิฉันอยากรบกวนสอบถามพระคุณเจ้า หลายอาทิตย์มานี้ดิฉันรู้สึกอยากไอศครีมซเวนเซ่นที่ไม่ได้กินมาปีเศษ เพราะสั่งมากินแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ได้อร่อยอะไรนักหนามันก็ไอติม แล้ววันนี้ก็ไปซื้อเค้กมากินเจ้าค่ะ แพงมากที่เดียว กินไปสองชิ้นก็รู้สึกอย่างนั้นอีกแล้ว มันก็เค้กไม่ได้อร่อยอะไรมากมายที่จะทำให้เราต้องอยากกินขวนขวายหามากิน แบบนี้มันคือความรู้สึกอะไรกันเจ้าคะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - คงเป็นความเบื่อหรือความรู้สึกเฉย ๆ อารมณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หรือกินเวลานาน สาเหตุอาจเป็นเพราะได้สัมผัสกับสิ่งที่ดีกว่า (หรืออร่อยกว่า) มาแล้ว ก็เลยรู้สึกว่า มันไม่อร่อยเหมือนเดิม ไม่ต่างจากตอนเป็นเด็ก ยามได้กินลูกอมหรือไอสครีมราคา ๒-๓ บาท ก็รู้สึกอร่อยสุดยอด ยิ้มแก้มปริ แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่ ได้ลิ้มรสลูกอมหรือไอสครีมนั้นอีก กลับไม่รู้สึกอร่อยเสียแล้ว อาจกินไม่หมดด้วยซ้ำ ทั้งนี้เพราะได้เจอของที่ดีกว่านั้นมาแล้วนั่นเอง

นอกจากนั้นความคาดหวังที่ตั้งไว้สูงก็มีส่วน กล่าวคือ เค้กชิ้นนั้นอร่อยก็จริง แต่พอคุณตั้งความหวังไว้สูงมาก (เนื่องจากราคาแพง หรือซื้อจากห้างดัง) ครั้นรสชาติของมันไม่ถึงระดับที่คุณคาดหวัง คุณก็เลยรู้สึกว่าไม่อร่อย เช่นเดียวกับเงิน ๑๐ ล้านแม้เป็นเงินที่สูงมาก แต่หากคุณตั้งความหวังไว้ที่ ๒๐ ล้าน การได้ ๑๐ ล้านย่อมทำให้คุณไม่มีความสุขเลย กลับเป็นทุกข์ด้วยซ้ำ

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

คนเราไม่สามารถจะหนีเรื่องความพลัดพรากสูญเสียไปได้


คนเราไม่สามารถจะหนีเรื่องความพลัดพรากสูญเสียไปได้ มันเป็นธรรมดาของโลก เป็นธรรมดาของชีวิต เหมือนกับที่ฝนตกแดดออก ก็เป็นธรรมดา

พระไพศาล วิสาโล




"เมตตาภาวนา"


"เมตตาภาวนา"

ให้ระลึกถึงความทุกข์ยากของผู้คน
แผ่ความปรารถนาดีออกไป
ให้แก่คนทุกกลุ่มทุกเหล่า
แม้แต่คนที่เราขุ่นข้องหมองใจ
หรือว่าไม่ชอบขี้หน้า หรือตั้งตัวเป็นศัตรูกับเรา
อันนี้ก็เรียกว่า "เมตตาภาวนา"
เป็นการทำให้เกิดจิตที่มีคุณภาพ เป็นกุศล

พระไพศาล วิสาโล




ไม่เห็นว่า ตนเอง โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ดีเช่นกัน



แทบทุกคนเห็นไปว่า คนอื่น โลภ โกรธ หลง ไม่ดี แต่ไม่เห็นว่า ตนเอง โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ดีเช่นกัน - สมเด็จพระญาณสังวร

----

นอกจาก โลก โกรธ หลง แล้ว มารู้จักนานากิเลสน้อยใหญ่ ในใจคุณ
ที่งานวัดลอยฟ้า : จิตตนคร
สำรวจเมืองได้ ระหว่าง วันที่ ๓ - ๗ เมษายน ชั้น ๕ สยามพารากอน




แผ่ส่วนบุญและอโหสิกรรมอย่างไร ให้ถูกต้อง




ตะเกียง วิเศษ ปุจฉา - การนมัสการหลวงพ่อไพศาล เมื่อดิฉันได้ปฏิบัติธรรม เช่น สวดมนต์ ใส่บาตร เวียนเทียน และอื่นๆ อีก ทั้งกระทำความดีต่อบุพาการี ผู้อื่น ให้ทาน แบ่งปัน ช่วยเหลือต่างๆ เท่าทีทำได้ คิดดีทำดี แม้อาจจะมีเขวไปบ้าง เพราะว่ากลัวบาปกรรมจริงๆ คิดว่ากรรมมีจริง เมื่อดิฉันได้กราบไหว้แล้วขอพรว่า ขอบุญบารมีที่ดิฉันได้ทำไว้ทั้งในอดีตชาติ หรือชาติปัจจุบันนี้ ขอแผ่ส่วนบุญกุศลนี้ แด่พระพุทธองค์ เทพเทวดาอารักษ์ของครอบครัวข้าพเจ้า และเจ้าที่เจ้าทางที่ดูแลปกป้องที่บ้าน รวมถึงบรรดาเจ้ากรรมนายเวรของครอบครัวข้าพเจ้า ดิฉันขออโหสิกรรมแทนอย่าได้จองเวรจองกรรมกันเลยนั้น ดิฉันกระทำเช่นนี้ถูกต้องไหม สามารถที่จะขอแทนกันได้ไหม การแผ่ส่วนกุศลนี้กระทำได้แล้วจะถึงผู้ที่เราแผ่ให้ไหม โปรดเมตตาให้แสงสว่างแก่ดิฉันด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง สมใจ พรเจริญ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - การอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง เรียกว่าปัตติทานมัย แต่การแผ่ส่วนบุญให้แก่พระพุทธองค์นั้น ไม่นิยมทำ เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือบุญและบาปแล้ว ส่วนการขออโหสิกรรมนั้น จะได้ผลเจ้าตัวต้องทำเอง ทำแทนกันไม่ได้

การแผ่ส่วนกุศลนั้น จะถึงผู้ที่เราแผ่ให้หรือไม่ ขึ้นอยู่ว่าผู้นั้นอยู่ในภพภูมิที่เหมาะหรือไม่ หากไม่อยู่ในภพภูมิที่เหมาะ ก็มิอาจได้รับส่วนบุญนั้น อย่างไรก็ตามการแผ่เมตตาหรือแผ่ความปรารถนาดีนั้น ทุกชีวิตที่เราระลึกถึงสามารถได้รับอานิสงส์แห่งเมตตาจิตนั้นหากเมตตานั้นมีพลังมากพอ

ขอเชิญปฏิบัติธรรม กับ วัดป่าสุคะโต กลางกรุง 3-7 เม.ย.2557


ขอเชิญปฏิบัติธรรม กับ วัดป่าสุคะโต กลางกรุง
ท่านที่ไม่มีเวลาเดินทางไปชัยภูมิ ขอเชิญฟังธรรม
และฝึกเจริญสติ ตามแนวหลวงพ่อเทียน

3 เมษายน

- พระไพศาล วิสาโล, 19.00-20.00น. ณ เวทีใหญ่
- พระทรงศิลป์ สุจิณฺโณ, 15.00-18.00น. ณ ห้องบริหารจิต (สำหรับปฏิบัติธรรม)

4 เมษายน
- พระทรงศิลป์ สุจิณฺโณ, 10.30-13.00น. ณ ห้องบริหารจิต (สำหรับปฏิบัติธรรม)

ชั้น 5 สยามพารากอน
งานวันลอยฟ้า : จิตตนคร
The HIDDEN CAPITAL
3-7 เมษายน 2557

งานวัดลอยฟ้า : จิตตนคร
www.facebook.com/TheHiddenCapital101

วัดป่าสุคะโต สถาบันสติปัฏฐาน Wat Pasukato : ฝึกสติ รู้สึกตัว
www.facebook.com/pasukato
www.pasukato.org — at สยามพาราก้อน(siam Paragon).

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 101 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - ในหลวงดั่งดวงใจไทย

รายการรักพ่อ101 ในหลวงดั่งดวงใจไทย

พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน สายลม แห่งการเปลี่ยนแปลง, คืนช้างสู่ป่า, บทความ "ในหลวง ทรงเป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์" , กลเม็ดเคล็ดลับกับการพึ่งตนเอง, ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว

http://www.youtube.com/watch?v=kj2DEwSKdTI



มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

สามีขอให้แยกกันอยู่ชั่วคราว




ปุจฉา - กราบนมัสการพระอาจารย์คะ ตอนนี้ดิฉันเครียด ท้อแท้ หมดหวังในชีวิตมาก อันเนื่องมาจากสามีขอให้แยกกันอยู่สักพัก เพราะจับโกหกเขาได้ซึ่งเราไม่คิดว่าเขาจะทำกับเรา บอกไปทำงานแต่ไปถ่ายรูปกับนางแบบ เป็นสิบครั้ง เราพูดกันน้อยลง เขาง้อเราก้อดีขึ้นนิดหน่อยแต่ยังติดอยู่ในใจ

จนในที่สุดตัดสินใจไปปฏิบติธรรม 3 วัน 2 คืน แต่ตรงกันข้ามวันที่เขามารับกลับ เขาบอกว่าแยกกันอยู่สักพัก เพราะเขาอึดอัด ที่เห็นดิฉันเป็นแบบนี้ จนไม่มีสมาธิในการทำงาน เราแยกมา 2 สัปดาห์ เจอกันแค่ 2 วัน เขาไม่เคยโทรมาก่อน มีแต่ทางดิฉันโทรไปหา

เขาบอกให้อดทนอีก 3 เดือน และอยากให้เข้มแข็ง ซึ่งดิฉันก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาคิด พ่อแม่ก้อพาลทุกข์ไปด้วย ดิฉันก็ต้องบอกว่าจะไปๆ กลับคอนโดที่เคยอยู่กับมานอนบ้านบ้าง ซึ่งจริงๆสามีไม่ให้นอนค้าง ดิฉันขอเล่าเพียงเท่านี้ เพราะทุกวันดิฉันยังคิดถึงและแอบมีน้ำตา ขอใหพระอาจารย์แนะนำทางสว่างให้ดิฉันที เพราะทุกข์มากเหลือเกิน ทั้งเรื่องสามีและพ่อแม่ สาธุเจ้าคะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - คู่ชีวิตนั้นแม้จะอยู่บ้านเดียวกันแต่จิตใจนั้นคนละดวง ต่างคนต่างมีความคิดของตนเอง คุณจะรักสามีแค่ไหน ก็ไม่สามารถควบคุมจิตหรือห้ามใจเขาได้ ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าเขาจะรักคุณคนเดียว ไม่ไปยุ่งกับหญิงอื่น หากใจเขาไม่ซื่อกับคุณแล้วอะไรก็ฉุดไว้ไม่อยู่ อันนี้คือความจริงอีกด้านของชีวิตคู่ที่ไม่ควรมองข้าม ว่าไปแล้วอย่าว่าแต่จิตใจของเขาเลย จิตใจของตัวคุณเอง ก็ใช่ว่าจะคุมได้ คุณไม่อยากเครียดไม่อยากทุกข์ แต่มันก็ยังทุกข์อยู่นั่นเอง

อย่างไรก็ตามอาตมาอยากให้แง่คิดแก่คุณว่า การไปถ่ายรูปกับนางแบบก็คือไปถ่ายรูป เป็นใจคุณหรือเปล่าที่ปรุงแต่งไปว่าเขาอาจมีความสัมพันธ์ที่เกินเลยจนเกิดเป็นความทุกข์เศร้าหมอง ที่สามีเคยบอกว่า ไม่มีสมาธิในการทำงาน ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากความระแวงของคุณก็ได้ ทำให้เกิดท่าทีที่เป็นปัญหาต่อกัน คุณทั้งสองจึงควรหาโอกาสพูดคุยกันเมื่อรู้สึกว่าพร้อมที่จะเปิดใจกันและฟังกันอย่างจริงจัง

คุณทำถูกแล้วที่ใช้วิกฤตินี้เป็นโอกาสเข้าใกล้ธรรมะ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม อยากแนะนำให้คุณปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยฝึกใจให้อยู่กับปัจจุบัน และหมั่นดูใจของตน ว่าขณะปฏิบัติ รู้สึกอย่างไร ใจผ่อนคลายลงบ้างหรือไม่ การปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจะช่วยคุณได้มาก เพราะใจที่มีธรรมะเป็นเครื่องรักษานั้น จะไม่ทุกข์ง่ายแม้ว่าคนรอบตัวจะมีปัญหาหรือประพฤติตัวไม่ถูกต้องก็ตาม

เราควรรักตัวเองก่อนที่จะคาดหวังให้ใครมารักเรา เมื่อชีวิตคู่มีปัญหา ไม่ดีกว่าหรือที่จะหันกลับมารักและดูแลเอาใจใส่ตัวเอง เมื่อใจคุณคลายจากความทุกข์ลงแล้ว ท่าทีและคำพูดที่คุณมีต่อสามีก็จะดีตามมา ไม่ว่าสามีหรือใครๆก็ตามล้วนอยากอยู่ใกล้คนที่สดใส อยู่ด้วยแล้วสบายใจ หากทำได้เช่นนี้ พ่อแม่ก็จะพลอยคลายทุกข์ไปด้วย

ถวายสังฆทานอย่างไร ให้ถูกต้อง




Navarat Chailuekij ปุจฉา - เรียนสอบถามพระอาจารย์ค่ะ เรื่องหลักการถวายสังฆทาน ที่ถูกต้อง มีกำหนดเวลาไหมคะว่าต้องถวายไม่เกินกี่โมง แล้วจำเป็นต้องมีพระ 4 รูปมารับถวาย ถึงจะเป็นการทำสังฆทานที่ครบบริบูรณ์ หากเราต้องการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วคะ กราบขอบพระคุณพระอาจารย์คะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - การถวายสังฆทานนั้น ไม่จำเป็นต้องมีพระ ๔ รูปขึ้นมารับ แค่มีพระ ๑ รูปเป็นตัวแทนสงฆ์รับสังฆทานก็ได้ หากสังฆทานนั้นมีอาหารด้วย ควรถวายก่อนเที่ยง แต่หากไม่มีอาหารรวมอยู่ด้วย ถวายเมื่อใดก็ได้ที่สะดวกแก่ทั้งผู้รับและผู้ให้





วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2557

รู้จักปล่อย ความทุกข์มันก็หายไป

เมื่อเราเริ่มรู้จักวาง รู้จักปล่อย ความทุกข์มันก็หายไป แล้วการปล่อยการวางเนี่ย เป็นสิ่งที่เราทำได้ เราเลือกได้ ถ้าเราคิดจะเลือก

พระไพศาล วิสาโล





จิตที่มันยึดกับความคาดหวัง

จิตที่มันยึดกับความคาดหวังนี่คือ จิตที่พร้อมจะทุกข์ตลอดเวลา ไม่ว่าจะคาดหวังเรื่องอะไรก็ตาม - พระไพศาล วิสาโล




เคยเมตตามีน้ำใจ แต่เปลี่ยนไปเพราะโดนเอาเปรียบ



ปุจฉา - กราบนมัสการพระอาจารย์ค่ะ หนูมีเพื่อนสนิทที่ยอมคนอื่นมาตลอดเป็นคนมีเมตตามีน้ำใจ จนวันหนึ่งความมีเมตตาความมีน้ำใจค่อยๆหายๆไป เพราะเขาโดนเอาเปรียบบ่อยครั้ง กลายเป็นความแค้นคิดจะทำร้ายคิดไม่ดีกับทุกคนที่เอาเปรียบเขา

หนูเตือนให้เขามีเมตตาและให้อภัยผู้อื่น เขาก็บอกว่าทำไม่ได้เพราะเขาทนไม่ไหวกับการโดนเอาเปรียบอีกต่อไป หนูควรทำอย่างไรดีคะให้เขาเลิกความคิดแบบนี้ ขอพระอาจารย์ชี้นำทางสว่างด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ค่ะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - คุณควรชี้ให้เธอเห็นโทษของความเคียดแค้นพยาบาท โดยอาจถามเธอว่าเมื่อมีความรู้สึกดังกล่าว จิตใจเป็นอย่างไร มีความสุขหรือไม่ จากนั้นก็ควรชี้ให้เธอเห็นต่อไปว่า ความเคียดแค้นชิงชังไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น กลับแย่ลง กล่าวคือ นอกจากเธอยังคงถูกเอาเปรียบต่อไปแล้ว จิตใจกลับรุ่มร้อนยิ่งขึ้น อาจจะแย่กว่าก่อนหน้านี้เสียอีก คือ ตอนนั้นแม้ถูกเอาเปรียบ แต่จิตใจไม่รุ่มร้อนเพราะมีเมตตากรุณา

พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า เธอควรปล่อยให้เขาเอาเปรียบต่อไป โดยไม่ทำอะไรเลย หรือได้แต่แผ่เมตตาให้แก่เขาอย่างเดียว การมีเมตตาต่อเขานั้นดีแล้ว แต่เธอควรทำมากกว่านั้น นั่นคือ หาทางป้องกันไม่ให้เขามาเอาเปรียบ ซึ่งรวมถึงการกล้าปฏิเสธเขา หรือกล้าพูดตรง ๆ กับเขา ว่าการที่เขาทำเช่นนั้นไม่ถูกต้อง จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเธอไม่กล้าพูดไม่กล้าปฏิเสธ เขาจึงได้ใจ เอาเปรียบเธอหนักขึ้น จนเธอทนไม่ไหว จิตใจจึงเหวี่ยงไปอีกทางหนึ่ง คือโกรธเกลียดเคียดแค้นไปเลย

กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ “ทำจิต” แต่ “ไม่ทำกิจ” คือ ยอมให้เขาทำไม่ดีกับตน โดยไม่กล้าปริปากหรือพูดกับเขาตรง ๆ ว่าอย่าทำอย่างนี้อีก ครั้นปล่อยให้เขาทำเรื่อย ๆ สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ระเบิดออกมา หรือไม่จิตใจก็พลิกกลับไปเป็นตรงกันข้าม ราวกับเป็นคนละคน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตนเองเลย ทางที่ถูกคือ นอกจากทำจิต คือ มีเมตตา ไม่โกรธเคือง แล้ว ควรทำกิจ คือ ป้องกันไม่ให้เขาทำอย่างนั้นกับเราอีก รวมถึงการพูดตรง ๆกับเขาอย่างสุภาพว่า ฉันไม่ชอบให้เธอทำอย่างนี้อีก ขอให้หยุดเสีย

เอาปัจจัยของพระที่ไม่มีญาติและช่วยเหลือตนเองไม่ได้นำไปซื้ออาหารมากินร่วมกัน



ปุจฉา - นมัสการค่ะพระคุณเจ้า ดิฉันได้ไปทำงานที่สถานบริการที่ดูแลพระภิกษุป่วยซึ่งมีจำนวนมากที่เป็นอัมพาต ไม่มีญาติ ในแต่ละวันจะมีโยมมาทำบุญถวายของกินของใช้ ปัจจัยมากมาย เจ้าหน้าที่จะเก็บปัจจัยไว้ให้เมื่อพระคุณเจ้าหายก็จะนำปัจจัยจำนวนนั้นคืนให้พระคุณเจ้าหรือญาติเพื่อดูแลพระคุณเจ้าต่อไป

ในช่วงพักทานข้าวของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะไปเอาปัจจัยของพระที่ไม่มีญาติและช่วยเหลือตนเองไม่ได้นำไปซื้ออาหารมากินร่วมกัน พระคุณเจ้าบางรูปท่านไม่รู้สติ พูดคุยไม่รู้เรื่องและท่านก็ไม่ได้อนุญาตด้วยเพราะท่านพูดไม่ได้ แต่พอดิฉันถามว่าทำอย่างนี้ไม่บาปเหรอ เค้าก็บอกว่าพวกเราดูแลท่านมานาน เวลาขอท่านก็อนุญาตหมด แต่บางรูปท่านพูดไม่ได้และปัจจัยเหล่านี้โยมเอามาทำบุญทำทาน การที่พระท่านนอนเป็นอัมพาตให้พวกเราดูแลและไม่มีญาติ อย่างไรท่านก็มรณภาพที่นี่ปัจจัยก็ต้องไปบริจาคอยู่แล้ว การที่พวกเราได้นำไปซื้อของกินก็เป็นการทำบุญเหมือนกัน

ตอนแรกๆ ดิฉันก็ร่วมวงกินด้วย แต่รู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่ มันน่าจะเป็นบาปมากกว่าเหมือนเราขโมยของๆ ท่านค่ะ ดิฉันไม่สบายใจค่ะทำตัวไม่ถูก

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - สิ่งของที่ไม่ใช่ของตน หากเอามาครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ก็ไม่ต่างจากขโมย จะอ้างเหตุผลอย่างที่กล่าวมาข้างบน ย่อมฟังไม่ขึ้น และไม่ทำให้การกระทำดังกล่าวกลายเป็นความถูกต้องไปได้

แม้ผู้ป่วยจะมีอาการโคม่า ดูเหมือนไม่รับรู้ เจ้าหน้าที่ก็ควรขออนุญาตท่านก่อน หรือบอกให้ท่านรับทราบก็ยังดี เพราะที่จริงแล้วท่านยังอาจรับรู้ได้เป็นแต่ตอบสนองไม่ได้เท่านั้น

ที่เจ้าหน้าที่อ้างว่า เมื่อพระมรณภาพ เงินทั้งหมดที่ท่านได้รับก็จะกลายเป็นเงินบริจาค ดังนั้นจึงไม่เป็นการผิดหากตนจะนำเงินนั้นไปซื้ออาหารกินกันเองเสียแต่ตอนนี้ การกระทำดังกล่าวย่อมไม่ต่างจากลูกที่หยิบเอาเงินของแม่ไปใช้อย่างพลการ โดยให้เหตุผลว่าเมื่อแม่ตายเงินทั้งหมดของแม่ก็ต้องตกเป็นของลูกอยู่ดี การกระทำเช่นนั้นของลูก วิญญูชนก็ย่อมรู้ดีว่าคือการขโมยนั่นเอง

มองให้ดีกรณีเจ้าหน้าที่เอาเงินของพระอาพาธไปใช้อาจจะหนักกว่ากรณีลูกเอาเงินแม่ เพราะถ้าพระมรณภาพ เงินนั้นย่อมตกเป็นของสงฆ์ หรือของส่วนรวม (เช่น โรงพยาบาล) เจ้าหน้าที่จึงไม่มีสิทธิที่จะนำเงินนั้นมาใช้ส่วนตัวได้เลยไม่ว่าวันนี้หรือวันหน้า (ต่างจากกรณีของลูก แม้ไม่มีสิทธิหยิบเงินของแม่ไปใช้ในวันนี้ แต่ยังมีสิทธิครอบครองเงินของแม่เมื่อแม่สิ้นลม)

เมื่อคุณรู้เช่นนี้แล้ว เพื่อความสบายใจ ก็ไม่ควรข้องแวะกับเงินที่ได้มาด้วยวิธีการดังกล่าว เมื่อทักท้วงแล้วเขาไม่ฟัง แม้จะร่วมโต๊ะกินอาหารกับเขา ก็ไม่ควรแตะต้องอาหารที่ซื้อมาด้วยเงินก้อนนี้

ความตายนี้...


..ความตายนี้...
... ใครจะเสียใจ ไม่เสียใจ
...ใครจะชอบ ไม่ชอบ
... ใครจะยินดี ไม่ยินดี
แต่... เมื่อถึงวาระ ก็จะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ
... ตราบที่เรายังปฏิเสธกฎธรรมชาติ
... เราก็เป็นทุกข์ตราบนั้น...
การยึดติดจึงเป็นทุกข์ หากปล่อยวางลงได้ ยิ่งเร็วเท่าไร ยิ่งเป็นสุขเร็วเท่านั้น
...อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลง และดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีตัวตน เที่ยงแท้แน่นอน เลย...






ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 100 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - ครูของแผ่นดิน

รายการรักพ่อ100 ครูของแผ่นดิน

พบกับทีนพลัสรักพ่อ จากชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว จ.ชลบุรี, ฟังเพลงเด็กรุ่นไม้เรียว (เผยแพร่ครั้งแรก) ช่วงสนทนา แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่อง ครูของแผ่นดิน ดำเนินรายการ โดย สุเวศน์ ภู่ระหงษ์, คุณเหมียว ธมน โอษฐเจษฏา และปู กัลยา สำอางค์



"...คนหนึ่งคนที่จะเป็นต้นแบบคนอื่นได้ ในหลวงบอกว่า ต้นแบบที่ดี มีค่ามากกว่าพันคำสอน นั้นหมายความว่า คนๆนึงถ้าจะให้คนอื่นเค้า เคารพศรัทธาได้ ต่อให้นั่งพูดนั่งสอน แต่ตัวเองประพฤติไม่ได้เป็นต้นแบบที่ดีได้ คนอื่นก้ไม่เคารพ หรือว่า เคารพแต่ไม่ได้มีความศรัทธา การที่เราจะเคารพรักศรัทธาใครสักคน ก็คือต้นแบบ คือ ตัวบุคคลนั้น หนูเคารพศรัทธา อ.ธีระ วงศ์เจริญ เพราะว่า อาจารย์ธีระ เดินตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าพูดถึงลึกๆจริงๆ ครูของหนูก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่เราไม่ได้ใกล้ชิดพระองค์ท่าน ไม่ได้สนองคุณ ได้ใกล้ชิด แต่เราทำงาน โดยใช้บุคคล โดยมี อ.ยักษ์ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ที่เคยเดินตามในหลวงมา ก็พร่ำสอน บอกอาจารย์ธีระว่า เราจะต้องทำอย่างไร เพื่อที่จะแบ่งเบาภารกิจของพระองค์ท่าน ....."

http://www.youtube.com/watch?v=5-w-rbbtLhw



มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

คำพูดโดนๆ ของเฮียโจวเหวินฟะ

ขอแชร์คำพูดโดนๆ ของเฮียโจวเหวินฟะ และกดเลิฟให้สักร้อยที เพราะเฮียไม่ได้แค่พูด แต่ทำด้วย ล่าสุด ยกมรดก 5,248 ล้านบาท ให้การกุศลภายหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว

Cr: komchadluek (http://bit.ly/1hRP9nz)




รักษาศีล ผ่อนปรนได้บ้างไหม




ปุจฉา - หนูขอเรียนถามพระอาจารย์เกี่ยวกับหลักในการรักษาศีลและภาวนาค่ะ เราควรจะเข้มงวดหรือหย่อนให้ตัวเองได้มากน้อยเพียงใดคะ ทุกวันนี้หนูรักษาศีล 8 อาทิตย์ละประมาณ 3-4 วัน บางครั้งมีเหตุให้ต้องเลื่อนวันที่จะถือศีลออกไป เช่น ไปทำธุระต่างจังหวัด คุณแม่ชวนไปทานข้าวเย็นซึ่งครอบครัวหนูนานๆ จะได้ไปกันสักครั้ง เมื่อมีเหตุให้หนูต้องผลัดวันออกไป หลายๆ ครั้งทำให้หนูรู้สึกผิด รู้สึกว่าตัวเองเหลวไหลและรักษาคำพูดไม่ได้ หงุดหงิดตัวเองบางครั้งก็หงุดหงิดคนอื่นที่เป็นเหตุให้ไม่ได้รักษาศีลอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ต้น

หนูทราบดีว่าการทำความดีไม่ควรเป็นเหตุให้เราหงุดหงิดโมโห หนูรู้ตัวว่าเคร่งเครียดเกินไปแต่ก็กลับมาคิดว่าถ้าเรายอมผ่อนปรนไปเรื่อยๆ จะกลายเป็นคนไม่มีสัจจะเพราะแม้แต่คำพูดที่ให้ไว้กับตัวเองยังรักษาไม่ได้เลย หนูอยากเริ่มสร้างสัจจะบารมีในชาตินี้และอยากปฏิบัติแบบทางสายกลางตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแต่ก็สับสนค่ะ ไม่รู้ว่าทางสายกลางของเราอยู่ตรงไหน รบกวนพระอาจารย์แนะนำด้วยนะคะและรบกวนช่วยปิดบังชื่อของหนูหากจะนำไปลงในเพจด้วยนะคะขอบพระคุณมากค่ะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - การรักษาศีล ๘ เป็นเรื่องดี แต่ก็ควรเข้าใจด้วยว่าเป็นการปฏิบัติเพื่อมุ่งขัดเกลาตนเอง นอกจากไม่เบียดเบียนผู้อื่นแล้ว ยังช่วยให้เป็นผู้อยู่ง่าย ไม่ติดในกามสุข หรือหลงเพลินในวัตถุสิ่งเสพ หากสมาทานแล้วรักษาศีล ๘ ไม่ได้เพราะพ่ายแพ้ต่อกามสุขหรือความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ ก็น่าที่คุณจะเสียใจ แต่หากคุณไม่อาจสมาทานศีล ๘ ได้เพราะมีความจำเป็นบางประการ เช่น ต้องกินอาหารเย็นกับครอบครัว ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียใจ คุณก็เพียงแต่งดสมาทานศีล ๘ ในวันนั้น สมาทานแค่ศีล ๕ วันรุ่งขึ้นค่อยสมาทานศีล ๘ ใหม่ เพราะการสมาทานศีลนั้นเป็นเรื่องสมัครใจ

อย่างไรก็ตามเมื่อคุณตั้งใจจะสมาทานศีล ๘ อย่างจริงจังแล้ว ก็ควรทำให้ต่อเนื่อง วางลงได้บ้างตามความจำเป็น แต่ไม่ควรทำบ่อย บางครั้งก็จำต้องปฏิเสธการเรียกร้องของคนอื่น ถึงจุดหนึ่งคนรอบตัวจะเข้าใจคุณ และไม่เรียกร้องให้คุณต้องผ่อนศีลลง แต่จะปรับตัวเพื่อให้สะดวกแก่คุณ เช่น เปลี่ยนมากินอาหารกลางวันร่วมกันแทน

สิ่งหนึ่งที่คุณควรระวังคือ การติดดี การทำความดีเช่นการรักษาศีลอย่างจริงจังเป็นเรื่องดี แต่หากพลั้งเผลอหรือมีเหตุให้ต้องวางศีลบางข้อ ก็พยายามเริ่มต้นใหม่และทำให้ดีขึ้น แต่อย่าถึงกับติดวนอยู่กับเหตุการณ์ที่ผ่านไป ปล่อยให้ความรู้สึกผิดครอบงำจนจิตเศร้าหมองเป็นวัน ๆ หรือเอาแต่ตำหนิติเตียนตนเอง ภาวะจิตแบบนี้นอกจากทำให้เป็นทุกข์แล้ว ยังทำให้จิตใจไม่มีกำลังในการทำความดีหรือการบำเพ็ญบารมีให้งอกงาม แม้แต่ความดีที่เคยทำหรือศีลที่เคยรักษาก็อาจท้อแท้เหนื่อยหน่ายจนเลิกไปเลยก็ได้





วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

เวลา กับ หัวใจ เป็นเพื่อนรักกันมานาน




วันหนึ่ง...
เวลา พา หัวใจ มารู้จักกับ "ใครคนหนึ่ง"

วินาทีแรกที่พบ...
หัวใจสะกิดบอกเวลาว่า...
"คนนี้แหละ...เจ้าหญิงในฝันของฉัน ฉั น ช อ บ เ ค้า"
เวลามองดูหัวใจ
"นายไม่ได้ชอบเค้าหรอก นายแค่ปิ๊งเค้า"
แต่หัวใจก็เถียง...


3 เดือนผ่านไป
หัวใจกระซิบบอกเวลาว่า...
"ฉันรักเค้าเหลือเกิน"
เวลามองดูหัวใจแล้วส่ายหน้า

6 เดือนผ่านไป
เวลาเฝ้ามองดูหัวใจหัวเราะกับใครคนนั้นอย่างมีความสุข

1 ปีผ่านไป
หัวใจปรึกษาเวลาว่า...
"นายว่าเค้าเป็นงัยบ้าง"
"แล้วนายว่าเค้าเป็นงัยล่ะ" เวลาย้อนถามหัวใจ
"ก็..เค้าคงไม่ใช่เนื้อคู่ของฉันหรอก"
เวลามองดูหัวใจแล้วส่ายหน้า

.....ใ ค ร ค น นั้ น จา ก ไ ป ....

1 เดือนผ่านไป
เวลามองดูหัวใจหัวเราะกับใคร ๆ อย่างมีความสุข

3 เดือนผ่านไป
หัวใจกระซิบถามเวลา...
"นายรู้มั๊ยว่าเค้าอยู่ที่ไหน เป็นงัยบ้าง"
"ทำไม...นายคิดถึงเค้าเหรอ"
เงียบ ...

6 เดือนผ่านไป
หัวใจตะโกนบอกเวลา...
"ฉั น คิ ด ถึ ง เ ค้ า อยากเจอเค้า อยากบอกเค้าว่า ฉั น รั ก เ ค้า"
"แล้วทำไมวันนั้นนายไม่บอกเค้าล่ะ"
หัวใจก้มหน้าน้ำตาริน


1 ปีผ่านไป
หัวใจอ้อนวอนเวลาทั้งน้ำตา...
"ได้โปรดเถอะ พาเค้ากลับมาหาฉันที ฉันคิดถึงเค้าเหลือเกิน อยากกอดเค้า..."
เวลามองดูหัวใจแล้วส่ายหน้า
นานเท่าไหร่ไม่รู้
เวลาสะกิดถามหัวใจ...
"นายไม่คิดถึงเค้าแล้วเหรอ ลืมเค้าได้แล้วเหรอ"
หัวใจหันไปมองดูเวลา
และ ยิ้ ม ใ ห้ กั บ ตั ว เ อ ง
"เ ว ลา ไม่อาจทำให้เราลืม ใ ค ร บา ง ค น ที่เรา รั ก แต่เวลาช่วยให้เรา
คิ ดถึ ง คน ๆ นั้นได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด"

วันเวลา...ของชีวิตที่เหลืออยู่


คนเราเกิดมาอาจจะไม่มีความเท่าเทียมกันในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นฐานะความเป็นอยู่ โอกาสในชีวิต ตลอดจนรูปร่างลักษณะบุคลิกภาพเฉพาะตน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนได้เท่าเทียมกัน คือเวลา ปัญหาอยู่ที่ว่าใครจะตระหนักถึงคุณค่า ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด

1 ปี = 365 วัน
5 ปี = 1,825 วัน
10 ปี = 3,650 วัน
20 ปี = 7,300 วัน
40 ปี = 14,600 วัน
60 ปี = 21,900 วัน
70 ปี = 25,550 วัน

ถ้าคิดอายุความสามารถของร่างกายที่ 60 ปี ซึ่งเป็นอายุที่ต้องเกษียณอายุตัวเองจากการทำงาน ถ้าเราเริ่มทำงานที่อายุ 21 ปี คนเราจะมีเวลาทำงานประมาณ 14,600 วัน หรือ 2,080 สัปดาห์ และถ้าเราใช้เวลาพักผ่อนไป 1/3 ของวัน (8 ชั่วโมง/วัน) ในระยะเวลา 40 ปี เราจะใช้เวลาพักผ่อนไปถึง 4,867 วัน เหลือเวลาทำสิ่งต่าง ๆ เพียง 9,733 วัน

คนเราไม่ได้คิดว่าสักวันหนึ่ง ชีวิตจะสิ้นสุดลง จึงปล่อยโอกาสอันดีงามให้ผ่านไปอย่างไม่แยแส ในวัยหนุ่มสาวที่แข็งแรงกลับปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ ในเวลาเรียนที่มีค่าอย่างมากกับอนาคตของตนเอง กลับมองออกไปนอกหน้าต่าง สร้างวิมานในอากาศปล่อยให้คำสอนของครูอาจารย์ เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา ในช่วงเวลาที่ควรค่าแก่การพักผ่อน กลับเที่ยวเตร่จนดึกดื่น หรือดื่มจนเมามาย แล้วตื่นขึ้นมาปวดหัวหรือตื่นสายในวันรุ่งขึ้นหมดแรงที่จะคิดสร้างสรรค์ผลงานจวบจนแก่ชรา อายุมากขึ้น ภาพอดีตความหลังที่ผ่านมาย้อนให้คิดคำนึงแม้จะพยายามไขว่คว้า กาลเวลาที่ผ่านไปก็ไม่อาจหวนคืน

คนเราเกิดมาทุกคนกำลังเดินทางไปสู่จุดสุดท้ายของชีวิต นั่นคือจะต้องจากโลกนี้ไปอย่างแน่นอน จะเร็วหรือช้าเท่านั้น ไม่มีใครหนีพ้นกฎของธรรมชาติข้อนี้ไปได้ คนเราเมื่อเกิดมาแล้ว ก็จะเจริญเติบโตไปตามช่วงวัยต่าง ๆ ในขณะที่อายุเริ่มจะมากขึ้น ความแข็งแรง และความสามารถทางด้านร่างกายก็เริ่มลดลง โรคภัยไข้เจ็บก็จะมาเยี่ยมเยียน ซึ่งคำภีร์อินเดียโบราณแบ่งช่วงวัยและอายุไว้ดังนี้

1.วัยแรกเกิดถึง 10 ปี เป็นวัยเดียงสา พ่อแม่ต้องฟูมฟักเลี้ยงดู
2.อายุระหว่าง 11-20 ปี เป็นวัยอยากเล่นอยากเรียนรู้ กำลังเจริญเติบโต
3.อายุระหว่าง 21-30 ปี เป็นวัยที่เรียกว่าชีวิตสวยงาม ร่างกายแข็งแรง
4.อายุระหว่าง 31-40 ปี เป็นวัยแห่งการทำงาน ยังมีเรี่ยวแรงกำลังวังชา
5.อายุระหว่าง 41-50 ปี เป็นวัยแห่งการใช้ปัญญา และเริ่มที่จะแก่
6.อายุระหว่าง 51-60 ปี เป็นวัยที่ร่างกายเสื่อมถอย
7.อายุระหว่าง 61-70 ปี เป็นวัยที่ร่างกายเสื่อมถอยมาก
8.อายุระหว่าง 71-80 ปี เป็นวัยที่ใกล้ชราภาพมากแล้ว หลังเริ่มงอ
9.อายุระหว่าง 81-90 ปี เป็นวัยหลง ๆ ลืม แสดงถึงสังขารที่เสื่อมถอยและเริ่มจะทักทายความตาย
10.อายุระหว่าง 91 ปี ขึ้นไป เป็นวัยที่หมดความรู้สึกหรือตายด้าน ทุกกรณี

ที่กล่าวมาเป็นช่วงของชีวิต ที่ทุกคนจะต้องประสบพบเจอหากมีชีวิตยืนยาวแต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่เกิดจะมีชีวิตยืนยาวเท่ากันทุกคน หลายคนต้องจากไปก่อนวัยอันควร แม้ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็ไม่สามารถที่จะร้องขอได้ เวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต เวลาที่ผ่านไปหรือสูญเสียไป จะสูญเสียตลอดกาล เพราะฉะนั้นจงใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่เกิดอะไรขึ้นมาเลย

มีผู้ชายคนหนึ่ง เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงที่สวยมาก



ใช้ชีวิตคู่กันอย่างมีความสุข แต่ในวันหนึ่ง ภรรยาของเขาป่วยเป็นโรคชนิดหนึ่ง ซึ่งนางก็กังวลว่า สักวันหนึ่ง ความสวยงามที่มีอยู่ในตัวของนางจะหายไป แต่ในขณะนั้น สามีของนางออกนอกบ้าน เขายังไม่รู้ว่าภรรยาของเขาป่วยเป็นโรคชนิดนี้ แต่บังเอิญว่า ช่วงที่สามีจะกลับมาที่บ้าน เขาได้รับอุบัติเหตุกลางทางเสียก่อน และอุบัติเหตุในครั้งนี้ ทำให้เขาต้องเสียการมองเห็น หรือตาบอด

ชีวิตคู่ของพวกเขาทั้งสอง ก็ดำเนินมาอย่างเรื่อยๆ และโรคที่อยู่กับภรรยาของเขา ยิ่งวันก็ยิ่งทำให้ความสวยงามของนางยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ และผู้เป็นสามีเองก็เสียการมองเห็น จึงทำให้ชีวิตคู่ของพวกเขาทั้งสองดำเนินไปจนถึง 40 ปี และความรักที่มีให้กันนั้น ก็ยังเป็นเหมือนวันที่พวกเขาทั้งสองได้ใช้ชีวิตคู่ในตอนแรกๆ สามีให้ความเคารพต่อภรรยา และภรรยาก็ปฏิบัติตามทุกคำสั่งสอนที่ดีของสามี จนกระทั่งมาถึงวันที่ภรรยาของเขาเสียชีวิต ผู้เป็นสามีก็โศกเศร้าเสียใจกับการจากไปของนาง

หลังจากที่ผู้คนได้ทำการฝังศพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้คนก็ทยอยกันกลับบ้าน ผู้เป็นสามีก็ลุกขี้นยืน แล้วจะเดินกลับไปบ้านคนเดียว

ผู้คนที่ยังอยู่ที่นั่นก็ทักเขาว่า : นี่คุณจะเดินไปไหน ?
เขาตอบว่า : จะกลับบ้าน
ผู้คนที่นั่นก็ถามด้วยเสียงเศร้าว่า : แล้วคุณจะเดินคนเดียวได้อย่างไร ? ก็ในเมื่อคุณตาบอด ที่ผ่านมา ภรรยาของคุณเดินจูงคุณไปไหนมาไหนตลอดไม่ใช่หรือ ?
เขาก็ตอบว่า : ฉันไม่ได้ตาบอด ที่ผ่านมา ฉันแกล้งทำว่าตัวเองตาบอด เพราะว่าฉันไม่อยากที่จะทำร้ายจิตใจของภรรยาฉัน กับการที่นางได้พยายามปกปิดเรื่องโรคของนาง เพื่อไม่อยากที่จะทำร้ายจิตใจของฉัน และส่วนตัวฉัน ก็ได้พยายามปกปิดนางว่าฉันตาบอด ก็เพื่อที่ไม่อยากทำร้ายจิตใจของนาง ต่างคนก็ต่างพยายามปกปิด ก็เพื่อที่จะให้ชีวิตคู่นั้นยืนอยู่ได้นานเท่านาน

ในตัวของคนเรานั้น ใครๆต่างก็มีความผิดพลาดกันทั้งนั้น จะดีแค่ไหน ถ้าเราทำเป็นมองไม่เห็นกับความผิดพลาดเหล่านั้น ก็เพราะว่าสักวันหนึ่ง ตัวเราเองก็หนีไม่พ้นจากความผิดพลาด

และคนที่อยู่กับเราก็เช่นกัน ถ้าหากว่าเขาได้รับรู้ว่าเราพยายามปกปิดเรื่องที่ไม่ดีของเขาแล้ว ตัวเขาจะซาบซึ้งใจมากแค่ไหน และเมื่อเขาได้รับรู้ว่าเราเองก็มีสิ่งที่ไม่ดีเช่นกัน และเขาก็จะพยายามปกปิดสิ่งที่ไม่ดีของเราเหล่านั้น เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข
.
.
.
บทความดีๆโดย..คู่ครองในอิสลาม

" หิวไหมลูก เดี๋ยวแม่จะไปต้มบะหมี่ให้กิน"



เด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ง ทะเลาะกับแม่ของตัวเองด้วยเรื่องอันน้อยนิด ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น หุนหันพลันแล่น ทำให้เด็กหนุ่มห...นีออกจากบ้านไป..
ด้วยความรีบ และต้องการประชดแม่ ทำให้เขาเดินทางโดยที่ไม่ได้นำเงินติดตัวไปแม้แต่บาทเดียว ดึกแล้ว หิวก็หิว อาหารยังไม่ตกถึงท้อง... จนมาถึงร้านบะหมี่แห่งหนึ่ง ด้วยความหิว ทำให้เขาเดินเข้าไป และมองด้วยสายตาหิวโหย ชายเจ้าของร้านบะหมี่ เห็นเด็กหนุ่ม มองด้วยสายตาที่แสดงความหิว จึงเกิดความเมตตา

ชายเจ้าของร้านได้เรียกเด็กหนุ่มเข้ามา และ จัดการทำบะหมี่ให้เด็กหนุ่มหนึ่งชามโดยไม่คิดเงิน เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณ.. ขณะทานบะหมี่ ด้วยความรวดเร็ว ทันใดนั้นเด็กหนุ่ม ได้ร้องไห้โฮออกมา..ชายเจ้าของร้านจึงถามด้วยความแปลกใจว่า...

" เจ้าเป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไมหรือ " เด็กหนุ่มกล่าวไปด้วย ร้องไห้ไปด้วยว่า " คิดไม่ถึงว่า ในโลกนี้ยังมีคนที่จิตใจดีอย่างคุณอีก ที่ยอมให้ผมกินบะหมี่โดยไม่คิดเงิน" จากนั้นเด็กหนุ่มก็ เล่าให้เจ้าของร้านฟังว่า เขาทะเลาะกับแม่ จึงหนีออกจากบ้านมา

เมื่อเจ้าของร้านได้ฟังที่เด็กหนุ่มกล่าวมา เขาหัวเราะจนท้องแข็ง เด้กหนุ่มสงสัยว่า นี่เป็นเรื่องตลกหรือ ชายเจ้าของร้านจึงกล่าวกับเด็กหนุ่มว่า " ฉันเพิ่งรู้จักกับเธอเมื่อครู่นี้เอง แล้วก็แค่เลี้ยงบะหมี่ เธอ ชามเดียวเอง เธอรู้สึกซาบซึ้งถึงขนาดนี้เลยเหรอ
แม่เธอต้มบะหมี่ให้กินตั้งกี่ชาม แต่เธอกลับไม่พอใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆ นี่ยังไม่น่าหัวเราะอีกหรือ"..

คำพูดของชายเจ้าของร้านบะหมี่ ทำให้เด็กหนุ่มได้คิด เขาจึงเดินทางกลับบ้าน ตั้งใจจะไปขอโทษแม่ เมื่อเขาไปถึงบ้าน แม่ของเขารีบออกมารับ และกอดเด็กหนุ่ม นอกจากจะไม่ตำหนิ แล้ว ยังรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่า.." หิวไหมลูก เดี๋ยวแม่จะไปต้มบะหมี่ให้กิน" ในชีวิตจริงมีคนหลายๆคนที่ทำสิ่งดีๆให้กับเรา แต่เพียงเพราะเขา เป็นคนในครอบครัว เพื่อนสนิท ลูกน้อง หรือมิตรสหาย ทำให้เรามองไม่เห็นความสำคัญ กลับไปชื่นชม และให้ความสำคัญกับคนอื่น โดยไม่คำนึงถึงจิตใจของคนที่รักเรา
เครดิต:Toom - Irin

"มหัศจรรย์แห่งความรักแบบรักแท้ไม่มีเงื่อนไข"

"มหัศจรรย์แห่งความรักแบบรักแท้ไม่มีเงื่อนไข"

1.ตั้งใจฟังอย่างไม่ขัดคอ

2. พูดด้วยวาจาสุภาพอ่อนโยนโดยและประกอบด้วยความเมตตากรุณา
3.มีการให้แบบไร้เงื่อนไขต่อเนื่องไม่จำกัดเวลาและเหตุผล
4.เวลาถูกถามจงตอบแบบการปราศจากการขัดแย้งหรือโต้เถียง
5.แบ่งปันอย่างจริงใจไร้การเสแสร้ง
6.มีความสุขสนุกสนานเบิกบานใจในทุกสภาพและมิติของเวลาโดยไร้ปัญหาหรือปราศจากความทุกข์ใจ
7.มีความเชื่อใจ อย่างไม่เคลือบแคลงสงสัยและไม่ลังเล
8.ให้อภัยโดยปราศจากข้อแม้หรือเงื่อนไขใดๆ
9.สัญญาแล้วต้องรักษาคำพูด

ที่มา:เพจ A friend of Humanity.

เพื่อนเก่าเหมือนรูปถ่าย เพื่อนใหม่เหมือนรองเท้า

เพื่อนเก่าเหมือนรูปถ่าย เพื่อนใหม่เหมือนรองเท้า
เพื่อนเก่า :
เป็นคนที่อยู่กับเรา ตอนเรามีความรักครั้งแรก
เป็นคนที่มีความทรงจำทั้งดีและแย่ร่วมกันกับเรา
เป็นคนที่มีรูปติดอยู่ในสมุดเฟรนด์ชิปเล่มเดิม
เป็นคนที่เซ็นชื่อกำกับตัวโตๆ ตรงคำว่ารักเรามากกว่าใคร
เป็นคนที่มักวิ่งเข้ามาในความคิดถึง ตอนเราเหงา
เป็นคนที่เราภูมิใจ เมื่อเล่าให้คนอื่นฟัง
เพื่อนเก่า.....จึงเหมือนกับรูปถ่ายที่ถูกเก็บไว้ในอัลบั้ม

ส่วนเพื่อนใหม่ :
เป็นคนที่อยู่กับเรา ตอนเรามีความรักครั้งปัจจุบัน
เป็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งตอนที่เราผิดหวังและสมหวัง
เป็นคนที่บอกเราว่าถึงแม้บางครั้งจะล้ม
แต่ถ้าใจไม่แพ้ ก็สามารถจะเริ่มต้นวิ่งใหม่ได้ทุกเมื่อ
เป็นคนที่ถ้าเราไม่สบาย จะรีบมาดูแล
เป็นคนที่เราอุ่นใจ เมื่อเล่าให้คนอื่นฟัง
เพื่อนใหม่.....จึงเหมือนกับรองเท้า
ที่พร้อมจะเดินไปในทุกๆที่ ด้วยกันกับเรา

ในชีวิตของทุกๆคน
ต่างก็จำเป็นต้องมีทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่อยู่ในชีวิต
เพื่อจะได้มีทั้ง ''ความทรงจำที่น่าภูมิใจ'' และ ''ปัจจุบันที่อบอุ่นใจ''
โดยการให้ความสำคัญกับ ''รูปถ่ายในอัลบั้ม''
หมั่นหยิบขึ้นมาปัดฝุ่น คิดถึงและนึกถึงเรื่องราวในภาพเหล่านั้นเสมอๆ
แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ลืมที่จะหมั่นเช็ดฝุ่นให้กับรองเท้าด้วย

อย่าให้การเดินไปด้วยกัน เป็นการเดินเหยียบย่ำกัน
อย่าให้ความเคยชิน ทำให้หมดความเกรงใจและไม่ให้เกียรติกัน
เพราะถึงแม้รองเท้าจะยี่ห้อดีแค่ไหน เพื่อนใหม่คนนั้นจะดีกับเราแค่ไหน

ถ้าเราใช้งานแบบไม่ถนอม รองเท้าก็อาจพังได้
เพื่อนใหม่ก็อาจหนีหายไปจากเราได้
ซึ่งก็รู้ใช่หรือเปล่า ว่ารองดท้าดีๆ ที่ใส่แล้วเหมาะกับเรานั้น หาไม่ง่ายเลย
เพื่อนดีๆ ที่เข้าใจเรานั้น หายากมาก และบางที...ตลอดชีวิต
อาจเจอแค่คนเดียว

เราเอามาจากหนังสือเล่มหนึ่งนะ เห็นว่าความหมายมันดีเลยส่งมาให้
ความหมายของคำว่าเพื่อนนั้นมีมากกว่านี้แต่ว่า
เราจะต้องค้นหามันด้วยตัวเอง
เมื่อถึงวันนั้นเราจะเข้าใจและพร้อมที่จะชื่นชมรูปถ่ายไปพร้อมๆกับการเดินด้วยรองเท้าที่เรารัก

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 99 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - ประทับอยู่ในใจไทย

รายการรักพ่อ99 ประทับอยู่ในใจไทย



พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน ไหมไทย ในแดนไกล, ศิลปะไทย ที่ไอเฟล, ช่วงในหลวงในดวงใจ15, กลเม็ดเคล็ดลับกับการพึ่งตนเอง, เสภาพระภูมินทร์, บาปใหญ่บาปลึก - คำกลอนสอนธรรมะจากท่านพุทธทาส, บทกวี เปิดใจส่งใจ จากณุ บูรพา

http://www.youtube.com/watch?v=1NFyS7fuliY



มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

วิธีคิดของคนที่ประสบความสำเร็จ

วิธีคิดของคนที่ประสบความสำเร็จ

When we are motivated
by goals that have deep meaning
by dreams that need completion

เมื่อไรที่เรามีแรงบันดาลใจ
จากเป้าหมายที่มีความหมายลึกซึ้ง
จากฝันที่จะต้องทำให้เป็นจริง

ไม่ทราบท่านเคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่าคนบางคนไม่มีอะไรแตกต่างกันมากไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานความรู้หรือ พื้นฐานครอบครัว แต่ประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน บางคนประสบความสำเร็จในหลายๆเรื่องที่เขาทำ แต่หลายคนทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักเรื่อง

แตกต่างกันที่วิธีคิด ทำไมในงานลักษณะเดียวกัน บางคนสามารถทำได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ตรงกันข้ามกับบางคนไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้

ปัจจัยสำคัญ คือ วิธีคิด ที่ไม่เหมือนกัน เหมือนพนักงานขายรองเท้าที่ถูกส่งไปทำตลาดที่ประเทศหนึ่งซึ่งประชากรส่วนใหญ่ไม่นิยมสวมรองเท้า

พนักงานขายคนแรกที่ถูกส่งไปกลับมารายงานว่าไปดูแล้วคิดว่าคงไม่สามารถทำตลาดรองเท้าที่ประเทศนี้ได้เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สวมรองเท้า ทางบริษัทจึงส่งพนักงานขายคนที่สองไป ปรากฏว่าพนักงานคนที่สองกลับมารายงานอย่างตื่นเต้นดีใจว่า มีโอกาสทำตลาดรองเท้าได้ดีมากๆ เพราะยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่สวมรองเท้า สุดท้ายเขาก็สามารถทำยอดขายได้อย่างมหาศาลเป็นท็อปเซลของบริษัทประสบความสำเร็จได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ต่างกันตรงไหน ต่างกันตรงวิธีคิด

หลายคนชอบโทษโชคชะตาว่าทำไมเกิดมาไม่รวยเหมือนคนอื่นเขาบ้างแต่ถ้าลองศึกษาดีๆ จะพบว่ามหาเศรษฐีส่วนใหญ่ไม่มีใครรวยมาแต่กำเนิด ล้วนแล้วแต่ต้องสร้างขึ้นมาทั้งนั้น หลายคนเริ่มมาจากเสื่อผืนหมอนใบ จนประสบความสำเร็จเป็นบุคคลระดับชาติ หรือผู้นำขององค์กรสำคัญต่างๆ เขามีวิธีคิดหรือการดำเนินชีวิตอย่างไร

คิดอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนและกำหนดเป้าหมายชัดเจนในการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ว่าในการดำเนินชีวิต หรือ การทำงานจะมีการวางแผนและกำหนดเป้าหมายชัดเจนทั้งระยะสั้น ระยะปานกลางและระยะยาว โดยมองครอบคลุมทุกด้าน และประสาทไวต่อสัญญาณต่างๆ ที่จะมากระทบที่ทำให้การทำงานไม่เป็นไปตามแผน

มีความเป็นผู้นำและเป็นผู้นำที่มีทั้ง EQ และ IQ คือ มีจิตใจที่ดีและเก่ง หลายคนเก่งแต่จิตใจไม่ดี ความรู้ความสามารถ พัฒนาและเรียนรู้กันได้หากมีความสนใจใฝ่รู้ แต่จิตใจที่ดีบางครั้งพัฒนายาก เพราะเป็นสิ่งถูกปลูกฝังมาแต่กำเนิด เพราะฉะนั้นการเลือกคนมาทำงานอย่ามองแต่เก่งอย่างเดียว
จิตใจต้องดีด้วย

คิดในแง่บวกมองทุกอย่างเป็นโอกาสเรียนได้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าเป็นงานใหญ่งานน้อยที่ได้รับมอบหมายจะทำอย่างเต็มความสามารถและถือเป็นโอกาสในการเรียนรู้

รู้ว่าจะฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไร จะไม่ยอมให้คำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เข้าท่ามาบั่นทอนกำลังใจในการทำงานของเขา หลายคนชอบวิจารณ์ชาวบ้าน อิจฉาตาร้อนเรื่องของชาวบ้านรู้หมดทุกเรื่อง แต่เรื่องของตัวเองไม่รู้สักเรื่อง มีความคิดในแง่ลบ เพราะฉะนั้นคนที่ประสบความสำเร็จ เขาจะไม่ใส่ใจเสียงของคนพวกนี้จะให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนที่เสนอพร้อมด้วยแนวทางแก้ไขไม่ใช่พูดแต่ปัญหาโดยไม่มีแนวทางในการแก้ไข

มีความคิดสร้างสรรค์ มีวินัยในการทำงาน มีความอดทนสูง รู้จักจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังในการทำงาน รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น คิดดีทำดี ไม่หลอกลวงตัวเองและผู้อื่น

ด้วยวิธีคิดและทัศนคติที่แตกต่างกันมีผลทำให้ชีวิตและการประสบความสำเร็จของคนเราต่างกัน แต่ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลง

ที่มา BangkokBizNews

มือของแม่…

มือของแม่…
ภาพหญิงชรา ที่เดินหาบขนมขายอยู่ริมถนน
ทำให้ผมหยุดชะงักอยู่ชั่วขณะ
แม้ว่าแกจะเดินจากไปแล้ว
แต่ภาพหญิงแก่ที่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ
เดินฝ่าเปลวแดดออกไปนั้น
ยังคงติดตรึงอยู่ในสายตาของผม จนยากที่จะสลัดออก
มือหยาบกร้านที่มีแต่เส้นเอ็นปูดโปนของหญิงแก่
ทำให้ผมนึกถึงมือของผู้หญิงคนหนึ่ง….
ผู้หญิงซึ่งทำทุกอย่างเพื่อลูกน้อยของตนได้โดยไม่หวังอะไร
นอกจากรอยยิ้มของลูก ….. ผู้หญิงคนนั้น…. คือ แม่ของผมเอง
แม่เป็นแม่ค้า ที่หาบขนมขายอยู่ข้างถนน
วันไหน ขายดี ก็มีเงิน พอจับจ่ายตามอัตภาพ
หากวันไหน ขายไม่ได้ ก็ต้องใช้เงินอย่างกระเบียดกระเสียร
แต่แม่ก็ไม่เคยยอมให้ผมรู้จักกับความหิวโหย
อะไรที่อยากกิน แม่มักหามาให้ผมเสมอ
ไม่ว่าของสิ่งนั้นมันจะทำให้แม่ต้องอดสักกี่มื้อก็ตาม
เวลาที่ผมนั่งกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย แม่มักจะมองดูเงียบๆ
ริมฝีปากของแม่ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุข
ตอนนั้น ผมไม่เคยสนใจเลยว่า
ขนมชิ้นเล็กราคาแพงที่แม่หามาให้นั้น
ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อของแม่กี่หยด
ไม่เคยนึกสงสัยด้วยซ้ำว่า หลังจากที่ผมกินขนมจนอิ่ม
จะมีอะไรเหลือตกถึงท้องแม่ไหม ?
ผมรู้เพียงอย่างเดียวคือ แม่เป็นหญิงแก่ที่หาบขนมขาย……….
…….ยามใดที่มโนธรรมมาย้ำเตือนให้ผม
คิดถึงความเหน็ดเหนื่อยของแม่ สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด
ก็มักจะหลบเลี่ยงความรู้สึกผิดในใจด้วยการบอกว่า
ในเมื่อแม่เกิดผมมา
มันก็เป็นหน้าที่ของแม่ที่ต้องหาบขนมขายเพื่อหาเลี้ยงผม
ถ้าไม่มีอะไรกิน
ขนมที่เหลือจากการขายมันก็ช่วยให้แม่อิ่มได้นี่นา
ยามใด ที่มือนั้นยื่นมาจับต้องดึงผมไปกอดไว้แนบอก
ยามนั้น ผมก็มักจะเบี่ยงตัวหนีด้วยความรู้สึกขยะแขยง
แม้ไม่เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นวาจา แต่แววตาที่ผมแสดงออก
มันก็บอกถึงความรู้สึกภายในอย่างโจ่งแจ้ง
แววตาที่ทำให้แม่ชะงัก แม่มองหน้าผมอย่างเข้าใจ
แล้วก็มีท่าทีงกๆ เงิ่นๆ อย่างคนรู้สึกผิด แม่ไม่พูดอะไรสักคำ
มือหยาบกร้านนั้นกำแน่นค่อยๆ ตกอยู่ข้างลำตัว ไหล่ของแม่ลู่ลง…
หลังจากวันนั้น มือของแม่ไม่กล้าที่จะเอื้อมมากอดผมอีกเลย
….ตอนนั้น ผมรู้สึกสบายใจนะ
ที่ไม่ต้องสัมผัสกับมือที่หยาบกระด้างที่น่ารังเกียจนั่น
…แต่เมื่อ เวลาผ่านไป ผมกลับเกิดความรู้สึกที่ต่างจากเดิม…
จริง ๆ แล้วสิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่ใช้มือหยาบกร้านของแม่หรอก
มือที่เนียนสวยราวกับลูกผู้ดี ของผมต่างหากที่น่าขยะแขยง
ขณะที่มือแม่กร้านเพราะ กรำงานหนักเพื่อเลี้ยงผม
แต่มือที่อ่อนนุ่มของผมไม่เคยทำประโยชน์เพื่อใครเลยนอกจากตัวเอง
น่าขันนะ เมื่อผมเติบใหญ่ และประสบความสำเร็จในชีวิต
หลายครั้งหลายคราที่มีโอกาสจับต้องมือของผู้หญิงมากหน้า
มือที่ นิ่ม หอมกรุ่นกับเล็บเคลือบสีสด
และเรียวปากนุ่มสวยช่างฉอเลาะนั้นไม่ได้ทำให้ผมโหยหาเลยสักนิด
สิ่งที่ผมร่ำร้อง กลับเป็น
มือที่หยาบกระด้างของผู้หญิงเพียงคนเดียว…
ผู้หญิงที่หาบคอนกระจาด
เดินเร่ขายขนมอยู่ข้างถนนเพื่อเลี้ยงลูกชาย
ผู้หญิงไม่ค่อยพูด ที่มักใช้สายตาเฝ้ามองผมอยู่เงียบๆ
สายตาที่สื่อความรู้สึกของแม่คนนึงซึ่งมีต่อลูก
สายตาอ่อนโยนคู่นั้นเหมือนกับจะบอกผมเสมอว่า
ผมคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของแม่…
อาจจะเป็นเพราะพ่อจากไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่นตั้งแต่ผมยังเล็กก็ได้
ทำให้แม่พยามทำทุกอย่างเพื่อชดเชยความเป็นลูกไม่มีพ่อให้ผม
เท่าที่แม่ค้าหาบขนมขายอย่างแม่จะทำได้
แม่คงกลัวว่าผมจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาเพราะขาดพ่อล่ะมั้ง
แต่แม่ไม่เคยรู้หรอกว่า ในสายตาของผม….ผู้ชายที่ทำให้ผมเกิดมา
ไม่ได้มีความสำคัญกับผมเลยสักนิด….. ผมเกลียดผู้ชายคนนั้น …..
ตาแก่ที่กินเหล้าจนเมา เอะอะ โวยวาย ทำร้ายแม่ผม
หลายครั้งที่ผมเห็นพ่อใช้คำพูดถากถาง ระราน อาละวาดใส่แม่
แม่ผู้น่าสมเพชของผมก็ไม่เคยลุกขึ้นมาต่อต้านเลยสักนิด
แม่มักยอมพ่อเสมอ….. ยอมถูกซ้อมเป็นกระสอบทราย
แล้วก็แอบไปนั่งร้องไห้คนเดียวเงียบๆ
ยอมทำงานหนักเดินขายของวันละหลายๆ กิโล
เพื่อเอาเงินมาเลี้ยงครอบครัว …….ส่วนเงินเดือนของพ่อน่ะหรือ?
มันจมลงในขวดเหล้าหมดแล้ว
สภาพของแม่ที่ผมเห็น ทำให้ผมได้แต่นึกในใจว่า
ถ้าผมแต่งงาน ผมจะหา เมีย อย่างแม่
แต่ถ้าผมเป็นผู้หญิง
ผมจะไม่ยอมมีชีวิตที่น่าเวทนาแบบแม่ เด็ดขาด!
ผู้หญิงที่ยอมเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ของผู้ชาย
ผู้หญิงที่ยอมให้สามีโขกสับอย่างกับทาสในเรือนเบี้ย
ยอมทำงานบ้านจนดึกจนดื่น
ยอมตื่นแต่เช้ามาทำขนมขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
ยอมแม้กระทั่งให้ผู้หญิงอื่นมาแย่งผัวตัวเองไปต่อหน้าต่อตา
แม่ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น
โดยไม่เคยคิดจะต่อสู้เรียกร้องสิทธิอะไรเลย
แม่มีปากเสียงกับพ่อเพียงครั้งเดียว ตอนที่พ่อจะเอาผมไปอยู่ด้วย
ตอนนั้นผมเห็นแม่สู้ยิบตาราวกับหมาจนตรอกเลยทีเดียว
พ่อยอมให้ผมอยู่กับแม่อย่างไม่คิดจะเยื้อแย่ง
“น้ำหน้าอย่างเธอ จะเลี้ยงลูกได้สักแค่ไหนกันเชียว
อีกหน่อยลูกมันคงต้องหาบขนมขายทั้งชาติ เหมือนเธอนั่นแหล่ะ”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่แม่และผมได้ยินจากปากของพ่อ
มันเป็นคำพูดที่ทำให้แม่ฮึดสู้
แม่ทำงานหนักตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินส่งผมเรียนสูงๆ
ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำให้แม่ผิดหวังเลย
การเรียนของผมอยู่ในขั้นดีเยี่ยมจนได้รางวัลจากทางโรงเรียนเสมอ
เปล่าหรอกนะ ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนเพื่อแม่หรอก
ตลอดเวลาผมไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเพื่อแม่เลยสักครั้ง
แต่ที่ผมตั้งใจเรียน ก็เพราะรู้ว่า….การศึกษาเป็นหนทางเดียว
ที่จะทำให้ผมหลุดพ้นจากบ้านในสลัมโทรมๆ แห่งนี้ต่างหาก
ความทะเยอทะยานในอดีตเป็นแรงผลักดัน
ที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิต
โดยมีโอกาสดี ๆ ที่โชคชะตาหยิบยื่นให้เป็นตัวช่วยสนับสนุน
สิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมหลงระเริงอยู่นานทีเดียว
มันทำให้ผมหยิ่งผยอง คิดว่าตัวเองนั้นเก่งกล้า
สามารถก้าวจากจุดศูนย์ขึ้นมายืนผงาดอยู่ได้ด้วยขาตัวเอง
ทั้ง ๆ ที่ ความจริงแล้ว ความสำเร็จของปริญญาระดับด๊อกเตอร์
ที่แปะข้างฝาบ้านของผมนั้นมีแม่อยู่เบื้องหลังเสมอ
แม่ผู้จบ ป. 4 แต่ไม่มีเงินซื้อใบสุทธิ
ขาของผมยืนผงาดออยู่ได้ ด้วยการเหยีบบ่าของแม่โดยแท้
และผมก็ไม่เคยสนใจเลยสักนิดว่า
บ่าที่เหยียบเป็นฐานนั้นจะชอกช้ำเพียงใด
เพราะเจ้าของบ่า ไม่เคยปริปากบอกผมเลย
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร แม่ก็ยังคงเป็นคนพูดน้อยทำมากเสมอ
แม่เป็นผู้ฟังที่ดีมาตั้งแต่ผมยังเด็กแล้ว
ทุกครั้งที่ผมมีความกังวล แม่จะคอยรับฟังเสมอ
เวลาที่ผมระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจ
หลายครั้งที่แม่ฟัง จำนวนเงินที่เด็กชายเอ่ยขอ
ยามต้องการจะซื้อของต่างๆ เพื่อให้มีเหมือนลูกคนอื่น
แม่ไม่เคย แย้ง นิ่ง…ฟัง…
หลังจากวันนั้น แม่ขายของจนค่ำมืดกว่าปกติอยู่หลายวัน
และวันหนึ่งแม่ก็ยื่นเงินให้ผมเพื่อไปซื้อของที่อยากได้
ยามที่ผมรับเงินจากมือของแม่ ผมรู้สึกว่า
มือของแม่หยาบกร้านกว่าเคย….
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก เพราะถึงมือ
มือนี้จะต้องหยาบกร้านเพิ่มขึ้นสักแค่ไหน
มันก็ยังคงหยิบยื่นมความสะดวกสบายให้ผมได้เหมือนเดิม
และมันก็เป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่ว่ายามที่ผม สุข หรือ ทุกข์
มือของแม่จะอยู่เคียงข้าง คอยช่วยประคับประคองผมเสมอ
ตราบชั่วชีวิตของแม่
จนกระทั่ง วันนี้…
หลายสิ่งในชีวิตของผมเปลี่ยนไป…..
ผมมีชื่อเสียง มีเกียรติยศ มีคนนับหน้าถือตา
มีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันงาม มีเงินทอง
มีมือนุ่มนิ่มของผู้หญิงสวยๆ คอยคลอเคลีย
ทุกสิ่งที่ผมเคยต้องการล้วนมากองอยู่แทบเท้าของผม
แต่สิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุดกลับขาดหายไป ณ วันนี้
ข้างกายของผม
ไม่มีมือของแม่…..