++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เมื่อต้องขับรถผ่านพื้นที่น้ำท่วม/ วินิจ รังผึ้ง

สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำภาคกลางยามนี้ช่างหนักหนาสาหัสเป็นยิ่งนัก ด้วยปริมาณน้ำจำนวนมากมายมหาศาลที่หลากไหลลงมารวมกันจนพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางไม่อาจจะระบายน้ำได้ทัน จนเกิดการท่วมท้นเป็นบริเวณกว้าง และมากมายถึงขนาดท่วมจนมิดหลังคาบ้านกันเลยก็มี มหาอุทกภัยครั้งนี้มีพื้นที่ประสบภัยทั้งพื้นที่ทำการเกษตร นิคมอุตสาหกรรม รวมไปถึงย่านใจกลางเศรษฐกิจของเมืองใหญ่ สร้างความเสียหายทั้งชีวิตทรัพย์สินเป็นมูลค่ามากมายมหาศาล มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจนั้นมากมายเกินกว่าความเสียหายครั้งเกิดมหัตภัยคลื่นยักษ์สึนามิในช่วงปลายปี 2547 เสียอีก ซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน กองทัพ ภาคเอกชนและประชาชนคนไทยในทั่วทุกภาคต่างระดมความช่วยเหลือลงไปในพื้นที่ประสบอุทกภัย เพื่อช่วยกันกู้วิกฤตอย่างเต็มที่

หลายหน่วยงานที่พยายามนำขบวนรถส่งน้ำ อาหารและสิ่งของบรรเทาทุกข์ลงไปในพื้นที่นั้นในหลายพื้นที่หลายเส้นทางก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องผ่านเข้าไปในเส้นทางที่มีน้ำท่วมบางพื้นที่มีกระแสน้ำเชี่ยวแรง ซึ่งการจะเดินทางเข้าไปก็คงต้องมีการเช็คเส้นทางกันให้แน่นอนเสียก่อนว่าในช่วงนั้นสภาพเส้นทางเป็นอย่างไร และระดับน้ำมีแนวโน้มเป็นเช่นไร ทางที่ดีก็ควรที่จะประสานงานหรือนำไปส่งให้กับหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งมีความชำนาญสภาพท้องที่เพื่อให้ช่วยกระจายสิ่งของและความช่วยเหลือเข้าไปให้ถึงมือชาวบ้านในพื้นที่ต่อไปน่าจะดีกว่า อย่างไรก็ขอส่งกำลังใจไปถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบภัยรวมทั้งกำลังพลจากหน่วยงานที่กำลังปฏิบัติงานหนักในการกู้วิกฤตและให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้มีกำลังใจในการฟันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ให้ผ่านพ้นไปได้โดยเร็วด้วยเทอญ





ในขณะที่พี่น้องประชาชนคนไทยเราร่วมแสดงความรักความห่วงใยด้วยการส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ และส่งกำลังใจลงไปถึงพี่น้องในพื้นที่ประสบภัย แต่พื้นที่อื่นๆ ในยามนี้โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งแม้นจะยังไม่ถึงกับมีน้ำท่วมท้น แต่ก็กลายเป็นพื้นที่ๆน่าเป็นห่วงเป็นใยอยู่ไม่น้อย เพราะปริมาณน้ำฝนก็ยังพร่างพรมลงมาอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน ในขณะที่สถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงก็อาจจะทำให้การระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาลงสู่ปากอ่าวเป็นไปได้ยากลำบาก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆของกรุงเทพฯขึ้นได้ หลายคนเริ่มเป็นห่วงสถานการณ์ เริ่มเก็บข้าวของขึ้นสู่ที่สูง เริ่มเตรียมสะสมอาหารแห้ง น้ำดื่มและสิ่งของที่จำเป็นตุนไว้ในบ้าน และปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งที่คนกรุงเทพฯต่างวิตกก็คือ สภาพที่ต้องผจญกับน้ำท่วมบนท้องถนน เพราะเมื่อฝนตกหนักน้ำในท้องถนนระบายไม่ทันก็จะเกิดปัญหารถติดกันยาวเหยียดใช้เวลาเดินทางนานหลายชั่วโมง ในขณะที่หลายคนอาจจะวิตกยิ่งขึ้นไปอีกว่าหากน้ำท่วมสูงขึ้นมากๆ แล้วจะต้องขับรถผ่านท้องถนนที่มีน้ำท่วมนั้นจะมีสภาพอย่างไร โอกาสนี้ผมจึงขอนำข้อปฏิบัติในการขับรถผ่านพื้นที่น้ำท่วมมาบอกเล่าสู่กันเพื่อจะได้นำไปลองปฏิบัติเมื่อจำเป็น ซึ่งความจริงแล้วหากสามารถจะเช็คข้อมูลได้ก็ควรจะเช็คให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจขับรถออกจากที่จอดรถในอาคารที่ทำงาน เพราะหากมีรายงานว่าเส้นทางที่จะผ่านไปมีน้ำท่วมสูงก็ไม่ควรที่จะเสี่ยงขับรถผ่านเข้าไป ควรหาเส้นทางที่พอจะหลีกเลี่ยงได้ หรือตัดสินใจจอดรถไว้ในลานจอดบนอาคารแล้วใช้รถสาธารณะจะดีกว่า

ถ้าหากไม่สามารถหลีเลี่ยงได้ การขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขังก็ควรจะเลิอกขับเลนขวาด้านกลางสุดของถนน เพราะจะเป็นพื้นที่สูงที่สุด เมื่อต้องขับรถลุยน้ำที่ท่วมขังมากๆ ควรปิดเครื่องปรับอากาศภายในรถ เพราะการเปิดเครื่องปรับอากาศจะทำให้ใบพัดของพัดลมเครื่องปรับอากาศซึ่งอยู่ในระดับต่ำพัดตีให้น้ำกระจายเข้าไปในส่วนต่างๆของห้องเครื่องยนต์ อาจจะพัดตีเอาเศษขยะ ถุงพลาสติก เศษไม้ไปติดในส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ทำให้เครื่องยนต์ดับได้ และการปิดเครื่องปรับอากาศ ก็จะช่วยให้ไม่ไปรบกวนกำลังของเครื่องยนต์ด้วย เมื่อปิดเครื่องปรับอากาศแล้วการขับรถลุยน้ำนั้นไม่ควรเร่งเครื่องกระชาก กระตุกเป็นช่วงๆ ควรขับโดยใช้เกียร์ต่ำถ้าเป็นเกียร์ธรรมดาควรใช้เกียร์ 1 เกียร์ 2 ในขณะที่รถยนต์เกียร์อัตโนมัติควรใช้เกียร์ที่ต่ำลงมากว่าเกียร์ D และควรเลี้ยงรอบเครื่องยนต์ให้สม่ำเสมอ ใช้ความเร็วต่ำ แล่นไปข้างหน้าเรื่อย ๆ โดยเว้นระยะให้ห่างจากคันหน้าพอประมาณ เพราะการขับรถลุยน้ำนั้นระบบเบรกจะทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพเนื่องจากมีน้ำเข้าไปในจานเบรก ควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ต้องเบรกกะทันหัน เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการเบรกลื่น เบรกไม่อยู่ การเบรกควรจะต้องย้ำเบรกหลายๆครั้งเพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรกจนกว่าเบรกจะทำงานเป็นปรกติ หรืออาจจะใช้วิธีแตะเบรกเบาๆ เป็นระยะๆ ก็ได้ ระหว่างการขับเคลื่อนไปก็ได้

การขับรถผ่านไปในพื้นที่น้ำท่วมนั้นไม่ควรใช้ความเร็ว เพราะนอกจากจะควบคุมรถลำบากแล้วจะทำให้คลื่นน้ำกระเพื่อมแรงเข้าไปในตัวเครื่องยนต์ของเรา กระเพื่อมไปรบกวนผู้อื่นที่ใช้ถนนร่วมกัน หรือเกิดคลื่นแรงไปสร้างความเดือดร้อนให้กับอาคารบ้านเรือนของผู้อยู่อาศัยริมถนนสายนั้น และเมื่อขับถึงบ้านหรือจุดหมายปลายทางแล้ว ก่อนจอดควรย้ำเบรกหลายๆครั้งเพื่อช่วยไล่น้ำออกจากระบบเบรก เมื่อจอดรถแล้วอย่าเพิ่งดับเครื่องยนต์ในทันที ควรติดเครื่องทิ้งไว้สักครู่เพื่อช่วยไล่น้ำออกจากท่อไอเสีย และเมื่อจอดรถไว้ในที่ปลอดภัยภายในบ้านแล้ว ควรเปิดประตู เปิดกระจก เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นอับ หรืออาจใช้พัดลมเป่าเพื่อช่วยไล่ความอับชื้นก็ได้ และเมื่อจะสตาร์รถใช้งานอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นก็ควรจะเปิดฝากระโปรงสำรวจในห้องเครื่อง หรือบริเวณพัดลมระบายอากาศ พัดลมเครื่องปรับอากาศ เช็คดูให้ทั่วว่ามีเศษขยะ เศษไม้ที่อาจจะสร้างความเสียหายอยู่หรือไม่ และควรตรวจเช็คสภาพความเรียบร้อยให้รอบคัน เพราะการขับรถลุยน้ำนานๆนั้นแผ่นป้ายทะเบียนมักจะต้านน้ำไม่ไหวหลุดหายกันบ่อยๆ ซึ่งผมเองก็มีประสบการณ์เคยขับรถลุยน้ำจนกลับถึงบ้าน มาตรวจดูอีกทีป้ายทะเบียนด้านหน้าก็หลุดหายไปเสียแล้ว ยุ่งยากต้องไปทำเรื่องยื่นขอป้ายทะเบียนแผ่นใหม่จากกรมการขนส่งทางบกเสียเวลาเสียอารมณ์ไปอีก อย่างไรก็ขอภาวนาให้ทุกท่านไม่ต้องขับรถลุยน้ำกันน่าจะดีกว่า และขอส่งกำลังใจไปถึงท่านที่ประสบความเดือดร้อนจากอุทกภัยขอให้สามารถจะฝ่าฟันผ่านพ้นวิกฤติครั้งใหญ่นี้ไปให้ได้โดยเร็วด้วยเทอญ

การให้โอกาสกับคน คือ การให้ที่ยิ่งใหญ่..

'อย่าหนีนะ เจ้าเด็กขี้ขโมย'
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า

'อ้าวนั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ'

'ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ'
ป้าคนนั้นชื่อว่า'ป้าหนอม'เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน
และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วยใครต่อราคาของมากเกินไปหรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

เสียงเอะอะดังมากขึ้นฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบไล่เลี่ยกับฉัน ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ แม่จึงเดินเข้าไปถาม

'พี่หนอม มีไรหรอคะ'

'ก็คุณเด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลยเงินก็ไม่จ่าย'

พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที
และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้

'ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ'

แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่

'เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็รึจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ'

ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่าแม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า

'อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอมเด็กมันคงอยากซื้อยา แต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะกี่บาทกันละ'

ในที่สุดเรื่องก็จบลงโดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุแล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่

'ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ'

แม่ไม่ได้ตอบอะไรแต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า

'ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ'

เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

'แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอผมก็เลยต้อง...'

แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า

'ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆนี่เองถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิคนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย'

แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้ม พร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป

หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

'ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันเหรอจ้ะ'

แม่ยิ้มแล้วตอบฉันว่า

'ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอกแม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง'

'แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่'

ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า

'แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูกจะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบรู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ
เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น'

ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า

'แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า'

'ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร

'แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่'

'ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนักแต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุขแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก'

แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า

'จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้'

แล้วแม่ก็พูดต่อว่า

'ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งทีผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ'

หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้ี้อีกเลยจนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตา ว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ


หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้าง หลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้านแต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่

ฉันทำงานอยู่ประมาณ2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆไม่กี่วันก็หายหลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอแล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมืองหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักมากเกินไปหมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ

หลังจากกินยาตามที่หมอสั่งอาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีกคราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย

ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด

หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากของให้หมอผ่าตัดให้ทันที แต่หมอบอกว่า โรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า

ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลงหลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่ และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้

หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท

ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หายส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงเป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆทางโรงพยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้

ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาทเป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น

ฉันแปลกใจมากจึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่า คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้ บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ

ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัว
ไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ
ผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่ โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน




เนื้อความในจดหมายมีดังนี้
ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์
ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท
ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย ยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า

นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร

ขึ้นภูดูตะวัน เดินเลียบผา แวะน้ำตก ที่ “ภูกระดึง”

ใกล้จะถึงสิ้นปีเข้าไปทุกทีแล้ว แบบนี้ก็เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวที่ในหลายๆ พื้นที่ก็เตรียมตัวต้อนรับนักท่องเที่ยวกัน อย่างที่ “ภูกระดึง” แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตตลอดกาล ที่ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปีก็ยังคงมีเสน่ห์เชิญชวนให้ไปเยือนอยู่เสมอ


ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง



ในปี 2554 นี้ ภูกระดึงเริ่มเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งช่วงนี้ฟ้าฝนอาจไม่เป็นในต่อการเดินทางท่องเที่ยว แต่หากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่และมรสุมผ่านพ้นไป ผู้คนเริ่มมีกะจิตกะใจออกท่องเที่ยวพักผ่อนให้ลืมฝันร้าย ภูกระดึงก็จะกลับมาคึกคักรับหน้าหนาวอีกครั้งหนึ่ง


ลูกหาบผู้ทรงพลังแห่งภูกระดึง



สำหรับการเดินทางขึ้นไปพิชิตยอดภูกระดึง แน่นอนว่าเราต้องตั้งต้นการเดินทางกันที่ป้าย “ครั้งหนึ่งในชีวิต ขอพิชิตภูกระดึง” มุ่งหน้าเดินทางขึ้นสู่ยอดภูกระดึงที่ระดับความสูง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล เดินผ่าน “ซำแฮก” ที่ไม่ว่าจะขึ้นมาครั้งใดก็ได้หอบแฮกกันสมชื่อ


ลานกางเต็นท์ ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง



ผ่านซำต่างๆ ตามรายทางมาเรื่อยๆ ด้วยการเดินบ้างหยุดบ้างเป็นระยะ ก็มาถึงยัง “หลังแป” ที่หากมองลงไปจะพบกับทิวทัศน์เบื้องล่างอันกว่างไกลน่ายล รวมถึงป้ายไฮไลท์ “ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” ซึ่งเป็นป้ายที่มองเห็นแล้วก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง และจากนี้ต่อไปก็เดินสบายๆ ไปอีก 3 กิโลเมตร จนไปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง


มิตรภาพต่างสายพันธุ์ ณ ลานกลางเต็นท์



เส้นทางท่องเที่ยวบนภูกระดึงในเส้นทางปกตินั้นแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ เส้นทางเลาะเลียบหน้าผา และเส้นทางน้ำตก ซึ่งหากจะไปในเส้นทางไหน ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก็จะมีข้อมูลไว้คอยบริการ มีแผนที่บอกพิกัดพร้อมทั้งระยะทางให้ทราบ เพื่อการวางแผนในการเดินทางของตัวเอง

“ตะลอนเที่ยว” ขอเริ่มเส้นทางในแบบตัวเองด้วยการดูพระอาทิตย์ตกดินที่ “ผาหมากดูก” ที่ถึงแม้ว่าจะห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นบริเวณกางเต๊นท์ของเราเพียง 2.5 กิโลเมตร แต่ก็ขอเปลี่ยนบรรยากาศจากการเดินมาเป็นการปั่นจักรยานไปแทน


ยามเช้าที่ผาหมากดูก จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นชื่อบนภูกระดึง



ผาหมากดูกเป็นผาสำหรับชมพระอาทิตย์ตกดินที่ใกล้ที่พักมากที่สุด ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีเวลามากนัก หรือไม่อยากเดินไปไกลก็มาชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินสวยๆ กันได้ที่นี่ ที่เป็นลานหินกว้าง มีบริเวณให้ยืนให้นั่งกันได้สบายๆ ใครใคร่จะชื่นชมด้วยตาก็ตามใจ ส่วนใครจะบันทึกภาพเก็บไว้ก็ไม่ว่ากัน


ยามเย็นที่ผาหมากดูก



ส่วนเรื่องการไปดูพระอาทิตย์ขึ้นนั้น ก็ต้องพากันไปที่ “ผานกแอ่น” ตื่นกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ใส่เครื่องกันหนาว พกไฟฉายส่องทาง แล้วก็พากันเดินหน้าไปที่ผานกแอ่น ที่พอไปถึงแล้วก็จะเห็นต้นสนต้นใหญ่ขึ้นอยู่ริมหน้าผา ฉากหลังเป็นดวงอาทิตย์กลมโตกำลังไต่ระดับขึ้นสู่ผืนฟ้า สีส้มอ่อน-แก่ที่ระบายทับไปกับสีฟ้านั้นเป็นภาพศิลปะที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมาให้ได้ชื่นชม


นักท่องเที่ยวปั่นจักรยานไปดูอาทิตย์อัสดงที่ผาหมากดูก



หลังจากฟ้าสว่างดีแล้ว ก็เดินมายัง “ลานพระแก้ว” ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2436 บริเวณโดยรอบนั้นเป็นลานหินกว้างขวางที่มีดอกไม้เล็ก อย่างดอกดุสิตา ดอกเอื้องม้าวิ่ง ขึ้นอยู่เต็มพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้


พระพุทธรูปยืนที่ลานพระแก้ว



นอกจากจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น-ลง กันแล้ว ในเส้นทางเลาะเลียบหน้าผานี้ก็ยังประกอบไปด้วยอีกหลายผา ซึ่งอยู่เรียงรายกันไปตามระยะทางเกือบ 10 กิโลเมตร เริ่มจากผาหมากดูก ที่ได้ไปดูพระอาทิตย์ตกกันแล้ว ตามมาด้วย “ผาจำศีล” ที่เป็นลานหินกว้าง ซึ่งหากมองไปทางด้านซ้ายของผาจำศีลก็ตะเห็นผาหมากดูกที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก


ตะวันเบิกฟ้าที่ผานกแอ่น



“ผานาน้อย” อยู่ถัดมาจากผาจำศีล ผานี้จะไม่ค่อยมีที่นั่งให้ชมทิวทัศน์สักเท่าไหร่ เพราะมีต้นไม้ใหญ่น้อยปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ ส่วน “ผาเหยียบเมฆ” กลับแตกต่างออกไป เพราะมีลานหินริมหน้าผากว้างใหญ่ ไม่มีต้นไม้บดบังให้รำคาญใจ แล้วไปต่อกันที่ “ผาแดง” ที่อยู่ถัดไป

เส้นทางระหว่างผานาน้อย ผาเหยียบเมฆ ไปจนถึงผาแดง เป็นเส้นทางที่มีดอกไม้ป่าขึ้นให้เห็นกันแบบละลานตาทั้งสองข้างทางที่เดินผ่าน เมื่อนำมาประกอบกับทิวต้นสนที่ขึ้นเรียงรายกันก็ได้เห็นถึงความสวยสดแบบธรรมชาติ


ทุ่งดอกกระดุมเงินที่ขึ้นอยู่ตามรายทาง



จากผาแดง เราก็มาถึง “ผาหล่มสัก” หน้าผาที่ว่ากันว่า หากขึ้นภูกระดึงแล้วมาไม่ถึงผาหล่มสัก ก็เหมือนกับขึ้นมาไม่ถึงภูกระดึง โดยเฉพาะการที่จะต้องมาชมพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหล่มสักแห่งนี้ เนื่องจากทัศนียภาพสวยงามจากกิ่งสนแผ่กว้างกลมกลืนกับลานหินที่ยื่นออกมารองรับอย่างพอดิบพอดี ข้อแนะนำสำหรับคนที่จะไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหล่มสักนั้นควรเตรียมเสื้อกันหนาวและไฟฉายสำหรับส่องทางไว้ให้พร้อม เพราะขากลับจากผาเพื่อไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนั้นจะต้องมืดกลางทางอย่างแน่นอน


ผาหล่มสัก ไฮไลท์สำคัญแห่งภูกระดึง



อย่างที่บอกไปว่าเส้นทางบนภูกระดึงนั้นมีอีกหนึ่งเส้นทาง คือ เส้นทางสายน้ำตก ที่จะเริ่มกันตั้งแต่ “น้ำตกวังกวาง” ที่อยู่ใกล้กับที่พักมากที่สุด ระยะทางราวๆ 1 กิโลเมตรเท่านั้น เหตุที่ได้ชื่อว่าวังกวาง ก็เนื่องจากมีกวางชอบมากินน้ำในบริเวณนี้ น้ำตกวังกวางเป็นน้ำตกเล็กๆ ชั้นที่สูงที่สุดก็สูงประมาณ 7 เมตร และที่ด้านข้างของน้ำตกมีทางแคบๆ ให้ปีนขึ้นลงได้ทีละคน ส่วนที่ใต้น้ำตกนั้นจะมีหลืบหินที่ลักษณะคล้ายกับถ้ำใต้น้ำ


การเดินคือเรื่องปกติสำหรับคนที่ขึ้นมาบนยอดภูกระดึง



แล้วไปต่อกันที่ “น้ำตกเพ็ญพบใหม่” ซึ่งเกิดขึ้นจากลำธารวังกวาง ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมหนาแน่นทั้งสองฝั่งน้ำ ตัวน้ำตกลักษณะจะเป็นแผ่นหินโค้งเว้าขนาดใหญ่ ข้างๆ กันมีต้นเมเปิ้ลให้ร่มเงา ถ้าหากมาเยี่ยมเยือนน้ำตกแห่งนี้ในช่วง ม.ค.-ก.พ. ก็จะได้เห็นใบเมเปิ้ลสีแดงสดเต็มไปทั่วบริเวณ ทั้งบนต้นที่เปลี่ยนจากใบสีเขียวเป็นแดง และใบสีแดงที่ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำตกเบื้องหน้า ตัดกับสีเขียวขจีของตะไคร่น้ำที่เกาะอยู่ตามโขดหิน เป็นความงามที่เก็บซ่อนอยู่ในผืนป่าบริสุทธิ์


น้ำตกเพ็ญพบใหม่



เส้นทางน้ำตกสายนี้ทอดยาวไปสู่ “น้ำตกโผนพบ” ที่ไหลรินมาจากลำธารวังกวางเช่นเดียวกัน น้ำตกนั้นจะไหลลดหลั่นลงมาตามชั้นผาหินเล็กๆ หลายชั้น ก่อนจะไหลรวมกันเป็นม่านน้ำในชั้นสุดท้าย น้ำตกโผนพบถูกตั้งชื่อขึ้นเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของไทย ที่ค้นพบน้ำตกแห่งนี้เป็นคนแรกในคราวที่ขึ้นมาซ้อมมวยให้ชินกับความหนาวเย็น ก่อนจะเดินทางไปชิงแชมป์ที่ต่างประเทศ

ส่วนที่ไม่ไกลกันนัก ก็จะมี “น้ำตกเพ็ญพบ” ตัวน้ำตกเป็นชั้นหินสามชั้น น้ำตกจะไหลลดระดับลงมาสู่แอ่งกว้างด้านล่าง ส่วนด้านบนตัวน้ำตกก็เป็นลานหินกว้างใหญ่ มีหลุมหินที่เกิดจากการกัดเซาะของสายน้ำมานานอยู่หลายหลุม


น้ำตกโผนพบ



เส้นทางสายน้ำตกเดินทางผ่านป่าทึบมาต่อกันที่ “น้ำตกถ้ำใหญ่” ที่กว้างใหญ่สมชื่อ ที่นี่ก็มีใบเมเปิ้ลสีแดงลอยวนเวียนให้ยลโฉมกันบนสายน้ำเช่นเดียวกับที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่ ใครที่ชอบถ่ายรูปก็มักจะแวะเวียนมาแชะภาพสีสันสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีเก็บไว้ดูยามคิดถึงภูกระดึง หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เราขึ้นไปกี่ครั้งก็ยังไม่รู้จักเบื่อสักที

จากน้ำตกถ้ำใหญ่จะเป็นเส้นทางออกไปสู่ป่าสน ซึ่งไม่ไกลกันนักจะมีทางแยกบนลานหินเพื่อเดินไปสู่ “น้ำตกธารสวรรค์” ที่เป็นน้ำตกขนาดเล็ก อยู่ห่างจากที่พักเพียง 1.6 กิโลเมตร การจะเข้าไปยลน้ำตกธารสวรรค์ใกล้ๆ นั้นจะต้องเดินลงไปข้างล่าง เผื่อสัมผัสความสดชื่นแบบใกล้ชิด


ชุ่มฉ่ำกับสายน้ำตกเพ็ญพบ



ขากลับ เราย้อนกลับมาทางเดิมจนถึงลานหิน แล้วตรงไปเพื่อจะกลับสู่ที่พัก ก็จะผ่าน “ลานพระศรีนครินทร์” ลานหินที่ประดิษฐาน “องค์พระพุทธเมตตา” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2463 โดยที่ยังสร้างไม่เสร็จเรียบร้อยดี ต่อมาในปี พ.ศ.2526 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระและบริเวณโดยรอบ พร้อมทั้งทรงเสด็จมาเบิกพระเนตร และสวมเกศ รวมถึงพระราชทานพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธเมตตา”

เดินทางกลับสู่ที่พักบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง เราก็กลับมาพักผ่อนเอาแรง ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะใช้พละกำลังที่เหลือในร่างกาย เดินกลับลงไปสู่ด้านล่าง อำลาภูกระดึงในครานี้ เพื่อจะเจอกันใหม่ในวันข้างหน้าถ้ามีโอกาส


นักท่องเที่ยวสักการะองค์พระพุทธเมตตาเพื่อความเป็นสิริมงคล



* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

การเดินทางขึ้นไปบนภูกระดึงนั้นควรติดต่อเจ้าหน้าที่และวางแผนการเดินทางล่วงหน้า และต้องสำรองการใช้บริการก่อน เพราะทางอุทยานฯ มีการกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวไว้ที่วันละ 5,000 คน

นอกจากสองเส้นทางท่องเที่ยวที่นำเสนอในข้างต้นแล้ว ภูกระดึงยังมีเส้นทางท่องเที่ยวป่าปิด ซึ่งเป็นพื้นที่พิเศษบนภูกระดึง เป็นเขตป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางธรรมชาติสูง ทางอุทยานแห่งชาติภูกระดึงจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเฉพาะในฤดูร้อน ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. เท่านั้น

สำหรับค่าธรรมเนียมในการเข้าอุทยานแห่งชาติภูกระดึง คนไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท และเด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 400 บาท และเด็ก 200 บาท ค่ายานพาหนะ 30 บาท ต่อคัน และค่าจ้างลูกหาบ ราคากิโลกรัมละ 15 บาท สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติ ภูกระดึง โทร. 0-4287-1333, 0-4287-1458 หรือที่ www.dnp.go.th

…โลกที่พร่องธรรมชาติใกล้ขาดใจ... โดย สำราญ รอดเพชร

จากน้ำหลากน้ำท่วมเคยเป็นมิตร
กลายเป็นมหาวิกฤตแห่งยุคสมัย
อุทกธารซ่านกระเซ็นเข่นฆ่าไทย
อนาถใจอนาถจิตอนิจจา...

แท้จริงคือเศษเสี้ยวความวิปริต
แห่งผลผลิตมนุษย์โลกกะโหลกหนา
บนเส้นทางสายใหญ่...การพัฒนา
ทุนนิยมเงินตรา..ทุนสามานย์...

เปลี่ยนแปลงแย่งยื้อธรรมชาติ
สูบแร่ธาตุ ทุบภูผาภักษาหาร
ล้มป่าเขียวล้างลำแควชลธาร
เปลี่ยนทางผ่าน ถมที่อยู่ของคูคลอง

ผุดโรงงานล้านแสนแทนผักปลา
ไม่เยียวยาแยแสหยิ่งผยอง
โลกที่ร้อนย้อนฆ่า...น้ำตานอง..
โลกที่พร่องธรรมชาติใกล้ขาดใจ...

ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น..เป็นเช่นนี้
ไม่เลือกสีเลือกหน้า..น้ำตาไหล..
เขื่อนประตูคันผนัง..หลีกทางไป
อภิมหาวิบัติภัยพิสูจน์คน...

แม้กระนั้น...ขอส่งใจมาถึงใจ...
ถึงเพื่อนไทยร่วมชะตาทุกแห่งหน
ร่วมฝ่าฟันวิกฤตการณ์อันทุกข์ทน
จะยากดีมีจน..มาช่วยกัน...

ร่วมเป็นหนึ่งกำลังใจให้รัฐบาล
พิสูจน์ “ปูรณาการ” ให้ผ่านผัน
พลิกวิกฤตเป็นโอกาสไว้ฟาดฟัน
สู้กับวันต่อๆ ไปให้ถูกทาง

แผนแม่บทร้อยแผนอยู่หนใด
อยู่ที่ใครใคร่คิด-คิดไม่ขัดขวาง
อยู่ที่ใครใคร่ทำ-ทำได้ทุกทาง
นี่คือโจทย์ต้องสะสางเพื่อสร้างไทย...

จากน้ำหลากน้ำท่วมเคยเป็นมิตร
กลายเป็นมหาวิกฤตแห่งยุคสมัย
เป็นยิ่งกว่าสัญญาณการเตือนภัย
เพราะนี่คือ..ความเป็นไป อันเป็นจริง…

อาจเป็นปรากฏการณ์เกือบสุดท้าย
ถ้าชาวโลกยังโหดร้ายกับทุกสิ่ง..
ธรรมชาติถูกดัดแปลงถูกแย่งชิง
ถูกทากปลิงทุนนิยมถล่มทลาย...

โอม...เพี้ยง!! อย่าให้ปีสอง-ห้า-ห้า-ห้า
เป็นปีการอำลา...โลกสลาย..
ตามชนเผ่า “มายา” ท้าทำนาย
ว่าเป็นวันสุดท้ายปฏิทิน...!!??

samr_rod@hotmail.com

บรรเทาอาการปวดจากการใช้คอมพิวเตอร์

คนที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ มักจะมีอาการปวดศีรษะ คอ บ่า ไหล่ และปวดตา นานวันเข้าอาการปวดก็มักจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษา จนกระทั่งอาจจะมีอาการปวดเรื้อรัง ในบางวันที่คุณทน รำคาญความเจ็บไม่ไหว ก่อนไปถึงมือหมอให้ลองทำท่านวดตัวเองไปพลางก่อน อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาได้

ท่าแรก : ใช้ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนางของมือทั้งสองข้าง กดขอบกระบอกตาบนบริเวณคิ้วให้แน่นพอควร ค่อยๆ ดันนิ้วทั้งสามเลื่อนขึ้นไปบนศีรษะจนถึงท้ายทอยแบบเสยผม ทำ 10-20 ครั้ง

ท่าสอง : ยื่น มือขวาไปข้างหน้าแนวตรงขนานกับพื้น ให้ใช้มือซ้ายจับข้อศอกขวาดึงเข้าหาลำตัว ทำสลับข้างไป-มา จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อไหล่ จะรู้สึกตึงๆ นับ 1-10 ช้าๆ ค่อยเปลี่ยนสลับทำอีกข้างหนึ่ง

ท่าสาม : ยื่นแขนข้างขวาขึ้นเหนือศีรษะให้ตึง ใช้แขนซ้ายอ้อมหลังศีรษะไปจับตรงข้อศอก แล้วดึงแขนขวา ที่ยกสูงให้เอียงลงด้านซ้าย จะรู้สึกตึงๆ นับ 1-10 ช้าๆ ค่อยเปลี่ยนสลับทำอีกข้างหนึ่ง
จะทำทุกท่าสลับกันหรือจะทำทีละท่าก็ได้ โดยทำท่าละอย่าง น้อย 20 ครั้งขึ้นไป

ขอขอบคุณ : นิตยสาร 247

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ฮอร์โมนถั่วเหลืองมีคุณสมบัติเร่งต้น ใบ

ฮอร์โมนถั่วเหลืองมีคุณสมบัติเร่งต้น ใบ ใส่ผักแล้วจะทำให้หวานกรอบ สูตรถั่วเหลือง 1 กก. + กูลโคส 6 ขีด + น้ำมะพร้าวอ่อน 4 ลูก
จาก SMS Farmer Info - 7 ต.ค.2554- 11.11 น.

การเลี้ยงไก่พื้นเมืองไว้กินไข่

การเลี้ยงไก่พื้นเมืองไว้กินไข่ ให้ผู้เลี้ยงเก็บไข่ฟองเก่าออกและเก็บทุกวันให้ไข่เหลืออยู่ในรังเพียงฟองเดียว แม่ไก่ก็จะไข่ไปเรื่อยๆ
จาก SMS Farmer Info - 6 ต.ค.2554- 11.07 น.

หอยที่ซื้อมามีพิษหรือไม่

หากต้องการทราบว่า หอยที่ซื้อมามีพิษหรือไม่ ให้ใส่หัวหอมลงไปในน้ำที่กำลังต้ม สัก 2-3 หัว ถ้าหอยมีพิษ หัวหอมจะเปลี่ยนเป็นสีดำ
จาก SMS Farmer Info - 9 ต.ค.2554- 13.00 น.

อยากให้ลำไส้แข็งแรง

อยากให้ลำไส้แข็งแรง ห่างไกลจากมะเร็ง ก็ต้องทานถั่วบ่อยๆ เพราะอาการผายลมที่ได้จากการทานถั่ว นั่นคือ การกระตุ้นให้ลำไส้ได้ออกำลังกายบ้าง
จาก SMS Farmer Info - 9 ต.ค.2554- 11.18 น.

การเลือกไข่เยี่ยวม้า ให้เลือกเปลือกสีชมพู

การเลือกไข่เยี่ยวม้า ให้เลือกเปลือกสีชมพูเพราะไข่ข้างในไม่ควรแข็ง ควรใช้นิ้วดีดหรือเคาะ ถ้าเสียงเด้งๆ แสดงว่า ไม่เก่า เนื้อข้างในยังดีอยู่
จาก SMS Farmer Info - 8 ต.ค.2554- 13.05 น.

แม้กระหล่ำปลีจะขึ้นชื่อว่า มีสารพิษตกค้างมาก

แม้กระหล่ำปลีจะขึ้นชื่อว่า มีสารพิษตกค้างมาก แต่ก็ดีต่อคุณผู้หญิง เพราะสหรัฐวิจัยแล้วพบว่า หากทานประจำจะทำให้ไม่เป็นมะเร็งเต้านมได้ถึง 75%
จาก SMS Farmer Info - 8 ต.ค.2554- 11.05 น.

นักวิจัย ม.มหิดล เจ๋ง ค้นพบกล้วยนาคราช พันธ์ใหม่

นักวิจัย ม.มหิดล เจ๋ง ค้นพบกล้วยนาคราช พันธ์ใหม่ของโลกที่เสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ บริเวณแนวชายแดนไทยติดพม่า หลังใช้เวลาวิเคราะห์ DNA นานกว่า 4 ปี
จาก SMS Farmer Info - 4 ต.ค.2554- 9.13 น.

การเลี้ยงแพะนมช่วงหน้าฝน

การเลี้ยงแพะนมช่วงหน้าฝน ควรระวังโรคกีบเท้าเปื่อยและอักเสบ และโรคที่อาจจะเกิดในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเกิดจากเชื้อโปรโตซัวและพยาธิต่างๆ

จาก SMS Farmer Info - 11 ต.ค.2554- 11.13 น.

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"งานเทศกาลล่องแพ แลพลับพลึงธาร" : 1 ต.ค. - 30 พ.ย. 54 ณ จังหวัดชุมพร

"งานเทศกาลล่องแพ แลพลับพลึงธาร" : 1 ต.ค. - 30 พ.ย. 54 ณ จังหวัดชุมพร ภายในงานมีกิจกรรมต่างๆ เช่น ล่องแพชมความมหัศจรรย์และความงดงามของดอกพลับพลึงธาร ราชินีแห่งธารา หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่อยากให้คุณสัมผัส 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน สอบถามได้ที่ชมรมเพลินไพรศรีนาคา โทร. 08-6120-9700, 08-6740-4533

เครื่องอัดขุยมะพร้าวอัตโนมัติ

เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร อย่างเช่น แกลบ ขุยมะพร้าว ซังข้าวโพด เศษปุ๋ยคอก และเศษวัสดุอื่นๆ ที่หลงเหลือจากการใช้ประโยชน์ส่วนมากมักจะถูกปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นขยะ เน่าเหม็น และไร้มูลค่า อีกทั้งยังสร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อมโดยรวม หากมีการนำเอาเศษวัสดุเหลือใช้เหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์และเพิ่มมูลค่า จึงเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย

นายจำรัส เกตุมณี, นายปัญญา ลาไธสง และ นายวิวัตร ศรีคำสุข นักศึกษาจากภาควิชาเทคโนโลยีอุตสาหการ คณะครุศาสตร์อุตสาหการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ช่วยกันคิดค้น เครื่องอัดขุยมะพร้าวด้วยระบบอัตโนมัติขึ้นเพื่อแบ่งเบาภาระและส่งเสริมให้เกษตรกรที่มีเศษวัสดุเหลือใช้อย่าง "ขุยมะพร้าว" สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ่มค่า โดย ผลงานดังกล่าว อาจารย์ ชัยรัตน์ หงส์ทอง เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

ผลงานดังกล่าวได้รับการเปิดเผยจากเจ้าของผลงานว่า เครื่องอัดขุยมะพร้าวอัตโนมัตินี้ ควบคุมด้วยระบบ PLC จุดประสงค์ที่คิดสร้างเพราะต้องการสร้างมูลค่าเศษวัสดุที่เหลือทิ้งจากการเกษตร และลดขยะที่อาจส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม โดยเครื่องอัดขุยมะพร้าวอัตโนมัติเครื่องนี้ จะทำการขัดเศษขุยมะพร้าวใช้เป็นรูปทรงกระบอก เกษตรกรสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย

"ประโยชน์ที่ได้ อย่างเช่น ใช้ทำเป็นแท่งเมล็ดพันธุ์พืช กล้าไม้และแท่งปุ๋ยสำหรับใส่ต้นไม้ ใช้เป็นแท่นเพาะเมล็ดโดยไม่ต้องใช้ถุงดำ เนื่องจากแท่งวัสดุที่อัดได้ มีความหนาแน่นพอที่จะไม่แตกออกจากกัน ทำให้รูปทรงกระบอกเหมือนถุงดำเพาะกล้าไม้ เป็นการลดปริมาณขยะที่ย่อยสลายยากเช่นถุงดำ และประหยัดต้นทุนในการซื้อถุงดำเพาะกล้าไม้อีกทางหนึ่งด้วยครับ"

ในส่วนของเครื่องและการทำงาน เจ้าของผลงานเล่าต่อว่า เครื่องจะแยกการทำงานออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นจุดลำเลียง สำหรับลำเลียงวัตถุดิบ ใช้มอเตอร์ ไฟฟ้าขนาด 24 โวลต์ ส่วนที่สอง เป็นชุดอัดแท่งขุยมะพร้าว สำหรับอัดแท่งขุยมะพร้าวขนาด 150x200x140 มิลลิเมตร เมื่อประกอบเข้าด้วยกันและทดสอบประสิทธิภาพการทำงานพบว่า เครื่องสามารถอัดแท่งวัตถุดิบมีอัตราเฉลี่ย 7.3 กรัม/1 คู่ ใช้เวลาเฉลี่ย 20 นาที

"สำหรับการผลิตแท่งอัดขุยมะพร้าวของเครื่องอัดขุยมะพร้าวต่อการผสม 1 ครั้งใช้ปริมาณการผลิต 20 ชิ้น มีอัตราการผลิตแท่งอัดขุยมะพร้าว 360แท่งต่อชั่วโมง ส่วนผสมสำหรับอัดขุยมะพร้าว ประกอบด้วย ขุยมะพร้าว 5 กิโลโรม สารเหนียว 0.8 กิโลกรัม และน้ำดินเหนียว 6 กิโลกรัม ผสมส่วนผสมให้เข้ากันแล้วเทลงใน Hopper ของถึงลำเลียง จากนั้นก็เดินเครื่องเพื่อใบป้อนลำเลียงวัตถุดิบลงชุดอัดแท่ง จากนั้นกระบอกสูบนิวเมตริกส์ทำการอัดวัตถุดิบให้เป็นแท่งขุยมะพร้าวและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป" เจ้าของผลงานทิ้งท้าย









ข่าวล่าสุด ในหมวด

กินเจได้บุญจริงหรือ?

สวัสดีครับ…ญาติธรรมทั้งหลาย ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ update เวบไซต์เท่าที่ควร เพราะมีภารกิจหลายอย่าง ประกอบกับเรื่องสำคัญที่อยากเขียนก็ได้เขียนไปเกือบหมดแล้ว ยังเหลืออีกเรื่องคือ มาร 5 ยังไม่ได้เรียบเรียงต่อเลย ช่วงนี้ว่างๆ ก็เลยหยิบเอาเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดา คือ เรื่องการกินอาหาร มาเล่าสู่กันฟัง…

จริง ๆ เรื่องการกิน ผมเคยคิดว่าจะเขียนนานแล้ว แต่เนื่องจากทุุกวันนี้ หลาย ๆ ท่าน ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันมาก
และผมเคยอ่านกระทู้เรื่องนี้ในเวบต่าง ๆ ก็มีการถกเถียงที่รุนแรง ผมก็เลย…ไม่อยากมีปัญหา (เงียบๆ ไว้ดีกว่า)

แต่มาคิดดูอีกที เรื่องการกิน ก็ยังเป็นเรื่องที่หลายคนเข้าใจผิดอยู่ เลยขอนำบทสรุปของผม เกี่ยวกับการกินอาหารมาร่วมแชร์ประสบการณ์กับทุก ๆ ท่านครับ (ผิดถูกโปรดใช้วิจารณญาณเองนะครับ)

.. เริ่มแรกทีเดียว เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ผมรู้จักกับพี่คนหนึ่ง มาชวนกินเจ ตอนนั้นท่านบอกว่า กินเจแล้วดีมาก ได้บุญ แล้วก็
จิตใจดีมาก รู้สึกว่าร่างกาย และจิตใจสะอาด กลิ่นตัวลดลง และพี่แกจะเหม็นคาวพวกที่กินเนื้อสัตว์
เพราะจะมีกลิ่นตัวเหม็นคาวเลือด (ผมฟังแล้วสะดุ้ง เพราะกลัวแกเหม็นกลิ่นตัวผม เนื่องจากผมยังเป็นคนกินเนื้อสัตว์อยู่)

ตอนนั้น ผมได้หนังสือหลักธรรม จากพี่คนนี้มาอ่านหลายเล่ม (หนังสือแนวอนุตรธรรม)

เนื้อหาส่วนใหญ่พอจะสรุปได้คือ การกินสัตว์นั้นบาป สัตว์เหล่านี้จะโกรธแค้นเรา และจองเวร เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา
คอยตามทวงแค้น เพราะการกินเนื้อ เป็นการส่งเสริมให้มีการฆ่า ถ้าไม่มีคนกินหรือคนซื้อ ก็ไม่มีคนฆ่า….

ผมเองก็ลองไปกินเจมั่ง แต่ได้แค่ไม่กี่วัน เนื่องจากโดยกมลสันดานแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องอาหารการกินเท่าไร
สักแต่เพียงว่า มีอะไรก็กิน เพราะตอนเป็นเด็ก พ่อจะสอนผมเสมอว่า
กินอะไรก็ได้ กินพอไม่ให้ตาย กินพอบำรุงธาตุขันธ์ (ซึ่งหลักการนี้มันฝังลึกในหัวผมแก้ไม่หาย)

ผมก็เลยล้มเหลวกับการกินเจ เพราะหากินยาก ต้องใช้ความพยายามในการกิน
(หมายถึงว่า มันเพิ่มความยุ่งยากให้ักับชีวิตผมมากขึ้น เพราะเวลาไปงานสังคม หรือ ไปกินข้าวกับเพื่อน ๆ
ก็ลำบากต้องสั่งอาหารพิเศษ ยุ่งยากคนอื่นอีก เพื่อนที่ไปด้วยก็ลำบากใจ และโดยส่วนตัว ผมเป็นคนไม่ชอบทำอาหารอยู่แล้ว
ถ้าผมจะกินเจ ผมก็ต้องทำอาหารกินเอง และอาหารที่ผมทำกินประจำ คือ
ต้มมาม่า และรสที่ผมกินประจำคือ ยำยำหมูสับ ผมเคยซื้อมาม่าเจมากิน ปรากฏว่า ไม่ไหวจริงๆ)

สุดท้าย ผมก็กลับมากินมั่วเหมือนเดิม… แต่สิ่งที่ค้างคาใจผมก็คือ

การกินเจได้บุญจริงหรือ ? ได้บุญยังไง ?

แล้วการที่เรากินเนื้อสัตว์ โดยที่เราไม่ได้ฆ่าเอง หรือไม่ได้สั่งฆ่า นี่มันบาปจริงหรือ ?
วิญญาณสัตว์ที่เรากินเขาอาฆาตเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราจริงหรือ ?

งั้นผมว่า เราลองมาศึกษาและวิเคราะห์ร่วมกันดีกว่าครับว่า จริง ๆ แล้วคำตอบคืออะไร ?

- ก่อนอื่นเราต้องมาดูก่อนว่า ตำนานการกินเจ มันเกิดขึ้นได้ยังไง
ลองอ่านจาก link นี้ครับ… ตำนานการกินเจ - เอาล่ะครับ คงรู้ว่า การกินเจมีที่มาอย่างไร

แล้วต่อมา ก็มาดูอานิสงส์ของการกินเจ ดูนะครับ จาก link ด้านล่างนี้ครับ…
อานิสงส์การไม่กินเนื้อสัตว์ (อานิสงส์นี้นำมาจากพระไตรปิฎกของนิกายมหายานนะครับ ไม่ใช่ของนิกายเถรวาทของไทยเรา)

- ต่อมา ในฐานะชาวพุทธ เราควรดูว่า พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องอาหารว่าอย่างไรบ้าง อ่านได้ที่ link ด้านล่างครับ
พระสูตร “ปุตตมังสสูตร” ว่าด้วยเรื่องอาหาร 4 อย่าง - พุทธพจน์ เรื่องการกิน

“….. ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ

เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ

ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล
ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภค ด้วยเหตุ ๓ ประการคือ

เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ

ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล…..”


ชีวกสูตร ม. ม. (๕๗)

1. เนื้อที่ตนเห็น หมายถึง เห็นว่า สัตว์นี้เขาฆ่ามาให้เรา เช่น
เดินผ่านเห็นเขากำลังฆ่าไก่อยู่ สักครู่ปรากฎว่า
เขาคนนั้นเอาแกงไก่มาให้
2. เนื้อที่ตนได้ยิน หมายถึง ได้ยินว่า เขาฆ่ามาให้เรา เช่น
ตอนเย็นเจอกัน เขาบอกว่า พรุ่งนี้จะฆ่าไก่มาให้กิน วันต่อมา เขาคนนั้น ก็มีแกงไก่นำมาให้
3. เนื้อที่ตนรังเกียจ หมายถึงว่า ไม่ได้เห็นและไม่ได้ยินมาก่อนว่า เขาจะฆ่ามาเพื่อเรา แต่พอเห็นอาหารที่เขานำมาให้
ก็นึกระแวงสงสัยว่า เขาฆ่ามาเพื่อเราโดยเฉพาะเจาะจง..

- เนื้อ 10 อย่างที่พระพุทธองค์ทรงห้ามพระฉันและที่มา
พระพุทธบัญญัติ ห้ามฉันเนื้อมนุษย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสมีอยู่ เขาสละเนื้อของเขาถวายก็ได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อมนุษย์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย อนึ่ง ภิกษุยังมิได้
พิจารณา ไม่พึงฉันเนื้อ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ

พระพุทธบัญญัติ ห้ามฉันเนื้อช้าง
ก็โดยสมัยนั้นแล ช้างหลวงล้มลงหลายเชือก สมัยอัตคัตอาหาร ประชาชน
พากันบริโภคเนื้อช้าง และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อช้าง
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉัน
เนื้อช้างเล่า เพราะช้างเป็นราชพาหนะ ถ้าพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบคงไม่ทรงเลื่อมใสต่อพระสมณะ
เหล่านั้นเป็นแน่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ
ห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อช้าง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ

พระพุทธบัญญัติ ห้ามฉันเนื้อม้า
สมัยต่อมา ม้าหลวงตายมาก สมัยอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อม้า และ
ถวายแก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อม้า ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้ฉันเนื้อม้าเล่า เพราะม้าเป็นราชพาหนะ ถ้าพระเจ้าอยู่หัว
ทรงทราบ คงไม่เลื่อมใสต่อพระสมณะเหล่านั้นเป็นแน่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
พระภาค พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉัน
เนื้อม้า รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ

พระพุทธบัญญัติ ห้ามฉันเนื้อสุนัข
สมัยต่อมา ถึงคราวอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อสุนัข และถวายแก่พวก
ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อสุนัข ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้อสุนัขเล่า เพราะสุนัขเป็นสัตว์น่าเกลียด น่าชัง
ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อสุนัข รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ

พระพุทธบัญญัติ ห้ามฉันเนื้องู
สมัยต่อมา ถึงคราวอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้องู และถวายแก่พวกภิกษุ
ผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้องู ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน
พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้องูเล่า เพราะงูเป็นสัตว์น่าเกลียดน่าชัง แม้พระยานาค
ชื่อสุปัสสะก็เข้าไปในพุทธสำนักถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง
ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า บรรดาที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสมีอยู่
มันคงเบียดเบียนพวกภิกษุจำนวนน้อยบ้าง ของประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอพระ-
*คุณเจ้าทั้งหลายโปรดกรุณาอย่าฉันเนื้องู ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระยานาคสุปัสสะ
เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ครั้นพระยานาคสุปัสสะอันพระผู้มีพระภาค
ทรงให้เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำ
ประทักษิณกลับไป
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ
แรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้องู รูปใดฉัน
ต้องอาบัติทุกกฏ

พระพุทธบัญญัติ ห้ามฉันเนื้อราชสีห์
สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าราชสีห์แล้วบริโภคเนื้อราชสีห์ และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว
บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อราชสีห์แล้วอยู่ในป่า ฝูงราชสีห์ฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่นเนื้อ
ราชสีห์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อราชสีห์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ

พระพุทธบัญญัติ ห้ามฉันเนื้อเสือโคร่ง
สมัย ต่อมา พวกพรานฆ่าเสือโคร่งแล้วบริโภคเนื้อเสือโคร่งและถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเสือโคร่งแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือโคร่งฆ่าพวกภิกษุเสียเพราะได้กลิ่นเนื้อเสือโคร่ง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้าม
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือโคร่ง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ
พระพุทธบัญญัติ ห้ามฉันเนื้อเสือเหลือง
สมัย ต่อมา พวกพรานฆ่าเสือเหลือง แล้วบริโภคเนื้อเสือเหลืองและถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อเสือเหลืองแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือเหลืองฆ่าพวกภิกษุเสีย
เพราะได้กลิ่นเนื้อเสือเหลือง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค
ทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือเหลือง รูปใดฉัน
ต้องอาบัติทุกกฏ

พระพุทธบัญญัติ ห้ามฉันเนื้อหมี
สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าหมีแล้วบริโภคเนื้อหมี และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต
พวกภิกษุฉันหมีแล้วอยู่ในป่าเหล่าหมีฆ่าพวกภิกษุเสียเพราะได้กลิ่นเนื้อหมี ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อหมี รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ

พระพุทธบัญญัติ ห้ามฉันเนื้อเสือดาว
สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือดาวแล้วบริโภคเนื้อเสือดาว และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว
บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อเสือดาวแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือดาวฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่น
เนื้อเสือดาว ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติ
ห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือดาว รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ

- ในสมัยพระพุทธกาล พระเทวทัตเคยทูล ขอกับพระพุทธองค์ให้พระสงฆ์งดฉันเนื้อ
แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต


คำสอนหลวงพ่อฤาษีฯ เรื่องการบริโภคเนื้อสัตว์ ผู้ถาม : ” เรื่องการถวายอาหารพระนะครับหลวงพ่อ เวลาอุบาสิกานำอาหารไปถวายพระ แล้วก็เอาอาหารพวกเนื้อสัตว์ไปถวาย จะบาปไหมครับ…? ”
หลวงพ่อ : ” ถามไม่ละเอียดนี่ อาตมาตอบไม่บาปเลยก็ได้ คือ เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าแล้วและไปซื้อมา เราไปบังคับให้เขาฆ่าเมื่อไรละ ใช่ไหม…? ”
ผู้ถาม : ” ถ้าเราไม่กินเขาก็ไม่ฆ่า ”
หลวงพ่อ : ” ถ้าเขาไม่ฆ่าเราก็ไม่ซื้อ เราไม่ซื้อเขาก็ฆ่า เราไม่ซื้อคนอื่นซื้อ เขาก็ฆ่า ถ้าเราสั่งให้เขาฆ่าซิ “วันนี้ไก่ ๓ ตัวนะ” “วันนี้ขอหมูให้ฉัน ๑ ขานะ” “พรุ่งนี้จะแต่งลูกสาว เอาวัว ๓ ตัว หมู๓ ตัวนะ” อย่างนี้บาป ตั้งแต่เริ่มสั่ง พระยายมบันทึกแล้ว บันทึกตั้งแต่สั่งแล้ว ถ้าตายไปก่อน รับวัวรับหมูนะ ลงเลย ”
ผู้ถาม : ” ก็หมายความว่าบาปเฉพาะ คนสั่งฆ่า กับ คนฆ่า…! ”
หลวงพ่อ : ” คนไหนฆ่าสัตว์คนนั้นก็บาป คนไหนสั่งคนนั้นก็บาป เราซื้อที่เขาฆ่ามาขาย กินเท่าไรเราก็ไม่บาป เพราะไม่เป็นบาปพระพุทธเจ้าจึงไม่ห้าม ที่ไม่ห้ามเพราะว่าเขาฆ่าเป็นปกติอยู่แล้ว
คำว่า บาป นี้แปลว่า ชั่ว บุญ แปลว่า ดี ทำชั่วแปลว่าบาป ทำดีเรียกว่าบุญ ทีนี้ชีวิตเขามีอยู่เราไปฆ่าเขา ชีวิตของเรา เราก็ไม่ต้องการให้คนอื่นเขาฆ่า ถ้าเราไปฆ่าเขาเราก็เป็นคนชั่ว ฉะนั้นถ้าเขาไปฆ่ามาแล้ว เราไปซื้อกิน อันนี้ไม่ชั่วเพราะไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า แต่ว่าถ้าเอาเนื้อมาแล้วบอก “เฮ้ย พรุ่งนี้เพิ่มหน่อยซีเว้ย” ทีนี้เอาแน่ ต้องว่ากันอย่างนี้นะ ”
ผู้ถาม : ” มีคนเขาบอกว่า การฆ่าสัตว์ คนฆ่าไม่บาปเท่าไรแต่คนกินบาป และเขายังบอกอีกว่า ถ้าไม่กินแล้วใครจะฆ่า ”
หลวงพ่อ : ” คิดเอาเองมากกว่า คนกินเขาไม่ได้สั่งให้ฆ่า นี่เขาฆ่าขาย ถ้ามีขายเขาก็ซื้อกิน จะไปโทษคนกินเขาไม่ได้หรอก ถ้าคนกินสั่งให้เขาฆ่าอันนี้จึงบาป ไม่งั้นพระพุทธเจ้าคงจะห้ามพระฉันเนึ้อสัตว์ นี่เขาว่ากันเอาเอง ไม่ถูกหลักเกณฑ์อะไรหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราถือเจตนาเป็นตัวกรรม”
เจตนา แปลว่า ตั้งใจ ถ้าตั้งใจคิดจะฆ่าแล้วลงมือฆ่าอันนี้บาปแน่ ”
ผู้ถาม : ” ถ้ารับประทาน อาหารมังสวิรัติ จะตัดกิเลสได้ หรือเปล่าคะ…? ”
หลวงพ่อ : ” ถ้าตัดได้จริง พระพุทธเจ้าคงยอมตามที่พระเทวทัตขอพรแล้ว ฉันลองมา ๓ ปี เมื่อบวชใหม่ ๆ ฉันไม่กินเนื้อ
สัตว์ด้วย แล้วฉันหนเดียวด้วย และฉันไม่บอกชาวบ้านด้วย ถ้าบอก ชาวบ้านก็ต้องทำอาหารลำบาก ก็ไปบิณฑบาตธรรมดา แต่เนื้อสัตว์เราไม่กิน บางวันไม่มีอะไรมาให้เลย ก็กินเกลือกับหัวหอมกินผักเป็นอาหาร ลองมา ๓ ปี ไม่เห็นกิเลสมันลดเลย แต่ว่าถ้าไม่กินได้นี่ดีนะ ฉันสรรเสริญ ถ้าเป็นฆราวาสนะ เพราะว่าจะได้ไม่กังวลเรื่องเนื้อสัตว์ จิตของเราก็ตัดบาปไปจุดหนึ่ง ใช่ไหม …
ใน ปฐมบัญญัติของสิกขาบท สังฆาทิเสส ข้อที่ ๑๐ มีเรื่องเล่าว่า พระเทวทัตเข้าไปหาพระโกกาลิกะ โอ้โฮ … นี่อยู่อเวจีทั้งคู่ ใครไปอเวจี ไปมอง ๆ ดูนะ พระเทวทัตยีนกางแขนกางขา โกกาลิกะนั่งชันเข่า หอกเสียบสบาย ๆ แล้วก็พระกฏโมรกติสสกสะ พระที่เป็นบุตรของนางขัณฑเทวี และ พระสมุทททัต ชักชวนให้พระสงฆ์แตกกัน ใครบ้างล่ะ … พระเทวทัต เป็นหัวหน้าโจก โกกาลิกะ รองประธาน พระกฏโมรกติสสกสะ และ พระสมุทททัตชักชวนให้สงฆ์แตกกัน พร้อมทั้งบอกแผนการที่จะเสนอแผนการให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น มี ๕ ข้อ ซึ่งเข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไม่อนุญาต และตนจะนำข้อเสนอขึ้นประกาศแก่มหาชน
ข้อเสนอ ๕ ข้อนั้น คือ อันนี้ฟังให้ดีนะ ข้อนี้ดีมาก เวลานี้คนที่ปฎิบัติผิดมีเยอะ ไปหลงผิดว่าไอ้ที่เราทำนี่ดีนี่หว่า ข้อเสนอของพระเทวทัต ๕ ข้อ เวลานี้พระสาวกของพระเทวทัตก็มีเยอะเหมือนกัน ถือว่า ๕ ข้อ ที่พระเทวทัตขออนุญาตนี้ นึกว่าเป็นของดีกันนัก สงสารชาวบ้าน ข้อเสนอของเทวทัต ๕ ข้อ คือ
๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้าน ต้องมีโทษ หมายความว่า พระทุกองค์ที่บวชแล้ว ห้ามเข้าหมู่บ้านโดยเด็ดขาด ต้องอยู่เฉพาะในป่า ห้ามโผล่หน้าเข้ามาในบ้าน
๒. ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต เป็นวัตร หมายถึง ปฎิบัติ ต้องบิณฑบาตตลอดชีวิต ผู้ใดรับนิมนต์ไปฉันตามบ้านต้องมีโทษ นี้เป็นความต้องการของพระเทวทัต รู้แล้วว่าทำไม่ได้ แต่แกล้งขอ
๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล หมายความว่าผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขาทิ้งตามกองขยะบ้าง ตามที่ต่าง ๆ บ้าง ตามที่เขาพันผีไว้บ้าง นำมาซัก นำมาย้อม มาปะติดปะต่อเป็นจีวรจนตลอดชีวิต ผู้ใดรับจีวรที่ชาวบ้านถวายต้องมีโทษ
๔. ภิกษุพึงอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ผู้ใดเข้าที่มุงที่บังที่มีหลังคาต้องมีโทษ
๕. ภิกษุไม่พึงฉันเนึ้อสัตว์ ผู้ใดฉันต้องมีโทษ
เห็นไหม … การขอนี่เขาขอเพื่อเป็นการลบล้างไม่ใช่ทำได้ ภิกษุเหล่านั้นเห็นมีทางชนะร่วมด้วยว่า พระพุทธเจ้าแพ้แหง ๆ พระเทวทัตต้องชนะการเสนอญัตติแบบนี้ พระเทวทัตจึงได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลข้อเสนอ ๕ ประการนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
“ดูก่อน เทวทัต ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ป่า ก็จงอยู่ป่า
ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ในละแวกบ้าน ก็จงอยู่ในละแวกบ้าน
ผู้ใดปรารถนาจะเที่ยวบิณฑบาต ก็จงเที่ยวบิณฑบาต
ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าบังสุกุล ก็จงใช้ผ้าบังสุกุล
ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าไตวจีวรจากฆราวาสถวาย ก็จงรับได้
เราอนุญูาตที่นอนที่นั่ง ณ โคนไม้ตลอด ๘ เดือน หมายความว่าที่ไม่ใช่ฤดูฝน เป็นฤดูหนาว หรือฤดูแล้ง ถ้าจะไปยังงั้นก็ได้
เราอนุญาตเนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์โดย ๓ ส่วน คือ
๑. ไม่ได้เห็นเขาฆ่า
๒. ไม่ได้ยินเขาฆ่าเพื่อถวายพระ
๓. ไม่ได้รังเกียจคิดว่า เนื้อสัตว์นึ้น่ากลัวเขาฆ่าเพื่อเรา เช่น เขาฆ่าเจาะจงเพื่อจะให้ภิกษุบริโภค
พระเทวทัตดีใจที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ยอมรับสมเจตนาจึงได้เที่ยวประกาศให้ เห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ยอมอนุญาตข้อเสนอที่ดีของตน ทำให้คนที่มีปัญญาทราม คนไร้ปัญญูาบางคนเห็นว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมาก
โอ้โฮ … ดีจริง ๆ นะ พระผู้มีพระภาคเจ้ามักมากแล้วใครจะมักน้อยอีก แต่คนที่เข้าใจเรื่องดี กลับติเตียนพระเทวทัตเอาแล้วซิ … นี่พระไม่ดีทำให้ชาวบ้านแตกกัน ความทราบถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้เรียกประชุมสงฆ์ ไต่สวนพระเทวทัตเป็นสัตย์แล้ว จึงได้ทรงติเตียนและทรงบัญญัติสิกขาบทว่า
“ห้ามภิกษุพากเพียรเพื่อทำลายสงฆ์ให้แตกกัน เมื่อภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง ภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศเป็นการสงฆ์เพื่อเลิกข้อประพฤตินั้นเสีย ถ้าสวดถึง ๓ วาระยังไม่เลิก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส”
จำไว้ให้ดีนะ นี่บท ๕ ข้อนี้ ทวนเสียอีกทีนะ
๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้านต้องมีโทษใครเขาจะทำ
๒. ภิกษุพึงถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต ถูกรับนิมนต์ฉันตามบ้านต้องมีโทษ
๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขากองทิ้งไว้ หรือผ้าห่อผีห่อคนตายตลอดชีวิต ถ้ารับผ้าที่เขาถวายต้องมีโทษ
๔. ภิกษุต้องอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ตลอดฤดูน้ำฤดูฝนไม่รู้ ถ้าเข้าบ้านที่มีหลังคาต้องมีโทษ
๕. ภิกษุไม่ฉันเนื้อสัตว์ ผู้ใดฉันมีโทษ
ทั้ง ๕ ข้อนี้พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตนะ
เมื่อ เห็นคนด้วยเมื่อเจอะพระเขาทำอย่างนี้นะละก็ญาติโยม อย่าถือว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดนะ ต้องถือว่าเขาเป็นคนละเมิดพระดำรัสสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วกัน … ”
ผู้ถาม : ” กระผมเป็นฆราวาสกินอาหารมื้อเดียว ทำอย่างนี้โดยตลอด ไม่ทราบว่าจะมีอานิสงส์เป็นไปข้างหน้าอย่างไรครับ … ? ”
หลวงพ่อ : ” อานิสงส์ปัจจุบัน คือ
๑. เปลืองอาหารน้อย เพราะกินเวลาเดียว
๒. มีเวลาทำงานมากขึ้น ข้างหน้าต่อไปอานิสงส์ใหญ่ คือตาย
… ก็แค่กินเวลาเดียวยังวัดฐานะอะไรไม่ได้เลย อย่าไปนึกว่ามันดีเด่นกับใครเขานะ กินเวลาเดียว กิน ๒ เวลา กิน ๓ เวลา มีความหมายเสมอกัน สำคัญว่า “ใจตัดกิเลสได้หรือเปล่า” เขาเอากันตรงนั้น ถ้าถือแค่กินนี่มันเป็นมานะทิฏฐิ เป็นกิเลสหยาบมาก
อีกอย่างหนึ่งตายเร็วมาก อย่าไปนึกว่าดีนะ และถ้านั่งคุยว่านี่ฉันกินเวลาเดียว เสร็จเลย โอ้อวด นี่เป็นมานะกิเลสพังเลย ”
ผู้ถาม : ” อย่างนี้แทนที่จะไปดี ก็เลยไป… ”
หลวงพ่อ : ” ก็ไปดี หมายความว่าก่อนจะไปก็เปลืองน้อย เพราะฉะนั้นอย่าถือเป็นเรื่องสำคัญนะ ไอ้กินเวลาเดียว ๒ เวลา กินเนื้อสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ นี่ อย่านะ อย่าถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ต้องตอบอย่าง หลวงปู่แหวน เคยมีคนมาเล่าให้ฟัง มีคนหนึ่งแกบอกหลวงปู่แหวนว่า
“เวลานี้ผมถือมังสวิรัติครับ ไม่กินเนื้อสัตว์”
หลวงปู่แหวนท่านบอก
“ไอ้วัวควายกินหญู้าตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว”
ตอบนำสมัย ไม่ไช่ทันสมัย ถ้าเรื่องเป็นความจริงตามนั้น แต่ การกินไม่มีความหมายในการปฎิบัติ แต่ปฎิบัติจริง ๆ มันขึ้นอยู่กับ
๑. เข้าถึงสะเก็ดพระศาสนาแล้วหรือยัง
๒. เข้าถึงเปลือก เข้าถึงกระพี้ เข้าถึงแก่นแล้วหรือยัง
เข้าถึงแก่นนี่ยังใช้ไม่ได้นะ ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ จะต้องเข้าถึงพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ เขาวัดกันตรงนี้ อย่าไปวัตกันแค่กิน ”
ผู้ถาม : ” คนทำบุญให้ทานที่กินเนื้อสัตว์ กับคนทำบุญให้ทานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ อันไหนจะได้อานิสงส์มากกว่ากันคะ … ? ”
หลวงพ่อ : ” อานิสงส์แบบไหนล่ะ อานิสงส์ไปนรก หรืออานิสงส์ไปสวรรค์ อานิสงส์มันมี ๒ อย่าง ทำบาปก็มีอานิสงส์จะลงขุมไหนแน่ ถ้าทำบุญก็มีอานิสงส์ อย่างเลวก็ไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม อย่างดีที่สุดไปนิพพาน คนที่ไม่ทำบุญเลยแม้ไม่กินเนื้อสัตว์ก็มีสิทธิ์ไปอยู่กับเทวทัตได้ มีไหมคนไม่ทำบุญเลย คนที่ทำบุญไม่กินเนื้อสัตว์ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์นะ พระที่ฉันเนื้อสัตว์ไปนิพพานนับไม่ถ้วน เขาไม่ได้กินสัตว์เป็น เขาซื้อมากินไม่มีบาป ”
ผู้ถาม : ” ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็เพราะว่าไปมองเห็นเนื้อสัตว์แล้วมีเลือดมีคาว เลยกินไม่ได้เจ้าค่ะ ”
หลวงพ่อ : ” อย่างนี้ไม่เป็นไร ถ้า เห็นว่าสกปรกเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญาอันนี้เป็นปัจจัยให้บรรลุพระอนาคามีหรือพระ อรหันต์ นี่เป็นพื้นฐานใหญู่นะ ถ้าเห็นแบบนั้นเกิดนิพพิทาญาณแล้ว นิพพิทาญาณเป็นปัจจัยให้ได้พระอนาคามี ต่อไปถ้าเว้นจริงเป็นสังขารุเปกขาญูาณ เป็นอรหันต์ คนที่จะเป็นอรหันต์ได้ ถ้าไม่คล่องในบทนี้เป็นไม่ได้ มี กายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐานเป็นพื้นฐาน
พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ไม่เสวยและฉันเนื้อสัตว์ เป็นต้น
๑. ต้องไม่ฉันเนื้อสัตว์ ๑๐ ประการ มีเนื้อมนุษย์ เป็นต้น
๒. เนื้อนั้นจะต้องเป็นปวัตตมังสะ คือ ที่เขาขายแกงกินกันตามปกติของเขา โดยพระไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจสงสัยว่าเขาฆ่าเนื้อเจาะจงถวายตน
๓. ก่อนการฉันอาหารเนื้อทุกคราว จะต้องพิจารณาเสียก่อนเพื่อป้องกันไม่ไห้ฉันเนื้อต้องห้ามข้างต้น ”


- หลวงตา มหาบัว สอนเรื่องการกินเนื้อสัตว์
- หลวงปู่มั่น สอนศิษย์เรื่องการกินมังสวิรัติ

เห็นไหมละครับ ว่าเรื่องการกิน ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดเลย
ทุกท่านอ่านเนื้อหาจาก แหล่งข้อมูลต่าง ๆ แล้วได้ข้อสรุปอย่างไรครับ…

เหมือนที่ผมสรุปได้หรือเปล่า ด้วยปัญญาอันน้อยนิดของผมสรุปได้ว่า…

1. การกินมังสวิรัติ (งดเว้นเนื้อสัตว์ทุกชนิดและไข่ที่เป็นตัว) ไม่ได้ทำให้ได้บุญเพิ่ม และการกินเนื้อสัตว์ไม่บาป
(ถ้าเราไม่ได้เป็นคนฆ่า และไม่ได้เป็นคนสั่งฆ่า)

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารเจ เพราะอาหารเจ ต่างจากมังสวิรัติตรงที่งดเว้นของฉุน 5 ประเภท มีกระเทียมเป็นต้น
และสามารถกินหอยนางรมได้ เพราะกรรมเกิดจากเจตนา เมื่อไม่มีเจตนาในการฆ่าหรือเบียดเบียน ย่อมไม่ถือว่า เป็นกรรม

2. การกินอาหารเจนั้น เป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้สุขภาพแข็งแรง
(คนจีนเป็นคนรึเริ่มการกินเจเพื่อสุขภาพ เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วการแพทย์แผนจีนนั้นมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง)

3. การกินเจอย่างถูกวิธีทำให้ได้บุญจริง
แต่คนในปัจจุับันยังไม่เข้าใจการกินเจที่ถูกต้อง เพราะคำว่า เจ หมายถึง อุโบสถ

นั่นก็คือ ถ้าจะให้ถูกต้องคือ ถือศีลกินเจ คือต้องรักษาศีลอุโบสถ หรืออย่างน้อยศีลห้า ก็ยังดี
อย่างนี้ บุญย่อมได้จากการรักษาศีล บุญจากการรักษาศีลนั้น ยิ่งกว่าสร้างวิหารทานเสียอีก

แต่คนปัจจุบัน มักเข้าใจว่า ประเพณีกินเจ คือ กินอาหารเจเท่านั้น
แล้วเข้าใจว่า ตัวเองได้บุญใหญ่ แต่ยังทำผิดศีลเหมือนเดิม

อย่างนี้ กินเจอีกร้อยชาติ ก็ลงนรกร้อยชาติ….

สรุปคือ การถือศีลกินเจ มีประโยชน์มากคือ ได้บุญจากการรักษาศีล และยังมีสุขภาพแข็งแรงจากการกินอาหารเจอีกด้วย

ผมรู้จักพี่อีกคนหนึ่ง กินมังสวิรัติมาได้ 8 – 9 ปีแล้ว เพราะพี่แกตั้งสัจจะว่า จะงดเนื้อสัตว์ให้ได้ และจนทุกวันนี้ก็ยังทำได้
อย่างนี้ ก็เป็นบุญเหมือนกัน เพราะเป็นการรักษาสัจจบารมี (หนึ่งในบารมี 10 ประการ)

4. คนกินเจ กับคนกินเนื้อสัตว์ กิเลสหนาไม่แตกต่างกัน
ดูง่าย ๆ อย่างทุกวันนี้ เวลาไปซื้ออาหารเจ จะเห็นว่า ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่พยายามทำสี กลิ่น รส ให้เหมือนเนื้อสัตว์
เพื่อปรุงให้อร่อยถูกลิ้น สนองตัณหา คือรสอร่อยของตัวเอง

ในขณะที่พระวัดป่า เวลาท่านจะฉันอาหาร ท่านจะเทอาหารทุก ๆ อย่างรวมกัน เพื่อไม่ให้ยึดติดในรสอาหาร
และให้พิจารณาอาหารก่อนฉันทุกครั้ง จากตัวอย่าง จะเห็นว่า

ฝ่ายที่มีกิเลสน้อยกว่า น่าจะเป็นฝ่ายพระ ที่ท่านฉันเนื้อมากกว่า ใช่มั้ยครับ

ดังนั้น การจะกินอะไร จึงไม่ได้สำคัญเท่าการทำจิตทำใจให้กิเลสเบาบางมากกว่า

อีกอย่างที่ต้องระวังสำหรับผู้ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ กิเลสร้ายที่จะครอบงำจิตใจ คือ

มานะ ความถือตัวถือตนว่า ดีกว่าผู้อื่น ถ้าเกิดคุณกำลังมีความคิดอย่างนี้ว่า

“ฉันนี่แหละ ดีกว่าคนอื่น อย่างน้อยฉันก็มีเมตตา ไม่เหมือนไอ้พวกที่มันยังกินเนื้ออยู่”

ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็จงดูจิตตัวเองเถิดว่า มานะ มันเป็นอย่างนี้ นี่เอง

5. บางคนแย้งว่า คนที่กินเนื้อ ก็เหมือนฆ่าสัตว์โดยอ้อม
เพราะถ้าไม่มีคนกินหรือคนซื้อ เขาก็ไม่รู้จะฆ่ามาขายให้ใคร ข้อนี้ ถ้าทุกคนทั้งโลกทำได้ ก็เห็นจะจริง และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง กระผมคนหนึ่งละที่ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะถ้าไม่มีคนฆ่า ผมก็ไม่กินอยู่แล้ว

เมื่อไม่มีเนื้อขาย ไอ้เรื่องจะให้ฆ่าเองไม่มีทางซะล่ะ….. แต่ความจริง ก็คือความจริง
ถึงเราจะไม่กินไม่ซื้อ เขาก็ฆ่าอยู่ดี และตามธรรมชาติแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ มนุษย์ทุกคนจะคิดเช่นนี้

คนเราเกิดมาสร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน บางคนฟังธรรมะอยู่ทุกวัน แต่ก็ไม่ได้นำมาสู่ใจ
เวลาพูดเรื่องบาปบุญคุณโทษ เขาก็ไม่เชื่อ ไปบอกว่า ฆ่าสัตว์มันบาปนะ เขาก็สวนกลับมาว่า
ฆ่ามากินไม่บาป ไม่ได้ฆ่าเล่น ๆ หรืออาจจะโดนสวนกลับว่า บาปเป็นตัวยังไง ไม่เคยเห็น

ทั้งนี้ เพราะเขาไม่ได้บำเพ็ญบารมีมามากพอที่จะได้เห็นสัจจธรรม เปรียบเสมือนบัวทั้งสี่เหล่า พวกปทปรมะ
แม้พระพุทธองค์ ก็ทรงสอนไม่ได้ ต้องปล่อยตามบุญตามกรรมเท่านั้น

… ผมเคยได้ฟัง เรื่องเล่าเรื่องอายุขัยของมนุษย์จากอาจารย์ท่านหนึ่ง
ซึ่งท่านอ้างอิงพระไตรปิฎก (ลองไปอ่านเพื่อตรวจสอบอีกทีนะครับ) ท่านเล่าว่า

ทุก ๆ 100 ปี อายุขัยของมนุษย์จะลดลง 1 ปี

ท่านบอกว่า ในยุคพุทธกาล อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ประมาณ 100 ปี

ดังนั้น ผ่านมา 2,500 ปี ดังนั้น อายุขัยในยุคเราจึงเป็น 75 ปี

ทั้งนี้เนื่องจาก มนุษย์มีอกุศลธรรมที่มากขึ้น อายุมนุษย์จะลดลงเรื่อย ๆ จนเหลืออายุขัย 10 ปี (เมื่อคนมีอายุ 5 ปี จะแต่งงาน)
ในยุคนั้น จะเต็มไปด้วยคนที่ขาดศีลธรรมมาเกิด ผู้คนจะเข่นฆ่ากัน จนตายกันไปมากมาย

พวกที่เหลือรอด ก็จะเห็นโทษของการปาณาติปาต เมื่อทุกคนเว้นจากการฆ่าฟัน การเบียดเบียน
ลูกหลานของพวกเขา ก็มีอายุยืนขึ้นอีกเรื่อย ๆ เป็น 20 ปี, 40 ปี, 60 ปี

ต่อจากนั้น คนรุ่นต่อ ๆ มา ก็ทำความดีต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยมา ทำให้อายุขัยของมนุษย์เพิ่มขึ้น จนถึงอสงไขยปี
แล้วเกิดความประมาท ทำชั่วใหม่ อายุก็ลดลงเป็นลำดับจนเหลือ 10 ปีอีก เป็นวัฏจักรไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสิ้นภัทรกัป
แล้วเกิดไฟล้างโลก แล้วเกิดมหากัปใหม่ หมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด….

จากเรื่องเล่าดังกล่าว ถ้าเป็นความจริง สรุปได้ว่า

ในยุคเรา ศีลธรรมกำลังเสื่อมลงเรื่อย ๆ ดูได้จากอายุขัยที่ลดลงเรื่อย ๆ
และคงไม่มีโอกาสได้เห็น โลกที่ไม่มีการฆ่าฟันในยุคเราแน่ ยกเว้นจะได้ไปเกิดในยุคที่มนุษย์มีอายุขัย ถึงอสงไขยปี

ซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์มีศีลธรรมมาก ไม่มีการเบียดเบียนกันทั้งคนและสัตว์ ก็อาจจะได้เห็นก็ได้นะครับ…ต้องลองไปเกิดดู 555+

6. หลวงตา มหาบัว ได้เล่าถึงวิญญาณหมูที่ถูกยิงตาย มาขอให้แม่แก้ว ลูกศิษย์ของท่าน รับอาหารที่ทำจากเนื้อของตน
เพราะคนที่ยิงเขา จะเอามาถวายสำนักชีที่ท่านอยู่ เพื่อที่วิญญาณหมู จะได้มีส่วนร่วมในบุญนั้นด้วย

นี่ก็เป็น เพียงตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึง การบำเพ็ญบุญของเหล่าเดรัจฉาน

เรื่องนี้ หลวงตา มหาบัว ท่านกลับมองในอีกมุมตรงข้าม คือ สัตว์ที่ยอมพลีชีพให้คนอื่นกิน ก็ได้บุญได้กุศลด้วย

ดังนั้น เวลากินอาหาร ก็อุทิศบุญให้กับ เจ้าของเนื้อที่เรากินด้วยนะครับ…

7. สรุปเรื่อง การกินอาหาร จะกินเจ ไม่กินเจ ไม่สำคัญ แต่เราต้องกินอย่างมีสัมมาทิฐิ
ผมชอบที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในเรื่อง อาหาร 4 อย่าง พระพุทธองค์สอนว่า การกินอาหารนั้น อย่ากินอย่างมัวเมา

ให้นึกว่า สรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นเหมือนลูกหลานของเรา
เวลากินอาหาร ก็เหมือนกับกำลังกินบุตรของตัวเอง
ที่เราพากันกิน เนื้อบุตรเป็นอาหาร เพียงเพื่อข้ามพ้นทางกันดาร หรือวัฏสงสารนี้เท่านั้น

และเวลากิน เราควรทำตัวให้เหมือนพระ คือพิจารณาอาหารเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือ

อาหารนี้ ประกอบด้วยธาตุ 4 เป็นของสกปรก ร่างกายเรา ก็เป็นของสกปรก เพราะกินแต่สิ่งสกปรก
และเวลากิน ก็อุทิศบุญให้กับสัตว์ต่าง ๆ ที่เป็นอาหารของเรา ด้วยนะครับ….

ป.ล. ผมเอง ก็ยังเลวอยู่มาก ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ก็กิน อย่างมีกิเลส
ยังชอบกิน เพราะรสอร่อย และไม่ค่อยได้พิจารณาอาหารเลย…

เปิดฤดูกาลท่องเที่ยวภูกระดึง 54

ททท.เลย ชวนสัมผัสภูเขารูปทรงหัวใจพร้อมเปิดการท่องเที่ยวและพักแรมบนยอดภูกระดึง ประจำปีการท่องเที่ยว 2554 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 54 เป็นต้นไป

นางอัจฉพรรณ บุญเจริญ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย กล่าวว่า อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นภูเขาหินทรายที่มีพื้นที่ราบบนยอดเขากว้างใหญ่ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,350 เมตร เป็นแหล่งกำเนิดของลำน้ำพอง นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมธรรมชาติ ทั้งป่าเปิด และป่าปิด ซึ่งมีป่าสน สลับป่าก่อและทุ่งหญ้า มีพันธุ์ไม้ดอก ไม้ใบ อาทิ เมเปิ้ล ขึ้นอยู่ทั่วไปตามบริเวณน้ำตก ลำธาร และลานหิน


ปัจจุบัน อช.ภูกระดึงจำกัดนักท่องเที่ยวที่จะค้างบนภูกระดึงอยู่ที่ 5 พันคน



โดยค่าธรรมเนียมการเข้าชมอุทยานแห่งชาติภูกระดึง สำหรับคนไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท และเด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 400 บาท และเด็ก 200 บาท ค่ายานพาหนะ 30 บาท ต่อคัน และค่าจ้างลูกหาบ ราคากิโลกรัมละ 15 บาท

สำหรับในปีนี้ทางอุทยานแห่งชาติภูกระดึงได้เน้นเรื่องขยะเป็นพิเศษ นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปท่องเที่ยว และพักค้างคืนบนยอดภูกระดึง ควรวางแผนการเดินทาง และสำรองการใช้บริการล่วงหน้า เพราะมีการกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยว วันละ 5,000 คน เท่านั้น

ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสำรองบ้านพัก เต็นท์ และพื้นที่กางเต็นท์ได้ที่ อุทยานแห่งชาติ ภูกระดึง โทร. 0-4287-1333/0-4287-1458/ www.dnp.go.th

เลือก "กินเจ" อย่างไร ...ไร้ส่วนเกิน

เข้าเทศกาลกินเจปีนี้ เหล่าพ่อค้าแม่ขายต่างนำเสนอเมนูอาหารเจมากมายที่แปลกใหม่และแปลกตา เพื่อดึงดูดใจลูกค้า โดยไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ หรือส่วนผสมอื่นใดที่มาจากสิ่งมีชีวิต ปรุงด้วยถั่วเมล็ดแห้งและถั่วแปรรูป เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีคุณค่าเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์เมื่อกินกับข้าว ส่วนอาหารที่ทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ในรูปแบบต่างๆ เช่น ขาหมู เป็ดย่าง ไส้กรอกหมู ส่วนมากทำมาจากแป้ง ซึ่งให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรท มีโปรตีนน้อย กินมากมีแต่อ้วนกับอ้วน รวมไปถึงปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะนิยมทานอาหารเจกันเป็นแฟชั่น แถมยังไม่มีความรู้เรื่องอาหารเจเลยแม้แต่นิดเดียว จึงทำให้รับประทานอาหารเจกันอย่างผิดๆ ถูกๆ


เทศกาลกินเจ



อาจารย์อมราภรณ์ วงษ์ฟัก กรรมการบริหารหลักสูตรคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) กล่าวว่า หลายคนเข้าใจว่าเป็นเทศกาลแห่งการกินผักอย่างเดียว จึงก้มหน้าก้มตากินแต่ผัก โดยไม่ได้คำนึงการกินอาหารอื่นให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะหมู่อาหารที่ให้สารโปรตีน ซึ่งมีความจำเป็นในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ให้ร่างกายเจริญเติบโตและสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกายนั้น มีในเนื้อสัตว์มากกว่าในพืช

“ปัจจุบันนี้คนไทยหันมากินเจมากขึ้นจนกลายเป็นแฟชั่น และต่างก็ให้เหตุผลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การรับประทานอาหารเจ เพราะมีความเชื่อว่า การละเว้นเนื้อสัตว์ จะสร้างเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต หรือรับประทานอาหารเจเพื่อสุขภาพ จะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ แต่ยังมีอีกหนึ่งความเชื่อที่ทำให้หลายคนหันมาทานเจกันมากขึ้นผิดปกติ ด้วยเหตุผลที่ว่า การไม่ทานเนื้อสัตว์และหันมารับประทานผักมากขึ้น เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยทำให้น้ำหนักลดลงอย่างได้ผล”

อาจารย์อมราภรณ์ กล่าวต่อว่า การรับประทานอาหารเจจะทำให้น้ำหนักลดลงได้นั้น ถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งตามหลักความจริงแล้ว การรับประทานอาหารเจ คือ เลือกทานแต่ผัก ไม่ทานเนื้อสัตว์ ไม่ทานแป้ง ก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ และทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ “หากผู้รับประทานอาหารเจ เลือกวิธีการปรุงอาหารเจ ด้วยวิธีการ ทอด ผัด เพราะขั้นตอนการปรุงต้องใช้น้ำมัน ซึ่งจะทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจะรับประทานแต่ผักก็ตาม ควรจะหันมาเลือกใช้วิธีการปรุงอาหารด้วยการ ต้ม นึ่ง จะดีกว่า”

สำหรับวิธีการเลือกรับประทานอาหารเจได้อย่างไม่ต้องกังวัลโรคอ้วนหรือไขมันส่วนเกินจะมาถามหา หลังจากเลิกรับประทานอาหารนั้น เรามีวิธีแนะนำดังนี้

1.เลือกกินข้าวหรือแป้งที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย ธัญพืชต่าง ๆ ร่างกายใช้พลังงานในการย่อยออกมาเป็นแป้งที่พร้อมดูดซึม ซึ่งน้ำตาลไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับปริมาณที่เท่ากันของแป้งขัดขาว

2.เลือกผักใบมากกว่าพืชหัว เพราะผักใบมีคาร์โบไฮเดรตที่น้อยกว่าพืชหัวมาก ดังนั้น การกินผักใบจะทำให้เราได้พลังงาน และปริมาณแป้งน้อยกว่าจึงไม่ทำให้อ้วน

3.เลือกกินของนึ่ง, ต้ม, ตุ๋นดีกว่าของทอดและผัด เพราะช่วยให้เลี่ยงการกินน้ำมัน ซึ่งมีไขมันอยู่สูง

4.กินหวานให้น้อยลง ไม่ใช่ว่าเมื่อคุณกินเจแล้ว จะสามารถกินขนมหวานได้เต็มที่ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารเจหรือไม่เจ ถ้ามีความหวานและผสมน้ำตาลอยู่มากก็อ้วนได้ไม่ต่างกัน

5.อดอาหาร ล้างพิษหลังกินเจ เพราะจะช่วยให้ร่างกายขับพิษต่าง ๆ ออกมาได้ ทั้งช่วยลดไขมันในเลือด ลดน้ำหนัก ลดภาวะร้อนในจากธาตุในร่างกายที่ไม่สมดุลได้อีกด้วย


อาหารเจ



หลังจากที่ฟังเคล็ดลับการเลือกรับประทานอาหารเจอย่างถูกวิธีไปแล้ว เราลองมาฟังเหตุผลของกลุ่มวัยรุ่นที่เลือกรับประทานอาหารเจ และเคล็ดลับเฉพาะส่วนตั๊วส่วนตัวของแต่ละบุคคลที่เกี่ยวกับการกินเจอย่างไรให้ไม่อ้วน แถมยังสุขภาพดีอีกด้วย

เริ่มต้นที่ “เฟิน” นางสาวปาณิสา เรืองไทย นิสิตชั้นปีที่ 2 สาขาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มก. กล่าวว่า ช่วงเทศกาลกินเจ เป็นช่วงที่มีอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ ให้ลองรับประทานมากมายหลายอย่าง เธอจึงอยากลองกินเจดูบ้าง ส่วนตัวกินเจมาได้ 2-3 แล้ว แต่การกินเจของเธอไม่ได้กินไม่ครบ 10 วัน เพราะเน้นเอาความสะดวกใจสบายกายในการเลือกกินเจ "เท่าที่กินมา ก็กินแบบแล้วแต่สะดวกมากกว่าค่ะ เอาสบายใจตัวเองด้วย ไม่เคร่งมากค่ะ แต่ที่หันมากินเจ เพราะ การกินเจเหมือนเป็นการล้างท้องค่ะ ได้กินผักทดแทนเนื้อสัตว์ก็น่าจะทำให้สุขภาพดีจากภายใน แต่ก่อนเรากินเนื้อสัตว์มาตลอด พอถึงช่วงนี้ก็หันมากินผักก็เหมือนเป็นการล้างสารพิษไปในตัว ทำให้ร่างกายได้พักบ้าง"

ส่วนการกินเจเพื่อลดความอ้วนนั้น เธอแสดงทัศนะว่า ส่วนตัวไม่ได้กินเจ เพื่อลดน้ำหนัก เพียงแต่ต้องการงดอาหารประเภทเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่มองว่าการกินเจที่ถูกวิธีก็อาจเป็นอีกทางหนึ่ง ที่ช่วยลดความอ้วนให้คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักได้เช่นกัน

"คิดว่าคงไม่ใช่ทั้งหมดที่กินเจแล้วจะผอม หุ่นดี คือ อยู่ที่เราจะเลือกกินมากกว่า ถ้ากินแป้งเยอะมันก็เท่านั้น แต่ถ้าคนที่กินเจเน้นการกินผัก ผลไม้ หรืออาหารที่ไม่มีน้ำมันมาก แบบนี้ก็อาจจะช่วยลดน้ำหนักได้จริง แล้วแต่การเลือกอาหารของแต่ละคน เพราะอาหารเจมันก็มีหลากหลาย ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักจริงๆ ก็ควรเลือกอาหารที่ไม่มัน ไม่มีแป้งเยอะ"

ด้าน "กิ๊ก-นางสาวพรพิมล ผลแก้ว" นิสิตชั้นปีที่ 2 สาขาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มก. กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เคยกินเจมาก่อน แต่พอเห็นว่าช่วงเจมักจะมีอาหารหน้าตาแปลกใหม่ออกมาขายกันมาก จึงสนใจ และอยากทดลองกินเจ ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เธอได้ทดลองกินเจ

“การกินเจน่าจะดีต่อสุขภาพนะคะ เพราะเราได้เลี่ยงเนื้อสัตว์ในช่วงเดียวของปี ได้งดเนื้อสัตว์ที่ย่อยยากๆ ส่วนเรื่องลดความอ้วน ส่วนตัวไม่เชื่อว่ากินเจลดความอ้วนได้ เพราะอาหารเจเป็นแป้งเสียส่วนมาก มีแป้ง มีผัก แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นโปรตีนกับแป้ง อาหารเจบางเจ้าก็ไม่ค่อยมีผักด้วย มันก็แล้วแต่คนที่เลือกอาหารด้วย ส่วนตัวการกินเจก็คงไม่ช่วยอะไรเรื่องลดความอ้วน เพราะไม่ได้ควบคุมเรื่องน้ำหนักอยู่แล้ว"


จับฉ่ายเจ



ส่วน "ไทด์-นายวัชรินทร์ พลอยงาม" นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต และหนึ่งในผู้เข้ารอบ 12 คนสุดท้าย จากเวที AF8 กล่าวถึงสาเหตุที่เลือกกินเจเพราะมองว่า การงดเว้นเนื้อสัตว์ในช่วง 10 วัน จะช่วยให้กระเพาะอาหารได้พักผ่อน และถือเป็นโอกาสที่เราจะได้ทำบุญ ถึงจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นโอกาสที่ดี โดยเขาเองเพิ่งเริ่มกินเจเมื่อปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว จนมีคนพูดให้ฟังถึงประโยชน์ของการกินเจ จึงอยากลองดู

"ปีที่แล้วผมกินได้แค่ 6 วัน อาจเพราะว่าเป็นครั้งแรกที่เริ่มกินจึงทำให้ไม่ชิน แต่ปีนี้จะลองใหม่ และพยายามให้ครบ 10 วันให้ได้ครับ ผมเคยคุยกับคุณหมอเรื่องอาหารการกินของคนเรา หมอบอกว่า คนเป็นสัตว์กินพืช ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ เพราะฉะนั้นถ้าจะงดกินเนื้อก็คงไม่มีผลเสียต่อร่างกาย เพียงแต่ต้องเลือกในสิ่งที่มีประโยชน์ กินอาหารที่ครบห้าหมู่ และระบบย่อยอาหารของเราก็คงต้องการการพักผ่อน การกินเจเหมือนเป็นการได้ช่วยให้ร่างกายเหนื่อยน้อยลง เพราะเนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ย่อยยาก การกินผัก ผลไม้ก็จะทำให้ระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น"

หนุ่มสถาปัตย์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ส่วนตัวยังคิดว่าการกินเจ อาจช่วยเรื่องการลดความอ้วนได้ แต่ต้องกินประเภทผักผลไม้ หรือเลือกกินอาหารประเภทต้ม นึ่ง ไม่มีไขมัน เพราะถ้างดเนื้อสัตว์แล้ว ยังกินอาหารเฉพาะแป้งหรือน้ำตาล ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ส่วนตัวเคยเห็นหลายคนที่กินเจเพื่อลดความอ้วน หากมีวินัยในตัวเอง การกินเจก็น่าจะเป็นตัวช่วยเรื่องควบคุมน้ำหนักได้อย่างดี ซึ่งการมีวินัยอาจจะมาจากความเชื่อของผู้ที่กินเจก็ได้ หากเชื่อว่าการละเว้นชีวิตสัตว์ เป็นการทำบุญที่ส่งผลให้ชีวิตเราดีขึ้น มันก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย ทำให้มุ่งมั่นกินเจให้ครบวันตามที่ตั้งใจไว้

"บางคนก็อาจจะอธิษฐานก่อนกินเจด้วย อย่างผมก็อธิษฐานว่า ถ้ากินเจในปีนี้ครบ 10วันได้ขอให้อัลบั้มเพลงที่กำลังจะวางแผงมีชื่อเสียง แล้วพอเริ่มกินเจในปีที่ผ่านมา ทำให้ผมเลิกกินเนื้อสัตว์ใหญ่ไปเลย อาจจะกินเนื้อหมู ไก่ ปลา บ้าง แต่ก็พยายามลดลง และหันมาทานผักผลไม้ มากขึ้น ส่วนใครที่เพิ่งเริ่มกินเจปีนี้เป็นปีแรก ในช่วง1-2วันแรก อาจจะไม่ชิน แต่ถ้าเราอดทน มันก็ผ่านไป แล้วก็กลายเป็นเรื่องปกติ เพราะอาหารเจก็มีรสชาติอร่อยไม่แพ้อาหารปกติ พอครบวันจะเลิกกิน ก็อาจจะปรับสภาพร่างกายด้วยการเริ่มจากกินเนื้อปลา แล้วค่อยๆ กลับมากินอาหารตามปกติครับ"


โปรตีนเกษตร



“แพรว-นางสาวธัญญารัตน์ ฟักประดิษศร" นักศึกษาชั้นปี 4 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มสด. เปิดเผยว่า ตนเป็นหนึ่งคนที่เลือกทานอาหารเจด้วยเหตุผลเพื่อสุขภาพ โดยมีเพื่อนคอยให้คำแนะนำวิธีการทาน เพราะถ้าเลือกรับประทานอาหารผิดๆ ถูก โดยเฉพาะอาหารที่เลียนแบบจำพวกเนื้อสัตว์ จะส่งผลเสียต่อร่างกาย

“แพรวทานอาหารเจ มา 6 ปีแล้วคะ เริ่มต้นมาจากเพื่อนที่ทานอาหารเจเป็นประจำ เพราะที่บ้านเพื่อนเป็นโรงเจ เราก็ได้แวะเวียนไปหาเพื่อนบ่อย จนเพื่อนแนะนำให้ลองทานเจ เพื่อสุขภาพและถือเป็นการทำบุญ ช่วงแรกก็เริ่มต้นด้วยการทานผัก ซื้ออาหารเจแบบสำเร็จรูปจำพวกมาม่า มาเก็บไว้ทาน หรือไม่ก็ซื้อตามตลาดสดทั่วไป แต่จะเลือกซื้ออาหารเจตามห้าง หรือร้านค้าที่ได้รับความนิยม เพราะจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า ซึ่งโดยส่วนตัวกลัวว่าจะมีเมนูอาหารที่ไม่ปลอดภัย หรือพยายามดัดแปลงวัตถุดิบที่เลียนแบบเนื้อสัตว์ และที่สำคัญถ้าเรารับประทานอาหารไม่ถูกวิธีจะส่งผลให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น อ่อนเพลีย หรือไม่ก็อ้วนขึ้นได้”

แพรวบอกว่า หลังจากรับประทานอาหารเจมาเป็นระยะเวลาหลายปี ทำให้ผลที่เกิดขึ้นกับตนเองอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจที่สดชื่นขึ้น ร่วมไปถึงร่างกาย ระบบขับถ่ายที่ดีขึ้น และที่สำคัญยังเป็นการทำบุญล้างบาป ที่ตลอดปีที่ผ่านมาเรามักจะรับประทานแต่เนื้อสัตว์ “แพรวคิดว่าการรับประทานอาหารเจเป็นสิ่งที่ดีกับตัวเอง ไม่ถึงกับเคร่งครัดอะไรมากมาย แต่ก็รู้สึกได้ว่าทั้งสภาพจิตใจและร่างกายเราดีขึ้นทุกๆ ครั้งที่รับประทานอาหารเจ”

เช่นเดียวกับ “โค้ก-นายณรงค์พันธ์ ศิริโสภาพงษ์" นักศึกษาชั้นปี 4 คณะวิทยาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจ แขนงวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ มสด. เปิดเผยเช่นกันว่า เลือกรับประทานอาหารเจพร้อมกับครอบครัวมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ซึ่งที่บ้านเคร่งครัดในเรื่องการรับประทานอาหารมาก และจะเลือกทำอาหารเองมากกว่าที่จะซื้ออาหารสำเร็จรูป และทุกครั้งที่ถึงช่วงเทศกาลกินเจ อาม่าจะไม่ลืมแนะนำวิธีรับประทานอาหารอย่างถูกวิธีให้ลูกหลานตลอด

“เด็กวัยรุ่นผู้ชายส่วนใหญ่แล้ว มักจะไม่รับประทานอาหารเจ ถ้าที่บ้านหรือครอบครัวไม่ทานก็จะไม่ทานเด็ดขาด อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องอาหาร และเรื่องสุขภาพสักเท่าไร แต่สำหรับผม ครอบครัวมักจะใส่ใจเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลกินเจ อาม่าของผมจะเป็นคนทำอาหาร คอยแนะวิธีการเลือกรับประทานอาหารเจ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกว่า การรับประทานอาหารเจ ทำให้ร่างกายเราสมบูรณ์โดยที่ไม่จำเป็นต้องทานเนื้อสัตว์ มีจิตใจที่บริสุทธิ์ สดชื่น”

โค้ก บอกทิ้งท้ายว่า การเลือกรับประทานอาหารเจ ไม่ใช่มีเหตุผลแค่เรื่องความเชื่อเกี่ยวกับบาป บุญ คุณ โทษ เท่านั้น แต่ทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจเราสดชื่นมากขึ้น ถึงแม้เราจะลดละเลยรับประทานเนื้อสัตว์เป็นระยะเวลา 10 วันก็ตาม ก็ควรที่เลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ไม่ควรทำให้ร่างกายอ่อนแอ หรือรับประทานอาหารที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย

การเลือกปลาหมึกแห้ง

การเลือกปลาหมึกแห้ง ถ้าเป็นปลาหมึกใหญ่ เนื้อต้องไม่แห้งหรือบางเกินไป ถ้าดมกลิ่นแล้วมีกลิ่นฉุน แสดงว่า เค็มมาก ไม่ควรซื้อมารับประทาน
จาก SMS Farmer Info - 2 ต.ค.2554- 13.10 น.

ข้อแตกต่างของเนื้อวัวกับเนื้อควาย

ข้อแตกต่างของเนื้อวัวกับเนื้อควาย เนื้อวัวมีสีแดงสด เนื้อแน่นละเอียด เนื้อควายมีลายเส้นของกล้ามเนื้อหยาบ เนื้อเหนียวกว่า มีสีคล้ำกว่า
จาก SMS Farmer Info - 1 ต.ค..2554- 17.07 น

เทคนิคการผัดผักจานโปรดให้หอมอร่อย

เทคนิคการผัดผักจานโปรดให้หอมอร่อยน่ารับประทาน ต้องเจียวขิงซอยในน้ำมันให้เหลืองหอมด้วยไฟอ่อนๆ เสียก่อน จะใส่ผักและเครื่องปรุงอื่นๆตามลงไป
จาก SMS Farmer Info - 2ต.ค.2554- 11.11 น.

เชื่อเถอะว่า ผลไม้ตระกูลเบอรี่ช่วยกู้สายตา

เชื่อเถอะว่า ผลไม้ตระกูลเบอรี่ช่วยกู้สายตาคุณให้ดีขึ้นได้ เพราะมีสารสำคัญที่ทำให้มองเห็นได้ชัดในที่มืด และทำให้เลนส์ตาแข็งแรงขึ้นด้วย
จาก SMS Farmer Info - 1 ต.ค.2554- 11.09 น.

โดยทั่วไปการผสมเกสรกล้วยไม้นั้น

โดยทั่วไปการผสมเกสรกล้วยไม้นั้นสามารถทำได้ทั้งวัน ขณะที่ดอกบาน แต่เซียนกล้วยไม้ส่วนใหญ่นิยมผสมเกสรกันตอนเช้าก่อนเวลา 10.00 น.
จาก SMS Farmer Info - 30 ก.ย.2554- 11.18 น.

เปลี่ยนชื่อโรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคเรบีส

เปลี่ยนชื่อโรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคเรบีส์ เพิ่มความรู้คนไทย เพราะเกิดได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เตือนคนเลี้ยวสัตว์แปลกๆมีโอกาสเสี่ยงสูง
จาก SMS Farmer Info - 28 ก.ย.2554- 13.01 น.

น้ำหมักบำบัดน้ำเลี้ยงบ่อปลา ลูกจันท์และผลไม้สับ

น้ำหมักบำบัดน้ำเลี้ยงบ่อปลา ลูกจันท์และผลไม้สับ 10 กก.+กากน้ำตาล 10 กก. พด.2 ละลายน้ำ 1 ซอง นำทุกอย่างผสมกัน หมัก 21 วัน ใช้ 1 ลิตร/ พื้นที่ 200 ตร.ว.
จาก SMS Farmer Info - 28 ก.ย.2554- 11.40 น.

พัฒนาที่ดินแม่ฮ่องสอน เผยการปลูกไม้ยืนต้น

พัฒนาที่ดินแม่ฮ่องสอน เผยการปลูกไม้ยืนต้นที่มีระบบรากแก้ว เป็นการลดการสูญเสียหน้าดิน ป้องกันดินโคลนถล่มได้ดี หลังโครงการที่ส่งเสริมประสบความสำเร็จ
จาก SMS Farmer Info - 28 ก.ย.2554- 9.20 น.