++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กระบังลมหย่อน/รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 สิงหาคม 2552 08:12 น.
คอลัมน์สายตรงสุขภาพกับศิริราช
รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์
สูตินรีแพทย์


ปัจจุบันคนไทยมี อายุยืนยาวขึ้น
ส่งผลให้จำนวนประชากรสูงอายุมากขึ้น พร้อมๆ กับปัญหาสุขภาพเสื่อมถอย
ไม่ว่าจะเป็นข้อเข่าเสื่อม สมองเสื่อม หรือตาเป็นต้อ
ซึ่งพบได้ทั้งหญิงและชาย
แต่มีอยู่โรคหนึ่งที่พบไม่น้อยเฉพาะในหญิงสูงอายุ ซึ่งเป็นแล้ว
กลับไม่ค่อยยอมมาหาหมอ โรคที่ว่านี้คือ "กระบังลมหย่อน"

ความหมายของกระบังลม

เวลาคนเรายืน อวัยวะต่างๆ ในช่องท้อง เช่น ลำไส้ มดลูก
กระเพาะปัสสาวะ จะไม่ไหลลงมากองที่หว่างขา
นั่นเพราะเรามีกล้ามเนื้อชุดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายเปลญวนคอยพยุงเอาไว้
เราเรียกกล้ามเนื้อนี้ว่า "กล้ามเนื้อกระบังลม" ซึ่งประกอบด้วย
กล้ามเนื้อต่างๆ หลายสิบมัดยึดติดประสานกัน
ทำหน้าที่เหมือนพื้นรองของไม่ให้หล่นลงมา อย่างไรก็ตาม
จะมีบางบริเวณของกล้ามเนื้อชุดนี้ที่จะเป็นรูอยู่หลายตำแหน่งเพื่อให้อวัยวะ
บางอย่าง ได้แก่ ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ และรูทวารหนักผ่านออกมาได้
สาเหตุกระบังลมหย่อน

โดยปกติกล้ามเนื้อกระบังลมจะมีความแข็งแกร่งทนทานค่อนข้างมาก
แต่ถ้าสตรีใดผ่านการคลอดบุตร โดยเฉพาะคลอดทางช่องคลอดบ่อยๆ
ก็จะทำให้กล้ามเนื้อชุดนี้ถูกยืดขยายและหย่อนยานได้ ยิ่งคลอดมาก
กล้ามเนื้อก็จะยิ่งหย่อนมาก อย่างไรก็ตาม ในสตรีที่อายุยังไม่มาก
แม้จะผ่านการคลอดมาหลายครั้ง กล้ามเนื้อก็มักจะยังไม่ยืดหย่อนมาก
เพราะยังมีฮอร์โมนจากรังไข่มาช่วยให้กล้ามเนื้อคงความแข็งแรงได้ระดับหนึ่ง
แต่เมื่อสตรีเหล่านี้ก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุ
ด้วยสภาพสังขารเองจะทำให้กล้ามเนื้อเหล่านี้หมดความแข็งแรงได้ง่าย
ประกอบกับฮอร์โมนที่เคยมีในวัยสาวก็หมดลงไปด้วย
กล้ามเนื้อก็จะยิ่งอ่อนแอลงมากขึ้น
ส่งผลให้กล้ามเนื้อกระบังลมเกิดการหย่อนยาน คราก เสียความตึงตัว
จนไม่สามารถพยุงอวัยวะในช่องท้องไหว
จึงทำให้ผนังช่องคลอดโผล่ออกมานอกช่องคลอด
ถ้ารุนแรงมากขึ้นก็อาจมีมดลูกโผล่ออกมาหรือหลุดออกมาด้วย

ทางการแพทย์ เราพบว่า การคลอดลูกมาก
เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดภาวะกระบังลมหย่อน
แต่ก็ยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดได้ เช่น การไอเรื้อรังจากโรคปอด
หรือหลอดลมต่างๆ หรือรายที่ท้องผูกและต้องเบ่งถ่ายอยู่เป็นประจำ
แต่ก็ยังน้อยกว่าการคลอดลูกมากอยู่ดี

อาการของโรค

อาการของกระบังลมหย่อนมีได้มากมาย
ขึ้นอยู่กับชนิดของอวัยวะที่หย่อนและความรุนแรงของการหย่อน
ที่พบบ่อยได้แก่

- อาการหน่วงในช่องคลอด
มักพบในรายที่มีการหย่อนของผนังช่องคลอดหรือมดลูกเพียงเล็กน้อย
ถ้าหมอไม่สังเกตหรือตรวจอย่างละเอียด อาจไม่พบความผิดปกตินี้ได้

- มีก้อนเนื้อโผล่มาตุงที่ปากช่องคลอดหรือหลุดออกมานอกช่องคลอด
บางรายก็แค่คลำได้ในช่องคลอด บางรายมองเห็นที่ปากช่องคลอดเลยก็มี
ก้อนเนื้อที่เห็นอาจเป็นผนังช่องคลอด หรือปากมดลูก
หรือตัวมดลูกทั้งอันเลยก็ได้ แล้วแต่ความรุนแรงของภาวะกระบังลมหย่อน

- เจ็บ แสบ มีแผล หรือมีเลือดออกบริเวณปากช่องคลอด
ส่วนมากมักจะพบในรายผนังช่องคลอด
ปากมดลูกหรือมดลูกโผล่ออกมานอกช่องคลอดและถูกเสียดสีกับอวัยวะข้างเคียง
เช่น ต้นขา ปากช่องคลอด ทำให้เกิดแผลถลอก มีเลือดออกตามมา
บางรายทิ้งไว้นานอาจกลายเป็นแผลขนาดใหญ่ลุกลามจนปวดทรมานมากได้
ซึ่งกรณีหลังนี้มักพบในสตรีที่มีโรคเบาหวานอยู่ก่อนแล้ว

- มีปัญหาในการถ่ายปัสสาวะ
ซึ่งมีได้หลายลักษณะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหากระบังลมหย่อน
...ในรายที่ผนังช่องคลอดหย่อนไม่มากอาจทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อย
เพราะกระบังลมที่หย่อนจะทำให้กระเพาะปัสสาวะหย่อนตัวลงมาด้วย
เวลาถ่ายปัสสาวะจึงทำให้ถ่ายไม่หมด
และร่างกายต้องพยายามขับทิ้งโดยถ่ายบ่อยขึ้น
...บางรายที่ผนังช่องคลอดหรือมดลูกหย่อนมากจนดันท่อปัสสาวะให้เลื่อนผิด
ตำแหน่ง และถ้าเวลา ไอ จาม หรือออกแรง
จะทำให้ท่อปัสสาวะจะไม่สามารถกลั้นการไหลของปัสสาวะได้ เกิดปัสสาวะเล็ด
บางรายเป็นไม่รุนแรง แต่บางรายก็รุนแรง เป็นบ่อย เป็นมาก
จนไม่กล้าเข้าสังคมเพราะอับอายก็มี ...ในรายที่มดลูกหย่อนมาก
อาจไปดันบริเวณรอยต่อของกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะจนตีบ
ทำให้ถ่ายปัสสาวะไม่ออกก็มี เวลาจะถ่ายปัสสาวะสักครั้ง
ต้องเอามือดันมดลูกเข้าไปก่อนจึงจะถ่ายได้
เป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานไม่น้อย

สตรี สูงอายุที่มีภาวะกระบังลมหย่อน ไม่ว่าจะมีอาการมากหรือน้อย
ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยมาหาหมอเพื่อรับการตรวจ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่พอสรุปได้

1.อาย และอายมากกว่าสาวๆ เสียอีก
ที่จะต้องไปนอนให้หมอมาดูอวัยวะเพศของตัวเอง เลยยอมอดทนต่ออาการต่างๆ
โดยไม่ยอมปริปากบอกใคร

2.คิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องเกิด ส่วนมากเชื่อว่า
ปัญหากระบังลมหย่อนเป็นเรื่องตามธรรมชาติที่ต้องเกิดเมื่อแก่ตัว
เลยไม่คิดจะมาหาหมอ

3.เกรงใจลูกหลาน คนยิ่งแก่ ยิ่งเกรงใจคนอื่น
กลัวจะไปรบกวนลูกหลานให้หงุดหงิด รำคาญใจ ถ้าจะต้องให้พาไปหาหมอ เลยทนๆ
เอา

การรักษากระบังลมหย่อน

1.ออกกำลังกาย ในรายที่เป็นไม่รุนแรง
อาจใช้แค่การบริหารกล้ามเนื้อกระบังลมด้วยวิธีง่ายๆ โดยการขมิบก้น
จะทำให้กล้ามเนื้อกระบังลมต้องมีการหดรัดตัว
ทำให้กล้ามเนื้อดังกล่าวมีการหนาตัว ตึงตัว และแข็งแรงขึ้น
เหมือนกล้ามเนื้อแขนที่ใหญ่และแข็งแรงขึ้นจากการตีแบดมินตัน
หรือเล่นเทนนิส

วิธีการขมิบก้นที่ได้ผล จะต้องขมิบให้แรงพอและนานพอ
ซึ่งทดสอบได้ง่ายๆ
โดยขณะที่ทำการถ่ายปัสสาวะให้ลองขมิบก้นให้แรงจนปัสสาวะหยุดไหล
เวลาขมิบจริงให้ใช้ความแรงประมาณนั้น แต่อย่าทำตอนถ่ายปัสสาวะ
เพราะเดี๋ยวจะทำให้ท่อปัสสาวะอักเสบ หรือถ่ายปัสสาวะลำบากในภายหลังได้
ท่านจะขมิบเวลาไหนก็ได้ แต่ควรทำอย่างน้อยวันละ 30-50 ครั้งๆ ละ 5-10
วินาที ทำไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน ถึงจะเห็นผล

2.การผ่าตัดรักษา จะทำในรายที่เป็นรุนแรง
มีการหย่อนของผนังช่องคลอดหรือมดลูกค่อนข้าง มาก
การผ่าตัดอาจทำเพียงแค่ตัดผนังช่องคลอดส่วนที่หย่อนยานทิ้งแล้วเย็บซ่อมให้
แข็งแรง หรืออาจต้องตัดมดลูกทิ้งร่วมไปด้วยในกรณีที่มดลูกหย่อนและยื่นลงมาค่อนข้าง
มาก การผ่าตัดดังกล่าวทำไม่ยากและใช้เวลาไม่มาก แต่ได้ผลค่อนข้างดี
ส่วนมากจะหายขาดจากอาการทุกข์ทรมานทั้งหลายอย่างเห็นได้ชัด
มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่กลัวการผ่าตัด แต่หลังจากผ่าตัดแล้ว
พบว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้น รู้อย่างนี้ผ่าตัดมาเสียตั้งนานแล้วก็มี

ฉะนั้น ถ้าใครมีผู้สูงอายุที่บ้าน หมั่นถามท่านบ่อยๆ ว่า
มีอาการของภาวะกระบังลมหย่อนหรือไม่ ถ้ามี
อย่ารีรอที่จะชวนท่านไปหาหมอนะครับ ส่วนมากรักษาให้หายขาดได้
หรือถึงไม่หายขาด การรักษาก็สามารถบรรเทาอาการของโรคได้อย่างดี

"นวดเหยียบเหล็กแดง" ภูมิปัญญาพิชิตโรค

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 สิงหาคม 2552 08:12 น.


เสียงฟู่ของพรายฟองน้ำมันเดือดๆ
ที่เต้นระริกอยู่บนแผ่นเหล็กทรงแบนบนเตาอั้งโล่ร้อนจัด
ฝ่าเท้าของชายชรายกออกจากเหล็กแผ่นนั้น
หากทว่ารอยน้ำมันมะพร้าวจากฝ่าเท้ายังเดือดพล่านอยู่
ส่งผลให้เปลวไฟพุ่งแลบเลียแผ่นเหล็ก เป็นที่น่าเสียวสยองของผู้พบเห็น

"ไม่ร้อน เพราะมีคาถาดับพิษไฟ" ปู่สง่า พันธุ์สายศรี
หมอนวดเหยียบเหล็กแดงวัย 82 ไขข้อข้องใจของหลายคนที่มุงดูวิธีการนวดอยู่
ก่อนจะเล่าประวัติย่อๆ ของตัวเอง ว่า เป็นคนอยุธยาโดยกำเนิด
ในครอบครัวสืบทอดวิชานวดเหยียบเหล็กแดงมาตั้งแต่สมัยแผ่นดินรัชกาลที่ 5
สืบต่อกันแบบรุ่นต่อรุ่น

ปู่ เล่าว่า ก่อนหน้านี้ วิชานี้เกือบสูญหายแล้ว
แต่ในระยะหลังสังคมหรือแม้แต่กระทรวงสาธารฯIขเองก็ตื่นตัวเรื่องหมอ
ภูมิปัญญาไทย ทำให้มีการสืบทอด นอกจากในครอบครัวของปู่สง่า ลูกๆ 7
คนของปู่มี 6 คนที่สืบทอดวิชานี้ไว้
ไม่นับลูกศิษย์ลูกหาที่เดินทามาฝากตัวขอวิชาอีกนับร้อย ทำให้ปู่เบาใจว่า
อย่างน้อยวิชานี้ก็จะยังไม่ลบเลือน

"เริ่ม เรียนตั้งแต่อายุ 17 ตอนนี้ 82 แล้ว
เป็นหมอรักษาคนด้วยการนวดเหยียบเหล็กแดงมา 50 กว่าปีแล้ว
เรียกค่ารักษาครั้งละ 12 บาท ที่เหลือก็แล้วแต่น้ำใจ เราทำบุญ ช่วยคน
มีก็ให้ ไม่มีก็ไม่ต้อง มีคนมาขอเรียนเป็นร้อย แต่ก็ได้วิชาไปจริงๆ
ไม่กี่สิบคน เพราะส่วนใหญ่หวังรวย เราก็สอนว่า
ถ้าจะเรียนห้ามเก็บค่ารักษามากกว่า 12 บาท
ครูโบราณท่านสอนกันมาอย่างนั้น"

ปู่สง่า อธิบายถึงอุปกรณ์การนวดเหยียบเหล็กแดง ว่า
ต้องมีเตาอั้งโล่ หรือเตาถ่าน ซึ่งหากจำเป็นจริงๆ ยุคนี้หาเตาถ่านยาก ปู่
บอกว่า ใช้เตาแก๊สพอได้ หากเป็นเตาถ่าน
ถ่านที่ใช้จุดไม่จำเพาะว่าเป็นถ่านอะไร น้ำมันมะพร้าว
เหล็กทรงแบนที่ยาวพอจะพาดปากเตาได้ นอกจากนี้
ก็มีลูกประคบและอุปกรณ์กายภาพบำบัดแบบภูมิปัญญาชาวบ้านอื่นๆ
เช่นไม้ไผ่มัดยางแก้นิ้วล็อกนิ้วติด, เศษผ้าเอาไว้มัดเท้ากับหน้าแข้ง
เพื่อดัดปลายเท้าที่งองุ้มของผู้ป่วยอัมพฤกษ์ให้ตรง

"เริ่มจากนวดคลายเส้นก่อน แต่บางครั้งบางคนเส้นก็ลึก กดไม่ถึง
ทำอย่างไรก็ไม่ยืดหยุ่น ก็ต้องเหยียบเหล็กแดง จะมีจานน้ำมันมะพร้าว
หรือจะเป็นน้ำมันงาก็ได้
เวลาเหยียบก็ต้องจุ่มเท้าลงในจานให้น้ำมันชุ่มฝ่าเท้า
จากนั้นก็เอาเท้าไปเหยียบบนเหล็กที่ตั้งอยู่ปากเตา

เหล็กนี่เมื่อก่อนโบราณเขาใช้เหล็กผาน หรือเหล็กที่ใช้ไถนา
เพราะหาง่าย รูปร่างแบนกำลังดี อีกทั้งออกเสียงคล้ายๆ "ผลาญ" เอาเคล็ดว่า
"ผลาญโรค" แต่เดี๋ยวนี้ไม่ทำนา เหล็กผานหายาก ก็ใช้เหล็กอะไรก็ได้ทรงแบนๆ
ก็นาบเท้ากับเหล็กให้ร้อน จากนั้นก็จะเอาเท้าไปเหยียบจุดที่เจ็บของคนไข้
เมื่อเจอความร้อน เส้นที่จมก็จะลอยขึ้นมา
แล้วกล้ามเนื้อก็จะยืดหยุ่นขึ้น"

หลายคนสงสัยว่า แม้ปู่จะมีคาถาดีในการดับพิษไฟ
แล้วคนไข้ของปู่จะแสบร้อนจากน้ำมันร้อนๆ ที่ฝ่าเท้าของปู่หรือไม่ ตรงนี้
ปู่ เฉลยว่า ถือเป็นความมหัศจรรย์ของธาตุไฟภายในร่างกายของมนุษย์
เพราะเมื่อเอาเท้าชุ่มน้ำมันไปนาบเหล็กแดง
ความร้อนจากภายนอกจะผสานกับธาตุไฟภายในตัว แม้จะละฝ่าเท้าจากเหล็กร้อนๆ
ที่มีไฟลุกโพลงจากน้ำมันที่ติดอยู่บนเหล็ก
และนาบเท้าลงแทบจะในทันทีที่ร่างกายของคนไข้
ธาตุไฟจากภายในและภายนอกก็จะผสานกัน ทำให้คนไข้รู้สึกแค่อุ่นๆ เท่านั้น

ปู่ สง่า บอกว่า
การนวดเหยียบเหล็กแดงนี้สามารถรักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กระดูก
เส้นยึด รวมถึงอาการหนักๆ อย่างหมอนรองกระดูกอักเสบ
หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท ไปจนถึงอัมพฤกษ์ อัมพาตด้วย
และนอกเหนือจากการเหยียบเหล็กแล้ว ปู่ยังมีวิธีรักษาแบบอื่นๆ เช่น
การนวดที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน
ด้วยการตั้งกระทะทอดน้ำมันมะพร้าวเดือดๆ และจุ่มมือเปล่าๆ
เล่าไปคลุกน้ำมัน ก่อนจะเอาน้ำมันมานวดๆ คลึงๆ บริเวณที่ปวดของคนไข้
บางครั้งต้องการให้น้ำมันกระจายเป็นวงกว้าง ปู่ก็จะอมน้ำมันเดือดๆ
แล้วพ่นใส่คนไข้ก็มี รวมไปถึงการประคบด้วยลูกประคบสมุนไพรด้วย
ซึ่งหากเป็นจุดที่ปู่ใช้เท้าเหยียบไม่ได้อย่างต้นคอ
ปู่ก็จะนวดและประคบแทน

นอกจากที่ปู่สง่าจะอธิบายถึงภูมิปัญญาการรักษาที่สืบต่อกันมาเป็น
รุ่นๆ ให้ฟังพอคร่าวๆ แล้ว
ปู่ยังสาธิตวิธีการทำอุปกรณ์กายภาพบำบัดแบบง่ายๆ
ที่ทำจากอุปกรณ์เหลือใช้ในท้องถิ่นแบบไม่ต้องเสียสตางค์ให้เปล่าเปลือง
อย่างไม้ไผ่กันนิ้วล็อคนิ้วติด ที่ใช้แค่ไม้ไผ่กับหนังยาง (ดังรูป)
รวมถึงวิธีการแก้อาการเดินผิดปกติของผู้ป่วยอัมพฤกษ์ ที่มักจะเดินเท้าคด

"พวก นี้ถ้าไปหาหมอ หานักกายภาพบำบัดก็จะแนะนำให้ตัดรองเท้า
แต่ถ้าไม่มีเงินตัดรองเท้าปู่จะแนะนำ เอาเศษผ้าในบ้านนี่แหละ เอายาวๆ
หน่อย เวลาใช้ก็ทำเป็นบ่วง มัดแถวๆ กลางเท้า แล้วโยงอีกด้านมามัดตรงแถวๆ
หน้าแข้ง พอเราเดินหน้าแข้งขยับ มันก็จะดึงเท้าที่คดให้ตรง
ใส่ดัดเดินอยู่ในบ้าน ไม่ต้องอายอะไร บ้านเราเอง" ปู่สง่า ทิ้งท้าย


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000097531

ถ้าต้องขอยืมตังค์จากคนในครอบครัว

', '


ยามขัดสนเงินทอง คุณจะคิดถึงใคร ก่อนเพื่อนดีล่ะ?

อาบังปล่อยเงินกู้นอกระบบ, เพื่อนฝูง หรือญาติสนิท สมาชิกในครอบครัวดีน้า

บางคนงี้บอกถ้ากระเป๋าแฟบ เมื่อไหร่ก็ขอยืมตังค์
เพื่อนหวังขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน แต่บางคนบอกถ้าจะให้ไปยืมตังค์เพื่อน
งั้นขอไปปรึกษาพ่อแม่พี่น้องและ สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวไม่ดีกว่าเรอะ
เพราะบางทีการเป็นญาติกัน อาจทำให้รู้สึกสะดวกปาก
สะดวกใจที่จะเจรจาต้าอ้วยเพื่อขอยืมเงินมากกว่ามั้ง

ดังนั้น ถ้าใครเลือกขอกลับไปตั้งหลักที่บ้านก็ย่อมได้ ขนาดใน
ข้อเตือนใจของการกู้ยืมเงิน จากครอบครัวโดย (หวังว่าจะ)
ไม่ทำให้เกิดปัญหา (The Basics Borrow from family without guilt or
grief) เชื่อว่า เป็นธรรมชาติของมนุษย์เลยแหละ ที่หากประสบ
ปัญหาเดือดร้อนเรื่องเงินๆ ทองๆ ขึ้นมาเมื่อไหร่
แต่ถ้าลองสนิทสนมกับญาติพี่น้องใน ครอบครัวละก็
ใครคนนั้นมักหันมาใช้บริการเงินกู้ภายในครอบครัวนี่แหละ โทษฐานที่
หนิดหนมกันนักนี่หน่านะ

แต่การขอหยิบขอยืมเงินจากสมาชิกในครอบครัวเนี่ย ควรตระหนักสักหน่อยว่า
อย่ายืมแล้ว ยืมเลย ประเภทไม่หนี ไม่มี ไม่ให้ แต่ขอเชิด ไปซะเฉยๆ
มีไรมะ...โอ้ยขืนเป็นแบบนี้คงไม่มีใคร
อยากคบหรืออยากให้เงินคุณยืมอีกแล้วล่ะ
เพราะรู้ฤทธิ์ลูกหนี้รายนี้แล้วน่ะสิว่า ชอบชักดาบ
มากกว่าควักเงินจ่ายหนี้

ดังนั้น เอางี้ ถ้าวันใดคุณเกิดมีความจำเป็นบังคับให้ต้องพึ่งพาเงินทองของครอบครัวล่ะก็
หากคุณไม่อยากให้สมาชิกในครอบครัวคลางแคลงใจหรือเป็นต้นเหตุแห่งการบ่อนทำลาย
ความรู้สึกดีๆที่เคยมีต่อกันละก็ จึงขอเสนอแนะข้อมูลชวนคิดบางประการ
ก่อนที่ครอบครัวจะ เปิดฉากทะเลาะ
เบาะแว้งกันเรื่องเงินๆทองๆให้แสลงใจโดยใช่เหตุ จริงไหมล่ะ

ด้วยประการฉะนี้ ก่อนจะบากหน้าไปขอยืมเงินจากคนในครอบครัว
ผู้ประสบปัญหาขัดสนทางการเงินอย่างคุณเนี่ยก็ควรที่จะ...

1. พิจารณาก่อนว่า จะยืมเงินเป็นจำนวนเท่าไหร่?

เป็นเงินก้อนจำนวนมากหรือเปล่า? เพราะถ้ามากเกินไป
มันก็น่าจะเกรงอกเกรงใจคนที่เราจะไป ยืมเขาเหมือนกัน
แต่ถ้าเป็นเงินนิดหน่อยและเชื่อว่าจะไม่กระทบ กระเทือนขนหน้าแข้งของญาติ
เป้าหมาย ซึ่งเป็นเหยื่อปล่อยกู้ ก็ถ้าตั้งใจจะยืมเค้าแล้วก็ยืมเลยดิ
จะมัวร่ำไรรอช้าอยู่ไย... แต่อ่ะ อ่ะ ข้อต่อไปคุณควร...

2. รู้จักคนที่จะไปยืมเงินพอสังเขปซะหน่อยนะ

เพราะก่อนจะทะเล่อ ทะล่าไปยืมเงินใคร คุณน่าจะวิเคราะห์
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับผู้ให้ ซะก่อนด้วย เพราะถ้าสนิทกันแน่แล้ว
คงเอ่ยปากขอยืมกันง่ายหน่อย แต่ถ้าแหม ไม่ถูกโฉลก
หรือถูกชะตากันมาแต่อ้อนแต่ออก ก็อย่าเสี่ยงไปยืมเขาเลย
เอ๊ะแต่หากคิดในอีกมุมนึง ถ้าไม่ค่อยสนิทกัน
แต่เรายังหน้าด้านไปขอยืมเค้า ถ้ามองในแง่ดีโอกาสนี้อาจช่วยให้รู้จัก
มักจี่กันมากกว่าเดิมก็ได้ หรือไม่ก็เห็นไส้เห็นพุงกันหนักเข้าไปอีก
เพราะงั้นถ้าต้องทำสัญญา เงินกู้ก็ทำซะเพื่อรับประกันว่า ไม่เบี้ยว
ไม่หนีแต่จ่ายแน่ บ๋าย บาย.

"คนสมถะ"

เห็นแก่ได้เกินไปหรือเปล่า?!?! : บุปผาราตรี 3/อภินันท์

โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา

ไม่ว่าคุณยุทธเลิศ สิปปภาค จะรับรู้หรือไม่ก็ตามกับเสียงของคนจำนวนหนึ่ง
(ซึ่งผมเชื่อว่าคงไม่ใช่น้อยๆ)
ที่ไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไรนักกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบุปผาราตรี 3.1
พร้อมกับมีคำถามสำคัญว่า เพราะอะไร ถึงต้องซอย "ผีบุปผา"
ภาคสามออกเป็นสองตอน

ที่ว่าไม่แฮปปี้ ก็เพราะว่า...พูดกันอย่างตรงไปตรงมา
เนื้อหาของบุปผา 3.1 นั้น แทบจะไม่มีอะไรจับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลย
หนังหมดเวลาไปกับการลากพาพวกตัวละครตลกไปยิงมุกโน่นนี่อะไรเรื่อยเปื่อย
แทนที่จะได้เล่าเรื่องอย่าง "เป็นเรื่องเป็นราว"

แน่นอน "คำถามสำคัญ" ที่ผมบอก ก็คือ
นี่เป็นความจงใจของผู้สร้างผู้กำกับที่ต้องการจะยืดหนังให้ยาว
เพื่อผลประโยชน์ทางด้าน "การค้าพาณิชย์" หรือไม่ พูดง่ายๆ ก็คือ คนทำ
เห็นแก่ได้กันมากเกินไปหรือเปล่า???

ใจจริง ผมก็ไม่ได้อยากจะคิดอะไรที่เป็นอกุศลต่อผู้สร้างแบบนั้นหรอกนะครับ
แต่มันก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อได้ดูบุปผาภาคสามครบทั้งสองตอนแล้ว

ไม่รู้สิครับ การทำความเข้าใจคำว่า "หนังภาคต่อ"
ของผมกับของคุณยุทธเลิศ อาจคลาดเคลื่อนแตกต่างกันก็ได้
เพราะในความหมายของผม "หนังภาคต่อ" แต่ละภาค
ก็ควรจะมีเนื้อหาเรื่องที่สรุปจบครบถ้วนในภาคนั้นๆ
ไม่เห็นจะต้องไปรอดูตอนจบในอีกสามเดือนหรือสี่ปีข้างหน้าเลย
ภาพยนตร์นะครับ ไม่ใช่ละครที่ดูตอนหนึ่งในคืนนี้
แล้วคืนต่อไปหรือสัปดาห์หน้าค่อยมาดูตอนสอง

โอเคล่ะ ที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมใจแคบ ไม่ยอม "เปิดพื้นที่"
ให้กับอะไรเลย เพราะพูดก็พูดเถอะ บางที
หนังหนึ่งเรื่องจะมีกี่ภาคกี่ตอนก็ได้ ถ้า "เนื้อหา" ของคุณ มัน "แน่น"
จริงๆ แต่นี่ไม่ใช่ไงครับ เพราะพูดกันตามความจริงเลย ผมพบว่า
เนื้อหาเรื่องราวของผีบุปผาภาคสามนั้น มันไหลมากองรวมกันอยู่ในตอน 3.2
ทั้งหมดเลย ส่วนตอน 3.1 ดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นเพียงอินโทรดักชั่น
แนะนำตัวละครและอารัมภบทเกริ่นนำเนื้อเรื่องเท่านั้นเอง นอกเหนือจากนั้น
เป็น "น้ำท่วมทุ่ง" ไปเสียหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
มุกตลกจำพวกมุกคาเฟ่และมุกควายๆ ซึ่งกินพื้นที่ในหนังไปเกือบๆ 80
เปอร์เซ็นต์

ไม่แปลกอะไร ถ้าตัวละครในหนังบุปผาราตรี 3.2
ถูกบรรดาผีโน่นนี่โผล่มาหลอกเยอะแยะไปหมด
แล้วในส่วนของคนดูหนังเองก็มีความชอบธรรมเต็มที่ที่จะรู้สึกว่า
ตัวเองก็ถูกหลอกเช่นกัน...หลอกกินตังค์สองรอบ
และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ หลายๆ คนผู้บริโภค รู้สึกตัวเองว่า
"ถูกเอาเปรียบ" ด้วยซ้ำไป!!

ไม่ผิดหรอกครับ ถ้าคุณจะยืดหนังให้ยาวเป็นหลายๆ ภาค
ถ้าศักยภาพของ "เนื้อหา" มันเอื้ออำนวย แต่ถ้ามันจบในภาคเดียวได้
ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมีภาคต่อ และก็เชื่อเถอะครับว่า
เมื่อฟังเสียงจากคนดูผู้ชมแล้ว คุณจะพบว่า ทุกๆ
คนก็จะบอกเป็นเสียงเดียวกันหมด คือ
ไม่เห็นจำเป็นต้องควักกระเป๋าหลายรอบแบบนี้เลย เพราะดูๆ ไป
หนังมันจบภาคเดียวได้ ไม่น่าจะมีปัญหา

แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ถ้าคนทำหนังคิดถึงเรื่อง "ทำมาหากิน" ก่อน
"คุณภาพของหนัง" ผมว่าเขาทำได้หมดแหละ และผมก็ไม่อยากจะคิดเลยครับว่า
มันจะเป็นความเปล่าเปลืองและเจ็บปวดสำหรับคนดูแค่ไหน ถ้าหนังอย่าง
"หลวงพี่ผีขนุน" เอย "กระสือฟัดปอบ" เอย
จะลุกขึ้นมาเล่นเกมเดียวกันกับที่ผีบุปผาเล่นบ้าง คือ ลากให้ยาวสักสองภาค
โดยมีมุกตลกบ้าๆ บอๆ เป็นเครื่องมือในการ "ยืด"

อันที่จริง ผมคิดว่าคนอย่างคุณต้อม-ยุทธเลิศ
เป็นคนที่มีความสามารถมากยิ่งกว่าคนอีกหลายๆ คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น
"ผู้กำกับ" นะครับ ดูง่ายๆ ก็ได้ ขนาดว่า คุณทำให้ผีบุปผา
"เข้าป่าเข้าดง" ไปไกลมากในภาคที่แล้ว แต่มาภาคนี้ 3.2 คุณยังสามารถ
"พลิกกลับสถานการณ์" จากร้ายให้กลายเป็นดีได้ โอเคล่ะ
ถึงแม้มันจะไม่ได้เลิศเลอเพอร์เฟคต์น่าประทับใจอะไรถึงเพียงนั้น
แต่เชื่อผมเถอะว่า บุปผา 3.2 จะไม่ได้คำตำหนิแบบล้นๆ อย่าง 3.1 แน่นอน
อย่างไรก็ดี ถ้าหากจะมีใครสักคนมาตะโกนใส่หน้าคุณยุทธเลิศว่า
คุณเป็นนักการตลาดที่ชาญฉลาดในการ "ทำมาหากิน" กับการยืดหนัง
ก็คงไม่มีใครช่วยคุณได้จริงๆ

เรื่องเวรเรื่องกรรมนั้นมีจริงครับ ก็อย่างที่คุณต้อม-ยุทธเลิศ
พูดไว้ในบุปผาภาคนี้นั่นแหละ (ฉาก Threesome อันน่าเจ็บปวดหัวใจ อาจจะดู
"แผลงๆ" บ้าง แต่ก็สะใจดีพิลึก เพราะบางที มนุษย์ห่วยๆ
มันก็ต้องเจอบทลงโทษสนองกรรมอะไรแบบนี้กันบ้างล่ะ)
และเมื่อเรื่องเวรเรื่องกรรมมีอยู่จริง ผมขอแนะนำว่า ถ้าคุณต้อม-ยุทธเลิศ
จะทำหนังอีก ก็ไม่ควรทำแบบนี้นะครับ เพราะชาวบ้านชาวช่องเค้าดูออกครับว่า
บุปผา 3.1 และ 3.2 มันคือการ "ยืด" โดยไม่จำเป็น
และถ้าชาวบ้านเค้าจับทางได้ เข็ดหลาบกับสิ่งที่คุณทำ
และพร้อมใจกันปฏิเสธผลงานของคุณ นั่นแหละครับ
เวรกรรมก็จะเริ่มทำงานของมันแล้ว...ด้วยความหวังดี...

ทีนี้ มาถึงประเด็นที่ว่า ทำไม บุปผา 3.2 สมควรจะได้คำชมมากกว่าคำตำหนิ

แน่นอนครับ โดยภาพรวม ผมรู้สึกว่า บุปผาภาคนี้ทำออกมา
"สมศักดิ์ศรี" แบบที่ซีรี่ส์ผีบุปผาควรจะเป็น
นอกจากบรรยากาศของหนังซึ่งออกมาในโทนที่ใกล้เคียงกับบุปผาภาคหนึ่ง
หนังยังเขย่ารวมองค์ประกอบต่างๆ ออกมาได้ค่อนข้างกลมกล่อม
ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเนื้อหาที่ชัดเจนว่าต้องการจะบอกอะไร
และบอกเล่าได้ลุล่วง นั่นก็คือเรื่องของแรงแค้นความอาฆาต
ตลอดจนแง่มุมความรักระหว่างผีบุปผา (พลอย เฌอมาลย์) กับ "หรั่ง" (มาริโอ้
เมาเร่อ) ขณะเดียวกัน อารมณ์ขันในเรื่อง ก็ไม่ได้เกิดจากมุกโง่ๆ
ซ้ำซากวนเวียน อย่าง...อะไรเอ่ย?...อีกต่อไป
แต่ยังมีมุกบางมุกที่เรียกได้ว่า "สดใหม่" จากสมองของยุทธเลิศได้เลย

สรุปสั้นๆ เลยก็คือว่า บุปผาภาคนี้
มันมีทั้งความเอนเตอร์เทนที่ทำให้เราติดตามเรื่องราวไปได้เรื่อยๆ
ขณะที่ตัวเนื้อหาก็ไม่ขี้เหร่ และแน่นอน ตอนจบที่หนังทิ้งท้ายไว้ในลักษณะ
"ปลายเปิด" ก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่า คงจะมีบุปผาภาคสี่ตามมาอีกแน่นอน
ไม่เร็วก็ช้า

เหนือ อื่นใด ผมก็ได้แต่หวังว่า ประวัติศาสตร์มันคงไม่ซ้ำรอย
ประเภทที่ว่ามี 4.1 แล้วต่อด้วย 4.2 โอเคครับ คุณทำได้
ถ้ามีเนื้อหาของแต่ละภาคที่แน่นจริงๆ
แต่ถ้าคุณยังคงดึงดันที่จะทำมันออกมาแบบ 3.1-3.2 สาบานได้เลยว่า
ผมจะไม่ดู 4.1 แน่นอน แต่จะรอดู 4.2 ภาคเดียวเลย
ถึงจะมีใครหน้าไหนมาตอแหลใส่ว่า ถ้าไม่ดูภาคหนึ่ง
จะดูภาคสองไม่รู้เรื่อง...ก็ตามที...


http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000097226

ฝรั่งหัวใจไทยโชว์ศิลปะกระดาษสะท้อนสังคม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 สิงหาคม 2552 02:32 น.
ใครที่รักงาน ศิลป์ พลาดไม่ได้กับ ""นิทรรศการภาพคอลลาจ"
(Cornelages - Paper collage art exhibition) โดย "คอร์เนลิส ฮุค"
ศิลปินชาวเนเธอร์แลนด์ ซึ่งได้จัดแสดงผลงานที่ถ่ายทอดมาจากอารมณ์
ความรู้สึกผ่านงานศิลปะ
ที่สร้างสรรค์จากภาพกระดาษที่ตัดเก็บรวบรวมไว้นับพันๆ ชิ้น
นำมาปะติดปะต่อสร้างเป็นรูปภาพ
และเรื่องราวใหม่ที่สะท้อนให้เห็นถึงจินตนาการ มิติ และมุมมองแปลกตา

คอร์เนลิส ฮุค เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง
เขาเป็นทั้งนักร้องนักดนตรี ช่างทองานศิลปะ
และได้เดินทางสอนและแสดงดนตรีมาแล้วทั่วโลก
ปัจจุบันฮุคอาศัยและทำงานศิลปะอยู่ที่จังหวัดเชียงราย
และสร้างสรรค์ภาพคอลลาจเป็นเวลากว่า 2 ปี

ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการภาพคอลลาจได้ตั้งแต่วันที่ 5 - 30
กันยายน 2552 ทุกวัน ระหว่างเวลา 11.00 - 19.00 น. ณ หอศิลป์ 116
บนถนนเจริญเมือง (ใกล้สะพานนวรัฐ) ต.วัดเกต อ.เมือง จ.เชียงใหม่
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 053-302-111 หรือ www.116artgallery.com

กระทรวงการต่างประเทศเล่นเกมเสียดินแดน :กต. - ต้นคิด รัฐสภา - อนุมัติ ทหาร - ปฏิบัติ!

กระทรวงการต่างประเทศเล่นเกมเสียดินแดน :กต. - ต้นคิด รัฐสภา - อนุมัติ
ทหาร - ปฏิบัติ!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


โดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์
นักวิจัย เชี่ยวชาญระดับ 9 สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เมื่อปีที่แล้วหากมีใครไปถาม พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา
ผู้บัญชาการทหารบกเรื่องการเสียดินแดนเมื่อกัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้น
ทะเบียนเป็นมรดกโลก ท่านจะตอบว่า
".....ไม่ทราบว่าจะนำไปสู่การเสียดินแดนได้อย่างไร"
(สมุดปกขาวกระทรวงการต่างประเทศหน้า ช )

เมื่อปีที่แล้ว(พ.ศ.2551) ข้อมูลต่างๆ ของเรื่อง
ที่ประชาชนจะสามารถนำมาเป็นพื้นฐานความรู้ความเข้าใจนั้น ยังมีน้อยมาก
เพราะว่าเราถูกปิด ถูกบิดเบือนข้อมูล และที่สำคัญคือ
ประชาชนถูกหล่อหลอมให้คิดและเชื่อข้อมูลผิดตลอดมา

หนึ่งปีผ่านไปไวเหมือนโกหก (พ.ศ. 2552) ประชาชนจาก 1-2 คน
รวมกันเป็นเครือข่าย และจากเครือข่ายรวมกันเป็นภาคีเครือข่าย
ได้ติดตามสถานการณ์ปราสาทเขาพระวิหาร จนชัดเจนแล้วว่า
หากจะพูดถึงเรื่องนี้กับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง จะต้องพูดเป็น 2 เรื่อง
คือเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเรื่องหนึ่ง
และเรื่องการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
ในกรอบของคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา อีกเรื่องหนึ่ง
ทั้งๆที่จะกล่าวว่าเป็น "เรื่องเดียวกัน" หรือ เป็น
"เรื่องที่เกี่ยวข้องกัน" ก็กล่าวได้ทั้งสองอย่าง

และถ้า วันนี้
เราตั้งคำถามเสียใหม่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา
ผู้บัญชาการทหารบก ว่า
การพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาในกรอบของคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา
จะนำไปสู่การเสียดินแดนหรือไม่ อยากรู้ว่า ท่านจะตอบว่าอย่างไร
ในเมื่อเห็นข้อมูลกันอยู่แจ่มแจ้งแล้ววันนี้ว่า

1. ร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชาว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร
ที่นายกรัฐมนตรีจะเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาตามมาตรา 190
ลงวันที่ตั้งแต่ 2 กรกฎาคม 2552 และส่งเป็นเอกสารประกอบมานั้น ในข้อ 1
ของร่างระบุไว้อย่างชัดถ้อยชัดคำว่า

"...คู่ภาคีจะไม่คงกำลังทหารของแต่ละฝ่ายในวัด
"แก้วสิขาคีรีสะวารา" (ต่อไปนี้จะเรียกว่า "วัด")
พื้นที่รอบวัดและพื้นที่[ไทย-ปราสาท][กัมพูชา-ปราสาทเปรียะวีเฮียร์(พระ
วิหารในภาษาไทย)] แม่ทัพภาคที่สองของกองทัพบกไทย
และผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 4 ของกองทัพกัมพูชา
จะกำหนดมาตรการที่เหมาะสมร่วมกัน เพื่อปฏิบัติให้ข้อบทนี้มีผล
โดยผ่านชุดติดตามสถานการณ์ชั่วคราวของแต่ละฝ่าย"

ท่านจะต้องรู้เพราะเป็นผู้บังคับบัญชาของแม่ทัพภาคที่สองของกองทัพบก
ไทย อีกทั้ง "ชุดติดตามสถานการณ์ชั่วคราว" ของฝ่ายไทยนั้น
มีความหมายว่าเป็นกลไกหนึ่งของการเจรจาเพื่อรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบ
ร้อยบริเวณพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของทหาร
ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น "รั้วบ้าน"

2. มีเอกสารของคณะกรรมการมรดกโลกที่ชื่อว่า C1224 rev เรื่องที่
65 ชื่อในบัญชีขึ้นทะเบียนว่าปราสาทพระวิหาร
ซึ่งเป็นเอกสารประกอบกับร่างมติคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 33
มีหลายตอนที่สำคัญ
แต่จะขอยกตอนที่สำคัญตอนหนึ่งมาเป็นหลักฐานเพื่อให้เห็นชัดเจนและเข้าใจ
อย่างถ่องแท้ ดังนี้

"...ในวันที่ 3 ตุลาคม 2551
ทหารกัมพูชาปะทะกับทหารไทยใกล้ปราสาทพระวิหาร
มีรายงานการบาดเจ็บของทหารทั้งสองฝ่ายในวันที่ 6 ตุลาคม ทหารไทย 2
นายได้รับบาดเจ็บสาหัส เหยียบกับระเบิดขาขาดในบริเวณใกล้ปราสาท
ในบ่ายวันที่ 15 ตุลาคม เกิดการยิงปะทะกันระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย 3
จุด ในพื้นที่ใกล้ตัวปราสาท รวมทั้งมีการยิงด้วยปืนยิงสังหาร
มีการยืนยันว่าทหารกัมพูชาเสียชีวิต 3 นาย ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 4-7 นาย
มีทหารไทยสูญหายไป 10 นาย ซึ่งกัมพูชาได้ประกาศว่าตนได้จับกุมทหาร 10
นายนี้ มีการเจรจาตกลงระหว่างทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นอีก
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายยังคงกล่าวหากันเองถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น
รวมทั้งที่ได้เกิดความเสียหายขึ้นแก่ทรัพย์สินมรดกโลก .......จากจดหมาย
ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2551
โดยผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกได้แจ้งต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบของกัมพูชาในการ
ตัดสินใจที่จะให้มีกลไกชุดติดตามเสริม
และจะส่งชุดทำงานนี้ไปยังพื้นที่ทรัพย์สินมรดกโลกในทันที.....
นอกจากการติดตามตรวจสอบดังกล่าว
ยังเปิดโอกาสให้มีการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุตามข้อ
ร้องขอ ในย่อหน้าที่ 15 ตามมติ ที่ 32 COM 8 B.102
ชุดติดตามเสริมได้เข้าพื้นที่ในช่วง 28 มีนาคม ถึง 6 เมษายน 2552
นำทีมโดยแผนงานพิเศษด้านวัฒนธรรมขององค์กรยูเนสโก สำนักงานพนมเปญ
ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากสภาการโบราณสถานระหว่างประเทศ (ICOMOS)"

เอกสารประกอบนี้
เป็นหลักฐานให้เห็นความเป็นเรื่องเดียวกันระหว่างการขึ้นทะเบียน
ปราสาทพระวิหารของกัมพูชา กับเรื่อง พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
ในกรอบของคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างชัดเจน
และยิ่งถูกสำทับด้วยเอกสารที่มีชื่อว่า
"บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ
กรุงพนมเปญ วันที่ 6-7 เมษายน 2552" ที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ จะนำเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาในวันที่ 28
สิงหาคมนี้(อ้างเอกสารที่ สผ 0014/ร 27 25 สิงหาคม 2552)

3. เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ กต 0803/674 ลงวันที่ 17
สิงหาคม 2552 ได้แนบเอกสารสรุปย่อรายงานผลการพิจารณาความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่
ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง ในข้อ 4 ระบุว่า

"...4.ขณะนี้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี)
กำลังเจรจาจัดทำข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา
ว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร
โดยรัฐสภาได้เห็นชอบกรอบการเจรจาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551
ด้วยคะแนนเสียง 409 ต่อ 7 จาก 418 เสียงของผู้เข้าร่วมประชุม

การเจรจาจัดทำข้อตกลงชั่วคราวฯดังกล่าวมีความคืบหน้ามากในการประชุม
JBC สมัยวิสามัญ ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 6-7 เมษายน 2552
ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้เกือบทุกประเด็นโดยเฉพาะการจัดตั้ง
"ชุดทหารติดตามสถานการณ์ชั่วคราว"(Temporary Military Monitoring Task
Force(TCTF))เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการปรับกำลังทหารและจัดตั้ง
"ชุดประสานงานชั่วคราว" (Temporary Coordinating Task Force(TCTF))
เพื่อพิจารณาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่พิพาทบริเวณเขาพระวิหาร
เหลือประเด็นคงค้างเพียง 1 ประเด็น คือ
การเรียกชื่อปราสาทพระวิหารตามหลักการสากล

ดังนั้นเมื่อข้อตกลงชั่วคราวฯ ดังกล่าวมีผลบังคับใช้
กลไกทั้งสองข้างต้นจะเป็นกลไกสำคัญใหม่
ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา
ในบริเวณดังกล่าวรวมทั้งประเด็นเกี่ยวกับชุมชนกัมพูชา"

เอกสารเรื่องนี้ผูกมัดโยงใยเรื่องในข้อ 1 และ 2
ข้างต้นอย่างแน่นหนา
มาตรการที่เหมาะสมเพื่อการปฏิบัติให้ไม่มีการคงกำลังทหารของแต่ละฝ่ายในวัด
พื้นที่รอบวัด และพื้นที่ปราสาท ในความรับผิดชอบของแม่ทัพภาคที่ 2
ผู้ใต้บังคับบัญชาของพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก
และตลอดจนกระทั่งในความบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตามลำดับ

นอกจากนี้ในเอกสารฉบับดังกล่าวยังพูดถึง
"พื้นที่พิพาทบริเวณเขาพระวิหาร"
และได้อ้างถึงกรอบเจรจาจากรัฐสภาเมื่อปีก่อน คือ วันที่ 28 ตุลาคม 2551
ด้วยคะแนนเสียง 409 ต่อ 7 และกล่าวถึงประเด็นที่ยังคงค้างอยู่เพียง 1
ประเด็น คือการเรียกชื่อปราสาทพระวิหารตามหลักสากล

ประเด็นนี้ยังไม่ผ่านความเห็นชอบและมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นความคิดของการหาทางออกของปัญหาว่า

"2.4.1 การเรียกชื่อปราสาทพระวิหาร คือ
ฝ่ายกัมพูชายืนยันให้ใช้ชื่อว่า "The Temple of Preah Vihear" หรือ "The
Temple of Preah Vihear(Phra Viharn in the Thai language)"
แต่ไทยยืนยันให้ใช้ชื่อว่า "The Temple of Phra Viharn" หรือ "The Temple
of Phra Viharn / Phreah Vihear"
ซึ่งต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้เสนอท่าทีประนีประนอมว่า "the Area between Phnom
Trap / Phu Makhua and Ta Thav/Chong Ta Tao"
(ประเด็นนี้ทำให้ร่างบันทึกการประชุม JBC
ยังตกลงกันไม่ได้ไปด้วย)(อ้างเอกสารด่วนที่สุด ที่ กต 0803/940 17
พฤศจิกายน 2551)"

ที่ สำคัญ จากหลักฐานเอกสารดังกล่าว รวมหลักฐานภาพต่างๆ
ของกองกำลังกัมพูชาที่แนบมานี้ซึ่งแสดงให้เห็นการพัฒนาพื้นที่ไม่เพียงแต่
บริเวณระหว่างภูมะเขือถึงช่องตาเฒ่า
แต่น่าจะเป็นตั้งแต่พลาญหินแปดก้อนถึงซำแตก็ว่าได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ผู้บังคับบัญชาของเจ้ากรมแผนที่ ซึ่งมีบทบาทหน้าที่โดยตรงในเรื่องนี้ด้วย
ต้องรู้อยู่เต็มอก
และไม่สามารถปฏิเสธข้อมูลเรื่องการยึดครองพื้นที่ของกำลังทหารกัมพูชา

เมื่อ ข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา
ว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่บังคับใช้
อย่างน้อยก็พื้นที่เขาพระวิหารของไทย บริเวณวัดแก้วฯ
จะปราศจากกองกำลังทหารไทย แต่จะมีคณะทำงานชุดประสานงานชั่วคราว
และชุดทหารติดตามสถานการณ์ชั่วคราวขึ้นไปทำงานร่วมกับฝ่ายกัมพูชา
ตรงตามเงื่อนไขของการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเรื่องที่จะไม่มีกองกำลังทหารใน
ทรัพย์สินมรดกโลกอย่างเด็ดขาดท่านแม่ทัพภาคสอง ท่านผบ.ทบ.
และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ท่านจะยอมเขาถึงขนาดนี้หรือ!

ยังไม่สายเกินไปที่ท่านจะทบทวนพิจารณาเรื่องราว คิดและทำใหม่
อย่าให้เขามาอ้างได้ว่า

"...โดยที่เขตกันชนนี้ไม่รวมพื้นที่ทางด้านทิศเหนือ
และด้านทิศตะวันตกของปราสาทพระวิหาร
เนื่องจากเป็นเขตพื้นที่พิพาทกับประเทศไทย
จากประเด็นดังกล่าวทางรัฐภาคีจะนำเสนอร่างข้อตกลงในการจัดพื้นที่แบบสมบูรณ์
ซึ่งร่างดังกล่าวจะแก้ไขตามผลการตกลงร่วมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย
-กัมพูชา" (อ้างเอกสารC1224 rev ของคณะกรรมการมรดกโลก)

ที่ว่ายังไม่สายเกินไปก็เพราะ ข้อตกลงฯ ดังกล่าวในขณะนี้
ได้ถูกรัฐสภาเลื่อนวาระออกไปอีก 3 วัน หรือประมาณนั้น
ตามสถานการณ์ของวาระพิจารณา แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปตามนี้ คือ
"ข้อตกลงชั่วคราวฯ
จะมีผลบังคับใช้ในวันที่มีการแลกเปลี่ยนหนังสือแจ้งภาคีแต่ละฝ่าย
ว่าได้ดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายภายในของตนเสร็จสิ้นแล้ว..."(ข้อ8
ของร่างตกลงชั่วคราวฯ)

ทหาร ทุกท่าน โปรดรับรู้ว่า
การยอมเสียดินแดนตามกระบวนการและขั้นตอนของการพัฒนาพื้นที่
และกรอบการเจรจาเรื่องปัญหาชายแดน ที่เป็นไปตามนี้
มิใช่ทางออกของประเทศไทยแต่อย่างใด
แต่นี่คือกระบวนการและขั้นตอนของการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ของกัมพูชาให้มีผลสำเร็จ
โดยใช้กลไกกรอบการเจรจาเรื่องชายแดนเป็นอาวุธผลสำเร็จเป็นของกัมพูชา
แต่ผลเสียของเราคือ จะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน ในไม่กี่วัน

เกมนี้ต้องรู้ทันกัน ไม่ใช่เฉพาะรู้เขา - รู้เรา แต่รู้พวกเรากันเองด้วย!!


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000098212

"สล่าคำจันทร์ ยาโน" ผู้บันทึกวิถีชีวิตบนแผ่นไม้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ไม้สักทองที่ขึ้นรูปอยู่ในมือ
เริ่มปรากฏให้เห็นเค้าโครงใบหน้าคนชัดเจนขึ้น เมื่อ "คำจันทร์ ยาโน"
บรรจงลงมีดแกะรายละเอียดใบหน้าลงไปในเนื้อไม้อย่างแม่นยำ และประณีต

"สล่า" คือ คำพื้นเมืองที่แปลว่า "ช่าง" ซึ่งชาวบ้านบ้านถ้ำผาตอง
ต.ท่าสุด อ.เมือง จ.เชียงราย ใช้เรียกนำหน้าชื่อ ของครูคำจันทร์
ที่มีฝีมือเชิงช่างแกะสลักไม้ กระทั่งได้รับคัดเลือกจาก
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ให้เป็นครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ 5
ในสาขาอุตสาหกรรม และหัตถกรรม (แกะสลักไม้)

สล่าคำจันทร์
เล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เดินเข้าสู่เส้นทางสายช่างแกะสลักไม้ว่า
ได้เห็นผลงานของคุณตาที่เป็นช่างแกะสลักไม้มาก่อน
โดยงานที่คุณตาทำส่วนใหญ่จะเป็นงานแกะสลักด้ามกระบวยตักน้ำ
ผูกเป็นเรื่องราววิถีชีวิตชาวบ้านทั่วไป ต่อมาได้ทดลองทำตามที่คุณตาทำไว้

"กระทั่ง อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ ท่านมาเห็น
ท่านก็บอกว่าน่าจะทำเป็นเรื่องราวที่มีชีวิตดูบ้าง
แต่ก็กลัวว่าไม่มีคนซื้อ แต่ อาจารย์ถวัลย์ บอกว่า ทำออกมาเถอะ
เดี๋ยวจะซื้อเอง แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดจะยึดเป็นอาชีพจริงจัง กระทั่งในปี
2549 ทำนาแล้วประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก
ก็เลยหันมาแกะสลักด้ามกระบวยตักน้ำอย่างจริงจัง"

เมื่อเริ่มแกะสลักงานไม้จนชำนาญ มีรายได้จากการจำหน่ายไม้แกะสลัก
เพื่อนบ้านก็เริ่มให้ความสนใจมากขึ้น สล่าคำจันทร์
จึงได้ฝึกสอนการแกะสลักไม้ให้กับชาวบ้านที่สนใจ
เป็นการสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชนทางหนึ่ง

"ครู คิดว่างานแกะสลักไม้มันน่าจะเคลื่อนไหวได้ เพื่อให้ดูมีชีวิต
ชีวาขึ้นมา และเพิ่มคุณค่าให้กับชิ้นงาน ก็เริ่มทดลองทำกลไกให้เคลื่อนไหว
เช่น ด้ามกระบวยตักน้ำ เราแกะเป็นคนตำข้าว คนเลื่อยไม้
ทำกลไกให้เคลื่อนไหว ต่อมาก็เริ่มทำเป็นชิ้นงานใหญ่ขึ้น เช่น
บ้านพอเพียงที่จำลองทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง มีทั้งคนทำนา นวดข้าว หาปลา
เป็นเรื่องราวของวิถีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้จริง พอเริ่มทำกลไกเข้ามา
คนเข้าชมก็ใช้มือหมุน
เราก็เริ่มคิดว่าน่าจะเอาเครื่องมือทุ่นแรงใส่เข้าไป
เพื่อให้เคลื่อนไหวได้โดยไม่ต้องใช้แรง
ก็เริ่มนำมอเตอร์มาติดตั้งเข้ากับชิ้นงาน ทำให้งานชิ้นใหญ่ๆ
เคลื่อนไหวได้ทั้งหมด คนที่มาดูงานก็ชอบใจ
และทำให้งานแกะสลักไม้ของเรามีเอกลักษณ์"

สล่าคำจันทร์
ยังได้ประยุกต์นำเครื่องหยอดเหรียญมาใช้กับงานแกะสลัก
เมื่อผู้ชมหยอดเหรียญ
หุ่นไม้แกะสลักก็จะเริ่มเคลื่อนไหวแสดงวิถีชีวิตอย่างพร้อมเพรียงกัน
ซึ่งงานแกะสลักไม้ชุดบ้านพอเพียงของสล่าคำจันทร์
ได้ถูกนำไปจัดแสดงไว้ในงานพืชสวนโลกที่ จ.เชียงใหม่เป็นเจ้าภาพมาแล้ว
และหลังจากแคะตู้หยอดเหรียญ
ก็พบว่าในตู้มีเงินนับแสนบาทจากการจัดแสดงในครั้งนั้นทีเดียว
และงานชุดดังกล่าวยังเคยนำไปจัดแสดงที่ประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
มาแล้ว

"ปัจจุบันก็มีทั้งชาวบ้านและนักเรียนมาเรียนแกะสลักไม้ ซึ่งเด็กๆ
จะมาเรียนช่วงปิดเทอมส่วนใหญ่
แต่ครูอยากให้รัฐบาลสนับสนุนให้มีครูพื้นบ้าน ไม่เฉพาะงานแกะสลักไม้
แต่งานช่างอื่นๆ ที่เรามีช่างชำนาญอยู่หลายขนานให้ไปสอนในโรงเรียน
และสอนต่อเนื่อง
เพื่อให้เด็กทำได้จริงและมีการพัฒนาฝีมือสม่ำเสมอเพราะบางคนมีแวว
แต่ขาดช่วงพอเปิดเทอมก็ไม่ได้มาทำต่อ
หรือบางโรงเรียนเชิญไปสอนก็เป็นช่วงสั้นๆ ไม่ปะติดปะต่อ
ทำให้เด็กเสียโอกาสในการพัฒนาฝีมือ"

ส่วนของชาวบ้าน สล่าคำจันทร์ บอกว่า
ได้มีการจัดตั้งกลุ่มแกะสลักไม้บ้านถ้ำผาตองขึ้นในชุมชน
มีสมาชิกเข้าร่วมอยู่ 27 คน แต่ละคนมีรายได้เฉลี่ย 4,500 บาทต่อเดือน
เพราะจะมีออเดอร์สั่งเข้ามาจากต่างประเทศโดยตลอด
โดยเฉพาะงานแกะสลักช้างไทย ส่วนคนไทยจะนิยมพระพุทธรูป พระสีวลี และ
พระปางนาคปรกที่แกะสลักจากไม้มงคล 5 ชนิด ถือว่ามีรายได้พอเลี้ยงตัวเอง

สำหรับผู้ที่สนใจงานแกะสลักไม้นั้น สล่าคำจันทร์
สอนให้โดยไม่คิดค่าวิชาโดยเฉพาะเด็กรุ่นหลังที่สล่าคำจันทร์อยากให้มาเรียน
กันมากๆ เพราะงานแกะสลักไม้เป็นศิลปะไทยที่ควรมีคนสืบทอดต่อไป

สล่า คำจันทร์ เปิดเผยด้วยว่า
ขณะนี้มีแนวคิดจะตั้งพิพิธภัณฑ์ล้านนาในที่ดินส่วนตัวพื้นที่ 5 ไร่
โดยพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นหม้อน้ำขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางยาว
21 เมตร สูงเท่าตึก 9 ชั้น
ภายในจัดแสดงเครื่องมือเกี่ยวกับวิถีชีวิตล้านนา
พร้อมจัดแสดงชิ้นงานแกะสลักไม้ที่สามารถเคลื่อนไหวได้
สะท้อนชีวิตชาวเหนือ โดยสล่าคำจันทร์ตั้งใจให้เป็นจุดท่องเที่ยวของ
จ.เชียงราย ที่จะสร้างรายได้เลี้ยงชาวบ้านในพื้นที่
เพราะถือเป็นสมบัติของคนเชียงราย


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000097521

"เชียงดา" ผักฆ่าน้ำตาล ช่วยรักษา "เบาหวาน"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 สิงหาคม 2552 08:12 น.
สำหรับ คนที่หลงใหลในเสน่ห์แห่งมนต์เมืองเหนือ
และพอจะเคยผ่านหูเพลง "ของกิ๋นบ้านเฮา" ของตำนานโฟล์กซองคำเมืองอย่าง
"จรัล มโนเพ็ชร" มาบ้าง อาจจะพอจำท่อนที่บรรยายถึง "อาหารเมือง"
อันหลากหลาย รวมถึงวัตถุดิบชนิดผักที่มีชื่อแปลกๆ ไม่คุ้นหู
ในท่อนที่ร้องว่า "...แก๋งผักเซี่ยงดา ใส่ปล๋าแห้งตวยเน่อเจ้า
แก๋งบอนแก๋งตุน กับแก๋งหยวกกล้วย. ต้ำบะหนุนยำเตา ส้าบะเขือผ่อย
แก๋งเห็ดแก๋งหอย ก้อยปล๋าดุกอุย" คงกำลังงงว่า เจ้าผัก "เซี่ยงดา" ที่
จรัล ร้องเอาไว้นี้ หน้าตามันเป็นอย่างไร
และมีสรรพคุณประโยชน์อะไรอย่างไรบ้าง

เชียงดา
ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
ได้บอกเล่าสรรพคุณที่หลากหลายของเจ้าผักพื้นบ้านชื่อแปลกชนิดนี้ว่า
"เซี่ยงดา หรือ เซ่งดา" ในภาษาเมืองของภาคเหนือ มันคือผัก "เชียงดา" หรือ
"จินดา" ในภาคกลาง ส่วนในภูมิภาคอื่นๆ
จะมีชื่อเรียกต่างกันออกไปไม่ว่าจะเป็น "ผักว้น" ,"ม้วนไก่" หรือ
"ผักเซ็ง" เป็น พืชในวงศ์ ASCLEPIADACEAE มีลักษณะเป็นไม้เถา น้ำยางใส
ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ดอกช่อ ออกที่ง่ามใบ สีเหลืองอมส้ม
ผลรูปหอก มีข้อมูลที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือในภาษาฮินดู "Gurmar" คำๆ
นี้แปลตรงตัวว่า "ผู้ฆ่าน้ำตาล"

"เชียงดาจะมีรสขมนิดๆ
ชนิดที่เกิดในป่าจะขมกว่าชนิดที่นำมาปลูกในบ้านเป็นผักเพื่อบริโภค
หากลองเด็ดใบแก่สักหน่อยมาเคี้ยวกินดู
แล้วหลังจากนั้นกินน้ำตาลทรายเข้าไป มันจะไม่หวานเหมือนกินน้ำตาล
แต่มันจะเหมือนกินทราย รสของเชียงดาจะทำให้น้ำตาลไร้รสชาติ
และรสของมันจะติดลิ้นค่อนข้างนาน พาลทำให้คนที่เคี้ยวไม่อยากอาหารไปเลย"

หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร
กล่าวต่อไปอีกว่า
ผักเชียงดาถูกใช้เป็นยารักษาเบาหวานในอินเดียและประเทศในแถบเอเชียมานานกว่า
2000 ปีแล้ว มีสารสำคัญคือ gymnemic acid
ซึ่งสกัดมาจากรากและใบของผักเชียงดา มีรูปร่างเหมือนน้ำตาลกลูโคส
จึงไปจับเซลล์รีเซพเตอร์ในลำไส้ ป้องกันการดูดซึมของน้ำตาล The U.S.
National Library of Medicine (NLM) and the National Institutes of
Health (NIH) พบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ว่าผักเชียงดา
สามารถที่จะช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานทั้งชนิด
พึ่งอินซูลิน(type 1) และไม่พึ่งอินซูล(type 2)ได้
เมื่อให้ร่วมกันอินซูลิน และยารักษาเบาหวานอื่นๆ
และยังมีรายงานว่ามีบางรายใช้ผักเชียงดาตัวเดียวในการคุมระดับน้ำตาลในเลือด
โดยไม่ต้องใช้ยาแผนปัจจุบัน ดังนั้น
จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ผู้ป่วยเบาหวานจะต้องบอกให้แพทย์ทราบเมื่อกินผัก
เชียงดาช่วยคุมเบาหวานเพื่อที่จะลดอินซูลินและยาลง


ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
"นักวิทยาศาสตร์
ค้นพบว่าผักเชียงดามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดมาตั้งแต่ปี 1926 และในปี 1981
มีการยืนยันผลการลดน้ำตาลในเลือดและเพิ่มปริมาณอินซูลินในสัตว์ทดลองและในคน
ที่เป็นอาสามัครที่แข็งแรง พบว่าผักเชียงดาไปฟื้นฟูเบต้าเซลของตับอ่อน
(อวัยวะที่สร้างอินซูลิน)
ทำให้ผักเชียงดาสามารถช่วยคุมน้ำตาลได้ในคนเป็นเบาหวานทั้งชนิด type 1และ
type 2 และตั้งแต่ในปี 1990
เป็นต้นมามีการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบประสิทธิภาพ กลไกออกฤทธิ์
ในการลดน้ำตาลในเลือดและมีการศึกษาความเป็นพิษอย่างมากมาย ยกตัวอย่างเช่น
การศึกษา ในมหาวิทยาลัยมัทราส
ในประเทศอินเดียศึกษาผลของผักเชียงดาในหนูโดยให้สารพิษที่ทำลายเซลเบต้าใน
ตับอ่อนของหนู พบว่าหนูที่ได้รับผักเชียงดาทั้งในรูปของผงแห้งและสารสกัดมีระดับน้ำตาลใน
เลือดกลับมาเป็นปกติภายใน 20-60 วันระดับอินซูลินกลับมาเป็นปกติ
และจำนวนของเบต้าเซลเพิ่มขึ้น"

สำหรับภูมิภาคบ้านเรา
เภสัชกรผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรรายนี้ให้ข้อมูลว่า
ในกลุ่มหมอกลางบ้านไทยใหญ่มีตำราระบุถึง "ผักว้น" หรือเชียงดาว่าเป็น
"ยาแก้หลวง" คือ เป็นยาที่ใช้แก้ได้หลายอาการ รักษาได้หลายโรค
มีสรรพคุณคล้ายฟ้าทะลายโจร แก้ไข้ แก้แพ้ แก้เบาหวาน
หน้าแล้งจะขุดรากมาทำยา หน้าฝนจะใช้เถาและใบ โดยสับตากแห้งบดชงเป็นชาดื่ม
นอกจากนี้ยังใช้แก้แพ้ กินของผิด ฉีดยาผิด เวียนศรีษะแก้ไข้สันนิบาต
(ชักกระตุก) หรือเมื่อเกิดอาการคิดมาก
มีอาการหย่องคือมีอาการจิตฟั่นเฟือน นอกจากนี้
คนไทยใหญ่ยังใช้ผักเชียงดายังใช้รักษาอาการท้องผูกโดยจะแกงผักเชียงดา
รวมกับผักตำลังและยอดชะอมกิน นิยมกินในหน้าร้อน
เพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย

"ทราบว่า
ประเทศญี่ปุ่นได้ให้ความสนใจผักเชียงดาของไทยเป็นอย่างมากและได้นำเข้าใบและ
ยอดอ่อนของผักเชียงดาจากประเทศไทยนำไปผลิตเป็นชาชงสมุนไพร (Herbal tea)
ใช้ชงดื่มเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด
ส่วนในเมืองไทยขณะนี้ทางอภัยภูเบศรพยายามรณรงค์ให้ปลูก
และนำมาทำอาหารรับประทานกันในครัวเรือน
ซึ่งปกติทางเหนือก็จะทำรับประทานกันอยู่แล้ว และมีปลูกกันมากด้วย
ที่ปลูกมากและรับประทานมากอีกที่หนึ่งคือที่จังหวัดเลย
แต่ทางภาคกลางและภาคอื่นๆ อาจจะไม่ค่อยรู้จัก
เราก็พยายามประชาสัมพันธ์ให้ความรู้อยู่
เพราะจากการศึกษาข้อมูลแล้วพบว่าผักเชียงดาเป็นผักที่มีประโยชน์มากจริงๆ"

อ่านถึงตรงนี้ผู้รักสุขภาพที่เป็นคอสมุนไพร
หรือผู้ป่วยเบาหวานที่อยากหลีกเลี่ยงการใช้ยาแผนปัจจุบันหลายคนคงอยากจะได้
"เชียงดา" มาครอบครองเพื่อปลูกไว้ในสวนหลังบ้านกันแล้ว งานนี้พลาดไม่ได้
เพราะโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรอยากรณรงค์ให้ปลูกพืชมีประโยชน์ชนิดนี้
กันมากๆ จึงได้หอบหิ้ว "กล้าเชียงดา"
มาแจกในงานมหกรรมสมุนไพรที่จะจัดขึ้นที่เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 2-6
กันยายนนี้ มาแจกกันฟรีๆ วันละ 300 ต้น

...สมุนไพรดีๆ แบบนี้ ไม่เอามาปลูกไม่ได้ซะแล้ว


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000097527

ธรรมะดีๆ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรธรรมสถาน

ธรรมะดีๆ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรธรรมสถาน

ธรรมะสวัสดีค่ะ

ข้อคิดดีๆ ธรรมะดีๆ จาก แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถาน
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐

"จักรวาลคือจิตใจ เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องเริ่มที่จิตใจตนเองก่อนเสมอ"

แม่ชีบอกว่ามีหลายสิ่งที่อยากจะสอนมนุษย์ที่เกิดมาทุกคน
แต่ไม่มีโอกาสได้สอนได้ทั่วถึง
จึงขอเอาคำสอนที่ท่านอยากจะเผยแผ่ให้เพื่อนๆทุกคนได้รับรู้
เพื่อเป็นบุญกุศลของแม่ชีมาถึงทุกๆท่านด้วย
ขอให้อ่านข้อความให้จบและปฏิบัติ เพราะนี่คือเป็นสิ่งที่ทุกๆคนทำเป็นกิจวัตรทุกวัน

ใครที่เกลียดเจ้านายเป็นบ้าเป็นหลัง โดนเจ้านายกลั่นแกล้ง
หยุดซะเถอะความเกลียด ความโกรธ ปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้นไปคนเดียว เพราะ
ถ้ามีเจ้านายเฮงซวยจริงๆก็ถือว่าเจ้านายของคุณ
มีทุกข์เยอะที่ชีวิตเขาต้องมาเจอลูกน้องเกลียด
และเขาก็จะไม่มีความสุขในสิ่งที่เขาเป็น

ใครที่ชอบใช้เงินทองเกินตัวใช้ของไม่จำเป็นมีแต่ของแบรนด์เนม
จงคิดซะเถอะว่าคนเหล่านี้เกิดมามีกิเลสเยอะ ทุกข์เยอะ
เพราะของนอกกายพวกนี้ เป็นแค่สิ่งที่ปิดบังความอายของตัวเอง อย่างใคร
ที่ชอบซื้อเสื้อผ้าตัวละเป็นพันๆแล้วมาอวดเพื่อน
พวกนี้ไม่ได้อยากจะซื้อมาปิดบังความอายของตัวเองโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทุกข์เพราะเสียเงินไป
เพียงแค่อยากจะบ่งบอกอิทธิพลของตัวเอง ว่ามีปัญญาซื้อของแพงๆเท่านั้นเอง
ใครที่ทำอยู่หรือมีเพื่อนที่ทำก็หยุดซะเถอะ
เพราะมันแค่เป็นสิ่งที่สวยงามภายนอกเท่านั้น

ใครที่ถูกแย่งสามีแล้ว กินไม่ได้นอนไม่หลับ
อยากจะตายคิดยังไงเอาเขากลับคืนมา ยกให้มันไปเลย เพราะผู้หญิงคนนั้น
ก็ได้ของที่ใช้แล้วจากเราไป คิดจะไปแย่งคืน ทุกข์เปล่าๆ
ให้กลับมารักตัวเองมากๆ เพราะคนที่แย่งของเราไป มันก็จะทุกข์เหมือนเรา
ก็เป็นกรรมของเขา

ใครที่ชอบเห็นแก่ตัว ว่าร้ายคนอื่น ไม่เคยเห็นใครดีไปกว่าตัวเองซักคน
พวกนี้บาปเยอะเพราะไม่เคยมองดูในกระจก
ว่าตัวเองเป็นอย่างไรไม่รู้สถานภาพชีวิตของตัวเอง
คิดแต่ว่าตัวเองดีกว่าทุกคน
แปลกไหมส่วนใหญ่คนพวกนี้ไม่มีเพื่อนที่แท้จริง
เขาก็จะได้ความเห็นแก่ตัวกับคนอื่นกลับเช่นกัน

ใครที่ชอบอวดโอ้ รู้มาก โกหกคนอื่นว่าตัวเองดี
คนเหล่านี้แหละทุกข์หนักที่สุด
ทุกข์ว่าต้องมานั่งคิดว่าจะอวดอะไรกับคนรอบตัว
โกหกคนอื่นก็บาปแต่บาปกว่าที่ต้องมานั่งโกหกตัวเอง
คนที่โกหกตัวเองมันบาปกว่าที่โกหกคนอื่น ก็เหมือนกันคนที่ทำร้ายตัวเอง
แถมมีทุกข์มากเพราะจำไม่ได้ว่าตัวเองโกหกหรือโอ้อวดอะไร
กับใครไว้บ้างต้องมานั่งคิดนั่งทุกข์กับตัวเองว่าไม่น่าไปอวดโอ้ใครไว้เลย

ใครที่ชอบโมโห เถียงพ่อ-แม่ คนพวกนี้นรก มาหาตัวแน่ๆ เพราะ
พ่อ-แม่เป็นสิ่งที่ประเสริฐของชีวิตของทุกวัน
ใครที่ชอบเถียงพ่อ-แม่และทำให้ท่านทุกข์ใจ หยุดซะเถอะมันเป็นบาป
ทำอะไรก็ไม่คล่องตัวไปซะทุกเรื่องหรอก

ใครที่ชอบโกรธคนง่าย คนพวกนี้เป็นพวกระงับความทุกข์ของ ตัวเองไม่ได้
เพราะยิ่งโกรธหรือโมโหไป ตัวเรานั่นแหละทุกข์ที่สุด
จงระงับความโกรธด้วยความไม่โกรธ นี่คือคำสอนย่อยๆของแม่ชี
ซึ่งเป็นคำสอนที่สำคัญมาก เพราะในชีวิตประจำวันของมนุษย์ส่วนใหญ่
จะเจอกับเรื่องราวพวกนี้เกินครึ่ง

ใครที่เป็นอย่างที่แม่ชีกล่าวมา เราอยากให้ท่านลอง
แก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้วกลับมามองตัวเองซะใหม่
ว่าทำไมเราต้องเป็นแบบนี้

กทช.ประกาศใช้แล้ว ย้ายค่ายบริการ โทรศัพท์มือถือ ใช้ เบอร์เดิม

กทช.ประกาศใช้แล้ว ย้ายค่ายบริการ โทรศัพท์มือถือ ใช้ เบอร์เดิม

ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมว่า
คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.)ได้ประกาศ
หลักเกณฑ์บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่
ในราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ 3 สิงหาคม 2552 ซึ่งใช้บังคับในที่ 4 สิงหาคม
2552
ทั้งนี้ประกาศดังกล่าวมีสาระสำคัญคือ
ให้ผู้ใช้บริการโทรศัพทืมือถือหรือโทรศัพท์เคลื่อนที่มีสิทธิใช้เลขหมายโทรศัพท์เดิมภายใน
3 วันทำการ แม้ต้องการเปลี่ยนผู้ใหบริการเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ใช้บริการอัน
การส่งเสริมการบริการโทรคมนาคม สนับสนุนให้เกิดการแข่งขันโดยเสรี
อย่างเป็นธรรม โดยผู้ให้บริการต้องจัดให้มีการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เดิมภายใน
3 เดือนนับแต่ประกาศ กทช.มีผลบังคับใช้

สำหรับรายละเอียดของประกาศ กทช. มีดังนี้
"การคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่" หมายความว่า
การบริการที่ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถขอให้ผู้ให้บริการโอนย้าย
เลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตนไปใช้บริการของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อน
ที่รายอื่นได้
"การคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์ประจำที่" หมายความว่า
การบริการที่ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ประจำที่สามารถขอให้ผู้ให้บริการโอนย้าย
เลขหมายโทรศัพท์ประจำที่ของตนไปใช้บริการของผู้ให้บริการโทรศัพท์ประจำที่
รายอื่นได้
"การคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์ข้ามพื้นที่ให้บริการ" (Geographic Number
Portability)หมายความว่า
การบริการที่ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ประจำที่สามารถขอให้ผู้ให้บริการโอนย้าย
เลขหมายโทรศัพท์ประจำที่ของตนข้ามไปใช้บริการของผู้ให้บริการโทรศัพท์ประจำ
ที่รายอื่นในอีกพื้นที่ให้บริการหนึ่งได้
"ผู้ให้บริการ" หมายความว่า
ผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
รวมถึงผู้ได้รับอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาจากบริษัท กสทโทรคมนาคม จำกัด
(มหาชน) และ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือหน่วยงานของผู้ได้รับอนุญาต
สัมปทาน หรือสัญญา
ที่ได้รับสิทธิหน้าที่รวมถึงผู้ให้บริการโทรศัพท์ประจำที่ด้วย
"ผู้ให้บริการรายใหม่" (Recipient Provider) หมายความว่า
ผู้ให้บริการที่ผู้ใช้บริการขอโอนย้ายเข้ามาใช้บริการ
"ผู้ให้บริการรายเดิม" (Donor Provider) หมายความว่า
ผู้ให้บริการที่ผู้ใช้บริการขอโอนย้ายออกเพื่อไปใช้บริการของผู้ให้บริการรายใหม่
"ผู้ให้บริการต้นทาง" (Originating Network Provider) หมายความว่า
ผู้ให้บริการที่ผู้ใช้บริการโทรออกซึ่งอาจเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่
หรือประจำที่ก็ได้
"ผู้ให้บริการปลายทาง" (Terminating Network Provider) หมายความว่า
ผู้ให้บริการที่ผู้ใช้บริการรับสายซึ่งอาจเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่
หรือประจำที่ก็ได้
"ผู้ให้บริการที่ถือครองเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่" (Number Range
Holder) หมายความว่าผู้ให้บริการที่ได้รับการจัดสรรเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่จากคณะกรรมการ
"ผู้ใช้บริการ" หมายความว่า
ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการทั้งลักษณะที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่า
บริการเป็นการล่วงหน้า
และลักษณะที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการภายหลังได้ใช้บริการ
1.การคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นสิทธิของผู้ใช้บริการ
ผู้ให้บริการจะกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุในการกีดกันขัดขวาง
หรือหน่วงเหนี่ยวการโอนย้ายผู้ให้บริการมิได้
2. ผู้ให้บริการต้องจัดให้มีบริการ
การคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใน 3
เดือนนับแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ
กำหนดเวลาดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้หากคณะกรรมการเห็นว่าการปรับกำหนดเวลาจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการ

ส่วนขั้นตอนการขอโอนย้ายผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีดังนี้
1.ในการขอโอนย้ายผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้ผู้ใช้บริการยื่นคำขอ
โอนย้ายการใช้บริการต่อผู้ให้บริการรายใหม่ ณ
จุดที่ผู้ให้บริการรายใหม่กำหนด
2. ผู้ให้บริการรายใหม่
และผู้ให้บริการรายเดิมต้องร่วมกันตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของผู้ใช้บริการ
ที่ขอโอนย้าย เพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของเลขหมาย
ตรวจสอบยืนยันสถานภาพและเงื่อนไขอื่นใด
ที่ผูกพันกับเลขหมายดังกล่าวว่าถูกต้องตามแนวทางปฏิบัติการโอนย้ายได้
หากผู้ให้บริการรายใหม่ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น
และตรวจสอบยืนยันสถานภาพและเงื่อนไขอื่นใดกับผู้ให้บริการรายเดิม
ผู้ให้บริการรายใหม่ต้องแจ้งเหตุผลและระยะเวลาที่คาดว่าจะแล้วเสร็จให้ผู้
ใช้บริการทราบ
3.การโอนย้ายผู้ให้บริการต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3
วันทำการนับแต่วันที่ยื่นขอ
เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันควรเฉพาะกรณีเอกสารและหลักฐานข้อมูลไม่ครบถ้วน
สมบูรณ์ หรือไม่ตรงกับข้อมูลผู้ใช้บริการที่แท้จริงในระบบ
โดยผู้ให้บริการรายเดิมมีภาระในการพิสูจน์เหตุจำเป็นอันควรดังกล่าว
4. เมื่อผู้ให้บริการรายใหม่ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของผู้ใช้บริการต่อผู้ให้
บริการรายเดิมเสร็จสิ้นแล้ว
ผู้ให้บริการรายใหม่มีหน้าที่แจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบว่า
เลขหมายที่ขอโอนย้ายผู้ให้บริการเข้าสู่ขั้นตอนการโอนย้ายแล้ว
เมื่อดำเนินการโอนย้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ผู้ให้บริการรายใหม่มีหน้าที่แจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบว่าการขอโอนย้ายผู้ให้
บริการสำเร็จแล้ว
5.ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ
ผู้ให้บริการต้องจัดส่งรายละเอียดเงื่อนไขแนวทางปฏิบัติการโอนย้าย
และการเตรียมการต่อคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ
6. ผู้ให้บริการอาจปฏิเสธคำขอโอนย้ายผู้ให้บริการของผู้ใช้บริการได้หากมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง
ดังต่อไปนี้
(1) เลขหมายที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
หรือเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของชาติ
(2) เลขหมายที่จะขอโอนย้ายการใช้บริการอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี
หรืออยู่ในระหว่างอายัด หรือห้ามการเปลี่ยนแปลงตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
(3) เหตุอื่น ๆ ตามแนวทางการปฏิบัติการตามประกาศนี้
และ/หรือที่เพิ่มเติมในภายหลังทั้งนี้
ให้ผู้ให้บริการรายใหม่มีภาระในการพิสูจน์เหตุในการปฏิเสธคำขอโอนย้ายดัง
กล่าวจนเป็นที่พอใจแก่ กทช.การปฏิเสธสิทธิของผู้ใช้บริการมีเหตุจำเป็น
หรือมีเหตุสุดวิสัยทำให้ไม่สามารถโอนย้ายเลขหมายโทรศัพท์ได้
พร้อมทั้งต้องแจ้งเหตุผลของการปฏิเสธเป็นหนังสือให้ผู้ใช้บริการทราบโดยพลัน
7. ผู้ให้บริการรายใหม่มีหน้าที่แจ้งให้ผู้ใช้บริการที่ประสงค์จะทำการโอนย้าย
ทราบถึงรายละเอียดเงื่อนไขแนวทางปฏิบัติการโอนย้าย
และค่าธรรมเนียมการโอนย้ายอย่างเปิดเผยชัดเจน
8. กรณีเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ผู้ให้บริการรายเดิมได้ชำระค่าธรรมเนียม
เลขหมายที่ตนมีอยู่ไว้แล้ว
เมื่อมีเลขหมายย้ายออกมีสิทธิที่จะขอคืนค่าธรรมเนียมเลขหมายที่ได้ย้ายออกไป
นับแต่เดือนถัดไป
ผู้ให้บริการรายใหม่มีหน้าที่ในการรับผิดชอบค่าธรรมเนียมเลขหมายนับแต่เดือนถัดไปภายหลังการโอนย้าย
9. ผู้ให้บริการอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการโอนย้ายผู้ให้บริการในอัตราที่
กทช.กำหนด
10. ในกรณีที่ผู้ใช้บริการได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการให้บริการคงสิทธิเลข
หมายผู้ใช้บริการมีสิทธิร้องเรียน
เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาให้มีการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนดังกล่าว
ให้ถือปฏิบัติตามประกาศ กทช. เรื่อง
กระบวนการรับเรื่องร้องเรียนและพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้ใช้บริการ

** ผิดหรือที่เคยมี.....แฟน**(เอาไว้สอนลูก สอนหลาน

** ผิดหรือที่เคยมี.....แฟน**(เอาไว้สอนลูก สอนหลาน

จากกระทู้หนึ่งในเวปอ่ะ อ่านแล้วมันนนน สุดยอดเลยเอามาฝากกันไว้
*****************************************************************************************************************************************************************************************
คนตอบกระทู้นี้ ช่างเป็นคนดีซะนี้กระไร............

ตอบ​เรื่อง​: ​อยาก​ให้​ผู้​ชายทุกคน​ได้​อ่านมัน

​ผม​กับ​แฟนคบ​กัน​มา​เกือบๆ​ 3 ​ปี​แล้ว​เรากำ​ลัง​จะ​แต่งงาน​กัน

ก่อนหน้า​นั้น​ผมก็รู้ว่า​แฟนผมเคยมี​แฟนมา​แล้ว​ 2 ​คน

แต่ผมก็​ไม่​คิดอะ​ไรมากจนวันหนึ่งมีคนรู้จักมาพูดคุย​กัน​ใน​วงเหล้า

ว่ารู้จักแฟนผม​แล้ว​ก็รู้จักอดีตแฟนผม

(คนนี้​ไม่​รู้ว่าผม​เป็น​แฟน​ผู้​หญิงที่​เขา​รู้จัก)

​เมื่อก่อนชอบมาที่คอนโดเค้าบ่อยๆ​ ​เพราะ​เขา​ฝากคอนโด​ให้​เพื่อนดู​แล

ตอนมาทำงาน​ ​ตจว​ ​เวลากลับมาก็​เจอเพื่อน​และ​ผู้​หญิงคนนี้บ่อยๆ

มานอน​ด้วย​กัน​ ​ผมฟัง​แล้ว​รู้สึกหัวใจมันสลายตัวชา​ไร้​ความ​รู้สึกไปหมด


จาก​ที่​ไม่​เคยคิดก็คิด​ถึง​ว่า​แฟนเรามีอะ​ไร​กับ​คน​อื่น​มาก่อน​และ​มีบ่อย

จนแทบ​จะ​เรียก​ได้​ว่าสึกหรอ​แล้ว​ผม​ต้อง​ทำ​งานหาสินสอดเพื่อไปขอ

หญิงคนหนึ่งที่พูด​ได้​ว่า​เคยมีสามีมา​แล้ว​งั้นเหรอ​ ​แต่ผมรักเธอทำ​ยัง​ไงดี

​ผมกลับไปถามแฟน​ถึง​เรื่องนี้​เธอก็อ้ำ​อึ้ง​และ​ยอมรับมันแถมบอกว่า

ยอมรับว่า​เคยมีอะ​ไร​กับ​แฟนคนแรก​และ​คนที่สอง​ด้วย​ซ้ำ​แต่มัน​เป็น

ความ​เต็มใจของเธอเองตอน​นั้น​ ​แต่ตอนนี้​เธอเสียใจ​เพราะ​ตั้งแต่

คบ​กัน​มาผม​ไม่​เคยล่วงเกินเธอเลย​ ​ผม​จะ​ทำ​ไงดี​ ​ผม​จะ​แต่ง​กับ​เธอ
อยู่​หรือ​เปล่าว

​มันติดตรึง​ใน​ความ​คิดผมมากจน​ไม่​อาจทำ​ใจ​ได้​จริงๆ

​ยิ่งคิดว่า​เวลา​เธอมีอะ​ไร​กับ​คน​อื่น​เธอคงทำ​อะ​ไรบางอย่าง

แบบ​นั้น​ผมแทบ​จะ​บ้าตาย​ ​ใครก็​ได้​ช่วย​ผมที


ตอบ :- เจ้าของกระทู้กรุณาอ่าน​ความ​เห็นของผม​ให้​จบ

ก่อนตัดสินใจ

​ผม​ใน​ฐานะ​ผู้​ชายคนหนึ่ง​ ​ผม​เข้า​ใจ​ความ​รู้สึกของคุณดี

​เพราะ​ความ​รู้สึกแบบนี้​ ​มันเคยเกิดขึ้น​กับ​ผมมา​แล้ว

​ผม​ไม่​ได้​คาดหวังว่า​ ​คุณ​จะ​ต้อง​ผ่านมันไป​ให้​ได้

​และ​ผม​ไม่​ได้​คาดหวังว่า​ ​คุณ​จะ​ต้อง​เลือกทางเดินเหมือนผม

​แต่ผมอยาก​ให้​คุณ​ใช้​ ​ความ​คิด​ ​มากกว่า​ ​ความ​เครียด​....

​ถ้า​คุณตัดสินใจคบเธอต่อ​ ​และ​แต่งงาน​ใน​ที่สุด

​ใน​สายตาของ​ผู้​ชาย​ส่วน​ใหญ่

​จะ​มองว่า​ ​คุณคือ​ ​คนโง่​ ​คุณคือ​ ​ไอ้งั่ง

​หรือ​แม้​แต่​ความ​คิดของคุณเองก็​เถอะ​ ​คุณก็​จะ​คิดว่า

​คุณทำ​งานหนัก​ ​ทำ​ทุกอย่าง​ ​เก็บเงิน​ ​เพื่อไปขอเธอแต่งงาน

​ทั้ง​เหนื่อย​ ​ทั้ง​ลำ​บาก​ ​เพื่อที่​จะ​ได้​ ​ฟันเธอ​ ​อย่างถูก​ต้อง
ตามประ​เพณี

​แต่​แล้ว​ ​ก็มี​ผู้​ชายคนหนึ่ง​ ​หรือ​อีกหลายคน​ ​งานก็​ไม่​ต้อง​ทำ

​เหนื่อยก็​ไม่​ต้อง​เหนื่อย​ ​เงินก็​ไม่​ต้อง​เก็บ​ ​แต่​ได้​ฟันเธอ​ ​ไปฟรี​ ​ๆ

​คุณก็​จะ​คิดว่า​ ​คุณ​จะ​ทนเหนื่อยทำ​ไม​ ​ใน​เมื่อคน​อื่น​ ​ไม่​ได้
ทำ​อะ​ไรเลย

​แต่​เขา​ก็​ได้​ทำ​อะ​ไรแฟนคุณไปหมดทุกอย่าง​แล้ว

​ใน​ความ​คิดของคุณก็มัวแต่คิด​และ​จินตนาการไปว่า

​แฟนคุณคงทำ​อะ​ไร​กับ​แฟนเก่า​ ​ท่า​นั้น​ ​ท่านี้​ ​คงร้องครางอย่างมี​ความ​สุข

​และ​ทำ​กัน​บ่อย​ ​ๆ​ ​ทุกวัน​ ​วันละหลายรอบ​ ​กอดจูบ​กัน​ ​สารพัด​... ​ฯลฯ

​แน่นอนล่ะ​ ​ความ​คิดเหล่านี้​ ​ผมก็​เคยวนเวียน​อยู่​กับ​มัน​ ​พัก​ใหญ่​ ​ๆ

​ความ​รู้สึกน้อยเนื้อต่ำ​ใจ​ ​ผิดหวัง​ ​ท้อแท้​ ​มันก็​เคยเกิดขึ้น​กับ
ผมเช่น​กัน

​ผม​ไม่​ได้​ห้าม​ไม่​ให้​คุณคิด​ถึง​สิ่งเหล่านี้​ ​เพราะ​มันห้าม​ไม่
ได้​อยู่​แล้ว

​ใน​ฐานะ​ผู้​ชาย​ ​ที่​เรื่องของศักดิ์ศรี​ ​ต้อง​มา​เป็น​ที่หนึ่ง

​การที่​เรา​ต้อง​มา​เป็น​ที่สอง​ ​ที่สาม​ ​ไม่​ต้อง​ให้​มากกว่านี้

​เอา​เป็น​ว่า​ ​ถ้า​ไม่​ได้​ที่หนึ่ง​ ​หรือ​เป็น​คนแรก​ ​นอก​นั้น​ ​จะ
ที่​เท่า​ไหร่​ ​ก็​ไม่​ต้อง​การ

​ผู้​ชายบางคน​ ​หลอกฟัน​ผู้​หญิงไปเรื่อย​ ​หลอกเปิดบริสุทธิ์​ไปเรื่อย

​และ​เก็บ​เป็น​ความ​ภาคภูมิ​ใจ​ ​เอา​ไว้​คุยทับถม​กัน​ใน​วงเหล้า

​ว่ากรูคือ​ผู้​ยิ่ง​ใหญ่​ ​กรูคือ​ผู้​มี​ความ​สามารถ​ ​กรูคือชายเหนือชาย

​ใน​มุมมองของผม​ ​ผู้​ชายที่คิดแบบนี้​ ​เขา​ไม่​เรียก​ผู้​ชายหรอก

​เขา​เรียกแค่​เพศ​ผู้​ ​ที่มีอวัยวะ​เพศชี้​ไปข้างหน้า​ ​เมื่อมี​ความ
ต้อง​การ​เท่า​นั้น

​และ​บาปกรรมที่​เขา​ได้​กระทำ​กับ​ผู้​หญิงเอา​ไว้​ ​คง​จะ​ตามสนอง​เขา
ไม่​ชาตินี้ก็ชาติหน้า

​ผมอยากถามคุณว่า​ ​คุณอยากแต่งงาน​กับ​เธอ​ ​ด้วย​เหตุผลอะ​ไร

​อยากแต่ง​ ​เพราะ​เธอ​เป็น​หญิงสาวบริสุทธิ์

​หรือ​อยากแต่ง​ ​เพราะ​เธอ​เป็น​คนดี​และ​อยู่​กับ​คุณ​ได้

​ถ้า​อยากแต่ง​เพราะ​เธอ​เป็น​สาวบริสุทธิ์​ ​หลัง​จาก​จบพิธีงานแต่ง​แล้ว

​ก็​เก็บเอา​เธอ​ไว้​บนหิ้ง​ ​ไม่​ต้อง​ไปทำ​อะ​ไรเธอ​อีก

​เพราะ​ว่า​ ​ถ้า​ทำ​แล้ว​ ​เธอ​จะ​กลาย​เป็น​คน​ไม่​บริสุทธิ์ทันที

​คนเรา​เกิดมา​ ​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​เพศไหน​ ​หญิง​หรือ​ชาย

​ไม่​มี​ใคร​สามารถ​รู้ล่วงหน้า​ได้​หรอกว่า​ ​ใครคือคู่​แท้ที่​จะ​อยู่​กับ​เรา

​ถ้า​เรา​สามารถ​รู้ล่วงหน้า​ได้​ ​เราก็คงเก็บเอา​ความ​บริสุทธิ์​ไว้
ให้​คู่ของเรา

​แต่​ใน​โลกของ​ความ​เป็น​จริง​ ​เรา​ไม่​สามารถ​รู้​ได้​เลย​....

​คนที่​เรากำ​ลังคบ​อยู่​ตอนนี้​ ​ณ​ ​เวลานี้

​เราอาจบอกว่า​ ​คนนี้​แหละคือคนที่​จะ​อยู่​กับ​เรา

​เรา​จึง​ยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่าง​ ​เพื่อ​เขา​ ​ยอมทำ​ทุกอย่างเพื่อ​เขา​...

​แต่​เมื่อ​ถึง​เวลาหนึ่ง​ ​มันกลับ​ไม่​ใช่​ขึ้นมา​ ​และ​ต้อง​เลิกลา​กัน​ไป

​ถามว่า​ ​ใคร​เป็น​คนผิด​หรือ​ ​หญิง​หรือ​ชายล่ะ​ ​ที่​เป็น​คนผิด

​ผู้​หญิงถูกประณาม​ ​แต่​ผู้​ชาย​ ​กับ​ถูกยกย่องว่า​สามารถ​เปิดบริสุทธิ์​ได้

​แล้ว​ทำ​ไมเรา​ต้อง​ไปโทษฝ่ายหญิงว่า​ ​เธอนั่นแหละ​ ​คือคนผิด

​ผู้​หญิงที่พลาดพลั้งมา​ ​เธอคือคนผิด​หรือ

​เธอคือคน​ไม่​ดีอย่าง​นั้น​หรือ

​เธอ​ต้อง​ถูกประณามหยามเหยียดอย่าง​นั้น​หรือ

​เธอ​ต้อง​ไม่​สามารถ​คบ​ผู้​ชายคนไหน​ได้​อีกต่อไปงั้น​หรือ

​ถ้า​เป็น​อย่าง​นั้น​ ​ผู้​หญิง​ทั้ง​โลกนี้

​คงตายไปกว่าครึ่ง​ ​ด้วย​ความ​ผิดที่ว่ามาข้างต้น


​ผมรักแฟนของผมมาก​ ​และ​เธอก็รักผมมากเช่น​กัน

​แฟนผมเสียตัวตั้งแต่​อยู่​ชั้นมัธยมปีที่​ 5

​เธอ​อยู่​กับ​แฟนเก่า​ใน​บ้าน​โดย​ไม่​ได้​แต่งงาน​ ​ถึง​ 7 ​ปีกว่า​ ​ๆ

​เคยท้อง​ ​และ​เคยทำ​แท้งมา​แล้ว​.....

​หลายคนมองว่า​ ​ผมคือ​ผู้​ชายที่​โง่ที่สุด​ใน​โลก​ ​ที่​เลือกเธอ

​แต่ผมกลับมองว่า​ ​ผม​เป็น​ผู้​ชายที่​โชคดีที่สุด​ใน​โลก​ ​ที่​ได้​อยู่​กับ​เธอ


​อดีต​เป็น​สิ่งที่ผ่านไป​แล้ว​ ​อนาคต​เป็น​สิ่งที่​ยัง​มา​ไม่​ถึง

​และ​ปัจจุบันคือวันนี้​ ​วันที่​เรากำ​ลังหายใจ​อยู่​ตอนนี้

​ผม​ไม่​สามารถ​บอก​ได้​ว่า​ ​ผม​จะ​รักเธอตลอดไป​ ​เพราะ​มัน​เป็น​อนาคต

​แต่ผม​สามารถ​บอก​ได้​ว่า​ ​ผมรักเธอวันนี้​ ​ตอนนี้​ ​และ​เวลานี้​....

​คุณเจ้าของกระทู้ครับ​ ​การ​ให้​อภัย​ ​ถือว่า​ ​เป็น​การ​ให้​ที่ยิ่ง​ใหญ่

​มนุษย์ทุกคน​ ​ต้อง​การ​ได้​รับการ​ให้​อภัย​จาก​คน​อื่น​เสมอ

​แต่​จะ​มีมนุษย์สักกี่คน​ ​ที่หยิบยื่นคำ​ว่า​ ​ให้​อภัย​ ​แก่คน​อื่น

​มี​ใครอยาก​จะ​ทำ​ผิดพลาดมั้ย​ ​ไม่​มีหรอกครับ​ ​คุณก็​เช่น​กัน

​ทำ​ไมคุณ​ไม่​นึก​ถึง​จุดนี้บ้างล่ะ


​อย่างน้อยเธอก็​ไม่​ได้​ไปสำ​ส่อนอะ​ไร​ ​เธอก็​ไม่​ใช่​โสเภณีที่ซ่องไหน

​ถึง​แม้​เธอ​จะ​เป็น​โสเภณี​ ​แต่​ถ้า​เธอ​เป็น​คนดีของสังคม

​จะ​เป็น​ภรรยา​ ​และ​แม่ที่ดีของลูก​ ​ถึง​แม้​จะ​ต้อง
เสียค่าสินสอดเพื่อแต่งงาน​ด้วย

​ผมว่า​ ​มันก็​ยัง​คุ้มค่ากว่า​ ​ที่​ไปแต่งงาน​กับ​สาวบริสุทธิ์

​แต่สุดท้ายก็​ไป​ด้วย​กัน​ไม่​ได้​ ​ต้อง​มาจบ​ด้วย​การหย่าร้าง​กัน​ไป


​คุณเลิก​ความ​คิดที่ว่า​ ​ไม่​ใช่​คนแรกของเธอ​แล้ว​ ​จะ​ต้อง​เสียหน้า

​เสียศักดิ์ศรี​ ​ต้อง​มาล้างจาน​ ​รับเศษเดน​ ​อย่างที่​เขา​ว่า​กัน

​คนที่พูดแบบนี้​ ​คือเพศ​ผู้​ที่​เห็นแก่ตัวบนโลกนี้​....

​คือชายหนุ่มวัยรุ่น​ ​ผู้​ที่​ยัง​ไม่​มี​ความ​คิด​ ​และ​มองโลก​ใน​มุมมองที่​แคบ

​เพราะ​ถ้า​เป็น​ลูก​ผู้​ชาย​แล้ว​ ​เขา​จะ​ไม่​มีวันคิดแบบนี้​แน่นอน


​ถ้า​ทุกคน​สามารถ​ย้อนกลับไปแก้​ไข​ใน​อดีตอันเลวร้าย​ได้

​โลกใบนี้​ ​คงมี​แต่​ความ​สงบสุข

​และ​คุณก็คง​ไม่​ต้อง​มานั่งตั้งกระทู้ถามแบบนี้​แน่นอน

​ทุกอย่าง​ ​เกิดขึ้น​ ​ตั้ง​อยู่​ ​และ​ดับไป

​มอง​ให้​เป็น​สัจธรรมของชีวิต

​คุณก็​จะ​ใช้​ชีวิต​อยู่​บนโลกนี้​ ​อย่างมี​ความ​สุข

​ถึง​แม้ว่าคุณ​จะ​ไม่​สามารถ​เป็น​ชายคนแรกของเธอ​ได้

​ถึง​แม้ว่าคุณ​จะ​ไม่​ใช่​คนดีที่หนึ่งของเธอ

​แต่คุณก็​สามารถ​เป็น​คนดีที่สุดสำ​หรับเธอ​ได้​ ​ไม่​ใช่​หรืือ​....

​ใช้​เหตุ​ ​และ​ ​ผล​ ​ใน​การตัดสินใจ

​อย่า​ใช้​ความ​คิด​ ​อคติ​ ​อย่าง​ผู้​ชาย​ทั่ว​ไป

​คุณอยาก​เป็น​แค่คำ​ว่า​ ​ผู้​ชาย

​หรือ​อยาก​เป็น​ ​ลูก​ผู้​ชาย

​คุณเลือกเอง​ได้

ไข้หวัดใหญ่พันธุ์ใหม่ ความจริงที่สธ.บอกไม่หมด

ไข้หวัดใหญ่พันธุ์ใหม่ ความจริงที่สธ.บอกไม่หมด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

รายงานพิเศษ โดยวรรณภา บูชา


แม้ ดูเหมือนโมงยามนี้สถานการณ์ของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่
2009 เริ่มคลี่คลาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าโรคจะหยุดแผลงฤทธิ์
หากเป็นเพราะคนไทยค่อยๆ ชินชา เฉยเมย และเลิกตื่นตระหนกตกใจต่างหาก

ทั้งนี้ ในช่วงที่สถานการณ์ทำท่าจะสงบ
หากไล่เรียงปัญหาที่เกิดขึ้น คงต้องยอมรับความจริงกันว่า
กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ในช่วงที่ผ่านมาก็มีส่วนที่ทำให้คนไม่ไว้วางใจ
และไม่ให้ความเชื่อถือ เพราะเมื่อถามอะไรก็มักอ้ำๆ อึ้งๆ อึกๆอักๆ
กลายเป็นบอกความจริงแค่ครึ่งเดียวหรือบอกไม่หมด

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ข้อมูลในหนังสือ
"ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 09 มาแล้ว ระบาดบันลือโลก" ของศ.เกียรติคุณ
นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ที่เปิดเผยความจริงที่กระทรวงสาธารณสุข ปิดปัง
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

ในช่วงที่โรคแพร่ระบาดใหม่ๆ หากยังจำกันได้
กลุ่มที่สธ.เฝ้าจับตาก็คือ
กลุ่มเด็กนักเรียนและอาจารย์ทุนมูลนิธิการศึกษาและวัฒนธรรมสัมพันธ์ไทย-นานา
ชาติ (เอเอฟเอส ประเทศไทย)
หรือทุนเอเอฟเอสที่เดินทางกลับจากประเทศเม็กซิโก จำนวน 14 คน
ซึ่งกรณีนี้สธ.ไม่ระบุชัดเจนว่ามีผู้ที่ไม่สบาย มีไข้หรือไม่
แม้กระทั่งประกาศขึ้นทะเบียนผู้ติดเชื้อรายแรก ก็ยังปิดปากเงียบไม่บอก
แม้จะมีการกักผู้ต้องสงสัยทั้งหมดไว้ที่สถาบันบำราศนราดูรก็ตาม

ขณะที่หนังสือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 09 มาแล้วฯ ของ
ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
2009 รายแรก คือ นักเรียนหญิงทุนเอเอฟเอสอายุ 17 ปี
ซึ่งเมื่อมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ มีไข้สูง 38.5 องศาเซลเซียส
และเข้ารับการรักษาที่สถาบันบำราศนราดูร 7 วัน จนหายดีสามารถกลับบ้านได้
จึงได้รับผลยืนยันจากห้องปฏิบัติการในไทยและศูนย์ป้องกันควบคุมโรคแห่งสหรัฐ
เมริกา(ยูเอส-ซีดีซี)

ที่ สำคัญ ผู้ติดเชื้อรายที่ 2 ที่สธ.ปฏิเสธว่า
ไม่ได้ติดจากผู้ป่วยรายแรกและไม่ได้เดินทางมาจากสายการบินเที่ยวเดียวกัน
แถมอยู่ๆ ผู้ป่วยรายที่ 2 ก็โผล่มาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เพราะไม่มีการรายงานข่าวมาก่อน
ขณะที่ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้บอกไว้อย่างชัดแจ้งว่า นักเรียนชายอายุ 17
ปี เดินทางไปศึกษาวัฒนธรรมรัฐ Yucatan
และเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยพร้อมกับผู้ป่วยรายแรก
ถือเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเพราะนั่งติดกันและซื้อของด้วยกันตลอดระยะเวลาการ
เดินทาง แม้ครั้งแรกจะไม่พบว่ามีไข้
มีการกักตัวในห้องแยกเชื้อและแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้
ภายหลังจึงพบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

นั่นคือตัวอย่างที่หนังสือขอ ศ.นพ.ประเสริฐบันทึกเอาไว้

อย่างไรก็ตาม
นอกเหนือจากตัวอย่างที่บันทึกเอาไว้ให้แกะรอยในหนังสือของศ.นพ.ประเสริฐแล้ว
ยังมีสิ่งที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือของสธ. อื่นๆ อีก เช่น
ผู้เสียชีวิตรายแรกที่กว่าจะมีการขึ้นทะเบียนผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัด
ใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เวลาก็ล่วงเลยไปหลายวันนานนับสัปดาห์
โดยไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆ ได้ แต่สร้างความตื่นตระหนก
จนโรงพยาบาลแทบทุกแห่งคนไข้ล้น

หรือกรณีการตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิหรือ เทอร์โมสแกน
ที่ช่วงแรกระบุว่า
สามารถช่วยคัดกรองผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศไม่ให้นำเข้าเชื้อ
ไวรัสเข้าประเทศได้ 100% แต่เพียงแค่ 1 เดือน
นับจากที่มีการระบาดของโรคช่วงปลายเดือนเมษายน ก็สกัดกั้นไม่อยู่
ผู้ป่วยเพิ่มจำนวนขึ้นเหมือนเขื่อนแตก
เครื่องเทอร์โมสแกนที่เคยเป็นพระเอกกลับกลายเป็นช่องโหว่ในมาตรการป้องกันใน
พริบตา

หรือ แม้แต่มาตรการในการหาต้นต่อการแพร่โรค ที่สธ. ระบุว่า
สถาบันกวดวิชาเป็นแหล่งแพร่โรค จนถึงขนาดปิดโรงเรียนนาน 1 สัปดาห์
เมื่อบรรดาอาจารย์นักติวถามถึงข้อมูลที่ชัดเจน ชี้ชัดว่าแหล่งแพร่โรคคือ
ที่ใดกันแน่ สำนักระบาดวิทยาก็ไม่สามารถให้ข้อมูลเชิงระบาดวิทยาได้
เหตุเพราะไม่มีการเก็บสถิติ มีแต่การคาดการณ์

อย่างไรก็ตาม หวังว่านับจากนี้เป็นต้นไป ปัญหาเหล่านี้คงจะไม่เกิดขึ้นอีก

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000098081

พลาสติก..บ่มิไก๊

', '


ต้นเดือนที่ผ่านมาแฟนคอลัมน์ คงได้เห็นข่าวพิษภัยจากพลาสติก ทำให้ผู้ชาย
เป็นตุ๊ดแต๋ว ถ้าไม่แต๋ว ก็จะเป็นชายบ่มิไก๊ ไม่สามารถผลิต
ทายาทสืบสกุลได้

ส่วนผู้หญิงมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม และเป็นโรครังไข่ผิดปกติได้ง่ายขึ้น

เพราะในพลาสติกมีสารเคมี ไปรบกวนฮอร์โมนในร่างกาย
ทำให้ฮอร์โมนเพศของคนเรา พิกลพิการ

แต่ชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้มีอะไรบ้างที่ไม่เกี่ยวกับพลาสติก ลืมตามาดูโลก
ยันม้วยมรณาคาเมรุ ไม่เคยห่างไกลพลาสติก

ไม่เชื่อ...ลองหันไปมองรอบตัวเราตอนนี้เลยก็ได้... พลาสติกทั้งนั้น

เมื่อชีวิตเราหนีพลาสติกไม่พ้น มาดูวิธีเลือกใช้พลาสติกให้ถูกกาลเทศะ
เพื่อลดอาการบ่มิไก๊ ให้ตัวเอง
โดยเฉพาะภาชนะพลาสติกที่เกี่ยวข้องกับอาหารการกิน

ถุงพลาสติก ถุงร้อนถุงเย็น "แม่ทองต่อ" ไม่ขอพูดถึง
ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว เอาถุงเย็น ไปใส่ของร้อน...
ความร้อนจะไปละลายสารเคมีในพลาสติกออกมา

แต่ที่จะขอพูดถึงมากหน่อย ก็ถุงก็อบแก็บ หลากสีสัน...เขียว เหลือง ชมพู ฟ้า

ทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล...อย่าเอามาใส่อาหารเด็ดขาด

ก็ถุงก็อบแก็บสารพัดสี
เขาใส่สีเพื่อปกปิดสิ่งสกปรกที่เจือปนมากับพลาสติกเก่า และต้องใส่
สารเคมีลงไปผสมมากขึ้นเพื่อให้พลาสติกดูลื่นเรียบน่าใช้...เอาไปใส่อาหาร
คิดดูก็แล้วกันว่า สารแปลกปลอม
สิ่งสกปรกจะละลายปนออกมาในอาหารให้เราได้กินกันหรือไม่

หลายคนคงสงสัย "แม่ทองต่อ" เว่อร์ไปหรือเปล่า
ใครที่ไหนจะเอาถุงก็อบแก็บใส่อาหาร... ดูตามร้านขนม ร้านกล้วยแขก
มีให้เห็นออกบ่อย

ใช้ถุงก็อบแก็บใส่กล้วยแขก...นี่แหละอันตราย

ขนมขบเคี้ยวอย่างอื่นก็ไม่ควรใส่ โดยเฉพาะของทอด...ไขมัน น้ำมันนี่แหละตัวดี

ไขมันมีคุณสมบัติพิเศษ เจอพลาสติก เมื่อไร
มันสามารถแทรกซึมเข้าเนื้อพลาสติก
ดึงสารทำเราบ่มิไก๊และสิ่งสกปรกในพลาสติกรีไซเคิลมาให้เรากินค่ะ

จากถุงพลาสติก คราวนี้มาดูกล่องโหลถ้วยโถโอชามทั้งหลาย
ทำจากพลาสติกรีไซเคิล
สังเกตได้จากตรงก้นถ้วยชามจะมีเครื่องหมายสามเหลี่ยมลูกศรหมุนวน
(ดูภาพประกอบ)... มีสัญลักษณ์นี้ พลาสติกนั้นเอาไปชั่งกิโลขายได้

แต่มีเหมือนกันที่ผู้ผลิตบางรายไม่พิมพ์เครื่องหมายนี้ไว้

จานชามทำจากพลาสติกประเภทนี้สังเกตง่าย จะบาง ไม่ค่อยแข็ง จับบิดได้...
บ้านไหนมีจานชามประเภทนี้ใช้งาน
ต้องรู้ไว้ด้วยว่ามันไม่ค่อยปลอดภัยกับชีวิตสักเท่าไร

อย่าเอาไปใส่ของร้อน พลาสติกมันจะอ่อนตัว
ทำให้สารเคมีส่วนผสมในพลาสติกละลายออกมา ให้เรากินได้

ทนร้อนไม่ได้แล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีวัสดุ
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งประเทศไทย (วว.) ยังบอกว่า
มันทนความเป็นกรดเป็นด่างไม่ได้ด้วย

อาหารจำพวกยำ แกง ต้มยำ น้ำส้ม น้ำมะนาว ไม่ควรใส่จานพลาสติก...
เพราะกรดด่างจากยำแกงจะไปละลายส่วนผสมของพลาสติกค่ะ

และถึงมันจะเป็นพลาสติก อย่าทึกทักว่าสามารถนำเข้าเตาอบไมโครเวฟได้เสมอไป

พลาสติกที่จะใช้กับเตาอบไมโครเวฟได้หรือไม่
เราต้องดูตรงก้นที่มียี่ห้อและ ระบุคุณสมบัติเรื่องอุณหภูมิ เช่น -20
cํ+120 cํ

นั่นแสดงว่าทนความเย็นได้ถึง -20 cํ ทนความร้อนได้ไม่เกิน 120
cํ...อย่างนี้เข้าไมโครเวฟได้

พลาสติกอันไหนไม่ระบุสรรพคุณทนเย็นทนร้อนอย่างนี้
อย่าเสี่ยงเอาเข้าไมโครเวฟ เพราะจะทำให้คุณได้บริโภคสารบ่มิไก๊ค่ะ.

พลาสติกมีสารรบกวนฮอร์โมน ทำให้ผู้ชายเป็นตุ๊ดแต๋วบ่มิไก๊
ไร้ทายาทสืบสกุล ทำให้ผู้หญิงเสี่ยง เป็นมะเร็งเต้านม และโรครังไข่
ผิดปกติ

คราวที่แล้วแนะนำวิธีเลือกใช้ ภาชนะ พลาสติกให้ชีวิต
ห่างไกลวิถีบ่มิไก๊... อาทิตย์นี้มาว่ากันต่อค่ะ

แม่บ้านคนไหนที่มีคติพจน์ประจำใจ... ช็อปเสมอเพื่อของแถม

ให้ระวัง...ของแถมพลาสติก

ส่วนใหญ่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล เขาเอามาแถมเพราะราคาถูก
การฉีดพลาสติกมักจะไม่ดี ไม่ค่อยเรียบ ผิวจะไม่สม่ำเสมอ สังเกตง่ายๆ
ยกขึ้นส่องกับแสงไฟ จะเห็นเนื้อพลาสติกบางส่วน หนา บางส่วนบาง
เห็นแสงไฟชัดเจน

และดีไม่ดี บางชิ้นจะเห็นถึงขั้นมีจุดดำสกปรกฝังอยู่ในเนื้อพลาสติก

ของแถมพลาสติกแบบนี้เหมาะจะเอามาใส่ อาหาร เครื่องดื่มหรือไม่ คิดกันเอาเองนะคะ

แต่ถ้าหลงใหลในของแถมมากเสียจนอดใจที่จะเอามาใช้งานไม่ได้
ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายเทคโนโลยี วัสดุ
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) บอกให้รู้ว่า...
เอามาใช้งานได้เฉพาะของเย็นและของแห้งเท่านั้น

อย่าเอาใส่น้ำร้อน น้ำอุ่น รวมทั้งอย่าเอามาใส่น้ำส้ม
น้ำผลไม้ให้เด็กกินค่ะ เพราะน้ำร้อน น้ำผลไม้มีฤทธิ์เป็นกรด
สามารถทำให้สารเคมีในพลาสติก ละลายออกได้ค่ะ

ฉะนั้นอย่าหลงเพลินกับของแถมให้มากจนเกินไป

พลาสติกอีกอย่างที่ฮิตกันมากสำหรับแม่บ้านยุคใหม่...แผ่นฟิล์มพลาสติกคลุมอาหาร

ที่เรานิยมนำมาปิดคลุมอาหารแล้วเอาไปเก็บไว้ในตู้เย็น
หรือคลุมอาหารไปอุ่นในเตาอบ ไมโครเวฟ

ทุกคนรู้ดีว่าแผ่นฟิล์มพลาสติกแบบนี้
มีทั้งแบบธรรมดาและแบบทนความร้อนใช้กับเตาอบ ไมโครเวฟ

แต่ถ้าจะให้ปลอดภัยจริง...เวลาจะใช้แผ่นฟิล์มพลาสติกคลุมอาหาร...อย่าให้พลาสติกสัมผัส
กับอาหาร

ก็อาหารมีไขมัน...ไขมันมีคุณสมบัติสามารถละลายสารพิษในพลาสติกให้ออกมาได้ค่ะ

เอาไปคลุมเพื่ออุ่นอาหารให้
ไมโครเวฟก็เช่นกัน...เวฟแล้วถ้าแผ่นฟิล์มตกท้องช้างลงไป สัมผัสอาหาร
ก็ให้รู้ไว้ว่า อาหารในถ้วยชามใบนั้นมีสารพิษจากพลาสติกผสมอยู่

ทางที่ดีควรใช้ฝาครอบแบบที่ใช้กับไมโครเวฟได้ ปิดแทนแผ่นฟิล์มจะปลอดภัย กว่าค่ะ

ไหนๆพูดถึงเรื่องพลาสติกกันแล้ว...ขอแถมเรื่องถังน้ำหูหิ้ว
กะละมังพลาสติกทั้งหลาย เวลาเลือกซื้อหา
อย่าเพลิดเพลินกับรูปลักษณ์ภายนอกของมันให้มากนัก

จะซื้อมาใช้ให้ทนทานคุ้มค่าเงิน ควรที่จะหยิบถังน้ำ กะละมัง ส่องดูกับแสงไฟ

ส่องดูเนื้อพลาสติกว่าเรียบเนียน ทึบแสงเป็นเนื้อเดียวกันหรือเปล่า

ส่องแล้วเจอประเภทตรงนั้นหนาทึบแสง ตรงนี้บางใสโปร่งแสง
แสดงว่านั่นเป็นถังน้ำกะละมัง คุณภาพต่ำ
โรงงานผู้ผลิตฉีดพลาสติกออกมาได้เนื้อหนาบางไม่เท่ากัน

ซื้อมาใช้งานได้ไม่เท่าไหร่...ตรงที่บางจะทะลุเป็นรู พังก่อนค่ะ.

วิถี..ชีวิตปลาหมอสีแตกต่าง..รูปร่างหลากหลาย

', '

ควันหลง...ในงาน "ประมงน้อมใจ ไทยทั่วหล้า" ซึ่งจัดขึ้นที่ห้อง
เอ็มซีซีฮอลล์ ชั้น 4 เดอะมอลล์ บางกะปิ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

ฮือฮากันมาก...เมื่อนาย พานทองแท้ ชินวัตรหรือ "หนุ่มโอ๊ค" ลูกชาย ของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำปลาหมอสี สายพันธุ์ครอสบรีด
เท็กซัสแดงชื่อ "พัตพาร์" ที่กล่าวขานกันว่ามี ราคาซื้อขายกันสูงถึง 5
แสนบาท!!! เข้าประกวดจนคว้ารางวัลชนะเลิศรางวัล ปลาสวยงาม

กลายเป็นเจ้าของถ้วยพระราชทานสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

ปลาหมอสี หรือปลาหมอแอฟริกา เป็นปลาสวยงาม ในวงศ์ซิคิลดี Family Cichidae
มีถิ่นกำเนิดแพร่กระจายอยู่ที่ภูมิภาคในเขตร้อนของโลก ได้แก่ ทวีปแอฟริกา
อเมริกาใต้ อเมริกากลาง อินเดียและศรีลังกา

เนื่องจากอาณา เขตการแพร่กระจายของปลาวงศ์นี้
มีภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ประกอบไปด้วยทะเลสาบ แม่น้ำ
ลำธาร และหนองบึง จึงส่งผลให้เป็นปลาที่มีความหลากหลาย
ทั้งสายพันธุ์รูปร่างและการดำรงชีวิตที่แตกต่าง ประกอบ
อยู่ในตัวมันนั่นเอง!!!

แหล่งกำเนิดปลาหมอสี มีอยู่หลายพื้นที่ อย่างเช่นทะเลสาบมาลาวี
มีปลาหมอสีอยู่ 500 ชนิด... ทะเล สาบวิกตอเรีย มีปลาหมอสีอยู่ 300 ชนิด

ห้วงเวลาระหว่างปี ค.ศ.1950-1960
มนุษย์นำเอาปลาสกุลกะพงขาวจากแม่น้ำไนล์ไปปล่อย ในทะเลสาบ
เพื่อความต้องการให้เกิดผลผลิตเป็นอาหารแก่ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่
โดยรอบของ ทะเลสาบ ปรากฏว่าส่งผลกระทบให้จำนวนปลาหมอสีสูญพันธุ์ไปถึง 100
ชนิด

ปลาหมอสี ที่เข้ามาในประเทศไทยในราว 30-40 ปีที่ผ่านมา
ประกอบด้วยสายพันธุ์ แจ๊กเคมเซย์ แองการ่า หมอโปโล หมอไฟว์เม้าส์ หมอส้ม
แรมห้าจุด แรมเจ็ดสี และแรมเพชร โดยนำมาจาก ฮ่องกงโดยกลุ่มพ่อค้าส่งออก
ปลาสวยงาม นำมาเพาะเลี้ยงเพื่อการส่งออกและ
ส่วนหนึ่งก็จำหน่ายอยู่ภายในประเทศอีก ด้วย

ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร คือแหล่งรวม ที่ใหญ่ที่สุด...

การเพาะพันธุ์ปลาหมอสี
ต้องเริ่มจากการคัดเลือกสายพันธุ์พ่อพันธุ์แม่พันธุ์
โดยพ่อแม่พันธุ์ที่ดี ต้องดูที่ความสมบูรณ์ ว่ายน้ำว่องไว ปราดเปรียว
ต้องไม่ผ่านการเร่ง หรือย้อมสี อายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป

สถานที่เพาะเลี้ยง ใช้ตู้ขนาด 36 นิ้ว ให้ปล่อยพ่อพันธุ์ 3
ตัวและแม่พันธุ์ 15 ตัว ในอัตราส่วน พ่อพันธุ์ 1 ตัวต่อแม่พันธุ์ 5 ตัว
ให้ทาสีตู้ทั้ง 3 ด้านเพื่อป้องกันปลาตกใจ การผสมพันธุ์
เมื่อตัวเมียวางไข่ ตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อผสมกับไข่

แม่พันธุ์จะอมไข่ไว้ในปากครั้งละประมาณ 30-40 ฟองใช้เวลา 15
วันในการฟักตัว ระหว่างนี้
ผู้เพาะเลี้ยงต้องนำแม่พันธุ์มาเปิดปากเพื่อนำตัวอ่อนออกไปอนุบาลแยกในตู้อื่นๆ
ให้อาหาร จำพวกไรแดงขนาดเล็กวันละ 2 ครั้ง เปลี่ยนถ่ายน้ำประมาณ 2 ใน 3
ของประมาณน้ำในตู้ปลาทุกวัน

หลังจากอนุบาลได้ 15 วัน เปลี่ยนอาหารจากไรแดงเป็นอาหารเม็ดขนาดเล็ก
เลี้ยงได้อายุ 1 เดือนสามารถนำออกวางจำหน่ายได้แล้ว
การเร่งสีในตัวปลาหมอสีนั้น กระทำได้โดยการให้ อาหารเสริมเท่านั้น
สำหรับการเร่งสีโดยการฉีดฮอร์โมนหรือใช้ยาเร่ง "สีจะสดจริง"

...แต่วิธีการนี้ไม่ควรใช้ เพราะร่างกายปลาหมอสีจะบอบช้ำและมีอายุสั้นลง!!!

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

หมอยันน้ำผลไม้ให้โทษมากกว่าให้คุณ

ขอช่วยกันรณรงค์ให้เลิกนำน้ำผลไม้กล่องถวายพระ
โดยเฉพาะหลวงปู่และพระสูงอายุองค์อื่น ๆ เพราะเป็น
การทำบาปถวายยาพิษให้พระโดยไม่รู้ตัว ช่วยบอกต่อกันหน่อยนะ

หมอยันน้ำผลไม้ ให้โทษมากกว่าให้คุณ


แฟนของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐท่านหนึ่งใช้นามแฝงว่า นายเกษตร ระยอง
เขียนจดหมายเข้ามาสอบถามข้อเท็จจริง
ของน้ำผลไม้ ผ่านคอลัมน์ สารพันปัญหา ของอ๊อด เทอร์โบ ฉบับวันที่ 25
มีนาคม พ.ศ. 2551

ข้อสงสัยหลักใหญ่ใจความก็คือ น้ำผลไม้ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายจริงหรือไม่


ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรรณี นิธิยานันท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาต่อมไร้ท่อ
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์
ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า ในปัจจุบันสังคมไทย
เน้นไปในเรื่องของอาหารเพื่อสุขภาพ อะไรก็ตามที่มี
นัยแสดงว่า เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ คนก็จะนิยมบริโภค
ทั้งๆที่บางครั้งสินค้าตัวนั้น ก็แทบจะไม่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพเลย
คุณหมอวรรณี บอกว่า ถ้านำน้ำหวานกับน้ำผลไม้มาเปรียบเทียบกัน
น้ำผลไม้ก็ยังมีประโยชน์ มากกว่าน้ำหวาน
เพราะยังมีสารอาหารที่ให้ประโยชน์ ต่อร่างกายอยู่บ้าง


' แต่น้ำผลไม้ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายนั้น จะต้องเป็นน้ำผลไม้คั้นสด
ย้ำว่าคั้นสดๆ และต้องไม่ผ่านกระบวนการผลิตทาง
อุตสาหกรรมอาหาร เพราะถ้าผ่านกระบวนการผลิตแล้ว
สารอาหารทั้งหมดของน้ำผลไม้ก็จะหายไปทันที แต่ถึงอย่างไร
ก็ตาม หากนำน้ำผลไม้ ทุกรูปแบบ มาเปรียบเทียบกับผลไม้สดทั้งผลแล้ว
น้ำผลไม้ก็แทบจะไม่ให้ประโยชน์ อะไรต่อร่างกาย'

นี่คือความจริง...ของน้ำผลไม้ที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้ว
คุณหมอวรรณี บอกว่า ตอนนี้เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพของคนไทยมาแรง
หันไปทางไหนมีแต่คนต้องการอาหารเพื่อ
สุขภาพ แต่มักจะขาดความเข้าใจ พื้นฐานเกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพอย่างถูกต้อง

ผู้บริโภคจำนวนมาก ต่างสนับสนุนให้คนที่ตนรักดื่มน้ำผลไม้
เพราะเชื่อว่ามีประโยชน์ ต่อร่างกาย แต่ในมุมกลับกัน หาก
น้ำผลไม้ที่นำมาดื่ม ไม่ได้เป็นน้ำผลไม้คั้นสดแล้ว
ร่างกายของคนที่คุณรักก็จะได้แค่น้ำตาล บวกกับกลิ่นของผลไม้ และ
ตัวน้ำเท่านั้น


ร่างกายไม่ได้ประโยชน์จากสารอาหารในน้ำผลไม้อย่างที่คาดหวังเลย
เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไป โรคอ้วน
ก็เข้ามาทำความรู้จัก แล้วก็พาไปสู่โรคอื่นๆ อีกมากมาย
ยิ่งถ้าเป็นผู้ป่วยเบาหวานแล้ว ก็จะทำให้น้ำตาลขึ้นมาก
ส่งผลร้ายแทรกซ้อนตามมา

คุณหมอวรรณี ขอแนะนำว่า ถ้าอยากจะดื่มน้ำผลไม้ ให้ดื่มน้ำเปล่า
แล้วทานผลไม้ทั้งลูก เพราะร่างกายจะได้สาร
อาหารที่แท้จริง รวมไปถึงกากใยอาหาร เพื่อไปดูดซับไขมัน และ ช่วยในระบบขับถ่าย


นายแพทย์ฆนัท ครุธกูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ และโภชน-
วิทยาคลินิก ศูนย์หัวใจหลอดเลือด และ
เมแทบอลิซึม คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ขอตั้งคำถามว่า
เราจะดื่มน้ำผลไม้ไปเพื่ออะไร?


ความเข้าใจแรกที่ว่า ดื่มน้ำผลไม้แล้ว ผิวพรรณจะสวย
เรื่องนี้ก็ยังไม่มีงานวิจัย ทางการแพทย์ออกมายอมรับ ส่วน
ความเข้าใจที่ว่า ดื่มน้ำผลไม้แล้วร่างกายจะได้ประโยชน์ งานวิจัย
ทางการแพทย์ก็ยืนยันว่า ในภาวะของคนที่มีร่างกาย
ปกติ เน้นคำว่า ปกติ ไม่มีข้อมูลยืนยันว่า
การดื่มน้ำผลไม้แล้วจะส่งผลดีต่อสุขภาพ แต่งานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่า
น้ำผลไม้จะส่งผลดี เฉพาะคนป่วยที่ขาดวิตามินเท่านั้น เช่น
คนป่วยเป็นโรคลักปิด ลักเปิด เป็นต้น

คุณหมอฆนัท บอกว่า
นอกจากน้ำผลไม้จะให้ประโยชน์กับคนป่วยที่เป็นโรคขาดวิตามินแล้ว คนสูงอายุ
ที่ไม่มีฟันที่จะ
เคี้ยวอาหาร ก็มีความจำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำผลไม้สด แต่หมอขอแนะ
ให้เป็นผลไม้สดปั่นจนเป็นน้ำจะดีกว่า เพราะ
ร่างกายจะได้กากใยอาหารด้วย


ประการสำคัญ ต้องให้ผู้สูงอายุทานในระดับที่พอดี ส่วนความเชื่อที่ว่า
น้ำผลไม้ ยิ่งดื่มมากยิ่งได้ประโยชน์นั้น
คุณหมอฆนัท ขอทำความเข้าใจอีกครั้งว่า ในชีวิตประจำวัน
หากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
กินอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำสะอาด ร่างกายก็ได้รับสารอาหาร
ในจำนวนที่เพียงพอแล้ว แทบไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำผลไม้
เพิ่มเลย หมอขอย้ำว่า ร่างกายต้องการสารอาหารในระดับพอดี อย่าไปเชื่อว่า
ยิ่งได้รับมากยิ่งดี


มีคนไข้ของหมอรายหนึ่ง ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง จากประวัติของคนไข้มา
พบหมออย่างสม่ำเสมอ แต่วันร้ายคืนร้ายก็
ถูกหามมาส่งที่โรงพยาบาล แพทย์เวรก็รับเข้าห้องไอซียูทันที
สอบถามญาติก็รู้ว่า ก่อนหน้าที่จะมาโรงพยาบาล คนไข้
ดื่มน้ำผลไม้ปั่นไป 2 แก้ว จากการดื่มน้ำผลไม้ 2 แก้วนี้เอง
จึงส่งผลให้โปแตสเซียมในเลือดขึ้นสูง หัวใจจึงเต้นผิดจังหวะ
แต่โชคดีที่คนไข้มาถึงโรงพยาบาลได้ ทันเวลา ไม่เช่นนั้นโอกาสคงรอดน้อยเต็มที


กรณีตัวอย่างของคนไข้รายนี้ ชัดเจนว่า
ร่างกายต้องการสารอาหารในระดับที่พอดี ถ้าได้รับมากเกินไป ก็จะเกิดปัญหา
'ในภาวะคนที่ไม่ปกติ เช่น ผู้ที่ ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง
การบริโภคน้ำผลไม้มากเกินไปก็อาจจะมีอันตรายถึงชีวิต'
นอกจากนี้ การบริโภคน้ำผลไม้มาก ก็อาจส่งผลให้คนปกติกลายเป็นโรคอ้วน
มีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น
โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง

ส่วนความเข้าใจเรื่องสุดท้าย ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า
น้ำผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านเซลล์มะเร็งนั้น หมอขอบอกว่า
'ยังไม่มีงานวิจัยมายืนยันว่า
สารต้านอนุมูลอิสระจากน้ำผลไม้จะต่อต้านมะเร็งในคนได้'

เพราะฉะนั้น หมออยากให้คนนิยมดื่มน้ำผลไม้นั้น ลองตอบคำถามว่า
คุณจะดื่มไปเพื่ออะไร?


งานวิจัยเรื่อง 'การวิเคราะห์คุณสมบัติการต่อต้านอนุมูลอิสระและปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่ม
เพื่อสุขภาพ ของประเทศไทย'
ปี พ.ศ.2549 ของปาจรีย์ อับดุลลากาซิม นักศึกษาปริญญาโท สาขาโภชนศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
ม.มหิดล กรุงเทพมหานคร พบว่า
เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีคุณสมบัติของสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้น
ต้องเป็นเครื่องดื่ม
ที่ยังไม่ผ่านกระบวนการในการผลิตทางอุตสาหกรรมอาหารในทุกรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็น ทั้งพาสเจอไรส์ และสเตอริไรส์


ปาจรีย์ นำเครื่องดื่มที่โฆษณาว่าเพื่อสุขภาพ 10 ชนิด
มาเข้าห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ พบว่า เครื่องดื่มที่ได้ผ่านกระบวน
การผลิตทางอุตสาหกรรมอาหารมาแล้ว จะทำให้สารต้านอนุมูลอิสระหายไปมากกว่า
50 เปอร์เซ็นต์และมีเครื่องดื่ม บางชนิด
ที่ไม่เหลือสารต้านอนุมูลอิสระให้เห็นเลย

สิ่งที่คงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงในเครื่องดื่มที่โฆษณาว่าเพื่อสุขภาพก็คือ
'น้ำตาล' เพราะฉะนั้น การโฆษณาของน้ำผลไม้บาง
พวกที่บอกว่า ในน้ำผลไม้จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ คงจะขัดแย้งกับงานวิจัยฉบับนี้

วันนี้ ปาจรีย์ เรียนจบปริญญาโทแล้ว
เธอได้เข้ามาทำงานเป็นนักวิจัยทางโภชนาการ ให้กับเครือข่าย 'คนไทยไร้พุง'
ของ
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.)


คุณหมอยืนยัน....น้ำผลไม้.... ให้โทษมากกว่าให้คุณ

ปาจรีย์ บอกว่า น้ำผลไม้ที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาดนั้นจะมี 3 แบบ
แบบที่ 1 เรียกว่า น้ำผลไม้คั้นสด
แบบที่ 2 เรียกว่า น้ำผลไม้เข้มข้น
แบบที่ 3 เรียกว่า น้ำผลไม้แบบผสม

วิธีการทำน้ำผลไม้ที่เธอเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ น้ำผลไม้เข้มข้น
และน้ำผลไม้แบบผสม ขั้นตอนการทำน้ำผลไม้ทั้ง 2 แบบนี้
จะทำให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ ต่อร่างกายหายไป

สิ่งที่น่าเป็นห่วงต่อมา น้ำผลไม้บางยี่ห้อโฆษณาว่า
มีเนื้อผลไม้อยู่ในกล่อง แต่ข้อมูลที่ปาจรีย์ได้รับกลับตรงกันข้าม
เนื้อผลไม้
ในกล่องของน้ำผลไม้ส่วนใหญ่
ไม่ได้เป็นเนื้อผลไม้ที่มาจากธรรมชาติที่แท้จริง แต่
มาจากการใส่สารเติมแต่ง เช่น แป้ง
แปลงรูป (Modified starch) ซึ่งจะทำให้เกิดเนื้อผลไม้เทียม (Pulp) ขึ้นมา

นอกจากนั้น ในกระบวนการผลิตน้ำผลไม้ ยังมีการใส่สารแขวนลอย (Stabilizer)
สารเติมแต่ง (Additives) วัตถุเจือปนอาหาร
(Food Additives) น้ำ, น้ำตาล,กรด รวมไปถึงการปรุง
แต่งกลิ่นรสให้ถูกปากของผู้บริโภค ปาจรีย์ บอกว่า ข้อมูลการทำน้ำ
ผลไม้แบบนี้ ไม่ใช่เธอคนเดียวที่รับรู้ นักศึกษาที่เรียนด้าน โภชนศาสตร์
และด้านเทคโนโลยีอาหารในทุกระดับต่างรับรู้กันหมด

แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ผู้นิยมดื่มน้ำผลไม้ส่วนใหญ่
ไม่ได้มีโอกาสที่จะรับรู้ ข้อมูลเหล่านี้

CEO แปลตามแบบของผม อ่านว่า "เสี่ยว" ขอยกนิ้วให้

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ

"หนุ่มเมืองจันท์"

CEO นิ้วก้อย

ทันทีที่อ่านหนังสือ a day BULLETIN เล่มใหม่จบ

สิ่งแรกที่คิดก็คือ ต้องเขียนถึงคนคนนี้

"ทัศพล แบเลเว็ลด์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ "CEO" ของ
"ไทยแอร์เอเชีย" สายการบินต้นทุนต่ำรายแรกของเมืองไทย

หนังสือ a day BULLETIN เป็นหนังสือแจกฟรีของค่าย a day
ที่ฮิตและฮอตจนต้องเปิดรับสมาชิก

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือ บทสัมภาษณ์

อย่างบทสัมภาษณ์ "ทัศพล" เล่มนี้

"ทัศพล" เป็นอดีตกรรมการผู้จัดการ "วอร์เนอร์ มิวสิค" ก่อนจะมารับตำแหน่ง
CEO ของ "ไทยแอร์เอเชีย" ที่เป็นบริษัทในเครือชินคอร์ป

เขาเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน มีทัศนคติทางบวก

วันที่กลุ่มพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
เครื่องบินของไทยแอร์เอเชียจอดอยู่ 10 กว่าลำ

ในขณะที่คนอื่นกำลังทุกข์

เขากลับคิดในแง่ดีและมีอารมณ์ขัน

"เครื่องบินของคนอื่นเขาก็จอดอยู่เหมือนกัน"

เป็นความคิดแบบ "เฉลี่ยทุกข์"

เราทุกข์ เขาก็ทุกข์

หรือเมื่อมีคนถามว่าเชื่อหรือไม่ว่าทุกปัญหาที่มีทางออก

"ทศพล" บอกว่าที่มีคนบอกว่ามืด 8 ด้าน แสดงว่าด้านที่ 9 ต้องมีทางออก

"ไม่มีปัญหาอะไรในโลกนี้ที่ไม่มีทางออก
เพียงแต่ออกไปแล้วจะบาดเจ็บหรือเปล่า
แต่บาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้างก็ดีกว่าตายไปเลย"

นอกจากอารมณ์ขันและทัศนคติทางบวกแล้ว

อีกสิ่งหนึ่งที่ "ทัศพล" CEO ของสายการบินต้นทุนต่ำมี

นั่นคือ "ลูกบ้า"

ลูกบ้า "ต้นทุนสูง"

วันที่ "ทัศพล" รับตำแหน่ง CEO

บริษัทไทยแอร์เอเชีย มี "แอร์เอเชีย" ของมาเลเซียถือหุ้น 49%
บริษัทเอเชียเอวิเอชั่น ของชินคอร์ปถือหุ้น 50%

อีก 1% เป็นของ "ทัศพล"

แต่พอ "ชินคอร์ป" ขายหุ้นให้กับ "เทมาเส็ก"

"ทัศพล" สัมผัสได้ถึง "ความไม่แน่นอน"

เพราะ "เทมาเส็ก" นั้นสนใจเฉพาะบริษัทด้านโทรคมนาคม
ส่วนธุรกิจสายการบินหรือการเงินอย่างแคปิตอล โอเค
ซึ่งอยู่นอกสายธุรกิจหลัก

มีโอกาสมากที่ "เทมาเส็ก" จะขายทิ้ง

สภาพเช่นนี้ทำให้พนักงานขวัญหนีดีฝ่อ
มาทำงานด้วยสีหน้าที่เป็นทุกข์เพราะไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง

"ทัศพล" รู้สึกว่าเขาต้องรับผิดชอบต่อพนักงาน 1,200 คน

หลายคนเขาเป็นคนชวนให้มาทำงานที่นี่โดยวาดภาพว่าบริษัทนี้อนาคตสดใส

"ถ้าวันหนึ่งผมไปบอกคนเหล่านั้นว่า โอเค...เราปิดบริษัทแล้วนะ โชคดีนะ
บางทีผมอาจมองหน้าพวกเขาไม่ติดอีกเลยก็ได้
มันเป็นเรื่องที่คาใจกันไปทั้งชีวิตนี้และชีวิตหน้า
โลกหน้า...ผมคิดว่ามันไม่แฟร์สำหรับพนักงานพวกนี้"

"ทัศพล" ตัดสินใจนัดคุยกับผู้บริหารที่ร่วมบุกเบิกมาด้วยกัน 5 คน

"พรอนันต์ เกิดประเสริฐ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน

น..อ.ธนภัทร งามปลั่ง ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการการบิน

"ปรีชญา รัศมีธานินทร์" ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรม

ม.ล.บวรนวเทพ เทวกุล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ

และ "สันติสุข คล่องใช้ยา" ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์

เขาชวนทั้ง 5 คนไปกินข้าวกลางวันที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ ก่อนปิดห้องประชุม

"ทัศพล" เล่าถึงแนวคิดในการแก้ปัญหาความอึมครึมในบริษัท

เมื่อ "เทมาเส็ก" จะขายหุ้นไทยแอร์เอเชีย

แทนที่จะต้องมาลุ้นว่าขายได้-ไม่ได้ หรือจะขายให้ใคร

ทำไมเราไม่ซื้อหุ้นจาก "เทมาเส็ก" เอง

เปลี่ยนสถานะตัวเองจากพนักงาน เป็น "ผู้ถือหุ้น"

และ "ลูกหนี้"

"ผมบอกทุกคนว่าคิดดูให้ดีนะว่าจะเอาหรือไม่เอา
แล้วผมก็ส่งกระดาษชิ้นเล็กๆ ให้ทุกคนเพื่อให้เขียนว่า เอาหรือไม่เอา
แค่นั้น ใครจะไม่เอาก็ไม่ว่ากัน ไม่มีการกดดัน
ใครไม่เอาก็ยังจะทำงานด้วยกันเหมือนเดิม"

บนกระดาษชิ้นเล็กๆ ทุกใบ เขียนคำเดียวกัน

"เอา"

จากนั้นกระบวนการกู้เงินก็เริ่มขึ้น
ทุกคนต้องเอาบ้านและรถมาจำนองแบงก์เพิ่มนอกเหนือจากหุ้นไทยแอร์เอเชีย

มูลค่าทั้งหมดพันกว่าล้านบาท

วันที่ผู้บริหารทั้ง 6 คนเซ็นสัญญากับแบงก์ และโอนเงินให้เทมาเส็ก

"ทัศพล" เรียกประชุมทุกคนในบริษัทที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ ตอนหกโมงเย็น

เขาประกาศว่าวันนี้ทุกคนมีงานทำต่อ เพราะผู้บริหาร 6 คนได้กู้เงินมาซื้อหุ้นคืนแล้ว

พนักงานทุกคนเฮกันลั่นห้อง

"ตอนนั้นผมรู้สึกเลยว่า เฮ้อ กูเป็นไทแก่ตัวแล้ว แต่จะเป็นหนี้ต่อไป"

บรรยากาศในบริษัทเปลี่ยนไปทันที ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสและให้ใจกับบริษัทเต็มที่

ตอนน้ำมันแพง พนักงานบางคนส่งเมลมาบอกว่าเธอเป็นพนักงานตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
ไม่รู้จะช่วยบริษัทอย่างไร "หนูขอไม่เบิกค่าใช้จ่ายที่หนูเบิกได้
ยกเว้นค่าโอทีและเบี้ยเลี้ยง"

จนถึงวันนี้ "ทัศพล" ยืนยันว่าเขาตัดสินใจไม่ผิดที่ซื้อหุ้นจากเทมาเส็ก

"ผมไม่เคยคาใจอีกเลยว่า กูไม่น่าทำเลย"

"ทัศพล" เป็น CEO ที่ให้เบอร์โทรศัพท์ของเขากับพนักงานทุกคน

มีปัญหาโทร.มาได้ทันที

เพราะ CEO ในความหมายของเขาไม่เหมือนกัน

"CEO แปลตามแบบของผม อ่านว่า "เสี่ยว"

"เสี่ยว" ในภาษาอีสานแปลว่า "เพื่อนรัก"

"CEO คือ คนที่จะต้องทำตัวให้เป็นที่รักของทุกคน
โดยเฉพาะคนในองค์กรของเรา พอคนรักกันมันก็มีใจทำงานให้กัน"

CEO ที่ดีไม่ใช่คนที่ชี้นิ้วสั่ง

สำหรับเขา "นิ้วชี้" ห้ามใช้

ให้ใช้ "นิ้วก้อย" ที่แปลว่าเราดีๆ กันนะ

ที่สำคัญห้ามใช้ "นิ้วโป้ง"

...ห้ามโกรธกัน

ครับ ถ้า "นิ้วโป้ง" ยังห้ามใช้

"นิ้วกลาง" ก็ไม่ต้องพูดถึ

วิกฤตพรุควนเคร็ง...สัญญาณหายนะภาคใต้!

เมื่อระยะสิบวันมานี้ มีข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งปรากฏขึ้น
แต่หามีใครให้ความสนใจแต่ประการใดไม่
เพราะเป็นเรื่องของไฟไหม้และเป็นไฟไหม้พรุแห่งหนึ่งซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก
ชื่อ นั่นคือพรุควนเคร็ง
แต่แท้จริงแล้วนี่คือสัญญาณอันตรายร้ายแรงว่ากำลังเกิดหายนะขึ้นในพื้นที่
ภาคใต้ตอนกลาง

และเมื่อเกิดหายนะขึ้นในภาคใต้ตอนกลางแล้ว
ก็ย่อมส่งผลกระทบไปทั้งภาคใต้ตอนบนและภาคใต้ตอนล่างด้วย

แต่ เรื่องนี้ไม่มีใครสนใจ ที่ไม่สนใจก็เพราะไม่รู้และไม่เข้าใจ
ไม่เว้นแม้กระทั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งได้กินใบบุญของคนภาคใต้มาร่วม 50-60 ปี
ก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพิจารณา
และแก้ไขปัญหาให้ภาคใต้พ้นจากหายนะที่ว่านั้น

ก่อนอื่นอยากทำความรู้จักกับพรุควนเคร็งเสียก่อน
เพราะชื่อก็ประหลาดนัก เนื่องจากไม่ใช่ภาษาไทย แต่เป็นภาษาถิ่นแต่โบราณ
ที่ยังคงใช้กันอยู่ในพื้นที่แถบนั้น เช่น ตำบลตะเครี๊ยะ ตำบลพังยาง
อำเภอระโนด บ้านพังเถียะ บ้านเฉียงพง เป็นต้น

พรุ ควนเคร็งนั้นเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในพื้นที่ภาคใต้ตอนกลาง
และอาจกล่าวได้ว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้ก็ได้
พื้นที่ชุ่มน้ำนี้หมายถึงพื้นที่ที่มีน้ำไม่มากนัก แต่ก็มีตลอดปี
พูดให้เห็นภาพได้ง่ายก็คือเป็นพื้นที่ที่มีน้ำสูงระดับแค่หัวเข่าหรือมาก
น้อยกว่านั้นก็ไม่มาก มีต้นจูดขึ้นตามธรรมชาติอยู่เกือบเต็มพื้นที่

พรุควนเคร็งตั้งอยู่ในเขตรอยต่อของจังหวัดพัทลุงกับจังหวัดนครศรี
ธรรมราช และเป็นพื้นที่ติดต่อกับอุทยานแห่งชาติทะเลน้อยของจังหวัดพัทลุง
โดยอุทยานแห่งชาติดังกล่าวนี้มีพื้นที่ติดอยู่กับทะเลสาบสงขลาซึ่งเป็น
ทะเลสาบสำคัญแห่งหนึ่งของโลก ที่มีอยู่ในประเทศไทย

พรุควนเคร็งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ
แต่ทะเลน้อยนั้นเป็นพื้นที่แหล่งน้ำที่ไม่ลึกนัก
มีความอุดมสมบูรณ์ทางนิเวศน์และเป็นแหล่งอาหารสำคัญของพื้นที่ภาคใต้ตอนกลาง
ส่วนทะเลสาบสงขลาเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ อุดมสมบูรณ์ด้วยกุ้ง หอย ปู
ปลามาแต่โบราณ เป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้และแหล่งทำมาหากินของคนภาคใต้ตอนกลางมายาวนาน

ดัง นั้นทะลสาบสงขลา ทะเลน้อย และพรุควนเคร็ง
จึงเป็นแหล่งทรัพยากรน้ำ แหล่งทรัพยากรอาหาร
และเป็นแหล่งทำมาหากินของชาวบ้านที่ถักทอจูดขาย
และเป็นแหล่งนิเวศน์ของสัตว์สงวน สัตว์น้ำ
สัตว์บกนานาชนิดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย

ทะเลสาบสงขลาเป็นแหล่งน้ำใหญ่ ถ่ายเทไปถึงทะเลน้อย
น้ำจากทะเลน้อยก็เชื่อมต่อถ่ายเทถึงพรุควนเคร็ง
ดังนั้นในฐานะแหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์ก็ประจักษ์ชัดว่าความมีหรือความไม่มี
น้ำของแหล่งใดแหล่งหนึ่งย่อมกระทบถึงกัน และสะท้อนถึงกัน
เมื่อ 50-60 ปีก่อนทะเลสาบสงขลาลึก
ขนาดใช้ไม้ถ่อหยั่งบางทีก็ไม่ถึง จึงส่งผลให้ทะเลน้อยอุดมสมบูรณ์ตลอดปี
เมื่อทะเลน้อยอุดมสมบูรณ์ พรุควนเคร็งก็อุดมสมบูรณ์ตามตลอดปีเช่นเดียวกัน

แต่ มาบัดนี้ทะเลสาบสงขลาตื้นเขิน แม้มีความพยายามจะผลักดันแก้ไข
แต่อดีตนายกรัฐมนตรีที่งี่เง่าบางคนอวดตนว่ามีความรู้เกินใคร
เข้าใจเอาเองว่าทะเลสาบคือทะเลเดียวกับอ่าวไทย
จนทำให้โครงการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบต้องชะงักงันมาจนถึงบัดนี้

ทะเลสาบสงขลาตื้นเขินจนกระทั่งความร้อนเพิ่มขึ้น
ทำให้สัตว์น้ำล้มหายตายจากและสูญพันธุ์มากมาย
ส่งผลกระทบไปถึงทะเลน้อยให้เกิดความตื้นเขินและน้ำไม่อุดมสมบูรณ์ตลอดปี
เหมือนแต่ก่อน แล้วกระทบไปถึงพรุควนเคร็งด้วย ทำให้เกิดความแห้งแล้งขึ้น
และทำลายระบบนิเวศน์ ตลอดจนพืช
สัตว์หลายเผ่าพันธุ์ต้องสูญพันธุ์และล้มหายตายจาก

ตั้งแต่โบราณกาลมา ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ตอนกลางได้ทำมาหากิน
ได้พึ่งพาอาศัยทะเลสาบสงขลา ทะเลน้อยและพรุควนเคร็งในทุกด้าน
ไม่ว่าด้านแหล่งน้ำ ด้านอาหาร
ด้านความอุดมสมบูรณ์และความสมดุลของสภาพแวดล้อม
แต่มาบัดนี้มีแต่ความแห้งแล้ง และหายนะรออยู่เบื้องหน้า

การ เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้พรุควนเคร็งที่กินพื้นที่เพลิงไหม้ถึง
6,000 ไร่ หมายถึงอะไรเล่า? มันไม่ใช่เพลิงไหม้ธรรมดา
แต่มันสะท้อนความหมายแห่งหายนะที่กำลังเข้ามาเยือนพี่น้องภาคใต้ตอนกลางและ
ภาคใต้ทั้งหมด

ทำไมจึงเกิดเหตุไฟไหม้?
ที่ไฟไหม้ก็เพราะพรุควนเคร็งแห้งแล้งขาดน้ำ
จนต้นจูดที่อยู่เต็มเกือบทั้งพื้นที่ก็แห้งเฉาตาม
สายลมแรงกล้าของลมพลัดไม่ว่าลมพลัดหลวง ลมพลัดกลาง
หรือลมพลัดยาของฤดูกาลนี้ ยิ่งเพิ่มความแห้งแล้งและความร้อนมากขึ้น

ดังนั้นจึงล่อแหลมต่อการเกิดเหตุเพลิงไหม้
เมื่อแหล่งชุ่มน้ำเกิดความแห้งแล้งปานนี้
พอมีเชื้อเพลิงเชื้อไฟเข้าไปถึงเท่านั้น
ก็เกิดเพลิงลุกไหม้เผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว

เพลิงไหม้พรุควนเคร็งคราวนี้ไม่ต่างอันใดกับเมื่อครั้งขงเบ้งวาง
เพลิงเผาทัพโจโฉสิบหมื่นในสงครามทุ่งพกบ๋อง
แต่นั่นเป็นป่าแขมซึ่งมีหญ้าแขมแห้งสูงระดับศีรษะเป็นอาณาบริเวณกว้าง

ขงเบ้งลวงทัพของโจโฉซึ่งนำโดยแฮหัวตุ้นให้ถลำลึกเข้ามาในพื้นที่ป่า
แขมแห้งแห่งทุ่งพกบ๋อง พอถึงเวลาทำการเข้าแล้ว
แค่ไม่กี่ชั่วยามกองทัพสิบหมื่นของโจโฉก็มลายหายไปในกองเพลิง

ความ รุนแรงของเพลิงในครั้งนั้นเป็นประการใด
ลองนึกดูเอาเถิดว่าความรุนแรงนั้นก็เกิดขึ้นในพรุควนเคร็ง ณ เวลานี้ด้วย
ดังนั้นหายนะจากเพลิงไหม้ครั้งนี้จึงทำลายแหล่งนิเวศน์ แหล่งทรัพยากร
อาหาร และภาวะแวดล้อมของพรุควนเคร็งที่ป่วยหนักอยู่แล้วให้ถึงกาลหายนะ

กระทบลงมาถึงอุทยานแห่งชาติทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลาครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่นี้อีกด้วย

จังหวัดสงขลา จังหวัดพัทลุง และจังหวัดนครศรีธรรมราช
มีประชากรหนาแน่นรวมกันแล้วร่วมครึ่งหนึ่งของประชากรภาคใต้
เอากันแค่ผู้แทนราษฎรของสามจังหวัดนี้ก็มีจำนวนร่วม 30 คน

แต่เป็น 30 คนที่ไม่รู้สึกรู้สาใดๆ
ต่อหายนะครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ใจกลางของภาคใต้
ไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของสรรพสัตว์
รวมทั้งประชากรภาคใต้ที่กำลังได้รับผลและจะต้องได้รับผลแห่งหายนะนี้ต่อไป
อีกไม่รู้นานเท่าใด

หาก ฟื้นคืนธรรมชาติให้แก่พรุควนเคร็งดังเดิมไม่ได้
ทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลาก็จะตายตามไปด้วย
พี่น้องประชาชนในพื้นที่สามจังหวัด คือสงขลา
พัทลุงและนครศรีธรรมราชก็จะประสบหายะในที่สุด
และย่อมส่งผลกระทบต่อทั่วทั้งภาคใต้อย่างไม่ต้องสงสัย

แล้วจะทำกันอย่างไร? จึงจะฟื้นคืนธรรมชาติสู่แผ่นดินดังเดิม
ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ภาคใต้ดังเดิม

พี่น้องประชาชนภาคใต้ทรหดอดทนเสียสละกล้าหาญมาแต่บรรพกาล
เรื่องน้อยเรื่องใหญ่หากเกี่ยวกับตนก็ไม่เคยก่นร้องป่าวประกาศให้ใครช่วย
แม้กระทั่งยามน้ำท่วมบ้านจนแม้หมูหมาไม่มีที่อาศัย
แต่เป็นยามแผ่นดินไทยวิกฤต
พี่น้องภาคใต้ยังสู้ทิ้งบ้านเรือนขึ้นมากรุงเทพฯ
เพื่อเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้กับพี่น้องร่วมชาติ
จนบาดเจ็บพิการล้มตายไปมากราย

ดังนั้นเราจึงไม่อาจนิ่งเฉยต่อหายนะใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นครั้งนี้
แต่ที่จะทำประการใดนั้นก็ดูอับจนยิ่งนัก

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบรรดาข้าราชการประจำในพื้นที่ก็หามีผู้ใด
ที่จะมีความใส่ใจที่จะแก้ไขปัญหานี้หรือที่พอมีบ้างโดยเฉพาะจากภาคประชาชนก็
มีกำลังอันจำกัดนัก คือจำกัดทั้งกำลังความรู้
กำลังความสามารถในการแก้ไขปัญหา

แม้ในส่วนกลางเล่าก็แทบหาคนมีความรู้ความเข้าใจในการแก้ไขปัญหาของ
พรุควนเคร็ง ทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลาแทบไม่ได้เลย
ไม่เห็นหรือว่าเวลาผ่านมาร่วมสิบวันแล้ว ทั้งส่วนกลาง ทั้งระดับรัฐบาล
ระดับกระทรวง แม้แต่ ส.ส. ในพื้นที่ก็ยังไม่มีใครรู้ประสีประสาเลย

แต่ประเทศไทยของเรานี้ยังโชคดีที่เรามีพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ
ที่ทรงรู้แจ้งแทงตลอดในสภาพความเป็นไปในราชอาณาจักรแห่งนี้

ทรง ศึกษา ทรงรวบรวมข้อมูล
และได้พระราชทานกระแสพระราชดำริในการอนุรักษ์พื้นที่พรุควนเคร็งมาร่วม 20
ปีแล้ว ดังนั้นปัญหาอันวิกฤตอันแผ่นดินไร้ที่พึ่งพาอาศัยได้แล้วเช่นนี้
ก็ยังมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะทรงพระราชทานพระราชดำริและแนวทางใน
การแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน

คุณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทั้งหลาย
แม้กระทั่งข้าราชการประจำ
ถึงไม่รู้ไม่เข้าใจที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตอันกำลังเกิดเป็นหายนะในภาคใต้ก็ตาม
แต่ถ้าหากยังรู้ที่จะเข้าไปเฝ้าฯ
เพื่อขอรับพระบรมราชวินิจฉัยและพระราชดำริในการแก้ไขหายนะครั้งนี้
ก็ยังพอมีความหวังและนี่ก็คือความหวังที่พี่น้องประชาชนภาคใต้กำลังรอ
คอยอยู่

รีบขอเข้าเฝ้าฯ กราบพระบาท
ขอรับพระราชทานแนวทางและวิธีการฟื้นคืนธรรมชาติสู่แผ่นดินภาคใต้โดยไวเถิด.


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000097938

คำเปิดใจของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์และพล.ต.อ.วสิษฐ ชี้ทางสว่าง

โดย อุษณีย์ เอกอุษณีษ์ 27 สิงหาคม 2552 16:51 น.
"...สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงห่วงใยประชาชนตลอดเวลา พระองค์มีแต่ให้
แล้วสิ่งที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงให้มา ก็คือสิ่งที่ถาวร
ทรงทำทุกอย่างให้ประชาชนอยู่ดีกินดี
ให้ประชาชนมีกินไปชั่วลูกชั่วหลาน..."

"...พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ในโครงการต่างๆ
มันไม่ได้เป็นตัวเงินที่เอามาแจก คนนั้นเอาไปเท่านี้ คนนี้เอาไปเท่านั้น
เงินใช้เมื่อไหร่ก็หมด แต่ว่าสิ่งที่พระองค์ให้เป็นสิ่งถาวร
เป็นสิ่งที่จะอยู่คู่กับบ้านเรา คู่กับแผ่นดินเรา
ทรงให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ เชิดหน้าชูตาประเทศชาติ.."

การเปิดใจระหว่างบรรยายพิเศษหัวข้อ
"พระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย" ของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ
รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถนางสนองพระโอษฐ์ที่ถวายงานรับใช้ฯ มาร่วม 40 ปี
ในงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ "ร้อยดวงใจ
เทิดไท้องค์ราชินี" ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม
ที่หอประชุมกองทัพเรือ เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ฟัง
คงจะพอทำให้เกิดความสว่างไสวทางปัญญาอยู่บ้าง

นั่นเพราะในวันเดียวกันนั้นอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจที่รับใช้เบื้องพระ
ยุคลบาทมายาวนานเช่นกันอย่าง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร
ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนสังคมดังๆ อีกครั้งในงานเดียวกัน
ถึงเรื่องที่บ้านเมืองเรากำลังเผชิญหน้ากับ "สงครามที่สาหัสมาก"
และแม้ว่า "ศัตรูจะยังไม่ถืออาวุธ แต่กำลังใช้วิธีย้อมหัวของเรา
ย้อมหัวใจของเราให้หลงผิด"

และหนทางจะรับมือกับเรื่องนี้ทั้งสองท่านชี้ช่องในฐานะของผู้ที่ผ่าน
ร้อนผ่านหนาวมามากจนกลายเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่คนในสังคมให้ความเคารพนับถือ
อย่างน่าสนใจ โดยท่านทั้งสองกล่าวว่าจะสามารถรับมือได้ก็ด้วย
การถ่ายทอดให้ทุกคนรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ
ทรงทำอะไรมาแล้วกว่า 60 ปี โดยให้เราทุกคนช่วยกัน

การเปิดใจของผู้ใกล้ชิดสถาบันอย่างทั้งสองท่านที่กล่าวมานี้
นับว่าเป็นการเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมี
และนัยระหว่างบรรทัดนั้น
ก็มีความหมายลึกซึ้งเกินกว่าที่หนังสือพิมพ์บางฉบับจะดึงดัง
รวบรัดไปพาดหัวข่าวเอาง่ายๆ ว่า พ่อหลวงแม่หลวงอยากเห็นคนไทยสามัคคี
ไม่แตกแยก

เพราะคำพูดข้างต้นของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ รวมถึงพล.ต.อ.วสิษฐนั้น
ได้ชี้ไปถึงต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดว่า
ที่บ้านเมืองต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้าย
เพราะปรากฏว่ามีขบวนการบ่อนทำลายสถาบันฯ เกิดขึ้น
โดยคนเหล่านี้ใช้วิธีล่อหลอก ย้อมหัวประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งที่ขาดข้อมูล
หรือตั้งใจจะถูกเขาหลอก เพราะเศษเงินที่เขาโยนให้
และก็กลายไปเป็นเครื่องมือให้เขาใช้ทำร้ายทำลายสถาบันอันเป็นที่รัก
ทำลายบ้านเมืองในที่สุด

คำพูดของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ที่กล่าวพร้อมน้ำตาในวันนั้น
มีความชัดเจนในตัวอยู่แล้ว ทั้งเรื่องที่ "พระองค์
ท่านทรงห่วงใยประชาชนตลอดเวลา พระองค์มีแต่ให้ แล้วสิ่งที่ทั้ง 2
พระองค์ทรงให้มา ก็คือสิ่งที่ถาวร ทรงทำทุกอย่างให้ประชาชนอยู่ดีกินดี
ให้ประชาชนมีกินไปชั่วลูกชั่วหลาน..."

นั่นจึงทำให้เกิดคำถามต่อมาว่า แล้วเหตุไฉนประชาชนบางกลุ่ม
จึงยอมให้นักการเมืองสามานย์ 'ที่หวังจะเอามากกว่าให้'
มาปั่นหัวหลอกใช้ทำประโยชน์ส่วนตัวให้กับมัน
ไม่ว่าจะยอมตกเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวเพื่อต่อรองกับการลบล้างโทษ
ปลดเปลื้องความผิดของตนเอง

นักการเมืองอย่าง นช.ทักษิณนั้น
ย่างเท้าก้าวเข้ามาในแวดวงการเมืองไทย และมีโอกาสเข้าไปบริหารประเทศเพียง
5 ปี นับแต่ พ.ศ. 2544 - 2549

ถามว่าคุณทักษิณเอาจากประชาชนไปเท่าไรแล้ว
และมากกว่าที่เคยให้ประชาชนมากน้อยแค่ไหน เอาแค่หลักๆ
ที่อ้างอิงเป็นตัวเลขได้
และมีหลักฐานยืนยันดูได้จากรายงานการตรวจสอบทุจริตรัฐบาลทักษิณของ คตส.
ทั้ง 13 คดี ที่แม้จะส่งขึ้นศาลได้ 5 คดีเท่านั้น
แต่ตัวเงินที่ชาติต้องเสียไปเพื่อแลกกับโอกาสให้ทักษิณเข้ามาเป็นใหญ่รวม
แล้วสูงถึง 1 แสนแปดหมื่นล้านบาท (อ้าง อิงตัวเลขความเสียหายจากรายงานของ
คตส.ที่ปรากฏเป็นข่าวในรายงาน "เปิด 13 คดีบ่วงรัดคอ"
ทักษิณ-ครอบครัวชินวัตร "ต้นเหตุหนีตั้งหลักที่อังกฤษ", มติชน, 12
สิงหาคม 2551) ประกอบด้วย

* คดีการจัดซื้ออุปกรณ์ตรวจสอบวัตถุระเบิด CTX
(รวมสายพานลำเลียง), คดีท่อร้อยสายไฟใต้ดินสนามบินสุวรรณภูมิ

* คดีการเลี่ยงภาษีเงินได้จากการขายหุ้น (หุ้นชินคอร์ป)
ศาลอาญาตัดสินแล้วเมื่อ 31 ก.ค. 2551 พิพากษาให้จำคุกนายบรรณพจน์
ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนละ 3 ปี
และนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน เป็นเวลา 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์เมื่อ 20 พ.ย. 2551

* คดีเงินกู้ (Exim Bank)

* คดีการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว

* คดีจัดซื้อกล้ายาง

* คดีการจ้างก่อสร้างและการจัดซื้ออุปกรณ์ห้องปฏิบัติการกลาง (Central Lab)

* คดีแอร์พอร์ตลิงค์

* คดีการปล่อยเงินกู้ธนาคารกรุงไทย (กฤษดามหานคร)

* คดีการจัดซื้อจัดจ้างเอกชนโดยการเคหะแห่งชาติ (โครงการบ้านเอื้ออาทร)

* กรณีร่ำรวยผิดปกติ (76,000 ล้านบาท) จากการแปลงภาษีสรรพสามิตและอื่นๆ

* คดีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.

* คดีการจัดซื้อที่ดินจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
(ที่ดินรัชดาภิเษก) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2551 ให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 2 ปี
ส่วนคุณหญิงพจมาน ให้ยกฟ้อง

ข้ออ้างเรื่องข้อหาต่างๆ
เหล่านี้ล้วนถูกตั้งขึ้นจากหน่วยงานที่มาจากคณะรัฐประหาร
ก็ล้วนเป็นการอ้างเพื่อใช้ต่อสู้ทางศาลเท่านั้น
โดยที่คุณทักษิณก็รู้อยู่แก่ใจว่า
ข้อกล่าวหาดังกล่าวถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มนักวิชาการตามสถาบันการ
ศึกษาชั้นนำมานานแล้ว
ตั้งแต่สมัยที่ลูกหลานตระกูลชินวัตรได้มีโอกาสเข้าไปร่ำเรียน
และเสียงดังกล่าวก็อื้ออึงขึ้นมาตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549
ที่จะมีรัฐประหารแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ 19 กันยายน 2549
เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้อำนาจระบอบทักษิณที่เคยยื่นมือยื่นไม้เข้าไปแทรก
แซงกระบวนการอิสระ และกระบวนการยุติธรรมต้องสิ้นฤทธิ์ลง
และได้ทำงานที่ตัวมันเองอย่างที่สมควรกระทำ

ที่น่าอเนจอนาถที่สุดก็คือ
เมื่อรู้ว่าตนเองไม่อาจจะสู้ความจริงที่ปรากฏ
คุณทักษิณก็เลือกจะหนีความจริงไปเอ็ดตะโรอยู่นอกประเทศ
หาช่องทางทำลายความสุขสงบของบ้านเกิดตนเอง นัยว่า "เมื่อข้าไม่ได้
ก็อย่าหมายว่าใครจะได้ด้วย"

เมื่อพิจารณามาจนถึงบรรทัดนี้
ลำพังคนสติดีทั่วไปก็น่าจะบวกลบคูณหารได้ว่า ที่คุณทักษิณ
เอาไปจากคนไทยมันมากเท่าไหร่แล้ว
และยังไม่นับถึงนโยบายการบริหารประเทศที่คุณทักษิณนำไปบิดเบือนใช้เป็น
เครื่องมือหาเสียงมากกว่าที่จะตั้งใจให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดีมีชีวิตที่ดี

ก็..กี่ศพแล้วที่ต้องสูญไปกับนโยบายทำสงครามยาเสพติดของคุณทักษิณ

... กี่ครอบครัวแล้วที่หนี้สินต้องเท่าทวีคูณ จากนโยบายหว่านเงินกู้ของคุณ

... อีกกี่โรงพยาบาลที่คุณภาพการรักษาต้องสูญสิ้น และเสื่อมถอย
เพียงเพราะนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคโง่ๆ นั่น

14 ตุลาคม 2549 นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี
ออกมาหนุนให้ยกเลิกนโยบาย 30 รักษาทุกโรค ด้วยเหตุที่ว่า
"ในสังคมทุนนิยมเสรีของไทยนั้น มีทั้งคนรวยมากๆ คนรายได้ปานกลาง
และคนยากจนช่วยตัวเองไม่ได้
ในการดำเนินนโยบายสาธารณะจะต้องหาความสมดุลให้ได้ว่า
รัฐจะช่วยเหลือผู้ที่ยากจนมากได้อย่างไรก่อน
ใครมีรายได้ก่อนน่าจะช่วยตัวเอง ต้องมีการจำกัดให้ชัดเจนว่า
เรามีเงินเท่าไหร่ และนโยบายนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่
และจะช่วยคนจนได้อย่างไร และต้องช่วยอย่างแท้จริง
เป็นการช่วยเหลืออย่างถ้วนหน้าในคนจน"

หลักการข้างต้นนั้น ถูกนำมาใช้ในการบรรเทาความทุกข์ยาก
และโรคภัยไข้เจ็บให้กับผู้ยากไร้ในสังคมไทยมานานแล้ว ...

ก็โครงการแพทย์ชนบทเคลื่อนที่ของสมเด็จย่า ไงล่ะ

นี่ล่ะรากฐานของหลักประกันสุขภาพที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับประเทศไทย

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เครื่องควบคุมแสงนอกอาคาร ไอเดียลดพลังงานสุดเจ๋งจากมทร.ธัญบุรี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 สิงหาคม 2552 12:19 น.


โดยปกติตามท้องถนน ตามอาคาร และบ้านเรือน มักนิยมใช้โคมไฟ
นอกจากจะให้แสงสว่างแล้วยังทำให้เกิดความสวยงาม
โคมไฟจึงเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ทั่วไปมักใช้หลอดไส้หรือ
หลอดฟลูออริเซนต์ในการให้แสงสว่าง ซึ่งกินพลังงานค่อนข้างสูง
บางครั้งเปิดทิ้งไว้ทั้งวันยิ่งทำให้สูญเสียพลังงานไฟฟ้าไปเป็นจำนวนมาก
เพื่อเป็นการลดปัญหาการใช้พลังงานดังกล่าว

จึงเกิดนวัตกรรม " เครื่องควบคุมระบบแสงสว่างภายนอกอาคาร"ขึ้น
โดยนักศึกษาภาควิชา วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม
คระวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)ธัญบุรี
ที่ประกอบด้วย นางสาว สุภาธิณี กรสิงห์ , นายทะนงศักดิ์ ช่างคำ,
นายธวัชชัย ค้าไกล และ อาจารย์เกรียงศักดิ์ เหลือประเสิรฐ
ที่ปรึกษาตลอดโครงการ

อาจารย์เกรียงศักดิ์ ที่ปรึกษางานนี้เล่าว่า
ทั่วไปโคมไฟประดับอาคารจะให้ทั้งแสงสว่างและความสวยงามแต่อาจดูสิ้นเปลีอง
เพราะเปิดทิ้งไว้เฉยๆ อย่างไรก็ดี
โคมไฟโดยเฉพาะภายนอกอาคารยังมีความจำเป็นอยู่ ดัง
นั้นการประหยัดพลังงานและการนำเสนอรูปแบบการแสดงทางแสดงที่น่าสนใจ
จึงมีความจำเป็ฯที่ต้องพัฒนา
โครงการนี้จึงมุ่งเน้นที่จะพัฒนาโคมไฟประดับภายนอกอาคารให้ดูน่าสนใจ
ที่สำคัญประหยัดพลังงาน และสามารถเพิ่มรูปแบบการนำเสนอทางแสงได้


ด้านนางสาวสุภาธิณี ตัวแทนกลุ่มเล่าว่า โคมไฟประกอบด้วย 2 เสา
โดยแต่ละเสาประกอบด้วยโคมจำนวน 9 โคม โดยทุกคนจะใช้หลอด LED
เป็นตัวให้แสงสว่าง ซึ่งเป็นหลอดที่ใช้พลังงานต่ำมาก

" โคมไฟทั้งสองเสาจะถูกควบคุมด้วยไมโครคอนโทรเลอร์
ซึ่งจะช่วยในเรื่องการประหยัดพลังงาน โดยสามารถตั้งเวลาเปิดปิด
และลดจำนวนการแสดงโคมลงในช่วงเวลาที่ไม่จำเป็น
ในขณะเดียวกันจะควบคุมการนำเสนอแสง LED ในรูปแบบต่างๆ
ให้สวยงามและให้ความรู้สึกผ่อนคลายแก่ผู้พบเห็น

แต่ ละโคมจะมี LED อยู่จำนวน 4 สี ซึ่งจะประกอบด้วย สีขาว สีแดง
สีเขียว และสีน้ำเงิน แต่ละสีสามารถถูกคววบคุมโดยอิสระ โคมทั้ง 18
โคม(ทั้งสองเสา)จะถูกควบคุมด้วยไมโครคอนโทรเลอร์เพียงชุดเดียว
ในโครงการนี้ได้ออกแบบการกระเจิงของแสงเพื่อให้โคมไฟมีแสงที่กระจายสม่ำเสมอ
ตลอดโคม และมีความนุ่มนวลของแสง ใน 1 โคม จะมี LED จำนวน 15 ชั้น
โดยที่แต่ละชั้นจะมีอยู่ 2 สี สลับตำแหน่งกัน
และในแต่ละชั้นจะสลับตำแหน่งกันอีก 2 สี ดังนั้น 1 โคม จะมี LED จำนวน
620 หลอด

เมื่อทำการวัดกำลังงานที่ใช้ต่อหนึ่งโคมจะเท่ากับ 27.93 วัตต์
โดยกำลังงานที่ใช้จะน้อยกว่าหลอดไส้ 50-51 %
ที่แสงสว่างเท่ากันทั้งยังสามารถเลือกแสดงสีได้ถึง 15 สี โดยมีสีหลัก 4
สี และสีที่เกิดจากการผสมอีก 11 สี

" ผลจากโครงงานนี้ จะช่วยประหยัดพลังงาน เมื่อเทียบกับหลอดไส้
ในยุคที่ต้องใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า
จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยโลกประหยัดพลังงานจากผีมือคนไทยเอง...

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000096352

ราตรีสวัสดิ์" บทเพลงกล่อมฮิพฮฮพรักชาติ ฟักกลิ้ง ฮีโร่/พอลเฮง

นานทีจะมีเพลงที่ฟังครั้งแรกแล้วรู้สึกชอบ โดนใจทันที ต้องฟังอีกหลายๆ รอบเพื่อเสพถึงอรรถรสของดนตรีและความหมายที่ส่งสารมากับบทเพลง สื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกร่วมที่ถ่ายเทถึงกันระหว่างคนสร้างสรรค์งานและคน ฟังอย่างสมบูรณ์แบบ

‘แด่ทุกชีวิตของวีรชนทหารไทยผู้ปกป้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
แผ่นดินไทยส่วนเดียวกับแผ่นดินทั้งผืนที่ทุกท่านแลกดูแลด้วยเลือด เนื้อ วิญญาณ
ทุกความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ครั้งนี้ จะกี่หมื่นบทเพลงก็หาค่าคู่ควร เสมอเหมือนความกล้าหาญ
ขอกราบขอบคุณทุกดวงวิญญาณด้วยจิตสดุดี’
ฟักกลิ้ง ฮีโร่

ข้างบนคือข้อความที่บอกกล่าวถึงความในใจของ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ คนเขียนและคนร้องเพลงชื่อ "ราตรีสวัสดิ์" ที่สร้างความสะเทือนใจและชื่นชอบเป็นอย่างสูง สำหรับคนที่ได้ฟังเพลงนี้ ซึ่งแน่นอนมันไม่มีเผยแพร่ตามสื่อกระแสหลักทั่วไป รวมถึงยังไม่วางจำหน่าย ถือเป็นบทเพลงหรือซิงเกิลพิเศษที่ทำออกมาให้ดาวน์โหลดทางอินเตอร์เน็ต และสามารถดูและฟังได้จากเว็บไซต์ยูทูบ

"ราตรีสวัสดิ์" เป็นบทเพลงที่เข้าถึงและกระแทกอารมณ์คนฟังเพลงได้ชะงัด แม้จะเป็นบทเพลงในแนวดนตรีฮิพฮอพก็ตาม แต่ความหมายและอารมณ์ความรู้สึกที่ส่งมาในตัวเพลงกับเนื้อสารสามารถรับกำซาบ ได้เหมือนกันทุกคน

ฟักกลิ้ง ฮีโร่ หรือ ณัฐวุฒิ ศรีหมอก ได้ผ่องถ่ายพลังอันพลุ่งพล่านที่เปี่ยมด้วยจิตสำนึกทางสังคมในลักษณะของความ เห็นอกเห็นใจผู้ที่พิทักษ์ปกปักรักษาผืนแผ่นดินไทยที่ทำงานอยู่ในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อันร้อนระอุด้วยการก่อการร้ายและเชื้อโหมของการแบ่งแยก ดินแดน




บทเพลงนี้ไม่ได้แต่งหรือเขียนขึ้นตามวาระหรือเพื่อรณรงค์ในแคมเปญใดๆ ที่เกี่ยวกับการเรียกร้องถึงความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่เป็นบทเพลงที่เขียนขึ้นตรงดิ่งมาจากอารมณ์ของปัจเจกบุคคลและนำมาขยายทำ งานร่วมกับเพื่อนนักดนตรีให้สำเร็จออกมา โดยไม่มีเป้าหมายทางธุรกิจมาเป็นหลักใหญ่ งานจึงมีความสดและบริสุทธิ์ เห็นความจริงใจในแง่มุมทางศิลปะดนตรีและบทเพลงที่ค่อนข้างสูง

โดยเฉพาะการได้ ธีร์ ไชยเดช นักร้อง / นักแต่งเพลง / มือกีตาร์ ในสายอะคูสติคพ็อพเสียงโมโนโทนผู้ละเมียดละไมมาร่วมร้องในท่อนแยก หรือที่เรียกกันว่า ฟีเจอริ่ง ก็ยิ่งทำให้บทเพลงฮิพฮอพเพลงนี้สมบูรณ์แบบเต็มที่

คนที่มาเขียนเนื้อร้องและทำนองร่วม รวมถึงเล่นกีตาร์ เปียโน และเครื่องสาย ก็คือ แสตมป์ – อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข ซึ่งถือว่าเป็นคนดนตรีที่มีฝีมือและคุณภาพคนหนึ่ง โดยเฉพาะการฝึกปรือและการันตีมาจาก บอย โกสิยพงษ์ ทำให้บทเพลง ‘ราตรีสวัสดิ์’ แบบฮิพฮอพที่เน้นกรุ่นกลิ่นอายเออร์บัน แบล็ค มิวสิค อยู่สูง มีความเนียนนุ่มประณีตมาถ่วงสมดุลกับการแร๊พที่กระโชกโฮกฮาก

ทีมดนตรีคนอื่นๆ ที่มาร่วมงานไม่ว่า เบส กรกฎ ศรีธวัชชัย ก็เข้าใจทางดนตรีและสร้างสรรค์อารมณ์เพลงที่ดีเยี่ยมออกมา โดยเฉพาะลูกละเอียดในการตีกลองของ สุธิติ ไชยสมุทร เนียนมาก สามารถสร้างอารมณ์ปลุกใจแบบนุ่นนวลเคลิ้มเคลิบอย่างไม่น่าเชื่อ

ความใส่ใจและความละเอียดในการสร้างสรรค์งานเพลงชิ้นนี้ต้องยอมรับว่ามีสูงเกินข้อจำกัดธรรมดา โดยเฉพาะการได้ วู้ดดี้ – สราวุธ พรพิทักษ์สุข ที่เคยได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขามาสเตอริ่ง เอนจิเนียร์ จากอัลบั้ม ‘The Complete Hot Five and Hot Seven Recordings’ ของ หลุยส์ อาร์มสตรอง เมื่อปี 2544 มาร่วมมิกซ์ และและเป็นคนทำมาสเตอริ่งขั้นตอนสุดท้ายที่ให้เสียงที่คมชัดเปี่ยมด้วย อารมณ์ความรู้สึกทางดนตรีและความหมายในตัวเพลงให้ล่องลอยฟุ้งโดดเด่นออกมา

ความดีเด่นของบทเพลง ‘ราตรีสวัสดิ์’ ก็คือความลงตัวของการโคจรมาทำดนตรีทั้งหมดที่ออกมาจากหัวใจ และบทเพลงนี้ก็ติดหูติดใจคนฟัง สร้างความรู้สึกร่วมกันในระดับของความสะเทือนใจที่รับรู้ถึงเหตุการณ์การฆ่า ฟันใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ท่อนแร๊พยืดยาวพ่นพล่าม 2 ท่อน ถูกคั่นกลางด้วยท่อนเชื่อมที่ฮุคอย่างเต็มที่ด้วยดนตรีที่เปรียบประดุจ เพลงกล่อมที่ร่ายลำนำเครือโศกแต่ให้ความอบอุ่นและกำลังใจของ ธีร์ ไชยเดช เชื่อมต่อกันอย่างสุดยอด

หากว่าไปแล้ว บทเพลงที่เกี่ยวกับการสร้างจิตสำนึก กระตุ้นแรงใฝ่ดี และจิตอาสาที่มีต่อสังคมเพื่อความงอกงามของชีวิตนั้น เราฝากความหวังไว้ที่บทเพลงจากนักร้องและวงดนตรีเพื่อชีวิต ซึ่งในวันนี้ไม่สามารถทำได้อย่างมีพลังอีกแล้ว เพราะ 4-5 ปีที่ผ่านไป บทเพลงที่ผลิตออกมาไม่สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนให้คนรู้สึกเข้าไปถึงห้วง ลึกภายในได้ถึงขนาดนี้

ปรากฏการณ์เพลง ‘ราตรีสวัสดิ์’ ของฟักกลิ้ง ฮีโร่ จึงไม่ใช่ความเจนจัดในการช่วงชิงโอกาสเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง แต่สะท้อนถึงความบริสุทธิ์อย่างสูง เพราะถ้าฟังงานอัลบั้มชุดที่ 2 ที่เขาออกในนามดูโอ ‘สิงห์เหนือเสือใต้’ ก็มีบทเพลงชื่อว่า ‘ไท’ ที่ถือเป็นบทเพลงแร๊พรักชาติ และมีแซมเพลอร์ลูกริฟ์แบบกีตาร์เทอโรริสต์ที่ริฟฟ์แบบปืนกลเข้ามาสร้าง อารมณ์ฮึกเหิมมาแล้ว

อย่างที่ว่า บทเพลง ‘ราตรีสวัสดิ์’ สมบูรณ์ด้วยตัวมันเองทั้งจังหวะและเวลาและการบอกปากต่อปากสำหรับคนฟังเพลง ด้วยกัน แต่เพื่อความหลากหลายที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น อยากให้ทำอีกเวอร์ชั่น โดยดึงเพื่อนฝูงคือ บีซี่หรือเสื้อใต้มาร้องแร๊พเพิ่มสักท่อนเป็นภาษายาวีและมีคำแปลไทยที่บอก เล่ามุมมองอีกด้านของหัวอกคนที่อยู่ในพื้นที่นั้น เป็นเสียงจากคนพื้นถิ่นมาเพิ่มจะได้มิติที่หลากหลายเพิ่มขึ้น

ก็เป็นแค่ไอเดียฟุ้งเล่นๆ เพราะอย่างไรก็ตาม ‘ราตรีสวัสดิ์’ นับได้ว่าเป็นเพลงยอดเยี่ยมแห่งปี 2552 ไปเสียแล้ว

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000095349


ถึงกอล์ฟ และคนอื่นๆที่หลงอ่าน

ขอบ คุณเพลงเพราะๆที่นายแต่ง เพราะนั่นหมายถึงนายได้จุดฉนวนในใจของวัยรุ่นไทยและคนทุกคนที่ฟังเพลงนี้ ให้ลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความหวัง ให้เรามีกำลังใจ
ขอบคุณพี่ธีร์ ที่มาช่วยนายกอล์ฟร้อง เสียงของพี่เหมาะที่จะถ่ายทอดเพลงนี้จริงๆ ผมก็เชื่อว่าคนร้องก็คงรู้สึกตื้นตันเหมือนคนฟัง
ขอบคุณดนตรีฮิปฮอป ที่ทำให้รู้ว่า เพลงแร๊บโย่วแบบนี้...อย่างน้อยก็ทำให้คนร้องไห้มานับต่อนับแล้ว
ขอบ คุณท.ทหารอดทนทุกท่าน ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และได้เสียชีวิตไปแล้ว ขอบคุณที่ท่านยืนหยัดอยู่ข้างคนไทยและทำหน้าที่เพื่อผืนแผ่นดินไทยอย่างแท้ จริง ขอให้รู้ว่าสิ่งที่ท่านทำลงไปจะไม่สูญเปล่า เราระลึกถึงอยู่เสมอผ่านเพลงนี้

ขอบคุณดนตรีทุกท่วงทำนอง คำร้องทุกถ้อยคำ โน๊ตทุกตัวที่รวมกันในเพลงนี้ เป็นจังหว่ะบทเพลงดีๆที่ทำให้เราซาบซึ้งได้ทุกครั้งที่ฟัง ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี

ขอบคุณมาก...ขอบคุณจริงๆ

วิทวัส ลัดลอย
paradox_3miti@hotmail.com

ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกซึ้งมากค่ะ ขอบคุณที่ทำเพลงดีๆอย่างนี้มาให้ฟัง อยากให้ฟังแล้วคิดตามกันเยอะๆ แล้วถ้ามีโอกาส ก็อยากให้ช่วยกันช่วยเหลือทหาร และคนทางโน้นบ้าง เท่าที่อ่านเจอมาคือเขากำลังขาดแคลนยารักษาโรคกัน ขาดนะคะไม่ใช่มีน้อย ถ้าใครมีโอกาสก็ช่วยบริจาคเงินซื้อยาส่งไปให้ทางโน้นบ้างนะคะ ดีกว่าเอาไปซื้อของแพงๆที่ไร้สาระค่ะ ถ้าอยากทราบรายละเอียด
เข้าไปดูตามเวปนี้ได้เลยค่ะ
http://www.thaireadyweb.com/ecommerce/santi/ArticleDisplay.asp?urlID=179