++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กรณีพระวิหาร : อย่าหล่อหลอมประชาชนไปในทางที่ผิด!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


บทความโดย...นายประกาสิทธิ์ แก้วมงคล ผู้ช่วยนักวิจัย สถาบันไทยคดีศึกษา

ไม่ ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย
ที่นักวิชาการใหญ่ด้านประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งพร้อมลูกศิษย์ลูกหาที่ออกมาให้
ข้อมูลผิดๆ ต่อสาธารณชน เพื่อที่จะบอกว่า
ประเทศไทยอยู่ในภาวะต้องจำยอมรับว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของเขมรไปแล้ว
รวมทั้งต้องยอมรับแผนที่ที่เขมรใช้แต่โดยดี เหตุผลเพราะอ้างในหลวง
รัชกาลที่5 ทรงยอมรับทั้ง "เส้นเขตแดน" และ "แผนที่"
ซึ่งฝรั่งเศสทำขึ้นตามสนธิสัญญา ค.ศ.1907 แล้วเมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา
อันเป็นนโยบายไผ่ลู่ลมเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติ


โดยการอ้างถึงการเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ว่า "...
ก็ได้เสด็จกรุงปารีส
และทรงลงพระนามในสัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าวแลกเปลี่ยนดินแดนกันกับ
ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส (ฉะนั้น ก็กล่าวได้ว่า
บรรดาปราสาททั้งหลายทั้งปวง ทั้งนครวัด นครธม ตลอดจนปราสาทพระวิหาร
ก็จะตกไปเป็นของฝรั่งเศสในอินโดจีนสมัยนั้น" ที่พูดกัน อย่างนี้
หากใครไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ให้ดีพอได้ยินอย่างนี้เข้าก็น่ากลัวว่าจะ
เคลิ้มไปได้ง่ายๆ เหมือนกัน แต่โดยตรรกะอย่างนี้
ถ้าเชื่อตามก็หมายความว่า หากประเทศไทยจะต้องเสียปราสาทพระวิหาร
เสียดินแดน 4.6 ตร.กม. ตามแผนที่ของเขมร
และถ้าจะต้องเสียอะไรต่อมิอะไรในที่อื่นๆ อีก
ก็ไม่ใช่เป็นเพราะความผิดของคนในยุคปัจจุบันอย่างนั้นหรือ

แท้ที่จริงเรื่องนี้เป็นการโกหกที่ร้ายกาจ
แต่สามารถจับโกหกได้ง่ายที่สุด
เนื่องด้วยสนธิสัญญาฉบับที่ถูกกล่าวถึงนั้น คือ หนังสือสัญญา ระหว่าง
กรุงสยาม กับ กรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ.๑๒๕ (ค.ศ.๑๙๐๗)
ลงนามที่กรุงเทพมหานคร ผู้แทนลงนามฝ่ายไทยคือ พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ ผู้แทนฝ่ายฝรั่งเศส คือ วี. คอลแลง (เดอ ปลังซี)
สนธิสัญญาฉบับนี้ก็เป็นการมัดมือชกให้สยามจำต้องยอมแลกเมืองพระตะบอง
เสียมราฐ และศรีโสภณ เพื่อให้ได้เมืองตราดและบรรดาเกาะต่างๆ
รวมทั้งเกาะกูดที่ถูกฝรั่งเศสยึดครองคืนมา
และจำต้องยอมทำการปักปันเขตแดนกับฝรั่งเศสใหม่ตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ
ถึงแหลมสารพัดพิษ จ.ตราด แต่สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวนี้
ไม่เกี่ยวข้องกับการที่ต้องยอมรับเส้นเขตแดนหรือแผนที่บริเวณเขาพระวิหารแต่
อย่างใดเลย ดังภาพ ซึ่งจะเห็นว่าการปักปันเขตแดนตามสนธิสัญญา ค.ศ.1907
นั้น ไม่เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารและปราสาทพระวิหาร
เพราะเริ่มต้นจากช่องสะงำ
ห่างจากพระวิหารหลายสิบกิโลเมตรมาจนถึงบ้านหาดเล็ก แหลมสารพัดพิษ จ.ตราด

ฉะนั้น การกล่าวหาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่5 ทรงเสด็จฯไปลงนามสัตยาบันในสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวที่กรุงปารีส
ในปี ค.ศ.1907 และยอมรับ"เส้นเขตแดน"และ "แผนที่"
ที่ทำให้ปราสาทพระวิหารต้องตกไปเป็นของกัมพูชาไปแล้วตั้งแต่บัดนั้น
จึงเป็นข้อมูลเท็จอย่างยิ่ง
เพื่อหวังปิดปากประชาชนไม่ให้ขุดคุ้ยกันอีกต่อไป

กระทรวง การต่างประเทศ
หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เจรจาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ คือ
ดินแดนและอธิปไตยเป็นสิ่งสูงสุด
ถ้ายังปล่อยหรือส่งเสริมให้นักวิชาการที่มีทัศนคติอย่างนี้นำเอาข้อมูลผิดๆ
ออกมาเผยแพร่ต่อประชาชน
ก็คงจะต้องเรียกว่าเป็นเจตนาหล่อหลอมประชาชนไปในทางที่ผิด

นี่จะเป็นบทพิสูจน์ว่าข้าราชการไทยปัจจุบันยังหลงเหลือความจงรักภักดีต่อชาติ
ศาสนา พระมหากษัตริย์ กันอยู่สักกี่มากน้อย

เรียนท่าน รมต.ต่างประเทศ และท่านนายก ต้องช่วยทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง
ซึ่งเมื่อท่านทั้งสองอยู่ในอำนาจแล้ว อยู่ในตำแหน่งแล้ว
อาจจะมีเวลาไปทำภาระกิจอย่างอื่นมาก
แต่ประชาชนอีกจำนวนมากที่ต้องการให้ท่านหันมาสนใจในเรื่องนี้เป็นอันดับแรกๆ
เพราะเป็นเรื่องอธิปไตยของไทย
ซึ่งประชาชนอย่างเรายังเชื่อและไว้ใจท่านที่สุดในการบริหารประเทศในช่วงเวลา
นี้ ก็ต้องหวังพึ่งท่านมาแก้ปัญหานี้
บางครั้งท่านต้องถอยออกมาจากตำแหน่งสักหนึ่งก้าวเพื่อเป็นตัวของตัวเองแล้ว
ฟังว่าประชาชนคิดอะไร ต้องการให้ท่านทำอะไรบ้าง
ท่านอาจจะพบแสงสว่างที่จะส่องทางให้ท่านเดินก็ได้
ด้วยความปรารถนาดีด้วยใจจริง
ประชาชนกำลังวิตกกังวล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น