++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ธรรมะสั้นๆ ง่ายๆ 10 ข้อ

ธรรมะสั้นๆ ง่ายๆ 10 ข้อ

1. ศีลไม่ได้อยู่ที่พระ ธรรมะไม่ได้อยู่ที่วัด เงินไม่ได้อยู่ที่เศรษฐี
     แต่ศีลอยู่ที่กายใจของเรา ธรรมะอยู่ที่สติ และเงินอยู่ทุกที่ ที่มีความขยัน

 2. โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า เราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก
     หากมองโลกดี ชีวิตจะมีแต่สิ่งรื่นรมย์
     หากมองโลกร้าย ชีวิตจะมีแต่วุ่นวายและทุกข์ระทม

 3. จงดึงเอาความรู้สึกผิดที่เรามี มาเป็นแรงบันดาลใจให้ทำดียิ่งๆ ขึ้น
     อย่าจมอยู่กับอดีต มีแต่การสร้างตัวเองใหม่เท่านั้นที่จะหลุดพ้นจากความรู้สึกผิด

 4. ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมี แต่อยู่ที่เราค้นพบว่า อะไรคือแก่นแท้ของชีวิต
     แล้วอยู่กับสิ่งนั้นด้วยความรัก คนนั้นก็คือคนมีความสุข

 5. ยามใดที่ชีวิตพบกับความทุกข์ หากไม่มัวแต่เป็นทุกข์
     ทว่าเรียนรู้ที่จะมองดูความทุกข์อย่างมีสติ อย่างแยบคาย* อย่างเป็นผู้ดู* ไม่ได้เป็นผู้เป็น*
     ความทุกข์ก็จะทอประกายแห่งความสุขออกมาให้เห็น

 6. ในเมื่อไม่มีสิ่งที่เราชอบ เราก็ควรชอบสิ่งที่เรามี
     เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้ทุกสิ่งอย่างใจหวัง และจะไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป
     ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำ มีแง่ดีแง่งามอยู่เสมอ
     ขอให้เรามองให้เห็น ถ้ามองเห็น เราก็จะเป็นสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

 7. ในโลกแห่งความเป็นจริง คนทุกคนก็เป็นครูได้
     คนเก่ง ไม่เก่ง ฉลาดรู้หนังสือ ไม่รู้หนังสือ ยากดีมีจน
     สัตว์ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เหตุการณ์ ดิน ฟ้า อากาศ ความผิดหวัง ความสมหวัง ความรัก ความชัง ฯลฯ
     เหล่านี้ คือ ครูในมหาวิทยาลัยชีวิต ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ ศึกษากันไปอย่างไม่มีวันจบ

 8. อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเอง
     เพราะไม่เพียงแต่ มันจะทำให้เราเป็นทุกข์
     แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของเราด้วย

 9. เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่ควรทุกข์ แต่พอเราไม่ยอมปล่อยวาง ทุกข์ก็รุกคืบเข้ามา
     เรื่องบางเรื่องใครต่อใครก็เห็นอยู่ว่า ทุกข์หนักหนาสาหัส
     แต่สำหรับคนที่ปล่อยวางเป็น ก็เป็นสุข
     คือ ความสุขหรือความทุกข์ บางครั้งอยู่ที่ “ท่าที” ในการเผชิญของเราเป็นสำคัญ
     ถ้า “รู้เท่าทัน” สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างมีสติ
     ทุกข์อาจกลายเป็นสุข, ปัญหาอาจกลายเป็นปัญญา, วิกฤติอาจถูกแปรเป็นโอกาส

10. ความล้มเหลว เป็นส่วนผสมของชีวิตซึ่งขาดไม่ได้
      คนที่ไม่เคยล้มเหลว คือคนที่ไม่เคยทำอะไร
      ด้วยข้อเท็จจริงเช่นนี้ คนที่กำลังคิดการใหญ่ทุกคน จึงมองความล้มเหลว ด้วยสายตาที่เป็นบวก
      เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่า ความล้มเหลว เป็นฝาแฝดกับความสำเร็จ



*** "แยบคาย" หมายถึง เข้าท่า เข้าที เหมาะกับเหตุผล

KamolDavis (ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์)ปล่อยคลิปนาที ส.ส.หญิงแย่งเก้าอี้



(31 พ.ค.2012) KamolDavis (ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์)หัวหน้าพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอเหตุการณ์ความวุ่นวายในรัฐสภาเมื่อช่วงเย็นวานนี้ (30 พ.ค.) ผ่านเฟชบุ๊กส่วนตัว ชูวิทย์ I'm No.5 โดย นายชูวิทย์ ได้บันทึกภาพวิดีโอเอาไว้จำนวน 3 คลิป ก่อนจะอัพโหลดบนเว็บไซต์ยูทูป ชื่อผู้ใช้ KamolDavis นำมาเผยแพร่

หนึ่งในคลิปวิดีโอดังกล่าวคือ ภาพเหตุการณ์ความวุ่นวาย หลังจากที่ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ได้ขึ้นไปบังลังก์สภาและชิงเก้าอี้ออก ลากเข้าไปหลังฉากสภา ก่อนจะมียื้อแย่งกันเองระหว่าง ส.ส.หญิงพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย โดย นายชูวิทย์ บันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าวเก็บไว้ได้ทุกช็อต

อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีดังกล่าว น.ส.รังสิมา ก็ออกมาเปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำเช่นนั้นเพราะเห็นว่าผู้ทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนฯ ทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง หากยังมีเก้าอี้ไว้ตรงนั้นประธานสภา จะกลับมานั่งอีก จึงเข้าไปลากเก้าอี้เปล่าๆ เอาไปไว้ด้านหลัง แต่มี ส.ส.พรรคเพื่อไทยกรูเข้ามา 3 คือ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ นางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย และนางชมพู จันทาทอง ส.ส.หนองคาย เข้ามาแย่งเก้าอี้ไป แต่ก็ไม่เกิดความรุนแรงและทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด

เช่นเดียวกับ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ที่ทวิตเตอร์ชี้แจงว่า ไม่ได้ถูกตบหรือทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด แค่ยื้อแย่งเก้าอี้ประธานสภากันเท่านั้น

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก KamolDavis (ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์)



30 พ.ค. 55 ภาพเหตุการณ์ความวุ่นวายในห้องประชุมสภาฯ ระหว่างการประชุมพิจารณาเลื่อนวาระการพิจารณา พรบ.ปรองดอง ถ่ายโดยนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย คลิปที่ 2

ที่มาที่ไปของการประชุมสภาเช้านี้ 31 พค 2555 อาจเข้าใจได้ดีขึ้น



"มาตรา ๑๔๓ ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน หมายความถึงร่างพระราชบัญญัติว่าด้วย เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังต่อไปนี้

(๒) การจัดสรร รับ รักษา หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือการโอนงบประมาณรายจ่ายของ แผ่นดิน"

ผมคัดมาให้อ่านกันครับ มาตรา ๑๔๓ วงเล็บสอง เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในสภาว่าเป็นพรบ.ปรองดองเป็นพรบ.การเงินหรือไม่

ประธานสภาบอกไม่ใช่กฎหมายการเงิน และเมื่อไม่ใช่ สภาก็สามารถพิจารณาต่อไปได้

แต่ฝ่ายค้านเถียงว่าเป็นพรบ.การเงินอย่างแน่นอน เพราะถ้ากฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ รัฐบาลต้องคืนเงินให้พตท.ทักษิณ ต้องจ่ายเงินจากแผ่นดิน จึงเข้าข่าย (๒) ตามรัฐธรรมนูญ

และถ้าเป็นพรบ.การเงิน นายกจะเป็นผู้รับรอง ( ว่าพร้อมจะนำเงินภาษีมาคืนให้พี่ชาย ไม่มีข้อขัดข้องประการใด ) เมื่อนายกรับรองร่างพรบ.แล้ว สภาจึงสามารถพิจารณาพรบ.ฉบับนี้ได้

ล่าสุดประธานสภาบอกว่าขอเลื่อนวาระ เพื่อนำมาบรรจุให้ได้พิจารณากันในวันพรุ่งนี้ก่อน แล้วค่อยพิจารณาภายหลังว่าเป็นพรบการเงินหรือไม่อย่างไร

พอจะเข้าใจนะครับ

"ใครตบใคร - ใครถีบใคร" นาที สส รังสีมา โดนสส เพื่อไทยโดดถีบ ในสภา@300555

นาที สส รังสีมา โดนสส เพื่อไทยโดดถีบ ในสภา@300555 "ใครตบใคร - ใครถีบใคร" - ส.ส.เพื่อไทย - ส.ส. ประชาธิปปัตย์ ไปดูคลิปกันเอาเองเถอะพี่น้อง เหตุเกิดในรัฐสภา !!! พร้อมภาพนิ่งจั๊ด ๆ อีกที

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ภูมิคุ้มกันความทุกข์ "

?" ภูมิคุ้มกันความทุกข์ "
พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo


ภูมิคุ้มกันความทุกข์นั้น ในเบื้องต้นเกิดจากความเคยชินและความสามารถในการปรับตัวปรับใจของมนุษย์ แต่ยังมีภูมิคุ้มกันความทุกข์อีกระดับหนึ่ง ซึ่งเกิดจากปัญญาที่เข้าใจความทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง จนตระหนักว่ามันเป็นธรรมดา ที่ไม่มีใครหนีพ้น อีกทั้งยังเห็นความจริงต่อไปด้วยว่า ความสูญเสีย ความเจ็บป่วย ความล้มเหลว ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์ได้เลย หากไม่ยึดติดถือมั่นกับสิ่งต่าง ๆ ว่าต้องเป็นไปดั่งใจ เมื่อรู้เช่นนี้ก็ปล่อยวาง ไม่ยึดติดถือมั่น แต่ยังเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ตามเหตุปัจจัยมากกว่าตามความอยากของตน - พระไพศาล วิสาโล

ธรรมบรรยาย เรื่อง อริยสัจทูเดย์ โดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ในงานมหกรรมลานโพธิ์ ตอน งานวัดลอยฟ้า

ธรรมบรรยาย เรื่อง อริยสัจทูเดย์ โดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ในงานมหกรรมลานโพธิ์ ตอน งานวัดลอยฟ้า 17 พฤษภาคม 2555 รอยัล พารากอน ฮอลล์

ปชป.ทำหน้าที่ได้ผลเกินคาดในสภาวันนี้

คำนูณ สิทธิสมาน "ปชป.ทำหน้าที่ได้ผลเกินคาดในสภาวันนี้ เพราะพี่น้องนอกสภามากันอย่างหนักแน่น เล่นเอาประธานสภาขุนค้อนหมดสภาพ และสภาต้องปิดก่อนจะลงมติเปลี่ยนระเบียบวาระได้สำเร็จ ผลก็คือเกมกฎหมายปรองดองจะยืด ต่อให้เพื่อไทยแก้เกมสำเร็จลงมติเปลี่ยนระเบียบวาระได้ในวันพรุ่งนี้ ก็จะพืจารณาเนื้อหากฎหมายปรองดองไม่ได้ ต้องรอไว้ในการประขุมครั้งต่อไป ทั้งนี้ตามข้อบังคับการประชุนมสภาผู้แทนราษฎรข้อ 46 วรรคสอง ซึ่งอาจจะเป็นวันพุธ-พฤหัสที่ 6-7 มิถุนา บังเอิญเป็นวันถัดจากอังคารที่ 5 มิถุนาอันวันประชุมร่วมลงมติฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 วาระ 3 ซึ่งถ้าเป็นยังงั้น คืนนี้ผมคงจะฝันเห็นหน้ารัฐสภาแน่นขนัดตลอด 3 วันอังคารพุธพฤหัส 5-6-7 มิถุนา และปาฏิหาริย์อาจเกิดขึ้นได้"
แก้ความสงสัย เรื่อง สงฆ์-ไสย
ในงานวัดลอยฟ้าที่พารากอน

ทั้งเรื่องแก้กรรม พิธีกรรม สะเดาะเคราะห์ ฯลฯ

ดวงตา ตุงคะมณี เปิดเผยอย่างฮา เคยเป็น เจ้าแม่พิธีกรรม ทำมาหมดทุกชนิด ติดตามชมรายการเต็มวันเสาร์นี้ ที่นี่

เสวนา หัวข้อ นี่หรือเมืองพุทธ กับชีวิตที่เป็นปกติ

โดยกลุ่มธรรมดา พบกับ ตุ๊ก ดวงตา ตุงคะมณี / หมิว ลลิตา ศศิประภา / โอ๊ต วรวุฒิ นิยมทรัพย์ / อ้อม สุนิสา สุขบุญสังข์ / แจง วราพรรณ หงุ่ยตระกูล / เก๋ ชลลดา เมฆราตรี/ เข็ม กฤตธีรา อินพรวิจิตร / หยวน นิธิชัย ยศอมรสุนทร / พันธ์สิริ สิริเวชชะพันธ์

ประกาศเจตนารมณ์ประสานความร่วมมือกับมวลชนทุกๆกลุ่ม ทุกๆคนหยุด พ.ร.บการปรองดอง

    แถลงการณ์ ฉบับที่ ๒/FB
เรื่อง ประกาศเจตนารมณ์ประสานความร่วมมือกับมวลชนทุกๆกลุ่ม ทุกๆคนหยุด พ.ร.บการปรองดอง วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ โดยเข้าร่วมรณรงค์ต่อสู้ "ไม่ปรองดองกับนักการเมืองเนรคุณแผ่นดินและคนชั่ว" เพื่อเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากรัฐสภาทูลเกล้าถวายพระราชอำนาจแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

หยุดปรองดองนักการเมืองเนรคุณ หยุดการุณรัฐสภาที่ฉ้อฉล
หยุดยุติ อำนาจ ทรชน ร่วมโค่นคน "เนรคุณ" ทั้งแผ่นดิน
ร่วมเปลี่ยนถ่ายอำนาจสู่มวลชน สู่เบื้องบนถวายพลีเพื่อพ่อหลวง
พระเมตตาทรงให้ไทยทั้งปวง ร่วมบวงสรวง"กตัญญู"คืนแผ่นดิน
สร้างปรองดองหลักไทยอุดมการณ์ ขับเหล่ามาร"เนรคุณ"ก้าวข้ามพ้น
แปดสิบปีที่คนไทยทุกข์ระทม เพื่อมวลชน "พระทรงให้" ความเป็นธรรม
ถึงเวลาที่มวลชนได้แสดง มา"ร่วมแรง"ร่วมใจ""ร่วมสร้างสรรค์"
"เนรมิตร"ปลดปล่อยไทยร่วมกัน ทุกกลุ่ม"พันธุ์"มหามิตรเพื่อมวลชน...

ด้วยกลุ่มเรียกคืนอำนาจจากนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน ซึ่งได้เรียกร้องให้มีการเรียกคืนอำนาจจากนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน "เปลี่ยนถ่ายอำนาจจากรัฐสภาให้เป็นของมวลมหาพสกนิกรไทย" เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๕ (ชื่อเดิม"องค์การ ๔ สหธรรมิก) ที่ปรากฎในแถลงการณ์ฉบับที่ ๑ ประจำเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ณ หน้าสโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดีรังสิต
ขอประกาศเจตนารมณ์ประสานความร่วมมือกับมวลชนทุกๆกลุ่ม ทุกๆคน เพื่อการสร้างสรรค์การปรองในหมู่มวลพสกนิกรชาวไทย ที่จะออกมาต่อสู้เพื่อเอาชนะนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน "หยุด พ.ร.บ.การปรองดอง"ในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพื่อสนองตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาพระราชทานกระแสพระราชดำรัส เรื่องการปรองดอง
เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ณ ท้องพระโรง ศาลาเริง พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคัรีขัน อันมีใจความตอนหนึ่งว่า "ในหมู่มวลชนก็ต้องมีการปรองดอง ถ้าทุกคนตั้งอกตั้งใจที่จะพยายามรักษาความปรองดองเชื่อว่าส่วนรวมจะอยูได้"
ฉะนั้น เพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กลุ่มเรียกคืนอำนาจจากนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน จึงขอประกาศเจตนารมณ์ประสานความร่วมมือกับมวลชนทุกๆกลุ่ม ทุกๆคน โดยเข้าร่วมรนรงค์ในการต่อสู้ หยุด พ.ร.บ.การปรองดอง "ไม่ปรองดองกับนักการเมืองเนรคุณแผ่นดินและคนชั่ว" เพื่อเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากรัฐสภาทูลเกล้าถวายพระราชอำนาจแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเทิดพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสเจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา และร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในปีมหามงคลอภิรักษ์ขิตสมัยสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์สมบูรณ์ครบ ๒๓๐ ปี
โดยปักหลักชุมนุม ณ บริเวณประตู ๕ ข้างทำเนียบรัฐบาล ตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ ถนนราชดำเนินนอก (ปักหลักชุมนุมเป็นวันที่ ๑๙ เริ่มตั้งแต่ วันที่ ๑๑ พฤษภาคม๒๕๕๕)"โดยจะปักหลักชุมนุมจนกว่าจะได้รับชนะ"

ด้วยจิตกตัญญูกตเวทิตาคุณ

สุขุม วงประสิทธิ เลขาธิการ/โฆษก
กลุ่มเรียกคืนอำนาจจากนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน
วันที่่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕
โทรศัพท์ ๐๘-๖๖๖๓-๓๘๐๗ ,๐๘-๖๐๗๑-๐๑๐๘

จดหมายเปิดผนึกกลุ่มเรียกคืนอำนาจจากนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน ๑ ข้างทำเนียบรัฐบาลประตู ๕ ถนนราชดำเนิน ที่พิเศษ๐๑๐๕/๒๕๕๕

จดหมายเปิดผนึกกลุ่มเรียกคืนอำนาจจากนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน ๑
ข้างทำเนียบรัฐบาลประตู ๕ ถนนราชดำเนิน
ที่พิเศษ๐๑๐๕/๒๕๕๕
วันพุธ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕
เรื่อง ขอความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ เผยแพร่จดหมายเปิดผนึก "หลักการ
ปรองดอง" เพื่อเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนออกมาร่วมชุมนุม
"ต่อต้าน พ.ร.บ.การปรองดอง"

กราบเรียน กัลยาณมิตรโซเซียลเน็ตเวร์ค สังคมออนไลท์และสื่อมวลชน

ด้วยมีประชาชนจำนวนมากได้เสียสละออกมาร่วมชุมนุมคัดค้าน พ.ร.บ.การปรองดองตามความละเอียดทราบแล้วนั้น
นับเป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์อีกครั้ง ที่ปวงพสกนิกรชาวไทยในทุกๆกลุ่ม ทุกๆคนได้ออกมาต่อสู้ด้วยความกล้าหาญเพื่อปกป้องอุดมการณ์ของประเทศชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยออกมายืนหยัดเพื่อพิทักษ์ไม่ให้"หลักการปรองดอง" ซึ่งเป็นอุดมคติในการสร้างบ้านเมือง ที่บรรพชนผู้มีคุณูประการต่อแผ่นดิน นำมาเป็นแนวทางในการสร้างชาติ ในยุคสมัยแห่งการ
สถานาปฐมชาติไทย ตั้งแต่แผ่นดินของพระปฐมบรมพระมหากษัตริย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงนำมาเป็นพระบรมราโชบาย เพื่อรวบรวมบ้านเมืองของเราให้มั่นคงเป็นปึกแผ่นตราบจนทุกวันนี้ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช สมเด็จพระภัทรมหาราช พระมหากษัตริย์ที่เป็นที่รักยิ่งของปวงพสกนิกรชาวไทยและชาวโลก ทรงน้อมนำมาเป็น"พระราชวิเทโศบาย"ในการปกครองให้บ้านเมืองอยู่อย่างพอเพียงที่ปวงพสกนิกรมีความสุขกันถ้วนหน้า และทรงให้ราชอาณาจักรไทยมีความร่มเย็น ซึ่งปากฎในพระราชกรณียกิจองค์ดังกล่าว เป็นที่ประจักษ์ต่อนานาอารยะประเทศ เมื่อปี ๒๕๔๙ นายโคฟี อนัน เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ได้ทูลเกล้าฯถวายรางวัล "ความสำเร็จสูงสุด ด้านการพัฒนามนุษย์" และท่านองค์ดาไลลามะ ผู้นำสูงสุดด้านจิตและวิณญาณชาวธิเบตยังมีพระดำรัสยกย่องในหลวงของเราดังนี้ "สิ่งที่ข้าพเจ้าปฎิบัติยังเทียบไม่ได้กับ KINGภูมิพลที่ทรงปฏิบัติต่อมวลมนุษยชาติ"
ฉะนั้น หลักธรรม"การปรองดอง"เพียงประการเดียว ที่สมเด็จพระมหาบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ทรงนำมาใช้ในการปกครองบ้านเมือง จึงเป็นแสนยานุภาพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ซึ่งบังเกิดจากหลักธรรมานุภาพของ"หลัก การปรองดอง" และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานให้แก่ปวงพสกนิกรเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ มีใจความตอนหนึ่งว่า "ในมวลชนก็ต้องมีการปรองดอง ถ้าทุกคนตั้งอกตั้งใจที่จะพยายามรักษาความปรองดองเชื่อว่าส่วน รวมจะอยู่ได้" ทั้งนี้หลักการปรองดองจึงเป็นสิ่งประเสริฐงดงาม ที่คนไทยไม่ยอมให้นักการเมืองเนรคุณแผ่นดินและคนชั่วใช้ "พ.ร.บ.การปรองดอง" เป็นเครื่องมือในการทำลายหลักการของชาติ และหลักการที่ดีงามของโลก
ด้วยเหตุผลดังกล่าว กลุ่มเรียกคืนอำนาจจากนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน จึงขอความร่วมมือจากกัลยาณมิตรในโลกของโซเซียลเน็ตเวิร์ค สังคมออนไลท์ตลอดจนพี่น้องสื่อมวลชน ได้ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร "ต่อต้านการปรองดองกับคนชั่ว" แสดงความกตัญญู กตเวทีต่อบรรพบุรุษเพื่อร่วมกันรักษา "หลักการปรองดองไม่ยอมให้คนชั่วนำพ.ร.บ.การปรองดอง"มาใช้บ่อนทำลายสถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์" อันเป็นที่รักยิ่งของปวงพสกนิกรชาวไทย
จึงเรียนมาโปรดดำเนินการต่อไป จักพระคุณอย่างสูง
ด้วยจิตกตัญญูกตเวทิตาคุณ
นายสุขุม วงประสิทธิ เลขาธิการ/โฆษก
กลุ่มเรียกคืนอำนาจจากนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน
โทรศัพท์ ๐๘-๖๖๖๓-๓๘๐๗ ,๐๘-๖๐๗-๐๑๐๘

วิกฤติแน่ พรุ่งนี้ 31 พ.ค.2555

วิกฤติแน่ พรุ่งนี้ 31 พ.ค.2555 ..พรุ่งนี้ *ห้ามพลาด*..

หลากหลายข้อคิด ...เพื่อชีวิตที่ดีกว่า




                  

 ฟ้ามิได้แบ่ง ‘ยอดคน’ กับ ‘คนธรรมดา’ ออกจากกัน
ยอดคนจะปรากฏขึ้นเสมอแต่นั้นมิใช่เพราะ ‘ฟ้ากำหนด’ การที่ "ยอดคน"
ปรากฏขึ้นได้เพราะ เขาผ่านการ "ฝึกฝน" และ "เรียนรู้" ที่จะเป็นยอดคน
................................................................

"อัจฉริยะ" ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด
คนเก่งได้นั้นต้องได้รับการฝึกฝน ม้าดี ต้องมีคนขี่มาฝึกฝน ..
นักกีฬาที่ดีต้องมีโค้ชที่ดีมาฝึกฝน
....................…................................

Don't Look Down Yourself.
อดีตไม่สำคัญว่าเราเป็นใคร สำคัญที่ว่าวันนี้เราต้องการเป็นใคร
จงเคารพนับถือในความสามารถของตัวเอง ยกย่องและให้เกียรติตัวเอง
..................................…........................

สมองของคนเราเหมือนพื้นดินที่ว่างเปล่า
เมื่อเราปลูกอะไรลงไปเราก็จะได้ผลเป็นอย่างนั้น ... จงปลูกฝังแต่สิ่งดีๆ
ลงไปในสมอง คำพูดใดๆ ที่เราเคยได้ยินซ้ำๆ ซากๆ เกิน 37 ครั้ง มันจะกลายเป็น
"อุปนิสัย" ของเราทันที

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือ "สิ่งแวดล้อม" อย่าปล่อยให้ความคิด
หรือคำพูดของคนบางคนมาตัดสินชีวิตของเรา
ในโลกนี้ไม่มีใครมีอิทธิพลกับตัวเราเอง
นอกจากตัวเราเอง
......................................….....................

ชีวิตไม่ใช่เกมส์กีฬา ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก และที่สำคัญคือ
‘เปลี่ยนตัวผู้เล่นไม่ได้’ ไม่มีใครเกิดมา ‘ล้มเหลว’ มีแต่ ‘ล้มเลิก’
.........................................

คนฉลาด.. ต้องโง่เป็น คนโง่ไม่เป็น..จะไม่มีทางฉลาด
.........................................

เพียงคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็ทำได้ตั้งแต่ที่คุณคิด แต่หากคุณคิดว่าคุณทำไม่ได้
คุณก็ทำไม่ได้ตั้งแต่ที่คุณคิด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์
คือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ‘ทางจิต’ ที่ตอกย้ำตัวเองว่า .. ทำไม่ได้
………………………………………………………………………….

แม้แต่ "คิด" ยังไม่กล้าที่จะคิด แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?
จงกล้าที่จะเผชิญความล้มเหลว.. ความล้มเหลวคือครูที่ทดสอบตัวเรา
If you want to have success, you have no choice.
.......................................................................

มนุษย์ คือจุดศูนย์กลางของเส้นรอบวงที่ไม่มีขีดจำกัด .. ทำไม?
มนุษย์เหมือนกันจึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะ มนุษย์แต่ละคนได้รับโอกาสทางความคิดที่แตกต่างกัน
................................................................

คนสำเร็จมองปัญหาเป็นโอกาส คนล้มเหลวมองโอกาสเป็นปัญหา
คนสำเร็จจะปรับตัวเองไปหาโลกภายนอก  คนล้มเหลวจะให้โลกภายนอกปรับตัวเข้าหาตัวเอง
.................................................................

Team work is less ‘E-GO’ and more ’WE GROW’
คนสำเร็จระดับผู้บริหาร เป็นผู้นำขององค์กรต่างๆ ในโลกนี้ กว่า 85%
ทั่วโลกล้วนแล้วแต่มิใช่คนเก่ง แต่เป็นคนดีทั้งสิ้น คนเก่ง.. มักจะมี 'อัตตา'
จะไม่ยอมปรับตัวเข้าหาโลก ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
ไม่ยอมรับการพัฒนา..ความรู้ และสิ่งใหม่ๆ ‘ปกครองคนไม่ได้’

คนเก่ง..ใช้เวลา 2-3 ปีก็สอนให้เก่งได้ .. แต่.. คนดีต้องใช้เวลา ‘ชั่วชีวิต’ สอนกัน
คนเก่งมักจะขาดความจงรักภักดี ไม่มีความกตัญญู
......................................................................

"ความรู้" เป็นเพียง "พลังอำนาจแฝง" ชนิดหนึ่งเท่านั้น "ความรู้"
จะกลายเป็น "พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่" ได้ก็ต่อเมื่อมันถูกนำ ไปใช้อย่างชาญฉลาดเท่านั้น
............................……………………………………….

ฟัง..แต่..ไม่ได้ยิน  ได้ยิน..แต่..ไม่เข้าใจ  เข้าใจ..แต่..ไม่ลึกซึ้ง
ลึกซึ้ง..แต่..ไม่แตกฉาน  แตกฉาน..แต่..นำไปใช้ไม่เป็น !!!
จงนำศักยภาพและอัจฉริยภาพที่ซ่อนเร้นในตัวเรา มาใช้อย่างชาญฉลาด

ททท. ชวนเที่ยว “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ปี 2555”



      การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย ชวนร่วมงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ปี 2555” (Thailand Tourism Festival: TTF 2012) วันที่ 6-10 มิถุนายน 2555 เวลา 10.00-21.00 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น
      
       อัจฉพรรณ บุญเจริญ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเลย เผยว่า งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย เป็นการส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว กระจายรายได้ในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น การอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น การสร้างความรับรู้ ความเข้าใจถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในด้านวิชาการ และเผยแพร่ผลงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (Miracle Thailand Year)
      
       ในปีนี้ ททท.สำนักงานเลย เชิญผู้ประกอบการและหน่วยงานราชการในพื้นที่รับผิดชอบเข้าร่วมงาน MEGA FAM Trip: เทศกาลเที่ยวเมืองไทย วันที่ 7 มิถุนายน 2555 ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพค ฟอรั่ม เวลา 09.00-12.00 น. เพื่อเปิดโอกาสทางการซื้อขายการท่องเที่ยวระหว่างกันอีกด้วย
      
       สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โทร. -0-2250-5500 สำนักงานเลย โทร. 0-4281-2810, 0-4281-1405 หรือ www.facebook.com/tatloei

ร่วมสืบสาน “งานอัฐมีบูชา” ที่อุตรดิตถ์



      การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแพร่ (รับผิดชอบจังหวัดแพร่,น่าน,อุตรดิตถ์) เชิญชวนนักท่องเที่ยวและผู้สนใจร่วมงานอัฐมีบูชา ระหว่างวันที่ 4-12 มิ.ย. 55 ณ วัดบรมธาตุทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์
      
       นายธวัชชัย อรัญญิก รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ด้านตลาดในประเทศ เปิดเผยว่า งานอัฐมีบูชา หรือพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้าจำลอง และมีความเกี่ยวเนื่องกับวันวิสาขบูชา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็น “วันวิสาขบูชา” และวันแรม 8 ค่ำเดือน 6 เป็น “วันอัฐมีบูชา” งานอัฐมีบูชานับเป็นงานวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญของชาวอุตรดิตถ์ ที่มีการจัดงานสืบต่อกันมาช้านานกว่า 50 ปี มีเพียงไม่กี่แห่งที่ยังมีการรักษาประเพณีนี้ไว้ เป็นการน้อมจิตรำลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดจนพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญยิ่งต่อพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป

       สำหรับกิจกรรมภายในงานวันอัฐมีบูชา เริ่มต้นในวันที่ 4 มิ.ย. ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา มีพิธีเวียนเทียน เนื่องในวันวิสาขบูชารอบพระบรมธาตุ (ทุ่งยั้ง) สักการะพระบรมศพพระพุทธเจ้าจำลอง
      
       ส่วนในวันที่ 5-10 มิ.ย. มีกิจกรรมลานเทศน์-ลานธรรม การแสดงพระธรรมเทศนาโดยพระนักเทศน์ชื่อดัง
      
       วันที่ 11 มิ.ย. มีพิธีซ้อมการแสดงประกอบแสง-เสียง
      
       วันสุดท้าย คือวันที่ 12 มิ.ย. “วันอัฐมีบูชา” มีพิธีห่มผ้าพระธาตุ มีพิธีการจำลองการถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ มีการแสดงบทบาทสมมติเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติเมื่อครั้งสมัยพุทธกาลตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน แล้วนำมาสู่การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า

       ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถร่วมอนุรักษ์สืบสานประเพณีอันดีงามของ จ.อุตรดิตถ์ และร่วมบำเพ็ญกุศลทานบารมี รักษาศีล เผยแผ่ธรรมะ ในงานอัฐมีบูชาได้ ตามวันเวลาและสถานที่ที่กล่าวมาข้างต้น โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานแพร่ 0-5452-1118, 0-5452-1127 วัดพระบรมธาตุ (ทุ่งยั้ง) โทร. 0-5481-6652, 08-4493-9972

เผด็จการ นกม. คือการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม

เผด็จการ นกม. คือการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม เป็นผู้ใช้อำนาจเด็ดขาดโดยคนๆเดียว/กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง อยู่ในอำนาจโดยไม่ยอมลงจากอำนาจ/สืบอำนาจต่อไปให้กับลูก - หลานหรือญาติพี่น้องของตัวเอง แล้วมันต่างอะไรกับเผด็จการทหาร ทีนี้มาดูระหว่างเผด็จการทหารกับเผด็จการ นกม. เผด็จการ นกม.....ในกรณีสินค้ามีราคาแพง จะไปบีบนายทุนก็ไม่ได้ เพราะนายทุนคือกระเป๋า ที่ต้องใช้ในการหาเสียง อย่างมากก็แค่ลดชั่วคราวเพื่อให้ประชาชนลืมไปเอง เช่น ราคาน้ำมัน ลดให้ทีละ 30 สต. แต่เวลาขึ้นทีนึงขึ้นทีละ 50 สต. เผด็จการทหาร.....โดยปกติทหารเป็นผู้ที่มีระเบียบวินัย เด็ดขาด นี่คือปกติของทหาร แต่ถ้าทหาร ยึดอำนาจแล้วประชาชนเดือดร้อน ถ้าทหารสั่งให้สินค้าลดราคาเพื่อช่วยเหลือประชาชน นายทุนไม่กล้าแน่นอน ทำไมถึงกล้าพูดแบบนั้น ดูง่ายๆเวลาทหารยึดอำนาจ พวกนักการเมืองที่ปากดีแต่ละคนหนีหางจุกตรูดกันหมด เผด็จการ นกม.....โดนไล่กี่ครั้งก็ยังหน้าด้านที่จะหวังกลับมามีอำนาจอีก เผด็จการทหาร.....โดนไล่ก็ไม่กลับมาเล่นอีกเลย เช่น ถนอม สุจินดา บทสรุปของเรื่องเผด็จการระหว่าง นกม.กับทหาร ถ้าชั่งน้ำหนักกันแล้ว เผด็จการทหารถึงจะไม่ดี แต่อย่างน้อยก็ดีกว่า นกม.แน่นอน โจรร้ายก็น้อยกว่า เพราะโดยสัญชาติญาณของโจรมันก็กลัว ตายเหมือนกัน มันรู้ว่าทหารเอาจริงกับมัน พวกเก็บกักตุนสินค้าก็ไม่กล้า พวกปลุกระดมก็ไม่กล้า และประการสำคัญที่สุดก็คือ พวกที่คิดจะล้มล้างสถาบันจะขุดรูอยู่แต่ในถ้ำ เมื่อทหารได้อ่านก็จงรู้ไว้เถอะว่า ยังไงพวกท่านก็ยังดีกว่า นกม.แน่นอน ถึงจะไม่ดีเต็ม 100 แต่อย่างน้อยรับรองว่าประชาชนก็จะไม่เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้าเช่นทุกวันนี้ สุดท้ายนี้ขอสดุดี แด่ พล.อ ร่มเกล้าและเหล่าทหารที่พลีชีพเพื่อปกป้องชาติบ้านเมืองมาด้วย ณ.โอกาสนี้ ส่วนทหารที่ไร้เกียรติ

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การศึกษาปัจจุบันเน้นแต่ให้เด็กรู้มากกว่าคนอื่น



การศึกษาปัจจุบันเน้นแต่ให้เด็กรู้มากกว่าคนอื่น โดยให้เด็กไปเน้นเรียนตามสถาบันสอนพิเศษต่างๆ ซึ่งเน้นอัดเนื้อหาที่เกินความจำเป็นที่เด็กจะนำไปใช้ เพียงเพื่อสอบเข้า ทำให้ความรู้ไม่ตรงตามระดับชั้น เช่นเด็กป.6ต้องแข่งกันเข้าม.1จึงต้องเรียนเนื้อหาของ ม.1ก่อนเพื่อจะได้รู้มากกว่าเด็กระดับเีดียวกัน ทำให้เด็กกลุ่มที่เรียนพิเศษสอบเข้าได้ก่อนคนอื่น ถามว่าเด็กเก่งจริงหรือ เขาแค่รู้ก่อนเพื่อน เพราะเขาไปเรียนก่อนเพื่อนๆในชั้นเท่านั้น แต่ความจริงเขาไม่ได้เก่งกว่า เหมื่อนนำเด็กม.2มาทำข้อสอบของเด็กม.1ย่อมทำได้อยู่แล้ว เพราะเคยเรียนมาก่อน ทำให้เด็กที่ไม่รู้ก็ต้องขวนขวายไปเรียนตามสถานที่กวดวิชา ซึ่งขณะนี้ คงต้องยอมรับว่าการไปเรียนพิเศษ เหมือนว่าทุกคนต้องไปโรงเรียน ถ้าไม่ไปเรียนพิเศษก็สู้เพื่อนๆไม่ได้ ถามว่า อนาคตของเด็กเหล่านี้ัจะเป็นอย่างไร วิถีชีวิต ที่เด็กเคยอยู่โรงเรียนเล่นกีฬากับเพื่อนๆ ได้มีการเข้าสังคม ทำกิจกรรมกลุ่มอย่างที่พวกเขาสนใจ แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เขาต้องเจอคือ เลิกเรียนต้องรีบกลับเพื่อไปเรียนพิเศษต่อ ผู้ปกครองต้องหารายได้เพิ่ม เพื่อให้เด็กได้เรียนพิเศษเหมือนเพื่อนๆ และต้องเรียนเกือบทุกวิชา เวลาตอนเย็นที่จะได้อยู่กินข้าวพร้อมหน้าครอบครัวก็หาเวลาไม่ได้เพราะเด็กๆกว่าจะเลิกเรียนก็สามสี่ทุ่ม กลับถึงบ้านก็เหนื่อย แล้วยังต้องตื่ีนแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียนให้ทัน ต้องหนีรถติดอีก แล้ววัฏจักรนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ น่าจะมีการแก้ไขได้แล้ว อาจจะดูว่าทำยาก แต่ถ้าร่วมมือกันแก้ ก็น่าจะแก้ปัญหานี้ได้ อยากเสนอหนึ่งวิธีืให้รัฐบาลช่วยพิจารณา คือ ตั้งข้อกำหนดของแต่ละระดับให้ชัดเจนว่าเด็กเรียนรู้เพียงเท่านี้สำหรับชั้นนี้ และห้ามเด็กเรียนพิเศษไม่ว่าที่ไหนก็แล้วแต่ ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน ยกเว้นเด็กที่มีเกรดเฉลี่ยต่ำกว่า2.5เท่านั้น เพื่อให้เด็กอ่อนสามารถเรียนทันเพื่อนๆในห้อง และป้องกันเด็กมีความเหลื่อมกันของความรู้ยกเว้นเด็กเหล่านั้นจะอ่านหนังสือเอง เป็นการส่งเสริมการอ่านแทนการส่งเสริมการฟังอย่างเดียว ถ้ากลัวว่าเด็กเก่งจะถดถอย ก็อาจเปิดโอกาสให้สอบเลื่อนชั้น สำหรับเด็กอัจริยะ ให้สอบผ่านไปเรียนชั้นอื่นที่สูงเท่ากับความรู้ที่เขามี แม้แต่เด็กโอลิมปิคในทุกสาขาวิชาก็ควรเลิกรับเด็กเข้าไปให้อาจารย์มหาวิทยาลัยติวก่อนไปสอบแข่งขันได้แล้ว มันไม่น่าภูมิใจเลยที่ได้เหรียญทองมาเพราะแค่รู้ก่อนประเทศอื่น ไม่อย่างนั้นทำไมไม่ส่งอาจารย์มหาวิทยาลัยไปแข่งกันเองเลย ที่เราส่งไปแข่งเพื่อวัดประสิทธิำภาพของเด็ก แต่พอเราอัดความรู้ให้ แน่นอนว่าพวกเขารับได้อยู่แล้ว กลายเป็นว่าเราโกง ไม่น่าภูมิใจอย่างยิ่ง แม้ว่าเด็กเหล่านั้นจะเก่งจริงๆ น่าจะให้พวกเด็กๆใช้ความรู้ที่เขามีกันจริงๆไปวัดกับประเทศอื่นๆ อย่างนี้น่าภาคภูมิใจที่สุดถ้าได้เหรียญทอง

Apilada Ojaroen

ผู้หญิงตัวอย่าง



ผู้หญิงตัวอย่าง

นานมาแล้วมีตาแก่คนหนึ่ง อาศัยอยู่กับหลาน ผู้กำพร้าพ่อแม่
และตาแก่เลี้ยงมาด้วยความรักทนุถนอม
ตั้งแต่เล็กจนโต สองคนตาหลานจะไปไหนมาไหนด้วยกัน
กินด้วยกัน ไม่เคยแยกจากกัยเลย
ผู้เป็นหลานมีแววฉลาดมาตั้งแต่เด็ก
เมื่อเล็กๆ ก็ช่างพูด ถามโน่มถามนี่อยู่ตลอดเวลา
เป็นอยู่อย่างนี้ขนอายุสมควรมีครอบครัว

วันหนึ่งขณะที่ตานั่งคุยอยู่กับหลานที่นอกชาน
หลานเอ่ยขึ้นว่า

"ตา ฉันมีเรื่องจะปรึกษาตาสักหน่อย"

"เอาเลย อ้ายหนู"

"ฉันก็อยู่กับตามาตั้งนานแล้ว มีความสุขสบายทุกอย่าง
มาบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ฉันควรจะแต่งงาน
หาหลานสะใภ้มาช่วยดูแลปฎิบัติตา"

"ก็ดี แล้วเองจะปรึกษาอะไรตา"

"ฉันอยากมีผู้หญิงดีๆ จึงอยากปรึกษาตาว่า ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าเขาดี
ตาจะแนะนำฉันอย่างไร ฉันจะทำอย่างนั้นจ๊ะตา เพราะตาเห็นดีเห็นชั่วมานาน"

"ก็แล้วแต่เอ็ง จะเชื่อหรือไม่เชื่อข้าก็ตามใจเอ็ง"

"เชื่อสิจ๊ะ ตา"

"เอาเถอะข้าจะบอกให้ โบราณว่าเขาถือ
ผู้ชายจะต้องหลีกเลี่ยงผู้หญิง 8 ชนิดด้วยกัน"

"มีอะไรมั่งเล่าตา..."

"เอ็งจะไปรักผู้หญิง เอ็งต้องดูให้ดีว่าเขามีลักษณะ 8 อย่างที่ว่านี้ไหม
อย่างที่ท่านเรียกว่า หญิงยัง ตะพังใหญ่ ไต่คำผัง
ยกครัวลงล่าง อ้างม้าเหาะ ฉอเลาะพันบ้าน อ่านฝีมือ ถือคันชั่ง "

"ฉันก็ยังงอยู่นะตา ผู้หญิง 8 ชนิด ที่ว่านี้เป็นอย่างไร ตาช่วยอธิบายหน่อยสิจ๊ะตา"

"ตาจะอธิบายให้ฟังก็ได้
หญิงยังเป็นอย่างนี้
ใครเขาวานอะไรก็ต้องตามคอยคุม คอยทวงถามเอาเอง
ถ้าพ่อแม่ถามว่า อีหนูทำนั่นหรือยัง ตักน้ำหรือยัง หุงข้าวหรือยัง ถูบ้านหรือยัง
จะตอบว่ายังทุกทีไป ผัดผ่อนอยู่อย่างนั้น วันหนึ่งๆ ไม่มีอะไรเสร็จได้เลย

ทีนี้ผู้หญิงตะพังใหญ่
คือ พวกคุยมั่งคุยมี ทางผัวก็มั่งมี ทางตัวก็มั่งมี คนอื่นจนหมด

ส่วนผู้หญิงไต่คำผัง คือ ผู้หญิงที่ชอบทิ้งบ้าน เกาะติดผัวแจ
ไปไหนก็ต้องไปด้วย คุยกับใครก็ไปนั่งร่วมวงด้วย
บ้านเรือนเป็นอย่างไรก็ช่าง ตามผัวทุกฝีก้าว ทุกนาที..."

"แล้วผู้หญิงที่ยกครัวลงล่าง ล่ะตาเป็นอย่างไร"

"ก็ผู้หญิงที่ไม่ดูแลบ้านให้สมบรูณ์ จะทำอะไรก็วิ่งขอชาวบ้าน
จะแกงก็ต้องวิ่งไปขอเกลือขอน้ำปลา
จะตำน้ำพริกก็ขาดกระเทียม จนเพื่อนบ้านระอาใจ

ส่วนที่ว่า อ้างม้าเหาะ ก็พวกกระโดกกระเดก จะเดินจะเหิน ก็เตะโน่นชนนี่
กรายหัวผู้ใหญ่ ไร้มารยาท ถือถ้วยชามก็ตกแตก ไม่เรียบร้อยเอาเสียเลย

พวกฉอเลาะพันบ้าน ก็พวกที่อยู่บ้านไม่ติด
ไปนั่งคุยบ้านโน้นบ้านนี้ทั้งวัน พูดจริงบ้างไม่จริงบ้างไปวันๆ
เข้าบ้านโน้นก็เอาเรื่องบ้านนี้ไปเล่า แปลงเรื่องมั่ง ต่อเติมมั่ง
ทำให้เพื่อนบ้านทะเลาะกัน ความชั่วของตนไม่เคยเห็น
เห็นแต่ความชั่วของคนอื่น นินทาเป็นอาจินต์
หมดบ้านจะไปนั่งคุย ก็หาเรื่องเที่ยว ดูหนังดูลิเก
สักแต่ขอให้ออกจากบ้านเป็นพอใจ
ผู้หญิงอย่างนี้ก่อความหนักใจให้ผัว ชาวบ้านครหา
ทำให้ครอบครัวไม่สงบสุข เสียถึงผัวด้วย..."

ตาเล่าจนคอแห้ง หลานต้องยกน้ำฝนมาให้ดื่ม แล้วก็นั่งเฉยอยู่

"ตาจ๊ะ ยังไม่ครบ 8 ชนิดเลยนะ เพิ่งได้ 7 เอง
ยังขาดอ่านฝ่ามือ อีกพวกหนึ่งนะตา"

"เออน่า ข้าไม่ได้ลืมหรอก ให้ข้าพักสักครู่ ไม่ได้เชียวหรือเอ็ง"

"แหมอีกอย่างเดียวเท่านั้นนะตา"

"เอา เอาก็เอา พวกอ่านฝ่ามือเป็นอย่างนี้
พวกถึงมือถึงตัว ไม่สำรวม พูดกับใครต้องจับมือถือแขนไปหมด
ตีหยอกตบหลัง หยิกข่วน ปากว่ามือถึงทีเดียว ดูเหมือนให้ท่า
หลุกหลิก ไม่ระวังตัว ไม่สำรวม นั่งยืนไม่เรียบร้อย
พูดจาไม่ระวังคำพูด อะไรควรอะไรไม่ควร เอ็งระวังให้ดี"

"ที่ตาบอกฉันนี่ มีประโยชน์เหลือเกินจ๊ะตา ฉันจะจำไว้จ๊ะตา..."

"ยังก่อนอ้ายหนู นี่มันเพิ่ง 7 ชนิดเองนะ
ยังเหลือพวกสุดท้ายอีกชนิดหนึ่ง พวกถือคันชั่ง ไง
เอ็งลืมแล้วหรือ พวกถือคันชั่งน่ะ
พวกนี้ชอบพูดแต่ว่า ช่างเถอะ จนติดปาก
เอะอะอะไรก็ช่างเถอะ จะโง่ก็ไม่เชิง ฉลาดก็ไม่เชิง ใครทำอะไรก็ช่าง
ผัวหายไป 2-3 วันก็เฉยก็ช่าง ผัวกินข้าวหรือยังก็ช่าง
เงินทองจะหมดก็ช่าง จะรวยจะจนก็ช่าง
ไม่ชอบคิดไม่ชอบปรึกษาใคร เป็นที่พึ่งไม่ได้เลย ..."

"แหม วันนี้ฉันได้หลักที่เป็นประโยชน์จริงๆ "

"ถ้าชายใดหาหญิงมาแต่งงานกับตน แล้วหลีกเลี่ยงทั้ง 8 ชนิดนี้ได้
ท่านว่าเป็นสุข 7 ประการ คือ

อายุยืนยาว

จะมีอำนาจและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

จะเพิ่มพูนทรัพย์สมบัติ

เป็นที่เชิดหน้าชูตาของวงศ์สกุล

ปราศจากโรคภัย

เกิดสติปัญญา และคิดดี

สุดท้ายจะทำให้รูปลักษณะงาม เป็นที่น่าเลื่อมใส ศรัทธาแก่ผู้ที่ได้พบเห็น
หากหลานของตาหลบเลี่ยงผู้หญิงทั้ง 8 จำพวกนี้ได้
ตาก็หมดห่วง ถึงตายก็ตายตาหลับ
ไม่ตายก็มีความสุข เพราะได้หลานสะใภ้ดี
ขอให้หลานจำเริญๆ เถอะ..."

ผู้เป็นหลานก้มกราบตาด้วยความขอบคุณ
และซาบซึ้งในบุญคุณ รับปากว่าจะปฎิบัติตามหลักที่ตาให้ไว้ อย่างเคร่งครัด

จนในที่สุดก็เลือกได้ผู้หญิงที่ถูกลักษณะ
และเป็นผู้หญิงที่ปราศจากโทษลักษณะ 8 ประการดังกล่าว
ครอบครัวตาหลานและสะใภ้ จึงได้อยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุขต่อไปอีกนาน

อร๊อย...อร่อย



      อร๊อย...อร่อย  
                       
                           มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ ทุกคนจำเป็นต้องเสาะแสวงหาปัจจัยสี่อันมีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เพื่อเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอยู่มานาน นับตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์
                           และจากภูมิปัญญาของมนุษย์นี้เองที่สามารถจะแสวงหาพัฒนา ประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆที่จะอำนวยความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน หรือเพื่อที่จะต่อสู้กับภัยธรรมชาติ อันเป็นสัญชาติญาณหรืออะไรก็แล้วแต่
                           หากมองย้อนหลังไปยังประวัติศาสตร์ในยุคต่างๆ ในเรื่องความเป็นอยู่ของมนุษย์แล้วจะเห็นได้ว่าสะดวกสบายขึ้นมากราวกับจะสามารถเนรมิตได้ทุกสรรพสิ่ง
                          ดังเช่นรถยนต์ เครื่องบิน รถไฟฟ้าความเร็วสูง ทำให้การเดินทางของมนุษย์ รวดเร็วสะดวกแทบจะทำให้มนุษย์เดินทางได้ราวกับเทวดาติดปีก หรือยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบัน                    
                          เครื่องปรับอากาศหรือแอร์คอนดิชั่น เครื่องปรับความร้อนหรือฮีทเตอร์ ก็ทำให้มนุษย์อยู่กับภัยธรรมชาติได้สะดวกยิ่ง ไม่ต้องร้อนอบอ้าวหนาวเหน็บกับอากาศที่นับวันๆยิ่งจะแปรปรวนขึ้นไปทุกทีๆ  ดังที่พวกเราได้เห็นกันมาปีต่อปี เดือนต่อเดือน แม้กระทั่งวันต่อวัน
                          เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ให้เพียงพอและสนองต่อความต้องการของมนุษย์ เป็นนิยามของตำราวิชาการนี้เล่มหนึ่ง
                          แต่ในความเป็นจริงแล้วการที่จะจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพออีกทั้งยังต้องสนองความต้องการของมนุษย์ในยุคสมัยนี้มันแสนยาก เพราะมนุษย์มีความต้องการไม่มีสิ้นสุดหรือจะเรียกอีกอย่างว่าไม่รู้จักพอก็ได้
                           กิน กาม เกียรติ แค่สามคำนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องเดินทางแสวงหากันมากและเสียเวลากับมันนานโข ที่เขาพูดกันว่ามีบางท่านเดินทางไปกินข้าวกลางวันที่ต่างประเทศแล้วกลับมาทำงานก็เป็นตัวอย่างที่เป็นเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง
                          นี่เป็นเพียงแค่เรื่องกินนะ ถ้าเลยไปถึงกามคุณหรือกามอื่นๆเช่นอาหารตา อาหารหู อาหารจมูก อาหารกาย อาหารใจ แล้วไปไกลใหญ่
                          ลองพิจารณาเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเพิ่มเติมเข้าไปอีกสิ ภูเขาแห่งความต้อง การมันสูงๆๆ...สูงขึ้นอีกแค่ไหน สูงเพียงไร............ ยากจะรู้
                          กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ความอยากในกามคุณ ความอยากและความไม่อยากนานาประการ
                          โลภ โกรธ หลง ไฟสามกองที่ตามหรือลามมาแผดเผาใจของเรานั้นมันไม่ร้อนหรือไง
                          แต่ทำไมผู้คนต่างเพียรที่จะเพิ่มอกุศลมูลสามกองนี้ ( กิเลสรากเหง้าเพาะเชื้อให้เกิดกิเลสอื่นๆ )ราวกับเร่งสุมฟืนเข้าไปในกองไฟทั้งหลาย ให้มันร้อนเพิ่มขึ้นสูงขึ้น
                          "อร่อย"ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าถาใครๆด้วยมคำๆนี้ให้ตรงกับภาษาที่ใช้ในแต่ประเทศกับคนทั้งโลกนี้ คงจะไม่มีใครไม่รู้จักคำๆนี้...จริงไหม
                           คำตอบที่ได้ก็คงจะเป็นคำว่า"จริง "และหากถามต่อไปอีกว่ามีใครไม่ชอบคำว่าอร่อยนี้ไหม ก็น่าจะได้คำตอบว่า"ไม่มี"อีกเช่นกัน
                          คำๆนี้แม้จะสั้น แต่มีอิทธิพลเหลือหลายต่อผู้คนทั้งโลก อย่างเหลือจะประมาณก็แทบจะว่าได้
                          คำว่าและความหมายของเศรษฐศาสตร์ข้างต้นจึงจะนำมาใช้กับคนที่พร่ำพูดแต่คำๆนี้ไม่ได้เลย
                           อร่อยความหมายในที่นี้ ออกจะกว้างไปมากกว่าอร่อยจากการกิน ดื่มเพราะนอก  จากจะหมายถึงรสชาติที่เกิดจากปลายลิ้นแล้ว ยังหมายรวมถึงเสียงเสนาะที่เกิดจากการฟัง รูปสวยวิจิตรพิสดารจากการดู  กลิ่นหอมรัญจวนใจจาการดม สัมผัสอ่อนนุ่มเย็นสบายกาย สัมผัสในสบายใจเช่นความชื่นมื่น มันเกินจากความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ไปมาก
                           จนแทบจะเรียกว่ามนุษย์อยากจะแสวงหาความเป็นเทพเทวาเพิ่มขึ้นทุกวัน อยากจะมีอิทธิฤทธิ์เสกได้ดังใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันทำเช่นนั้นได้จริงหรือ คำตอบก็คือ"ไม่ใช่"
                           หากถามต่อไปว่าแล้วเรายังจะดิ้นรนขวนขวายคิดและทำเช่นนั้นกันไหม คำตอบก็คือ"ทำและยังดิ้นรน"
                           เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น
                           เพราะเราไม่รู้ความจริงว่าความต้องการหรือความพึงพอใจนั้นมันเป็นแต่เพียงสิ่งภายนอก นับวันมันมีแต่เสื่อมลง
                           เหมือนข้อเขียนของท่านอาจารย์ไพศาล วิสาโลว่ามนุษย์ ทุกวันนี้นอกจากจะติดวัตถุนิยมแล้วคือจะต้องมีโน๊ตบุ๊ค มือถือ ไอโฟน ไอพ๊อด แกแล๊กซี่แท็ป นอกเหนือไปจากบ้าน คอนโดมีเนียม รถยนต์หรือสิ่งของอำนวยความสะดวกสบายเเล้วที่เรียกว่าวัตถุนิยม
                            ยังติดแบรนด์เนมหรือยี่ห้อในสินค้านานาประการ ที่คนใช้บอกว่าใช้แล้วเกิดความมั่นใจ ความคิดนี้แพร่หลายกระจายไปทั่วโลก สินค้าแบรนด์เนมมันถึงแพง ที่เรียกตามภาษาการตลาดว่ามาร์กอัพราคาที่แพงโคตร
                            แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเสาะแสวงหามาใช้อย่างไม่ย่อท้อแม้จะแสนแพงแค่ไหนก็ตาม ไม่รู้ว่ามันจะทำให้เธอและเขาเหล่านั้นสวยหล่อเท่ห์ขึ้นมาอีกสักเท่าไร ท่านอาจารย์ไพศาลท่านเรียกพฤติกรรมเช่นนี้ว่าบริโภคนิยม และมันอินเทรนด์หรือนิยมทำกันมากเสียด้วย
                            หากมองในแง่พระพุทธศาสนาน่าจะอธิบายได้ว่าผู้คนเหล่านี้สะสมนิสสัยปัจจัยมานาน ทำให้มีทิฎฐิเช่นนี้แล้วก็เป็นกรรรม โดยมีผลของกรรมตามมาที่เรียกว่าวิบากกรรม และเจ้าวิบากกรรมนั้นมีรางวัลให้ผู้ก่อกรรมที่เรียกว่า"รสอร่อย"จำให้ดี(เป็นคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ)
                            ทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากการยึดติดหรืออุปทานต่างๆ ดังที่ท่านได้อ่านกันมามากแล้ว หรือหาอ่านจากเฟซธรรมะและเว็บธรรมะที่มีผู้โพสต์กันอย่างมากมาย
                            ทุกข์นั้นมีอยู่คู่การเกิดแต่เราไปเสริมทุกข์ให้มันเพิ่มขึ้นด้วยคำว่าอร๊อย..อร่อยจากการยึดติด หรือการยึดมั่นถือมั่น เมื่อเวลาผ่านไปความจริงมันโผล่ออกมาให้เห็นจากความทุกข์มากมาย
                            อาจจะสายเกินไปที่จะตระหนักรู้โทษของคำว่าอร๊อย..อร่อยและทำให้ศักยภาพในการพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นอิสระจากภายในเพื่อที่จะได้พบความสุขอันประณีตนั้นหดหายไปสาธุชนทั้งหลาย เอวังด้วยประการฉะนี้
                                                                                       
                                                                                     
                                                    เดี่ยวเดิมเดิม

อาจาโรวาท หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร


อาจาโรวาท
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร

๑. บุญบาปสิ่งใดๆ ใจถึงก่อน ใจเป็นรากฐาน ใจเป็นประธาน มันสำเร็จที่ดวงใจ

๒. ตัวบุญคือใจสบาย เย็นอกเย็นใจ ตัวบาปคือใจไม่สบาย ใจเดือดใจร้อน

๓. ความเจ็บไข้ได้พยาธิอาพาธโรคา เป็นของธรรมดาสำหรับสัตว์โลก

๔. เราไม่อยากเป็นกรรมเป็นเวร เราก็ต้องตัด ตัดอารมณ์น่ะล่ะ ให้อยู่ในที่รู้ ให้กำหนดดูความรู้ อยู่ตรงใหนแล้วเราก็เพ่งอยู่ตรงนั้น

๕. ปัญญาคือ ความรอบรู้ในกองสังขาร

๖. กรรมทั้งหลายไม่ได้มาจากอื่นไกล มาจากกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเราเท่านี้

๗. พุทธะคือผู้รู้ มันมีอยู่ยังงั้น มันดับไม่เป็น สูญไม่เป็น

๘. จิตของเรามันไม่หยุด ให้มันนิ่งมันก็ไม่นิ่ง เที่ยวก่อภพน้อยๆ ใหญ่ๆ อยู่ตลอดเวลา ภะวา ภะเว สัมภวันติ

๙. ถ้าคนไม่ได้ทำ ไม่ได้หัด ไม่ได้ขัด ไม่ได้เกลา ที่ไหนเล่าจะมีพระอรหันต์ในโลก

๑๐. ให้สติกำหนดที่ผู้รู้อย่าส่งไปข้างหน้าข้างหลัง ข้างซ้ายข้างขวา ข้างบนข้างล่าง อดีตอนาคต กำหนดอยู่ที่ผู้รู้แห่งเดียวเท่านั้นหละ

๑๑. พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่ใจ ในใจ

๑๒. ลางคนวัดก็ไม่เข้า พระเจ้าก็ไม่นบ วันศีลก็ไม่ละ วันพระก็ไม่ถือ แล้วจะเอาดีมาจากไหน

๑๓. ให้พากันพิจารณาให้มันรู้มันเห็นลงไป เชื่อมั่นลงไป เห็นจริงแจ้งประจักษ์ลงไป

๑๔. จำไว้พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทำอะไรๆ ก็พุทโธ กลัวก็พุทโธ ใจไม่ดีก็พุทโธ ขี้เกียจก็พุทโธ

๑๕. ท่านสอนให้พิจารณากรรมฐานก่อนม๊ดเวลาบวช พิจารณาเพราะเหตุใดเล่า เพื่อไม่ให้หลงถือทิฏฐิมานะอหังหาร ถือว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นเราเป็นเขา มันจึงหลง

๑๖. เราต้องปฏิบัติอย่างฝากตาย

๑๗. ศีลห้านี้คือ ขาสอง แขนสอง ศรีษะอันหนึ่ง เรารักษาห้าอย่างนี้ ไม่ให้ไปทำโทษห้า คืออันใดเล่า ปาณานั่นก็โทษ อทินนานั่นก็โทษ กาเมนั่นก็โทษ มุสานั่นก็โทษ สุรานั่นก็โทษ พระพุทธเจ้าให้ละเว้น เวรมณีคือละเว้น

๑๘. อยากสวยให้ถือศีล อยากรวยให้ทำทาน อยากปัญญาชาญให้ภาวนา

๑๙. จิตของเราสงบเป็นสมาธิ มันรู้สึกเบา ส-บ๊-า-ย เย็นอก เย็นใจ หายทุกข์ หายยาก หายลำบากรำคาญ

๒๐. ผู้รู้ไม่ใช่ของแตกของทำลาย ของตายของดับ

๒๑. ถ้าใจเราดีแล้ว ทำอะไร๊ก็ดี ไปใหนๆ ก็ดี ทำการงานก็ดี ทำราชการก็ดี ครอบครัวก็ดี พี่น้องก็ดี ชาวบ้านร้านตลาดก็ดี ประเทศชาติก็ดี

๒๒. ความสุขอันใดเสมอจิตสงบไม่มี

๒๓. ธรรมของพระพุทธเจ้าแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น อยู่ที่ตัวเราไม่ใช่ที่ไหนอื่น

๒๔. กรรมดีกรรมชั่ว ผู้นี้เป็นผู้กำเอาเป็นผู้ทำเอา ไม่เห็นมีกรรมมาจากต้นไม้ภูเขาเลากา ไม่เห็นมีกรรมมาจากฟ้าอากาศ มาจากกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเท่านี้หละ

๒๕. เราเกิดมามีกรรมฐานห้ามาพร้อม ทีนี้เด็กกับคนแก่ พระกรรมฐานขาดไปองค์หนึ่ง ทันตา ฟันไงล่ะเด็กมันเกิดมาฟันยังไม่เกิด พระกรรมฐานขาดไปองค์หนึ่ง คนแก่ฟันหลุดหมด พระกรรมฐานก็ขาดไปองค์หนึ่ง

๒๖. วิธีอื่นไม่มีจะตัดบาปตัดกรรมตัดเวร นอกจากเรานั่งสมาธินี้


คัดลอกจาก
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7190

การแสดงชุดสายน้ำหลั่งไหล น้ำตาหลั่งริน ชีวีสูญสิ้น ณ ทุ่งมะขามหย่อง

การแสดงชุด "สายน้ำหลั่งไหล น้ำตาหลั่งริน ชีวีสูญสิ้น" โดยมี อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี บรรเลงเสียงขลุ่ย ประกอบขับบทกลอนจาก อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่สื่อความหมายถึงความทุกข์ยากของประชาชนที่เกิดจากการประสบอุทกภัยในหลายครั้งหลาย­ครา

การแสดงชุด ระบำสายน้ำ ลำน้ำแห่งแผ่นดินทอง "ผืนแผ่นดินแห่งพระมหากรุณาธิคุณ"

องค์ที่ 6 การแสดงชุด "ระบำสายน้ำ ลำน้ำแห่งแผ่นดินทอง" โดยมีไฮไลท์จากเรือ 6 ลำ เป็นพ่อเห่ แม่เห่ ได้แก่ เรือท้องพระคลัง เรือกล้วยทอดนายก เรือฟ้าเปลี่ยนสี (ย้อมผ้า) เรือตู้ทองเคลื่อนที่ (ขายทองหยิบ-ทองหยอด) เรือก๋วยเตี๋ยวเรือกรุงเก่า และเรือย้อนยุคกรุงเก่า รวมถึงมีเรือของชาวบ้านมาสมทบอีกกว่า 100 ลำ เพื่อจำลองบรรยากาศบึงน้ำที่ชาวอยุธยาใช้ประกอบสัมมาอาชีพ ย้อนภาพตลาดน้ำในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จแล้วทอดพระเนตรเห็นวิถีช­ีวิตชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านมีความสุขจากพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับจากพระองค์ รวมพลังกด Like (ถูกใจ) http://goo.gl/b8SE6 แฟนเพจ เพื่อเป็นการแสดงถึงความตั้งใจในการทำความดีเพื่อถวายแด่ "พระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ของพวกเราชาวไทย


ยุทธการ ใช้เงินฟาดหัว และ ถีบหัวส่ง (เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล)




เป็น ที่ทราบกันดีว่านักโทษหนีคุกเป็นเศรษฐีขี้เหนียว แม้จะจ้างวานผู้คนเผาบ้านเผาเมือง เพื่อพาตัวเองกลับบ้านเท่ ๆ ยังใช้วิธีการโกงชาติโกงแผ่นดิน สั่งการให้น้องสาวใช้เงินหลวงจ่ายเป็นค่าจ้างให้กับผู้ก่อการร้ายแดงเผาบ้าน เผาเมือง โดยเฉพาะการใช้เงินหลวงไม่มีกฏหมายรองรับ และบังอาจทำผิดกฏหมายกล้าทำกันอย่างหน้าด้าน ๆ

ทั้ง ๆ ที่ตอนปลุกระดม หลอกมวลชนคนเสื้อแดงให้เข้าใจว่าเศรษฐีจะใช้เงินของตัวเองเป็น “ค่าจ้าง” ศพละ 1 ล้านบาท แต่กลับใช้เงินหลวงถึงศพละ 7 ล้านกว่าบาท นี่คือพฤติกรรมเจ้าเล่ห์ของคนหน้าเหลี่ยมอย่างแท้จริง

เมื่อยามที่ ต้องการเกณฑ์มวลชนคนเสื้อแดงแสดงพลังจำนวนมาก ๆ เพื่อข่มขู่ผู้คนทั้งประเทศ จึงใช้ “เงินฟาดหัว” ลอกมวลชนคนเสื้อแดงให้เข้าร่วมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แต่วันดีคืนดีวิเคราะห์ว่ามวลชนคนเสื้อแดงไร้ค่า ไร้ประโยชน์ จึงประกาศ “ถีบหัวส่ง” นี้คือธาตุแท้ของนักโทษหนีคุกเศรษฐีขี้เหนี่ยว

ด้วยหลัก การ “สำหรับคนมีเงินร่ำรวย ใช้ตำแหน่งลาภยศสรรเสริญฟาดหัว สำหรับคนจนชาวบ้านรากหญ้าใช้เงินฟาดหัว” ผู้คนที่มีความโลภในสันดานจึงติดกับติดบ่วงสยบเป็นทาสนักโทษหนีคุก

สิ้น ซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ดังที่ได้เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งผมหงอกผมดำ ตลอดจนนายพล (ทหาร) หลาย ๆ คน ยอมทิ้งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์รับใช้นายทุนสามานย์

และผู้หลัก ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนต้องผิดหวังจากการถูกหลอกใช้แล้วถูกถีบหัวส่ง ถ้าไม่เชื่อลองถาม เสธบางคน หรือผู้เฒ่าอกหักบางคน ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนายกฯ แต่จนแล้วจนรอดไม่ได้เป็น

ขณะนี้เช่นเดียวกัน ผู้คนในประเทศได้เห็นพฤติกรรมหลอกใช้นายพล (ทหาร) ผลักดัน พรบ. ปรองดองซึ่งผู้คนทั้งแผ่นดินสงสัยกันว่างานนี้คงไม่ทำงานโดยไม่มีสิ่งแลกก เปลี่ยน อย่างน้อยเงิน 46,000 กว่าล้านบาทที่จะได้คืน แค่เพียงเขี่ย ๆ เศษเนื้อข้างเขียง ย่อมเป็นเงินจำนวนไม่น้อย มีหรือจะไม่ยั่วยวนให้คนหลาย ๆ คนยอมเสียศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เพราะสังคมสมัยนี้เป็นสังคมบูชาเงินเป็นใหญ่

แต่สิ่งที่น่าสังวรไว้ บ้างคือ เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ด้วยการหลอกใช้และถีบหัวส่ง และด้วยความแค้นอาฆาตที่เป็นต้นเหตุทำให้ต้องเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนพเนจรอยู่ ต่างประเทศหลายปี แม้ว่าเศรษฐีขี้เหนียวจะตัดใจโยนเศษเนื้อข้างเขียงให้เป็นที่เรียบร้อย เพื่อแลกกับการหลอกใช้ให้ทำงานใหญ่ ใช่หรือไม่ ??? (นี้คือความสงสัยของผู้คนในประเทศ)

และเป็นข้อกังขาว่าทำไมจะต้องยื่นเรื่อง พรบ. ปรองดอง ในวันที่ 25 พฤษภามคม 2555 เพื่อให้เป็นข่าวใหญ่ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2555 ???

เป็น ที่ทราบกันดีว่า วันที่ 25 พฤษภาคม 2555 เป็นวันมหาประชาเปี่ยมสุข เนื่องในวโรกาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพฯ เสด็จทุ่งมะขามหย่อง จังหวัดอยุธยา ประชาชนคนไทยทั้งประเทศมีความสุขเปี่ยมล้น และคงมีความสุขใจต่อเนื่องอีกหลายวัน แต่ไม่ทันข้ามวัน ข่าวคราวอันเป็นอัปมงคลเรื่อง พรบ. ปรองดอง ได้ถูกกลบความสุขคนไทยทั้งประเทศ โดยฉับพลัน

นี้คืออีกหนึ่งพฤติกรรม ที่ทุกครั้งที่เป็นวัน อันเป็นมหามงคลของสถาบัน อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย และเป็นวันที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศมีความสุขเปี่ยมล้น จะต้องถูกกลบด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่นักโทษหนีคุกและพวกได้กระทำขึ้นมา อย่างต่อเนื่อง

นี้คือสิ่งที่ปวงชนชาวไทยต้องคิดคำนึงถึงจิตใจของคน บางคน ที่แสดงธาตุแท้ออกมาด้วยการ “แย่งซีน” ชิงความได้เปรียบทุกครั้งไม่เว้นแม้แต่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน

แต่ด้วย เวรกรรมของคนไม่ดี ชู พรบ. ปรองดอง เพื่อให้ตัวเองกลับบ้านเท่ ๆ และกลบข่าวสถาบันทำลายความสุขของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ เวรกรรมนั้นจะตามสนองเพราะแพ้ภัยตัวเอง

ถ้ายังจำคำนายของบรรดาโหร ใหญ่หลาย ๆ ท่าน ที่ทำนายว่า ในช่วงเดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนาย 2555 จะเป็นช่วงที่ดวงของนักโทษหนีคุกวิกฤติที่สุด ซึ่งอาจจะมีอันเป็นไปไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง คือ เจ็บไข้ได้ป่วยอาการหนักสาหัส หรือ อาจจะถูกลอบสังหาร

การเร่งรีบที่ จะออก พรบ. ปรองดอง ในช่วงเดือนนี้ (พฤษภาคม) และต่อเนืองถึงเดือนหน้า (มิถุนายน) จะเป็นไปตามคำนายของบรรดาโหรใหญ่ทั้งหลายหรือไม่ ???

ประชาชน
29 พฤษภาคม 2555

ที่เกิดภพน้อยภพใหญ่กว่าบารมีจะแก่กล้าตรัสรู้




ที่เกิดภพน้อยภพใหญ่กว่าบารมีจะแก่กล้าตรัสรู้ การก่อสร้างบารมีก็ดีการตรัสรู้ก็ดี ล้วนแต่ทำกรรมที่ดีในมนุษย์ทั้งนั้น

แม้นรกเปรตอสุรกายก็ดีล้วนแต่ทำชั่วในมนุษย์โลกนี้ทั้งนั้น

พระอริยเจ้าจิตของท่านแนบสังขาร ในอวัยวะสังขารของท่านแปรอยู่เสมอ รู้ทั้งเกิดและดับทุกวาระจิตไม่มีเผลอ

และท่านรู้เท่าสังขารทุกส่วน จึงเรียกท่านมีสติอันไพบูลย์ คือมีสติเต็มที่

ฉะนั้นภายในจิตท่านไม่มีนึกคิดในทางที่ผิด และท่านไม่ทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายท่าน

ไม่มีโทษ ท่านรู้แจ้งอริยสัจอยู่ทุกเมื่อทุกขณะ

ธรรมะหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร

@ ปรองดอง ??? @


@ ปรองดอง ??? @

ล้างโทษทั่วทั้งหมด...............ทุกอย่างปลดกฎหมายมี
ไม่สนชั่วเลวดี......................หรืออย่างนี้ถึงปรองดอง ?

คืนเงินคนต้องโทษ................ที่ฉ้อโฉดไม่ต้องมอง
สิทธิการเมืองครอง................เพื่อสนองตัณหาใคร ?

สภามาล้มศาล......................นิติมารหริอชอบใด
พวกมากก็ลากไป..................กฎหมายใช้ ทำไมกัน ?

ใช้เพียงเสียงสภา..................ไม่สนค่าดีเลวนั่น
ฉิบหายไม่ช้าพลัน..................แตกแยกนั้น ไม่เห็นทาง ?

ไร้ฟืนก็ไร้ไฟ.........................ถ้านายใหญ่จะยอมบ้าง
หน้าอายไม่ไร้ยาง...................รับโทษบ้าง ใยไม่ทำ ?

เปิดหน้ามาแลกหมัด................ให้รู้ชัด เห็นแดงดำ
หน้าด้านผ่านระยำ...................เหยียบกฎย่ำ ใครจำทน ?

ตื่นเถอะประชาชาติ..................ปวงทวยราษฎร์ประชาชน
จะยอมเผด็จกล......................หรือพลีตน ป้องชาติไทย !!!

 Nakarach กลอนรักชาติ by กวีซีฟู๊ด

"ร้อยดวงใจเป็นดวงเดียวกัน"


"ร้อยดวงใจเป็นดวงเดียวกัน"

วันที่ 30 พ.ค.55 ร้อยดวงใจเป็นดวงเดียวกัน คัดค้าน พรบ.ปรองดอง(ความจริงเป็น พรบ.นิรโทษกรรม)ในพื้นที่ใกล้เคียงกับรัฐสภา เพื่อ อนาคตของประเทศชาติ และ บุตรหลานของเรา, เพื่อให้ประเทศไทยยังมีระบบการใช้กฎหมายเหลืออยู่ในประเทศของเรา ไปร่วมกันไล่ทรราชอีกครั้งหนึ่ง

- เวลา13.00 น. กลุ่มพันธมิตร รวมตัวกันที่ลานพระรูป ร.5 ASTVถ่ายทอดสด

- เวลา13.00 น. เครือข่ายประชาชน ใช้เวทีเดียวกับกลุ่มเสื้อหลากสี ประตู3รัฐสภา TVDถ่ายทอด,เครือข่ายประชาชนพิทักษ์แผ่นดิน (คุณไชยวัฒน์ คุณบวรฯ)เชิงสะพานมัฆวาน ทีวี13ถ่ายทอด (บลูสกายและ ทีนิวส์ ถ่ายทอดช่วงสำคัญทุกเวที)

**ทุกเวทีจะมีระบบ รปภ.ร่วมกัน มีการประสานงานกันอย่างเป็นระบบ**

เชิญชวนท่านหยุดงานครึ่งวัน ไปร่วมชุมนุม ไปเยี่ยมเพื่อนเก่าที่ไม่เคยเจอกัน ไปรับความรู้ได้ทุกเวที ไปกินอาหารเจฟรีที่ครัวสันติอโศก ซึ่งจะทำหน้าที่ครัวส่วนกลางครับ ไปเดินเทียวได้ทุกเวที ต่อเนื่องกัน เป็นเครือข่าย ร้อยดวงใจประชนไว้เป็นหนึ่งเดียว ร่วมรับ ร่วมรุก ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันได้ครับ ตั้งแต่ 13.00 น. ของวันที่ 30 พ.ค.นี้

อนาคตชาวนาไทยจะเป็นอย่างไร เมื่อนายทุนเลว สมสู่กับนักการเมืองเลวๆ ข้อมูลยาวแต่อยากให้อ่านกัน


อนาคตชาวนาไทยจะเป็นอย่างไร เมื่อนายทุนเลว สมสู่กับนักการเมืองเลวๆ ข้อมูลยาวแต่อยากให้อ่านกัน//มินN.
Cr เหยี่ยวข่าว...
ควันหลงแปลงนา ทุ่งมะขามหย่อง ...... เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2518 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงให้ความสนพระหทัย และให้การสนับสนุน การปฏิรูปที่ดิน อย่างเต็มพระราชหฤทัยยิ่ง โดยพระองค์ ได้พระราชทานที่ดิน ของสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์ ให้แก่รัฐบาล จำนวน 43,902 ไร่ เพื่อดำเนินการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม ในท้องที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดนครปฐม จังหวัดนครนายก จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่...... ข้อมูลล่าสุด ที่น่าสลดหดหู่ คือ กลุ่มทุนขนาดใหญ่ ในประเทศไทยเอง โดยเฉพาะเจ้าใหญ่ 2 เจ้า ได้กำลังกว้านซื้อ ที่ดินจำนวนมหาศาล ด้วยเช่นกัน ด้วยจุดมุ่งหมาย สำคัญคือการบริหารจัดการข้าว ทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่จะทำ การกว้านซื้อที่ดินทำนา จ้างเกษตรกร หรือเจ้าของเดิมเข้าทำนา ผลผลิตที่อยู่ในมือจำนวนมาก และแทบจะผูกขาด ในอนาคต ก็จะทำให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ นี้มีพลังต่อรอง ในพืชอาหาร ที่กำลังจะขาดแคลน ของโลกใบนี้ ในอนาคตอย่างเบ็ดเสร็จ
กลุ่มทุนรายใหญ่ ที่กำลังทำการกว้านซื้อ ที่ดินโดยเฉพาะที่ดิน ในภาคกลาง และเหนือตอนล่าง มีอยู่ 2 รายด้วยกัน หนึ่งคือ บริษัทซี.พี. ซึ่งมีลักษณะ การซื้อที่ดินผ่านบริษัท ในเครือ อีกหนึ่งเป็นของ เจ้าสัว เจริญ สิริวัฒนาภักดี เจ้าของเบียร์ช้าง หรือบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) มักจะมีการซื้อ ที่ดินเกษตรกรด้วย ชื่อตัวเอง การเข้ามารุก ในธุรกิจเกษตรของ 2 ยักษ์ใหญ่ครั้งนี้ เป็นเพราะเล็งเห็นแล้วว่า พืชเกษตรคือ "น้ำมันบนดิน"เก็บกินไม่หมดสิ้น .......โดยเจ้าสัวเจริญ จ้างมือดี อดีตข้าราชการ ก.เกษตร กำหนดทิศทาง เดินปลูกพืช เศรษฐกิจ มุ่งในพืช 4 ตัวหลักได้แก่ "ข้าว-ยางพารา-อ้อย-มันสำปะหลัง" ส่วนซี.พี.ยังเน้นคอนแทรกฟาร์มมิง หนุนเกษตรกร ปลูกข้าวลูกผสม หวังครองเจ้าตลาด เมล็ดพันธุ์ ขณะเดียวกัน ให้บริษัทลูก กว้านซื้อที่ดินเพิ่ม ....ซี.พี.จับมือนักการเมืองท้องถิ่น ตั้งบริษัทดำนา-ทำนา พร้อมร่วมทุนต่างชาติ จัดการระบบข้าวเบ็ดเสร็จ
การรุกคืบเข้ามา สู่ภาคเกษตร ของเจ้าสัวเจริญนั้น เริ่มตั้งแต่ปี 2547 โดยเจ้าสัวเจริญใช้กลุ่มธุรกิจการเกษตร และบริษัท ทีซีซี อะโกร ในการเดินหน้าธุรกิจนี้ โดยเจ้าสัวเจริญใช้วิธีจ้าง คนสำคัญที่สุดคือ "อนันต์ ดาโลดม" อดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้เริ่มจากการให้ ทำรายงานด้านฐาน ข้อมูลคลังที่ดิน ที่มีอยู่เกือบทุกจังหวัด ว่ามีอยู่ที่ไหน บ้าง เท่าไร และควรจะปลูก พืชเศรษฐกิจอะไร โดยพืชเกษตรที่สนใจ มากที่สุดที่จะลงทุนในระยะแรก คือ ยางพารา และเริ่มกระจายปลูก ในหลายจังหวัด ได้แก่ ระยอง ปราจีนบุรี หนองคาย ฯลฯ ถือว่าขณะนี้ เจ้าสัวเจริญเป็นเจ้าของ สวนยางพารา รายใหญ่ ที่สุดในประเทศไปแล้ว
จากนั้นเจ้าสัวเจริญ จึงเริ่มมาลงทุน ในไร่ อ้อย และโรงงานเอทานอล เพื่อทดแทนวิกฤตพลังงานด้วย โดยมีการเข้าซื้อ โรงงานน้ำตาล 4 โรง และเริ่มปลูกอ้อย จำนวน 1 พันไร่ในจังหวัดอุตรดิตถ์ และเตรียมขยายเป็น 5 พันไร่ภายในปีนี้ โดยเป็นที่ใน จังหวัดกำแพงเพชร 7 พันไร่ และสุโขทัย 3 พันไร่ นอกจากนี้ ยังเตรียมปลูกมันสำปะหลัง ในที่ดินที่คลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร และมีสวนปาล์มน้ำมัน 1 พันไร่ ที่อำเภอละแม จังหวัดชุมพร
เจ้าสัวเจริญ ...ได้มุ่งหน้าจะรุก ธุรกิจข้าวเช่นกัน โดยประกาศว่ จะเป็นชาวนาปลูกข้าวเอง และจะเป็นเจ้าของ นาข้าวรายใหญ่ ที่สุดในประเทศ โดยเจ้าสัวเจริญ ได้ลงทุนปลูกข้าวบนที่ดิน ของตัวเองในอยุธยา ประมาณ 1 หมื่นไร่ และ ในจังหวัดเพชรบูรณ์ 2 พันไร่ และยังมีที่อยู่ ในจังหวัดหนองคาย 1 หมื่นไร่ ซึ่งเหมาะเป็นพื้นที่ทำนาด้วย
ขณะนี้เจ้าสัวเจริญ มีที่ดินเพื่อ ทำการปลูกพืชเกษตร มากที่สุด รวมทั่วประเทศ หลายแสนไร่ แล้ว
ซี.พี.เน้นข้าวลูกผสม หวังครองตลาดเมล็ดพันธุ์ ...เจ้าสัวธนินท์ ให้เกษตรกรป้อนผลผลิตให้ แต่สิ่งที่ ซี.พี.กำลังผลักดันอยู่ที่ "ข้าวลูกผสม" เพราะข้าวลูกผสม มีลักษณะเป็นหมัน จะทำให้เกษตรกร ไม่สามารถเก็บผลผลิต ไว้ปลูกในรอบต่อไปได้ ต้องซื้อข้าวลูกผสม ทุก รอบการผลิต ซึ่งเป็นการผูกขาด ผลผลิตเบ็ดเสร็จ ...ในอนาคต ซี.พี. มีเป้าหมาย ที่ชัดเจนในความต้องการ บริหารจัดการข้าว ทั้งระบบ หากเกิดวิกฤตการ ขาดแคลนอาหารโลก ขึ้นมาจริง ซี.พี.ก็จะเป็นหนึ่ง ในเจ้าตลาดข้าว ที่สำคัญ โดยหัวใจของ ซี.พี.คือ จะพยายามลด พื้นที่ทำนา จัดระบบชลประทานเพิ่ม เปลี่ยนให้เกษตรกร ใช้พันธุ์ข้าวลูกผสม ซึ่งไม่ได้ทำเดี่ยวๆ โดยร่วมกับ นักการเมืองท้องถิ่น จากข้อมูล ในพื้นที่ในเครือข่ายเกษตรกร 19 จังหวัด รายงานมาว่า ตอนที่ ทักษิณ พานักธุรกิจซาอุดิอาระเบีย ไปดูการสาธิตทำนาที่บ้านประภัตร โพธสุธน ครั้งนั้น ก็มีการใช้รถแทรกเตอร์ ของซี.พี. ใช้เครื่องจักรอุปกรณ์ทั้งหมดของซี.พี. และยังใช้พันธุ์ข้าวลูกผสม ของซี.พี. ด้วย ...... ในการร่วมมือ กับนักการเมืองท้องถิ่น จะเห็นได้ ในรูปแบบของ การตั้งบริษัทรับจ้างดำนา หรือบริษัทรับจ้างทำนา ที่ขณะนี้ ได้มีผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ในพื้นที่การปลูกข้าว ที่สำคัญของประเทศ แล้ว ซึ่งตรงนี้ จะมีการกว้านซื้อที่ดิน และจ้างชาวนา ปลูกข้าวด้วย โดยจะใช้พันธุ์ข้าวลูกผสม ของซี.พี.ในการปลูก .... สิ่งที่น่ากลัว คือ การที่ต่างชาติ เข้ามาร่วมมือ กับบริษัทต่างๆ ที่กำพื้นที่ภาคการเกษตรของไทย อยู่ในมืออยู่แล้ว เข้าร่วมในกระบวนการ จัดการผลผลิตข้าว ร่วมกับบริษัทใหญ่ ซึ่งตรงนี้กลายเป็นเทรนด์ที่น่ากลัว เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ของการเข้าม ของต่างชาติ ในเรื่องเกี่ยวกับภาคการเกษตรไทย
การที่ ซี.พี.และเบียร์ช้าง...... เป็นกลุ่มทุน ที่หนุนการเมือง แทบจะทุกพรรคมาตลอด ทำให้ไม่ว่า จะรัฐบาลใดขึ้นมา ก็จะมีความเกรงใจ และไม่กล้าขัดขวาง การผูกขาดระบบข้าวเบ็ดเสร็จ

30 พฤษภา 55 จะเป็นวันพิสูจน์ว่าจะมีคนไทยกี่คนที่มีความกล้าหาญ


ผมว่าไม่ใช่บทพิสูจน์ความเป็นประชาธิปไตยหรอกครับ แต่ 30 พฤษภา 55 จะเป็นวันพิสูจน์ว่าจะมีคนไทยกี่คนที่มีความกล้าหาญ และมีปัญญาทราบว่าทุกวันนี้ประเทศนี้ถูกปกครองด้วยประชาธิปไตยจอมปลอม ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมสามานย์ มีคณะรัฐมนตรีและผู้แทนที่ใช้เงินทักษิณซื้อเสียงโกงการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศและพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คนผิดกฎหมายมากมายหลายคดีพ้นจากคดีเพื่อกลับมาครองประเทศอย่างเท่ๆ พวกมันก็เป็นรัฐมนตรีและผู้แทนอย่างเท่ๆ โดยทำให้พลเมืองทั้งประเทศเป็นทาสอย่างเท่ๆไปอีกอาจเป็นหนึ่งศตวรรษ(100 ปี) พวกเขาจึงพร้อมใจมารวมตัวกันเพื่อต่อต้านการออกกฎหมายที่จะให้รัฐบาลสามานย์บรรลุความต้องการดังกล่าว โดยพร้อมที่จะตายเพื่อรักษาประเทศนี้ให้พ้นจากสัตว์อุบาทว์ชาติชั่วในชุดสูตของคนขาวผู้กระหายการแสวงหาอาณานิคมโดยไม่ยอมหยุด


วินิจฉัย แสงสว่างวัฒนะ
4 ชั่วโมงที่แล้ว



อัพเดทข่าวล่าสุด..วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2555


ัพเดทข่าวล่าสุด..วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2555

1.เสื้อเหลืองจะชุมนุมล้อมรัฐสภา โดยรวมตัวที่ ลานพระรูปทรงม้า ร.5 เวลา 13.oo น. โดยพร้อมกันแล้วค่อยเคลื่อนตัว ตั้งเวทีปิดอาคารรัฐสภา ฝั่งประตูอู่ทองใน เวทีเริ่ม 15.00 น.

2.เสื้อหลากสีพร้อมกัน จะตั้งเวทีปิดอาคารรัฐสภา ฝั่งถนนราชวิถี เวลา 15.oo น.

3. กลุ่ม 13 สยามไท ประกาศย้ายจากศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ มาที่รัฐสภาด้วย

4. สยามสามัคคี ประกาศร่วมชุมนุมทั้ง 2 เวที เสื้อเหลืองและเสื้อหลากสี

5.ชมการถ่ายทอดได้ที่ ASTV, ทีนิวส์ ,ThaiTVD,BLUESKY และเครือข่ายสุวรรณภูมิ

ุ6.BLUESKY ชวนมวลชนออกมาแสดงพลังร่วมกัน

เพื่อนๆสมาชิก ติดตามข่าวได้ในเว็บไซต์แต่ละเจ้า และรอแถลงการร่วมแต่ละกลุ่มได้ในวันที่ 30 นี้ ..

ขอเชิญชาวไทยออกมาแสดงพลัง เพื่ออนาคตของชาติ.ถึงเวลาแล้วที่ต้องออกมาต่อต้าน พรบ ปรองดอง

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ททท.ชวน ร่วมงานพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ ที่ปราจีน

       ททท.เชิญร่วม “งานฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า” วันที่ 29 พฤษภาคม - 4 มิถุนายน 2555 ณ วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี
      
       นางสาวจิตรา พรหมชุติมา ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เปิดเผยว่า จังหวัดปราจีนบุรี จัดงานฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จังหวัดปราจีนบุรี ในวันที่ 29 พฤษภาคม - 4 มิถุนายน 2555 ณ วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาส ทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ 80 พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ ครบ 60 พรรษา
      
       และในปี 2555 นี้เป็นปีสำคัญของศาสนิกชน เพราะเป็นปีที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และในวันวิสาขบูชา วันที่ 4 มิถุนายน 2555 นี้ เป็นโอกาสพิเศษที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ครบ 2,600 ปี ร่วมจัดงานเฉลิมฉลองถวาย เป็นพุทธบูชาในช่วงเทศกาลสัปดาห์วันวิสาขบูชานี้ อย่างยิ่งใหญ่ มีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ตั้งโรงทานมหาทาน 4 ทิศ การอุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติ การถวายผ้าป่ามหากุศล การจัดนิทรรศการทางพระพุทธศาสนา ปลูกต้นตาลพระราชทาน และอีกมามาย
      
       ติดต่อสอบถามข้อมูลและตัวอย่างเส้นทางท่องเที่ยวได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครนายก โทร. 0-3731-2282, 0-3731-2284 หรือที่ www.tat8.com

แปดชั่วโมงที่สาม

แปดชั่วโมงที่สาม





จำได้ว่าตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเคยเอาวีซีดีงานสัมนาธุรกิจขายตรงของเพื่อนมาเปิดดูเล่น ๆ หลังจากเปิดดูหลายตอนก็ได้เจอกับการบรรยายของคุณหมอท่านหนึ่งที่ประสบความสำเร็จถึงระดับเพชร (ระดับชั้นในธุรกิจขายตรง) คุณหมอบอกว่าเขาใช้เวลาหลังจากเปิดคลินิกมาทำตรงนี้ คือช่วงเวลาปกติทำงานที่โรงพยาบาล เย็นเปิดคลินิก ปิดคลินิกแล้วก็ถึงจะมาทำงานที่เป็นธุรกิจขายตรง …สู้ชีวิตมาก


…มีอยู่เรื่องหนึ่งที่คุณหมอบรรยายแล้วผมจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ คุณหมอเล่าว่า
ถ้าแบ่งเวลา 24 ชั่วโมงของชีวิตเราในแต่ละวันออกเป็น แปดชั่วโมงจะได้อยู่ 3 ช่วง (24 หาร 8 เท่ากับ 3 ^^)
แปดชั่วโมงแรกคนเราทำอะไรครับ ?
…นอน
แปดชั่วโมงที่สองคนเราทำอะไรครับ ?
…ทำงาน
แล้วแปดชั่วโมงที่สามละทำอะไร ?
…นอนก็แล้ว ทำงานก็แล้ว …หลายคนบอกว่ากิน แต่จะใช้เวลากินถึงแปดชั่วโมงต่อวันเชียวหรือ
…บางคนอาจจะบอกว่าแค่เดินทางไปกลับที่ทำงานกับบ้านก็หมดแล้ว …อะไรจะทำงานไกลบ้านขนาดนั้น


คุณหมอบอกว่า “ชีวิตของคนเราวัดกันที่แปดชั่วโมงที่สาม” ว่าใครจะใช้เวลาช่วงนี้ได้มีประสิทธิภาพมากกว่ากัน
บางคนใช้เวลาช่วงนี้รับจ็อปพิเศษ ทำงานพิเศษ ยอมเหนื่อยวันนี้เพื่อสบายในวันข้างหน้า
แปดชั่วโมงที่สามของคุณหมอท่านนี้คือเปิดคลินิกแล้วก็ทำธุรกิจขายตรง

แปดชั่วโมงที่สามมันคือ ช่วงเวลาที่ใช้ติดสินอานาคตชีวิตคนเราได้ดีทีเดียว ว่าคุณจะอยู่กับที่ หรือได้ไปต่อ
ถึงแม้วันนนี้ชีวิตของเราหลาย ๆ คนอาจจะยังเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ แต่ขอให้เราใช้เวลาแปดชั่วโมงช่วงที่สองกับงานของเราให้เต็มที่
แล้วใช้แปดชั่วโมงที่สามกับอนาคตของเราให้เต็มที่ ผมว่าเราได้ไปต่อกันอย่างแน่นอนครับ
…ไปต่อที่ไหน ? (เอ้าเป็นคำเปรียบเปรยดันไม่เข้าใจอีก – -! )
… เช่น ถ้าคุณอยากเลื่อนตำแหน่ง หรืออยากเปลี่ยนไปทำงานที่คุณต้องการ ก็ใช้เวลาช่วงนี้ทุมเทศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม หรือว่าไปเข้าคอร์สเรียนพิเศษก็ได้
… อยากไปต่อเป็นเจ้าของกิจการร้านกาแฟเล็ก ๆ ก็ลองไปลงคอร์สเรียนชงกาแฟ คอร์สทำเครื่องดื่ม ทำเบเกอรี่ ทำอาหาร ฯลฯ ดูสิ มีเปิดสอนตั้งเยอะแยะ แล้วก็ไม่แพง ใช้เงินกับอาคตตัวเองยังไงก็คุ้ม
… ถ้าอยากรวย อยากเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย ก็อาจจะใช้เวลาช่วงนี้ไปทำงานพิเศษหาเงิน หรือศึกษาวิธีการลงทุน เป็นต้น
……
…..เก้าลอเก้า….
…..

วันนี้แปดชั่วโมงที่สามของเราหายไปไหน ?
ลองสำรวจตัวเองดูนะ^^


ริบบิ้นสีฟ้า มีความรู้สึกดีๆมาให้

ริบบิ้นสีฟ้า
มีความรู้สึกดีๆมาให้

ครูคนหนึ่งที่นิวยอร์คตกลงใจจะแสดงความชื่นชมนักเรียนไฮสคูล

ชั้นปีสุดท้ายที่เธอสอนด้วยการบอกเขาเหล่านั้นว่าแต่ละคนมีคุณค่า

พิเศษต่างจากคนอื่นอย่างไรบ้าง

เธอเรียกนักเรียนทุกคนไปหน้าชั้นทีละคน

แรกสุดเธอบอกแต่ละคนว่าพวกเขามีคุณค่าเพียงใดทั้งต่อตัวครูและ

ต่อเพื่อนร่วมห้อง
จากนั้นเธอก็มอบริบบิ้นสีฟ้าพิมพ์ด้วยตัวหนังสือ

สีทองเป็นของขวัญให้
ข้อความบนริบบิ้นมีว่า
'ฉันเป็นคนมีคุณค่า'

จากนั้นครูให้นักเรียนทำงานกลุ่มของชั้นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

ด้วยวัตถุประสงค์

เพื่อดูว่าการแสดงความชื่นชมยกย่องผู้อื่นส่งผลอย่างไรต่อคนในชุมชน

เธอมอบริบบิ้นแก่นักเรียนคนละสามเส้น
ให้นักเรียนเผยแพร่การรับรู้และ

ชื่นชมคุณค่าผู้อื่นในวงกว้างออกไป
จากนั้นนักเรียนจะต้องติดตามผลและ

ดูว่าใครยกย่องใครบ้าง
แล้วนำกลับมารายงานในห้องภายในหนึ่งสัปดาห์

นักเรียนชายคนหนึ่งเข้าพบผู้บริหารระดับรองที่ทำงานในบริษัทใกล้ๆ

เพื่อยกย่องที่ชายผู้นี้เคยช่วยเขาวางแผนอาชีพในอนาคต
แล้วมอบริบบิ้นติดให้บนเสื้อเชิ้ต

จากนั้นก็มอบริบบิ้นอีกสองเส้นที่เหลือพร้อมกับกล่าวว่า...

'เรากำลังทำงานกลุ่มของชั้นเรียนเกี่ยวกับเรื่องการแสดงความยกย่องชื่นชม
ผู้อื่นครับ
ผมอยากขอให้คุณช่วยหาใครสักคนที่คุณต้องการยกย่อง'

แล้วให้ริบบิ้นเขา

ส่วนอีกเส้นก็ให้เขาไว้สำหรับมอบให้คนต่อไปเพื่อเผยแพร่การยกย่องชื่นชม

นี้ให้กระจายต่อไป
แล้วช่วยกลับมาบอกผมด้วยครับว่าผลเป็นยังไงบ้าง'

ต่อมาในวันเดียวกัน
ผู้บริหารท่านนี้เเข้าพบเจ้านายเขา

ซึ่งเป็นคนที่ใครๆ

รู้กันดีว่าเกรี้ยวกราดอารมณ์ร้าย
เขานั่งลงคุยกับเจ้านายบอกเจ้านายว่าลึกๆ
เขายกย่องชื่นชมเจ้านายว่าเป็นผู้มีหัวคิดสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะ

ดูเหมือนเจ้านายเขาจะประหลาดใจอย่างยิ่ง
เขาถามเจ้านายว่าจะยินดี

รับริบบิ้นสีฟ้าเป็นของขวัญแสดงความชื่นชม
และอนุญาตให้เขาติดริบบิ้นให้ได้หรือไม่
เจ้านายผู้ประหลาดใจตอบว่าได้

เขาจึงติดริบบิ้นสีฟ้าเส้นนั้นบนปกเสื้อนอก
บริเวณเหนือหัวใจ

เมื่อเขามอบริบบิ้นเส้นสุดท้ายแก่เจ้านาย

;เขาบอกเจ้านายว่า
ช่วยอะไรผมสักอย่างได้ไหมครับ
ผมอยากให้เจ้านายช่วยส่งต่อริบบิ้น
เส้นสุดท้ายนี่ด้วยการยกย่องชื่นชมใครสักคน

พ่อหนุ่มที่ให้ริบบิ้นผมมาเป็นคนแรก
กำลังทำงานกลุ่มของชั้นอยู่

เขาอยากให้ช่วยกระจายการยกย่องชื่นชมนี้ให้เผยแพร่ในวงกว้างออกไป
แล้วดูว่าการทำแบบนี้ส่งผลต่อใครๆ
ยังไงบ้าง
ค่ำวันนั้น
ชายผู้เป็นเจ้านายกลับบ้านไปหาลูกชายวัยรุ่นอายุสิบสี่

;เขาเรียกลูกชายให้นั่งลง
แล้วกล่าวว่า
วันนี้เกิดเรื่องเหลือเชื่อที่สุดกับพ่อ
ตอนอยู่ห้องทำงาน
ลูกน้องคนหนึ่ง
เข้ามาบอกว่าเขาชื่นชมพ่อ

แล้วให้ริบบิ้นเส้นหนึ่งเป็นการยกย่องว่าพ่อเป็นอัจริยะเรื่อง

ความมีหัวคิดสร้างสรรค์

ลองนึกดูเขาคิดว่าพ่อมีหัวคิดสร้างสรรค์เข้าขั้นอัจฉริยะเชียวนะ

แล้วเขาก็เอาริบบิ้นเส้นนี้ที่เขียนว่าฉันเป็นคนมีคุณค่า

ติดให้บนปกเสื้อนอกตรงหัวใจนี่แล้วยังให้ริบบิ้นพ่อมาอีกเส้น

ให้พ่อมองหาใครสักคนที่จะยกย่องชื่นชมต่อ

ระหว่างที่พ่อขับรถกลับบ้าน
ก็คิดว่าริบบิ้นเส้นนี้จะให้ใครดี

แล้วพ่อก็นึกถึงแก

พ่ออยากชื่นชมแกนะ
วันๆ  พ่อทำงานยุ่งเหยิงมาก

พอกลับมาบ้านก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจแกสักเท่าไร

บางทียังอาละวาดอีก
เรื่องแกเรียนได้เกรดไม่ดี
เรื่องทำห้องนอนรก

แต่ยังไงไม่รู้สิ
วันนี้พ่อกลับอยากนั่งลงตรงนี้กับแก

อยากบอกว่าแกมีค่ากับพ่อมากแค่ไหน
นอกจากแม่แกแล้ว

ก็มีแกนี่แหละที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตพ่อ
แกเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมเลยแหละ
แล้วพ่อก็รักแกนะ...

เด็กหนุ่มผู้ตื่นตะลึงเริ่มสะอื้น
แล้วก็สะอื้น
เขาไม่อาจหยุดร้องไห้

ร่างสั่นเทาไปทั้งตัว
เขาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อแล้วกล่าวทั้งน้ำตา
'พ่อครับ
เมื่อตอนเย็น  ผมอยู่บนห้อง
นั่งเขียนจดหมายถึงพ่อกับแม่

เพื่ออธิบายว่าทำไมผมถึงฆ่าตัวตาย
แล้วก็ขอให้พ่อยกโทษให้ผม

ผมตั้งใจจะฆ่าตัวตายคืนนี้ตอนพ่อหลับ
ผมคิดว่าพ่อไม่เคยแคร์ผมเลย

จดหมายอยู่บนห้องครับ
แต่ผมคิดว่าผมคงไม่ต้องการมันแล้วล่ะ'

พ่อของเด็กหนุ่มเดินขึ้นไปบนห้องพบจดหมายข้อความสะเทือนใจ

บรรยายถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน
จดหมายฉบับนั้นจ่าหน้าถึงพ่อกับแม่

ชายผู้เป็นเจ้านายกลับไปที่ทำงานอย่างเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

เขาเลิกเป็นคนขี้โมโหแต่จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้พนักงาน

ใต้บังคับบัญชารู้ว่าพวกเขามีค่าอย่างไรบ้าง

ส่วนชายผู้เป็นนักบริหารระดับรองก็ช่วยให้คำแนะนำเด็กหนุ่มอื่นๆ

ต่อมาอีกหลายคนเรื่องการวางแผนอาชีพในอนาคต

แล้วก็ไม่เคยลืมบอกเด็กเหล่านั้นว่าแต่ละคนมีคุณค่าต่อชีวิตเขาอย่างไรบ้าง

หนึ่งในนั้นก็คือเด็กหนุ่มลูกชายเจ้านายเขา

ส่วนเด็กหนุ่มกับเพื่อนร่วมชั้นก็ได้เรียนรู้บทเรียนที่มีค่าเรื่องหนึ่งนั่นคือ

เราต่างเป็นคนที่มีคุณค่าด้วยกันทั้งนั้น

คุณไม่จำเป็นต้องส่งเมล์ฉบับนี้ต่อให้ใครแม้แต่คนเดียว..

อย่าว่าแต่สองคนหรือสองร้อยคนเลย

สำหรับฉัน(ผู้เขียนเรื่องนี้)
คุณอาจจะลบเมล์ฉบับนี้ทิ้ง

แล้วไปเปิดดูเมล์ฉบับต่อไป

แต่ถ้าคุณมีใครสักคนที่มีความหมายกับคุณมาก

ฉันขอสนับสนุนให้คุณส่งข้อความนี้

ไปให้เขาหรือเธอผู้นั้น
เพื่อให้เขาได้รับรู้ความรู้สึกของคุณ

คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า

การให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆ
มีคุณค่าแค่ไหนกับคนสักคน

ส่งเรื่องนี้ไปยังคนทุกคนที่คุณเห็นว่ามีความหมายต่อคุณ

มีความสำคัญต่อคุณ

หรืออาจส่งไปให้คนหนึ่ง.สอง..หรือสามคนที่มีความหมายต่อคุณมากที่สุด

หรือคุณอาจจะแค่ยิ้มที่ได้รู้ว่ามีใครบางคนคิดว่าคุณเป็นคนสำคัญ
ไม่งั้น
คุณก็คงไม่ได้รับเมล์ฉบับนี้แต่แรก

.........จำไว้นะ
ฉันให้ริบบิ้นสีฟ้าแก่คุณแล้ว

ทำำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป

ทำำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป 

ซึ่งแปลงมาจากทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สำหรับผู้ที่ติดในกิเลสและวัตถุอย่างหยาบ แม้การได้อะไรมาจะไม่ถูกต้องก็ตาม

เพราะมัวแต่ติดความสุขขั้นต่ำที่ไม่ใช่สุขแท้

และคิดว่าเรื่องกรรมเป็นเรื่องที่พูดพล่อยๆได้ เหมือนหลายคนลถือศาสนาแบบสำเนาท


คือเขาเขียนว่าอย่างไรก็เอาตามนั้น เขาถือพุทธก็พลอยถือพุทธตามด้วย


 แต่ไม่รู้ว่าพุทธแท้คืออะไร ตื่น รู้ เบิกบานคืออะไร แต่พอเจอสิ่งที่ตนไม่ชอบหรือเกรงกลัว จากถือพุทธก็พร้อมจะถือผีถือ

เจ้าไปแล้ว เพราะขาดความั่นคงทางใจ


แล้วหาหนทางที่จะหนีกรรมที่ตัวเองก่อ

กรรมเป็นสิ่งที่แน่นอน เที่ยงตรง แม่นยำ มาแน่ เว้นเสียแต่จะหนีได้พ้นเช่นท่านองคุลีมาล ท่านโมคคัลลานะ

และท่านโมฆราช

ท่านโมฆราชได้ฟังพระธรรมจากพระบรมศาสดาว่า"ท่านโมฆราช ท่านจงเป็นคนมีสติ

พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่า ตัวของเราทุกเมื่อเถิด

ท่านจะพ้นจากมัจจุราชด้วยอุบายอย่างนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล มัจจุราชจะ (ความตาย )ไม่แลเห็น

เมื่อฟังพระธรรมจบท่านก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

ไม่มีตัวไม่มีตน แล้วใครจะรับกรรม

สะมะชัยโย

เทคนิคกรวดน้ำแบบใหม่เพื่อชีวิตแสนสดชื่น 0



« เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 06:16:46 PM »



เปลี่ยนทุกข์เป็นสุข  รินใจ
  
 มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจเกี่ยวกับสามศรีพี่น้อง อารมณ์ อาภรณ์ และอาภา
             ครั้งหนึ่งอารมณ์ไปหาหมอดูซึ่งว่ากันว่าทำนายอนาคตได้แม่นยำมาก หมอดูอ่านไพ่สักพักก็บอกว่า "คุณจะมีสุขภาพไม่ค่อยดี เงินทองจะฝืดเคือง ชีวิตครอบครัวจะไม่ราบรื่น หมอว่า คุณจะลำบากไป ๕ ปี"
             "หลังจากนั้นฉันจะสบายใช่ไหม หมอ ?" อารมณ์ถาม
             "เปล่า หลังจากนั้นคุณก็จะชินไปเอง" หมอตอบ
            
             เรื่องต่อมาเป็นประสบการณ์ของอาภรณ์ราว ๆ ๓๐ ปีก่อน ตอนนั้นเธอไปงานทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านเพื่อน หลวงปู่บุดดารับอาราธนามางานนี้ด้วยตนเอง หลังจากฉันเสร็จเจ้าภาพได้นิมนต์หลวงปู่ซึ่งชรามากแล้ว ให้เอนกายพักผ่อนก่อนที่จะเดินทางกลับจังหวัดสิงห์บุรี
             ระหว่างนั้นข้างห้องซึ่งเป็นร้านขายของ มีคนเดินใส่เกี๊ยะขึ้นบันไดส่งเสียงดัง อาภรณ์จึงบ่นกับเพื่อน ๆ ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากหลวงพ่อมากนักว่า "แหมเดินเสียงดังเชียว"
             หลวงปู่บุดดานั้นแม้นอนหลับตาอยู่ แต่ก็รับรู้ตลอดจึงพูดเตือนเบา ๆ ว่า "เขาเดินของเขาอยูดี ๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง"
            
             เรื่องที่ ๓ นั้นถอยหลังไปไกลอีก ๒๐ ปีสมัยที่ทั้ง ๓ คนยังเด็ก คราวหนึ่งแม่กำลังทำครัวอยู่ จึงให้อารมณ์ไปซื้อน้ำปลามา ๑ ขวด อารมณ์รีบวิ่งไปซื้อทันที ขากลับเดินสะดุดหลุมหกล้ม ขวดน้ำปลาหลุดมือ อารมณ์หยิบขวดน้ำปลาเดินกลับบ้าน สีหน้าเศร้าสร้อย บอกแม่ว่า "แย่จัง หนูทำน้ำปลาหกไปตั้งครึ่งขวด"
             อาทิตย์ต่อมาแม่ให้อาภรณ์ไปซื้อน้ำมันมา ๑ ขวด อาภรณ์ซื้อเสร็จ ขากลับเดินสะดุดหิน น้ำมันหกไปครึ่งขวด แต่เธอกลับไปเล่าให้แม่ฟังอย่างยิ้มแย้มว่า "เมื่อกี้หนูหกล้ม แต่ยังดีที่คว้าเอาไว้ได้ทัน มีน้ำมันเหลือตั้งครึ่งขวดแน่ะ"
             ๒-๓ อาทิตย์ต่อมา ถึงเวรของอาภาบ้าง เธอไปซื้อน้ำส้มสายชูกลับมาก็บอกแม่ว่า "เมื่อกี้หนูหกล้ม แต่ยังดีที่คว้าเอาไว้ได้ทัน มีน้ำส้มเหลือตั้งครึ่งขวด แต่หนูรับปากว่าต่อไปจะไม่เผลออีก" ว่าแล้วเธอก็กลับไปขุดเอาหินที่โผล่ตามทางเดินออกจนหมด รวมทั้งกลบหลุมที่อาจทำให้ใครต่อใครเดินสะดุดด้วย
            
             ทั้ง ๓ เรื่องนี้แม้จะต่างกัน แต่อย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือเป็นเรื่องของการประสบกับปัญหาหรือสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ปัญหาหรือสิ่งไม่น่าพอใจเมื่อเกิดกับใคร ก็มักจะทำให้ทุกข์ แต่วิธีที่จะทำให้ไม่ทุกข์ ก็มีอยู่ วิธีแรกคืออดทน ไม่ตีโพยตีพาย ไม่นานก็จะปรับตัวได้ พูดง่าย ๆ คือชินไปเอง อย่างเรื่องแรก คนเราไม่ว่าจะทุกข์แค่ไหน จิตใจก็มักจะปรับตัวให้คุ้นชินได้เสมอ หากมีเวลาพอ หรือไม่คิดสั้นเสียก่อน มีคาถาหนึ่งที่จะช่วยให้เราทนได้มากขึ้นก็คือ เมื่อหายใจเข้า ให้พูดกับตนเอง "ทนได้" เมื่อหายใจออก ให้พูดในใจว่า "สบายมาก"
            
             วิธีที่ ๒ คือการใช้ตา หู รวมไปถึงจมูก ลิ้น และกายให้เป็น เรื่องนี้โยงไปถึงจิตใจ ความทุกข์นั้นบ่อยครั้งเกิดขึ้นก็เพราะใจเราไม่อยู่สุข ชอบสั่งตาหรือหูให้ไปรับเอาสิ่งไม่ดีมาสร้างปัญหาแก่จิตใจ เสียงนั้นแม้จะดัง แต่ถ้าไม่ฟัง ปัญหาก็ไม่เกิด ใครเขาจะบ่น จะว่า ถ้าไม่สนใจเสียอย่าง จะทุกข์ได้อย่างไร ข้อสำคัญคือต้องรักษาใจให้ดี อย่าปล่อยใจให้เพ่นพ่านออกไปนอกตัวมากนัก จะทำอย่างนั้นได้ต้องมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ หรือไม่เช่นนั้น ก็ให้มีสมาธิจดจ่าอยู่กับอะไรสักอย่างที่ดี ๆ เช่น เสียงเพลงที่ไพเราะ หรือจดจ่าอยู่กับลมหายใจเข้าออกก็ได้
            
             วิธีที่ ๓ ก็คือ มองแง่ดี เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา ลองมองให้เห็นแง่ดีของมันบ้าง ไม่มีอะไรที่ไม่มีแง่ดีเลย เจ็บป่วยก็มีแง่ดี คือได้พักผ่อน ได้มีเวลาทำสิ่งที่ชอบ อยู่กับครอบครัว หรือเข้าหาธรรมะ อย่างน้อย ๆ แง่ดีอย่างหนึ่งที่ต้องมีแน่ ๆ ก็คือ ดีที่ไม่หนักกว่านั้น เงินหาย ๑,๐๐๐ บาท ก็ยังนับว่าดีที่ไม่หาย ๑๐,๐๐๐ บาท เวลาถูกคนนินทา ก็ยังดีที่เขาไม่ทำร้ายเรามากกว่านั้น
            
             อย่างไรก็ตามมองแง่ดีอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องลงมือจัดการกับปัญหาหรือป้องกันมิให้เกิดซ้ำอีก การมองแง่ดีทำให้อาภาไม่เป็นทุกข์กับการสะดุดหกล้ม แต่เธอไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น หากยังออกไปขุดหินและกลบหลุมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำซากอีก มองแง่ดีทำให้เราไม่ทุกข์เวลาเจ็บป่วย แต่ก็ต้องหาทางป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยอีก เช่น ออกกำลังกายมากขึ้น กินอาหารให้สมดุลกว่าเดิม เป็นต้น
             ความทุกข์นั้นเราสามารถแปรเปลี่ยนให้เป็นความไม่ทุกข์ หรือเปลี่ยนให้กลายเป็นความสุขได้ สิ่งเลวร้ายไม่น่าพอใจ เมื่อเกิดขึ้นกับเรา ใช่ว่าจะทำให้เราทุกข์ไปเสียหมด ก็หาไม่ ทุกข์หรือไม่ทุกข์อยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา
             ปีใหม่ ใคร ๆ ก็อยากให้ตนเองประสบสิ่งดี ๆ แต่จะดีกว่านั้นถ้าฝึกตนให้มีความอดทน มีสติ สมาธิ และมองแง่ดี รับรองว่า ไม่ว่าจะเจออะไรก็ตาม ก็ยากจะทำให้เราทุกข์ได้ นี้คือหลักประกันแห่งความสุขที่แท้จริง

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"งานวันเกษตรปราจีนบุรี" : 25 พ.ค. - 2 มิ.ย. 55 ณ ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ หน้าศาลากลางจังหวัดปราจีนบุรี(หลังเก่า)

  "งานวันเกษตรปราจีนบุรี" : 25 พ.ค. - 2 มิ.ย. 55 ณ ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ หน้าศาลากลางจังหวัดปราจีนบุรี(หลังเก่า) อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ภายในงานมีตลาดนัดจำหน่ายผลไม้ ผัก พันธุ์ไม้ ผลิตภัณฑ์ ทางเกษตร และสินค้า OTOP การประกวดผลไม้คุณภาพ - ผลไม้ยักษ์ ผักยาว ประกวดไม้ดอกไม้ประดับ ประกวดขวัญใจเกษตรกร ประกวดขบวนรถยนต์ตกแต่งทางการเกษตร สอบถามได้ที่สำนักงานเกษตรจังหวัดปราจีนบุรี โทร.0-3721-7871-2 หรือที่ททท. สำนักงานนครนายก โทร. 0-3731-2282

เมืองปากน้ำ ชวนร่วมฉลอง 197 ปี ฉลองเมืองนครเขื่อนขันธ์

       ททท.เชิญร่วมงานฉลองเมืองนครเขื่อนขันธ์ 197 เพื่อสืบสานประวัติศาสตร์การสร้างเมืองพระประแดง ระหว่างวันที่ 23 พ.ค. 55 และวันที่ 1-3 มิ.ย. 55 ณ เทศบาลเมืองพระประแดง
       จ.สมุทรปราการ
      
       ททท.สำนักงานกรุงเทพมหานคร ร่วมกับเทศบาลเมืองพระประแดง หน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดงานฉลองเมืองนครเขื่อนขันธ์ 197 ปี แห่องค์เจ้าพ่อหลักเมือง ระหว่างวันที่ 23 พฤษภาคม 2555 และวันที่ 1-3 มิถุนายน 2555 ณ เทศบาลเมืองพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อสืบสานประวัติศาสตร์การสร้างเมืองพระประแดงและแสดงความจงรักภักดีถวาย เป็นราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา
      
       นางเยียรยง ไชยรัตน์ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เมืองนครเขื่อนขันธ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2358 ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และทรงโปรดให้ชาวมอญสามโคกย้ายถิ่นฐานมาอาศัยยังเมืองนครเขื่อนขันธ์แห่งนี้ ทรงแต่งตั้ง “สมิงทอมา” บุตรพระยา “เจ่ง” เป็นผู้รักษาเมือง ต่อมาได้มีการสร้างศาลเจ้าพ่อหลักเมืองพระพิฆเนศขึ้นเพื่อเป็นสิ่งยึด เหนี่ยวจิตใจของชาวเมืองนครเขื่อนขันธ์ นับแต่นั้นมาศาลเจ้าพ่อหลักเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นศาลเจ้าพ่อหลักเมืองพระ พิฆเนศ ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย และจากความศรัทธาของชาวพระประแดงที่มีต่อเมืองนครเขื่อนขันธ์และศาลเจ้าพ่อ หลักเมือง จึงกำหนดให้วันที่ 2 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันแห่งการก่อตั้งเมืองนครเขื่อนขันธ์และศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ศูนย์รวมจิตใจ ความรักและสามัคคีของชาวพระประแดง
      
       โดยวันที่ 23 พฤษภาคม 2555 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเททองหล่อองค์เจ้าพ่อหลักเมืองพระ พิฆเนศจำลอง และทรงพระสุเหร่าวัตถุมงคล ณ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองพระประแดง และในวันที่ 1-3 มิถุนายน 2555 เชิญร่วมพิธีทำบุญเมือง พิธีบวงสรวงรัชกาลที่ 2 และแห่องค์เจ้าพ่อหลักเมืองพระพิฆเนศ พร้อมร่วมงานเฉลิมฉลองแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา เพื่อแสดงความจงรักภักดีและเทิดพระเกียรติในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวง ชนชาวไทย
      
       สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเทศบาลเมืองพระประแดง โทรศัพท์ 0-2463-4841

สูตรเด็ดไข่เจียว เอาไว้ไปทำกัน

สูตรเด็ดไข่เจียว เอาไว้ไปทำกัน
 
 
สูตรเด็ดไข่เจียว 
เริ่มกันด้วยเคล็ดลับการเจียวไข่กันก่อน
ทำไงให้กรอบๆ ฟูๆ


ไข่เจียวกรอบ


ส่วนผสม

-
ไข่ไก่  1-2 ฟอง  (วางไว้ที่อุณหภูมิห้องให้หายเย็น)
-  
แป้งโกกิผสมน้ำเล็กน้อย
-
ผงฟู 1/2 ช้อนชา
-
น้ำปลาและน้ำตาลเล็กน้อยสำหรับปรุงรส
-
น้ำมันสำหรับทอด (น้ำมันหมูอร่อยที่สุด แต่น้ำมันพืชก็ใช้ได้)

วิธีทำ

1.
ตอกไข่ใส่ชาม ตามด้วยแป้งโกกิที่ผสมน้ำไว้แล้ว ผงฟู  และน้ำปลากับน้ำตาลสำหรับปรุงรส  (ใครอยากใส่'ส่วนผสมเพิ่ม'ก็ตามสบาย)  จากนั้นตีไข่กับส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนขึ้นฟอง
2.
ในกะทะที่ตั้งน้ำมันรอไว้จนร้อนแล้ว (ใช้น้ำมันเยอะๆ ) ให้นำไข่ที่เจียวเตรียมไว้เทจากที่สูงๆ ลงไปทอด ให้เหลือง ฟู  และกรอบทั้งสองด้าน แล้วนำเสริฟร้อนๆ ทานคู่กับซอสพริกเข้ากันดี
(
ส่วนผสมเพิ่มก้ออาจจะเป็น  หมูสับ ไก่สับ กุ้ง ปู แฮม แหนม หอย มาม่า ปลาป๋อง พริกสด หอมแดง ข้าวโพด ทูน่า  ฯลฯ แล้วแต่รสนิยมเลยค่ะ)

ไข่เจียวฟู
 

1.
ตีไข่ปรุงรสตามชอบ ใส่น้ำตาลนิดหน่อยเพราะน้ำตาลจะทำให้กรอบ
2.
ใช้กระป๋องนมข้นเจาะให้เป็นรู หรือใช้ทัพพีที่มีลีกษณะเป็นรูๆก็ได้  
ใส่ไข่ในกระป๋องแล้วก็ให้ไข่ไหลออกมาเรื่อยๆ  ใส่ลงกระทะน้ำมันเดือดไฟแรง

เมือสุกแล้วช้อนขึ้นมาพักไว้
พร้อมเสริฟ

ไข่เจียวใบตอง  


เป็นการเจียวไข่โบราณ 'โดยไม่ใช้น้ำมัน'
ให้ใช้ใบตองเขียวๆ แบบ อ่อนๆ เพิ่งออกมาใหม่ๆ ล้างหลายๆครั้งและตากให้แห้ง  
วิธีทำ

1.
ตีไข่ปรุงตามชอบใจ
2.
นำกระทะตั้งไฟจนร้อน ไม่ต้องใส่น้ำมัน
3.
แล้วนำใบตองมารองก้นกะทะ แล้วเทไข่ลงไป ทอดบนใบตอง  

ไข่ป่าม  


อาหารล้านนา ที่หารับประทานได้ยาก ไข่ป่าม
มีลักษณะคล้ายไข่เจียว  
ป่าม หรือ
การทำให้อาหารสุกโดยนำอาหารใส่ในใบตองแล้วนำไปปิ้งหรือ
ย่างบนไฟอ่อน ๆ
นอกจากไข่จะสุกแล้ว  ยังมีกลิ่นหอมจากใบตองอีกด้วย

1.
ตีไข่ ปรุงรสด้วยเกลือป่น
2.  
พับใบตองเป็นกระทง ใส่ไข่ที่ตีแล้วลงไป  โรยด้วยต้นหอม ใบหอม 3
3.
นำไปย่างไฟอ่อน ๆ จนไข่สุกเหลือง น่ารับประทาน  

แล้วก้อมาถึงเมนูไข่เจียวนานาชาติ อร๊อยย อร่อย


ไข่เจียวต้มยำ
 >ประเดิมกันด้วยของไทยๆก่อนเลย

ส่วนผสม

-
ไข่ไก่  2 ฟอง
-
น้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
-  
ตะไคร้ซอยแว่นบาง 1 ต้น
-
พริกขี้หนูซอยหรือสับหยาบๆ  3-5 เม็ด
-
น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำพริกเผา(ไม่เอาน้ำมัน) 1 ช้อนชา
-
ใบมะกรูดหั่นฝอย 2 ใบ
-
กุ้งสดสับหยาบ 2  ช้อนโต๊ะ(ไม่ใส่ก็ได้)

วิธีทำ

1.  
ตอกไข่ใส่ชามปรุงรสด้วยน้ำปลา  มะนาวและเครื่องปรุงทั้งหมด ตีให้ขึ้นฟู
2.
ทอดไข่ในกระทะน้ำมันร้อนจนสุกเหลือง  
3.
ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จานเสิร์ฟกับข้าวสวยร้อนๆ

ไข่เจียวฝรั่งใส่เห็ดและชีส
  อาหารเช้าฝาหรั่ง
เครื่องปรุง

-
เห็ดนางฟ้า หรือเห็ดอะไรก็ได้ตามที่ชอบ 1 ขีด
-
เนย Clarify 1/2 ถ้วยตวง
-
หอมแดงสับ 1 ช้อนชา
-  
เนยแข็งขูด Cheddar ชีส 30 กรัม
-
ไข่ไก่ 3 ฟอง
-
นม 3-4 ช้อนโต๊ะ
-
เกลือ / พริกไทย พอประมาณ  

วิธีทำ

1
นำกระทะตั้งไฟแล้วใส่เนย  Clarify 2 ช้อนโต๊ะ
2
เมื่อกระทะร้อนนำเห็ดลงไปผัดกับหอมสับ ปรุงรสด้วยเกลือ  พริกไทย แล้วตักออกพักไว้
3
นำกระทะ ตั้งไฟ แล้วนำเนย Clarify ใส่ลงไปให้ร้อนประมาณ  4-5 ช้อนโต๊ะเมื่อร้อนแล้วจึงนำไข่ไก่ที่ตีให้เข้ากันกับนม  หรือครีมลงไปในกระทะ คนให้ข้น แล้วกระจายไข่ให้ทั่วกระทะ
4
ลดไฟอย่าให้ไข่ไหม้หรือเหลือง  ตักเห็ดยัดแล้วโรยด้วย Cheddar ชีสขูด  แล้วจึงค่อย ๆ เคาะ กระทะเพื่อม้วนไข่ให้เป็นห่อกลม ๆ เรียว ๆ ยาว ๆ เสิร์ฟร้อน  

ไข่เจียวเสฉวน
เจียวไข่กันแบบจีนๆ

เครื่องปรุง

-
ไข่ไก่ 6 ฟอง
-
หมูสับ 50 กรัม
-
ต้นหอมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำซุปไก่ 1 ถ้วย
-
แป้งมัน  1/2 ช้อนโต๊ะ
-
เกลือ 1/2 ช้อนชา
-  
หน่อไม้กระป๋องสับ 60 กรัม
-
เห็ดหูหนูสับ 20 กรัม
-
ผักกาดดองสับ  20 กรัม
-
เกลือ 1 ช้อนชา
-
แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำมันสำหรับทอด  1/2 ถ้วย

วิธีทำ

1
นำไข่ไก่ 6 ฟองมาตีกับแป้งมัน และเกลือ
2
นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันให้ร้อนไม่ต้องมากนัก ( ปานกลาง) เทไข่ลงไปแล้วลดไฟให้อ่อน  ทอดไข่ข้างหนึ่ง 3 นาที เมื่อไข่ฟูเสมอกันกลับไข่ ทอดต่ออีกข้างให้เหลือง  เมื่อเหลือและ กรอบนิดหน่อยตักออกแล้ว นำไปหั่นเป็นชิ้นพอคำ ใส่จานพักไว้
3
นำกระทะอีกใบตั้งไฟใส่น้ำมันลงไปนิดหน่อย  เมื่อร้อนนำหมูสับลงไปผัดให้สุ แล้วจึงใส่น้ำซุปลงไป ต้มให้เดือด ใส่หน่อไม้ เห็ดหูหนู  และผักกาดดองสับ ปรุงรสด้วยเกลือ และพริกไทย  เมื่อรสชาติเป็นที่พอใจแล้วทำให้ซอสข้นด้วยแป้งมันผสมน้ำ  นำซอสนี้ไปราดบนไข่เจียว โรยหน้าด้วยหอมสับ เสิร์ฟร้อน ๆ

ไข่ทอดน้ำหน้ากระเพราไก่
Ø       เมนูนี้ลูกครึ่งไทยอเมริกัน

เครื่องปรุง :-

ไข่ไก่
2  ฟอง  
ขนมปังปิ้ง
4 ชิ้น
น้ำต้มสุก
1/2 ลิตร
น้ำส้มสายชู  
1/4 ถ้วยตวง
พริกขี้หนู รากผักชี กระเทียม พริกไทย
โขลก 1 ช้อนโต๊ะพูน
เนื้อไก่ติดหนังบด  
150 กรัม
น้ำมันพืช
4 ช้อนโต๊ะ  
น้ำปลา พอประมาณ

น้ำตาลปี๊บ พอประมาณ

ใบกระเพราสด  
1/2 ถ้วยตวง
ใบกระเพราทอดกรอบ
1/2  ถ้วยตวง  

วิธีทำกระเพราไก่ :-

1.
นำพริกขี้หนู รากผักชี กระเทียม พริกไทย ที่โขลกหยาบ ๆ
ไว้แล้วลงไปผัดไฟอ่อน  
เร่งไฟขึ้นนำเนื้อ ไก่ลงไป  ผัดต่อให้สุกใส่ใบกระเพราสดลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน
2.
ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ  พักไว้สำหรับราดหน้าไข่ทอดน้ำ

วิธีทำไข่ทอดน้ำ  :-

1.
ต้มน้ำผสมน้ำส้มสายชูให้เดือด
2.  
ตอกไข่สดลงไปในถ้วย แล้วค่อย ๆ  เทลงไปในน้ำที่เดือดอยู่ ไข่ขาวจะรวมตัวเป็นลูกเอง
3.
ลดไฟ  และต้มต่อไปจนกระทั่งไข่ขาวเริ่มแข็งตัว  
4.
นำทัพพีที่มีรูตักไข่ขึ้นมา  ซับน้ำให้แห้งด้วยกระดาษซับมันแล้วนำไข่ไปวางบนขนมปังที่ปิ้งและตัดขอบไว้แล้ว
5.
ราดหน้าไข่ด้วยไก่ผัดใบกระเพรา
6.  
แต่งหน้าไข่ด้วยใบกระเพราทอดกรอบ เสริฟร้อน ๆ  รับประทานเป็นอาหารเช้า

ไข่เจียวญี่ปุ่น

Ø       > ทามาโกะยากิ ทำเองด้ายง่ายนิดเดียว

ไข่เจียวสไตล์ญี่ปุ่น  หรือไข่ม้วน (
Egg roll) ไข่เจียวจะออกหวาน  
ดังนั้นจะทำให้ไข่ไหม้ง่ายมากๆ
 ควรระมัดระวังเรื่องความร้อนด้วยนะคะ
ส่วนผสม

-
ไข่ 3 ฟอง
-
น้ำตาล 1 ช้อนชา
-
น้ำซุป 2 ช้อนโต๊ะ
-
ซอสถั่วเหลือง  2 ช้อนชา
-
น้ำมันพืช 2 ช้อนชา

วิธีทำ

1.
ตอกไข่ใส่ชาม
2.  
เติมน้ำตาล น้ำซุป ซอสถั่วเหลืองและตีให้เข้ากัน
3.  
เทน้ำมันใส่กระทะและรอให้ร้อน
4.
ปรับความร้อนลงมาและเทไข่ลงไป 1/3 ของในชามลงไปในกระทะ
5.
แผ่ไข่ให้ทั่วกระทะ
6.
เมื่อไข่เกือบสุก  ให้ม้วนไข่ไปทางด้านบนจนถึงขอบด้านบนของกระทะ (ชั้นที่ 1ในสุด)
7.
เทส่ว?ผสมที่เหลือลงไปอีกครึ่งหนึ่ง และแผ่ให้ทั่วกระทะ
8.
ขณะที่แผ่ไข่ให้ทั่วกระทะ ให้ตักไข่ม้วน(ชั้นที่ 1)มาไว้ด้านบนไข่ที่แผ่ไว้
9.  
เมื่อไข่ชั้นล่างเกือบสุก  ให้ม้วนไข่ไปไว้ด้านบนของกระทะ (ชั้นที่  2)
11.
เทส่วนผสมที่เหลือทั้งหมด และทำแบบเดิมอีกครั้ง
12.
เมื่อทำชั้นที่  3 แล้วและม้วนแล้ว หั่นพอดีคำ พร้อมเสิร์ฟ

ไข่ตุ๋นญี่ปุ่น
 
Ø       อดไม่ได้ของโปรด ชาวามูชิ ไข่นุ่มๆเนียนๆ

1.
ตอกไข่ใส่ชาม ตีแบบไข่เจียว
2.
 ใส่น้ำ(หรือจะใช้น้ำซุป) 3เท่าของปริมาณไข่  
3.
คนให้ไข่เข้ากะน้ำซุป
4.
 ปรุงรสด้วยซีอิ๊วหรือเกลือ(ถ้าใช้น้ำซุปทำให้ใช้เกลือปรุง ไม่งั้นซีอิ๊วจะทำลายกลิ่นน้ำซุป)
5.
เอาส่วนผสมที่ได้มากรองฟองออก  'จนฟองหมด'
6.
เทใส่ชาม (อาจใส่เนื้อกุ้ง ปู แฮม  ไปด้วยตามสะดวก) ตุ๋นไฟปานกลางจนกว่าจะสุก
(
วิธีดูว่าสุกหรือไม่  ใช้ส้อมจิ้มไปตงกลางไข่ ถ้าไม่มีน้ำไข่ติดส้อมออกมาเปนอันใช้ได้ หรือ
ใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มดู
ถ้าไม้จิ้มฟันเปลี่ยนสีเข้มคือยังไม่สุก)

ไข่เจียวผักโขมชีส
 
 อิตาเลียนน..น

ส่วนผสม
ไข่ไก่  
1 ฟอง
ซอสหอยนางรมตราแม็กกี้
2  ช้อนชา  
เนื้อหมูสับ
1 ช้อนโต๊ะ
ผักโขมซอย
1 ช้อนโต๊ะ
มอสซาเรลลาชีส
 หั่นชิ้นเล็กๆ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับทอด


วิธีทำ

1.
ตอกไข่ ใส่ภาชนะ  ตามด้วยซอสหอยนางรมตราแม็กกี้ หมูสับ มอสซาเรลลาชีส และ ผักโขม  ตีพอส่วนผสมเข้ากันดี
2.
ใส่น้ำมันพืชลงกระทะพอร้อน  นำส่วนผสมลงทอดไฟปานกลางพอสุกเหลืองทั้งสองด้าน
ไข่เจียวมันฝรั่ง

 > เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ  

ส่วนผสม

มันฝรั่ง
500 กรัม
ไข่ไก่
2 ฟอง
กระเทียมสับละเอียด
    6 กลีบ
ผักชีสับละเอียด  (ไม่ใช้ราก)
  1 ช้อนโต๊ะ
เนยสด
  1  ช้อนโต๊ะ  
เกลือป่น
  1 ช้อนชา
พริกไทยป่น  
1 ช้อนชา
น้ำมันพืช
3 ช้อนโต๊ะ  

วิธีทำ

1.
นำมันฝรั่ง มาปอกเปลือก  ล้างน้ำ แล้วหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ
2.
นำกระทะตั้งไฟ  ใส่น้ำมันลงไป เมื่อร้อน นำมันฝรั่งลงไปทอดให้เหลือง แล้วตักขึ้น  พักไว้บนกระดาษซับน้ำมัน        
3.
ในกระทะเดียวกัน  เทน้ำมันออก เหลือติดไว้เล็กน้อย แล้วนำผักชี กระเทียม พริกไทย เกลือ ใส่ลงไป  คนให้สุกทั่วกัน
4.
นำมันฝรั่งทอด  ที่พักไว้ใส่ลงไปในกระทะ ตามด้วยใส่เนยสด  ลงไปข้างๆ มันฝรั่งวนไปรอบๆ  เพื่อให้เนยละลายเข้าไปในมันฝรั่งเสียก่อน  จึงเทไข่ที่ตีจนขึ้นฟูไว้แล้วลงไปให้กลบมันฝรั่ง กะว่าพอเหลืองค่อยกลับพลิกอีกด้านให้เหลือง