ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ 
งมงายหรือไม่งมงาย ?
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
งมงายหรือไม่งมงาย ?
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
พระพุทธศาสนาพูดถึง “ปาฏิหาริย์” ไว้ 3 ชนิด คือ
1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ต่างๆ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ หายตัว ร่างเดียวแปลงเป็นหลายร่างได้ ฯลฯ)
2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (ดักใจ ทายใจคนอื่นได้)
3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (แสดงธรรมชี้คุณชี้โทษให้เขาเลื
ตามทรรศนะพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ามิได้ปฏิเสธปฏิหาริ
พระองค์ตรัสว่า ปาฏิหาริย์อย่างสุดท้าย (อนุสาสนีปาฏิหาริย์) ประเสริฐกว่าสองอย่างข้างต้น และเป็นปาฏิหาริย์ที่พระองค์
แต่
สำหรับสองอย่างข้างต้น แม้จะไม่ทรงปฏิเสธ ทรงรับว่า มี เป็นได้ มีได้ 
และมีประโยชน์ในระดับหนึ่ง แต่ทรงสอนให้ “วางท่าที” และปฏิบัติให้ถูกต้อง 
ถ้าใช้ไม่ถูกต้องก็เป็นเรื่
ยกเฉพาะอิทธิปาฏิหาริย์ก่อนก็
พูดแล้วอาจไม่กระจ่าง ความหมายก็คือ ถ้าแสดงฤทธิ์เพื่อให้เขาอั
ที่ว่านี้ก็มิได้พูดเอาเอง มีเรื่องเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว คือในสมัยพุทธกาล เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์คนหนึ่
เหตุการณ์ผ่านไปถึงเช้าวันที่ 7 ก็ไม่มีใครเหาะไปเอาบาตร พระเถระสองรูปคือ พระโมคคัลลานะกับพระปิณโฑละภารั
พระโมคคัลลานะ ได้ยินหันมามอง พระปิณโฑละภารัทวาชะ แล้วกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ ประชาชนกำลังดูหมิ่นว่าไม่มี
เศรษฐีเลื่อมใสในพระเถระ มอบตนเป็นศิษย์ท่าน ถ่ายอาหารบิณฑบาตท่านแล้ว อุ้มบาตรเดินตามหลังท่านกลั
แทนที่พระองค์จะทรงยินดีด้วย กลับตรัสเรียก ‘พระปิณโฑละภารัทวาชะ’ มาเข้าเฝ้า พร้อมภิกษุสงฆ์จำนวนมาก ตรัสตำหนิกลางที่ประชุมด้
เป็นคำตำหนิที่แรงมาก ทรงเห็นว่าพระสาวกของพระองค์ที่
ตรงนี้คนทั่วไปที่เคร่งต่อตั
ร้อนถึง พระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์เสด็จไปทูลถามพระพุทธเจ้
“หม่อมฉันก็จับมันมาทำโทษ” พระราชากราบทูล
“ถ้ามหาบพิตรอยากเสวยมะม่
“หม่อมฉันก็ให้คนปลิดมาให้กิน”
“มหาบิพตรห้ามคนอื่นกินมะม่
“ก็หม่อมฉันเป็นเจ้าของสวน ย่อมมีสิทธิ์เอามะม่วงมากินได้”
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เช่นเดียวกันนั่นแหละ พระพุทธองค์เป็นเจ้าของศาสนา ย่อมมีสิทธิแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ไม่ใช่ไม่ให้แสดงอิทธิฤทธิ์ แสดงได้ แต่ให้มีเหตุผลและจุดประสงค์อั
ถ้าใช้อิทธิฤทธิ์เป็น “สื่อ” สอนธรม การแสดงฤทธิ์ก็เหมาะสมและถูกต้
เมื่อใช้ฤทธิ์ปราบฤทธิ์ได้แล้ว ไม่ควรหยุดอยู่แค่นั้น ควรสอนให้เขาละวางเรื่องฤทธิ์ก้
ผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาในปัจจุบั
ให้เตือนตนอยู่เสมอว่า พึงใช้อิทธิฤทธิ์เป็น “สื่อ” จูงคนเข้าหาพระธรรมที่สูงขึ้น มิใช่ใช้เพื่อให้คนเขาอัศจรรย์
นี้พูดถึงผู้ที่สามารถแสดงอิทธิ
เรื่อง
เกิดครั้งแรกสมัยพุทธกาล เกิดข้าวยากหมากแพงไปทั่วเมือง 
พระสงฆ์องคเจ้าอยู่ลำบาก มีอาหารบิณฑบาตไม่พอเพียง เนื่องจากชาวบ้านยากจน 
ไม่ค่อยมีอะไรกินอยู่แล้ว จึงไม่มีมาเจียดถวายให้พระสงฆ์ มีภิกษุกลุ่มหนึ่ง
 อยู่หมู่บ้านชายฝั่งน้ำวัคคุมุ
ทั้งหมดเห็นดีเห็นงามด้วยกับข้
ภิกษุต๋อง ก็พรรณนาสรรพคุณของภิกษุตึ๋งให้
ชื่นชม ไม่ชื่นชมเปล่า ต่างก็นำข้
เมื่อท่านเหล่านี้ไปเฝ้าพระพุ
เนื่องจากภิกษุกลุ่มดังกล่าวเป็
การอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็
แต่ที่รู้แน่ก็คือ “สำนึกในใจ” ของบุคคลนั้นเองว่า เขาผิดหรือไม่ นอกเสียแต่ว่าเป็นคนทรยศต่อจิ
ส่วนในกรณีที่ “เฉียด” ปาราชิกนั้นมีมาก จะเอาผิดถึงขั้นจับสึกก็ไม่
พูดถึงเรื่องขลังเรื่องศักดิ์สิ
ถ้า
ให้สิ่งนั้นๆ แก่ประชาชนไปเพื่อเป็น “พุทธานุสสติ” 
เตือนให้รำลึกถึงพระพุทธคุณ คอยห้ามใจจากความชั่ว ปลุกใจให้ทำความดี 
ขณะมอบให้ พระท่านก็กล่าวสอนธรรมขององค์
แต่
ถ้ามอบเหรียญมอบพระให้ พลางพรรณนาสรรพคุณว่า เก็บไว้ให้ดีๆ 
พระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ คงกระพัน ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า 
เมื่อวานนี้เด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้
ก่อนจบ ขอยกตัวอย่างจริงสักเรื่อง มีชายคนหนึ่งได้เหรียญหลวงพ่อคู
หลวงพ่อถามว่า “มึงขับเร็วเท่าไร”
“ร้อยสามสิบ-ร้อยสี่สอบครับ” ชายคนนั้นตอบ
หลวงพ่อคุณกล่าวทันทีว่า “โอ๊ย แค่ร่อยเดียว กูก็กระโดดรถหนีแล่ว กูไม่อยู่ช่วยมึงหรอก”
ฟังดูเป็นเรื่องฮิวเมอร์ แต่นี้แหละครับคือตัวอย่
หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 28
คอลัมน์ ธรรมะใต้ธรรมาสน์ โดย ไต้ ตามทาง
วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 15 ฉบับที่ 5511
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น