++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สุขภาพดีเริ่มต้นที่ตัวเรา แล้วขยายสู่ชุมชน กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนตำบลหนองไฮ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ

เรียบเรียงโดย นพรัตน์ จิตรครบุรี

            "องค์การบริหารส่วนตำบลหนองไฮ มีโอกาสเป็นตัวแทนของ อบต.ของจังหวัดศรีสะเกษที่เป็นคณะกรรมการชุดเขตพื้นที่อุบลราชธานี พวกเราสมัครใจเข้าร่วมโครงการในช่วงปลายปีงบประมาณ 2549 และถือเป็นเกียรติแก่ อบต. ที่ได้มีส่วนร่วมในการดูแลป้องกันสุขภาพ ของชาวบ้านซึ่งในบทบาทหน้าที่แล้ว อบต.ต้องดำเนินการอยู่แล้ว เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขถ้วนหน้า " นายประกาศิต สุพรหมธีรกูร นายก อบต.หนองไฮ

            การดำเนินการกองทุนสุขภาพของ อบต.หนองไฮ เริ่มด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยเน้นการบริหารงานแบบมีส่วนร่วม กรรมการจึงมาจากหลายส่วนด้วยกัน ได้แก่ นายก อบต. ปลัด อบต. หัวหน้าสถานีอนามัย, สอบต. และ อสม.ประจำหมู่บ้าน
            เมื่อทีมงานพร้อม การทำงานต้องมีการเตรียมตัว มีการวางแผนในการดำเนินกิจกรรม เมื่อดำเนินการไปแล้วก็ต้องร่วมกันทบทวนถึงปัญหา อุปสรรค และหาทางแก้ไข ชาวหนองไฮได้ช่วยกันคิดระบบการทำงานอย่างเป็นขั้นตอนดังนี้
            เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านเวทีประชาคม/สื่อต่างๆ เนื่องจากการทำงานของคณะกรรมการกองทุนฯ มุ่งเน้นถึงการทำความเข้าใจกับคนในชุมชน โดยจัดการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ การทำประชาคม การบอกข่าวผ่านหอกระจายข่าว ผ่านทางผู้ใหญ่บ้าน กำนัน กรรมการกองทุนฯ และการทำป้ายประชาสัมพันธ์

            จัดให้ อสม.และตัวแทนทุกหมู่บ้าน ทำประชาคมในแต่ละหมู่บ้าน เพื่อค้นหาปัญหาสุขภาพของชาวบ้านแล้วนำเสนอโครงการ ต่อ อบต. โดยเฉพาะการสร้างเสริมสุขภาพ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ เน้นการออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรค
            มีการเสนอแผนงาน/ กิจกรรมผ่านคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยจัดประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ให้ช่วยกันพิจารณางบประมาณและดูความเหมาะสมของโครงการบนพื้นฐานความเป็นไปได้

            การดำเนินกิจกรรมโครงการที่ผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารกองทุนสุขภาพฯ เป็นหลัก
            มีการสรุปโครงการ/ปัญหา อุปสรรคในการดำเนินกิจกรรม หาแนวทางแก้ไขร่วมกัน ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ มีหลักในการจะพิจารณาผลการบริหารกองทุนฯ ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ นั้นขึ้นอยู่กับ ความพึงพอใจของผู้ที่ได้รับการบริการ , ชาวบ้านมีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง มีความสุข และชาวบ้านเห็นว่า เรื่องสุขภาพเป็นส่วนที่ตนเองต้องรับผิดชอบร่วมกัน โดยใช้วิธีการสังเกตและการสะท้อนกลับจากประชาชน แต่ยังขาดการประเมินที่เป็นระบบ

            สำหรับงบประมาณดำเนินการ กองทุนฯ ตำบลหนองไฮ ประกอบด้วย 2 ส่วนหลักและส่วนเพิ่มเติม จากการบริจาคของประชาชน โดย สปสช.โอนเงินสมทบ 37.50 บาท ต่อคน ต่อปี ร่วมกับท้องถิ่น โอนเงินสมทบ 40%  ของเงิน สปสช. และได้รับบริจาคจากชาวบ้านอีก 500 บาทต่อปี
        กระบวนการมีส่วนร่วมโดยยึดชุมชนเป็นศูนย์กลางของชาวตำบลหนองไฮ ทำให้การดำเนินการกองทุนฯของ อบต.หนองไฮ มีความสำเร็จอยู่ในระดับหนึ่ง จากการเรียนรู้ของคนทำงานสามารถสรุปได้ว่า ปัจจัยสู่ความสำเร็จในการบริหารกองทุนฯนั้น ขึ้นอยู่กับ
            โอกาสของผู้นำชุมชนในการเข้ามามีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมการ สปสช.เขต มุมมองของผู้นำที่เห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพชุมชน แบะตระหนักว่า ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการดำเนินงานกองทุนฯ
            ทีมงานเข้มแข็งและทำงานด้วยใจ ด้วยจิตอาสาเพื่อที่จะพัฒนาชุมชนของตนเองและเพื่อต้องการให้คนในชุมชนมีสุขภาพแข็งแรง
            การมีส่วนร่วมของประชาชน โดยประชาชน มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในการตัดสินใจเลือกประเด็นปัญหาสุขภาพและนำมาแก้ไขร่วมกัน

            การดำเนินงานแบบมีส่วนร่วม เริ่มจากการได้พูดคุย ปรึกษาหารือด้วยบรรยากาศเป็นกันเอง ก่อให้เกิดทีมงานที่เข้มแข็ง ทำงานเป็นขั้น เป็นตอน มีการวางแผนในการดำเนินกิจกรรม ร่วมกันทบทวนถึงปัญหาและอุปสรรค และหาทางแก้ไข เกิดความเอื้ออาทรระหว่างกัน หน่วยงานกับชุมชนทำให้เกิดการประสานงานที่ดี
            การทำงานโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ในการดำเนินกิจกรรม ทำให้ชุมชนเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของกองทุนฯ ตระหนักว่าเรื่องสุขภาพ เป็นเรื่องของทุกคนที่ต้องใส่ใจดูแล เกิดการเอื้ออาทรซึ่งกันและกันในหมู่บ้าน
            ทั้งหมดนี้คือ การเรียนรู้ร่วมกันในเรื่องใหม่ๆ นับเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการดำเนินกิจกรรม เพราะทุกคนเมื่อเกิดข้อสงสัยก็ได้มีโอกาสพูดคุยซักถามหรือแสดงความคิดเห็นที่เป็นอิสระ ผ่านกระบวนการประชาคม การร่วมคิด ร่วมทำ

            นำมาซึ่งวิธีคิดที่เปลี่ยนไปของคนในชุมชน เกิดการตระหนักรู้ว่า การสร้างหลักประกันสุขภาพต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อนจะขยายออกไปสู่ชุมชน

ข้อมูลพื้นฐานประกอบการเขียน โดย
ดร.กฤษณา วุฒิสินธ์
รุ่งอรุณ กระมุทกาญจน์
นัจรินทร์ เนืองเฉลิม
กิ่งแก้ว สุระแสน
นิธิ ปรัสรา
วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร อุบลราชธานี


ที่มา ถอดบทเรียน การดำเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่
(กองทุนหลักประกันสุขภาพ อบต. และเทศบาล) ในพื้นที่ต้นแบบทั่วประเทศ กรณีศึกษา ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง
เลข  ISBN : 978-974-379-047-8
ธันวาคม 2551

เพลงยาว - วรรณคดีสมัยกรุงศรีอยุธยา



            ผู้แต่ง - บางท่านสันนิษฐานว่าสมเด็จพระนารายณ์ ทรงพระราชนิพนธ์ พบที่พระที่นั่งจันทรพิศาล ในบริเวณพระราชวังลพบุรี
            ทำนองแต่ง - กลอนเพลง
            ข้อคิดเห็น - สำนวนภาษาไทยในเพลงยาวนี้ใหม่เกินไปที่จะมีอายุถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เพลงบทนี้ขึ้นต้นว่า

                            โฉมหอมหอมเหินเวหาหวล
                    แต่โหยหามิได้เว้นนิราครวญ

บทกวี "ตามตะวัน" โดย ป่าค้างตะวัน



แค่ความหนาวทนผ่านหนาวมาหลายหน
ผ่านสายฝนกลางป่ามาหลายฝน
ผ่านความทุกข์ความสุขทุกครั้งจน
ชีวิตทนทรนงคงหยัดยืน
            ลมหายใจต่อชีวิตไม่มีถอย
            ไม่เคยคอยคืนวันเพราะมันฝืน
            ทุกทุกครั้งที่ฉันก้าวย่างยืน
            ทุกทุกคืนทุกทุกวันฉันเลือกเอง
จึงก้าวไปตามที่ที่ใจฝัน
ตามตะวันตามใจใครจะข่มเหง
ทุกชีวิตทุกสิ่งไม่กริ่งเกรง
ล้วนบรรเลงเพลงอิสระตามอารมณ์

25 ธันวาคม พ.ศ.2537

"ป่าค้างตะวัน"
ฑิฆัมพร ชาลีกุล

ปิศาจคอมพิวเตอร์

"นายหน่อย"

            ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะได้ชมภาพยนตร์เรื่อง wargames กันมาบ้างแล้ว (ฉายบ้านเรามาประมาณ ๑-๒ ปี ได้แล้วมั้ง) ท่านที่ไม่ได้ชมผมก็จะขอเล่าเรื่องย่อๆให้ฟัง เป็นเรื่องของเด็กอเมริกันคนหนึ่ง (แน่นอนเพราะอเมริกันเป็นผู้สร้าง ) หลงไหลและสนุกกับไมโครคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดสนุกมากไปหน่อย คือ ดันผ่าหมุนเบอร์โทรศัพท์ของคอมพิวเตอร์ประจำกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เข้า  ทำให้สามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ติดต่อสื่อสารกับคอมพิวเตอร์กระทรวงกลาโหมได้ แล้วก็สนุกเลยเถิดไปกันใหญ่อีก โดยเล่นคอมพิวเตอร์เกมส์ (เหมือนตามห้างสรรพสินค้าบ้านเรามีให้เล่นหลายแห่งเหมือนกัน) โดยนึกว่าเป็นเกมส์สนุกๆธรรมดา แต่กลายเป็นโปรแกรมป้องกันประเทศของสหรัฐฯ ไปจริงๆ เรื่องจะจบลงอย่างไรผมไม่เล่าต่อล่ะ แต่บอกว่าโกลาหลพอสมควร แล้วก็ happy ending  ตามระเบียบ เพียงแต่จะชี้ความน่ากลัวของคอมพิวเตอร์ให้เห็น

            คราวนี้มาอีกเรื่องหนึ่ง ผมไม่ทราบว่า เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์หรือเปล่า แต่ผมอ่านจากหนังสือชด colossus ของ D.F. Jones เป็นเรื่องของคอมพิวเตอร์ระดับมหึมา ๒ เครื่อง ชื่อ colossus ซึ่งเป็นของสหรัฐอเมริกา ตัวผู้สร้าง colossusก็คือ พระเอกของเรื่อง ส่วนอีกเครื่องหนึ่งเป็นของรัสเซียครับ ชื่อว่า guardian เรื่องเริ่มจับเหตุการณ์ที่ว่า colossus และ guardian  เกิดพิสดารพัฒนาตัวเองให้มีความคิดเหมือนคนได้ แล้วก็มีอารมณ์ความคิดเหมือนคนทั่วไปส่วนใหญ่ซะด้วย ก็คือ บ้าอำนาจ (ผมไม่ได้หมายความถึงใครโดยเฉพาะนะครับ) คิดว่าตัวกูเองเก่งกว่าชาวบ้าน ฉลาดกว่า ก็เลยคิดปกครองโลกซะเลย (ชักจะเหมือนหนังญี่ปุ่นแฮะ) แต่ตอนจบพระเอกเราก็จัดการกับมันได้สำเร็จ หลังจากใช้เวลาตั้ง ๕-๖ ปีแน่ะ ก็ได้แง่คิดไปอีกแบบหนึ่ง

            ท่านผู้อ่านอ่านถึงตอนนี้ก็คงจะงงว่า ผมมานั่งเล่าเรื่องหนังหรือหนังสือทำไม ผมกำลังจะบอกว่าภาพพจน์ของคอมพิวเตอร์น่ะน่ากลัวแต่ในความฝันของคนบางกลุ่มเท่านั้น  ก็เช่นภาพยนตร์หรือหนังสือทำให้มันดูน่ากลัวว่า มันจะครองโลก มันจะมีความคิดเหมือนมนุษย์ แล้วมันจะดุร้ายไม่มีมนุษยธรรม เราจะหยุดมันไม่ได้เหมือนในภาพยนตร์เรื่อง wargames มันจะสั่งฆ่าคนเพื่อครองโลกได้ใน colossus ซึ่งมันไม่จริงหรอกครับ

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กำหนดการทำบุญฉลองอัฐิอุทิศส่วนกุศลแด่ ย่ากงสี-พ.ต.ท.เมธี-นายประทีป ชาติมนตรี



กำหนดการทำบุญฉลองอัฐิอุทิศส่วนกุศลแด่

ย่ากงสี              ชาติมนตรี
พันตำรวจโทเมธี    ชาติมนตรี
นายประทีป        ชาติมนตรี

ณ บ้านเลขที่ ๑๐ หมู่ที่ ๑๐ บ้านโนนเจริญ ต.ตูมใหญ่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์
วันที่ ๖-๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓

กำหนดการ

วันเสาร์ที่ ๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓  (แรม ๖ ค่ำ เดือน ๕ ) เป็นวันรวม

เวลา ๐๖.๐๐ น.ตั้งกองบุญรวมญาติ
เวลา ๐๘.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์
เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์
เวลา ๑๓.๐๐ น. พระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา
เวลา ๑๕.๐๐ น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เย็น
เวลา ๑๘.๐๐ น. ขอเชิญร่วมรับประทานอาหาร (โต๊ะจีน)
ชมการแสดงศิลปะพื้นเมือง จากมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์


วันอาทิตย์ที่ ๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓  (แรม ๗ ค่ำ เดือน ๔)

เวลา ๐๘.๐๐ น. ทำบุญตักบาตรถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์
เวลา ๐๙.๐๐ น. ถวายปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์
บรรจุอัฐิ เป็นเสร็จพิธี

        จึงกราบเรียน เรียนเชิญท่านมาร่วมงานด้วยความเคารพนับถือ

รายนามเจ้าภาพ

พ่อประเทือง - แม่บุปผาชาติมนตรี
นายธานี - นางไพ่ชาติมนตรี
นายเกรียงศักดิ์ ชาติมนตรี
นายนที - นางสุภาพชาติมนตรี
ครูมยุรีชาติมนตรี
นางสาวเพ็ญพิมลใสงาม
พ.จ.ต.หญิงพูนศรีภูชุม
นายภักดี - นางพงษ์ประภาชาติมนตรี

พร้อมด้วยญาติพี่น้องลูกหลานทุกคนร่วมเป็นเจ้าภาพ
(ขออภัยหากมิได้มากราบเรียน เรียนเชิญด้วยตนเอง)

เจ้าสังเวียน

 กมล วัฒนา

            คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ผมขอเรียนว่าในชีวิตของผมตั้งแต่วัยสะรุ่นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นวัยสะร่วงไปแล้วนั้น ผมไม่เคยเข้าไปดูมวยในสนามเลย ไม่ว่าจะเป็นสนามราชดำเนิน หรือ ลุมพินี
            เพียงแต่ตอนเป็นเด็กอยู่ พ่อเคยจูงมือพาไปดูการชกมวยที่สนามสวนเจ้าเชตุบ้าง (ถ้าผมเขียนผิดขออภัย) สวนกุหลาบบ้าง หลังจากนั้นแล้วก้ไม่เคยได้ดูการชกมวยบนเวทีอีกเลย นอกจากดูถ่ายทอดการชกมวยคู่สำคัญทางโทรทัศน์เป็นบางครั้งเท่านั้น แต่คุณจะเชื่อหรือไม่ (อีกที) ก็ตาม ผมได้คลุกคลีอยู่กับวงการหมัดมวยๆมาไม่น้อย ทั้งที่ไม่เคยเข้าดูมวยในสนามมวยนี่แหละ ไม่ใช่อะไรหรอก สมัยก่อนโน้นบ้านเกิดของผมอยู่ที่บางซื่อ อันเป็นถิ่นของ "ทองใบ ยนตรกิจ" ศิษย์เอกของ "ครูตังกี้ ยนตรกิจ" นั่นแหละครับ  ผมไปดูการซ้อมของนักมวยในคณะนี้ที่ค่ายวัดน้อยนพคุณราชวัตร ใกล้กับสะพานเกษะโกมลเสมอ ได้เห็นและรู้ซึ้งถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของนักมวยแต่ละคนดีพอสมควร อย่างไรก็ดี หากจะเจาะให้ลึกลงไปอีกแล้ว ผมมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับอดีตนักมวยท่านหนึ่งซึ่งมีความเป็นสุภาพบุรุษสังเวียนทั้งบนเวที และนอกเวทียิ่งกว่านักมวยท่านอื่นมาก ท่านผู้นี้เป็นนักมวยที่ชกได้ทั้งมวยไทยและมวยสากล อีกทั้งเคยไปชกในประเทศเพื่อนบ้านเช่น มลายู สิงคโปร์ อย่างโชกโชนมาแล้ว ดังผมจะได้เล่าให้ท่านฟังนะครับ

            ตามที่เรียนให้ทราบแล้วว่าสมัยก่อนโน้น ผมมีนิวาสถานบ้านเกิดอยู่ที่บางซื่อ  ตอนเป็นเด็กเล็กอยู่ ทุกๆเช้าผมจะต้องเดินไปโรงเรียนวึ่งอยู่ตอนหัวโค้งจะไปโรงงานปูนซิเมนต์ไทย ชื่อโรงเรียนวิริยะวิริยา ซึ่งปัจจุบันได้เลิกกิจการไปนานแล้ว  ในระหว่างทางผมจะต้องผ่านบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ริมถนนเตชะวณิชย์ ในสมัยนั้นผู้คนยังมีจำนวนน้อยมาก รถราต่างๆก้ไม่ค่อยมีวิ่งเหมือนปัจจุบันนี้  และทุกๆเช้าหรือเย็นเลิกจากโรงเรียนกลับบ้าน จะต้องพบเห็นนักมวยเอกท่านหนึ่งซ้อมชกกระสอบทรายอยู่เป็นประจำ และในบางวันผมก้หยุดยืนดูท่านซ้อมอยู่เสมอ จนกระทั่งรู้จักมักคุ้นกับท่านเป็นอย่างดี ผมเรียกท่านว่า "น้าหมาน" เป็นคนใจดี ในยามที่ว่างจากการซ้อม ผมก็จะเข้าไปคุยกับท่านบ้าง และบางทีผมก็ขี่คอให้ท่านพาเดินเล่นในละแวกใกล้เคียงเสมอ เรียกว่า เราสนิทสนมกันมากจนกระทั่งผมโตเป็นหนุ่มแล้ว ความรักใคร่สนิทสนมก็มิได้คลายลง เพียงแต่ตอนหลัง ท่านย้ายที่ทำมาหากินไปอยู่ต่างจังหวัด ก็เลยไม่ค่อยได้พบกันเหมือนเช่นเคย สำหรับนักมวยในสมัยนั้น เท่าที่จำได้ก็มี "สมพงษ์ เวชสิทธิ์" ซึ่งท่านผู้นี้ก็เกรียงไกรในด้านยุทธจักรหมัดๆมวยๆเช่นกัน และทั้งสองท่านก็เคยได้ประกบคู่ชกกันบนเวทีแล้วด้วย

            สมัยนั้น นักมวยผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นสุภาพบุรุษของวงการมวยไทยและมวยสากลของเมืองไทย จากอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ก็มี "น้าหมาน" ที่ผ่านการชกบนเวทีทั้งมวยไทยและมวยสากลอย่างโชกโชนอยู่คนหนึ่ง สำหรับมวยสากลนั้นเคยออกไปราวี ณ มลายู สิงคโปร์บ่อยครั้งจนกลายเป็นนักมวยขึ้นคานครองแชมป์ทั้งไทยและสากล

คือสายรักผูกใจไม่รู้สิ้น

"รหัส ๑๖"

            บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือแห่งหนึ่งบอกว่า นักเรียนไทยนั้น อ่านน้อยเลยรู้น้อย และพาลทำให้กลายเป็นคนคิดน้อยไปโดยปริยาย เพราะพอไม่อ่านหนังสือ ซึ่งหมายรวมไปทั้งหนังสืออ่านเล่น อ่านจริง อ่านเอาเรื่อง อ่านหาเรื่อง และอ่านเพื่อสอบแล้ว หนังสืออื่นๆก็ไม่อ่านทั้งนั้นเพราะไม่ชอบอ่าน ชอบดูโทรทัศน์ ดูหนังหรือดูเกมโชว์ดีกว่า เพราะสนุกกว่า และไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ทีนี้ พอไม่อ่านหนังสือ ผลที่ตามมาก็คือ รู้น้อย ซึ่งก็แสนจะเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน พอรู้น้อยเลยคิดอะไรไม่ค่อยออก เพราะไม่มีข้อมูลอะไรจะให้คิด วันๆเลยนั่งเม้าท์กันแต่เรื่องดารานักร้อง ว่าคนนั้นเป็นแฟนตานั่นและกำลังจะเลิกกัน ดี สมน้ำหน้า อะไรทำนองนี้แหละ

            แต่ถ้าคุณเกิดมาเป็นนักเรียนอักษรศาสตร์ละก้อ ไม่มีวันเสียละที่จะไม่ชอบอ่านหนังสือ เพราะถ้าไม่ชอบอ่านหนังสือคงไม่มาเรียนอักษรศาสตร์อย่างแน่นอน  พวกเราเลยเป็นคนอ่านมาก อ่านกันจริงๆจังๆ ในที่สุดกลายเป็นคนรู้ไปหมดเพราะอ่านมาแล้ว ไอ้เรื่องความชอบอ่านนี่มันแปลกเหมือนกัน ถุงกล้วยแขกหรืออะไรที่เผอิญผ่านเข้ามาก็อ่านทั้งนั้น ยิ่งนักเรียนอักษรศาสตร์นั้น ความที่ภาษาดียิ่งได้เปรียบใหญ่ ทำให้อ่านได้แบบโลกาภิวัฒน์ กล่าวคือ อ่านได้หลายภาษา เลยทำให้กลายเป็นคนรู้กว้างเข้าไปอีก เพราะมีของดีๆและเรื่องดีๆอีกมากที่ยังไม่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยนั่นเอง

            สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรฯ ก็ทรงเป็นนักเรียนอักษรศาสตร์แบบดั้งเดิมพระองค์หนึ่งเช่นกัน เพราะทรงอ่านหนังสือมามาก และเวลาเสด็จไปไหนก็จะทรงนำหนังสือติดพระองค์ไปตลอด ใครที่รักการอ่านย่อมจะเข้าใจได้ทันทีว่า อ้อ...พวกเดียวกัน อาการพวกเดียวกันที่ว่านี่คือ เวลาไปไหนๆที่ไม่ได้เป็นการออกงานออกการใหญ่โต หรือกาล่าดินเนอร์ เราจะต้องพกหนังสือติดตัวไปด้วยเสมอ เผื่อเวลานั่งรถลงเรือไม่มีอะไรทำ  หรือไม่มีใครคุยด้วยจะได้ไม่เสียเวลา หรือบางทีเกิดผิดคิว ต้องไปนั่งรออะไรนานๆก็จะได้ไม่รู้สึกว่า กำลังทำให้ชีวิตหล่นหายไปเฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง คนที่รักการอ่านจะเป็นโรคเสียดายเวลาที่ผ่านไป เพราะถ้าเอาหนังสือมาอ่านเราก็ได้กำไรชีวิตไปแล้ว โดยไม่ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรด้วยซ้ำไป พวกนักเรียนอักษรฯทั้งหลายนั้น ถ้าไม่รักการอ่านก็ไม่รู้จะเรียนเข้าไปได้ยังไงเหมือนกัน

            เรื่องเรียนน่ะสนุกอยู่แล้วเพราะครูสอนสนุกทุกท่านเลย เรื่องที่เรียนก็สนุกทั้งนั้น แต่มาหนักตรงหนังสือนี่แหละ หนักจริงๆ กว่าจะเรียนจบมีสมบัติกันคนละหลายลังผงซักฟอก เป็นหนังสือทั้งนั้น ก็คิดดูแล้วกันว่า แต่ละวิชานั้นต้องอ่านกันกี่เล่ม อย่างวิชาเกี่ยวกับภาษาทั้งหลาย เช่น ภาษาอังกฤษนั้นแน่อยู่แล้ว ว่าต้องเรียนทั้งไวยกรณ์อังกฤษ การอ่าน การเขียน แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะซี เรายังต้องไปเรียนรู้วรรณคดีอังกฤษด้วย เพราะจะเรียนอังกฤษก็ต้องรู้จักวรรณคดีของเขา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรู้จักเรื่องเอกๆดังๆไว้บ้าง ทีนี้ นอกจากวรรณคดีที่ว่าแล้ว เราก็ควรจะรู้และเข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของเขาบ้าง ขั้นต่อมาก็ต้องรู้ประวัติศาสตร์ของเขาด้วย แล้วจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ง่ายมาก ถ้าไม่มีเป็นวิชาที่สอนอยู่ในคณะก็ต้องหาอ่านเอาเองซีคุณ โอ้โฮ ..ทีนี้ล่ะสนุกสุดเดชเลย เพราะจะมีหนังสืออ่านอีกหลายลังผงซักฟอก ผลก็คือ เราจะได้รู้จักอะไรต่อมิอะไรเกี่ยวกับภาษาอังกฤษอีกมากมาย จนฝรั่งเองบางคนอาจยังไม่รู้ก้ได้

ชื่อสะพานที่หายไป

พ.ท.เลขา ศรีแก้ว

            ที่ผมจั่วหัวเรื่องว่า ชื่อสะพานที่หายไปนั้น มีสองเรื่อง คือ ชื่อหายไป และไปอยู่ไม่ถูกที่ จะพูดเป็นสะพานๆไปครับ

            ชื่อแรก ชื่อสะพานแดงหายไป ชื่อนี้มีคนเรียกมาแต่ดั้งเดิม แม้แต่ป้ายรถยังมีเขียนว่า สะพานแดง แต่ชื่อสะพานไม่มี กลายเป็นชื่อ สะพานบางซื่อ ทั้งๆที่ไม่ได้ไปข้ามคลองบางซื่อเลย

            ผมจะเล่าถึงลักษณะของสะพานแดง เมื่อยังเรียกสะพานแดง ก่อนสะพานแดงสมัยนั้นเป็นสะพานไม้ทาสีแดง เป็นไม้ทั้งหมดอัดแน่นด้วยน็อตแน่นหนา จำได้ว่า รถยนต์ข้ามอย่างเดียว ส่วนรถรางเขาจะทำเป็นสะพานเหล็กโค้งข้ามคลองเปรมประชากร ผมเข้าใจว่า สะพานที่ทาสีแดง ประชาชนจึงเรียกว่าสะพานแดง ต่อมาทางการเห็นว่า สะพานทรุดโทรม จึงสร้างเป็นสะพานซีเมนต์อย่างแข็งแรง  เมื่อเสร็จแล้วไม่มีสีแดงที่ตัวสะพานเลยเปลี่ยนเป็นสะพานบางซื่อ ผมไม่เคยเห็นใครเรียกสะพานนี้ว่า สะพานบางซื่อเลยครับ เห็นเรียกแต่สะพานแดงอยู่นั่นเอง ผมไม่ได้ทักท้วงอะไรหรอกครับ เห็นไม่ตรงชื่อมันแปลกดี เลยเขียนมาเล่าให้ฟังกัน และจะได้ระลึกถึงเมื่อครั้งในอดีตกันครับ สะพานแดงตั้งอยู่หน้าสโมสรนายทหารสื่อสาร ถนนทหาร สะพานที่คล้ายกับสะพานแดง คือ สะพานกรมช่างแสง ปัจจุบันเรียกกรมสรรพาวุธ สะพานนี้เป็นสะพานไม้ทาสีแดงเหมือนกับสะพานแดงที่ถนนทหารเช่นกัน

            อีกสะพานหนึ่ง คือ สะพานข้ามคลองเปรมประชากรโดยแท้ เดี๋ยวนี้ผมไม่เห็นมีชื่อ เรียกกันไปตามที่รู้ที่เห็นเลยไม่รู้ว่าใครเรียกถูก คือ สะพานนี้ตั้งอยู่ที่หัวโค้งทางไปเตาปูน ที่เรียกเตาปูนเพราะเมื่อก่อนนี้เป็นที่ผลิตปูนซีเมนต์ของบริษัทปูนซีเมนต์ไทย  และผลิตกระเบื้องด้วย โรงปูนซีเมนต์นี้ตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟบางซื่อ สะพานนี้เมื่อเริ่มสร้างชาวบ้านจะเรียกว่า สะพานใหม่ (คงเพราะสร้างใหม่) ต่อมาเรียกว่า สะพานเปรมประชา เพราะมีตลาดเปรมประชาเป็นเรือนแถวไม้ หน้าตลาดมีวิกลิเก ลิเกวิกนี้ คุณโจหลุยที่ท่านทำหุ่นละครเล้กนี่แหละครับ สมัยนั้น คุณโจหลุยแสดงเป็นตัวโจ๊กหรือตลก คนเขาเรียกว่า "หลุย" เฉยๆ ตอนนั้นผมยังเรียนหนังสืออยู่

            เอ้า... มาต่อเรื่องสะพานดีกว่า สะพานนี้ต่อมามีการปรับปรุง จำได้ไม่แน่ชัดเพราะนานมาแล้ว โรงปูนช่วยสนับสนุนในการสร้าง เลยเรียกเปลี่ยนไปอีก เรียกว่า สะพานโรงปูน บางคนกลับเรียกว่า สะพานสูง  ความจริงสะพานสูงนี้ อยู่ที่หน้าวัดธรรมาภิรตาราม (วัดสะพานสูง) ที่ข้ามจากถนนเตชะวณิชย์ไปที่โรงกรองน้ำ ใกล้ๆกับโรงเรียนจีนชื่อชินไต้ทง หรือไต้อะไรจำไม่แน่ สะพานนี้มีมาก่อนสะพานที่ผมกล่าวไว้ที่ข้างบนนี้ครับ เดี๋ยวนี้การเรียกเลยเรียกไม่เหมือนกัน คนเก่าเรียกสะพานเปรมประชา คนต่อมาเรียกสะพานโรงปูนก็มี เรียกสะพานสูงก็มี เพราะป้ายบอกชื่อสะพานเขียนบอกไม่มี เชิงสะพานด้านถนนเตชะวณิชย์มีแต่ป้ายบอกทางไปสถานีรถไฟบางซื่อ และกลับรถ และป้ายบอกทางไปบางโพ ตามที่ผมคิดควรเรียกว่า สะพานเปรมประชา น่าจะดีกว่า เพราะข้ามคลองเปรมประชากร ตลาดเปรมประชาอยู่ที่ถนนประชาราษฎร์สาย ๒

ท่านควงเล่าให้ฟัง

ฯพณฯ ควง อภัยวงศ์

            ผมอยากจะขอพูดถึงเรื่องเครื่องสื่อสารของทหารไทยในสมัยนั้นสักหน่อย
            ความจริง เครื่องสื่อสารของทหารระหว่างสงครามอินโดจีนนั้น ยังใช้ไม่สะดวกและเกิดขลุกขลักกันใหญ่ ต้องใช้เครื่องสื่อสารของกรมไปรษณีย์ ถึงแม้เราจัดเครื่องของกรมไปรษณีย์ส่งไปให้แล้ว แต่ก็ยังไม่พอใช้ และมีขลุกขลักในเรื่องอื่นๆอีกมาก หลวงพิบูลฯ เวลานั้นยังเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็เลยเรียกผมเข้ากองประจำการ ผมไม่เคยเป็นทหารมาก่อน เพราะเขาวัดหน้าอกแล้วมันไม่ได้ขนาด ครั้นผมไปเข้าประจำการ ก็มีพลเรือนเพียงผมคนเดียวที่นั่งทำงานร่วมกับนายทหาร หลวงพิบูลฯ บอกว่า "ควง ลื้อเป็นทหารเสียเถอะ " ผมจึงว่าแค่พลทหารเขายังไม่เอาเลย ผมทำงานให้แล้วก็แล้วกัน หลวงพิบูลฯ เขาก็ไม่ว่าอะไร ต่อมาอีกสักอาทิตย์หนึ่งก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ผมเป็นนายพันตรี แล้วก็ถูกส่งไปชายแดน คราวนี้มันก็เลยยุ่งกันใหญ่ ทหารเขาเรียกผู้บังคับกองฯ ผมก็ไม่รู้เรื่องว่าเขาเรียกใคร เขาต้องมาดึงเสื้อจึงจะรู้  การเคารพ เราเคยแต่เปิดหมวก ทีนี้มันต้องตะเบ๊ะเผลอไปเปิดหมวกแต่โดนแก๊ปเข้า เลยว่ากันยุ่งไปหมด ผมไปชายแดนกับเขาไปจนถึงศรีโสภณ แต่ไม่ได้รบอะไรกับเขา เพราะผมมีหน้าที่เฉพาะการสื่อสาร ต่อมาญี่ปุ่นก็เข้ามาไกล่เกลี่ย เมื่อตกลงสงบศึกแล้ว ผมก็ไปเป็นผู้รับมอบดินแดนคืน และไปชักธงช้างในพิธีรับมอบดินแดนด้วย เพราะเมื่อก่อนเราใช้ธงช้าง คือ ธงช้างที่บิดาผมต้องชักลงมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมจึงไปชักธงช้างขึ้นด้วยตัวเอง แต่ตอนหลังต้องชักลงอีกที คราวนี้โชคดีที่ไม่ได้เป็นคนชักลง เพราะถูกส่งไปอเมริกา ไปเจรจาต่อรองเรื่องดินแดน

            เท่าที่ผมเล่าให้ฟังมานี้ ท่านก็คงเห็นแล้วว่า ไม่ใช่ผมไปแส่หาเรื่อง เพราะอยากจะเป็นอะไรกับเขา แต่เขามาเอาผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยตัวเอง เช่น ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว เขาปฏิวัติอีกครั้ง เมื่อสมัยเจ้าคุณมโนปกรณ์นิติธาดา เขามาหาผมให้ผมไปตัดสายโทรศัพท์ แต่ผมรับปากกับอธิบดีหลวงไกรฤกษ์ฯ ไว้แล้ว ว่าผมจะไม่ตัดสายอีก เพราะก่อนที่เขาจะตั้งให้ผมเป็นนายช่างอำนวยการโทรศัพท์น่ะ หลวงไกรฤกษ์ฯ ก็มาเอาคำมั่นสัญญากับผมว่า "คุณควง คุณให้สัญญาผมได้ไหมว่าคุณจะไม่ตัดสายโทรศัพท์อีก"  ผมบอกว่าผมให้สัญญาได้ ผมไม่ตัดละ ทีนี้ ตอนที่เขาจะให้ตัดใหม่นี่ซี หลวงพิบูลฯเขาก็มาหาผมบอกว่า "ควง จะให้ตัดสาย จะตัดได้หรือไม่ได้"  ผมบอกว่าถ้ารัฐบาลสั่งก็ต้องตัดน่ะซิ เขาก็ยิ้ม แต่ไม่ว่าอะไร พอถึงวันที่กำหนดเข้า เขาก็ใช้หลวงศิริราชไมตรี มาบอกผมให้ตัดสาย ผมบอก " เอ.. ผมก็เสียคำพูดกับอธิบดีซี เพราะไปให้สัญญากับท่านไว้ว่า ผมจะไม่ตัดสายอีกแล้วนี่ ถ้าอย่างนั้นผมไม่ต่อสายให้ดีกว่า" ผมก็เลยสั่งหัวหน้าเวรทั้งหมดให้หยุดต่อสาย มันก็เท่ากับตัดสายนั่นแหละ เพราะเราไม่ต่อเท่านั้นโทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ เรานั่งเฉยกันเสียไม่ต่อสาย จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง พอคำสั่งเขามาบอกว่าต่อได้ เราก็ต่อใหม่ก็หมดเรื่อง และผมก็ไม่ได้ผิดคำสัญญาด้วย

ท่านควงเล่าให้ฟัง

ฯพณฯ ควง อภัยวงศ์

            ผมอยากจะขอพูดถึงเรื่องเครื่องสื่อสารของทหารไทยในสมัยนั้นสักหน่อย
            ความจริง เครื่องสื่อสารของทหารระหว่างสงครามอินโดจีนนั้น ยังใช้ไม่สะดวกและเกิดขลุกขลักกันใหญ่ ต้องใช้เครื่องสื่อสารของกรมไปรษณีย์ ถึงแม้เราจัดเครื่องของกรมไปรษณีย์ส่งไปให้แล้ว แต่ก็ยังไม่พอใช้ และมีขลุกขลักในเรื่องอื่นๆอีกมาก หลวงพิบูลฯ เวลานั้นยังเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็เลยเรียกผมเข้ากองประจำการ ผมไม่เคยเป็นทหารมาก่อน เพราะเขาวัดหน้าอกแล้วมันไม่ได้ขนาด ครั้นผมไปเข้าประจำการ ก็มีพลเรือนเพียงผมคนเดียวที่นั่งทำงานร่วมกับนายทหาร หลวงพิบูลฯ บอกว่า "ควง ลื้อเป็นทหารเสียเถอะ " ผมจึงว่าแค่พลทหารเขายังไม่เอาเลย ผมทำงานให้แล้วก็แล้วกัน หลวงพิบูลฯ เขาก็ไม่ว่าอะไร ต่อมาอีกสักอาทิตย์หนึ่งก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ผมเป็นนายพันตรี แล้วก็ถูกส่งไปชายแดน คราวนี้มันก็เลยยุ่งกันใหญ่ ทหารเขาเรียกผู้บังคับกองฯ ผมก็ไม่รู้เรื่องว่าเขาเรียกใคร เขาต้องมาดึงเสื้อจึงจะรู้  การเคารพ เราเคยแต่เปิดหมวก ทีนี้มันต้องตะเบ๊ะเผลอไปเปิดหมวกแต่โดนแก๊ปเข้า เลยว่ากันยุ่งไปหมด ผมไปชายแดนกับเขาไปจนถึงศรีโสภณ แต่ไม่ได้รบอะไรกับเขา เพราะผมมีหน้าที่เฉพาะการสื่อสาร ต่อมาญี่ปุ่นก็เข้ามาไกล่เกลี่ย เมื่อตกลงสงบศึกแล้ว ผมก็ไปเป็นผู้รับมอบดินแดนคืน และไปชักธงช้างในพิธีรับมอบดินแดนด้วย เพราะเมื่อก่อนเราใช้ธงช้าง คือ ธงช้างที่บิดาผมต้องชักลงมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมจึงไปชักธงช้างขึ้นด้วยตัวเอง แต่ตอนหลังต้องชักลงอีกที คราวนี้โชคดีที่ไม่ได้เป็นคนชักลง เพราะถูกส่งไปอเมริกา ไปเจรจาต่อรองเรื่องดินแดน

            เท่าที่ผมเล่าให้ฟังมานี้ ท่านก็คงเห็นแล้วว่า ไม่ใช่ผมไปแส่หาเรื่อง เพราะอยากจะเป็นอะไรกับเขา แต่เขามาเอาผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยตัวเอง เช่น ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว เขาปฏิวัติอีกครั้ง เมื่อสมัยเจ้าคุณมโนปกรณ์นิติธาดา เขามาหาผมให้ผมไปตัดสายโทรศัพท์ แต่ผมรับปากกับอธิบดีหลวงไกรฤกษ์ฯ ไว้แล้ว ว่าผมจะไม่ตัดสายอีก เพราะก่อนที่เขาจะตั้งให้ผมเป็นนายช่างอำนวยการโทรศัพท์น่ะ หลวงไกรฤกษ์ฯ ก็มาเอาคำมั่นสัญญากับผมว่า "คุณควง คุณให้สัญญาผมได้ไหมว่าคุณจะไม่ตัดสายโทรศัพท์อีก"  ผมบอกว่าผมให้สัญญาได้ ผมไม่ตัดละ ทีนี้ ตอนที่เขาจะให้ตัดใหม่นี่ซี หลวงพิบูลฯเขาก็มาหาผมบอกว่า "ควง จะให้ตัดสาย จะตัดได้หรือไม่ได้"  ผมบอกว่าถ้ารัฐบาลสั่งก็ต้องตัดน่ะซิ เขาก็ยิ้ม แต่ไม่ว่าอะไร พอถึงวันที่กำหนดเข้า เขาก็ใช้หลวงศิริราชไมตรี มาบอกผมให้ตัดสาย ผมบอก " เอ.. ผมก็เสียคำพูดกับอธิบดีซี เพราะไปให้สัญญากับท่านไว้ว่า ผมจะไม่ตัดสายอีกแล้วนี่ ถ้าอย่างนั้นผมไม่ต่อสายให้ดีกว่า" ผมก็เลยสั่งหัวหน้าเวรทั้งหมดให้หยุดต่อสาย มันก็เท่ากับตัดสายนั่นแหละ เพราะเราไม่ต่อเท่านั้นโทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ เรานั่งเฉยกันเสียไม่ต่อสาย จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง พอคำสั่งเขามาบอกว่าต่อได้ เราก็ต่อใหม่ก็หมดเรื่อง และผมก็ไม่ได้ผิดคำสัญญาด้วย

จงขจัดตัว "ว" ออกจากชีวิต

ถ้าคุณสังเกตจะแปลกใจว่า คำไทยแท้ที่ออกเสียง “ว” เกือบทั้งสิ้นล้วนแสดงลักษณะทางลบของคุณภาพ, บุคลิกภาพ, อุปนิสัย, ความรู้สึก ฯลฯ หาความ “ดี” หรือความ “งาม” ไม่พบ ซ้ำร้ายยังทำให้สุขภาพจิตของผู้เป็นเจ้าของคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ นั้นๆ เสื่อมอีกด้วย

ไม่มีใครมีความสุขและสุขภาพจิตก็ คงเสื่อมถ้าเขาผู้นั้น จมูกโหว่ ปากแหว่ง สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น เป็นหวัด หวุดหวิดจะถูกรถชน เป็นแผลเหวอะหวะ เกิดอาการวิงเวียนใจหวิว ถูกไฟไหม้วอดจนใจหายวาบ แทบจะหัวใจวาย

นอกจากคำที่ออกเสียง “ว” เหล่านั้นจะทำให้เจ้าของลักษณะหรืออาการนั้นสุขภาพจิตเสื่อมแล้ว ยังมีคำไทยแท้ออกเสียง “ว” หลายคำที่ทำให้ใครๆ ไม่รักและไม่อยากคบอีกด้วย

ไม่มีใครอยากเข้าใกล้คน “มือไว”

ผู้ชายที่มีรสนิยมแห่งเพศตรงข้ามสูงย่อมรังเกียจผู้หญิง “ไวไฟ”

ลองวาดภาพผู้หญิงสาวแสนสวยคนหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะบุคลิกภาพล้วนบรรยายด้วยอักษร “ว” ทั้งสิ้น ดังนี้

เป็น คนโวยวาย โว้เว้ ส่งเสียงโหวกเหวก อ้าปากหวอ อารมณ์วู่วาม และหวั่นไหวง่าย ชอบคุยโว จิตใจว้าวุ่น มักวอแว หวาดหวั่น วอกแวก มีชีวิตอยู่อย่างว้าเหว่ ขาดเพื่อน และไวไฟกับผู้ชาย

คนสติดีที่ไหนเล่าจะรักผู้หญิงชนิดนี้ แม้เธอจะมีรูปโฉมระดับนางงามจักรวาล

คน โวยวาย เป็นคนประเภทขาดความอดทน เมื่อไม่ได้ดังใจ หรือเกิดความคับข้องใจแม้เพียงเล็กน้อยซึ่งคนอื่นส่วนมากทนได้ เขาจะทนไม่ได้และเก็บไว้ในใจไม่อยู่ ต้องแสดงความไม่พอใจ, บ่น, ด่า หรือคร่ำครวญให้ผู้อื่นฟังไม่เลือกหน้า จึงทำให้คนรอบข้างเบื่อหน่ายรำคาญไม่อยากเข้าใกล้

แต่คนที่เก็บทุกอย่างไว้ในใจ ไม่ระบายออกเสียบ้างเลย คือ ไม่เคยโวยวายเลยไม่ว่าความทุกข์นั้นใหญ่หลวงสักปานใด ก็เป็นคนสุขภาพจิตเสื่อม จนอาจถึงกับเป็นโรคไซโคโซมาติคหรือโรคประสาทบางชนิดได้

โปรดอย่าเข้าใจผิดว่า คนเงียบเก็บความรู้สึกทุกอย่าง เป็นคน “ดี” กับคนอื่นไม่เลือกหน้าและตลอดเวลา อย่างที่เราชอบพูดกันติดปากว่า “nice” เหลือเกิน (ไม่ใช่ “nice” เฉยๆ) นั้น เนื้อแท้จะเป็นคนน่ารัก และน่าคบทุกคนไป

คนเงียบเกินไปและเก็บความรู้สึกเกินไปไม่น่าเข้าใกล้เท่าใดนัก เพราะไม่สามารถหยั่งอารมณ์และความรู้สึกของเขาได้ ไม่มีใครชอบชายคนชาเย็นและลึกลับ เพราะไม่ทราบว่าเขาซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ที่ใดบ้าง คนอบอุ่นและเปิดเผยน่าคบกว่า เพราะสื่อนำความรู้สึกและอารมณ์ต่อกันได้ดีกว่า ถ้าต้องใช้ชีวิตผูกพันกับคนเงียบเกินไป คุณจะอึดอัดเมื่อมีความขัดแย้งหรือความขุ่นข้องเขาจะนิ่ง คุณจึงลำบากใจและหนักอก แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร

ส่วนคนที่ดีเกินไป หรือ “nice” เกินไป นั้น ดูผิวเผินช่างมีเสน่ห์น่ารัก เพราะไม่เคยโกรธใคร, ไม่เคยขัดใจใคร, ไม่เคยโวยวายแม้เมื่อถูกเอารัดเอาเปรียบ ฯลฯ แท้จริงในจิตไร้สำนึก เขาอาจมีความก้าวร้าว และความไม่เป็นมิตรอยู่มากมาย จึงต้องใช้จิตกลไกลชนิดทำตรงกันข้าม หรือเขาอาจเป็นคนขาดความรักมาแต่วัยเด็ก จึงต้องใฝ่หาความรักจากผู้อื่นไม่รู้จักพอ ด้วยการเป็นคนดีเกินปกติ

เพราะฉะนั้น จงเป็นคน “ดี” แต่พอดี ถ้าดีเกินพอดีอาจจะกลายเป็นไม่ดี

คนไม่โวยวายเมื่อควรโวยวาย คือ เมื่อความทุกข์เกินขีดความอดทนต้องฆ่าตัวตายมาแล้วหลายราย แต่คนที่ทั้งโวยวาย และวู่วามไม่เลือกกาลเทศะก็ถูกฆ่าตายมาแล้วหลายรายเช่นกัน

ฉะนั้น เมื่อเผชิญปัญหาชีวิตหนักหน่วง มีความทุกข์หรือความเดือดร้อนมากเกินขีดความอดทน ก็จงโวยวายออกมาเสียบ้าง แต่ต้องรู้จักเลือกคนรับฟังและรับอารมณ์ของคุณได้ และอย่าโวยวายพร่ำเพรื่อ แล้วคุณจะทั้งสุขภาพจิตดีทั้งเป็นที่รักของใครๆ

คนวู่วาม คือ คนวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ ขาดความยับยั้ง และขาดความสามารถควบคุมอารมณ์ จึงเหมือนทารก หรืออาจเป็นพวกบุคลิกภาพผิดปกติชนิดที่เรียกว่า “Explosive Personality” ซึ่งถือว่าเป็นความผิดปกติทางจิตเวชชนิดหนึ่งให้โทษทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ความวู่วามโกรธง่ายทำลายบุคลิกภาพที่ดีงาม ทำให้ผู้อื่นเสื่อมความนิยม ทำให้แก่เร็ว และทำให้ตนเองและผู้เข้าใกล้สุขภาพจิตเสื่อม ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนวู่วามต้องรีบแก้ไข แม้จะไม่ง่ายนัก แต่ถ้าตั้งใจก็ไม่ยากเกินไป ถ้าเกินกำลังจะแก้ไขเองต้องขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์ เพราะถ้าทิ้งไว้ไม่แก้ วันใดวันหนึ่งคุณอาจจะเคราะห์ร้ายไปวู่วามผิดคน ผิดจังหวะเข้า ก็อาจถึงกับวางวายได้

คนโว คือ คนขี้โมโห, ขี้คุย, ขี้อวด, ขาดความถ่อมตัว ไปที่ใดจึงมีแต่คนรำคาญหรือหมั่นไส้ และไม่น่ารักในสายตาของใครสักคนเดียว เนื้อแท้ของคนประเภทนี้คือ เป็นคนมีปมด้อย เช่น บางคนฉลาดแต่ขี้เหร่, บางคนสวยแต่โง่, บางคนร่ำรวยแต่มีต้นตระกูลยากไร้และต่ำต้อย บางคนเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ จึงต้องใช้จิตกลไกชนิดชดเชย เพื่อลบล้างปมด้อย

ปมด้อยของเราสามารถชดเชยได้ทาง อื่นที่ไม่ใช่การโว โดยใช้จิตกลไกอันเดียวกันนี้ แต่อย่าถูกทาง อับราฮัม ลินคอล์น ผู้ยากจนอาศัยแสงเทียนไข อ่านกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ใช้ห่อของ ได้กลายเป็นประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา และเป็นบุรุษแห่งประวัติศาสตร์คนหนึ่งของโลก

คนวอกแวก คือ คนขาดสมาธิ, จิตใจไม่สงบ โดยมากเกิดจากความวิตกกังวล ซึ่งถ้ามีมากเกินไปหรือหาทางออกไม่ได้ อาจกลายเป็นโรคประสาท ถ้ารู้ตัวว่าจิตใจวอกแวกมากจนรบกวนการทำงานหรือการเรียน ควรปรึกษาจิตแพทย์

คนหวาดหวั่น อาการหวาดหวั่นรุนแรง มีความกลัวหรือความพรั่นพรึงเป็นเจ้าเรือนตลอดเวลา มักพบในโรคประสาท หรือโรคจิตบางชนิด ถ้าหวาดหวั่นกระวนกระวายและซึมเศร้าอย่างมากร่วมด้วยในวัยต่อ คือวัยประมาณ 45-55 ปีในหญิง และ 50-60 ปีในชาย ก็น่าสงสัยว่าจะเป็นโรคจิตซึมเศร้าในวัยต่อ

คนหวั่นไหวง่าย อาจหมายถึง อารมณ์หวั่นไหวง่าย หรืออารมณ์ไม่คงเส้นคงวาเปลี่ยนตามสิ่งแวดล้อมได้ง่าย และยอมให้สิ่งเร้าต่างๆ เป็นนายของอารมณ์หรือาจหมายความว่าหวั่นไหวง่ายต่อคำติชมของผู้อื่น เพราะต้องการการค้ำจุนใจจากผู้อื่นมาก จึงเป็นคนไม่มีความสุข เหมือนเอาชีวิตของตนไปผูกแขวนไว้กับท่าทีและถ้อยคำของคนอื่นเป็นลักษณะของคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดความมั่นคงทางใจ เป็นผลจากภูมิหลังของบุคลิกภาพแต่เยาว์วัย ถ้าเราเชื่อว่า เราได้ตัดสินใจทำสิ่งใดอย่างรอบคอบถูกต้อง และอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้แล้ว จงพอใจไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และถือว่าคำวิจารณ์ที่ตามมานั้นหาใช่ธุระกงการอะไรของเราไม่

คนวอแว คำว่า “วอแว” พจนานุกรมแปลว่า รบกวน, เซ้าซี้ เพราะฉะนั้น คงไม่ต้องอธิบายว่าเหตุใดคนวอแวจึงทำให้สุขภาพจิตของคนอื่นเสื่อม และทำให้ไม่มีใครรัก

คนโว้เว้ คำว่า “โว้เว้” พจนานุกรม แปลว่า พูดหาเรื่อง, พูดเหลวไหล ทำเหลวไหล คนมีปัญญาที่ไหนเล่าจะรักคนโว้เว้ และแน่นอนเหลือเกินว่า คนโว้เว้เข้าใกล้ใครรังแต่จะบั่นทอนสุขภาพจิตของผู้นั้น

นอกจากนั้น ยังมีคำไทยแท้ออกเสียง “ว” อีกสองคำ ซึ่งเป็นประเภทดาบสองคมสุดแต่คุณจะเลือกใช้คือ ถ้าคุณเลือก เว้าวอน เฉพาะกับคนที่คุณมีสิทธิตามกฎหมายและศีลธรรมให้ เขาวาบหวาม จะด้วยสายตา, วาจา หรือ การสัมผัสของคุณก็ตาม ทั้งคุณและเขาจะมีสุขภาพจิตดีขึ้น แต่ถ้าคุณเผอิญไปเว้าวอนเอาคนที่คุณไม่มีสิทธิตามกฎหมาย หรือศีลธรรมเข้าจนเขาวาบหวาม ผลที่ได้รับอาจกลับหน้ามือเป็นหลังมือ คือ สุขภาพจิตทั้งของคุณและของเขา จะเสื่อมอย่างร้ายกาจ เพราะชีวิตของคุณจะพบแต่ความวุ่นวาย จิตใจก็จะมีแต่ความหวาดหวั่น มิหนำซ้ำคุณยังได้ชื่อว่าทำลายสุขภาพจิตของบุคคลที่สามอย่างไร้ศีลธรรมอีกด้วย ซ้ำร้ายถ้าบุคคลที่สามคือคู่หมั้น หรือภรรยาของเขาวู่วามถึงขีด คุณก็อาจถึงกับเหวอะหวะจนหวุดหวิดจะวางวายได้

มีคำไทยแท้ออกเสียง “ว” เพียงสองคำเท่านั้นที่นอกจากจะไร้ “พิษ” และ ปลอด “ภัย” ต่อตนเองและผู้อื่นแล้ว ยังช่วยสร้างเสริมสุขภาพจิตเป็นอย่างดียิ่ง สองคำนั้นคือ “ความหวัง” กับ “ความหวาน”

จงหว่านเพาะความหวังและความหวาน แล้วหมั่นรดน้ำพรวนดินด้วยน้ำใจ, ไมตรีจิตและความจริงใจ ให้มันงอกงาม ผลิดอกออกช่อบานสะพรั่งเต็มหัวใจของคุณ แล้วแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาสดชื่นร่มเย็นแก่ชีวิตของผู้อื่นด้วย

ถ้าคุณสามารถฝึกจิตใจให้บรรจุแต่ความหวังและความหวาน แล้วยังสามารถปลุกผู้อื่นให้เกิดความหวัง และเจือจานความหวานแห่งชีวิตให้แก่เขาด้วย คุณย่อมจะมีแต่ความสุข ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้ความสุขแก่ผู้อื่นอีกโสดหนึ่ง แถมได้รับผลพลอยได้ที่ปุถุชนจิตใจปกติทุกคนย่อมอยากได้คือ ได้เป็นที่รักของทุกคนที่เข้าใกล้คุณ


ที่มาของข้อมูล: จากบทความเพื่อสุขภาพจิต ของ แพทย์หญิงสุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต กระทรวง

ข้อคิด ข้อธรรม สอนใจ ...อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อนี้ไป ให้อ่านจิตตนเอง...

หลวงปู่ดุลย์



ฟังอย่างปราชญ์

…นักปฏิบัติต้องยอมรับได้ทุกอย่าง ท่านจะเทศน์ผิด ๆ หรือเทศน์ถูก ๆ ให้ฟัง ก็ฟัง ไม่ต้องแย้ง การผิดหรือถูกนี้ไม่เป็นประมาณ บางทีจิตเราไม่ถึง เราคิดว่าผิดก็

ได้ท่าน ว่ามันผิด เราเข้าใจว่ามันถูกก็ได้ ฉะนั้น เราต้องยอมรับ ชอบใจหรือไม่ชอบใจ เชื่อหรือไม่เชื่อก็ฟังไป นี่คือ ผู้ฟังเทศน์เกิดปัญญา เพราะในจิตของเรานั้น “อัน

นี้แหละถูกแล้ว” หรือ “อันนี้แหละผิดแล้ว” มันเป็นสักแต่ว่าความรู้สึก จะถูกหรือผิดจริง ๆ ก็ไม่รู้หรอก เพราะเรายังเป็นคนหลง…



หลวงพ่อชา สุภัทโท

วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี



สามในหนึ่ง

…ปัญญา กับ สมาธิ นี้ เมื่อเราพูดแยกกันออก ก็คล้าย ๆ คนละตัว แต่ความเป็นจริงมันเป็นตัวเดียวกันนั่นเองแหละ ปัญญามันเป็นเครื่องเคลื่อนไหวของสมาธิเท่านั้น

มัน ออกจากจิตอันนี้เอง แต่แยกกันออกไปเป็นคนละลักษณะ เหมือนมะม่วงใบหนึ่ง เมื่อมันเล็กก็ใบนี้ เดี๋ยวมันก็โตขึ้น เดี๋ยวมันก็สุก ก็คือมะม่วงใบเดียวกัน ไม่ใช่คนละใบ

ศีล สมาธิ ปัญญา ก็คือของอันเดียวกัน เหมือนมะม่วงนั่นแหละ เพียงแต่มันเป็นคนละอาการ…



หลวงพ่อชา สุภัทโท

วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี



เอา –ละ

…ธรรมะ ก็เหมือนกับทำเลข มันมีวิธีคูณ มีวิธีแบ่ง มีวิธีบวก มีวิธีลบ ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ก็จะเป็นคนฉลาด รู้จักกาลรู้จักเวลา ควรลบก็ลบ ควรคูณก็คูณ ควรแบ่งก็แบ่ง

ควรรวมก็รวมกันเข้า คูณทุกที ใจคนมันจะตายอยู่แล้ว คือเรื่องไม่รู้จักพอนั่นเอง ไม่รู้จักพอก็เลยไม่รู้จักแก่ คนรู้จักแก่ก็คือ คนรู้จักพอ ถ้าพอแล้ว คำที่ว่า เอาละ มันก็พ้น

ขึ้นมา แต่ถ้าไม่พอ คือ คำว่า เอาละ มันไม่พ้นขึ้นมา ก็เอาตะพึด ไม่เคยเหวี่ยง ไม่เคยปลง ไม่เคยวางทั้งสิ้น เอาตลอด ถ้าเราเอาละ มันสบาย มันพอแล้ว…



หลวงพ่อชา สุภัทโท

วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี


มัจจุราช เจ้าของไก่

…อยู่อย่างไก่ไม่รู้เรื่อง ตอน เช้ามาก็พาลูกคุ้ย เขี่ยหากินไป เย็นมากก็เข้าเล้านอน พรุ่งนี้ก็คุ้ยเขี่ยหากินไปอีก เจ้าของเขาโปรยข้าวให้กินทุกวัน ก็ไม่รู้ว่าเขาเลี้ยงไว้ทำไม

ไก่กับเจ้าของไก่มันคิดคนละอย่าง เจ้าของก็คิด แต่ว่าไก่มันหนักกี่กิโลแล้ว ไก่ก็เพลินกับอาหาร เจ้าของอุ้มชั่งน้ำหนักก็คิดว่าเขารัก เราเองก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่ามาจากไหน

จะอยู่ไปกี่ปี จะไปทางไหน ใครเป็นคนพาไป ไม่รู้เรื่อง มัจจุราชคือความตายน่ะ เหมือนเจ้าของไก่ มัจจุราชจะตามมาถึงเมื่อไรไม่รู้ เพราะมัวแต่เพลิน เพลินกับรูป เสียง

กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักพอ..



หลวงพ่อชา สุภัทโท

วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

อย่าให้อายวัว

…วัวที่มันลากเกวียนบรรทุกของ มาจากทางไกลน่ะ ยิ่งตะวันบ่ายคล้อยต่ำค่ำลง ๆ วัวมันก็ยิ่งเร่ง ฝีเท้ากระชั้นเข้าทุกที เพราะมันอยากจะให้ถึงที่เร็ว ๆ มัน

คิดถึงบ้าน คนเรายิ่งแก่ยิ่งเจ็บไข้ใกล้ความตาย ก็เป็นที่ที่จะต้องปฏิบัติภาวนาละ จะเอาความแก่ความเจ็บมาเป็นข้ออ้าง มันก็จะแย่กว่าวัวเท่านั้นแหละ…



หลวงพ่อชา สุภัทโท

วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี




พอปานนั้น คือเก่า

…เมื่อศึกษาในมหาวิทยาลัย อาตมาเลือกเรียน วิชาจิตวิทยา เพราะคิดว่าคงทำให้รู้จักจิตใจของมนุษย์ได้ดีขึ้น เพื่อช่วยให้มนุษย์อยู่ด้วยกันได้ด้วยความอบอุ่น แต่เมื่อ

ศึกษาดูแล้ว มันก็พอปานนั้นละ มันก็คือเก่า เพราะสังเกตดูอาจารย์ที่สอน แม้เขาจบปริญญาอะไรต่ออะไรตั้งหลายอย่าง เขียนตำรับตำราไว้มากมายเยอะแยะ

เขาก็ยังเป็นทุกข์วุ่นวายด้วยความขัดแย้ง อิจฉาริษยา แก่งแย่งแข่งดีกันในวงการของพวกเขานั่นแหละ แต่พุทธศาสนาสอนวิชาดับทุกข์…



หลวงพ่อชา สุภัทโท

วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

เอกลักษณ์

…คำสอนของพระพุทธเจ้าให้อิสระในการปฏิบัติ แม้ศีลในศาสนาพุทธก็เป็นเรื่องของการปฏิบัติเป็นบทศึกษา ไม่ใช่ข้อห้ามหรือข้อบังคับ ศาสนาพุทธยกเหตุผลเป็น

สำคัญ ความทุกข์มีเหตุ ความสุขมีเหตุ เราจึงไม่ต้องเชื่ออะไรอะไรด้วยความกลัวเหมือนเด็กน้อย เป็นศาสนาที่อาศัยปัญญา และปัญญามีไว้เพื่อดับทุกข์

เป็นศาสนาของคนขยัน เพราะการปฏิบัติที่แท้จริงนั้น คือ การฝึกให้มีสติทุกลมหายใจเข้าออก…



หลวงพ่อชา สุภัทโท

วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี



คลื่นกระทบฝั่ง

..ตั้งสติไว้กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ก็คล้าย ๆ กับการดูคลื่นที่ชายทะเล มันก็สลาย ไม่น่ามีอะไรกังกลหรือหนักอกหนักใจ ดูลมหายใจเข้าลมหายใจออกตาม

ธรรมชาติ เรื่องของธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ลมหายใจเข้าลมหายใจออก คลื่นซัดเข้าหาฝั่งแล้วก็ออกไป…ความรู้สึกนึกคิดเข้ามาในจิตใจแล้วก็ออกไป…

เหมือนลมหายใจเข้าลมหายใจออก ไม่มีอะไรผิดปกติมันก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ ก็เลยเป็นที่ตั้งแห่งความสบาย เป็นอุบายที่จะทำให้ใจสงบ…



หลวงพ่อชา สุภัทโท

วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี



อวิชชา

…ที่โลกวุ่นวายเดือดร้อนก็เพราะความไม่รู้ มันเป็นของมีอยู่ประจำโลก อวิชชา คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนที่กำจัด อวิชชาได้ ไม่ใช่กำจัดอวิชชาทั้งโลก

แต่กำจัดอวิชชาในจิตใจของผู้ที่หวังประโยชน์ในชีวิตของตนเอง หรือผู้ที่ตั้งใจจะอยู่อย่างปกติ เพราะจิตใจของผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจในความเป็นจริง และ

สามารถปฏิบัติตามความรู้อันนั้น เราเรียกว่า ความปกติ เป็นความปกติ ของการเป็นมนุษย์..



หลวงพ่อชา สุภัทโท

วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

คมหิน คมคำ

…หินแหลมคมบนภูเขาก้อนนั้น ถ้ามันกลิ้งลงมาข้างล่าง กระทบกับก้อนนั้นก้อนนี้ ซ้ายทีขวาที ในที่สุดมันจะกลายเป็นก้อนกรวดที่กลมเกลี้ยงขึ้นมาได้

การปฏิบัติของเรานี้ก็เช่นเดียวกัน ต้องกระทบอารมณ์บ่อย ๆ มันถึงจะเกิดปัญญา…



หลวงพ่อชา สุภัทโท

วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี







“อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อนี้ไปให้อ่านจิตตนเอง”



หลวงปู่ดุลย์

www.siamthai.tv ช่อง 13 สยามไท สื่อสารสนเทศของสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย ที่น่าติดตามชม

ขณะนี้ สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทยได้ จดโดเมนเนมเวบทีวีสยามไท ในชื่อ www.siamthai.tv ซึ่งเป็นเวปทีวีที่พร้อมออกอากาศในวันที่ 20 กพ53 นี้พร้อมๆกับสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งแรกในประเทศไทยค่ะ โปรดติดตามรับชม  และติดตามข่าวการขับเคลื่อนสื่อสารสารสนเทศผ่านเวบไซต์สมัชชาประชาชนแห่ง ประเทศไทย www.spt-th.com





สื่อสารสนเทศของสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย

          หลักในการทำงานเชื่อมต่อโครงข่ายสื่อสมัชชา

             1.     สยามไท ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทางภาพ-เสียง ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค จีนตอนใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง และยุโรปบางประเทศ

             2.     สยามไท ส่งเชื่อมต่อเวปสยามไท ดอท ทีวี  ที่เน้นพื้นที่เดิมและเพิ่มพื้นที่ อเมริกาเหนือ และพื้นที่อื่นๆนอกจากข้อที่ 1

             3.     เวป สมัชชา เวบบรรณวิทย์และเวบไพศาลวิชชั่น เชื่อมต่อ เวปสยามไท ในหน้าโฮม อำนวยความสะดวก แก่ผู้เช้าชมเวบทั้งสาม ให้ได้ชม ทีวีสยามไท ด้วย

             4.     วิทยุออนไลน์ FM 104.25 ทั้งที่ กทม และ โคราช เชื่อมต่อ สยามไท ทางเวปทีวีและเวปสมัชชา

             5.     เครือข่ายวิทยุสมัชชา เชื่อมต่อกับ วิทยุออนไลน์ 104.25

ตายไม่สูญแล้วไปไหน

“ ตายแล้วไม่สูญ ” และ “ ตายแล้วไปไหน ” นี้ไม่น่าจะเป็นข้องใจของท่านเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทางที่ไปก็มี 5 สาย คือ

• อบายภูมิ ได้แก่ เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน
• เกิดเป็นมนุษย์
• เกิดเป็นเทวดา หรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์
• เกิดเป็นพรหม
• ไปพระนิพพาน

ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรม คือการกระทำ ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่ว ในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่ว ที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่งตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ 5 ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้

แดนที่เกิดสายที่หนึ่งที่เรียกว่า อบายภูมิ

แดน ที่เกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้นเป็นผลจากความประพฤติชั่ว คือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ ๆ ไว้ ๕ ประการ

• เป็นคนที่ใจ โหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อน โดยเข้าใจผิดคิดว่า เป็นความดีหมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๑

• มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือฉ้อโกง เอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง หมายถึง ละเมิดศีลข้อที่ ๒

• ใจเร็ว ได้แก่มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่นชอบลอบทำชู้ ภรรยา และธิดา สามีของคนอื่น ด้วยความมัวเมาในกามคุณ หมายถึง ละเมิดศีลข้อที่ ๓

• พูดปด ได้แก่ พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริง เพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึง ละเมิดศีลข้อที่ ๔

• ชอบทำตนให้เป็นคน หมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบด้วยน้ำเมา หมายถึง การละเมิดศีลข้อที่ ๕

กรรม คือ ความประพฤติในกฎ ๕ ประการนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิ มีตกนรก เป็นต้น

แดนเกิดสายที่สองคือเกิดเป็นมนุษย์

แดน เกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีกรรมบถ ๑๐ หรือที่รู้กันง่าย ๆ ก็คือ เป็นคนมีศีล ๕ ประจำได้แก่

• เป็นคนมีเมตตาปราณี ไม่รังแกข่มเหงทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนสัตว์เสมอด้วยรักตนเอง

• ไม่มือไว คือเคารพสิทธิ์ในทรัพย์สินของบุคคลอื่นไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ

• ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของบุคคลอื่น

• ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง

• ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือ เป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความดี ความชั่วตามกฎของกรรม ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่าง ๆ

ท่านที่ทรงความดี ๕ อย่างนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้

แดนเกิดที่สายที่สาม ได้แก่ สวรรค์

แดน เกิดสายที่สาม ได้แก่ สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่างคือ

• เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในที่ทุกสถาน

• เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความเดือดร้อน

เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า

แดนเกิดสายที่สี่ได้แก่ พรหมโลก

แดนที่เกิดสายที่สี่ ได้แก่ พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละแดนกัน พรหมท่านว่าศักดิ์สิทธิ์ดีกว่าเทวดาและมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามดีกว่าเทวดา แต่พรหมไม่มีเพศ คือ ไม่มีเพศหญิงหรือเพศชาย ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่ ท่านว่ามีความสุขสงบสงัด ท่านที่จะเป็นพรหมได้ ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐาน และมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่าเข้าฌานตาย

แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่ พระนิพพาน

แดนเกิดสายที่ห้าได้แก่ พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า “ นิพพานสูญ ” กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อ ๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้น ต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ

• ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่าง ๆ ที่คิดวาเป็นสมบัติของตน รู้เสมอว่าจะต้องตายและพลัดพรากจากของรักของชอบแน่นอน ไม่มีอะไรที่ห้ามความตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก

• ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริง ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงไปในเมื่อกาลเวลามา ถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ

• รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ

• ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้ถึงความจริง ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ภัยอันตรายที่มีขึ้นแกตน เพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ

• มีจิตใจเต็มไปด้วยความเตตาปรานี ไม่โกรธ ไม่จองล้างจองผลาญ คิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา

• ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้

• ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์

• มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

• ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดาที่จะต้องตาย จะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใด ๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้นสมาคมนั้น ๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้น ๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ต้องของเขา เราช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร

• ตัดความรัก ความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธ ในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดามันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น

เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้ อยู่ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ในปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพัน ทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

ที่มา ลานธรรมจักร

เรียนรู้ที่จะ "อยู่"

สัตว์ อยู่งาม ตามธรรมชาติ สัตว์รู้สึก
มิได้นึก ว่า "กู"อยู่ รู้มั่นหมาย ;
หิวก็หา กินแล้วมา นอนสบาย
ส่วนสืบพันธุ์ นั้นมิหมาย ว่าเป็นกาม ฯ


คน อยู่ร้อน ด้วยตัณหา อย่างบ้าอยู่
โดยมี "กู" มี "ของกู" ขี้ตู่ พล่าม
การสืบพันธ์ุ์ ก็หลงมัน ขั้นกองกาม
หลงตะกลาม กิน-กาม-เกียรติ์ เกลียดนิพพาน


มนุษย์ อยู่เย็น ด้วยปัญญา อย่างมนุษย์
รู้สูงสุด เรื่องดับทุกข์ ทุกสถาน
รู้เมตตา อารีกัน ในสันดาน
รู้คิดอ่าน เหนือเกียรติ-กาม เพื่อความเย็น

(พุทธทาสภิกขุ) แห่งสวนโมกขพลาราม

ทำไมต้องนับ ๑

เคยสังเกตไหมว่า..
เลข ๑ มีความมหัศจรรย์แค่ไหน ???

1 x 1 = 1
11 x 11 = 121
111 x 111 = 12321
1111 x 1111 = 1234321
11111 x 11111 = 123454321
111111 x 111111 = 12345654321
1111111 x 1111111 = 1234567654321
11111111 x 11111111 = 123456787654321
111111111 x 111111111=12345678987654321

ทำไม..เวลาที่เราจะทำอะไร ???
เรามักจะได้ยินว่าการให้สัญญาณอยู่เสมอ..
เป็นอย่างนี้ประจำ เช่น..
...กรรมการนับนักมวยที่ถูกน๊อก.. ๑ – ๒ – ๓ - ๔
...เวลาพูดลองไมค์..โฆษกมักพูดว่า..ฮัลโหล.. ๑ – ๒ – ๓ - ๔ ฯลฯ
...เวลาที่เราจะนับสิ่งของต่างๆ ก็จะเริ่มที่ ๑ เสมอ..

คำว่า “ ๑ ”
ถ้าบวก, ลบ, คูณ, หาร..ก็น่าพิศวง

1 x 9 + 2 = 11
12 x 9 + 3 = 111
123 x 9 + 4 = 1111
1234 x 9 + 5 = 11111
12345 x 9 + 6 = 111111
123456 x 9 + 7 = 1111111
1234567 x 9 + 8 = 11111111
12345678 x 9 + 9 = 111111111
123456789 x 9 +10= 1111111111

จึงมีความหมายสำหรับสิ่งที่ดีที่สุด..

…เช่น ถูกรางวัลที่ ๑ บ้าง..
...ชนะเลิศที่ ๑ บ้าง...สอบได้ที่ ๑ บ้าง..
...วิ่งได้ที่ ๑ บ้าง..
...แล้วแต่ลำดับเหตุการณ์

ดังนั้น..คำว่า “หนึ่ง”
จึงเป็นบอกว่าของสิ่ง ๆ เดียว ที่โลกยอมรับกัน..
...จึงให้ชื่อว่า “หนึ่ง”

ในทางธรรม “คำว่า ๑ เดียว”..
ก็มีคุณค่ามากเช่นกัน..
ซึ่งสรุปหัวใจของพระพุทธศาสนา
ปัจฉิมโอวาทว่า “ความไม่ประมาท” นั่นเอง..
ถือว่าเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง

ในชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน..
คนที่ไม่ประมาทในชีวิต ในวัย ในการศึกษา
...มีสติก่อนทำ..ก่อนพูด..ก่อนคิด..
...ก็ชื่อว่า..เป็นหนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่ที่สุด..
...ที่ไม่เป็นสองรองใคร..

ในอีกแง่มุมหนึ่ง..
การนับหนึ่งก็เป็นการเริ่มต้นใหม่..
...กับอดีตที่เคยผิดพลาดมา..
...ถือว่า..เป็นบทเรียนที่มีคุณค่าในชีวิตของนักสู้..

หลายต่อหลายครั้ง..
ที่เราเคยท้อแท้..ผิดหวัง..
เคยนับหนึ่งใหม่ไม่รู้กี่ครั้ง..
แต่ทุกครั้งที่เรานับหนึ่ง..นั่นคือ..การเริ่มต้นใหม่..

ในชีวิตของคนเราก็เช่นกัน..
หากในหนึ่งชีวิต..
...เราก็ผ่านร้อน..ผ่านหนาว..มามากต่อมาก..
...เคยล้มลุก..คลุกคลาน..ไม่รู้กี่หน..

สิ่งสำคัญที่สุด..
...ไม่ใช่อยู่ที่ว่า..เคยล้มมากี่ครั้ง..
...แต่ที่สำคัญ คือ..
...ทุกครั้งที่ล้ม...คุณลุกขึ้นมาใหม่..
แล้วค่อยๆ ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า..
หรือว่า..ล้มแล้วนอนกลิ้งต่อไป..โดยไม่ยอมลุกขึ้น..

เพราะฉะนั้น..
ประโยชน์ของการนับหนึ่ง..
...คือ..ทำให้เรารู้ว่า..
...เมื่อมีจุดเริ่มต้น..ก็ต้องมีจุดจบ..
แต่ใครเล่าที่จะสามารถนับ ๑ ถึง ๑๐ ถึงร้อย ถึงพัน..
จนถึงหมื่น..แสน..ล้าน..
โดยที่ไม่ต้องย้อนกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่..

การนับ ๑ บนถนนเส้นชัยแห่งชีวิต..
ไม่จำเป็นว่า..
...จะต้องนับ ๑ ถึง ล้าน ทุกครั้งไป..
...แต่การนับ ๑ ถึง ๑๐ แล้วค่อยๆ นับไปอย่างช้าๆ
...และมั่นใจ มุ่งมั่นที่จะก้าวเดินต่อไป..ข้างหน้า..
แม้จะล้มลุก..คลุกคลาน..บ้าง..
ก็ขอให้ล้มตรงจุดนั้น..แล้วลุกขึ้นตรงจุดนั้น..
โดยไม่ต้องเดินย้อนกลับมา..
แล้วนับหนึ่งใหม่..

...เพียงแต่ล้มลง ณ จุดใด..
...ขอให้มีพลังใจที่เข้มแข็ง..
...พยายามดันตัวเองลุกขึ้นมาให้ได้..
...จากจุดๆ นั้น ที่เต็มไปด้วยความท้อแท้..สิ้นหวัง..
...ให้กลับกลายเป็นพลัง..ลุกขึ้น..ก้าวเดินต่อไป..อย่างมุ่งมั่นและมั่นใจ
...และพยายามก้าวเดินต่อไป..
...จนกว่าจะประสบความสำเร็จ..

บทความโดย...ชายน้อย...

แหล่งที่มาจากธรรมะไทยดอทคอม

ฟังเพลง วีรชนคนของแผ่นดิน-ชุดคนของประชาชน

ฟังเพลง วีรชนคนของแผ่นดิน-ชุดคนของประชาชน Track 8

----

ศรีฐาน - สุขภาพคือฐานสำคัญของชีวิตที่ต้องคิดใส่ใจและดูแล กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนตำบลศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร

เรียบเรียงโดย นพรัตน์ จิตรครบุรี


            องค์การบริหารส่วนตำบลศรีฐาน อยากเห็นชาวบ้านมีสุขภาพดี และได้รับบริการที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องเดินทางไกล ไม่ต้องไปแออัดที่โรงพยาบาลป่าติ้ว เพราะการเดินทางไปในแต่ละครั้งต้องใช้เวลา ใช้เงินมาก ชาวบ้านจึงได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างโรงพยาบาลตำบลขึ้น เพื่อทำให้การรับบริการด้านสุขภาพดีขึ้น เร็วขึ้นโดยการจัดหาเงินด้วยการทอดผ้าป่า และได้รับบริจาคสมทบจากหลวงพ่อพวง หลวงพ่อสรวง และหลวงพ่อเพียรเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้ตำบลศรีฐานสามารถจัดตั้งโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพในตำบลได้เป็นแห่งแรกของจังหวัดยโสธร ตามความต้องการของชาวบ้าน

            และโชคดีเมื่อปลายปี 2549 อบต.ศรีฐานได้เข้าร่วมโครงการของ สปสช. ทำให้มีเงินทุนสมทบในการดำเนินงานด้านสุขภาพมากขึ้น
            นายสุพิศ ป้องกัน นายก อบต.ศรีฐาน มองว่า การที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดตั้งกองทุนฯ มีประโยชน์มาก เพราะเป็นการช่วยให้การดำเนินงานขององค์การบริหารส่วนตำบลศรีฐานเกิดผลมากขึ้น และชาวบ้านได้มีส่วนร่วมในการดำเนินการมากขึ้น ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องของคนอื่น แต่สุขภาพดีต้องเริ่มต้นลงมือที่ตัวเองและชาวบ้านก็เต็มใจที่จะสมทบทุนในการสร้างสุขภาพของตนเอง

            เพื่อให้การดำเนินการกองทุนฯ เกิดการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมให้มากที่สุด การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ จึงมาจากหลายภาคส่วนด้วยกัน ได้แก่ นายก อบต. ,รองนายก อบต., เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลตำบล ตัวแทนชุมชนและ อสม.ประจำหมู่บ้าน

            ด้วยการคำนึงถึงหลักการที่ว่า "สิทธิประโยชน์ส่วนรวม" การบริหารงานของคณะกรรมการกองทุนฯ จึงเน้นไปที่กระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ละเลยเรื่องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนฯ สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ ด้วยการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ได้แก่

            การทำประชาคม ซึ่งทำกันในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ คณะกรรมการทุกคนต้องเข้าร่วม เพื่อตอบคำถามและให้ข้อมูล เปิดโอกาสให้ชาวบ้านซักถามประเด็นต่างๆ  เช่น กองทุนหลักประกันสุขภาพฯ คืออะไร ทำไมต้องมีกองทุนฯ เอาไว้ทำอะไร กลุ่มเป้าหมายคือใคร เป็นต้น

            นอกจากนี้ ยังมีการบอกข่าวผ่านหอกระจายข่าว ผ่านทางผู้ใหญ่บ้าน, กำนัน, กรรมการกองทุนฯ , การส่งหนังสือเชิญ (จดหมายข่าว) และทำป้ายประชาสัมพันธ์
            การพัฒนาแบบมีส่วนร่วม ที่เริ่มจากการได้พูดคุย ปรึกษาหารือด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง ช่วยทำให้ทีมงานเกิดความเข้มแข็ง ทำงานกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีการวางแผนในการดำเนินกิจกรรม ร่วมกันทบทวนถึงปัญหา อุปสรรค และหาทางแก้ไข ซึ่งลำดับขั้นตอนในการทำงานของ อบต.ศรีฐาน มีดังนี้

            วางระบบการทำงานด้วยการแบ่งหน้าที่กันปฏิบัติ คือ ให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้ร่วมมือกันวางแผนการทำประชาคมในแต่ละหมู่บ้าน, ให้ผู้ใหญ่บ้านหรือสมาชิก อบต. เป็นผู้ประสานงานกับคณะกรรมการกองทุนระดับตำบล และกำหนดวันประชุมประชาคมเพื่อเสนอวันเวลา สถานที่มายังองค์การบริหารส่วนตำบล ทั้งนี้เพื่อเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องกองทุนสุขภาพระดับตำบล

            เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกองทุนฯ ลงมือ ลงแรง ร่วมใจ ร่วมทุน ร่วมแสดงความคิดเห็น และร่วมตัดสินใจ โดยการเสนอความต้องการผ่านทางคณะกรรมการแต่ละหมู่บ้านจากการทำประชาคม จากนั้นรวบรวมเป็นความต้องการของคนในตำบลเสนอเป็นแผนงานและกิจกรรม ให้คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ช่วยกันพิจารณางบประมาณและดูความเหมาะสมของโครงการ

            ในปีงบประมาณ 2550 ได้ประเด็นความต้องการของสมาชิก 26 ประเด็นครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย ผู้สูงอายุ เด็ก และผลการดำเนินงานที่ปี 2550 โครงการที่คิดว่าเป็นโครงการดีเด่นของ อบต.ศรีฐาน คือ โครงการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ ได้แก่ โครงการจัดพาผู้สูงอายุ ไป  X-ray  ปอด ที่โรงพยาบาลป่าติ้ว และโครงการตรวจไขมันสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากว่าชุมชนตำบลศรีฐาน ผู้สูงอายุได้มีการรวมกลุ่มกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เช่น กลุ่มทำหมอนขิด, กลุ่มจักสาน,  กลุ่มผญาและกลุ่มปราชญ์ชาวบ้าน จึงทำให้การทำกิจกรรมเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายและได้รับความร่วมมือดี

            สรุปโครงการ / ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินกิจกรรมหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน
            งบประมาณดำเนินการ กองทุนฯ ตำบลศรีฐาน ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก โดย สปสช. โอนเงินสมทบ 37.50 บาท/คน/ปี (ประมาณเดือนธันวาคม 2549) ร่วมกับท้องถิ่นโอนเงินสมทบ 20% ของเงิน สปสช. และเงินสมทบของสมาชิกเดือนละ 2 บาท นอกจากนี้ กองทุนฯ อบต.ศรีฐาน ยังได้เงินสมทบจากเกจิอาจารย์ของตำบลอีกจำนวนหนึ่งด้วย
            การดำเนินการกองทุนฯ ของ อบต.ศรีฐาน จากการเรียนรู้ของทีมทำงาน ปัจจัยสู่ความสำเร็จในการบริหารกองทุนฯ อยู่ที่ วิสัยทัศน์ของผู้นำ ในการตัดสินใจเข้าร่วมกองทุนฯ และมองเห็นความสำคัญว่า กองทุนฯนี้มีประโยชน์ต่อประชาชน

            มีทีมงานเข้มแข็ง และทำงานด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนฯ และทำงานด้วยใจ ด้วยจิตอาสาเพื่อที่จะพัฒนาชุมชนของตนเองและเพื่อต้องการให้คนในชุมชนมีสุขภาพแข็งแรง
            การที่ประชาชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมคิดท ได้ออกความเห็น แสดงความต้องการ และได้ร่วมลงทุนทำให้เกิดความรู้สึกว่า ตนเองเป็นเจ้าของกองทุนฯ ที่ตนได้รับประโยชน์ และได้แบ่งปัน ที่สำคัญที่สุด คือ การสร้างกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้มุมมองของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ และผู้นำชุมชนเปลี่ยนไปเป็นมองในเรื่องเดียวกันว่า สำหรับชาวศรีฐานแล้ว การสร้างหลักประกันสุขภาพ คือ ฐานสำคัญของชีวิตและชุมชน

ข้อมูลพื้นฐานประกอบการเขียน โดย
ดร.กฤษณา วุฒิสินธ์
รุ่งอรุณ กระมุทกาญจน์
นัจรินทร์ เนืองเฉลิม
กิ่งแก้ว สุระแสน
นิธิ ปรัสรา
วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร อุบลราชธานี



ที่มา ถอดบทเรียน การดำเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่
(กองทุนหลักประกันสุขภาพ อบต. และเทศบาล) ในพื้นที่ต้นแบบทั่วประเทศ กรณีศึกษา ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง
เลข  ISBN : 978-974-379-047-8
ธันวาคม 2551

อาลัย ครูอบ ไชยวสุ

ส.บุญเสนอ

            เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๗ โรงเรียนมัธยมวัดเญจมบพิตร ได้ออกหนังสือพิมพ์รายเดือนประจำโรงเรียนชื่อ "เบญจมานุสาสน์" ซึ่งสมัยนั้นนิยมจัดทำกันแทบทุกโรงเรียนใหญ่ๆในกรุงเทพฯ โดยมีพระพาณิชย์สารวิเทศ ครูใหญ่เป็นผู้จัดการ นายศุขทิมศิลป เป็นบรรณาธิการ

            คณะผู้จัดทำได้แก่บรรดาครูและนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนที่ใฝ่ใจรักหนังสือ ตอนนั้นผมยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย และมีใจนิยมงานประเภทนี้ จึงรับใช้เต็มที่ แต่ผู้เกี่ยวข้องทุกหน้าที่ทุกคน ไม่มีผู้ใดได้รับค่าตอบแทนสักคนเดียว

            ผมได้อ่านข้อเขียนของครูอบ ไชยวสุ เป็นครั้งแรกในหนังสือนี้ ตอนนี้ครูอบสำเร็จเป็นครู ปม.แล้ว และสอนประจำโรงเรียนเบญจมบพิตร เป็นเรื่องขบขันที่เรียกได้ว่าฮือฮากันในสมัยนั้น และถือเป็นแนวทางของการเขียนตลอดมา

            ครูอบสอนอยู่ที่เบญจมบพิตรมานานเท่าไรจำไม่ได้ เมื่อผมออกจากโรงเรียนไปแล้ว ทราบว่าต่อมาทางกรมศึกษาขอตัวกลับไปสอนที่เทพศิรินทร์โรงเรียนเก่าอีก ภายหลังเกิดผิดเส้นกับผู้ใหญ่บางคน จึงถูกย้ายไปสอนที่โรงเรียนผู้หญิง คือ เบญจมราชาลัย นานถึงแปดปี หลังจากนั้นก็ถูกย้ายไปสอนที่วัดสุทธิซึ่งไม่เป็นที่ถูกอัธยาศัย ครูอบเลยขอลาออกไปทำงานหนังสือพิมพ์ที่ทาบทามไว้ก่อนแล้ว และดำรงอาชีพเป็นนักเขียนอิสระตั้งแต่นั้นมา

            ที่รวมกลุ่มกันอย่างรุ่งโรจน์ คือ ยุคที่ คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ รวบรวมนักเขียนจากเทพศิรินทร์ มาออกหนังสือพิมพ์รายปักษ์ ชื่อ "สุภาพบุรุษ" มีสำนักงานอยู่ที่ห้อง "เกษมศรี" ซึ่งเป็นร้านขายเครื่องเขียนและแบบเรียนของครูอบเอง อยู่ใกล้เชิงสะพานรามบุตรี ตรงข้ามวัดชัยชนะสงคราม ตอนนั้นบ้านครูอบจึงเสมือนเป็นสโมสรของนักเขียน มีการนัดสังสรรค์พบปะกันเป็นประจำ

            ครูอบถนัดเขียนแคะไค้ในเรื่องที่มีภาษาหนังสือเป็นหลัก ผู้ใดเขียนผิดหลักเกณฑ์ก็นำมาท้วงติง ทำให้หัวเราะยิ้มหัวกันได้ นอกจากจะเป็นที่ชื่นชอบแก่ผู้อ่าน ยังเป็นที่ค้อนควักแก่ผู้ถูกกล่าวถึง เคยได้ยินว่ามีนักเขียนหญิงที่ถูกท้วงติงพากันค้อนเอาครูอบจนหน้าคว่ำ

            ครูอบจึงได้ชื่อว่าเป็น ยามภาษา หรือ สารวัตรหนังสือ คอยดูแลอยู่ในวงการหนังสือ เสมอมา



ที่มา  ต่วยตูน ปักษ์แรก เดือนธันวาคม ๒๕๔๐ ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๗  

ไม่ใช่เสื้อเหลือง แต่รับไม่ได้ที่เห็นเสื้อแดงทำ ตื่นได้แล้ว...อยากให้พิจารณากัน ความจริง อ่านซะจะได้เข้าใจ!!!





---------- Forwarded message ----------

ไม่ใช่เสื้อเหลือง   แต่รับไม่ได้ที่เห็นเสื้อแดงทำ
อยากให้อ่านเมล์นี้ โดยเฉพาะเสื้อแดงท่านอาจทราบข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้น

 
 
 

พี่เสื้อแดงส่วนใหญ่
มักเข้าใจผิดว่ารัฐบาลประชาธิปปัตย์เป็นคนกู้ IMF

ความจริงคือรัฐบาลชวลิต
ซึ่งมีรองนายกชื่อ ทักษิณ ชินวัตร   ทำเรื่องกู้ IMF หลังจากทำเศรษกิจพังจากการแทรกแซงค่าเงิน
และเงินกู้งวดแรกก็ได้เบิกในรัฐบาลชวลิต

(
ไม่เชื่อไปบอกเสื้อแดงสิ   เขาจะงงและทำอะไรไม่ถูก)  

พี่เสื้อแดงส่วนใหญ่
มักคิดว่าทักษิณปลดหนี้ IMF

เงินกู้
IMF จะเบิกเป็นงวดๆ 3 เดือนต่องวด และมีสัญญาจ่ายที่ครบกำหนด 3 ปี   ยกตัวอย่างเช่น
****
ก้อนที่ได้มา 1 มค. 50>>>>> ก็มีกำหนดจ่ายคืน 1 มค. 53 ( นับไปอีก 3 ปี) เป็นต้น****
รัฐบาลชวนเข้ามา (หลัง
14 พ.ย. 2540) ก็บริหารประเทศจนเริ่มดีขึ้น จึงได้ทำการหยุดกู้ IMF ก่อนกำหนด และเริ่มช้หนี้
เป็นผลให้กำหนดการชำระเงินกู้งวดสุดท้ายย่อมเร็วขึ้น
1 ปี ตามไปด้วย เพราะฉะนั้น กำหนดชำระหนี้ไอเอ็มเอฟ งวดสุดท้าย จึงเร็วขึ้น จากกลางปี 2547 เหลือเพียงกลางปี 2546 ประเทศไทยก็จะหมดหนี้ไอเอ็มเอฟ ( ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล)
(
ช่วงเม.ย. บาบูน   มีเสื้อแดงโดนจับเข้าโรงพัก เขาโวยวายว่า ทักษิณใช้หนี้ IMF ไปไล่เขาทำไม     น่าเวทนาเหลือเกิน )  

พี่เสื้อแดงส่วนใหญ่
มักคิดว่าทักษิณคือตัวแทนประชาธิปไตย

ทักษิณใช้ช่องว่างรัฐธรรมนูญ
40 ยุบรวมพรรคการเมือง(หลังจากรู้ผลเลือกตั้งแล้ว)ให้เป็นพรรคเดียว   เพื่อหลบหนีการตรวจสอบ

ทักษิณตลอดเวลาที่เป็นนายก
  เข้าสภาเพียง 12 ครั้ง   และ ไม่เคยตอบกระทู้ถามสด จากฝ่ายค้านแม้แต่ครั้งเดียว ( หนีคำถามจากฝ่ายค้าน) และจะมาพูดคนเดียววันเสาร์ ในรายการนายกพบประชาชน

ทักษิณบอกกับสื่อว่าจะเปิดสภาเข้าไปตอบกระทู้ถามในกรณีขายหุ้นไม่เสียภาษี
  แต่ครั้นถึงเวลากลับประกาศยุบสภาหนีการอภิปราย หวังเลือกตั้งใหม่และประกาศวันเลือกตั้งเร็วกว่ากำหนด 1 เดือน   ไม่ให้ฝ่ายค้านมีเวลาตั้งตัว   จนเป็นที่มาของการบอยคอตการเลือกตั้ง

ไทยรักไทย จ้างพรรคการเมืองเล็ก ลงสมัครเป็นคู่แข่ง (แบบนี้ประชาธิปไตยมั้ย) จนเป็นเหตุให้โดนตัดสินยุบพรรค


พี่ เสื้อแดงส่วนใหญ่
เชื่อว่าการตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย ใช้รธน.ใหม่( 50) ตัดสินย้อนหลัง

ความจริงการตัดสินยุบไทยรักไทย
  เขาใช้กม. กกต.   เป็นกม.เก่า  

พี่ เสื้อแดงส่วนใหญ่
  เชื่อว่าทักษิณไม่เคยกู้  

ไม่มีรัฐบาลไหนที่ไม่กู้

http://www.bb.go.th/budget/inbrveT/B48/B48_part4.pdf     <<< ไทยรักไทยก็ทำงบขาดดุล

นี่คือหนี้สาธารณะ
  จากกรมหนี้สาธารณะ


สิ้นปี
2543    >>>> ที่มา     http://www.mof.go.th/pdmo/lasted_debt_2543.htm
สิ้น 2549  http://www.pdmo.mof.go.th/upload/news24.pdf
มีหนี้เพิ่มในช่วงรัฐบาลทักษิณ
1.3 ล้านล้านบาท   และเ ป็นหนี้ที่ยังไม่ได้ใช้  

รัฐบาลไหนบอกไม่กู้ เป็นรัฐบาลที่หน้าด้านมาก


ส่วนนี่แผนกู้เงินรัฐบาลทักษิณครับ
เป็นเมกาโปรเจค
1.7 ล้านล้าน   และต้องกู้ถึง 7 แสนล้าน  
*
แผนการกู้เงินแบ่งเป็น "กู้ในประเทศ" 4 แสนล้านบาท และ " กู้ต่างประเทศ" 3 แสนล้านบาท*  
หน่วยคือ พันล้าน หน่วยคือ พันล้าน

และยังมีการออก พรก.กู้เงินในสมัยทักษิณ อีก
7.8 แสนล้าน  

เราไม่ได้เป็นประเทศร่ำรวย
  ถ้าจะพัฒนาโครงสร้างต้องกู้เงินครับ
คงมีแต่แกนนำเสื้อแดงที่เอาเรื่องกู้มาโจมตี เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
  รวมทั้งเอาเรื่องไม่เกณท์ทหารมาพูด เพราะอภิสิทธิ์มีภาพลักษณ์ที่ดีจนไม่มีจุดไหนให้โจมตีได้เลย  

พี่ เสื้อแดงส่วนใหญ่
คิดว่าทักษิณเก่ง ทำการค้าก็เก่ง   ทำเศรษจกิจดี GDP โต

แต่ถ้าใครอ่านประวัติ ของทักษิณ
  จะรู้ว่าเขาเจ๊งมาหลายธุรกิจแล้ว เช่น โรงหนัง ค้าผ้าไหม ทำคอนโด ไอบีซี   ล้วนเป็นหนี้เป็นสิน จนต้องฟ้องร้องกันมาแล้ว

ส่วนนี้คือจีดีพีประเทศไทย
  เปรียบเทียบประเทศเพื่อนบ้าน   มาดูกัน  

ลองดูให้ดี ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจ ภูมิภาคฟื้นตัว เป็นเศรษฐกิจโลกขาขึ้น
  ทุกประเทศล้วนมีตัวเลข จีดีพี บวกทั้งนั้น     ประเทศลาวโตกว่าเราเสียด้วยซ้ำ

ถ้าบอกว่า รัฐบาลทักษิณมีเงินสำรองประเทศเยอะ
  มาดูนี่
รัฐบาลสุรยุทธ์ บริหารประเทศปีเดียว
  เงินเยอะกว่าหลายขุม   งั้นให้สุรยุทธ์บริหารไปเลยสิจะได้รวยกันทั่ว
เพราะว่าจำนวนเงินสำรอง ไม่ได้ชี้วัดเศรษฐกิจในประเทศ
เอ้า เสื้อแดงดูแล้วรู้สึกรวยขึ้นหรือยัง


พี่ เสื้อแดงส่วนใหญ่
เชื่อว่าทักษิณ รักประชาธิปไตย เกลียดปฎิวัติ


เปล่าเลยครับ
 


สมัยคณะ รสช. ทำการรัฐประหาร มีพี่น้องล้มตายนับไม่ถ้วน ก็มีคนหน้าเหลี่ยมนี่แหละครับ
  ที่เข้าไปแสดงความยินดีกับ     สุนธรณ์คงสมพงษ์ หัวหน้าคณะปฎิวัติ
เลียแข้งเลียขา จนได้สัมปทานผูกขาดดาวเทียม ขายเจ้าเดียวในประเทศไทย

"
ถ้าไม่มีพี่จ๊อด ก็ไม่มีผมในวันนี้ "    ไหนนะ ? ใครเป็นคนพูด     แล้วทำไมคุยว่าเป็นประชาธิปไตยไง  



วมทั้งที่สนิทสนมกับ รัฐบาลทหารพม่า ที่ริดรอนสิทธิมนุษยชนเป็นประจำ
 
ไปอยู่กับ แดเนียล ออเตการ์ ปธน.นิการากัว ที่เคยมีทำการปฎิวัติ
  มีแม้แต่คดีกระทำอนาจาร  


พี่ เสื้อแดงส่วนใหญ่
เชื่อว่าแกนนำสู้เพื่อประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการ


วีระ ผู้เคยร่วมคณะปฎิวัติ   แต่ไม่สำเร็จ ติดคุกในฐานะกบฏ   และเคยต้องโทษติดคุกคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เหวง ( สหายเข้ม) เคยอยู่พรรคคอมมิวนิสต์ สุรชัย แซ่ด่าน   ผู้เคลื่อนไหวคอมมิวนิสต์คนสุดท้ายของประเทศไทย

มันเป็นแค่ลมปากของผู้โดนรัฐประหาร เท่านั้น เขาไม่เคยพูดถึงการโกงกินมโหฬาร เลยซักคำ



พี่ เสื้อแดงส่วนใหญ่
เชื่อว่าทักษิณ จงรักภักดี

ดูซะ



จักรภพ เพ็ญแข
  ผู้ให่สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ ให้ร้ายกษัตริย์   ในหัวข้อระบอบอุปถัมป์อันโด่งดัง   ปัจจุบันยังลอยหน่้าหนีคดี

http://www.opm.go.th/opminter/translation/translate.html   <<< ไปอ่านดู

ใจ
  อึ้งภากรณ์   ( คนที่ใส่เสื้อดำ) ผู้ออกแถลงการณ์สยามแดง อันลือลั่น   ยุยงให้ประชาชนล้มสถาบันสูงสุดทั่วประเทศ
*
ปล.เอาแถลงการณ์มาให้ดูไม่ได้จริงๆ   ไปหาเองนะจ๊ะ


ดา ตอปิโด   คงไม่มีอีกแล้วในประเทศไทย ที่กล้าขึ้นเวทีนปช.ที่สนามหลวงด่าพ่อหลวงของผม ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ถ่อนสถุลที่สุด   ปัจจุบันติดคุก

นี่ไงบนเวทีเสื้อแดงมันมีแต่แบบนี้ไงครับ
ถ้าทักษิณ รักสถาบันจริง   ช่วยโฟนอินมาบอกชัดๆว่า ผมไม่เอา จักรภพ   ผมไม่รู้จักและไม่มีอุดมการณ์ร่วมกับอีก 2 คน   และขอร้องให้ตำรวจจับ 3 คนนี้ด้วย     ทำสิครับทักษิณ


พี่ เสื้อแดงส่วนใหญ่
เชื่อว่าทักษิณไม่เคยคิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ   และรักสถาบันยิ่งชีพ

วันตั้งพรรคไทยรักไทย คือวันที่
14 กค. ซึ่งตรงกับ วันปฎิวัติฝรั่งเศษ   วันที่ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านกษัตริย์ จนนำไปสู่การตัดหัวพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และราชินี

ทำบุญในวัดพระแก้ว ทั้งที่วันที่ 10 เม.ย. 48 ยังไม่มีหนังสืออนุญาติจากวัง
และอีกทั้ง
วัดพระแก้วเป็นเหมือนดั่งห้องพระของกษัตริย์   ทักษิณคุณเป็นใคร ? ข่อยงง...อธิบายข่อยแน่

ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ พาดพิงสถาบันบ่อยครั้ง
  ( ผมไม่สามารถเอามาวางให้อ่านได้)    

 

พฤติกรรม ที่เขารู้ทั้งรู้


นี่ทำหนังสือประวัติศาสตร์     อดีตกษัตริย์ล้านนา   เขาต้องการอะไร


นี่คือวัดทางเหนือ   มีขบวนการอ้างว่าเป็นเจ้ามาเกิด จำลองตัวตนให้ชาวบ้านกราบไหว้


ยังมีความเชื่อผิดๆอีกมากมาย
  ไว้นึกออกจะเอามาต่อภาค  






รับสมัครงาน ....ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป(เลขานุการคณะ)
จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยมหิดล
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634024450943906250

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : เจ้าหน้าที่ทั่วไป จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานสภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634024241023593750

3.) ชื่อตำแหน่งงาน : นายแพทย์ปฏิบัติการ(รพ.อภัยภูเบศร)
จำนวนตำแหน่งว่าง : 2 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634024312026917242

4.) ชื่อตำแหน่งงาน : พนักงานวิศวกรโยธา จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมโยธาธิการและผังเมือง
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634024319803010992

5.) ชื่อตำแหน่งงาน : พนักงานโยธา จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมโยธาธิการและผังเมือง
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634024323298635992

6.) ชื่อตำแหน่งงาน : พนักงานช่างไม้ จำนวนตำแหน่งว่าง : 2 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมโยธาธิการและผังเมือง
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634024338072385992

7.) ชื่อตำแหน่งงาน : พนักงานเครื่องยนต์ จำนวนตำแหน่งว่าง : 2 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมโยธาธิการและผังเมือง
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634024342515823492

8.) ชื่อตำแหน่งงาน : พนักงานตัดเย็บและตกแต่ง จำนวนตำแหน่งว่าง : 2 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมโยธาธิการและผังเมือง
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634024345303479742

9.) ชื่อตำแหน่งงาน : พนักงานธุรการ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมโยธาธิการและผังเมือง
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634024347468010992

10.) ชื่อตำแหน่งงาน : พนักงานไฟฟ้า จำนวนตำแหน่งว่าง : 2 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมโยธาธิการและผังเมือง
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634024351271604742

ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ.

แจ้งประกาศตำแหน่งงานใหม่ ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ

ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : อาจารย์(พนักงานมหาวิทยาลัย)
,อาจารย์(พนักงานเงินรายได้) จำนวนตำแหน่งว่าง : 3 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634026422190383750

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : ผู้อำนวยการศูนย์วิทยพัฒนา มสธ. สุโขทัย
จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634026030973161250

3.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการเงินและบัญชี(โรงพยาบาลพัทลุง)
จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634026200063196250

4.) ชื่อตำแหน่งงาน : นิติกร (โรงพยาบาลพัทลุง) จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634026203183977500

5.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการสาธารณสุข (โรงพยาบาลพัทลุง)
จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634026204592571250

6.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชการศึกษาพิเศษปฏิบัติการ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมสุขภาพจิต
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634026041748977500

ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : อาจารย์ จำนวนตำแหน่งว่าง : 29 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634025200158204787

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักสื่อสารมวลชนปฏิบัติการ จำนวนตำแหน่งว่าง : 19 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมประชาสัมพันธ์
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634025290248161250

ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ.

พระอาจารย์สอนคนชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่น โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ภาวนามากๆ ดูตัวเองมากๆ
หลวงพ่อ (พระโพธิญาณเถร) บอกว่า
'ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90 % ดูตัวเองแค่ 10 %'
คือคอยดูแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น

กลับเสียใหม่นะ ดูคนอื่นเหลือไว้ 10 %
ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร
เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ
ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90 % จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่

ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง
โบราณพูดว่า เรามักจะเห็น ความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม
มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มากๆ

เห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10
เห็นความผิดตัวเอง ให้คูณด้วย 10
จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม
เพราะเหตุนี้เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมากๆ
และตำหนิติเตียนตัวเองมากๆ
แต่ถึงอย่างไรๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ

พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฏิบัติของคนอื่น
ดูตัวเอง สนใจแก้ไขตัวเองนั่นแหละมากๆ
เช่น เข้าครัวเห็นเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ
แล้วก็เกิดอารมณ์ร้อนใจ

ยังไม่ต้องบอกให้เขาแก้ไขอะไรหรอก
รีบแก้ไข ระงับอารมณ์ร้อนใจของตัวเองเสียก่อน
เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็สักแต่ว่า ใจเย็นๆ ไว้ก่อน
ความเห็น ความคิด ความรู้สึกก็ไม่แน่..... ไม่แน่
อาจจะถูกก็ได้ อาจจะผิดก็ได้
เราอาจจะเปลี่ยนความเห็นก็ได้
สักแต่ว่า..... สักแต่ว่า..... ใจเย็นๆ ไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูด

ดูใจเราก่อน สอนใจเราก่อน หัดปล่อยวางก่อน
เมื่อจิตสงบแล้ว เมื่อจิตปกติแล้ว
จึงค่อยพูด จึงค่อยออกความเห็น
พูดด้วยเหตุ ด้วยผล ประกอบด้วยจิตเมตตากรุณา
ขณะมีอารมณ์อย่าเพิ่งพูด
ทำให้เสียความรู้สึกของผู้อื่น
ทำให้เสียความรู้สึกของตัวเอง
ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร
มักจะเสียประโยชน์ซ้ำไป

เพราะฉะนั้น อยู่ที่ไหน อยู่ที่วัด อยู่ที่บ้าน
ก็สงบๆ ๆ ไม่ต้องดูคนอื่นว่าเขาทำผิดๆ ๆ
ดูแต่ตัวเรา ระวังความรู้สึก ระวังอารมณ์ของเราเองให้มากๆ
พยายามแก้ไข พัฒนาตัวเรา..... นั่นแหละ

เห็นอะไรชอบ ไม่ชอบ ปล่อยไว้ก่อน
เรื่องของคนอื่น พยายามอย่าให้เข้ามาที่จิตใจเรา
ถ้าไม่ระวัง ก็จะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นไปเรื่อยๆ
หาเรื่องอยู่อย่างนั้น เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเป็นเรื่องของเราหมด
มีแต่ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ทั้งวัน
อารมณ์มาก จิตไม่ปกติ ไม่สบาย ทั้งวันๆ ก็หมดแรง

ระวังนะ
พยายามตามดูจิตของเรา รักษาจิตของเราให้เป็นปกติให้มาก
ใครจะเป็นอะไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี เรื่องของเขา
แม้เขาจะทำกับเรา ว่าเรา..... ก็เรื่องของเขา
อย่าเอามาเป็นอารมณ์
อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา

ดูใจเรานั่นแหละ
พัฒนาตัวเองนั่นแหละ
ทำใจเราให้ปกติ สบายๆ มากๆ
หัด-ฝึก ปล่อยวาง นั่นเอง
ไม่มีอะไรหรอก
ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการตามรักษาจิตของเรา
คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข
ยกมือขึ้น สาธุๆ ด้วยกันนะค่ะ
7---/////////////////////////////////////
ความสุขที่ถูกมองขาม (พระไพศาล วิสาโล)

คุณเปนคนหนึ่งหรือไมที่เชื่อวา ยิ่งมีเงินทองมากเทาไร
ก็ยิ่งมีความสุขมากเทานั้น ความเชื่อดังกลาวดูเผิน ๆ ก็นาจะ
ถูกตองโดยไมตองเสียเวลาพิสูจน แตถาเปนเชนนั้นจริง
ประเทศไทยนาจะมีคนปวยดวยโรคจิตนอยลง มิใชเพิ่มมาก
ขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายไดของคนไทยสูงขึ้นทุกป ในทํานองเดียวกัน
ผูจัดการก็นาจะมีความสุขมากกวาพนักงานระดับลาง ๆ
เนื่องจากมีเงินเดือนมากกวา แตความจริงก็ไมเปนเชนนั้น
เสมอไป
ไมนานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยไดใหสัมภาษณ
หนังสือพิมพวา เขารูสึกเบื่อหนายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองวา
"ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดคาทางธุรกิจ" ลึกลงไปกวานั้นเขายัง
รูสึกวาตัวเองไมมีความหมาย เขาเคยพูดวา "ผมจะมี
ความหมายอะไร ก็เปนแค....มหาเศรษฐีหมื่นลานคนหนึ่ง"
เมื่อเงินหมื่นลานไมทําใหมีความสุข เขาจึงอยูเฉยไมได ใน
ที่สุดวิ่งเตนจนไดเปนรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นลานคนอื่น
Page 2
ๆ ยังคงมุงหนาหาเงินตอไป ดวยความหวังวาถาเปนเศรษฐี
แสนลานจะมีความสุขมากกวานี้ คําถามก็คือ เขาจะมีความสุข
เพิ่มขึ้นจริงหรือ ?
คําถามขางตนคงมีประโยชนไมมากนักสําหรับคนทั่วไป เพราะ
ชาตินี้คงไมมีวาสนาแมแตจะเปนเศรษฐีรอยลานดวยซ้ํา แต
อยางนอยก็คงตอบคําถามที่อยูในใจของคนจํานวนไมนอย
ไดบางวา ทําไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส
จึงไมหยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาด
นั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไมหมด
แตถาเราอยากจะคนพบคําตอบใหมากกวานี้ ก็นาจะยอนถาม
ตัวเองดวยวา ทําไมถึงไมหยุดซื้อแผนซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู
แลวนับหมื่นแผน ทําไมถึงไมหยุดซื้อเสื้อผาเสียทีทั้ง ๆ ที่มี
อยูแลวเกือบพันตัว ทําไมถึงไมหยุดซื้อรองเทาเสียทีทั้ง ๆ ที่
มีอยูแลวนับรอยคู
แผนซีดีที่มีอยูมากมายนั้น บางคนฟงทั้งชาติก็ยังไมหมด ใน
ทํานองเดียวกัน เสื้อผา หรือรองเทา ที่มีอยูมากมายนั้น
บางคนก็เอามาใสไมครบทุกตัวหรือทุกคูดวยซ้ํา มีหลายตัว
หลายคูที่ซื้อมาโดยไมไดใชเลย แตทําไมเราถึงยังอยากจะได
Page 3
อีกไมหยุดหยอน
ใชหรือไมวา สิ่งที่เรามีอยูแลวในมือนั้นไมทําใหเรามีความสุข
ไดมากกวาสิ่งที่ไดมาใหม มีเสื้อผาอยูแลวนับรอยก็ไมทําให
จิตใจเบงบานไดเทากับเสื้อ ๑ ตัวที่ไดมาใหม มีซีดีอยูแลว
นับพันก็ไมทําใหรูสึกตื่นเตนไดเทากับซีดี ๑ แผนที่ไดมาใหม
ในทํานองเดียวกันมีเงินนับรอยลานในธนาคารก็ไมทําใหรูสึก
ปลาบ ปลื้มใจเทากับเมื่อไดมาใหมอีก ๑ ลาน
พูดอีกอยางก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได มากกวา
ความสุขจากการ มี มีเทาไรก็ยังอยากจะไดมาใหม เพราะเรา
มักคิดวาของใหมจะใหความสุขแกเราไดมากกวาสิ่งที่มีอยูเดิม
บอยครั้งของที่ไดมาใหมนั้นก็เหมือนกับของเดิมไมผิดเพี้ยน
แตเพียงเพราะวามันเปนของใหม ก็ทําใหเราดีใจแลวที่ไดมา
จะวาไปนี่อาจเปนสัญชาตญาณที่มีอยูกับสัตวหลายชนิดไม
เฉพาะแตมนุษยเทานั้น ถาโยนนองไกใหหมา หมาก็จะวิ่งไป
คาบ แตถาโยนนองไกชิ้นใหมไปให มันจะรีบคายของเกาและ
คาบชิ้นใหมแทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเทากัน ไมวา
หมาตัวไหนก็ตาม ของเกาที่มีอยูในปากไมนาสนใจเทากับ
Page 4
ของใหมที่ไดมา
ถาหากวาของใหมใหความสุขไดมากกวาของเกาจริง ๆ เรื่องก็
นาจะจบลงดวยดี แตปญหาก็คือของใหมนั้นไมนานก็
กลายเปนของเกา และความสุขที่ไดมานั้นในที่สุดก็จางหายไป
ผลก็คือกลับมารูสึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึง
ตองไลลาหาของใหมมาอีก เพื่อหวังจะใหมีความสุขมากกวา
เดิม แตแลวก็วกกลับมาสูจุดเดิม เปนเชนนี้ไมรูจบ นาคิดวา
ชีวิตเชนนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?
เพราะไลลาแตละครั้งก็ตองเหนื่อย ไหนจะตองขวนขวายหา
เงินหาทอง ไหนจะตองแขงกับผูอื่นเพื่อใหไดมาซึ่งสิ่งที่
ตองการ ครั้นไดมาแลวก็ตองรักษาเอาไวใหได ไมใหใครมา
แยงไป แถมยังตองเปลืองสมองหาเรื่องใชมันเพื่อใหรูสึก
คุมคา ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งตองเสียเวลาในการเลือกวาจะใชอัน
ไหนกอน ทํานองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ตองยุงยากกับ
การตัดสินใจวาจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอรค เวกัส โตเกียว
มาเกา หรือซิดนียดี
Page 5
ถาเราเพียงแตรูจักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยูแลว ชีวิตจะ
ยุงยากนอยลงและโปรงเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่ง
ที่เรามีนั้นไมใชเรื่องยาก แตที่เปนปญหาก็เพราะเราชอบมอง
ออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหมมาเทียบกับของที่เรามีอยู หา
ไมก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม
ก็อยากมีบาง คงไมมีอะไรที่จะทําใหเราทุกขไดบอยครั้งเทากับ
การชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึง
เปนหนทางลัดไปสูความทุกขที่ใคร ๆ ก็นิยมใชกัน
นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทําใหเราไมเคยมีความพอใจ
ในสิ่งที่ตนมีเสียที แมจะมีหนาตาดี ก็ยังรูสึกวาตัวเองไมสวย
เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอรในหนัง
โฆษณา
การมองแบบนี้ทําให "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม
มีความสุขกับสิ่งที่มีอยูแลว ยังเปนทุกขเพราะไมไดสิ่งที่อยาก
พูดอีกอยางคือไมมีความสุขกับปจจุบัน แถมยังเปนทุกข
เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไมถึง ไมมีอะไรที่เปนอุทธา
หรณสอนใจไดดีเทากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจํา
ไดวา มีหมาตัวหนึ่งไดเนื้อชิ้นใหญมา ขณะที่กําลังเดินขาม
Page 6
สะพาน มันมองลงมาที่ลําธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็
คือตัวมันเอง) กําลังคาบเนื้อชิ้นใหญ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญกวา
ชิ้นที่มันกําลังคาบเสียอีก ดวยความโลภ (และหลง) มันจึง
คายเนื้อที่คาบอยู เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ํา ผลก็คือ
เมื่อเนื้อตกน้ํา ชิ้นเนื้อในน้ําก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบ
อยูและเนื้อที่เห็นในน้ํา
บอเกิดแหงความสุขมีอยูกับเราทุกคนในขณะนี้อยูแลว
เพียงแตเรามองขามไปหรือไมรูจักใชเทานั้น เมื่อใดที่เรามี
ความทุกข แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรา
มีอยูและเปนอยู ไมวา มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ
ทรัพยสิน รวมทั้งจิตใจของเรา ลวนสามารถบันดาลความสุข
ใหแกเราไดทั้งนั้น ขอเพียงแตเรารูจักชื่นชม รูจักมอง และ
จัดการอยางถูกตองเทานั้น
แทนที่จะแสวงหาแตความสุขจากการได ลองหันมาแสวงหา
ความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นตอไปคือการแสวงหา
ความสุขจากการ ให กลาวคือยิ่งใหความสุข ก็ยิ่งไดรับ
ความสุข สุขเพราะเห็นน้ําตาของผูอื่นเปลี่ยนเปนรอยยิ้ม และ
สุขเพราะภาคภูมิใจที่ไดทําความดีและทําใหชีวิตมีความหมาย
Page 7
จากจุดนั้นแหละก็ไมยากที่เราจะคนพบความสุขจากการ ไมมี
นั่นคือสุขจากการปลอยวาง ไมยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุ
นั้น แมไมมีหรือสูญเสียไป ก็ยังเปนสุขอยูได
เกิดมาทั้งที นาจะมีโอกาสไดสัมผัสกับความสุขจากการ ให
และ การ ไมมี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอยาง
แทจริง
พระไพศาล วิสาโล