++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บันทึกจากนักอ่านถึงนักอ่าน - อมิตตพุทธ

ทัศน์ทรง ชมภูมิ่ง

ผู้ทำบันทึกได้อ่านรายงานพิเศษของ Kim Kooi ซึ่งนิตยสารไทม์
ได้นำลงตีพิมพ์ในฉบับประจำวันจันทร์ที่ ๗ กรกฏาคม ๒๕๔๐
แล้วก็ให้รู้สึกขำอยู่ในใจไม่รู้หาย เพราะผู้รายงานข่าวชื่อประหลาด คือ
ชื่อ คิมคอย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพศผู้หรือเพศเมียคนนี้
แกเปิดเผยเรื่องของแกไว้ว่า
ใครก็ตามทีที่จะไปเที่ยวเมืองไทยนั้นขอให้ระวังตัวให้จงดี
เพราะเมืองไทยสมัยนี้ไม่ได้เป็นราชอาณาจักรแห่งความแย้มยิ้มพริ้มพรายอย่างเสียงลือเสียงเล่าอ้าง
แต่ได้กลับกลายไปเป็นราชอาณาจักรแห่งความเหี้ยมโหดไปเสียแล้ว


คิมคอยเล่าอย่างเป็นตุเป็นตะว่า นับจนถึงวันที่เขา
(หรือหล่อน) เขียนรายงานฉบับนี้ ชายไทยถูกหญิงไทยเชือดเจ้าจำปี
เท่าที่เป็นคดีถึงตำรวจและเท่าที่ปรากฏเป็นข่าว
นับจำนวนได้ถึงหนึ่งร้อยรายถ้วนๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับอเมริกาแล้ว
สถิติดังกล่าวนี้นับเป็นร้อยละที่สูงมาก ที่เมืองอเมริกานั้น
เท่าที่เป็นข่าวปรากฏว่ามีการเฉือนหรือการถูกเฉือนเพียงสองรายเท่านั้น

และเมื่อสถิติในการเฉือนและการถูกเฉือนมีมากมายถึงเพียงนี้
คิมคอยก็แถไปสัมภาษณ์ คุณสิริพร สโกรบาเวค เลขาธิการมูลนิธีสตรี
ซึ่งคุณศิริพร ก็ให้สัมภาษณ์ว่า
"ผู้ชายไทยนิยมมีเมียน้อยมานานหลายชั่วคน
จนนิสัยเสียของผู้ชายไทยเช่นนี้ กลายเป็นที่ยอมรับของสังคม ฉะนั้น
พอผู้หญิงไทยพอจะมีสิทธิมีเสียงขึ้นมาบ้าง ก็เลยพากันรุมตอบโต้
ที่อารมณ์แรงหน่อยก้ปฏิบัติการจองเวรเอาด้วยการกระทำอย่างว่า ...
อันนี้ก็ช่วยไม่ได้"

แล้วคิมคอยก็ยกตัวอย่างคำขู่ของผู้หญิงไทย
ที่ขู่สามีที่ประพฤตินอกใจภรรยาว่า
"ระวังตัวให้ดีเถอะ เดี๋ยวเฉือนให้เป็ดกินซะหรอก"
ทีนี้ ก็มาถึงตาของคุณหมอสุรศักดิ์
เมืองสมบัติแห่งโรงพยาบาลศิริราช เมื่อคุณหมอถูกคิมคอยสัมภาษณ์
ก็ให้ความกระจ่างขึ้นมาอีกขั้นตอนหนึ่งว่า

"ผู้หญิงไทยที่เชือดเจ้าจำปีของสามีนั้น
ส่วนมากจะโยนชิ้นส่วนให้เป็ดกิน แต่ถ้าแถวนั้นไม่มีเป็ด
เธอก็จะโยนลงโถส้วมและก็ชักโครกหรือใช้น้ำราด...."

"มีสามีอยู่รายหนึ่ง
เมื่อถูกเมียเอาชิ้นส่วนโยนลงไปในโถชักโครก แทนที่แกจะทอดอาลัยตายอยาก
แกกลับไประดมคนงานมารื้อถังส้วม
งมเอาชิ้นส่วนมาให้หมอต่อให้ได้สำเร็จ...."
แล้วคุณหมอก็พูดให้ชายไทยใจชื้นขึ้นมาหน่อยหนึ่งว่า
"ชิ้นส่วนที่ถูกตัดออกไปนี้
เซลล์ของมันจะคงทนอยู่ได้นานถึงหกชั่วโมง แต่ถ้าได้รับการประคบประหงม
ได้รับการแช่เย็น ก็อาจจะอยู่ได้ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง
การทำศัลยกรรมเพื่อติดและต่อเข้ากับของเดิม
ใช้วิธีการเช่นเดียวกันกับการต่อนิ้วมือที่ถูกตัดขาด
ซึ่งแพทย์ไทยค้นพบวิธีการมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๓
จะผิดกันก็แต่ว่าการติดและการต่อเจ้าจำปี
หมอมีความกดดันมากกว่าการต่อนิ้วมือ คนเรามีนิ้วมือห้านิ้ว
ถ้าขาดไปเสียนิ้วหนึ่งก็ไม่เห็นจะแตกต่างอะไรกันมากมาย
แต่ไอ้ตัวเดียวอันเดียวนี้ซิพลาดไม่ได้
ไอ้ที่พลาดไม่ได้นี่แหละคือความกดดัน

แล้วคุณหมอสุรศักดิ์ก็บอกกับคิมคอยว่า
โรงพยาบาลศิริราชรับคนไข้ที่เฉือนตัวเดียวอันเดียวขาดไว้ทั้งหมด ๓๐ ราย
คุณหมอสุรศักดิ์ลงมือติดและต่อให้ด้วยตนเอง ๙ ราย คนไข้ทั้ง ๙
รายของคุณหมอปลอดภัยสบายดี หลังผ่าตัดสามอาทิตย์ก็สามารถถ่ายปัสสาวะได้
หลังจากนั้นใครจะไปเล่นจ้ำจี้มะเขือเปราะคุณหมอไม่ทราบ
คุณหมอทราบแต่เพียงว่า
ในขณะนี้คนไข้ของคุณหมอมีลูกหน้าตาเหมือนพ่อถึงสองคน
ที่ย้ำว่าหน้าตาเหมือนพ่อก้เพื่อที่จะยืนยันว่า
ไม่มีแมลงวันตัวไหนจะช่วยหยอดไข่

สำหรับการผ่าตัดนั้น คุณหมอให้สัมภาษณ์ว่า
" การผ่าตัดใช้เวลาประมาณหกถึงสิบชั่วโมง
แพทย์ต้องต่อเส้นเลือดแดง ๔ เส้น เส้นเลืดดำ ๒ เส้น
แต่ที่ยากมากๆนั้นได้แก่การต่อเส้นประสาท ซึ่งมีอยู่ ๒ เส้นเหมือนกัน
การเชื่อมต่อเส้นประสาทนี่ต้องทำอย่างพอถีพิถันที่สุด..."

แต่อย่างไรก็ตาม ก็อยากจะขอเตือนชายไทยว่าอย่าเพิ่งประมาท
อย่าเพิ่งคิดว่าเมื่อถูกตัดไปแล้ว คุณหมอสุรศักดิ์ก็สามารถต่อให้ได้
ที่เตือนก็เพราะปัจจุบันนี้หญิงไทยค้นหาวิธีใหม่แทนวิธีโยนให้เป็ดกิน
หรือโยนลงโถส้วม ซึ่งชายไทยสามารถไปแย่งหรือไปงมเอาคืนมาได้
วิธีใหม่ของหญิงไทยนั้นก็คือ พอเฉือนมาได้แล้ว เธอก็จะเอามาผูกกับลูกโป่ง
แล้วปล่อยลูกโป่งให้ลอยไปกับสายลม

ร้ายกาจอะไรจะปานนั้น ??

เรื่องการเฉือนเจ้าจำปีแล้วเอาผูกกับลูกโป่งที่เตรียมไว้นี้
คิมคอยรายงานว่าเหตุเกิดขึ้นที่เมืองโคราช
ที่ตลาดสดเมืองโคราชนั้น ใครๆก็รู้ดีว่า ประยูร เอกกลาง
คนขับสามล้อตุ๊กตุ๊กวัย ๔๗ เป็นคนรูปงามและพูดหวานขานเพราะ
เป็นคนที่ติดจะเจ้าชู้นิดๆ พูดง่ายๆก็ว่าเห็นเอ๊าะๆไม่ได้
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง
ก็มีผู้ปรารถนาดีที่ประสงค์ร้ายรายหนึ่งนำความไปพูดจาเสียดส่อกับภรรยาของประยูรเป็นทำนองว่า
อีตาประยูรเดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่ เธออยู่แต่บ้าน
คงไม่รู้ว่าเขาไปอี๋อ๋อกับเด็กขายของในตลาด
เช้าเย็นเขาต้องรับส่งกันเป็นประจำ

เพียงเท่านี้ก้ได้เรื่อง
ภรรเมียของประยูรไปดักคอยดูหลายเช้าและหลายเย็น
ครั้นเห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว ก็เริ่มทะเลาะกับผัววันละสองเวลาเหมือนกัน
ถึงขั้นนี้แล้วยอดชายนายประยูรก็ยังตั้งตนอยู่ในความประมาท
ยังไม่เลิกยุ่งกับเด็กคนนั้น
ทีนี้ ก็มาถึงวันร้ายคืนร้าย เวลาสองทุ่มเศษประยูรกลับบ้าน
กินข้าวกินเหล้าแล้วก็อาบน้ำ
อาบเสร็จภรรเมียก็เอาโสร่งมาให้ผลัดพร้อมกับเอายามาให้กินสองเม็ด
ประยูรให้การกับตำรวจว่า ตอนแรกตนก็นึกกระหยิ่มใจว่า
วันนี้เมียคงเกิดคึกขึ้นมาจึงเตรียมการไว้ล่วงหน้า แต่ที่ไหนได้
พอกินยาเข้าไปได้ไม่ทันนานก็บังเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน
ทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วก้ผล็อยหลับไป
สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็เพราะความเจ็บแสบเจ็บร้อนที่หว่างขาเหมือนถูกไฟฟ้าดูด
ลองคลำดูก็พบเลือดสดๆ ไหลนองเต็มไปหมด
และกว่าจะนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไรก็เห็นภรรเมียถือมีดในมือหนึ่ง
และถือเศษชิ้นส่วนเจ้าจำปีในอีกมือหนึ่งวิ่งหายไปทางหลังบ้าน

พยานที่เห็นเหตุการณ์ให้การกับตำรวจว่า
เมียนายประยูรเอาเศษชิ้นส่วนที่ได้มา
ผูกกับลูกโป่งแล้วก็ปล่อยให้ลอยขึ้นฟ้าไป
ก็เป็นอันว่าชิ้นส่วนชิ้นนั้นอันตรธานไปพร้อมๆกันกับเมียของประยูร
กล่าวฝ่ายกระทาชายนายประยูร เอกกลาง
เมื่อหมดเจ้าจำปีแล้วก็เลยหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
พอรักษาแผลหายสนิทแล้วก็เริ่มเสพสุราหามรุ่งหามค่ำ ไม่เป็นอันทำมาหากิน
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อเกิดอารมณ์คลุ้มคลั่งขึ้นมา
ก็เลยตัดสินใจผูกคอตายที่บ้านร้างหลังหนึ่ง
แต่ขื่อเจ้ากรรมเกิดหักลงมาตอนทิ้งตัว ประยูรก็เลยรอดชีวิตมาได้
และได้คิดว่าการปลงชีวิตตนเองนั้นขัดกับพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

และเมื่อคิดถึงพระพุทธเจ้าได้
ประยูรก็ตัดสินใจเดินทางไปบวชที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิ
ผู้ทำบันทึกลองสอบถามคนใกล้ชิด
ซึ่งสอบมหาบาเรียญได้แปดประโยค
ว่าคนที่ขาดไอ้พรรค์นั้นหรือไอ้พรรค์นั้นจาด
พระพุทธเจ้าท่านห้ามบวชมิใช้ฤา คำตอบที่ได้รับก็คือ หามิได้
พระพุทธเจ้าท่านห้ามเฉพาะกะเทยและคนที่จงใจตอนตนเองเช่นพวกขันที
พระภิกษุประยูรรูปนี้ท่านถูกลอบทำร้าย จึงไม่เข้าข่าวต้องห้าม


อมิตตพุทธ !!


ที่มา ต่วยตูน ปักษ์แรก ธันวาคม ๒๕๔๐ ปีที่ ๒๗ เล่มที่ ๗

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น