++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

ธรรม กับ อะไร...? อธรรมหรือ ไม่น่าใช่ กับอะไรดีล่ะ ...

ธรรม กับ อะไร...? อธรรมหรือ ไม่น่าใช่ กับอะไรดีล่ะ ....?
ใครคิดถูกจะรู้ธรรม แต่ผมมีคำตอบอยู่แล้ว..!

ผมไม่ใช่พระนะ....!

ทุกวันนี้เห็นชัดเจนเลยนะว่า คนไทยขาดธรรมมะ ( จิตป่วย ) ต้องเข้าโรงพยาบาล....

โรงพยาบาลของคนปกติอยู่ที่ไหน..?

โมโหง่าย เข้าใจง่าย เชื่อง่าย คิดว่าใช่ คิดว่าจะได้ โอยย...สารพัด

จะมีความสุกันได้อย่างไร เข้ามานี่ก็ใช่ว่าจะมีความสุข เข้ามาทุกข์ต่างหาก

ความ สุขมีไหม ..ผมตอบว่าไม่มี.. คนอื่นล่ะ ...ไม่รู้เขา
...ผมว่าคนเรามีแต่ความทุกข์ ชั่วขณะที่ความทุกข์ผ่อนคลาย
ก็พอหายใจหายคอได้บ้าง...แต่ก็ไม่ใช่ความสุข
ประเดี๋ยวก็ต้องทุกข์ใหม่..ทุกข์ได้ร้อยแปดพันประการ สุขแทบไม่มีเลย (
ไปบวชดีมั้ยเนี่ย )

จะสุขได้อย่างไร ในระหว่างทุกข?์ ...ผมว่าง่ายจะตายไป.. ใครรู้มั้ย ?

เอา ง่ายๆว่า ...ทำสุข กับทุกข์ ...ให้เหมือนกับการทำงาน
..เวลาทุกข์ก็คือเวลาทำงาน.. หมดเวลางานเราก็ไม่ต้องคิดต้องทำ
..ก็อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูแลต้นไม้ เที่ยว ทำบุญ หมดเวลา..
ก็มาทุกข์ใหม่ ..หมดเวลาก็สุขใหม่..ดีมั้ย ..ผมคิดถูกไม๊เนี่่ย ..หมายถึง
อย่างเอาสุขกับทุกข์มาปนกัน มาอยู่ในเวลาเดียวกัน..เออท่าจะดี

คุณสนธิไม่อยากเป็นนายกหรอก..แต่อยากระบายทุกข์มากกว่า
ผม พันธมิตรคุณก็พันธมิตร ..เราสมมุติขึ้นมาให้เป็นอดมคติของเรา..
ถ้าไม่มีเราคงคิดมาก ..ทุกข์กว่านี้ นัยว่า ประเทศนี้ไม่มีคนกล้า
คนดีเลยหรือ

และ อดีตนายกคงสนุกสนานมากกว่านี้เป็นแน่แท้.. แต่!! อะไรล่ะ

ธรรมไงครับ ธรรมที่อยู่ในใจเรา ความสุขที่อยู่ในใจเราแสดงออกมา
..จึงทำให้คิดภูมิต้าน ..ความไม่ดี..ความไม่ใช่ธรรม

ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ..ทุกข์หนัก ..ถ้าไม่หักใจ..

ความรัก เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การให้ การอภัย ยินดีกับคนที่ประสบสิ่งดี
การอยู่ในที่ไม่บีบคั้น อันนี้เรา..สุขใจ..

พี่น้องพันธมิตร อย่าท้ออย่าน้อยใจนะครับ ..ผมขอให้กำลังใจ..

ผม คิดว่าพวกท่านเป็นคนดี เป็นแสงส่องทาง เพราะท่านไม่ปรารถนาอยากได้อะไร
แต่ท่านปรารถนาให้คนอื่นได้ดี อยู่อย่างสงบสุข ท่านก็สุขด้วย
ท่านยินดีด้วย ไม่โกรธ ไม่เกลียด ผิดใจบ้างก็ด่าไป แต่ก็พร้อมให้อภัย
ท่านไม่ร้ายขนาดเอาเขาถึงตายหรอก แต่ถ้าเขาจะทำตัวเองตายกันเอง
อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ เหมือนผม ผมเชื่ออย่างนั้น ผมยกย่องพันธมิตรทุกคน
เชื่อว่าท่านเหล่านี้เป็นคนดี

สำหรับแกนนำไม่ต้องพูดถึง เมื่อคนดีรับรองก็ต้องเป็นยิ่งกว่าคนดี
ใช่มั้ยครับ ..ยิ่งมากเท่าไร ก็แสดงว่าเขาดีเท่านั้น
ไม่ดีเราคนดีก็คงรับไม่ได้ เช่นกัน

ตัวอย่างที่เจริญแล้ว ก็ .. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว .. ของเราคนไทย

ผมถึงยกเรื่องธรรมขึ้นมา ให้กำลังใจสู้กับความผิดหวังทั้งหลายที่ประสบอยู่

ย้ำว่าผมคิดของผมไปเอง " ผมไม่ใช่พระนะครับ " เอ่อ ..แล้วธรรม ตรงข้ามกับอะไรล่ะ..?
Thailom :

จังหวัดยโสธร จัดงาน "ประเพณีบุญบั้งไฟ" ขึ้น ในระหว่างวันที่ 5-9 พฤษภาคม 2553

จังหวัดยโสธร จัดงาน "ประเพณีบุญบั้งไฟ" ขึ้น ในระหว่างวันที่ 5-9
พฤษภาคม 2553 ณ สวนสาธารณพญาแถน และ เขตเทศบาลเมืองยโสธร จ.ยโสธร
โดยมีกำหนดจัดขึ้นในช่วงราวกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี

สำหรับกิจกรรมหลักคือ บั้งไฟที่มีการประกวดประชัน
บั้งไฟทั้งบั้งไฟขึ้นสูง บั้งไฟสวยงาม
(บั้งเอ้หรือบั้งไฟประดับที่ไม่สามารถจุดได้จริง) บั้งไฟโบราณ
นอกจากนี้ยังมีการประกวดกาพย์เซิ้งบั้งไฟ ประกวดธิดาบั้งไฟโก้
นักท่องเที่ยวสามารถชมขบวนแห่เหศักดิ์ ขบวนแห่บั้งไฟสวยงาม
ขบวนแห่บั้งไฟโบราณ
ตลอดขบวนแห่มีการเซิ้งของแต่ละคุ้มวัดที่ส่งบั้งไฟเข้าประกวด
ทั้งนี้งานบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร
ได้รับการส่งเสริมได้รับการส่งเสริมในระดับที่มีการถ่ายทอดสดทางสถานี
โทรทัศน์ ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรมมหรสพรื่นเริง เช่น เวทีคอนเสิร์ต
หมอลำ การจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
และสินค้าทั้วไปบริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
และโรงเรียนเทศบาล 1 และสวนสนุกในลักษณะงานวัด

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ททท. สำนักงานอุบลราชธานี โทร. 0-4524-3770,
0-4525-0714

ถ้าหนูเป็นผบทบ.หนูจะสลายม๊อบดังนี้ค่ะ

1 เสริมกำลังเป็นชั้นๆปิดล้อมพื้นที่
2 ตัดน้ำ-ไฟ
3 ห้ามคนเข้าแล้วเตรียมรถรับคนกลับบ้าน
4 รุกทางสื่อ เอาเทป นายเมธี สารภาพมาแฉทางทีวีพลู
5 ใช้ใบปลิว เครื่องขยายเสียงประกาศให้พี่น้องเสื้อแดง
ที่ไม่เกี่ยวกับการก่อการร้ายออกมา
6 ใช้หน่วยแทรกซึมเข้าไปจับแกนนำ
6 เตรียมกำลังความพร้อมสลายม๊อบแบบเข้มข้น
7 หาจังหวะสลายม็อบ
8 จบแล้วค่ะ

แต่เชื่อเถิดค่ะ แค่ข้อ6 แกนนำมันก็กลัวขี้ขึ้นสมองแล้ว
มันไม่อยากตาย สุดท้ายก็มอบตัวค่ะ.....เจ๊ปอง
หนูหริ่ง

เพราะรบจึงแพ้ ไม่รบจึงชนะ

การเอาชนะมวลชนเสื้อแดงไม่ได้ยากเย็นอะไร เลย
แต่ที่ทหารไม่ทำไม่ใช่ไม่กล้าทำ เพราะกลัวเสื้อแดง หรือ
กลัวอาวุธของคนเสื้อแดง
แต่กลัวทหารฝ่ายเดียวกันที่ยังเคลียร์กันไม่ได้มากกว่า
ทหารของประชาชนมี ทหารแตงโมก็มี
การจะทำอะไรก็แล้วแต่เขาจะต้องเคลียร์กันจนวางใจว่า
จะไม่มีปืนที่จะอยู่ข้างหลัง ( ดูตอนปฏิวัติ 19 กย
มีกองทหารที่เตรียมสู้อยู่ แต่ทำไมกลับเรียบร้อยไม่มีเสียงปืน
เพราะของแบบนี้จะต้องมีสายต่อเคลียร์ใจกันให้เรียบร้อย )

คุณสิริอัญ ญาต้องอย่าลืมว่า คนเสื้อแดงนั้นไม่ใช่มวลชนแท้จริง
เพราะมาด้วยอามิสสินจ้าง ( ส่วนมาก ) แกนนำเสื้อแดงก็กำลังหลอกตัวเองว่า
นี่คือ มวลชนของเขา ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ใช่
คนที่มาด้วยอามิสสินจ้างจะไม่มีวันยอมสู้ตายถวายชีวิต ( แบบ 14 ตค หรือ
พฤษภาทมิฬ หรือ พันธมิตร 7 ตค )
การเอาชนะมวลชนจัดตั้งแบบนี้แค่เพียงใช้ปฏิบัติการจิตวิทยาข่มขู่
ใช้ยุทธวิธีค่อยๆบีบให้พื้นที่ชุมนุมแคบลงทำให้คนเสื้อแดงอยู่ในภาวะกดดัน
แล้วเปิดทางให้กลับบ้าน มีหรือที่คนเราเมื่อมีทางเลือกจะไม่เลือก

แต่ ที่ทหารไม่กล้าขยับเพราะมันมีกองกำลังหลักที่จะตลบหลังต่างหากเพื่อปฏิวัติ
โค่นล้มรัฐบาล ฉีกรัฐธรรมนูญ และหากประชาชนไม่ยินยอมออกมาสู้
เมื่อนั้นแผ่นดินไทยก็จะลุกเป็นไฟ เมื่อมหาประชาชน ปะทะ
กับมวลชนจัดตั้งเสื้อแดง และทหารของแผ่นดิน ต้อง ปะทะ
กับทหารผู้ทำการปฏิวัติ

เกมการต่อสู้ครั้งนี้ เดิมพันสูงมาก ( อนาคตประเทศไทยเป็นเดิมพัน )
การจะอ่านเกมการต่อสู้ครั้งนี้ จะใช้เพียงอารมณ์รักชาติ เสียสละ ฯ
นั้นไม่พอ

เพราะนี่คือ มหาสงครามชิงอำนาจ ที่เอาประชาชน อนาคตแผ่นดินไทย
มาเป็นเดิมพัน โดยที่แนวรบนั้น ทั้งในสภา นอกสภา มวลชน กฏหมาย ต่างประเทศ
มากมายเกินกว่าที่คนทั่วๆไปจะอ่านเกมได้ทันทั้งหมด

แกนนำเสื้อแดงโดน คดีความตั้งแต่โดนจับเข้าคุกครั้งก่อน
โดนคำสั่งศาลห้ามก่อความวุ่นวาย แต่เมษาปีที่แล้วก็ยังก่อเรื่อง
มาเมษาปีนี้ก็ยังก่อเรื่องอีก
แต่รัฐบาลไม่ทำอะไรเลยตั้งแต่เริ่มชุมนุมแต่แรก
มันหมายความว่ายังไงล่ะครับ คุณสิริอัญญา

จริงไม๊ครับคุณสิริอัญญา
ขงเบ้งดิจิตอล

ยุทธการสยบรัฐไทยใหม่ ฉบับ2

- จากเมษาเลือดปี 52 จนถึงเมษาปีนี้
ขนาดนายกถูกรุมฆ่ายังปล่อยลอยนวลมาได้
ประเทศเสียหายทั้งจากการยกเลิกประชุมอาเซียนพัทยา เผากรุงเทพ
ไม่ได้มีการประเมินหรือหาทางรับมือกับพวกโจรก่อการร้ายแดงเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลุกระดมมวลชนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั้งเว็บทางวิทยุ
ชุมชนทั่วประเทศ การออกพีทีวี การสร้างมวลชนแดง
การสร้างกองกำลังติดอาวุธโดยนายทหารในกองทัพ การข่าวล้มเหลวสิ้นเชิง
สื่อในเครือรัฐล้มเหลวสิ้นท่า ไม่เอาเพื่อน ไม่หาแนวร่วม ไม่แทรกแซงสื่อ
เรียกว่าไร้เดียงสาอุดมคติ โดนเขาหลอกให้ปลดอำนาจตัวเองแท้ ๆ
บทเรียนจากคมช.ก็มีให้เห็น ไม่พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
มีแต่สร้างโอกาสให้เป็นวิกฤตซ้ำซาก
- ตักขี้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ เอาผิดเป็นครู ใช้คนเป็นอย่างโจโฉ
แม้แต่นิสัยก็ยังเหมือนโจโฉ(มักใหญ่ใฝ่สูง ขี้ระแวง กล้าใช้คน
ปากกล้าขาสั่น ชอบหญิงงาม) สร้างแนวร่วม ใช้เงินจ้างผีโม่แป้ง
ใครเก่งเรื่องอะไรให้ทำเรื่องนั้น
มีคนทุกประเภทรอบตัวเพื่อใช้งานให้บรรลุเป้าหมาย เป้าหมายใหญ่ขึ้นเรื่อย
ๆ เมื่อพลาด ทำใหม่ใหญ่กว่าเดิม อ่านได้ในตาดูดาวตีนติดดิน
จากที่ทำธุรกิจเจ๊งแล้วเจ๊งอีกทำใหม่ต้องใหญ่กว่าเก่ากลบหนี้เก่าแล้วยัง
เหลือบานเบอะเป็นสูตรแรก สำเร็จในธุรกิจผูกขาด
กำไรจากตลาดหุ้นโดยการปั่นเป็นสูตรสอง
เลี้ยงคนทั้งลูกน้องและเจ้าหน้าที่รัฐข้าราชการกองทัพ
โดยเฉพาะสร้างรัฐตะกวด ลามไปถึงในรั้วใน..
เข้าสู่การเมืองด้วยหน้ากากนักบุญรวยแล้วไม่โกง
แต่ทำยังไงก็คิดว่ายังไม่รวยเลยโกงแมร่งเช็ด
ยิ่งอินไซด์ค่าเงินเลยเป็นสูตรสามติดอำนาจงอมแงม
นักซื้อเสียงตัวพ่อสุดยอดเรื่องเลือกตั้งเป็นสูตรสี่
คอรัปชั่นเชิงนโยบายสามสิบเปอร์เซ็นต์สูตรห้าเป็นมหากาพย์ อิ่มเอม ๆ
ไม่ต้องเสี่ยงไม่ต้องเหนื่อยแต่ต้องมีอำนาจคุ้มกะลาหัวนะ
รัฐธรรมนูญปี40ทำให้ซาโตริเห็นวิธีอยู่ในอำนาจนาน
เพราะเป็นจ้าวแห่งการแปลงวิกฤตเป็นโอกาสเรื่ององค์กรอิสระตรวจสอบถ่วงดุล
ซื้อแมร่งเลยไม่กี่คนต่อองค์กรเป็นสูตรหก
สร้างเครือข่ายทั่วประเทศเป็นสูตรเจ็ดตั้งแต่รากหญ้าขึ้นมา กำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน อบต. อบจ. สข. สจ. สก. ผู้ว่าซีอีโอ
แพร่เชื้อคอรัปชั่นเชิงนโยบายเป็นมะเร็งกัดกินสังคมทุกวันนี้
ครอบงำสื่อด้วยงบโฆษณามหาศาลและให้เครือข่ายกระจายซื้อสื่อเป็นพวก
แบ่งปันผลประโยชน์ให้เครือข่ายนายทุนด้วยโครงการใหญ่ ๆ ของรัฐ
คิดเอาเองสามสิบเปอร์เซ็นต์ของงบประมาณแผ่นดินต่อปี ใครเอาด้วยเป็นพวก
ใครไม่เอาคือศัตรู
- สุดยอดกลยุทธของการยึดประเทศไทย
โดยใช้โมเดลในการทำธุรกิจที่ผ่านมา(ศึกษาชินจังคอร์ป)
ซื้อถูกขายแพงเจ้าพ่อตลาดหุ้นตัวจริง
ศตวรรษที่20เป็นยุคของICT(เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)ตักขี้ครอบครอง
เป็ดเสร็จ ศตวรรษที่21เป็นยุคของพลังงานและเป็นยุคสุดท้ายสู่ความหายนะของโลกซึ่งจะมี
เวลาไม่มากนัก(เป็นยุคของอาหารโลกที่คู่ขนานซึ่งเจ้าสัวซีแอนด์พีครอบครอง)
นั่นเป็นที่มาของการโยกอาณาจักรชินจังไปสู่พลังงานเป็นขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า
แต่เหนือฟ้ายังมีดาวเหนือภูเขามียอดหญ้า เหนือชินจังมีพระสยามเทวาธิราช
- ตักขี้โมเดลเป็นพหุโมเดลมีหลากหลายมิติซึ่งสำคัญมาก
ซึ่งกลายเป็นโมเดลที่ขบวนการนี้ใช้ต่อยอดไม่ว่าจะมีหรือไม่มีตักขี้
ยกตัวอย่างไม่มีนาวินและยุดตู้เย็นก็มีตุ๊ดตู่และขวัญไช
การจะสยบรัฐไทยใหม่ต้องเท่าทันและทันการณ์ในพหุโมเดลของตักขี้
- ต่อฉบับ3
ยุทธการสยบรัฐไทยใหม่ ฉบับ2

ตอนนี้ที่ดีที่สุดคือ จากเวลา 5 ปี(2548-2553)

1. ประชาชนส่วนใหญ่รู้แล้วว่าทักษิณขี้โกงมากถึงมากที่สุด
จากที่ไม่รู้เลยและรักมากถึงมากที่สุด
2. ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มสนใจการเมือง ติดตามการเมือง เข้าใจพิษสงของนักการเมืองเลว
3. ประชาชนส่วนใหญ่รังเกียจคอร์รัปชั่น
เห็นโทษภัยที่น่ากลัวของคอร์รัปชั่น และเข้าใจกลวิธีชั่วร้ายมากขึ้น

พวก เขาเหล่านี้กำลังหาหนทางที่จะออกจากวังวนหลุมดำ
อยู่ที่ว่าประเทศไทยจะมีบุญพอหรือไม่เท่านั้น
หาไม่แล้วสิ่งเลวร้ายนี้นอกจากจะจัดการไม่ได้
มันจะยิ่งหยั่งรากฝังลึกถ้านักสู้เหล่านั้นท้อแท้

ขอขอบพระคุณ "นักสู้ผู้กล้าหาญทรหดอดทนทุกท่าน" อย่างสูงยิ่ง
193 วัน +++ จนกว่าจะชนะ

รู้จักคุณสนธิได้อย่างไร!

เมื่อ ปี 2551 เราป่วยพักผ่อนอยู่บ้านไม่ได้ทำงานระยะหนึ่ง
ช่วงนั้นพันธมิตรกำลังชุมนุมอยู่
ปกติไม่ค่อยได้เล่นอินเตอร์เน็ตซักเท่าไหร่วันหนึ่งก็เลยอยากเล่นดู
แต่ไม่รู้จะหาคำว่าอะไร เคยได้ยินเพื่อนพูดถึง "ซ้อเจ็ด"
เขียนเกี่ยวกับเรื่องดารา ก็ลองเข้าไปอ่านดู อ่านเสร็จก็เห็นคำว่า
"ผู้จัดการ" คลิกเข้าไปอ่านข่าว

เห็นข่าวการชุมนุมของพันธมิตร และข่าวอื่น ๆ
เรารู้สึกว่าเวปนี้ดีจังให้แสดงความเห็นได้ด้วย
สรุปวันนั้นอ่านข่าวผู้จัดการตลอดทั้งวัน
ดูข่าวการชุมนุมและการถ่ายทอดสดการชุมนุม
และได้เห็นคุณสนธิพูดตอนประมาณสี่ทุ่มถ้าจำไม่ผิด
(พูดไม่อายไม่เคยรู้จักคุณสนธิมาก่อนตอนนั้น)
ฟังคุณสนธิจนจบและก็คิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครหนอ พูดจาฉะฉาน ชัดถ้อยชัดคำ
และดูทรงพลังมาก จากวันนั้นทำให้เราได้ติดตามคุณสนธิและแกนนำท่านอื่น ๆ
เป็นประจำทุกวันจนติด คุณสนธิทำให้เราสนใจการเมือง และรักชาติ
ศาสนาและพระมหากษัตริย์มากขึ้น
ทำให้เรารู้สึกว่าบ้านเมืองของเราต้องช่วยกันดูแล
และรักษาเอาไว้ให้ลูกหลานไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง
ชอบฟังคุณสนธิเล่าถึงประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน
และคำพูดของคุณสนธิทุกครั้ง ที่เคยเตือนอะไรเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นการล้มเจ้า
การคอรัปชั่น ทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่คุณสนธิพูดจริง ๆ

วันหนึ่งคุณ ลุงจำลองได้ประกาศให้ช่วยกันส่งเอสเอ็มเอส
เพื่อไม่ให้เอเอสทีวีจอดับ เราก็สมัครไปตั้งแต่วันนั้นเลย
เพราะคิดว่าแค่เราเข้ามาอ่านข่าวให้เวปนี้ก็คุ้มค่าแล้ว
ก็เลยอยากจะช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้

ขอบคุณ คุณสนธิและแกนนำทุกท่าน
รวมทั้งพันธมิตรทุกท่านที่ช่วยกันไล่ไอ้ตัวอัปปรีย์ ออกไปจากประเทศไทย
และขอบคุณคุณสนธิที่ให้ความรู้กับทุก ๆ คนมา ณ โอกาสนี้ด้วย
ขอให้คุณสนธิรักษาสุขภาพด้วย

อย่าประมาท ความโลภ ของฝรั่ง

พวกนี้พร้อมจะปิดหูปิดตาตัวเอง เพื่อผลประโยชน์อันมหาศาลในประเทศไทย และภูมิภาคนี้

สมัย รัชกาลที่ 5
เราผ่านมาได้เพราะมีพระมหากษัตริย์และข้าราชการที่พร้อมถวายงานเพื่อพระองค์
และประเทศชาติ สมัยสงครามอินโดจีน
เราผ่านมาได้เพราะมีนายกรัฐมนตรีอย่างพลเอกเปรม

แต่ในวันนั้น ไม่มีใครรู้ว่าในอ่าวไทยของเรามีอะไร
ในวันนั้นยังไม่มีวิกฤติอาหารโลกแบบนี้ ในขณะที่บ้านเมืองเราแตกแยก
ข้าราชการทหาร ตำรวจและรัฐบาลอ่อนแอ เราจะผ่านมันไปได้อย่างไร?

ใน โลกนี้มีประเทศเผด็จการหลานสิบประเทศ unและusa ไม่เคยอยากไปยุ่ง
ในโลกนี้มีประเทศที่มีการรัฐประหารปกครองโดยคณะทหารมากมาย unและusa
ไม่เคยอยากไปยุ่ง ด้วยข้ออ้างและหลักการที่ว่า "เป็นเรื่องภายใน"
ก็เพราะประเทศเหล่านั้น ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ไม่คุ้มแก่การเข้ามา usa
ช่วยรับบาลเวียดนามรบกับกองทัพของโฮจิมิน
ก็เพื่อค้านอำนาจคอมมิวนิสต์จีนในทะเลใต้ ผลประโยชน์ตัวเองทั้งนั้น usa
บุกอิรักด้วยข้ออ้างทำลายอาวุธชีวภาพ วันนี้มีไหมอาวุธชีวภาพ มีแต่
น้ำมันในอิรักที่ถูกสูบ

อเมริกามักชอบทำสงคราม เวลาตัวเอง เศรษฐกิจไม่ดี
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศตัวเอง และชอบไปก่อสงครามในต่างแดน

อ่าว ไทยมีน้ำมันมหาศาล
มหาศาลขนาดที่ฝรั่งเศษพร้อมจะหนุนหลังเขมรต่อกรกับรัฐบาลไทยเพื่ออาณาเขต
เหนืออ่าวไทย มหาศาลขนาดที่มีการประเมินว่า
เราไม่จำเป็นต้องซื้อน้ำมันจากต่างประเทศอีกต่อไปและสามารถกลายเป็นประเทศ
ที่ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของเอเชียทันทีที่มีการสูบ
"สิ่งที่อยู่ในอ่าวไทยกำลังทำให้เราไม่ปลอดภัยจากต่างชาติอีกต่อไป"

ทำไม ท่าทีของออสเตรเลียถึงอยากเข้ามาในไทยเพื่อรักษาสันติภาพนัก
และโน้มเอียงเข้าข้างเสื้อแดง
"มีใครไปสัญญาถึงผลประโยชน์สัมปทานอะไรหรือไม่"

"ทำไมทูตหลายประเทศต้องไปพบแกนนำเสื้อแดง
ทั้งๆที่เป็นการผิดมารยาททางการทูตอย่างชัดเจน เพราะเป็นเรื่องภายในเรา"

"ทำไม เศรษฐีในอาหรับต้องเข้ามาซื้อที่นาในไทยกันมากนัก
ซึ่งปัจจุบันในอีสานก็ขายกันไปเยอะ
ทำไมฝรั่งเศษและเกาหลีใต้ถึงเช่าที่นาในเขมรมากมาย"
เพราะวิกฤติอาหารโลกใช่หรือไม่ เพราะ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นภูมิภาคเดียวในโลกที่ปลูกข้าวได้

สิ่ง ต่างๆเหล่านี้และครับที่พร้อมจะทำให้ฝรั่งพวกนี้พร้อมจะปิดหูปิดตาหลักการ
ตัวเองอย่างที่ทำกับคนอิรัก และเข้ามาทำตัวเป็นผู้ดี
รักษาสันติภาพไกล่เกลี่ยปัญหาในไทย เพื่อผลประโยชน์ของมันทั้งนั้น
ดูอย่างอินโดนิเซียสิครับ วันนี้เป็นอย่างไร
เราก็ได้รู้จักประเทศอย่างติมอร์เลสเต เพราะฝรั่งพวกนี้ใช่ไหม
เราอยากให้มีประเทศเกิดใหม่และใช่ภาษาไทยในภูมิภาคนี้หรือครับ

วันนี้ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน หยุดขบวนการกบฏพวกนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด
คืนความสามัคคีและความสงบแก่ประเทศเร็วที่สุด
เพื่อให้ฝรั่งพวกนี้ไม่มีข้ออ้างในการแทรกแซงและกดดันเราได้อีก
วันนี้เราต้องใช้คำพูดที่ว่า

"ประเทศชาติและความมั่นคงของชาติต้องมาก่อนครับ"
fann เด็กท่าช้าง

"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านเป็นพระโพธิสัตว์"

คำเตือนก่อนอ่าน ท่านที่จะอ่านกระทู้นี้ ต้องใช้วิริยะบารมีพอสมควรครับ
เนื่องจากเป็นกระทู้ขนาดยาวพอสมควร
และผมจำเป็นต้องลิงค์ข้อมูลกับเว็ปอื่นด้วย
เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบรายละเอียดแต่ละเรื่องให้มากที่สุด
ซึ่งถ้าท่านเข้าไปอ่านจะได้สัมผัสกับเนื้อหา อรรถรสของเรื่องได้โดยตรง
ขอให้ใช้ "วิริยะ" แบบพระมหาชนกในการอ่านกระทู้นี้ครับ

ครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่า
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านเป็นพระโพธิสัตว์" ที่ปรารถนาพุทธภูมิ
จริงหรือไม่จริง ด้วยภูมิจิต ภูมิธรรมของผมยังไม่อาจทราบได้
แต่เมื่อผมพิจารณาพระราชจริยวัตรของพระองค์ท่านแล้ว ทำให้ผมเชื่อว่า
คำกล่าวของครูบาอาจารย์นั้นน่าจะเป็นความจริง
เพราะพระราชจริยวัตรทั้งหลายดำเนินไปตามทศบารมี ดังนี้

1. ทานบารมี* ด้วยการพระราชทานกำเนิด มูลนิธิราชประชานุเคราะห์
เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
สงเคราะห์ด้านการศึกษา และป้องกันสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
รวมทั้งให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือเป็นส่วนรวมแก่ประชาชนที่ได้รับความทุกข์
ยากเดือดร้อนประการอื่นอีกด้วย

2. ศีลบารมี คือ
การที่พระองค์ท่านมีพระราชจริยาวัตรที่พิเศษอีกประการหนึ่งซึ่งคนทั่วไปทำ
ได้ยาก คือ ในคืนวันอุโบสถนั้น พระองค์จะทรงรักษาอุโบสถศีลอย่างเคร่งครัด

3. เนกขัมบารมี ซึ่งหมายถึง การออกบวช, ความปลีกตัวปลีกใจจากกาม
ในข้อนี้พระองค์ท่านไม่ได้ออกบวชทางกาย (เพียงเคยทรงผนวชระยะสั้น)
แต่สำหรับการบวชทางใจ ที่เป็นการปลีกตัวปลีกใจทางกามในช่วงอุโบสถศีล
ย่อมถือเป็นบารมีข้อนี้เช่นกัน ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของผม คือ
ท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านได้กล่าวเกี่ยวกับการบวชใจไว้อย่างนี้

4. ปัญญาบารมี พระบารมีข้อนี้เห็นได้ชัดเจนมาก จากพระราชดำริในเรื่องต่าง ๆ เช่น

โครงการ พระราชดำริ มูลนิธิชัยพัฒนา รวมทั้งพระอัจฉริยภาพในเกือบทุกด้าน
ไม่ว่า จะเป็นด้านการสื่อสาร ด้านกีฬา ด้านดนตรี ด้านจิตรกรรม
หรือแม้แต่ด้านโหราศาสตร์ก็ตาม
ยังรวมไปถึงพระราชปฏิภาณไหวพริบที่น่าอัศจรรย์
เข้าไปอ่านตัวอย่างที่นี่ครับ ในเรื่อง "เราจับได้แล้ว"

5. วิริยะบารมี บารมีนี้เห็นได้เด่นชัดจากพระราชจริยวัตรของการช่วยเหลือออกไปแก้ไขทุกข์
ร้อนของพสกนิกร ที่ทรงทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน
และยังมิทรงหยุดหย่อนจนถึงทุกวันนี้ ดังเช่น พระราชนิพนธ์ "พระมหาชนก"
หรือแม้ในด้านพระศาสนา พระองค์ทรงทำสมาธิ
เจริญสติทุกวันและทรงอุโบสถศีลทุกวันอุโบสถ
เหล่านี้ล้วนเป็นพระวิริยะบารมี

6. ขันติบารมี คือ ความอดทน
ข่มกายและใจต่อความลำบากทั้งพระวรกายและพระทัย
ในการช่วยเหลือประชาชนของพระองค์ท่าน แม้จะเป็นที่ทุรกันดารห่างไกล
ข้ามน้ำ ข้ามภูเขา ก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อพระองค์
ในฐานะของความเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง สามารถปฏิบัติภารกิจที่ยิ่งใหญ่
ยาวนานได้ขนาดนี้ ถ้าขาดซึ่ง "ขันติบารมี" แล้ว
ยากที่จะทรงงานมาได้จนตราบเท่าทุกวันนี้ คำว่า "ป่วยไข้"
แบบธรรมดาอาจจะเป็นคำต้องห้ามสำหรับพระองค์ท่าน
ถ้าไม่หนักหนาสาหัสถึงขนาดต้องทรงเข้าโรงพยาบาลแล้ว
พระองค์ท่านยังทรงปฏิบัติพระราชภารกิจทั้งหลายทั้งปวงมิว่างเว้น
แม้แต่งานที่ดูไม่น่าจะสำคัญ แต่สำคัญสำหรับกำลังใจของผู้รับ อย่างเช่น
การพระราชทานกระบี่ หรือปริญญาบัตร พระองค์ท่านก็ยังทรงปฏิบัติอย่างสงบ
ไม่ทรงแสดงถึงความเบื่อหน่ายหรือเมื่อยล้าให้เห็นเลย
นับเป็นตัวอย่างของขันติบารมีที่น่าบูชายิ่ง

.............ทรงพระราช
ทานกระบี่ให้กับนายตำรวจใหม่ที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว
แค่ถึงวันครบรอบศตวรรษของโรงเรียน นั้น มีจำนวนรวมกันถึง ๙,๐๐๔ เล่ม
น้ำหนักกระบี่ที่ทรงพระราชทานให้นายตำรวจใหม่ทุกๆปี มีน้ำหนักรวมกันถึง
๘,๙๑๓ กิโลกรัมเศษ หรือเกือบ ๙ ตัน มาถึง พ.ศ.นี้ก็เกิน ๙
ตันไปเรียบร้อยแล้ว หากรวมนายทหารบก เรือ อากาศ
ที่สำเร็จการศึกษาอีกทั้งสามเหล่าทัพ ตลอดเวลาที่ทรงครองราชย์มา
มาเป็นจะครบ ๖๐ ปี ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๙
ซึ่งจะเวียนมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
คงจะมีน้ำหนักรวมกัน...หลายสิบตัน! นี่ยังไม่นับปริญญาบัตร
ซึ่งในหลวงได้เสด็จพระราชทานให้กับบรรดาบัณฑิต จำนวนนับหมื่นๆแผ่น
ที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันต่างๆของรัฐ
ซึ่งภาพถ่ายที่ทรงพระราชทานปริญญาบัตร
กลายเป็นเครื่องประดับชิ้นสำคัญสำหรับบ้านชาวไทย
ที่มีลูกหลานสำเร็จการศึกษาจากสถาบันของชาติเหล่านั้น..........

7. สัจจะบารมี นับแต่ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493
ว่า " เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม"
นับถึงวันนี้พระราชโองการนี้ย่อมประจักษ์แจ้งแก่ใจของชาวไทยทั้งชาติว่า
เป็นสัจจะบารมีที่แท้จริง

8. อธิษฐานบารมี
ความมุ่งมั่นในน้ำพระทัยที่ทรงประกาศเป็นพระปฐมบรมราชโองการ
เป็นทั้งสัจจะบารมีและอธิษฐานบารมี
รวมทั้งน่าจะเป็นการมุ่งมั่นต่อพระราชปณิธานที่อธิษฐานบารมีเพื่อพระโพธิญาณ
ในอนาคตกาล จึงได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ตามแนวทางบารมี 30 ถ้วน

9. เมตตาบารมี บารมีในข้อนี้มีมากล้นเกินพรรณา ความทุ่มเท ความวิริยะ
ความอุสาหะ ที่ทรงกระทำเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกร
อย่างต่อเนื่องยาวนานเกือบ 60 ปี
ย่อมเกิดได้เพราะน้ำพระทัยเมตตาที่เปี่ยมล้นเท่านั้น

10. อุเบกขาบารมี บารมีข้อนี้พิจารณาได้ยาก
เนื่องจากต้องอาศัยการสังเกตอย่างใกล้ชิด
ซึ่งผู้ที่จะยืนยันบารมีข้อนี้ต้องเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน
และโชคดีที่พสกนิกรอย่างเราได้รับรู้แง่มุมเกี่ยวกับอุเบกขาบารมีของพระองค์
จากอดีตข้าราชบริพารผู้มีโชควาสนาได้ทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท พล.ต.อ.
วศิษฐ์ เดชกุญชร ผมขอยกบางส่วนมาให้อ่านเลยครับ

"...... เรื่องการเฝ้าฯ และเกี่ยวกับความมั่นคง การเปิดเผยแก่สื่อมวลชน
หรือแก่ใครก็ตาม ก็ควรทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
มิให้กลายเป็นการเปิดเผยความอ่อนแอหรือความเสียเปรียบของทางราชการ
ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ไม่หวังดี
มิหนำซ้ำยังจะทำให้ประชาชนผู้รู้ข่าวพลอยวิตกกังวลหวาดหวั่นไปด้วย
และที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
เพราะจะทำความวิตกอย่างหนักให้แก่ผู้รู้ข่าวก็คือ คุณสนธิ (พล.อ.สนธิ
บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก) ให้สัมภาษณ์เลยไปด้วยว่า "เพื่อนสนิท"
ของคุณสนธิที่ตามเสด็จฯ เล่าว่า "ข้าราชบริพาร" พากัน "น้ำตาไหลพราก"
เมื่อเห็นพระเจ้าอยู่หัว "ทรงยืนเหม่อมองไกลออกไปในทะเล
เป็นเวลานานมาก....โดยไม่ตรัสกับใคร" แล้วคุณสนธิก็สรุปเองว่า
ปัญหาบ้านเมืองทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรง "ทรงเป็นทุกข์มาก" และคุณสนธิเองก็
"ไม่สบายใจอย่างที่สุด
เมื่อรู้ว่าปัญหาเหล่านี้ทำให้พระองค์เป็นทุกข์ขนาดนี้" (จากหนังสือพิมพ์
มติชน วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม 2549 หน้า 4 ในคอลัมน์ "เรียง "คน" มาเป็น
"ข่าว" " โดย "วิหคเหินฟ้า")

ผมรับราชการสนองพระเดชพระคุณใกล้พระ ยุคลบาทอยู่นานกว่า 12 ปี
และแม้จะพ้นหน้าที่มานานแล้ว
แต่ก็ยังสดับตรับฟังข่าวเกี่ยวกับพระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจอยู่มิได้
ขาด ทั้งจากสื่อและจากผู้ที่ยังรับราชการอยู่ใกล้พระยุคลบาท จึงรู้ เชื่อ
และขอยืนยันว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงบ้านเมืองยิ่งกว่าพระอนามัยหรือพระชนมชีพอย่างแน่
นอนและตลอดเวลา แต่ความห่วงใยของฝ่าละอองธุลีพระบาทนั้น
จะเรียกไม่ได้เป็นอันขาดว่าเป็นความทุกข์

พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเป็น ทุกข์และไม่เคยเป็นทุกข์
เพราะทรงฝึกพระสติฝึกพระองค์ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจนเป็นพระ
นิสัย เมื่อมีวิกฤตการณ์ไม่ว่าจะร้ายแรงเพียงใด
จะทรงพิจารณาด้วยความเยือกเย็นและสุขุมคัมภีรภาพ
แล้วจึงทรงตัดสินพระทัยทำสิ่งที่ทรงเห็นว่าควรทำ และเมื่อทรงทำแล้ว
ก็จะทรงถือว่า หน้าที่สำเร็จไปอีกครั้งหนึ่งอย่างหนึ่ง
หากยังไม่จบสิ้นแต่มีเรื่องเกี่ยวพันต่อเนื่องต้องทำต่ออยู่อีก
ก็จะทรงถือว่าเป็นหน้าที่อีกครั้งหนึ่งอย่างหนึ่ง และทรงทำต่อ

ในการ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งหลายนั้น
หลักที่ทรงยึดถือและปฏิบัติอย่างมั่นคงและแน่วแน่คือ
ไม่ทรงสนพระทัยว่าใครจะชมหรือใครจะตำหนิ เพราะทรงถือว่าทรงทำ
"หน้าที่เพื่อหน้าที่" แต่ไม่ได้หมายความว่าทำแล้วทิ้ง
แต่จะทรงทบทวนไตร่ตรอง
ถ้าหากทรงเห็นว่าที่ทรงทำไปแล้วนั้นยังบกพร่องไม่สมบูรณ์
ครั้งต่อไปก็จะทรงพยายามปรับปรุงแก้ไข ซึ่งเป็นไปตาม "อิทธิบาท"
ข้อที่สี่ คือวิมังสา
อันเป็นหลักธรรมที่ทรงใช้และพระราชทานให้ผู้อื่นอยู่เสมอๆ
เพราะทรงศึกษาและปฏิบัติธรรมมาอย่างต่อเนื่อง

พระเจ้าอยู่หัวจึงทรง ตระหนักมานานแล้วว่า ชีวิตคือทุกข์
และคนเราเกิดมาทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น แต่ผมไม่เคยเห็นพระเจ้าอยู่หัวทรง
"เป็นทุกข์" อย่างคนอื่นๆ คือหม่นหมอง โศกเศร้า ทอดอาลัย หรือหมดหวัง
ทรงรู้จักและเข้าพระทัยในทุกข์ แต่ไม่ทรงกลัวทุกข์
ทรงถือว่าเมื่อทุกข์ของประชาชนใหญ่หลวงและสาหัส
ก็เป็นหน้าที่ของพระองค์ด้วยในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์
ที่จะต้องบำบัดทุกข์นั้นอย่างเต็มกำลังความสามารถและตลอดเวลา
โดยไม่ทรงทอดอาลัยหรือหมดหวัง..."

ด้วยพระราชจริยวัตรที่ดำเนินตามทศ บารมี นับเนื่องมาเกือบ 60
ปีและยังต้องต่อเนื่องตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ท่านอย่างแน่นอน
ไม่เพียงแต่ประชาชนคนไทยจะรู้สึกเคารพบูชาในคุณความดี
แม้แต่นานาประเทศยังชื่นชมและทึ่งในพระบารมี เพราะยังไม่เคยเห็นว่า
มีพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลกที่คนในประเทศยังให้ความรักและเคารพได้ขนาดนี้
และด้วยพระปรีชาสามารถอันยิ่งใหญ่นี้ทำให้องค์การสหประชาชาติ
ได้ทูลเกล้าฯถวายรางวัล "ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์" ( Lifetime
Achievement in Human Development Award ) แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โดยรางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่สหประชาชาติจัดทำขึ้นใหม่เพื่อเทิดพระ
เกียรติ

From copy
Seine

ตราบใดที่สิ่งที่คุณมองเห็น และกลั่นกรองออกมาทางความคิด ทำเพื่อรักษาอุดมการณ์

ตราบใดที่สิ่งที่คุณมองเห็น และกลั่นกรองออกมาทางความคิด
ทำเพื่อรักษาอุดมการณ์ ผมขอสาบานว่าจะ
สนับสนุนคุณจนถึงที่สุด ถ้ามีอะไรที่เป็นฟางเส้นสุดท้าย
ก็คือคุณสนธิ และพันธมิตรนี่แหล่ะครับ ไม่มีใครอีกแล้ว
จะเสียสละและมีความรอบรู้ ทำงานเป็นได้เท่านี้ คุณเป็นเทียนเล่มแรกที่
ที่จุดขึ้นมาด้วยตัวคุณเอง แล้วก็ค่อยๆ
จุดเทียมเล่มข้างๆคุณ จนคนนับล้านๆเริ่มตาสว่างแล้ว
แต่คนที่ตาสว่างเหล่านั้น รู้แค่เพียงอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
หารู้ไม่ว่าใครได้ต่อสู้มาจนทำให้พวกเขาได้ตาสว่าง
แต่นั่นไม่ได้สำคัญสำหรับคุณสนธิ สำคัญแค่ว่า สังคม
ตื่นตัวต่อความชั่วร้ายของการคอรัปชั่น การได้มาซึ่งอำนาจ
ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สิ่งเหล่านี้น่ากลัวและอยู่กับการ
เมืองไทยมานาน ถึงเวลาหรือยังที่เมืองไทยจะได้ก้าว
ไปให้เหมือนอารยะประเทศ ยกตัวอย่างญี่ปุ่น เกาหลี
ถ้าครั้งนี้สิ่งที่ก่อตัวขึ้นเหล่านี้ ไม่ดำเนินต่อไป ผมว่า
ไม่มีหวังอีกแล้ว ขอบคุณคุณสนธิครับ เทียมเล่มแรก
ของผม ใครจะมองว่าอย่างไร เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
อะไรจะสำคัญเท่า ความดี ความจริง และการเอาธรรม
นำหน้าอย่างที่คุณสนธิทำอยู่ ลองมาแลกเปลี่ยนความ
คิดกันหน่อยสิครับว่า มีตรงไหนที่พันธมิตรทำเพื่อ
แสวงหาอำนาจ ทุกวันนี้ออกมาปกป้องในหลวง ปกป้อง
เพื่อนพี่น้องประชาชน พูดและทำแต่ในสิ่งที่อยากให้ดี
ขึ้น ไม่เคยพูดเพื่อทำลายนะครับ คิดๆ อะไรก็ไม่สำคัญ
เท่าความจริงใจที่ค่อยๆแสดงออกมา มันยากที่จะทำ
ให้ทุกคนรับรู้ แต่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

ขอให้ปลอดภัยนะครับ

เมืองไทยจะดีได้ต้องมีจุดเริ่มต้นอย่างนี้
ยืนข้างคุณสนธิจนวันที่เปลี่ยน

ชมคลิป video ใครกันแน่ยิง “พลฯ ณรงค์ฤทธิ์” ดับ




กรณี พลทหารณรงค์ สาละ ทหารประจำ ร.9 พัน 2 จ.กาญจนบุรี ถูกยิงที่ศีรษะเสียชีวิตคาที่ ขณะขับรถจักรยานยนต์ไปตามถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้อนุสรณ์สถานแห่งชาติดอนเมือง ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการชุมนุมของคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา จนขณะนี้ยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า กระสุนสังหารดังกล่าวถูกยิงมาจากฝ่ายใดกันแน่

แม้ว่า หลังเกิดเหตุ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้รายงานทันทีโดยอ้างข้อมูลจากตำรวจว่าเป็นการยิงจาก ทหารด้วยกันเอง ซึ่งต่อมาสำนักข่าวบีบีซี และสื่อมวลชนในไทยหลายสำนักก็รายงานข่าวไปในลักษณะเดียวกันว่าทหารยิงกันเอง รวมทั้งในภาพวิดีโอของสำนักข่าวสปริงนิวส์ ในมุมที่ค่อนข้างไกลและมองไม่เห็นชัดเจนว่าถูกยิงจากด้านใด ก็มีเสียงคนเสื้อแดงตะโกนอยู่ข้างๆ กล้องถ่ายภาพว่าทหารยิงกันเอง โดยเห็นแนวของทหารตั้งแถวอยู่ด้านหน้า

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวรอยเตอร์ซึ่งมีช่างภาพอยู่ในที่เกิดเหตุ และเห็นเหตุการณ์ขณะพลทหารณรงค์ฤทธิ์ถูกยิงล้มลง และคาดว่าจะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ กลับไม่ได้ระบุชัดว่ากระสุนปริศนาดังกล่าวมาจากทหารหรือไม่ โดยรายงานเพียงว่ายังไม่มีความชัดเจนว่ากระสุนถูกยิงจากฝ่ายใด

นอกจากนี้ ในภาพข่าวของช่อง 9 อสมท ก็พบว่า ในวินาทีที่พลทหารณรงค์ฤทธิ์ถูกยิงนั้น มีควันพุ่งออกมาจากทางด้านขวาของภาพ และพลทหารเหยื่อกระสุนล้มลงไปทางด้านซ้าย ขณะที่แนวของทหารนั้นอยู่ทางด้านหน้า ซึ่งก็สอดคล้องกับรายงานข่าวเกี่ยวกับบาดแผลที่ออกมาในเบื้องต้นระบุว่าถูก ยิงบริเวณขมับทะลุคิ้วอีกด้าน

ขณะเดียวกัน ยังมีภาพข่าวของสำนักข่าวอัลญะซีเราะห์ ที่มีชายชุดดำพร้อมอาวุธปืนพกสั้น ปะปนอยู่กับกลุ่มคนเสื้อแดง ซุ่มอยู่ข้างพุ่มไม้ริมถนนวิภาวดีรังสิตในลักษณะพร้อมยิง


++


ท่านผู้จัดการออนไลน์ ผู้อ่าน และชาวเว็ป Manager (ช่วยกันสังเกตุ วินาที ที่ 0.43 กันหน่อย)
จากการสังเกตุ VDO คลิปซ้ำแล้ว ซ้ำอีก มีจุดที่น่าสังสัย และ ยังมีจุดที่น่าสังเกตุดังนี้.-
มี บุคคลที่เป็นตำรวจ มุมขวา (วินาที ที่ 0.43) "น่าสังสัยมากที่สุด"หลังเกิดเหตุยิงเกิดขึ้น (*สำนักข่าว CNN รายงานทันที โดยอ้างข้อมูลจาก *ตำรวจ* ว่าเป็นการยิงจากทหารด้วยกันเอง) โดย คลิปของ ยูทูปhttp://www.youtube.com/watch?v=qjyAEngaxEw
จากคลิปเริ่มต้นจนถึง วินาที ที่
0.15 ถึง วินาที ที 0.29 ด้านขวามือของภาพ ถึงจุดที่มอเตอร์ไซค์ล้ม จะเห็นว่าไม่มีคนอยู่ ตลอดเส้นทึป “สีเหลือง” ในวินาที ที่ 0.29 จะเห็นตำรวจนายหนึ่ง *กระโดดลงจากเกาะใต้ทางด่วน”ทันที ทำทีหันซ้าย หันขวา คุมแถวตำรวจ และเดินเข้ามายังจุดที่มอเตอร์ล้ม (เส้นทึปสีเหลือง)(เป็นการแสดงทีแนบเนียนมาก ๆ ขั้นเทพ *มืออาชีพ*)
ขอให้สังเกตุจากเหตุเริ่มต้นที่ว่านี้ ด้วยกัน.
1...ด้านขวามือของภาพ เส้นสีเหลืองทึป จะเห็นว่า ไม่มีบุคคลใด ในระหว่างเส้น จนถึงวินาที ที่ 0.29
2..วินาที ที่ 0.27- 0.28 จะเห็นมี “กลุ่มควันสีขาว” พุ่งออกจากโคนตอม่อ ระหว่างต้นที่ 4 และ 5
3..วินาที ที่ 0.29 มอเตอร์ไซค์ค้นแรก (เส้นปะสีขาว) ล้มลง และวิ่งเข้าช่วยเหลือ พลทหารณรงค์ฤทธิ์ ทันที ด้านซ้ายมือ
4..ใน *วินาที ที่ 0.29 เดียวกัน*กับที่ มอเตอร์ไซค์ค้นแรกล้ม “มุมซ้ายของภาพ” มอเตอร์ไซค์ที่พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาระ ซ้อนท้ายล้มลง และสิ้นใจทันที (ถูกยิงในวินาที ที่ 0.29)
5.......*!!*..ในวินาที นี้ 0.29 จะเห็นมี *มีตำรวจนายหนึ่ง กระโดดลงจากเกาะใต้ทางด่วน* ต้นที่ 2 ขวามือจากแถวตำรวจ ทำหันซ้าย หันขวา ที่เส้นทึปสีเหลือง “ย้ำกระโดยลงทันที หลังมีเหตุยิง” ****บุคคลผู้นี้ ต้องสังสัยมากที่สุดใน *จุดเกิดเหตุ* (เพราะในข่าว CNN รายงานทันที ว่า “ตำรวจให้ข่าว” ว่าทหารยิงกันเอง (ต้องการให้ Manager ตรวจดูว่าในวันนั้น บุคคลผู้นี้ในหัวแถวเส้นทึปเหลืองยืนเรียง เป็นใคร มีอาวุธชนิดใดในวันนั้น)
6..วินาที ที่ 0.35 ทหาร 2 คนที่เส้นทึปสีเหลือ กระโดดขึ้น บนเกาะใต้ทางด่วนทันที
***ข้อสังสัยในจุดเกิดเหตุ*** และ *ฟันธง* *ฟันธง*
*ฟันธง* ตำรวจที่กระโดด ลงมาจากเกาะ (ต้นที่ 2 จากแถว) ใต้ทางด่วน ผู้นี้ เป็นบุคคลที่ “ต้องสังสัย”มากที่สุด
*ฟันธง* ตำรวจมะเขือเทศ เป็นผู้สังหาร พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาระ
T

English Structure Test

Choose the best alternative for each item.

1. She has been here.......
  1. after 1973
  2. in 1973
  3. for 1973
  4. since 1973
2. He............ quite a lot in his work.
  1. use to travel
  2. is used to travel
  3. used to travel
  4. was used to travel
3. You don't object........ you by your first name, do youM
  1. that I call
  2. to my calling
  3. for calling
  4. that I am call
4. John said that he wouldn't mind............................
  1. to wait for us
  2. wait for us
  3. waiting for us
  4. for waiting us
5.Professor Black had us.................. compositions every Friday.
  1. to write
  2. written
  3. write
  4. wrote
6. If it..................... rain tomorrow, we'll have a picnic.
  1. wouldn't
  2. doesn't
  3. didn't
  4. won't
7. Even though there were only minor damages to the cars and no one was hurt, he still.................
  1. called the cops
  2. spilled the beans
  3. reported the accident
  4. got mad at the other guy
8. All of the people at conference are............
  1. mathematic teachers
  2. mathematics teachers
  3. mathematics teacher
  4. mathematic's teachers
9. She didn't know whether to sell ger books or .......................
  1. to keep them for reference
  2. if she should keep them for reference
  3. keeping them  for reference
  4. kept for reference
10. If I..............you. I wouldn't return the call.
  1. be
  2. am
  3. was
  4. were
11. She's already made her reservation for next Saturday,.................?
  1. hasn't she
  2. isn't she
  3. doesn't she
  4. hasn't it
12. George never goes out on dates because he.................money.
  1. has so little a 
  2. has very little
  3. has so few
  4. has very few
13. Prices for bikes at that store can run.................$250.
  1. as high as
  2. as high to
  3. so high to
  4. so high as
14. According to the conditions of my scholarship, after finishing my degree,....................
  1. my education will be employed by the university
  2. employment will be givem to me by the university
  3. the university will employ me
  4. I will be employed by the university
15. You.................. your visa extended before it expires.
  1. had better to get
  2. had to get better
  3. had better get
  4. had better got

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

พ่อ-The GREATEST of the KINGS The GREETINGS of the LAND (12-12-2552)

รามเกียรติ์รัชกาลที่ ๑ - วรรณคดีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

            ทำนองแต่ง - ใช้กลอนบทละคร ตอนต้นเป็นร่ายดั้น ๑ บท
            ข้อคิดเห็น - วรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ ๖ ลงมติว่า บทละครรามเกียรติรัชกาลที่ ๑ เป็นยอดแห่งเรื่องรามเกียรติ์ เก็บความได้ละเอียดครบถ้วนกว่าฉบับอื่นๆ กระบวนพรรณนาแจ่มแจ้งชัดเจน กระบวนกลอนนุ่มนวลไพเราะรื่นหู ถึงแม้เรื่องจะยืดยาวเป็นพิเศษ การบรรยายอุปนิสัย บทบาทของตัวละครทุกตัวเด่นชัด และสอดคล้องต้องกันตลอดเรื่อง เช่น ความเจ้าชู้ของหนุมานปรากฏอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ เนื่องจากบทละครเรื่องนี้มีความยาวมาก และกวีหลายท่านช่วยกันแต่ง จึงมีบทพรรณนาคล้ายๆกันอยู่มาก เช่น ชมการแต่งกาย ม้าและรถ แต่ก็น่าให้อภัยที่ผู้แต่งพยายามหลีกเลี่ยงมิให้สำนวนโวหารซ้ำกันได้

สารพัดวิธีมองโลกแง่ดี

@ เพื่อนนินทา เพื่อนนินทาเรา แสดงว่าเราต้องมีดีอะไรสักอย่าง จนเพื่อนมันอิจฉาอย่างนี้เราน่าจะภูมิใจตัวเองแทนที่จะไปโกรธเพื่อนคนนั้น พูดง่ายๆ เขาไม่มีจุดเด่นเหมือนเราเขาจึงนินทาว่างั้นเหอะ 

@ ส่งยิ้มให้เธอแล้ว ไม่แยแส 
ยังดี..นะเนี่ย ที่เธอไม่ด่ากลับมา นี่แสดงว่าเธอยังมีน้ำใจดีอยู่บ้างโอ.. ซาบซึ้งเหลือเกิน ถึงเราจะแห้ว..แต่เราก็ยังประทับใจในความดีของหล่อน 

@ โดนแม่ด่าแต่เช้าตรู่ 
แม่ด่าเรา แสดงว่าแม่ยังรักและห่วงใยเราอยู่ โห..ซาบซึ้งมากเลย อีกอย่างหนึ่งในคำด่าของแม่ต้องมีอะไรดีๆ ซ่อนไว้แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ด่าซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ อย่างนี้หรอก 

@ ครูสอนไม่รู้เรื่องเลย 
ท้าทายมาก ..ท้าทายมาก นี่หมายความว่าคุณครูกำลังท้าทายเรา ว่าถ้าข้าสอนห่วยๆ แบบนี้ เอ็งจะรู้เรื่องหรือเปล่า อย่างนี้ยอมไม่ได้..เราต้องขวนขวายเอาเอง เพื่อพิสูจน์กึ๋นให้คุณครูรู้ว่าเรานี้ก็ไม่เบาเหมือนกาน..น 

@ เพื่อนหักหลัง 
ไม่เป็นไร..ขอกันกินมากกว่านี้ แต่น่าสงสารนายนะ เพราะนิสัยของนาย คงจะทำให้นายต้องเสียเพื่อนไปหมดทุกคนในไม่ช้า เพราะคงไม่มีใครหรอกที่จะไว้ใจคนที่หักหลังเพื่อน. 

@ เพื่อนล้อว่าเสี่ยว 
โห..! ตัวเรานี่มีอะไรดีๆ เยอะแยะ แต่พวกนายกลับมองไม่เห็นคุณค่าสงสัยว่าการมองโลกของพวกนายคงจะมีปัญหาแล้วล่ะ เสียใจด้วยนะ.ที่นายคงหมดโอกาสจะได้คบกับคนดี ๆ อย่างเรา 

@ เช็คเมล์เจอแต่จดหมายขยะชวนดูรูปโป๊ 
ทดสอบ ๆ ทดสอบพลังจิต ถ้าเราลบเมล์พวกนี้ทิ้ง แสดงว่าจิตใจของเราเข้มแข็ง ถ้าเปิดดู ก็อ่อนแอ (เผลอ ๆ โดนหลอกให้เปิดไวรัสอีกต่างหาก อิอิ) 

@ วันหยุดการบ้านเพียบ 
สบายมาก..คุณครูกำลังท้าทายความสามารถของเรา(อีกแล้ว) เรารู้ทันหรอกน่า การบ้านเยอะอย่างนี้เราก็ว่าดีนะ เพราะได้ฝึก ตัวเองให้เป็นคนสู้งานหนัก ถ้าเราสู้ไม่ถอยในวันนี้ อนาคตไปโลด 

@ อกหักอีกแล้ว 
ไม่เป็นไร ได้เรียนรู้ชีวิต นี่ป็นการพิสูจน์สัจจธรรมอีกครั้งว่า รักแท้คือแม่เรา ว่าแต่ตัวเราเอง คอยปรับปรุงตัวเองให้ดีๆ เหอะ ชีวิตดีขึ้นเดี๋ยวก็มีคนมาชอบเราเองแหละ 

@ รถติดหงุดหงิดๆ 
นั่ง สมาธิมันเสียเลย จิตใจสว่างไสว เรียนหนังสือจะได้จำแม่น ง่ายจะตาย หลับตาหายใจเข้าออกลึก ๆ นับ 1 2 3 4 5 ดูลมหายใจเข้าออกเพลิน ๆ ไม่ต้องไปรอคอยอะไร 

@ โห..ใช้เงินเพลินหมดเรียบเลย 
" เงินหมด ก็อดอย่างเสือ" ดีสิ..จะได้ฝึกนิสัยอดทนสักระยะ ยังมีคนอื่นที่ทุกข์มากกว่าเราเยอะแยะ ทุกข์ของเรามันแค่เรื่องขี้ผง 

@ เพื่อนมีมือถือ แต่เราไม่มี 
โชค ดีแล้วล่ะที่ไม่มี มือถือเนี่ยตัวดูดเงินเลย วัยรุ่นบางคน เมาท์จนล้มละลาย อย่าเห่อไปตามกระแสหน่อยเลย ชีวิตนี้ไม่ได้ดีขึ้นเพราะมือถือหรอกนะ 

@ เราหน้าตี๋ กลม ๆ เหมือนดวงจันทร์ ..อายจัง 
โด่..หล่อ จะตาย สมัยก่อนนู้น เขาคลั่งไคล้มาก ขนาดที่เมืองจีน เวลาปั้นพระพุทธรูป เขายังปั้นให้หน้าอูม ๆ เลย จริงอยู่สมัยนี้เขานิยมคนหน้าตาแบบลูกครึ่งฝรั่ง แต่อีกหน่อยก็เลิกฮิต เชื่อเหอะ ไม่แน่นะ ในอนาคตแฟชั่นหน้าตี๋อาจจะกลับมานิยมอีกก็ด้าย...อ้อ ! อีกอย่างสมัยนี้ สาว ๆ ที่ฉลาด เขาชอบคนดีมากกว่าคนหล่อ นะจะบอกให้ 

@ ชอบเขา แต่เขาไม่ชอบเราง่ะ 
ธรรมดาเลย.. ปิ๊งใครง่าย ๆ มันก็ต้องกิน"แห้ว"ประจำ ที่จริงชีวิตของเรานั้นมีคุณค่ามากนะ จะปล่อยให้เรื่องเล็กๆ แค่นี้มาทำให้ชีวิตของเราไร้ค่าได้อย่างไร ทำตัวเองให้มีค่า ดีกว่า เดี๋ยวก็มีคนดี ๆ มาชอบเราเองหรอกน้า..า 

@ เฮ้อ ! แฟนดูรูปโป๊ประจำ 
ดูเข้าไปเลย..เห็นพระท่านว่าพวกผู้ชายที่ชอบดูรูปโป๊มาก ๆ ชาติหน้าพวกนี้จะไปเกิดเป็นผู้หญิงกันหมด เพราะจิตใจฝักใฝ่แต่รูปร่างผู้หญิง ดีสม..! ชอบเอา เปรียบกันนักไปเกิดเป็นผู้หญิงเองเสียบ้าง จะได้รู้สึก (เขาเรียกว่าไป "ที่ชอบๆ" ฮิ ฮิ) 

@ ผิดหวังผลสอบดูหนังสือแทบตายได้แค่ เกรด B 
เรียนแล้วได้วิชาความรู้ มันก็เหมือนทำงานแล้วได้เงินเดือน การได้เกรด A ก็คล้ายๆ กับว่าเราได้โบนัส ทีนี้ถึงเราจะไม่ได้โบนัส มันก็ไม่น่าจะเสียใจอะไร ก้อเราได้เงินเดือนแล้วนี่นา 

@ เข้าคิวซื้อตั๋วหนังอยู่ดีๆเพื่อนเล่นแซงคิวหน้าตาเฉย 
โถ.. ! น่าสงสาร ยอมเสียนิสัย เพื่อแลกกับตั๋วหนังเพียงใบเดียว 

@ ข้างห้องเปิดเพลงเสียงดังหนวกหูทั้งวัน 
เสียงภายนอกดังสนั่น แต่เสียงภายในเงียบสนิท ถึงเสียงวิทยุจะดังปานใด แต่ใจฉันก็ไม่เคยหงุดหงิด ฉันยังคงทำงานของฉันไปอย่างมีความสุข 

@ คนชอบมาแซวเราว่า"น้องดำ ดอทคอม" 
ผิวอย่างฉันเขาเรียกว่า "คมขำ" ย่ะ หนุ่มๆ ฝรั่งหลงใหลจะตายไป พวกนายคงโดนโฆษณาหลอกแล้วล่ะ"ฉันคือตัวฉัน" ไม่ต้องให้ใครมาจูงจมูกหรอกนะ 

@ เฮ้อ..! ไม่รู้จะทำอะไรดีเซ็ง..ง ระเบิด ! 
แอ็คทีฟเข้าไว้เพื่อน อย่าให้ความเซ็งเข้าครอบงำ ทำทุกอย่างด้วยความกระฉับกระเฉง หนึ่ง สอง..ๆๆๆ หาอะไรทำให้มันสนุก หนึ่ง สอง... ๆๆ 

@ รู้สึกว่าตัวเองโง่โดนคนอื่นหลอกอยู่เรื่อย 
นึกว่าตัวเองโง่ ยังดีกว่านึกว่าตัวเองฉลาด พระท่านว่าคนฉลาดคือคนที่รู้ตัวเองว่าโง่นะ (แต่อย่าเผลอไปโดนเขาหลอกอีกล่ะ อิ อิ) 

@ เพื่อนเห็นแก่ตัวกินไหนกินด้วยแต่ไม่เคยช่วยสักบาท 
เฮ้อ..นึกว่าช่วยชีวิตเพื่อนให้รอดไปได้สักมื้อก็แล้วกัน ได้บุญดีนะ (แหะๆ....แต่นาน ๆ เจอกันสักที ก็แล้วกัน) 

@ กลุ้มใจจังไม่มีใครมาจีบ 
"กลุ้มใจ" ไม่มีคนมาจีบ มันยังดีกว่า "ช้ำใจ" ที่โดนคนมาหลอก ถ้าอยากจะพบรักแท้ มันก็ต้องอดทนไว้ก่อนนะเธอ 

@ หน้าเป็นสิวไปไหนมาไหนอายเพื่อน 
วัยรุ่นมีสิวน่ารักจะตายไป เออถ้าคนแก่มีสิวสิ ค่อยน่าอายหน่อย พวกบริษัทขายยาแก้สิวทั้งหลายนี่แหละตัวดี ชอบโฆษณาทำร้ายจิตใจวัยรุ่นดีนัก ระวังตัวใว้ดีๆเหอะ ชาติหน้ากรรมสนอง ไปเกิดเป็น "ท้าวแสนปม" ไม่รู้ด้วย อิอิ 

@ ทำตังค์ตกหาย 500 แง..! 
ไม่เป็นไร..คิดเสียว่าเสียค่าหน่วยกิต วิชา "ละเอียดรอบคอบระมัดระวัง" ก็แล้วกัน นี่ถ้าชีวิตเรามีความรอบคอบมากขึ้น เพราะเงิน หายในคราวนี้ ก็นับว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว 

@ พ่อแม่ชอบเห็นเราเป็นเด็กตลอดชาติ 
ถึงใครจะมองเราว่าเป็นเด็ก แต่เราก็จะเคารพตัวเองว่าเรานั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่คือคนที่ไม่ทำอะไรตามใจตนเอง แต่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรอบคอบ ใคร่ครวญด้วยสติปัญญา (เอ...ชักยากแฮะ หรือว่าจะยอมเป็นเด็กเหมือนเดิมดีกว่าม้าง...ง ) 

@ อิจฉาเพื่อนแฟนมันสวยอะ 
มีแฟนสวยก็ยินดีด้วย แต่เราว่ามีแฟนนิสัยดีดูแลเอาใจใส่ดี แบบนี้สุดยอดกว่านะ 

@ รักเธอแต่ว่าไม่กล้าเอ่ยปาก 
อย่างนี้ต้องซ้อมบอกรักกับคนอื่นให้ เกิดความเคยชินเสียก่อน พ่อคับ ผมรักคุณพ่อมากคับ .. แม่คับ ผมรักคุณแม่มากคับ .. ไอ้ตูบ ข้ารักเอ็งมากนะ .. เฮ้ย..เจ้าศักดิ์ เรารักนายจริงๆ ว่ะ .. ฯลฯ อิอิ.. ทีนี้พอพูดคล่องแล้วจึงค่อยไปบอกรักกะเธอ 

@ ช่วยเพื่อนแทบตายแต่เพื่อนยังคิดร้ายกะเราอีก 
เฮ้อ..คิดว่าช่วยเสือตกน้ำให้รอด ตายสักตัวก็แล้วกัน เสือเนี่ยนะ ถึงเราช่วยมัน แต่ถ้าเราเข้าใกล้มัน มันก็กัดเราอยู่ดี คงต้องปล่อยเข้าป่าไป เจ้าเพื่อนคนนี้ก็เหมือนกัน ฉันช่วยแกแค่เอาบุญ แต่คราวหน้าคงไม่ช่วยแล้วล่ะ ปรับปรุงตัวเองให้นิสัยดีกว่านี้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ 

@ พอแฟนเจอคนที่รวยกว่าเธอบอกเลิกกับผมทันที 
อย่างนี้เรียกว่า..โชคดีที่เลิกกัน จริงๆ นะ ..คนที่เห็นเงินทองสำคัญกว่าความรักอย่างเงี้ยะ ขืนได้แต่งงานด้วย รับรองว่าเจอปัญหาตลอดชีวิตแน่เราโชคดีแล้วล่ะ ที่แคล้วคลาดออกมาได้ 

@ เหงามากขอบอก 
มองรอบๆ ดู .. อะไรต่ออะไรล้วนแต่เป็นเพื่อนคอย ช่วยเหลือเราทั้งน้าน.น โต๊ะก็เพื่อนเรา เก้าอื้ก็เพื่อนเรา หน้าต่างก็เพื่อนเรา หนังสือก็เพื่อนเรา แก้วน้ำก็เพื่อนเรา ฯลฯ...(สามชั่วโมงผ่านไป) .....ฯลฯ หมาก็เพื่อนเรา ต้นหญ้าก็เพื่อนเรา ท่อระบายน้ำก็เพื่อนเรา ตู้ไปรษณีย์ก็เพื่อนเรา... ฯลฯ .... (ต่อไปอีกห้าชั่วโมง)..... ฯลฯ 

@ เพื่อนกวนยียวนมากอยากชกสักที 
โด่..คนกวนๆ แบบนี้ไปที่ไหนก็มีคนอยากชกกันทั้ง นั้น เราจะต้องไปชกเองทำไมให้เจ็บมือ เดี๋ยวก็มีคนอื่นชกให้เองแหละ แต่ดูๆแล้วก็น่าสงสารนะ...โถ..! เกิดมาชาตินี้มีแต่คนอยากชก 

@ อยากตัดใจจากคนรักค่ะทรมานใจมากอยากทำใจให้ไวสุดๆ 
ทุกครั้งที่นึกถึงเขาให้ทำอย่างนี้ ดิ " หายใจเข้าลึกๆ นึกถึงเขา(คนนั้น) หายใจออกยาว ๆ สลายภาพของเขาใหัหายไป " แล้วก็พูดในใจว่า "โอ้..! ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ใช่ของเรา มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย " (จับฝึกกรรมฐานเสียเลย อิอิ ) 

@ พ่อบังคับผมจะให้สอบเอ็นฯติดให้ได้..เครียดมาก 
โอเคครับ...ผมจะพยายามเพื่อพ่อ แต่ผมขอเวลาทำอะไรเพื่อตัวผมเองบ้างนะครับ อ้อ..! ถ้าเอ็นฯไม่ติด ก้อไม่ว่ากันนะครับ เพราะสุดฝีมือแล้ว แต่พ่อไม่ต้องห่วงอนาคตของผมหรอกครับ เพราะถึงผมจะเอ็นฯไม่ติด ผมได้เตรียมหนทางของผมไว้แล้ว รับรองไปได้สวยอย่างแน่นอนครับ 

@ นอนไม่หลับกระสับกระส่าย 
ฮ้าว..ว (หาว) แล้วส่งกระแสจิตไปยังสัตว์โลก แบบนี้ดิ หนึ่ง.. ฉันรักแมว สอง..ฉันรักหมา สาม..ฉันรักยีราฟ สี่...ฉันรักหนอน ห้า...ฉันรักสิงโต หก...ฉันรักนก เจ็ด.. ฉันรักเม่น.... ฯลฯ ( ส่งความรักไปถึงสัตว์โลกอย่างนี้เรื่อยๆ สักร้อยตัว รับรองประเดี๋ยวก็..คร้อกก..ก) 

@ เพื่อนรักต่อหน้าทำดีกับเราแต่ลับหลังเผาเราเซียะไม่มีดี 
ไม่เป็นไร..เราให้อภัย เพราะนายเคยทำดีกะเราไว้เยอะ เอาเป็นว่าถ้านายเลิกนิสัยนี้ได้เมื่อไหร่ เราทั้งสองคน ค่อยมาคบกันใหม่นะ ...สวัสดี ( โห..! เลิกคบเลย ) 

@ ท้อใจอยากโดดตึก 
ขืนโดดก็โง่ดิ .. โด่....ชีวิตนี้มันก็แค่แบบฝึกหัดเล่มใหญ่ ปัญหาผ่านมาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป มันมาแวะทักทายเราให้ลองแก้ไขดูเท่านั้นเอง แก้ปัญหาไม่ได้ ก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอทางออก ยอมแพ้ได้ไง 

@ เพื่อนชอบพูดข่มเราประจำ 
คน มีปมด้อยมาก ๆ ก็อย่างนี้แหละ ชอบข่มคนอื่นให้ด้อย เพื่อตัวเองจะได้เด่น เราไม่ถือสานายหรอก เอาไว้นายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นายก็จะรู้เอง 

@ เวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆรู้สึกประหม่า ๆไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเอง 
เวลายืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ให้คิดอย่างนี้ดิ " ฉันคือราชสีห์ผู้สง่างาม ยืนอยู่ท่ามกลาง หมู่สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ( ก็เพื่อน ๆ ไง ) นั่น ยีราฟ (คนสูง ๆ ) โน่น ฮิปโป้ (อิ อิ) นู่น เม่น (คนผมแข็ง ๆ) ฯลฯ " ..เดี๋ยวก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเองแหละ 

@ เกิดมาจนโธ่ ! คนอย่างเรา 
เกิดมาจน ก็ได้เปรียบน่ะสิ เพราะได้มีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยลำแข้งของตัวเองจริง ๆ ชีวิตจะแข็งแกร่งกว่าคนที่เกิดมาสบาย ๆ ตั้งแต่เด็ก แหม..ได้เปรียบแล้ว ยังมาทำบ่นอีก 

@ เพื่อนจะขายตัวบอกว่าไม่เห็นจะหนักหัวใครเลย 
ช่าย..ย ..เราก้อเห็นด้วยกับเธอนะ นั่นไง เจ้า HIV ยังพยักหน้าเห็นด้วยเลย 

@ เรา"นมเล็ก"อยากใหญ่กว่านี้ทำไงดีอะ 
เล็กๆ กระทัดรัด น่ารักนะจะบอกให้ แล้วอีกอย่าง ธรรมชาติของผู้ชายเนี่ย เขาต้องการความอบอุ่น จาก "การดูแลเอาใจใส่" ต่างหาก ไม่ใช่จาก "หน้าอกใหญ่ ๆ " 

@ เรียนหนังสือยังไงให้เป็นเลิศและไม่ให้เครียดครับ 
คิดอย่างนี้ทุกวัน รับรองเป็นเลิศ"ฉันจะตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง ฉันจะขยันอย่างไม่หยุดหย่อน ฉันจะค้นคว้าด้วยความอยากรู้จริง ๆ และ...ฉันจะไม่แข่งขันกับใคร นอกจากแข่งขันกับตัวเอง " 

@ ไม่รู้เป็นอะไรอยากได้โน่นได้นี่ตลอดเวลาแต่ไม่มีเงิน แหะๆ 
"อยากได้โน่นอยากได้นี่" มีแต่เสียเงินลูกเดียว " อยากทำโน่นอยากทำนี่ " ดีกว่า สนุกดี แฮปปี้ตลอดวัน แถมไม่ต้องเสียเงินสักบาท 

@ แง ... เพื่อนไม่สนใจเราเลยทำดีเอาใจทุกอย่างแล้วนะ 
ทำดีเพื่อให้คนอื่นมาสนใจมันก็เหื่ยว แห้งอย่างนี้แหละเธอ เป็นแม่พระดีกว่านะ... ดูแลเพื่อน ๆ เหมือนอย่างกับแม่ที่ดูแลลูก ให้ความอบอุ่นอย่างทั่วถึง แล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ....เฮ้อ ! เห็นคนอื่นมีความสุข แล้วก้อสบายใจ 

@ ถ้าหนูจะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำเช่น ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน(อ้าว ! ) 
ทำ ยังไงไม่ให้ขี้เกียจ ให้คิดดูว่า เราจะได้อะไรจากงานที่ทำนี้บ้าง คิดไปเรื่อย ๆ จนเกิดความรู้สึก "อยากทำ" เช่น "ล้างส้วม" เราได้อะไรบ้าง โห !เยอะแยะ 
1."ได้ออกกำลัง" ดีจังเรายิ่งอ้วน ๆ อยู่ด้วย
2."ได้เสียสละ" เพื่อพ่อแม่จะได้เข้าห้องน้ำอย่างมีความสุข 
3. "ได้ฝึกอดทน" โตขึ้นเราจะได้แข็งแกร่ง ลุยได้ทุกที่ 
4. "ได้บุญ" ใครเห็นห้องน้ำสะอาด เขาก็จะสบายใจ เราก้ออิ่มบุญ 
ฯลฯ ..(คิดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก้อทนไม่ไหว อยากจะไปทำเองแหละ) 

@ ช่วยตัวเองบ่อยมากทำไงให้ลดลง 
เบรคตัวเองแรง ๆ ดิ เช่น .. " ไม่คุ้มเลย.. สุขวูบเดียว เพลียไปทั้งวัน...มันก็แค่อร่อยเหมือนแทะเนื้อติดกระดูก แทะยังไงก็ไม่อิ่ม ... ไม่มีปัญญาคิดสร้างสรรค์ความสุขอื่น ๆ แล้วหรือไง ถึงได้จมอยู่แต่เรื่องพวกนี้... เราวุ่นกับมัน มันก็วุ่นกับเรา ไม่เป็นอิสระสักที " ฯลฯ(ถ้าคิดแล้วยังเอาไว้ไม่อยู่ ก็ตามบายเหอะ มันไม่เสียหายอะไรนักหรอก) 

@ คืนนี้ อยู่คนเดียวกลัวผีอะบรื๋วว..ว์ 
นี่พวกผี ตอนนี้ฉันกำลังสวดนะโม ตัสสะ ฯ อยู่นะ เตือนไว้ก่อนว่าพระพุทธเจ้าท่านกำลังประทับอยู่ในใจฉัน ผีตัวไหนอย่าอุตริโผล่ขึ้นมาหลอกล่ะ บาปกรรมหัวแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงไม่รู้ด้วยนะเออ 

@ คนตามจองล้างจองผลาญกลั่นแกล้งเราไม่ยอมเลิก 
" เจ้ากรรมนายเวร" ภาค 2 ชัวร์ !! อย่างนี้ยิ่งตอบโต้ยิ่งเกมยาว (ถึงชาติหน้า) เจ๊ากันไปดีกว่า เอาเป็นว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เรื่อยๆ ศัตรูได้ส่วนบุญเยอะ ๆ เดี๋ยวก็เลิกรากันไปเองแหละ 

@ กระเป๋ารถเมล์สายที่นั่งประจำพูดจาไม่สุภาพฟังแล้วไม่สบอารมณ์เลย 
น่าเห็นใจนะอาชีพนี้ นี่ถ้าฉันลองไปทำดูบ้าง ฉันก็คงจะเครียด และต้องแสดงอาการกริยาแบบนี้แหละ 

@ ทำตัวดีไม่เป็นภัยกับใครแต่กลับถูกใส่ร้ายป้ายสี 
ภูผาหินไม่กลัวพายุร้าย เราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง จะไปหวั่นไหวอะไรกะอีแค่ลมปาก เขาพูดป้ายสี สีก็เลอะที่ปากเขาสิ เราไม่เกี่ยว.. 

@ ผมเป็นคนจับจดทำงานอะไรไม่เคยสำเร็จชาตินี้จะเอาดีกะเขาได้มั้ยเนี่ย 
นึกถึงภาระกิจที่จะต้องทำแล้วคิดด้วย ความมั่นใจว่า " เข้ามาเล้ย..ย งานน่ะ ไม่กลัวอยู่แล้ว (ทุบกำปั้นบนฝ่ามือ) เรามั่นใจ ทำได้แน่ไม่เลี่ยง ไม่หนี ลุยลูกเดียว " (คิดทั้งวันทั้งคืน ชาตินี้จะไม่มีวันเป็นคนจับจด) 

@ นิสัยตัวเองไม่ดีชอบจ้องจับผิดคนอื่น 
" มิน่าเล่า เราถึงไม่มีเพื่อนที่ดีเหลือเลยสักคน จับผิดตัวเองดีกว่า สนุกกว่ากันเยอะเลย " 

@ ติดเกมงอมแงมเสียการเสียงานอยากเลิก แต่เลิกไม่ได้ 
พูดท้าทายตัวเองดิ เช่น" เล่นเกมสนุก แต่ไม่มีสาระ เสียเวลาไปเปล่าๆ ไหนเก่งจริง ลองทำงานให้สนุกเหมือนเกมดูซิโด่...ทำได้หรือเปล่า มีปัญญาอ๊ะป่าว " 

@ ทำสิ่งที่ไม่ดีบางอย่างมา(ทำอะไรไม่บอกอะ) 
รู้สึกกังวลและเครียดมาก หายใจไม่ทั่วท้องเลย หายใจเข้าออกลึก ๆ ให้สุดปอดตลอดทั้งวัน และบอกกับตัวเองว่า "ถ้ามันไม่ร้ายแรงถึงกับตาย เราก็ไม่ต้องไปกลัวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรารับได้อยู่แล้ว เราแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้ สบายมาก " 

@ ถูกขาใหญ่ตบกระโหลกที่หน้าปากซอยฮึ่ม..แค้นมาก เดี๋ยวจะลากปืนไปยิงมัน 
โห..! คิดได้ไงเนี่ยจะเอาเพชรไปแลกกะถ่าน คุ้มจริงๆ นะเพ่ 

@ ทำไมโรงเรียนต้องบังคับนักเรียนชายให้ตัดผมด้วยหมดหล่อเลยเรา เผด็จการชัด ๆ 
ลดความหล่อบ้างสักนิดก็ดีนะสาว ๆ จะได้ไม่กวน ขอบคุณคับคุณครู ที่ช่วยให้ผมได้เรียนหนังสือเต็มที่กับเขาสักที 

@ ไม่สบอารมณ์คนนั่งข้าง ๆ (ใครหว่า ?)ขอคาถาขับไล่หน่อยสิ 
ได้สิ.. " โอมเพี้ยง.. ชิ๊ว ๆ ๆ ไปพวกความคิดที่ไม่ดีทั้งหลาย หายวับกับตาไปให้หมดเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะได้ใจเย็นๆ สักที " 

@ ฮือ..ๆๆเราติดเอดส์เรากลัวตาย..ฮือๆๆ 
เข้มแข็งๆ กล้าหาญไว้ โอ.!.ฉันขอบคุณโรคเอดส์ เพราะมันทำให้ฉันไม่ประมาทในชีวิตอีกต่อไป ฉันจะรักษาสุขภาพกายใจให้ดีๆ อายุจะได้ยืนยาวไปอย่างน้อยอีกสิบปี (ไม่แน่นะ ถึงตอนนั้นอาจจะมียารักษาให้หายแล้วก็ได้ ) ฉันจะทำความดีให้มากๆๆๆ จวบจนวินาทีสุดท้ายเพราะพระท่านว่าคนที่ทำความดีไม่ต้องกลัวโลกหน้า ตายไปเมื่อไหร่จะสุขเหลือล้นจนคนข้างหลังอิจฉาเลยทีเดียวเชียว 

@ เจอพวกชอบโทร(สาธารณะ)นานแทบจะกางมุ้งนอนรอ 
ถ้าไม่กล้าเคาะเตือน ขณะที่เรายืนรอ ลองฝึกสังเกต คนพวกนี้เล่นๆ ก็ได้ สนุกดีนะ เช่น"อึมม์..เจ้าหมอนี่ นุ่งกางเกงยีนส์ปะๆแต่ว่าซักสะอาด แสดงว่าชอบโชว์ความเก๋า แต่.. เล็บมือด๊ำดำ ว๊า ! หมดท่าเลย สังเกตดูเสื้อ สก๊อตสีน้ำเงินซะด้วย แต่ดูดีๆ ตะเข็บเย็บไม่ประณีต สงสัยจะเป็นเสื้อโหล ชอบยืนพิงตู้โทรคุยแบบนี้ น่าจะเป็นคนขี้เกียจนะ นั่น ๆ มีสมุดเรียนเหน็บที่กระเป๋าหลัง อ๋อ ! เรียนอยู่สถาบันนี้เอง แหวะ .. ทีหลังมีเราลูก เราไม่ส่งเรียนที่นี่หรอก นิสัยไม่ดี ฯลฯ " (บางคนกว่าจะออกจากตู้ สงสัยสังเกตจนเขียนตำราได้หนึ่งเล่ม หุ หุ ) " 

@ เป็นคนขึ้อายมากกกกค่าเวลาคุยกะใครม้วนไปม้วนมา 
จะคุยกับหนุ่มใช่มั๊ยล่า..า รู้ทันหรอกน่า ให้คิดว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของเราดิ แม่รู้สึกยังไงกะลูกล่ะ เอ็นดูใช่มั๊ย สงสารใช่มั๊ย ให้มีเมตตากรุณาต่อผู้ชายทุกคนที่คุยด้วย แต่ไม่หวั่นไหวกะใครง่าย ๆ ความอายจะหายไป ............ทำได้ป่าว 

@ มีคนใส่ร้ายเราเราโกรธมากจนนอนไม่หลับ 
เขาทำความชั่วเขาก็ได้ผลชั่วของเขาเอง เรามามัวนอนโกรธ จนนอนไม่หลับ อย่างนี้ก็สมใจเขาสิ เปลี่ยนไม่ถือสาหาความ เมตตาเอ็นดูเขาดีกว่านอนหลับสบาย แถมฝันดีอีกต่างหาก 

@ มีแฟนหลายคนสับหลีกไม่ทันอะ 
มีแฟนเยอะ แสดงว่าเรายังไม่เจอรักแท้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะลองแกล้งป่วยดู ถ้าคนไหนมาเยี่ยม แสดงว่าคนนั้นก็ผ่านรอบคัดเลือก เราจะทดสอบกลั่นกรองให้เหลือคนที่ดีที่สุด เพราะรักเดียวใจเดียวคือความสุขที่แท้จริง 

@ ครูสอนน่าเบื่อโดดเรียนดีกว่าเรา 
โดดเรียน ได้ผ่อนคลาย มีเสรี จะไปไหนก็ได้ อึมม์...มันก้อดีเหมือนกันนะ แต่ทว่า...มันเป็นการหนีปัญหา เพราะอีกหน่อยเราก็คงต้องหนีเรื่อย ไป หนีหน้าคน -หนีการงาน -หนีความรับผิดชอบ ขืนเป็นอย่างนี้ อนาคตของเราคงจะไปไม่รอดแน่ๆ สู้เลย..! จะไปกลัวอะไร ถ้าครูสอนน่าเบื่อ เราก็เรียนให้มันน่าสนุกสิ ง่ายจะตายไป เรื่องอะไรจะหนีเรียนให้เสียชื่อ เราสู้วันนี้ วันหน้าสบายมาก เย.." 

@ ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับทำไมผู้ใหญ่ชอบบังคับกันเรื่อย 
ถ้าไม่อยากให้รู้สึกว่ามีคนมาบังคับ ก็ต้องทำอะไรด้วยเหตุผลของตัวเอง 
เช่น :- 

โรงเรียนบังคับให้ตัดผม
เราก็คิดว่า "เราตัดผมไม่ใช่เพราะกลัวลงโทษ แต่เราตัดผมเพราะเราเคารพกฎของโรงเรียนต่างหาก" 

แม่สั่งให้เก็บที่นอนทุกเช้า 
เราก็คิดว่า "ที่เราทำไม่ใช่เพราะกลัวแม่ด่า แต่เพราะเห็นว่ามันเป็นระเบียบเรียบร้อยดีต่างหาก" 

พ่อบังคับไม่ให้เราไปเที่ยวไหนในวันหยุด 
เราก็คิดว่า ที่เราไม่ไปไหน ไม่ใช่เพราะกลัวพ่อดุ แต่เพราะเราต้องการจะฝึกตัวเองให้เข้มแข็งต่างหาก" ฯลฯ 

@ มีครูอยู่วิชาหนึ่งไม่ให้เกียรตินักเรียนชอบพูดสบประมาทเด็กอยู่เรื่อยเลย 
ทุกครั้งที่ได้ยินถ้อยคำดูหมิ่น ให้ยิ้มน้อยๆด้วยความเข้าใจและเห็นใจ(ผู้พูด) และ ให้คิดในใจว่า" พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญเราผู้ที่มีความหนักแน่น อดทนต่อถ้อยคำ ประกอบดัวย เมตตา และ ปัญญา ว่าเป็น ผู้ใหญ่ หาใช่ เด็ก ไม่ " 

@ เป็นโรคใจง่ายเข้าใกล้คนหล่อ ๆทีไรหวั่นไหวทุกที 
เวลา เข้าใกล้คนหล่อ ให้นึกถึงอะไรที่น่าเกลี๊ยด น่าเกลียดภายในตัวของเขาสิ เช่น ขนจมูกของเขา ขี้หูของเขา ขี้ตา... .. รังแค.... อึ ..(แหวะ) คิดอย่างนี้ เดี๋ยวก็หายหวั่นไหวไปเอง ..ไม่เชื่อ ลองดูดิ 

@ เพื่อนๆ ในห้องมีแฟนกันหมดแล้วมีเหลือแต่เรา "แหง่ว..ว" อยู่คนเดียว 
คิดมุมกลับ.. " เพื่อนๆ ในห้องหาเรื่องไปร้อนรนทุรนทุรายกันหมดแล้ว เหลือแต่เราอยู่เย็นเป็นสุขอยู่คนเดียว เย..! " 

@ อยากเที่ยวกลางคืนให้มันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย 
สุดเหวี่ยงจนลงเหวน่ะสิไม่ว่า เที่ยวกลางคืนเนี่ยปากทาง แห่งความเสื่อมเลยนะตัวเอง 

@ ข้างบ้านชอบแต่งตัวโป๊ขอคาถาข่มใจหน่อยดิ 
โอม ! ... ธรรมดาๆๆ ๆไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นอะไร เหม็นขี้เหงื่อ เหม็นขี้ไคล ใคร ๆ ที่ไหน ก็เหมือนกัน (ท่องไปจ้องไปนะ ) 

ชีวิตพิสดารของสัตว์ - กวาง (๒ - ตอนจบ)

ปรีดี อู่ทรัพย์

            รุ่งขึ้นจากนั้นผมออกตรวจโรงเรียนต่ออีก ๒ วัน สภาพของบ้านป่ากั้ง บ้านงอมสัก บ้านงอมถ้ำ และบ้านงอมมด เหมือนกับสภาพบ้านป่าทั่วไป ล้วนแต่มีป่าไม้เบาบาง ป่าส่วนใหญ่ถูกโค่นลงมาถางเป็นไร่เลื่อนลอย พอดินจืดก็ย้ายไปหาที่ตัดฟันทำไร่ใหม่ เรื่องปุ๋ยไม่ต้องใส่กันล่ะ  เหตุนี้การโค่นไม้ทำลายป่าจึงมีอยู่ทั่วไป ก่อให้เกิดภูเขาโล้นมากมายตามที่ราบเชิงเขา มีบ้านชาวบ้านปลูกกันเป็นหย่อมๆ  แห่งละ ๔-๕ หลัง ส่วนใหญ่มุงด้วยหญ้าคา สุขภาพของคนทั่วไปไม่ค่อยสมบูรณ์เนื่องจากขาดธาตุอาหารพวกโปรตีน อาศัยพืชป่าเช่น หน่อไม้ หัวมันกลอย และผักต่างๆกินเป็นพื้น คนจึงเป็นโรคคอพอก ร่างกายผ่ายผอม พุงป่องเป้นส่วนใหญ่

            ผมย้อนกลับมาบ้านห้วยผึ้งอีกครั้งหนึ่งเมื่อเสร็จภารกิจในการตรวจโรงเรียน นอนที่บ้านห้วยผึ้งอีกคืนหนึ่ง ในตอนเช้าได้ห่อข้าวคาดเอวพร้อมสัมภาระที่จำเป็น แล้วก็ชวนกันออกไล่เหล่ากวางในป่า ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปประมาณ ๑๐ กิโลเมตร

            กวางในโลกนี้มีหลายชนิด แต่โดยเฉพาะในเมืองไทยเรามี ๒ ชนิด คือ กวางและสมัน สำหรับสมันนั้น บัดนี้ได้สูญพันธุ์ไปแล้วจากพรานผู้ล่า เนื่องจากเขาของมันแตกช่อเป็นกิ่งงามมาก จึงเหลือกวางอยู่ชนิดเดียว คือ ชนิดใหญ่ไม่มีลายและสีสลับ ขนาดใหญ่ของกวางชนิดนี้โตเท่ากับม้าไทย สภาพโดยทั่วไปเป็นสัตว์ที่ว่องไว วิ่งกระโดดได้รวดเร็ว แต่ตัวผู้ใหญ่ๆบางทีเขาเกะกะหนีศัตรู ติดเครือเขาเถาวัลย์ลำบากมาก ดังนั้นธรรมชาติจึงสร้างให้กวางสามารถสลัดเขาอันใหญ่เกะกะทิ้งได้ แล้วงอกขึ้นมาใหม่ ซึ่งสัตว์อื่นไม่สามารถสลัดเขาออกอย่างกวางได้

            กวางอาศัยทั้งป่าโปร่งและป่าทึบ แต่ป่ารกเกินไปกวางจะไม่อาศัยเพราะไม่สะดวกแก่การแหกป่าหลบหนีศัตรู เนื่องจากตัวมันใหญ่มีเขายาวเกะกะ

            ที่อาศัยของกวางเรียกว่า "ซุ้ม" มันจะเลือกทำซุ้มในบริเวณไม้รกทึบแสงแดดไม่อาจส่องลงดินได้ เมื่อเลือกทำเลดีแล้ว กวางจะจัดซุ้มให้นอนได้อย่างสบาย คือ ขุดดินเป็นแอ่ง กัดรากไม้ที่จะตำตัวออกจนเกลี้ยง

            กวางอาศัยซุ้มนอนเฉพาะเวลากลางวันตลอดวัน ส่วนตลอดคืนเป็นเวลาหาอาหาร กวางจะเข้าซุ้มนอนก่อนสว่าง ที่อาศัยของกวางมักจะเป็นทำเลที่ดีมาก คือ อาจมองเห็นศัตรูได้รอบด้าน กวางมักจะเลือกที่อาศัยใกล้ๆบริเวณหนองน้ำและภูเขา เพราะมันจะหนีศัตรู เช่น เสือและหมาไน ลงแช่น้ำได้โดยขามันยาว ส่วนหมาไนและเสือขาสั้นไม่อาจลงน้ำล่ากวางได้ แต่เวลาที่มันหนีมนุษย์นั้นมันจะเตลิดขึ้นภูเขาซึ่ง มนุษย์ไม่สามารถปีนเขาได้เก่งอย่างกวาง กวางอาศัยซุ้มตัวละซุ้ม เว้นแต่ฤดูที่มันฮิทจะมีตัวเมียมาร่วมซุ้มด้วย

           ครูใหญ่บ้านห้วยผึ้ง สั่งพรานผู้มีปืนให้ไต่สันเขาไปนั่งตามจุดต่างๆ ที่คาดคะเนว่ากวางจะวิ่งผ่าน แล้วก็สั่งให้พวกลูกเหล่าล้อมวงตีเกาะเคาะไม้ตะโกนโหวกเหวก ประดาหน้าขึ้นไปหาสันเขาที่พวกพรานนั่งซุ่มอยู่

            ผมได้กล่าวไว้ตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า  การหลบภัยของกวางมี ๒ ประการ คือ หลบขึ้นภูเขาและหลบลงน้ำตามชนิดของศัตรู การหลบภัยเช่นนี้ กวางจะเรียนรู้เองโดยสัญชาตญาณ ดังนั้น เมื่อมันกำลังนอนหลับเพลินอยู่ในซุ้ม พอได้ยินเสียงโห่ร้องก้องป่าของมนุษย์ มันจึงตื่นเตลิดขึ้นเขาไปตามที่คาดหมาย เสียงเขาของมันกระทบกับต้นไม้ กิ่งไม้ดังขึ้นมาตามร่องห้วยตรงหน้าพรานคนหนึ่ง เป็นระยะ (เวลากวางวิ่งมันจะแหงนหน้าขึ้นไม่ให้กิ่งไม้เครือเขาเถาวัลย์ติดกับเขาอันเกะกะของมัน)

            เขายกปืนขึ้นเล็งไปที่รักแร้แดงของมัน เปรี้ยง!  เสียงกระสุนลูกซองแฝดคำรามลั่นป่าแล้ว ทุกอย่างกลับเงียบกริบจนผมคิดว่ากระสุนพลาดเป้า พอผมจะลุกตามเสียงปืนเข้าไปดู เสียงเป่าหลอดไม้ไผ่ก็ดังเรียกมากระชั้นถี่ยิบ อยู่แน่ ผมนึกในใจ พร้อมกับวิ่งไปหา

            กวางที่ยิงได้นั้นเป็นกวางรุ่นหนุ่ม ตัวยังไม่โตเต็มที่นัก ขนาดของมันเท่าๆกับลูกม้า นอนเอาคอพาดก้อนหินริมห้วยตายอยู่
          
            พวกพรานชาวบ้านช่วยกันแล่หนังกวางและปาดเนื้อเป็นชิ้นๆ ออกกองบนใบไม้แบ่งกัน หนังกวางราคาไม่สูงนักเพราะ "บาง" ทำประโยชน์ไม่ดีเหมือนหนังสัตว์อื่นๆ เลือดกวางตลาดก็ไม่นิยมเหมือนเลือดแรด เนื้อกวางนับว่าเป็นเนื้อชั้นหนึ่ง ขายกันในราคาสูงมาก ส่วนเอ็นกวางมีราคาเพราะใช้เป็นยากำลังและเข้ายาแก้ปวดเมื่อย เอ็นสัตว์อื่นตลาดไม่นิยมเหมือนเอ็นกวาง ทั้งเอ็นกวางและเขาอ่อนของมัน โดยมากเข้าเครื่องยาจีน ซึ่งมีราคาแพง ในหมู่คนไทยเราโดยมากไม่ค่อยได้ใช้กัน เพราะไม่รู้ทั้งคุณค่าและราคา ได้มาก็ต้มอ่อมกินกันเสียหมด หารู้ไม่ว่าคนจีนถือว่าเอ็นและเขากวางอ่อน "เป็นยาโป๊" เหมือนกับเลือดแรดและรังนกนางแอ่น หรือเลือดค่างและกระดูกเสือ

            ผมขอเอ็นกวางเขามาจนหมด ให้ครูใหญ่บ้านห้วยผึ้งจุ่มน้ำเดือด แล้วเอาไปปิ้งถ่านไฟอ่อนๆ พรมเหล้าจนแห้งแบบเขากวางอ่อน กลับจากห้วยผึ้งคราวนั้นผมแข็งแรงผิดปกติ จนเมียแปลกใจ แต่ผมไม่ได้บอกให้เธอรู้หรอกว่าผมกินเขากวางอ่อนและเอ็นกวางมา.....    



ที่มา  ต่วยตูน เดือนมีนาคม ๒๕๓๑ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๗  

คำพ่อสอน พระบรมราโชวาท แด่สามัคคีสมาคม

            ...ความรู้สึกระลึกได้ว่า อะไรเป็นอะไร หรือ เรียกสั้นๆ ว่า "สติ" นั้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่จะทำให้บุคคลหยุดคิด พิจารณาก่อนที่จะทำ จะพูด  และแม้แต่จะคิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่า สิ่งนั้นดีหรือชั่ว มีคุณมีประโยชน์หรือเสียหาย ควรกระทำหรือควรงดเว้นอย่างไร เมื่อยั่งคิดได้ ก็จะช่วยให้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างอย่างละเอียดประณีต และสามารถกลั่นกรองเอาสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นประโยช์ออกได้หมด  คงเหลือแต่เนื้อแท้ที่ถูกต้องและเป็นธรรม ซึ่งเป็นของควรคิด ควรพูด ควรทำแท้ๆ...


พระบรมราโชวาท
พระราชทานแก่สามัคคีสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์
เพื่อเชิญไปอ่านในการประชุมสามัญประจำปี
ระหว่างวันที่ ๑๖ - ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๒๐

Fw: คู่มือดูแลพ่อแม่

ถ้ายังมีโอกาสที่จะทำให้พ่อแม่บ้าง ก็น่าทำนะคะ ก่อนที่จะไม่มีพ่อกับแม่ให้ได้ดูแล...


วันนี้ทีมงานมีโอกาสได้รับบทความดี ๆ จาก คุณหมอสิรินทร ฉันศิริกาญจน ผู้แต่งหนังสือ "คู่มือดูแลพ่อแม่" สำนักพิมพ์ More of Life มา ฝากท่านผู้อ่านกันค่ะ ซึ่งบทความนี้ นอกจากเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือฉบับดังกล่าวแล้ว (ทางทีมงานได้รับอนุญาตจากสำนักพิมพ์แล้วค่ะ) ยังเหมาะสำหรับลูก ๆ ทุกคนที่มีโอกาสได้ดูแลพ่อแม่ เพื่อจะได้ทำความเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และทำให้อยู่ร่วมกันกับพ่อแม่วัยชราได้อย่างมีความสุขนะคะ ส่วนเนื้อหาจะเป็นเช่นไร และมีประโยชน์อย่างไรนั้น ติดตามกันได้เลยค่ะ

แค่รักยังไม่พอ

ลูกทุกคนปากบอกว่า "รักพ่อ รักแม่" แต่การปฏิบัติต่อท่านไม่เหมือนอย่างที่พูด บางครั้งเราก็ลืมนึกถึงใจท่าน ความต้องการของท่าน และศักดิ์ศรีของท่าน

หมอ เห็นญาติคนไข้บางคนบ่นว่าพ่อแม่ดูแลยากกว่าดูแลเด็กอีก หมอเห็นด้วยว่ายากกว่า เพราะจะดุหรือตีไม่ได้ ถึงแม้ท่านจะอายุมาก หลง ๆ ลืม ๆ ความสามารถถดถอยลงไป แต่อย่างไรเสียเราก็ยังต้องนึกถึงความมีศักดิ์ศรีของท่าน ไม่ควรไปบั่นทอนความรู้สึกนี้ลงไป ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ใหญ่กว่า เราต้องปฏิบัติต่อท่านด้วยความเคารพและให้เกียรติเสมอ


และ นี่เป็นเหตุผลให้หมอพบเสมอ ๆ ว่า ความไม่เข้าใจกันในเรื่องนี้เป็นปัญหาอุปสรรคในการดูแลผู้สูงอายุอยู่บ่อย ๆ ลูกมักบอกว่าพ่อแม่ดื้อ อยากให้พ่อแม่เป็นอย่างใจต้องการ ไม่อยากให้ท่านต้องเหนื่อย ก็บังคับให้อยู่เฉย ๆ บ้าง หรือลูกบางคนอาจตามใจมากเกินไปจนเหนื่อยใจเสียเองก็มี


ลูก หลานบางคนก็ดี มีปัญหาก็มาถามหมอว่าเขาควรจะจัดการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสมอย่างไร พออธิบาย เขาก็เข้าใจนำไปปฏิบัติได้..ซึ่งมีน้อยมาก แต่ลูกหลานอีกจำนวนหนึ่งพึ่งหมออย่างเดียว คิดว่าพาผู้สูงอายุมาหาหมอแล้วหมอจะสามารถทำให้ท่านอยู่ดีมีสุข ซึ่งก็มีส่วน แต่คนสำคัญที่สุดก็คือลูกหลานซึ่งเป็นคนใกล้ชิดกับท่านมากที่สุด รู้นิสัยใจคอ มองเห็นความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับท่าน

ลองเปรียบเทียบลูก 2 ครอบครัวนี้

ครอบครัวแรก...

"ดูซิ พ่อของหนูเขาชอบนอนกระดาน ปูเสื่อ ไม้ท่อนนึง ให้นอนอย่างอื่นนอนไม่ได้ ไม่หลับ มีเงินตั้งเยอะแยะ" น้ำเสียงที่พูดไม่พอใจ


ครอบครัวที่สอง...

เรื่องเดียวกัน ประโยคคล้ายกัน แต่น้ำเสียงที่พูดมีความอ่อนโยนแสดงความเข้าอกเข้าใจ

"พ่อเขาก็นอนอย่างนั้นละครับ ผมถามเขาว่าขึ้นมานอนบนเตียงมั้ย พ่อบอกนอนไม่ถนัด ก็แล้วแต่เขาแล้วกันครับ"


พ่อแม่ปู่ย่าตายายจะรู้สึกว่าถูกลูกหลานกระทบกระเทียบ หรือเข้าใจยอมรับ ก็จากน้ำเสียงและท่าทางการพูดที่แสดงออกนี่แหละ ตามหลักแล้ว การนอนพื้นกระดานอาจไม่เหมาะกับท่านนัก แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว ไม่ถึงกับเสียหายร้ายแรงก็ต้องยอมให้ท่านบ้าง และรู้จักปรับไปตามสถานการณ์ แต่ก็ไม่ใช่ตามใจทุกอย่าง


ปัญหาประจำบ้าน เรื่องเล็กที่ไม่เล็ก



ความ ไม่เข้าใจกันระหว่างผู้สูงอายุและลูกหลานทีรวมรวบมาเล่าสู่กันฟังนี้ เป็นปัญหาที่พบบ่อยจากประสบการณ์ที่หมอดูแลคนไข้มาและได้พูดคุยกับญาติผู้ สูงอายุ บางครั้งหมอก็ต้องดูแลใจของญาติผู้สูงอายุไปด้วย ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้ขัดแย้งกันบ่อย ทำให้เครียด ไม่มีความสุขด้วยกันทุกฝ่าย ถ้าเข้าใจกันมากขึ้น ลดการทะเลาะเบาะแว้งลง คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุจะดีขึ้น นอกจากไม่ตกอยูในบรรยากาศที่ตึงเครียดแล้ว ผู้สูงอายุจะให้ความร่วมมือกับผู้ดูแลมากขึ้น


ขี้เกรงใจ ขี้น้อยใจ

หมอ พบบ่อย ๆ ว่า ผู้สูงอายุมักจะไม่เอ่ยปากว่าอยากได้หรือต้องการอะไรบ้าง ดังนั้นลูกหลานต้องจัดหามาให้เอง โดยทำให้ก่อนแล้วดูว่าท่านชอบไหม ถ้าปลื้มก็คอยคอยหามาเอาใจ ของดี ๆ ที่เราตั้งใจให้ ท่านอาจจะไม่รับก็มี หมอจึงเข้าใจพวกลูกหลานที่อยากเอาใจผู้ใหญ่ว่ารู้สึกอย่างไร คนวัยคุณตาคุณยายก็มักจะเป็นแบบนี้ ถึงเราจะเสียใจหรือโกรธก็ลองพูดดี ๆ กับท่าน ว่าเราอยากให้ท่าน อยากตอบแทนพระคุณ ถ้าท่านไม่เปลี่ยนใจก็พยายามทำใจว่าท่านเป็นอย่างนี้ แล้วปล่อยผ่านไปเสียบ้าง

ให้อะไรก็เก็บหมด หรือไม่ก็แจกหมด

เวลา ลูกหลานหาของมาให้พ่อแม่ ปู่ย่าตายายก็จะเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุด จะเป็นของกินหรือของใช้ก็ตาม แต่ผู้สูงอายุมักจะเก็บของกินดี ๆ เอาไว้ใส่บาตร ถวายหลวงพ่อที่นับถือ ไม่ยอมกินเอง หรือท่านอาจจะนึกถึงหลาน ๆ ก็จะเก็บไว้ให้หลาน คนให้ก็โกรธเพราะคาดหวังว่าท่านจะได้กินได้ใช้ ไม่ใช่ยกให้คนอื่น

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องถนอมน้ำใจกันและกัน บางทีก็ต้องบอกผู้สูงอายุให้ทราบด้วยว่าลูกหลานมีความตั้งใจอย่างไร ขอให้ท่านได้กินได้ใช้ให้เขาเห็นบ้างเพื่อให้เขาสบายใจ ยิ่งมีลูกหลาย ๆ คน ของที่คนนี้ให้เอาไปยกให้อีกคน อาจทำให้คนให้น้อยใจ และเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ส่วนคนให้ ถ้าไม่อยากโกรธหรือเสียใจ เวลาให้ของท่านแล้ว จิตควรจะตั้งอยู่ที่การให้ ส่วนท่านจะนำไปทำอะไรต่อไม่ต้องคิดมาก


รักคนไกลไม่รักคนใกล้


ลูก คนที่ดูแลพ่อแม่ใกล้ชิดอยู่ทุกวันมักจะรู้สึกว่า พ่อแม่รักลูกคนอื่นที่อยู่ไกลตัวมากกว่า ถามว่าท่านรักคนที่อยู่ใกล้ตัวไหม ท่านย่อมรัก แต่ไม่ได้แสดงออก เวลาเราทำให้ท่าน ก็อยากได้รักตอบแทนมากเท่ากัน แต่ความรักเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ ถึงเราจะทำดีที่สุด ท่านยังแสดงออกว่ารักลูกคนอื่นมากกว่าก็ต้องทำใจ อาจทำใจยาก แต่ถ้าทำได้แล้วจะไม่เป็นทุกข์ อย่างน้อยเรากับท่านก็มีช่วงเวลาดี ๆ ด้วยกัน มาเพิ่มช่วงเวลาดี ๆ เหล่านี้จะดีกว่า และคิดเสียว่า เป็นความสุขของท่าน เราควรจะดีใจ คนเป็นพ่อแม่ก็ต้องอย่าลืมว่า ลูกคนที่อยู่ใกล้คือคู่ทุกข์คู่ยาก จะชื่นชมลูกคนไกล หรือลูกสุดรักสุดโปรดก็ควรจะเบา ๆ หน่อย


พ่อแม่ลูกแบบไหนทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก


ผู้สูงวัยกับลูกหลานที่อยู่ใกล้ชิดดูแลกันอยู่ บางคู่ก็กังฟูไฟติ้งกันตลอดเวลา ทำให้การดูแลที่ควรจะง่ายกลับกลายเป็นเรื่องยาก ก็ด้วยลักษณะนิสัยส่วนตัวแบบนี้


ผู้สูงวัยแบบ "ใหญ่" ตลอดกาล

เมื่อ ก่อนเคยเป็นใหญ่ทั้งในบ้านและที่ทำงาน เคยเก่งนอกบ้าน อยู่บ้านก็กดดันคนอื่น ๆ บุคลิกแบบนี้จะปรับตัวกับการเจ็บป่วยได้ยาก ดังนั้นต้องหาคนที่ผู้สูงอายุชอบพอ ไว้วางใจ มาพูดมาอธิบายให้ท่านเข้าใจว่า เวลานี้สภาพร่างกายเปลี่ยนไป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาคนอื่น ท่านจะต้องทำตัวอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ พูดให้ท่านเห็นใจลูกหลานคนดูแลด้วยว่าเขาลำบากอย่างไรหากท่านไม่ยอมให้ความ ร่วมมือ และให้ท่านมีมุมมองว่า การปรับตัวนี้ไม่ได้เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีของตัวท่าน


ผู้สูงวัยแบบปฏิเสธทุกกรณี


ผู้สูงอายุบางคนชอบบอกว่า ไม่เป็นไร ไม่ปวด ไม่ไปหาหมอ ไม่ตรวจ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ผู้สูงวัยลักษณะนี้ดูแลยากมาก ที่เป็นเช่นนี้เพราะกลัวลูกจะเสียสตางค์ มาเจออีกทีกลาเป็นว่า เสียน้อยเสียยากมีอาการมากแล้ว บางคนชอบพูดว่า "ฉันป่วยก็เผาฉันเลย" หรือ "แก่แล้วเดี๋ยวก็ตาย" ที่ว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ตาย ไม่ตายง่ายอย่างที่คิดสักราย เพราะฉะนั้นถ้ายอมให้ดูแลรักษาง่ายขึ้นอีกนิด ผู้สูงอายุจะไม่ต้องทรมานร่างกาย และมีโอกาสพึ่งพาตัวเองอย่างที่ต้องการได้ด้วย


ลูกที่ "จัดการธุรกิจ" ลืมนึกถึงจิตใจ


คนไข้รายหนึ่งมานอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล มีลูกชายคนเดียว ลูกายทำธุรกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยกว่าอยู่เมืองไทย จึงให้เงินกติดกระเป๋าไว้มากทีเดียว ใครมาเยี่ยมกี่คนคุณยายก็แจกสตางค์ไปจนหมด ลูกชายโกรธมาก มาเยี่ยมก็ขึ้นเสียงว่า ต่อไปนี้จะไม่ให้เงินแล้ว แล้วก็กลับไปทำงาน โดยไม่รู้ว่าแม่เสียใจแค่ไหน


กรณี ของคนไข้อีกรายหนึ่งก็น่าสงสารเช่นเดียวกัน รายนี้อาการดีพอกลับบ้านไหว หมอบอกับคนไข้ว่าจะให้กลับบ้าน คนไข้ดีใจลุกขึ้นมาคว้าวอล์กเกอร์เดินรอบห้อง ช่วงนั้นปีใหม่พอดี ญาติมาบอกหมอว่า ขอฝากคนไข้ไว้ก่อน วันที่ 5 ค่อย มารับ ไม่ได้บอกเหตุผล รู้แต่ว่าช่วงนี้ญาติ ๆ ไม่อยู่ หมอบอกกับญาติว่าอยากให้ท่านกลับบ้าน เพราะอยู่ที่นี่หลายวัน กลางคืนท่านจะนอนน้อย ก็ตกลงวันกันใหม่ ลูกบอกแม่ว่าจะมารับวันที่ 3 แม่ลงไปนอนเตียงไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย


ลูก ๆ ประเภทนี้ ถ้าหมอบอกว่าคุณยายเศร้า เขาก็จะบอกหมอให้ยาต้านเศร้า แต่จริง ๆ แล้วท่านต้องการการดูแลเอาใจใส่ทางด้านจิตใจมากกว่า


คำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุที่บรรจุอยู่ในหนังสือเล่มนี้ด้วย คงเป็นอีกตัวอย่างที่ดีค่ะ



"ไม่มีลูกหมาลูกแมวตัวไหนที่ทำให้พ่อแม่ของมันน้ำตาตก แต่ลูกคน ทำไมมันมีมากนักเล่า"

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

พ่อ The Greatest of the Kings, The Greetings of the Land .7 13.12.09

นิราศกวางตุ้ง (เมืองจีน) - วรรณคดีสมัยกรุงธนบุรี

            ประวัติ - แต่งในโอกาสเดินทางไปกับคณะราชฑูต เพื่อเจริญไมตรีกับพระเขียนหลง ณ กรุงปักกิ่งพ.ศ. ๒๓๒๔
            ทำนองแต่ง - ใช้กลอนนิราศ
            เรื่องย่อ - กล่าวถึงกระบวนเดินทาง การเผชิญคลื่นลม สภาพของเมืองจีน เช่น ผู้หญิงห่อเท้า
            ข้อคิดเห็น - นับเป็นกลอนนิราศเรื่องแรก

ชีวิตพิสดารของสัตว์ - กวาง (๑)

ปรีดี อู่ทรัพย์

            ทางราชการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ย้ายผมไปประจำที่อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๖ สภาพโดยทั่วไป อำเภอท่าปลาเป็นอำเภอที่ราษฎรส่วนใหญ่ได้รับการอพยพจากที่ราบเหนือเขื่อนสิริกิติ์ มาอยู่บนพื้นที่สูงตามเขาตามดอยและที่ราบเชิงเขา ดังนั้น สภาพทั่วไปในด้านเศรษฐกิจและสังคมจึงไม่ดีเท่าที่ควร เพราะเป็นการหักร้างถางพง สร้างบ้านแปลงเมืองใหม่ ลักษณะของภูมิประเทศเต็มไปด้วยป่าและภูเขา มีเนื้อที่ถึง ๑,๗๑๒ ตารางกิโลเมตร นับว่า เป็นอำเภอที่มีเนื้อที่มากที่สุดในจังหวัดอุตรดิตถ์ พื้นที่ตามเนินเขาต่างๆถูกถางจนเตียน เพื่อประกอบอาชีพในด้านเกษตร เหนือขึ้นไปมีอ่างเก็บน้ำเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่และป่าไม้มาก การสัญจรไปมาต้องใช้เรือ การคมนาคมลำบากเป็นบางแห่งซึ่งทางราชการกำลังเร่งรัดพัฒนาอยู่อย่างเต็มที่

             ทิศเหนือของอำเภอท่าปลาติดต่อกับอำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ทิศตะวันออกจดอำเภอฟากท่าและอำเภอน้ำปาด ทิศใต้จดอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ทิศตะวันตกจดจังหวัดแพร่ ลักษณะของการปกครองอำเภอท่าปลาแบ่งออกเป็น ๘ ตำบล คือ เหนือเขื่อนสิริกิติ์ ๒ ตำบล ได้แก่ ตำบลนางพญาอยู่ทางทิศตะวันตก และตำบลท่าแฝกอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนใต้เขื่อนแบ่งออก ๖ ตำบล ได้แก่ ตำบลท่าปลา ตำบลน้ำหมัน ตำบลจริม ตำบลร่วมจิต ตำบลผาเลือด ตำบลหาดล้า รวมทั้งหมดมี ๖๕ หมู่บ้าน

            เขื่อนสิริกิติ์ เป็นเขื่อนที่มีความใหญ่รองลงมาจากเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ตัวเขื่อนตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำน่านที่บ้านผาซ่อม อำเภอท่าปลา ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๖๘ กิโลเมตร  ตัวเขื่อนมีความสูง ๑๑๓.๖ เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ๑๖๙ เมตร เขื่อนมีความยาว ๕๐๐ เมตร สันเขื่อนกว้าง ๑๒ เมตร และตอนฐานกว้างที่สุด ๖๓๐ เมตร เขื่อนนี้สร้างเสร็จเมื่อปี ๒๕๑๕ บริเวณเหนือเขื่อนเป็นอ่างเก็บน้ำ กว้างใหญ่คล้ายทะเลสาบ เป็นสถานที่เที่ยวพักผ่อนหย่อนใจได้เป็นอย่างดี ถนนจากตัวเมืองไปถึงเขื่อนเป็นถนนลาดยางไปโดยตลอด มีรถยนต์ประจำทางเดินทุกวัน บริเวณอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนมีเรือยนต์รับจ้างนำเที่ยว ที่ตัวเขื่อนมีโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ใช้กระแสไฟฟ้าได้ ๑๒๕,๐๐๐ กิโลวัตต์  นอกจากตัวเขื่อนใหญ่ดังกล่าว ทางทิศตะวันตกของอำเภอท่าปลา ยังมีเขื่อนกั้นน้ำอีกแห่งที่มีความสัมพันธ์กับเขื่อนสิริกิติ์ คือ เขื่อนดินช่องเขาขาด เป็นเขื่อนปิดเขาตอนที่มีระดับน้ำต่ำ มีความยาวประมาณ ๕ กิโลเมตร เป็นสถานที่น่าเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ เป็นตลาดปลานานาชนิดต่อเนื่องกับบริเวณของเขื่อนสิริกิติ์

            ได้กล่าวมาตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า อำเภอท่าปลาเป็นอำเภอที่ราษฎรส่วนใหญ่อพยพจากเหนือน้ำลงมาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินใหม่ ตามที่ราชการจัดสรรให้ ดังนั้นที่อยู่อาศัยจึงมีหลังคาเรือนที่กระจัดกระจายกันออกไป ลำบากแก่การจัดการศึกษา ยกตัวอย่าง เช่น การจัดการศึกษาบริเวณเขื่อนดินและบริเวณที่มีน้ำท่วมไม่ถึง เป็นต้น การติดต่อประสานงานประสานประโยชน์ การให้บริการเต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะประชาชนมีความจำเป็นในด้านการครองชีพ มีการโยกย้ายอยู่ตลอดเวลา เด็กต้องช่วยผู้ปกครองทำมาหากิน ทำไร่ หาปลาอยู่เป็นประจำ มีการขาดเรียนมาก ติดตามตัวได้ยาก

            ทีสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอท่าปลา ทางราชการมีเรือยนต์ลำหนึ่ง จุประมาณ ๕๐ คน สำหรับใช้ตรวจโรงเรียนในบริเวณเหนือเขื่อนสิริกิติ์ ผมได้ใช้เรือยนต์ลำนี้ติดต่อประสานงานกับโรงเรียนต่างๆ เช่น ขนข้าวสาร ถั่วเหลือง น้ำตาลทราย ขึ้นปช่วยเหลือในโครงการอาหารกลางวัน ใช้ตรวจโรงเรียนทุกภาคเรียน ใช้ขนนักกีฬามาแข่งที่อำเภอและบริการหน่วยงานของทางราชการต่างๆอยู่เป็นประจำ

            วันหนึ่ง ผมไปตรวจโรงเรียนบ้านห้วยผึ้ง โดยนั่งเรือไปจากเขื่อนดินประมาณ ๒ ชั่วโมง ขึ้นจากเรือเดินต่ออีกประมาณ ๑ กิโลเมตรก็ถึงโรงเรียน แต่ถ้าไม่ไปทางเรือจะไปทางรถยนต์ก้ได้ โดยออกจากตัวจังหวัดผ่านอำเภอท่าปลา ผ่านเขื่อนสิริกิติ์ไปถึงอำเภอน้ำปาดประมาณ ๘๐ กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายตรงหน้าตลาดอำเภอน้ำปาดผ่านบ้านสวน ซึ่งในขณะนี้หน่วยงาน ร.พ.ช. อุตรดิตถ์กำลังทำทางอยู่ จะไปถึงโรงเรียนบ้านห้วยผึ้งได้เหมือนกันในฤดูแล้ง แต่ถ้าในฤดูฝนแล้ว ทางรถยนต์ก็ไปได้ยากลำบากมาก

            หลังจากตรวจงาน ผมกับคณะพักนอนที่บ้านห้วยผึ้ง ๑ คืน เพราะมีโปรแกรมจะต้องไปตรวจเยี่ยมอีก ๕ โรงเรียน คือ โรงเรียนบ้านป่ากั้ง  โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๑๖ (งอมสัก) โรงเรียนบ้านงอมถ้ำ และโรงเรียนบ้านงอมมด

            ครูใหญ่บ้านห้วยผึ้งจัดข้าวปลาอาหารมาเลี้ยง มีนึ่งเห็ด จิ้มน้ำพริกดำ ยำหอยกาบจากลำห้วย ลาบไก่ พล่าแย้ มองดูอาหารแล้วล้วนแต่เป็นกับแกล้มเหล้าที่เข้าท่าทั้งนั้น กรรมการศึกษาคนหนึ่งเอาเหล้าดอง "กวางแฉะ" มาให้ ๒ ขวด สีของมันแดงน่ากินมาก คณะของเราที่ไปดมดูเห็นมีกลิ่นหอมๆ เลยกินเข้าไปคนละหลายก๊ง พอหน้าตึงๆ ผมถามว่า
            "กวางแฉะนี่มันเป็นยังไง รสชาติดีนี่"
            "เป็นยาโด๊ปครับหัวหน้า มันเป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งที่เกิดกับป่า พวกกวางชอบกินกันมาก กินไปแล้วเกิดกำลังมหาศาล สมสู่กันไม่รู้จักหยุดจักหย่อน พวกพรานที่ไปล่าสัตว์ป่าสังเกตการณ์รู้เข้าเลยนำเอาต้นมันมาปลูกตามบ้าน ใช้ดองเหล้าบำรุงกำลังครับกินเข้าไปแล้วคึกคักดี" ครูใหญ่ตอบ

            "เออ พูดถึงกวาง ผมทราบว่าแถวนี้มีกวางป่าชุกชุมใช่ไหม"
            "ไม่ชุมแล้วครับ แต่พอมีแหล่งให้ล่าได้บ้าง ตั้งแต่ทางรถยนต์มาถึงนี่พวกพรานในเมืองออกมาไล่ล่าบ่อย อาวุธดี อุปกรณ์ดั เงินดี กวางที่นี่จึงถูกล่าฆ่าตายลงไปทุกที
            "ถ้าอย่างนั้น..." ผมพูดอย่างไตร่ตรอง
           
            "ผมจะตรวจโรงเรียนอีก ๒ วัน วันนี้วันพุธ วันศุกร์ตอนเย็นผมจะกลับมานอนที่นี่ ครูใหญ่ช่วยหาพรานพาผมเที่ยวป่าวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย ... เออ ผมอยากได้เขากวางอ่อนไปฝากเพื่อน  เขาสั่งมา แถวนี้พอจะหาได้ไหม"
            "มีครับ" กรรมการศึกษาคนที่เอาเหล้า "กวางแฉะ" มาให้ตอบ ท่าทางของเขาดูจะคล่องป่าดีพอสมควร
            "หัวหน้าต้องการชนิดไหน มันมีหลายชนิด"
            "เอาชนิดที่ดีที่สุดนั่นแหละ"
            "ถ้าอย่างนั้นต้องเอาเขาอ่อนขนาดคืบเศษถึงสองคืบ ซึ่งมันยังไม่แข็งเป๊กจับนิ่มมือ เขาชนิดนี้ราคาแพงนะครับ แต่ถ้าเขายาวใหญ่ ไม่ค่อยนิ่มจะราคาถูก"
            "เพื่อนเขาสั่งให้ผมหาซื้อเขาน้ำค้างไปให้"
            "อ๋อ เขาน้ำค้างหรือครับ ชนิดนี้หายากสักหน่อย ถ้าหัวหน้าต้องการ ผมจะไปเที่ยวถามพวกเพื่อนตามบ้านให้ แต่จะมีหรือไม่มียังไม่รับรองนะครับ เขากวางอ่อนนั้นมีอยู่ ๒ ชนิด คือ ชนิดหนึ่งเป็นเขาของกวางหนุ่ม เขาอ่อนชนิดนี้ราคาไม่ค่อยสูงนัก อีกชนิดหนึ่งซึ่งราคาสูง คือ "เขาอ่อนของกวางใหญ่" ที่มันสลัดเขาแก่เกะกะทิ้ง แล้วงอกขึ้นใหม่ เขาอ่อนของกวางใหญ่นี่ยังแบ่งออกเป็น ๒ ชนิดอีก คือ เขาหน่อไม้ กับ เขาน้ำค้าง เขาหน่อไม้ราคาต่ำกว่า เขาน้ำค้างซึ่งตลาดต้องการ เขาน้ำค้างคือเขาอ่อน (ไม่ใช่ขาอ่อน) หน้าหนาว

            "เขาอ่อนนี่เขาทำยังไงมันถึงอยู่ได้โดยไม่เน่า " ผมถามหาความรู้ต่อไป
            "การทำเขาอ่อนส่งตลาดไม่ใหัเน่า เขาทำอย่างนี้ครับ คือ ต้มน้ำให้เดือดจัดแล้วเอาเขากวางอ่อนจุ่มลงไป แล้วรีบยกขึ้นย่างไฟถ่านอ่อนๆกลับไปกลับมา ขณะย่างเอาเหล้าพรมอยู่เสมอ ย่างให้สุกดีไม่คืนตัวเน่าจึงใช้ได้ แต่พรานบางคนก็ไม่ใช้วิธีจุ่มน้ำร้อน  ใช้วิธีย่างถ่านไฟอ่อนๆ แล้วพรมด้วยเหล้าเท่านั้น"
            "ผมเอาเขาน้ำค้างนี่แหละ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ เขาหน่อไม้ก็เอา ช่วยหาซื้อให้ผมด้วยราคาเท่าไหร่ให้มาตกลงกัน" ผมสั่งครูใหญ่

            (อ่านต่อตอนที่ ๒ - ตอนจบ)



ที่มา  ต่วยตูน เดือนมีนาคม ๒๕๓๑ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๗  

คำพ่อสอน พระราชดำรัส เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต

            ...ความซื่อสัตย์สุจริตนั้น ขอวิเคราะห์ศัพท์ว่าความตรงไปตรงมาต่อสิ่งทั้งหมดน้อยใหญ่ ส่วนงานของราชการ ส่วนงานของตัวเองเป็นส่วนตัว ทั้งหมดคือ ความซื่อสัตย์สุจริต และคำว่า สุจริตนี้ ก็มาจากคำว่า การท่องเที่ยวของจิตในทางที่ดี หรือ คิดให้ดี คิดให้สุจริตทั้งฉลาดด้วย ทั้งไม่เบียดเบียนผู้อื่น หรือการงานของตัว ทั้งไม่เบียดเบียนส่วนรวมด้วย จึงจะเป็นผู้สุจริต


พระราชดำรัส
พระราชทานแก่ผู้บังคับบัญชา อาจารย์ และนายทหารนักเรียน
โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที่ ๕๗ ซึ่งเดินทางมาศึกษาภูมิประเทศทั่วๆไป ทางภาคใต้
ในโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
ณ ศาลาบุหลัน ทักษิณราชนิเวศน์
วันอังคารที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๒๒

สร้างชุมชนสุขภาพดี ปลอดสารเคมีในกระแสเลือด กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแคน อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร

เรียบเรียงโดย นพรัตน์ จิตรครบุรี

            วิถีชีวิตเรียบง่าย อาศัยอยู่ท่ามกลางอากาศที่บริสุทธิ์ ประกอบอาชีพ ทำนา ทำสวน ทำไร่ ชาวชุมชนดูมีสุขภาพแข็งแรงและปราศจากโรคแทรกซ้อน แต่ใครจะไปนึกว่าวิถีชีวิตเยี่ยงนี้จะนำมาซึ่งความเจ็บไข้ได้ป่วย มีหลักฐานจากชุมชนว่า ชาวบ้านต้องเสียเงินไปในการรักษาโรคและการเจ็บไข้ได้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกปี
            จนกระทั่ง ในปี 2550 กองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น ของ อบต.หนองแคน อำเภอดงหลวง จึงเกิดขึ้นเพือการดูแลสุขภาพคนในตำบลหนองแคนโดยเฉพาะ
            เริ่มด้วยการจัดทำแผนสุขภาพชุมชน ซึ่งเดิมมีเฉพาะเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยเป้นผู้จัดทำ และทำตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น แต่พอมีกองทุนหลักประกันสุขภาพฯ เข้ามาทำให้เกิดการทำแผนร่วมกันระหว่าง อบต.กับสถานีอนามัย โดยการจัดทำประชาคมหมู่บ้านทุกหมู่บ้าน เพื่อให้ชาวบ้านได้ร่วมแสดงความคิดเห็น แสดงความต้องการว่า ต้องการดูแลสุขภาพด้านใดบ้าง ชุมชนยังขาดอะไร มีปัญหาอะไร และให้ร่วมกันนำเสนอโครงการ

            ทุกโครงการ มีความมุ่งหวังที่จะส่งเสริมสุขภาพของชาวชุมชน บางโครงการเป็นโครงการต่อเนืองและยั่งยืน บางโครงการเป็นโครงการเร่งด่วนที่ต้องการแก้ไขปัญหา ซึ่งในปี 2550 มีทั้งหมด 6 โครงการ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการออกกำลังกาย, โครงการแก้ไขปัญหาภาวะทุพโภชนาการ, โครงการอาหารเสริมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ , โครงการควบคุมและป้องกันโรคไข้เลือดออกโดย อสม., โครงการเฝ้าระวังไข้หวัดนกโดย อสม. และโครงการอบรมให้ความรู้การป้องกันอันตรายจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในเกษตรกรกลุ่มเสี่ยง

            จากปัญหาและความต้องการของชุมชน ทำให้ชาวบ้านมีการตื่นตัว สนใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้น ให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่แบ่งว่า เป็นโครงการของหมู่บ้านใด เพราะถือว่าทุกคนต้องมีส่วนร่วมเนื่องจากเป็นผู้เสนอและเป็นเจ้าของโครงการเอง

            ทั้งนี้ ทุกโครงการจะมีการประเมินผลเป็นระยะและมีการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ชาวบ้านกลุ่มเป้าหมาย ได้รับรู้ข้อมูลภาวะสุขภาพของตนเอง ที่ผ่านมาชาวบ้านได้ผลประโยชน์และเห็นเป็นรูปธรรมในภาพกว้าง เช่น โครงการอาหารเสริมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ จากที่ตรวจพบว่า มีหญิงตั้งครรภ์สุขภาพต่ำกว่าเกณฑ์ 4 คน พอได้ให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารเสริม และติดตามผลทุก 3 ครั้งต่อเดือน จำนวนหญิงตั้งครรภ์ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ก็เหลือเพียง 1 คน
            และโครงการที่ถือว่าเป็นผลงานเด่นที่สุดของตำบล คือ โครงการอบรมให้ความรู้การป้องกันอันตรายจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในเกษตรกรกลุ่มเสี่ยง ทั้งนี้มาจากการประกอบอาชีพของชาวบ้านที่ต้องใช้สารเคมี ซึ่งส่วนใหญ่ทำอาชีพปลูกผักนอกฤดูกาลสำหรับการบริโภคและขาย และอาชีพใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมของชาวบ้าน ทั้งในตำบลนี้และใกล้เคียงคือ การรับจ้างฆ่าหญ้าในสวนยางพาราเพราะว่า การทำสวนยางพาราจำเป็นต้องเตรียมดินเพื่อทำสวน ทำให้แทบทุกหลังคาเรือนมีการใช้สารเคมี โดยที่ชาวบ้านเองไม่เคยได้รับรู้ถึงอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช

            นั้นเพราะชาวบ้านไม่เคยได่รับการตรวจสุขภาพ และวิถีดั้งเดิมของชาวบ้าน เมื่อไม่เจ็บป่วยก้ไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์หรือตรวจสุขภาพ ประกอบกับไม่เคยมีใครเจ็บป่วยจากสารเคมี จนกระทั่งมีคนในชุมชนเกิดเจ็บป่วยและได้รับการตรวจพบว่า มีสารเคมีในเลือดในปริมาณเกินมาตรฐาน
            จึงทำให้เกิดโครงการนี้ขึ้น เพื่อลดอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมี  และช่วยตรวจคัดกรองสารเคมีในเลือด ผลการเจาะเลือด ชาวบ้านจำนวน 126 คน พบว่า ในระดับสารเคมีในกระแสเลือดสูง เสี่ยงต่ออันตรายจำนวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 8.73 ของกลุ่มเสี่ยงซึ่งถือว่าสูงมาก
           
            หลังจากการตรวจพบชาวบ้านทั้ง 11 คน จะได้รับการให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเป็นรายบุคคลจากวิทยากรกรมส่งเสริมการเกษตรจังหวัด การทำงานที่เห็นผลตรวจเป้นรูปธรรม ทำให้ชาวบ้านมีความพึงพอใจมาก และทำให้ชาวบ้านที่ไม่เคยสนใจสุขภาพแต่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงได้รับการดูแลรักษาอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง

            การทำงานที่เป็นระบบโดยยึดความต้องการของคนในชุมชนและ ยึดชุมชนเป็นศูนย์กลาง และดำเนินงานตามข้อกำหนด กฎระเบียบของกองทุนฯ จากการมีพี่เลี้ยงของ สปสช. มาคอยให้คำแนะนำ ช่วยให้คณะกรรมการมีแนวทางในการดำเนินงานด้านสุขภาพที่ชัดเจน

            และการทำงานโดยยึดหลักการเรียนรู้ร่วมกันทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นชุมชน, อบต. สถานีอนามัย โรงพยาบาล กระทรวงเกษตรและเจ้าหน้าที่กองทุนหลักประกันสุขภาพเขต ทำให้เกิดความร่วมมือและขยายเครือข่ายการดูแลสุขภาพมากขึ้น
            เมื่อมีโครงการของกองทุนหลักประกันสุขภาพเข้ามา มุมมองชาวบ้านก็เปลี่ยนไป ทำให้ได้รับข้อมูลภาวะสุขภาพที่เป็นจริง มีโอกาสเลือกและได้ตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรม ช่วยกระตุ้นให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญ ตระหนัก ใส่ใจในการดูแลและสร้างเสริมสุขภาพมากกันขึ้น
            อย่างไรก็ตามถึงแม้ชาวบ้านจะหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น แต่ปัญหาก็ยังมีอยู่บ้าง นั้นก็คือ ชาวบ้านในชุมชนยังเข้าไม่ถึงหลักประกันสุขภาพ เนื่องจากคณะกรรมการยังไม่เข้าใจระเบียบของกองทุนฯ อย่างชัดเจน และชาวชุมชนต้องการให้ปรับระบบการใช้บัตรสุขภาพ ให้สามารถใช้ได้ในทุกโรงพยาบาลเพราะใช้เวลามากในการทำตามขั้นตอน ซึ่งไม่ทันการณ์

   
            ส่วนในเรื่องของการดำเนินงาน ชุมชนก็ยังคงต้องการให้มีตัวแทนจาก สปสช. มาเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษาแนะนำอย่างใกล้ชิด เพราะจากการดำเนินงานอุปสรรคของทีมงานก็คือ เรื่องการเบิกจ่ายเงิน อะไรที่เบิกได้ อะไรที่เบิกไม่ได้ ซึ่งทีมงานยังขาดความเข้าใจในเรื่องนี้อยู่มาก
            แต่หลายเสียงก็ยืนยันว่า นี่ไม่ใช่ปัญหาหลัก "ลองผิด ลองถูก แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันไป"  จะวันไหนๆ ก็ไม่มีคำว่าสายสำหรับการสร้างสุขภาพที่ดี

ข้อมูลพื้นฐานประกอบการเขียนโดย
พิพัฒน์พงศ์ เข็มปัญญา
สมสมร เรืองวรบูรณ์
จุรีรัตน์ กอเจริญยศ
พยอม สินธุศิริ
ศิริรัตน์ อินทรเกษม
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุบลราชธานี



ที่มา ถอดบทเรียน การดำเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่
(กองทุนหลักประกันสุขภาพ อบต. และเทศบาล) ในพื้นที่ต้นแบบทั่วประเทศ กรณีศึกษา ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง
เลข  ISBN : 978-974-379-047-8
ธันวาคม 2551

บทกวี "บาปรัก" .........โดย ป่าค้างตะวัน




    คนละฟากเราห่างไกลไม่อาจพบ
    แต่จะจบรักจากใจได้เชียวหรือ
    ความรักเป็นตำนานเก่าที่เขาลือ
    และฉันคือผู้สืบสานตำนานนั้น
        เราต่างไปตามวิถีของชีวิต
        ต่างลิขิตต่างสุขใจต่างใฝ่ฝัน
        โชคชะตาของเราไม่เท่ากัน
        เพราะฉะนั้นฉันจึงเศร้าเหงาคนเดียว
            ก็ยอมรับว่าจากพรากกันแล้ว
            ทำใจแน่วแน่ใจไม่เฉลียว
            เนรเทศจากความรักที่ถักเกลียว
            ปลีกตัวเปลี่ยวจากไกลไม่หวนคืน
                แต่ฉันหนีใจฉันไม่เคยพ้น
                ใจกังวลถึงแต่เขาเฝ้าขัดขืน
                หักใจแล้วแต่ใจเล่าเฝ้ากล้ำกลืน
                ทุกวันคืนผ่านไปใจยังจำ
                    เป็นคำสาปหรือบาปแต่ชาติไหน
                    ที่ดลใจให้เก้อเผลอถลำ       
                    ที่พาใจให้รักปักใจจำ
                    คงจะทำบาปไว้ใจจึงตรม

30 กรกฏาคม 2538

"ป่าค้างตะวัน"
ฑิฆัมพร ชาลีกุล

บ้านเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อน

เนื่องจากสถานศึกษาหลายแห่งได้
ปฏิเสธการรับนักเรียนตาบอดพิการซ้ำซ้อน บ้านเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อน (หมายถึง คนตาบอดที่มีความพิการอย่างอื่นรวม อยู่ด้วยในคนคนเดียว มีการพิการสองอย่างหรือ มากกว่า เช่น ตาบอดและหูหนวก ตาบอดและปัญญาอ่อน หรือ ทั้งตาบอดหูหนวก และปัญญาอ่อน เป็นต้น)


กรุงเทพมหานคร จึงเป็นสถานที่พักพิงสำหรับ เด็กตาบอดพิการซ้ำซ้อนผู้ยากไร้ ให้ความช่วยเหลือด้าน ปัจจัย 4จัดการศึกษาและฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ เป็นทั้งโรงเรียนและบ้านในบรรยากาศของครอบครัวที่มีครูและเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิด

ท่านสามารถช่วยเหลือให้มูลนิธิฯสามารถดำเนินกิจการช่วยเหลือเด็กตาบอดและพิการซ้ำซ้อนเหล่านี้ได้ต่อไป โดยวิธีดังต่อไปนี้

http://www.cfbt.or.th/cfbtbkk/th/index_th.php

http://www.cfbt.or.th/cfbtbkk/th/index_th.phpบ้านเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อน กรุงเทพมหานคร
มูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
21/13 ซอย รามอินทรา 34แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10230
Tel. 0-2510-4895 , 0-2510-3625 Fax: 0-2943-6235
Website: http://www.cfbt.or.th/cfbtbkk/th/index_th.php
eMail: info@cfbtbkk.orgอีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปเพื่ออ่านมันได้

บริจาคทุนทรัพย
์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหรือจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
โดย
1) ส่งเป็นธนานัติ สั่งจ่ายในนาม “มูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทยฯ” สั่ง จ่ายปลายทาง ปณ.รามอินทรา และส่งไปที่ เลขที่ 21/13 ซ.รามอินทรา 34 แยก 19 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10230 พร้อมส่งชื่อ และที่อยู่ของผู้บริจาคไปด้วย เพื่อทางมูลนิธิฯ จะได้จัดส่งใบเสร็จรับเงินมายังท่านต่อไป
2) โอนเงินผ่านธนาคาร ชื่อบัญชี “มูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทยฯ”
ธนาคารกรุงเทพ สาขารามอินทรา เลขที่บัญชี 187-0-50438-6
ธนาคารกรุงไทย สาขารามอินทรา เลขที่บัญชี 060-1-10245-2
ธนาคารไทยพานิชย์ สาขารามอินทรา เลขที่บัญชี 076-1-04908-8

การเลี้ยงอาหารเด็ก

มื้อเช้า เวลา 7.00 น. (1,000 บาท)
มื้อกลางวัน เวลา 11.00 น. (1,500 บาท)
มื้อเย็น เวลา 16.00 น. (1,500 บาท)
หมาย เหตุ มื้อเช้า ประมาณ 60 ที่ มื้อกลางวันและมื้อเย็น ประมาณ 60 ที่ และหากต้องจองเลี้ยง กรุณาสอบถามตารางล่วงหน้า 1-2 สัปดาห์ เพื่อนัดหมายเวลา

แวะเยี่ยมชมกิจกรรม บริจาคทุนทรัพย์ บริจาคสิ่งของได้ทุกวัน

อาหารสด / อาหารแห้ง / ยารักษาโรค
ของใช้ประขำวัน / เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม
ของเล่น / สื่อและอุปกรณ์เสริมพัฒนาการเด็ก

ภารกิจ
ให้การฟื้นฟูสมรรถภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่เด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อน เพื่อให้สามารถช่วยเหลือ และดูแลตนเองได้ในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และการดำเนินชีวิตให้พิ่งพาคนอื่นเท่าที่จำเป็นเท่านั้น โดยเน้นให้เด็กที่ได้รับการฝึกตามศักยภาพของตนเอง

ลักษณะการทำงาน
จะเป็นการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ / นักขัตฤกษ์ เจ้าหน้าที่จะปฏิบัติงานเป็น 2 ช่่วง เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่จะอยู่แบบประจำ เนื่องจากเป็นเด็กกำพร้าและถูกทอดทิ้ง

การบริการ
มีทั้งอยู่ประจำ เสาร์-อาทิตย์กลับบ้าน เช้ามา-เย็นกลับ หรือ กลับในช่วงปิดเทอม

หลักเกณฑ์ผู้พิการซ้ำซ้อน
จะต้องมีความพิการด้านสายตาเป็นหลัก และมีความพิการด้านอื่นๆด้วย เช่น ตาบอดหูหนวก ตาบอดพิการทางสมอง และรับตั้งแต่อายุแรกเกิด จนถึง 12 ปี

สิ่งของที่ต้องการรับบริจาค

เครื่องแต่งกาย
กางเกงขาสั้นเอวหูรูด / ยางยืด / กางเกงวอร์มขายาว
การเกงชั้นในชาย และ หญิง ขนาด M และ L
เสื้อชั้นในเด็กหญิง (เฟริสบรา แบบครึ่งตัว)
ชุดว่ายน้ำผู้ใหญ่ / ชุดว่ายน้ำเด็ก 6 ขวบ
ถุงเท้า นักเรียน อนุบาล จนถึง 20 ปี สีขาว และสีน้ำตาล
รองเท้าหุ้มส้นเด็ก และ ผู้ใหญ่

ยารักษาโรค
ถุงมือยาง (แพทย์)
ฮีรูดอยด์ ครีม
เคาน์เตอร์แพนท์เจล (ทั้งแบบร้อน และเย็น)
Amonxycillin
Cloxacillin

สบู่ โลชั่น
แชมพูสระผม (ขนาด 400มล)
สบู่อาบน้ำเดทตอล (ก้อน/ขวด)
โลชั่นทาผิว
โรลออน

น้ำยาและอุปกรณ์ทำความสะอาด
น้ำยาฆ่าเชื้อโรค เดทตอล
ยาฉีดยุง แบบสเปย์
ชีลด์ท้อกซ์ อัลตร้า ลิควิด
ผงซักฟอกเครื่อง
น้ำยาปรับผ้านุ่ม
น้ำยาซักผ้าขาวไฮเตอร์
น้ำยาถูพื้น
น้ำยาล้างห้องน้ำ

อาหาร

ไข่ไก่สด
นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม
น้ำมันพืช
น้ำปลา
ซอส

ของเล่น
ของเล่นชนิดมีเสียงดนตรี และเสียงสัตว์ต่างๆ

อื่นๆ
ผ้าอนามัย(สำหรับเด็กผู้หญิง)

ถุงขยะ ขนาด 30x40
ถุงขยะ ขนาด 36x45
ถุงขยะ ขนาดเล็ก

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

The GREATEST of the KINGS The GREETINGS of the LAND

โคลงยอพระเกียรติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี - วรรณคดีสมัยกรุงธนบุรี

            ผู้แต่ง - นายสวน มหาดเล็ก
            ทำนองแต่ง โคลงสี่สุภาพ
            ข้อคิดเห็น - โคลงยอพระเกียรติฯ เรื่องนี้ ให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นอันมาก ความไพเราะของโคลงพอประมาณ

อารมณ์ขันในดนตรีและศาสนา (๓-ตอนจบ)

วิลาศ มณีวัต

            ท่านอาจารย์จวนนั้น ท่านเทศน์เป็นแบบคลาสสิค แปลพระคัมภีร์มาเทศน์กันเลย แต่สำหรับชาวบ้าน ท่านเล็งเห็นว่า ปัญญาไม่ถึง คงจะรับไม่ได้ ท่านก็มีเรื่องขันๆ มาเทศน์ให้ฟัง กัณฑ์ที่ป็อบปูล่าที่สุดของท่าน ซึ่งชาวบ้านแถวภูทอกยังเล่าให้ลูกหลานฟังต่อๆกันมาจนถึงปัจจุบัน ก็คือ เทศนาว่าด้วยเรื่องหมาขี้เรื้อนของท่าน

            นิทานเรื่องหมาขี้เรื้อนที่ท่านเล่าให้ชาวบ้านฟังมีดังนี้
            "กาลครั้งหนึ่ง ยังมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง มันเป็นขี้เรื้อนเต็มตัวของมัน มันคันขี้เรื้อนของมันทุกวัน และอยู่มาสมัยหนึ่งถึงฤดูหนาว เจ้าของหมาขี้เรื้อนไปก่อกองไฟไว้ข้างล่าง หวังจะผิงไฟแก้หนาว ครั้นลงไปผิงไฟในเวลาใด ก็เห็นแต่หมาขี้เรื้อนตัวนั้นนอนขวางอยู่หน้ากองไฟ ครึ่งหนึ่งอยู่เสมอ เพราะมันคันขี้เรื้อนของมัน เจ้าของเลยเอาดุ้นฟืนตีหมาขี้เรื้อนตัวนั้น ไล่ออกไปไม่ให้ขวางทาง หมาขี้เรื้อนถูกคนตีแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดรำคาญ มันก็เลยคิดว่า บ๊ะ อะไรหนอ อยู่สูงกว่าโลกนี้ เฮาเป็นหมาขี้เรื้อนนี่ไม่ดีเลย ถูกคนตีทุกวัน มันเจ็บปวดรำคาญมาก มันก็เลยแหงนหน้าขึ้นดูบนท้องฟ้า  เห็นพระอาทิตย์อยู่สูงกว่าโลก หมาขี้เรื้อนตัวนั้นก็เลยคิดว่า บา...เรานี่ต่อไปเกิดเป็นพระอาทิตย์ดีกว่าละโว้ย ..ว่างั้น พอคิดเช่นนั้น อยู่มาวันหนึ่ง ก็เลยตายไปแล้วไปเกิดเป็นพระอาทิตย์ ครั้นได้เป็นพระอาทิตย์แล้วก็เปล่งแสงส่องสว่างลงมาสู่โลกมนุษย์ จักรวาลมนุษย์ ท้าทายมนุษย์ว่า ...มึงมาซิ อวดเก่งมาซิ ..หมัก.หมัก-นุษย์ มนุษย์หมัก-หมามนุษย์ เขาว่ามึงจะตีกับกูหลายว่า อ้าว  มึงตีกูได้บ่อ กูอยู่สูงแล้ว กล้ามาตีกูอีกซี ท้าทายเช่นนั้นก็ไม่มีมนุษย์กล้ามาตอแยพระอาทิตย์ก็มีความสุขดีอยู่

            ต่อมาวันหนึ่ง มีขี้เมฆลอยมาบดบังแสงอาทิตย์เอาไว้ ทำให้มิดมิดปิดแสงสว่าง บ่ให้ส่องมาจักรวาลโลกมนุษย์ได้ พระอาทิตย์ก็เลยคิดว่า  อ้อ...ขี้เมฆดีกว่าเฮาโว้ย ปกปิดเฮาได้ ฮา เฮานี้สู้ขี้เมฆข่ได้โว้ย ว่างั้น เฮาอยู่สูงยังสู้ขี้เมฆบ่ได้โว้ย เฮานี้สู้ขี้เมฆไม่ได้ เฮาตายเป็นขี้เมฆเถอะโว้ย... ว่างั้น พอคิดดังนั้น ก็เลยเปลี่ยนสภาพจากพระอาทิตย์เป็นขี้เมฆ ครั้นได้เป็นขี้เมฆก็บดบังพระอาทิตย์อยู่อย่างนั้น

            อยู่มาวันหนึ่ง มีลมจำพวกหนึ่งพัดมากำจัดปัดเป่าขี้เมฆออกไปให้ทะลุสายตาจนไม่มีเหลือเลย ขี้เมฆเลยว่า เออ...เฮาเป็นขี้เมฆนึกว่าดี สามารถปิดบังแสงพระอาทิตย์ได้แล้ว ที่ไหนได้กลับสู้ลมไม่ได้ ลมนี่พัดเราให้กระจัดกระจายไปได้อีก ขี้เมฆเลยคิดว่า เฮามาเกิดเป็นลมเถอะโว้ย .. ปรารถนาดังนั้นก็เลยเปลี่ยนสภาพจากขี้เมฆมาเกิดเป็นลม ครั้นได้เกิดเป็นลมแล้ว ลมก็ไม่อยู่เฉย วิ่งไปพัดไป พัดไปพัดมาให้เมฆกระจายก็สนุกดี สุดท้ายพัดมาโดนที่จอมปลวกกลางทุ่งนา พัดเท่าไรๆ จอมปลวกก็อยู่นิ่งไม่ไหวไม่ขยับเขยื้อน ลมจึงมาคิดว่า เฮ้อ เราเป็นลมก็นึกว่าดี พัดขี้เมฆได้ ที่ไหนได้ กลับสู้จอมปลวกไม่ได้ สู้โพ้นไม่ได้เลย จอมปลวกนี่ดีกว่าเรา เราพัดไม่ติง เรามาเกิดเป็นจอมปลวกเถอะโว้ย คิดขอเปลี่ยนสภาพใหม่แล้วก็ได้เปลี่ยนจากลมมาเป็นจอมปลวก เป็นโพ้น  ครั้นได้เป็นโพ้นแล้ว ..เป็นจอมปลวกแล้วก็ตั้งอยู่กลางทุ่งนา เด่นอยู่หยั่งงั้น แล้วก็ท้าทายลมต่อไป  บักลมมึงเก่งจริง มาพัดกู พัดมาซี สู้ กูได้หรือวะ อยู่ต่อมาถึงฤดูฝน ฝนตกมากจอมปลวกก็ชื้นแฉะ เปียกไปด้วยน้ำฝน ชาวนาปล่อยควายบักตู้ใหญ่ออกมาในทุ่งนา ควายตู้มันบ่มีเขา พอมันได้ออกทุ่งมันก็วิ่งเล่นสนุก เห็นอะไรก็ชนดะ มาพบจอมปลวก ควายตู้ก็รี่เข้าชนเอาจอมปลวกต้องทลายราบลงไป โพ้นคือ จอมปลวก ก็มาคิดว่า เฮ้อ เฮาเป็นพระอาทิตย์ก็นึกว่าดีกว่ามนุษย์ เป็นขี้เมฆก็นึกว่าดีกว่าพระอาทิตย์ เป็นลมก็นึกว่าดีกว่าขี้เมฆ  เป็นโพ้นเป็นจอมปลวก ก็นึกว่าดีกว่าลม ดีสู้ ลมไม่ได้ ที่ไหนได้ สู้ควายบักตู้ไม่ได้เว้ย  ควายบักตู้ ยังดีกว่าเรา ชนเราได้ เฮาเปลี่ยนมาเกิดเป็นควายบักตู่ เถอะโว้ย

           
เมื่อเห็นควายบักตู้ดีกว่าตัว จอมปลวกก็เลยเปลี่ยนมาเป็นควายบักตู้ ครั้นได้เป็นควายบักตู้ใหญ่ขึ้นมาแล้ว คอมันขึ้น มันก็เห่า เห่าฮื้น เห็นโพนที่ไหนก็ลัดเล็งไปชน ชนโพนใส่ข้าวเขา โพนอยู่กลางข้าว กลางทุ่งนา เข้าไปชนโพนเต้า  โพนแตง โพนพริก โพนเขือ ไปชนโพนใส่ข้าวเขา เหยียบข้าวเขา กินข้าวเขาอยู่อย่างนั้น อ้ายตู้ใหญ่มันห้าว คอมันขึ้น ทีนี้เจ้าของข้าวก็มาร้องทุกข์กับเจ้าของควายว่า ป้าเอย ลุงเอย ลูกหลานเอย พ่อใหญ่ แม่ใหญ่เอย ผูกควายบักตู้ไม่ให้ปล่อยนะ ควายบักตู้เจ้ามันเป็นร้าน เป็นฮื้น ชนโพน ใส่ข้าว ใส่น้ำ ผูกไม่ให้ปล่อยนะ... ว่างี้

            ทีนี้ เจ้าของควายเมื่อได้ยินเจ้าของข้าว เขามาต่อว่าอย่างนั้น เขาก็เอาหนังสามเกลียวมาผูกคอควายตู้ ใส่หลักใส่ตอ อยู่กับต้นไม้อยู่อิ้งติ้ง ควายตู้จะดิ้นสักกะยงโคงเคง สักกะหย่องก่องแก่งอย่างไหนๆ หนังก็ไม่ขาด ควายตู้ก็เลยคิดว่า อ้อ เฮาเป็นควายตู้ ชนโพนมูลทลายทรายผง นึกว่าดี แต่ที่ไหนได้สู้หนังสามเกลียวเขาไม่ได้โว้ย หนังสามเกลียวเขาดีกว่าเรา  เห็นว่าหนังดีกว่าตัว จึงคิดอยากจะเป็นหนังบ้าง ทีนี้อยู่มาควายตู้ก็ตายลง  เจ้าของเขาจึงแล่เอาหนังมาเป็นริ้วๆ ควั่นเป็นหนังสามเกลียว เป็นหนังริ้ว เป็นหนังเส้น แล้วก็เอาไปผูกควายตู้ไว้ ควายตู้สู้เฮาบ่ได้ เฮาล่ามเจ้าไว้ หนังก็นึกกระหยิ่มลำพองอยู่อย่างนั้น อยู่มาหนังนั้นถูกฝนมันก็ส่งกลิ่น มีกลิ่นอันเหม็น อันเน่า อันหืน แล้วก็ส่งกลิ่นไปไกล ทีนี้หมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งมันได้กลิ่น หนังเน่า ซึ่งเป็นอาหารของมัน มันก็สืบเสาะแสวงหาตามกลิ่นนั้นมา ครั้นพบแล้วเจ้าหมาขี้เรื้อนตัวนั้น มันก็แทะหนังจะกัดกินเป็นอาหาร หนังก็เลยมาคิดว่า  เฮ้อ เฮาเป็นหนังผูกคอควายตู้อยู่ นึกว่าดี ที่ไหนได้กลับสู้หมาขี้เรื้อนไม่ได้โว้ย หมาขี้เรื้อนนี่ดีกว่าเฮา มากินเฮาได้ เฮาเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนดีกว่า

   
        มันอยากจะเกิดเป็นหมาขี้เรื้อน เพราะมันจำชาติเดิมเริ่มแรกไม่ได้เลย กิเลส ตัณหา มันห่อหุ้มอยู่หนาแน่น เห็นว่า หมาขี้เรื้อนดีกว่าตัว เพราะกินตัวได้ จึงคิดอยากจะเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนบ้าง และก้ได้กลับมาเกิดเปลี่ยนสภาพเป็นหมาขี้เรื้อนอีกครั้งหนึ่ง มาเกิดเป็นหาขี้เรื้อนเช่นเก่า ...ลงบ่อนเก่านี่ละ

            นี่ละเพิ่นว่า กิเลสวัฏ  กัมมวัฏ มันวัฏฏไปวัฏฏมา แวดไปแวดมา วนไปวนมา เวียนมา จึงเรียกว่ากิเลสวัฏ กัมมวัฏ เป็นตัวเหตุตัวปัจจัย พัดสัตว์ทั้งหลายให้เที่ยวเกิด แก่ เจ็บ ตาย... คิดตามกิเลส ตัณหา คิดไปเท่าใดๆ ว่า ไอ้นั่นที่ดี ไอ้นี่ที่ดี มันก็พอเก่านั่นละ เพราะกิเลสเป็นของร้อน คิดไปแล้ว บ่ดีดอก ลงมาบ่อนเก่านั่นละ พึงเข้าใจ

            พี่ป้าน้าอาเต็มศาลาวันนั้น ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ต่างพอใจในอารมณ์ขันจากนิทานเรื่องหมาขี้เรื้อนของท่านอาจารย์จวน

           

ที่มา  ต่วยตูน เดือนมีนาคม ๒๕๓๑ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๗ 

คำพ่อสอน พระบรมราโชวาท แด่ผู้สำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

        ...การทำความดีนั้น สำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวเอง ผู้อื่นไม่สำคัญ และไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องเป็นห่วงหรือต้องรอคอยเขาด้วย เมื่อได้ลงมือลงแรงกระทำแล้ว ถึงแม้จะมีใครร่วมมือด้วย หรือไม่ก็ตาม ผลดีที่ทำจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน และยิ่งทำมากเข้า นานเข้า ยั่งยืนเข้า ผลดีก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น และแผ่ขยายกว้างออกไปทุกที คนที่ไม่เคยทำดีเพราะเขาไม่เคยเห็นผล ก็จะได้เห็นและหันเข้ามาตามอย่าง....


พระบรมราโชวาท
ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วันศุกร์ที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๒๑

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

1พ่อ The Greatest of The Kings The Greeting of The Land

อิเหนาคำฉันท์ - วรรณคดีสมัยกรุงธนบุรี

            ทำนองแต่ง - ใช้ฉันท์และกาพย์
            เรื่องย่อ - จับตอนตั้งแต่อิเหนาเผาเมืองดาหา ลอบนำบุษบาไปซ่อนไว้ในถ้ำจนถึงจรกาออกไปหา ขณะที่อิเหนาฟังเรื่องที่จรกาเล่าก็แสร้งทำเป้นโกรธ เพราะรู้ ที่ว่า จรกาลอบสังเกตอยู่ พอนึกถึงความฝัน อิเหนาก็เลยร้องไห้ออกมาด้วยความจริงใจ
            ข้อคิดเห็น - อิเหนาคำฉันท์ มีเนื้อเรื่องฟ้องกับบทละครเรื่องดาหลังและอิเหนา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้ากุณฑล และเจ้าฟ้ามงกุฎ และไม่ละเอียดลออเท่าพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะในกระบวนความพรรณนา และลักษณะฉันท์ที่แต่ง จะเห็นว่าอิเหนาคำฉันท์มีความไพเราะคมคายไม่น้อย

อารมณ์ขันในดนตรีและศาสนา (๒)

วิลาศ มณีวัต



            ท่านอาจารย์ชื่อดังอีกองค์หนึ่งทางอิสาน คือ ท่านอาจารย์ จวน กุลเชฎโฐ ท่านก็มีอารมณ์ขันร้ายกาจเหมือนกัน สำนักของท่านอยู่บนเขา ที่เรียกกันว่า "ภูทอก" อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย

            ท่านคิดจะทำสะพานรอบเขา หมออนามัยที่ขอนแก่นจึงได้เชิญสถาปนิกชาวอเมริกันคนหนึ่งมาสำรวจดู นายช่างสถาปนิกชาวอเมริกันได้ขึ้นไปหาท่าน ท่านก็ขอปรึกษาเขาว่า อยากจะทำสะพานรอบเขาตามหน้าผาชันๆว่า "จะทำอย่างไร ขอคุณนายช่างกรุณาแนะวิธีทำให้ด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง" แล้วท่านก้ได้พาไปสำรวจตามหน้าผาต่างๆ เสร็จจากการสำรวจแล้ว ฝรั่งก็บอกวิธีให้ว่า ต้องทำนั่งร้านเป็นจุดๆ จนรอบเขาก่อนแล้วจึงจะทำได้ งบประมาณก่อสร้าง ๑๑ ล้านบาท จึงจะแล้วเสร็จ
       
            ท่านอาจารย์จวน ถามเขาว่า "ไม่ใช่วิธีทำนั่งร้าน จะอาศัยไม้ ๒ ลำมัดใส่เสาที่ปักไว้แน่น แล้วนั่งเจาะหิน ใส่เสาเรื่อยๆไปไม่ได้หรือ"
           
            ฝรั่งตอบว่า "ไม่ได้หรอก อันตรายมาก เดี๋ยวตกเขาตายกันหมด ถ้าจะต้องทำใช้วิธีนั่งร้านนี่แหละ จะทำวิธีอื่นไม่ได้ เพราะไม่มีหลักสูตร ตามหลักสูตรเขาต้องใช้วิธีนั่งร้านนี้ จะทำนอกหลักสูตรไม่ได้ ไม่มีในตำรา"

            สนทนากันพอสมควร นายช่างอเมริกันก็อำลาไป อยู่มาอีกหลายวัน นายช่างไทยได้ขึ้นไปเที่ยวเขา ได้สนทนาหารือกับท่านอาจารย์จวนเรื่องการก่อสร้างสะพานรอบเขา ท่านได้ขอให้เขาช่วยแนะวิธีทำสะพานรอบเขาให้ เขาก็อธิบายให้ฟังว่า
            "ต้องทำนั่งร้านเป็นจุดๆ ไปรอบเขาครับจึงจะทำได้"

            นายช่างไทยกะงบประมาณว่าต้องหกล้านบาทจึงจะทำสำเร็จ
            ท่านอาจารย์ซักว่า "ใช้วิธีอื่นไม่ต้องทำนั่งร้านไม่ได้หรือ"
            นายช่างตอบว่า
            "ไม่ได้หรอกครับ ไม่มีวิธีอื่นทำได้เลย นอกจากวิธีนี้"
            ท่านอาจารย์บอกเขาไปว่า
            "ที่บอกมานี้ก็เป็นวิธีเดียวกันกับนายช่างฝรั่งคนหนึ่งได้บอกไว้ เขาเป็นชาวอเมริกัน มาอธิบายวิธีทำให้ฟังไม่ผิดกันเลย"

            นายช่างไทยตอบว่า "ผมเรียนมาจากอเมริกา มันก็เป็นวิธีเดียวกันซีครับท่าน"
            ท่านอาจารย์จวนตอบว่า "วิธีที่ท่านแนะนี้อาตมาทำไม่ได้หรอก"
            นายช่างถามว่า "ทำไมจะไม่ได้ ไม้แถวนี้ออกเยอะไป"
            ท่านอาจารย์บอกว่า "ไม้มีเยอะจริง แต่ไม่มีเงินหกล้านจะทำ มีอยู่ล้านเดียวเท่านั้นคุณนายช่างเอย"
            "เงินหนึ่งล้านบาท ท่านอยู่ในป่า ใครที่ไหนเอามาให้ท่าน"
            "อาตมาไม่มีเงินล้านหร็อก... คุณนายช่าง มีแต่ล้านเดียวคือหัวล้าน หัวเดียวเท่านั้น...คุณนายช่างเอย" แล้วท่านก็ลูบศีรษะอันล้านโล่งให้เขาดูประกอบ

            นายช่างหัวเราะในอารมณ์ขันของท่าน แต่แล้วด้วยบารมีอันสูงของท่านอาจารย์ ท่านก็สามารถสร้างสะพานรอบเขาได้สำเร็จ

            ผมได้เคยไปเที่ยวศรีลังกา เห็นสะพานรอบภูเขาแห่งหนึ่งแบบเดียวกับที่ภูทอกไม่ผิดกันเลย แต่ที่ศรีลังกาผู้สร้างสะพานรอบเขาได้สำเร็จนั้น เป็นถึงกษัตริย์ผู้เรืองอำนาจ และมีเงินทองในท้องพระคลังเป็นฟ่อนๆ

            ผมเห็นสะพานรอบเขาที่ศรีลังกาแล้ว ก็อดนึกถึงความเป็นอัจฉริยะและบารมีของท่านอาจารย์จวนเสียมิได้ ท่านมิได้เป็นกษัตริย์ ท่านเป็นเพียงภิกษุธรรมดา แต่ท่านสามารถสร้างสะพานรอบภูเขาได้ ไม่แพ้กษัตริย์แห่งศรีลังกา ใครจะไปเที่ยวลังกา อย่าลืมขอเขาแวะดูภูเขาที่ว่านี้ แล้วท่านจะภูมิใจและศรัทธาในปรีชาญาณของท่านพระอาจารย์จวนเพิ่มขึ้นเป็นเอนกนันต์

           
       
        (อ่านต่อตอนที่ ๓ ตอนจบ)

 ที่มา  ต่วยตูน เดือนมีนาคม ๒๕๓๑ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๗  

คำพ่อสอน พระบรมราโชวาท ด้านศาสนา

            ....ศาสนานั้น จะเป็นศาสนาใดก็ตาม ย่อมมีจุดประสงค์หลายอย่าง ขั้นสูงเรียกว่า ขั้นปรมัตถ์ หมายถึงหลักของศาสนาที่เป็นปรัชญา และโดยมากปรัชญานั้นก็เป็นความคิดความเชื่อของบุคคลแต่ละบุคคลว่า โลกนี้มาอย่างไรและจะไปอย่างไร จะมีความสุขสุดยอดอย่างไร แต่ละศาสนามีวิธีปฏิบัติต่างๆกัน ซึ่งสรุปแล้วก็คือ วิธีหาความสุข ความร่มเย็นให้แก่ตัว  การขึ้นสวรรค์ หรือการสำเร็จ ก็คือ การบรรลุความสุขสุดยอดนั่นเอง แต่ในการดำเนินถึงขั้นสูงสุด ยังมีขั้นอื่นๆ ซึ่งสำคัญมากอย่ระหว่างทาง ได้แก่ ความสุขของส่วนรวมของสังคม รวมทั้งการปกครองประเทศ การปกครองส่วนรวม และการปกครองส่วนตัวในชีวิตธรรมดาๆ ทุกๆวัน ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะไปหาความสุขสุดยอดกันขึ้นสวรรค์กันท่าเดียว เราจะต้องพยายามให้ทุกๆวันของเรา ใกล้สวรรค์เข้าทุกทีด้วย....


พระบรมราโชวาท
ในโอกาสที่สถาบันและองค์การที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล
และทูลเกล้าฯ ถวายสิ่งของ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาผกาภิรมย์
วันพุธที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๑
           

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

เป็นกำลังใจให้ชาวสีลมด้วยกันครับ

ขอเป็นกำลังใจ และเอาใจช่วยพี่น้องชาวสีลมทุกคนครับ
ท่านทำถูกแล้วที่ออกมาปรามกบฎชั่วพวกนั้น พวกท่านจะเป็นชุมชนต้นแบบ
ที่พวกควายแดงอีกหลายๆชุมชนไม่กล้าแสดงตัวออกมาอีก
ถ้าในเมื่อรัฐบาลกับทหารตำรวจ
เขไม่ทำหน้าที่ที่ควรทำ
พวกเราประชาชนคนเดือดร้อนเต็มๆก็ต้องออกมาปกป้องชาติบ้านเมืองของเราเอง

" หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มภัย "
" หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มภัย "
" หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มภัย "
เป็นกำลังใจให้ชาวสีลมด้วยกันครับ

ดวงดาวกับคุณธรรม

อ่านคอลัมน์ของคุณเปลว สีเงิน วันนี้ รู้สึกมีความหวังขึ้นมาก
ขออนุญาติโพสต์ ส่วนหนึ่งต่อด้วยความเคารพ

------------------------------------------

ดวงดาวกับคุณธรรม
ผมคงต้องพึ่งคอลัมน์ของคุณเปลว สีเงิน
อีกสักครั้งเพื่อแสดงถึงเหตุผลทางโหราศาสตร์ต่อดวงเมืองและดวงของนายกรัฐมนตรีที่มีโหรบางคนหรือหลายคนกลับคำพยากรณ์ของตัวเองไปตามสถานการณ์
อย่างเช่น คุณ.......ที่มีฉายาว่า.......ผมเองนั้นเบื่อหน่ายความสับปลับของคนในสังคมเป็นอย่างมาก
ความหวั่นไหวของคนไทยจึงเกิดขึ้นยิ่งกว่าคลื่นสึนามิ
ยิ่งมีคำทำนายทายทักออกมามาก
ความน่าเชื่อถือของโหราศาสตร์ก็ถูกทำลายไปด้วย

ประเด็นที่ขอนำเสนอต่อไปนี้
คือการพิจารณาการโคจรของดาวอาทิตย์ที่เป็นดาวประจำดวงเมือง และ
"ดาวประจำตัวผู้นำประเทศ" ได้เข้าสู่ราศีเมษมาหลายวันแล้ว
ดาวอาทิตย์เป็นตนุเศษของดวงเมือง มีดาวอังคารเป็นตนุลัคน์ ดาว 2
ดวงนี้คือดาวแห่งขุมพลังอำนาจ ซึ่งมีผลต่อประเทศเป็นอย่างมาก
ส่วนดาวเทพเทวาที่คุ้มครองบ้านเมืองอยู่คือดาวพฤหัสบดี
แต่ก็มีดาวราหูคือดาวกบฏรกแผ่นดินเข้ามาแทรกแซงตั้งแต่ปีก่อนจนถึงปัจจุบันนี้
ดวงดาวได้ชี้นำให้เห็นว่า
ถึงวันเวลาที่จะจัดการให้บ้านเมืองเป็นปกติสุขได้แล้ว

ในช่วงที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น
ดาวพฤหัสบดีในดวงเดิมเป็นราชาโชคที่ราศีเมษ
เล็งลัคนาที่มีดาวอาทิตย์เป็นมหาจักรกุมลัคน์
และยังส่งกระแสไปยังภพกัมมะที่หมายถึงการได้ตำแหน่ง
และในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คือ วันที่ 26 เมษายนนี้
ดาวพฤหัสบดีจะย้ายเข้าสู่ราศีมีนเป็นเกษตรที่หมายถึงความมั่นคง
ทำมุมโยคหลังไปยังถึงลัคนาที่มีดาวอาทิตย์รออยู่แล้ว
เป็นการเกื้อหนุนให้ดวงชะตานายกฯ อภิสิทธิ์ดียิ่งขึ้นไปอีก
ทำให้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ได้จนครบวาระ รวมถึงจะทำให้มีการใช้กฎหมาย
ความถูกต้อง ความเป็นธรรมได้อย่างชัดเจน
และได้รับความคุ้มครองจากความบริสุทธิ์ใจในการบริหารจัดการให้เกิดความสงบเรียบร้อย

ในส่วนของดวงเมืองนั้นได้ก้าวเข้าสู่ ร.ศ.229 (กรุงรัตนโกสินทร์อายุย่าง
229 ปี) ดาวพฤหัสบดีจรทับดาวราหูในภพวินาศ
แต่ดาวพฤหัสบดีได้มาตรฐานเป็นเกษตรเข้าเรือนของตนเอง
และยังเป็นศรีจรในทางทักษา
และดาวเสาร์จรที่อยู่ในภพอริจะเป็นเดชจรในทางทักษา
ตรงนี้แหละที่ทำให้ความเห็นของนักโหราศาสตร์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ฝ่ายหนึ่งว่าจะเกิดความวิบัติหายนะแก่ประเทศ เพราะดาวโคจรเข้ามุมอับ
ซึ่งก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง เพราะจากสถิติที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน
พ.ศ.2494 เกิดกบฏแมนฮัตตัน เนื่องจากทหารเรือกลุ่มหนึ่งจับตัวจอมพล ป.
พิบูลสงคราม ไปไว้ในเรือรบหลวงศรีอยุธยา
ในปีนั้นดาวเสาร์จรอยู่ในภพอริเล็งดาวพฤหัสบดีจรในภพวินาศเหมือนในปี 2553
นี้ จึงต้องมีการปราบกบฏทักษิณ (อย่างที่คุณเปลวเขียนไว้)
และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการเสียเลือดเนื้อ บาดเจ็บล้มตาย
ถ้าไม่ยอมยุติการชุมนุม รัฐบาลและทหาร
ตำรวจมีความชอบธรรมที่จะใช้กฎหมายและอำนาจเด็ดขาดจัดการเหมือนอย่างที่
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด พูดว่า "อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด"
แต่ก็จะพยายามให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
ส่วนความเห็นของผมนั้นจะอยู่ตรงกันข้ามกับการนำดวงเมืองจรในอดีตมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน
เพราะในทางทักษาจรที่กล่าวมาแล้วมีอำนาจหักล้างกันได้
ดวงประเทศไม่มีทางล่มจม และดวงนายกรัฐมนตรีก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ขนาดดาวพฤหัสบดีจรก่อนวันที่ 26 เมษายน จะเข้าสู่ภพมรณะ
ก็มีผลเพียงให้ต้องปิดบังตัวเองให้อยู่ที่ลับและไม่อาจตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดเท่านั้น

ผลจากคำพยากรณ์ของโหรบางคนที่กลับลำกลางคันและเห็นแตกต่างกันนั้น
มีข่าวว่านายกฯ มีความอ่อนไหวอยู่บ้าง เพราะห่วงชาติบ้านเมือง
แม้ว่าท่านจะไม่ได้เชื่อโหราศาสตร์เหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีหลายคน
นอกเหนือจากเรื่องของดวง ผมยังเชื่อว่าประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์
และพระบารมีของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" คอยปกป้องอยู่ตลอดเวลา

ส่วนที่สี่แยกราชประสงค์นั้น ทุกมุมมีเทพชั้นสูงประจำอยู่
ใครทำชั่วทำไม่ดี ทำความสกปรกในบริเวณนั้น
เท่ากับเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นและย่อมได้รับการลงโทษ
เสื้อแดงหลายคนเกิดอุบัติเหตุถึงตาย และบาดเจ็บเมื่อเดินทางกลับไป ไม้ไผ่
ไม้รวก ที่เหลาให้เป็นปลายแหลมนั้นจะทิ่มแทงเข้าตัวเอง
ตาข่ายหรือแสลนสีดำนั่นก็เป็นสื่อมรณะได้เหมือนกับเป็นลางร้ายบอกเหตุ

ในที่สุดก็คงเหมือนที่ผมเคยพยากรณ์ไว้ว่า "ต้นร้ายปลายดี"
จึงอยากให้ประเทศได้ผ่านเหตุการณ์นี้ไปโดยเร็ว ทุกคนจะได้สบายใจ
และอย่าได้เศร้าสลดใจกับความสูญเสีย เพราะพวกเขาเลือกที่จะมากันเอง
"กรหริศ บัวสรวง"
ปอ