++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เรื่องดีๆที่ต้องแชร์ต่อสำหรับพนักงาน 7-11 คนนี้

เรื่องดีๆที่ต้องแชร์ต่อสำหรับพนักงาน 7-11 คนนี้

เรื่องประทับในเกิดขึ้นที่7-11สาขาการเคหะท่าตำหนักนครชัยศรี จ.นครปฐม
มีคนเสียสติเข้ามาหยิบนมแล้วเดินไปจ่ายเงินถือแบงยี่สิบส่งไห้พนักงาน
พนักงานบอกไม่เอาเงินยายแล้วไส่ถุงไห้ยายพร้อมกับยิ้มไห้ยายโดยไม่แสดง
ท่าทางรังเกียจผมดูอยู่จนยายออกไป....คนดีควรได้รับแต่สิ่งดีๆนะครับ
เพราะผมคิดว่าผู้ให้ย่อมมีความสุขกว่าผู้รับเสมอ........!!

เรื่องราวดีๆ จาก หนุ่ม ภูธรนครปฐม
https://www.facebook.com/dragdieselthailand/photos/a.426222934121024.97457.184500534959933/656685824408066/?type=1&theater

เรื่องดีดี

คุณเชื่อหรือไม่?... โรคภัยนานาชนิดสามารถเกิดขึ้นได้จากจิต

คุณเชื่อหรือไม่?...
โรคภัยนานาชนิดสามารถเกิดขึ้นได้จากจิต
จากความคิดของผู้ป่วยเองว่าเขาจะป่วยแบบนั้น
(ยังไม่นับการป่วยจากพันธุกรรม กรรมวิบาก
และสภาพแวดล้อมต่างๆ)
และคุณเชื่อหรือไม่
ว่าในทางตรงกันข้าม หากคุณเชื่อและคิดบวก
ว่ามีพลังสะอาดกำลังเยียวยาร่างกายให้หายป่วย
จิตที่คิดบวก คิดสว่าง ไม่มองไม่คิดร้าย
มีผลต่อการปรับเปลี่ยนอนุภาคเซลส์
ที่จะมาต่อต้านเอาชนะเชื้อโรคได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ในทางการแพทย์เรียกว่า
"Placebo Effect"
มีแพทย์จำนวนหนึ่งเข้าใจโรคนี้ดี
จึงจัดวิตามินพื้นๆ ให้ผู้ป่วย
แต่หลอกพวกเขาว่านี่คือยาชนิดใหม่ของโลก
มันทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ถึงกระนั้นก็ตาม
บริษัทยายักษ์ใหญ่ยังคงยัดเยียดความกลัว
ยังคงผลิตยาแพงๆ มาขาย
ส่งต่อความมั่งคั่งมาจนถึงโรงพยาบาล5ดาวต่างๆ
ในขณะที่ไม่ให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องจิต
ไม่ค้นคว้าวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับมันอย่างกว้างขวาง
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

(◡‿◡✿)
Thx U .Page.#ธรรมดา

4 มุมมองควรหลีกเลี่ยงหากไม่อยากเสี่ยงให้ชีวิตเสียเวลา







ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในการใช้ชีวิตยุคปัจจุบันนี้ มนุษย์เรามีเรื่องต่าง ๆ เข้ามาให้ครุ่นคิดมากมาย และหลายเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเก็บมาคิดให้ปวดหัว หรือต้องไปให้ความสำคัญกับมันมากเสียด้วย แต่เชื่อว่าก็ยังมีหลายคนให้ความสำคัญ เก็บไปน้อยใจ เก็บไปเสียดาย เก็บไปทำลายความสุขของตัวเอง วันนี้เราจึงขอรวบรวมเรื่องเสียเวลาสำหรับชีวิตมาฝากกัน โดยเฉพาะกับหนุ่มสาวคนทำงานรุ่นใหม่ที่หลายคนยังคงให้ความสนใจกับเรื่องไร้สาระเหล่านี้จนลืมไปว่า การก้าวเข้าสู่โลกแห่งการเป็นผู้ใหญ่นั้น แท้จริงแล้วควรใช้เวลาในวัยนี้อย่างไร

1. งานแบบไหนคืองานในฝัน

อาจเป็นความฝันของหลายคนที่ต้องการงานที่รายได้หลักแสน ได้อยู่ในองค์กรดี ๆ มีตำแหน่งใหญ่ ๆ มีห้องทำงานกว้างขวาง มีคนนับหน้าถือตา มีลูกน้องมากมาย ฯลฯ แต่ในความเป็นจริง เราขอบอกว่า งานตรงหน้าคืองานในฝัน หากยังไม่ใช่ ก็ควรตอบตัวเองให้ได้ว่าตนเองต้องการทำงานอะไร หรือทำสิ่งใดในชีวิต จากนั้นก็หาทางทำในสิ่งนั้นเสียที่ได้คำตอบเสีย อย่ามัวเสียเวลาติดอยู่ในความฝันให้เนิ่นนาน เพราะในโลกใบนี้ยังมีคนจำนวนมากที่ได้ทำงานที่รัก หรือทำงานที่คิดว่าตรงกับความถนัดของตนเอง แต่ชีวิตก็ไม่ได้สบายหรือมีเงินใช้ไม่ขาดมือ บางคนลำบากกว่าคนที่ไม่ได้ทำงานที่ชอบเสียอีก ดังนั้น อะไรคืองานที่ดีที่เหมาะกับคุณคงต้องเป็นตัวคุณที่จะตอบคำถามนี้ได้ และจะดีมากขึ้นหากคุณสามารถตอบตัวเองได้แต่เนิ่น ๆ เพราะคุณจะมีเวลาฝึกฝน ขัดเกลาความสามารถนั้น ๆ ของตนเอง นอกจากนั้นก็ไม่ควรตีค่างานของคนอื่น หรือนำมาเปรียบเทียบกับงานของตนเอง เพราะแต่ละคนก็มีเหตุผลในการทำงานแตกต่างกันไป บางคนก็ทนทำงานที่น่าเบื่อเพื่อรอวันเกษียนจะได้มีสวัสดิการเลี้ยงชีพยามชรา หรือบางคนก็ได้ทำงานที่มีค่าตอบแทนสูง แต่ต้องแลกมากับการไม่มีเวลาให้ครอบครัว อย่างไรก็ดี การเลือกงานให้เหมาะสมกับตัวเองนั้น อย่างน้อยควรเป็นสิ่งที่คุณรัก หรือมีความสนใจกับมันบ้าง เพราะคุณอาจต้องใช้เวลาอีกเป็นสิบ ๆ ปีอยู่กับมันนั่นเอง

2. ทรัพย์อะไรที่ฉันควรมี

บ้าน รถ โทรศัพท์มือถือ คอนโด ที่ดินแปลงสวย ๆ ทริปเที่ยวต่างประเทศ ของเล่นราคาแพงของลูก เสื้อผ้าใหม่ตามเทรนด์ ฯลฯ ถ้ามนุษย์เราเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น ๆ ความอยากได้อยากมีมักเกิดขึ้นอยู่ร่ำไป เพราะเราจะรู้สึกว่าสิ่งนั้นก็ควรมี สิ่งนี้ก็ควรได้ ทำไมเขาไปเที่ยวที่โน่นกัน ดูน่าสนุกจังเลย ฯลฯ แต่ถ้าเรามองชีวิตจากจุดที่เรายืน จากความต้องการจริง ๆ ของตนเองและครอบครัว บางที คุณอาจไม่จำเป็นต้องมีของสิ่งนั้นสิ่งนี้เหมือนที่คนอื่น ๆ เขามีแต่ชีวิตก็สุขได้เช่นกัน

3. ชีวิตแบบไหนที่ฉันควรเลือก

วัยเด็กอาจเป็นวัยที่มีฝันมากมาย บ้างอยากเป็นนักร้อง เป็นทหาร เป็นดารา เป็นนักบิน แต่ในวันที่คุณก้าวเข้ามาสู่โลกแห่งการทำงานแล้ว มันก็มีความจริงที่ว่าคุณต้องเป็นผู้ใหญ่ให้มากขึ้น และไม่นำโลกแห่งความฝันมาปะปนกับโลกแห่งความจริงจนเกินไป หากคุณอาจไม่สามารถกลับไปทำในสิ่งที่ฝันเอาไว้ได้ เพราะเส้นทางที่คุณเดินมานั้นห่างไกลจากสิ่งที่ฝันมากมาย (เช่น ไม่สามารถเลือกเรียนในสาขาที่ต้องการเพราะครอบครัวไม่ยอมรับ) ก็ต้องตั้งใจ และพยายามทำชีวิตในวันนี้ให้ดี อย่าไปฟูมฟายร้องหาแต่สิ่งที่ฝัน และหากต้องการทำความฝันให้เป็นจริงจริง ๆ ก็อาจเริ่มจากการทำเป็นงานอดิเรกก่อนก็ได้ ค่อย ๆ แบ่งเวลาไปทำทีละน้อย แบ่งเวลาโดยไม่ให้ชีวิตประจำวันได้รับผลกระทบ นานวันเข้าคุณก็จะเริ่มมีความสุขจากการได้ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ และชีวิตประจำวันก็ไม่เสียหาย

4. ธุระแบบไหนที่ฉันควรสนใจ

เรื่องราวประเภท ทำไมคนนี้เป็นอย่างนี้ ทำไมคนนั้นเป็นอย่างนั้น หรือ ทำไมผู้หญิงคนนั้นคลอดลูกแล้วไม่เคยเห็นพ่อเด็กมาดูแลเลย (ถ้าเขายังเลี้ยงลูกได้ดี ไม่มีปัญหาก็ถือว่าเก่งมาก และควรให้กำลังใจไม่ใช่ยุ่มย่ามสอดรู้สอดเห็น) ฯลฯ เหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรนำมาเป็นสาระ หรือต้องนำไปขยายต่อให้เสียเวลา เพราะถึงทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น อีกทั้งไ่ม่ได้เป็นการช่วยเหลือใคร หรือทำให้สังคมดีขึ้น มีแต่จะสร้างรอยร้าว และทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีที่คุณเป็นมนุษย์ลำโพงเสียเปล่า ๆ

ทั้งนี้ เราอยากจะบอกว่าการให้ความสนใจในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเป็นเรื่องที่ดี แต่บางครั้งหากไม่เลือกเรื่องที่ควรสนใจ ไปสนใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง รวมถึงการนำไปขยายผลต่อแบบเสีย ๆ หาย ๆ ก็อาจทำให้คุณสะสมพลังด้านลบเอาไว้ในสมองมากกว่าที่ควรจะเป็น และเราขอบอกว่า การทำเช่นนั้นไม่เกิดผลดีกับตัวคุณแต่อย่างใด มีแต่จะส่งต่อพลังด้านลบนั้นให้กับคนอื่น ๆ และทำให้คนอื่น ๆ เป็นมนุษย์พลังลบไปกับคุณด้วยเท่านั้น

แต่ถ้าลองเปลี่ยนมุมมองกับเรื่องที่ตนเองประสบพบเจอ และคิดใหม่ว่า คุณจะสามารถช่วยเหลือ หรือทำสิ่งใดเพื่อให้สถานการณ์ หรือบุคคลนั้น ๆ ดีขึ้นได้ และลองทำดู เราเชื่อว่าคุณจะได้พบบางสิ่งที่สำคัญมากกว่าการใช้ชีวิตในแบบเดิม ๆ แน่นอนค่ะ

3 สิ่งอย่างที่ไปแล้วไม่หวนกลับ + 3 สิ่งอย่างที่ทำลายความเป็นคน

三樣東西一去不復返
3 สิ่งอย่างที่ไปแล้วไม่หวนกลับ
時間. เวลา

生命. ชีวิต

青春. วัยหนุ่มสาว

三樣東西毁掉一個人
3 สิ่งอย่างที่ทำลายความเป็นคน
脾氣. อารมย์หงุดหงิด

傲氣. ความหยิ่งยะโส

小氣. นิสัยหยุมหยิม

三樣東西永不放棄
3 สิ่งอย่างที่ไม่ควรละทิ้ง
童真. ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม

理想. มีความคิด

希望. มีความหวัง

三樣東西最無價
3 สิ่งอย่างที่ประเมินค่าไม่ได้
爱情. ความรัก

善良. ความดีและ
ความซื่อสัตย์
友誼. มิตรภาพ

三樣東西最無常
3 สิ่งอย่างที่แปรปรวนไม่แน่นอน
成功. ความสำเร็จ

財富. ความรำ่รวย

夢想. ความฝัน

三樣東西成就人
3 สิ่งอย่างที่บรรลุผลสำเร็จ
天時. เหมาะกับเวลา

地利. เหมาะกับสถานที่

人和. ความสามัคคี

三樣東西要珍惜
3 สิ่งอย่าางที่ควรถนอมรักษา
父母. บิดามารดา

孩子. บุตร

眼前人 ผู้อาวุโส/บรรพบุรุษ

三樣東西做事情
3 สิ่งอย่างของการทำงาน
目標. มีเป้าหมาย

方法. มีวิธีการ/ขั้นตอน

改善. มีการปรับปรุง

三樣東西交朋友
3 สิ่งอย่างในการคบมิตร
誠信. มีความซื่อสัตย์

奉献. มีความเสียสละ

無私. ไม่เห็นแก่ตัว

三樣東西把握好
3 สิ่งอย่างที่ควรยึดแน่น
機會. โอกาส

人生. ชีวิต

婚姻. การครองคู่

三樣東西得到快樂
3 สิ่งอย่างที่ทำให้มีความสุข
知足常樂
ความพอใจนำมาซึ่งความสุข
助人為樂
มีความยินดีที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น
自得其樂
ทำจิตใจให้มีความสุข

祝願大家平安喜樂
ปรารถนาให้ทุกท่านมีแต่ความสุข
這個短信我不敢不轉,觀音菩薩講,
คำพรจากพระแม่กวนอิม
好好活,不要攀,不要比,不要自己氣自己,
มีวิถีชีวิตราบรื่น,ไม่พาดพิงถึงใคร,ไม่เปรียบเทียบกับใคร,ไม่โกรธ/โทษตัวเอง
父是天,母是地,盡孝父母要牢記,夫妻愛,子女孝,家和比啥都重要,
พ่อเปรียบดั่งฟ้า,แม่เปรียบดั่งแผ่นดิน,ความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกๆควรถนอมไว้,สามีภรรยาปรารถนาได้ลูกกตัญญู,ครอบครัวสามัคคีเปรียบแล้วล้วนสำคัญ
行點善,積點德,多做善事多積德,官再大,錢再多,閻王照樣土里拖。
การเปี่ยมด้วยเมตตา,การมีจิตที่เป็นกุศล,การสะสมความดี,การสะสมแต่กุศล,จะส่งผลดีกับตำแหน่งหน้าที่การงาน,จะมีเงินไหลมาเทมา,ยมทูตใต้ภิภพรอดึงอยู่(รอคนชั่ว)
本月是觀音菩薩出家月,福,祿,壽,喜,財各路神仙都來保佑你,
เดือนนี้เป็นเดือนแห่งพระแม่กวนอิม ออกมาโปรดสัตว์,
มีบุญวาสนา มีความโชคดี มีอายุมั่นขวัญยืน มีความสุข มีความมั่งคั่งด้วยเงินทอง ในแต่ละทิศทางเทพทั้งหลายล้วนมาให้ศีลให้พรปกปักษ์รักษาท่าน
你要傳給12個朋友和親人,四天后一定有好運來
คุณส่งต่อให้เพื่อนๆและญาติๆ 12ท่าน 4 วันให้หลังคุณจะโชคดี

รายการสโมสรเพื่อนหนังสือ 15 มิ.ย.2557 ทาง KKU Channel

รายการสโมสรหนอนหนังสือ ทาง FM103 MHz มหาวิทยาลัยขอนแก่น วันอาทิตย์ที่ 15มิ.ย.2557 เวลา 13.00-14.00น ได้พูดถึง เครือข่าย "เพื่อนหนังสือ" และร่วม 'เล่าเรื่อง(หนังสือ)เล่มโปรด' กับเครือข่ายเพื่อนหนังสือ

รายการสโมสรเพื่อนหนังสือ 15 มิ.ย.2557 ทาง KKU Channel สถานีวิทยุมหาวิทยาลัยขอนแก่น FM103 MHz  ดำเนินรายการโดย  แม่มุกิ Pattara Nakhornsingha พูดถึงเครือข่ายเพื่อนหนังสือ และงานปล่อยหนังสือที่ผ่านมา
http://youtu.be/BlvwqsUlVkc


ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 150 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - มิ่งขวัญองค์ภูมิพล



รายการรักพ่อ150 มิ่งขวัญองค์ภูมิพล




พบกับ สารคดีเฉลิมพระเกียรติฯ ในหลวง  ตามรอย...สายน้ำพระราชหฤทัย" ตอน กษัตริย์-เกษตร ตอนที่ ๔, สารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน "ธงไทยในต่างแดน"
 ฟังเพลง  "หนังสือเป็นออมสิน"  จากโครงการเพลงเฉลิมพระเกียรติคำพ่อสอน ๘๔ พรรษา ,  ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว,  ช่วงบอกรักพ่อผ่านบทกวี, ช่วงในหลวงในดวงใจ,
ชีวิตคือการเดินทาง, ทุกข์เพราะยึดติดความสุข - พระไพศาล วิสาโล,

มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

มองโลกให้บวก - เล่าเรื่อง(หนังสือ)เล่มโปรด#7 : เครือข่ายเพื่อนหนังสือ ดย แม่มุกิ Pattara Nakhornsingha


มองโลกให้บวก - เล่าเรื่อง(หนังสือ)เล่มโปรด#7 : เครือข่ายเพื่อนหนังสือ

 เล่าเรื่อง(หนังสือ) เล่มโปรด .เมื่อ 15 มิ.ย.2557 ณ สถานีวิทยุมหาวิทยาลัยขอนแก่น FM103 MHz


มองโลกให้บวก HARD OPTIMISM เคล็ดลับสู่ควมสำเร็จ จากการมองโลกในแง่ดี เล่าโดย  แม่มุกิ Pattara Nakhornsingha


"...การมองโลกในแง่ดี มันไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก แต่มันอยู่ที่ตัวเราเอง ว่า จะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง เราอาจจะไปเจอเรื่องที่ไม่ดี แต่เราทำยังไงที่จะมองให้เรื่องนี้เป็นเรื่องบวก
 บางคนเจอเรื่องเลวร้ายแบบสุดๆ ถ้าปรับมุมมองใหม่ ถ้าเราไม่เจอเรื่องแบบนี้ เราก็คงไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง แค่เปลี่ยนวิธีคิด ก็จะเปลี่ยนชีวิตได้....."
http://youtu.be/hPjbup37zmY



"เล่าเรื่อง(หนังสือ)เล่มโปรด"  โครงการของเครือข่ายเพื่อนหนังสือ ทุกคนมีหนังสือเล่มโปรดในใจ เอามาเล่าสู่กันฟัง ทุกคนจะเล่าเล่มโปรดของตัวเองได้ดี

ดูวิดีโอทั้งหมด
http://www.youtube.com/playlist?list=PLapsPaHJzmvdO3zb5Fb58_BcYAEiOZm_f

VDO งานปล่อยหนังสือ 14 มิย2557 : เครือข่ายเพื่อนหนังสือ

งานปล่อยหนังสือ 14 มิย2557 : เครือข่ายเพื่อนหนังสือ

บรรยากาศงานปล่อยหนังสือ  โดยเครือข่ายเพื่อนหนังสือ และเมืองหนังสือโลก ที่หอศิลป์ กทม
รวมบรรยากาศงานปล่อยหนังสือ  14 มิย2557  โดยเครือข่ายเพื่อนหนังสือ พบกันครั้งต่อไป 21,28-29 มิ.ย.2557

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ใบหม่อน ไม่ใช่แค่พืชที่เอาไว้เลี้ยงดักแด้ของหนอนไหมเท่านั้น

ใบหม่อน ไม่ใช่แค่พืชที่เอาไว้เลี้ยงดักแด้ของหนอนไหมเท่านั้น ปัจจุบันนี้ใบหม่อนมีชื่อเสียงทางด้านนำมาเป็น “ชาใบหม่อน” ซึ่งเป็นชาสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณมากมาย ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล ทำให้กระแสเลือดหมุนเวียนดีหลอดเลือดแข็งแรง ยับยั้งการเกิดสารก่อมะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดอาการแพ้ต่างๆ และยืดอายุเม็ดเลือดขาว

คุณค่าทางด้านสมุนไพรของใบหม่อน
1. สารดีอ็อกซิโนจิริมายซิน (Deoxynojirimycin) ซึ่งสารนี้เองมีผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือด

2. กาบา (GABA) หรือชื่อเต็มๆคือ gamma amino butyric acid ที่มีคุณสมบัติในการลดความดันโลหิต

3. สารฟายโตสเตอรอล (Phytosterol) ที่มีประสิทธิภาพในการลดระดับคอเลสเตอรอล

4. แร่ธาตุ และวิตามิน อื่นๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม โปแตสเซียม โซเดียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี วิตามินเอ วิตามินบี อีกทั้งยังมี กรดอะมิโนหลายชนิด

5. สารเควอซิติน (quercetin) และ เคมเฟอรอล (kaempferol) ซึ่งเป็นสารกลุ่ม ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ที่มีคุณสมบัติป้องกันการดูดซึมของน้ำตาลในลำไส้เล็ก ทำให้กระแสเลือดหมุนเวียนดี และหลอดเลือดแข็งแรง ยับยั้งการเกิดสารก่อมะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดอาการแพ้ต่าง ๆ และยืดอายุเม็ดเลือดขาว

6. สารโพลีฟีนอลโดยรวม (polyphenols) ซึ่งมีฤทธิ์ด้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย

การชงชาใบหม่อนให้ได้คุณค่า
ให้ชงด้วยน้ำร้อน 80 – 90 องศาเซลเซียส คือหลังจากเดือดแล้วทิ้งไว้สักครู่ จะรักษาปริมาณสารออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด แล้วทิ้งไว้นาน อย่างน้อย 6 นาที ก่อนดื่ม จะได้คุณค่าทางโภชนาการและเภสัชวิทยา

ชื่อสมุนไพร หม่อน ภ.อังกฤษ mulberry
ชื่ออื่นๆ มอน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียก ซิวเอียะ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Morus alba Linn. ชื่อวงศ์ Moraceae
ลักษณะของต้นหม่อน
• ไม้พุ่มขนาดกลาง เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านไม่มากนัก
• ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ หรือรูปไข่กว้าง ขอบเรียบหรือหยักเว้าเป็นพู ขึ้นกับพันธุ์ ผิวใบสาก ปลายเรียวแหลมยาว ฐานใบกลมหรือรูปหัวใจ หรือค่อนข้างตัด ใบอ่อนขอบจักเป็นพูสองข้างไม่เท่ากัน ขอบพูจักเป็นซี่ฟัน
• ดอกช่อ รูปทรงกระบอกออกที่ซอกใบ และปลายยอด แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมียอยู่ต่างช่อกัน วงกลีบรวมสีขาวหม่น หรือสีขาวแกมเขียว ช่อดอกเป็นหางกระรอก
• ผลเป็นผลรวม รูปทรงกระบอก มีสีเขียว เมื่อสุกสีม่วงแดงเข้ม เกือบดำ ฉ่ำน้ำ มีรสหวานอมเปรี้ยว

หม่อน นอกจากจะเป็นอาหารตามธรรมชาติ เพียงชนิดเดียวของหนอนไหมแล้ว ยอดอ่อนของหม่อนสามารถนำมากินได้ มักใช้ใส่แกงแทนผงชูรสเพื่อเพิ่มรสชาติอาหาร หรือใช้เป็นอาหารต่างผักทั่วไป

******* *******
เครดิต: เรื่อง ชีวอโรคยา นำมาจาก ไทยสมุนไพร.net อ้างอิง คุณวิโรจน์ แก้วเรือง ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์หม่อนไหม และ ฐานข้อมูลสมุนสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772



ใบหม่อน


ว่านหางจระเข้ ลบรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว รักษาการอักเสบต่าง ๆ ทำให้สิวแห้งหลุดง่าย

ว่านหางจระเข้ ลบรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว รักษาการอักเสบต่าง ๆ ทำให้สิวแห้งหลุดง่าย ลดหน้ามัน บำรุงผมและหนังศีรษะ

การใช้ในเครื่องสำอางและสรรพคุณทางยา
ลบรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ ใช้ทาลดความมันบนใบหน้า ลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว รักษาการอักเสบต่าง ๆ ทำให้สิวแห้งหลุดง่าย

วิธีใช้ โดยนำใบว่านหางจระเข้ขนาดพอเหมาะมาปอกเปลือกออกให้เกลี้ยงล้างด้วยน้ำสะอาดให้หมดยาง ตาเอาเฉพาะวุ้นใส ๆ ทาบาง ๆ ตอนเช้าและก่อนนอน นาน 6 เดือน ทำให้ ผิวหน้ามีน้ำมีนวล ไร้รอยสิวและรอยแผลเป็น

บำรุงผมและหนังศีรษะ
ใช้สระผมช่วยบำรุงหนังศีรษะ ป้องกันผมร่วง และช่วยลดความมันของเส้นผมได้ ลดอาการคัน ไม่มีรังแค และทำให้ผมไม่หงอกเร็วโดนนำว่านหางจระเข้ที่แก่มาปอกเปลือกเอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้นนำมาบดใช้ 2 ช้อนโต๊ะ ขยี้ผมให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด

ตำราไทยใช้น้ำยางสีเหลืองจากใบ เคี่ยวให้แห้งเรียกว่า ยาดำ เป็นยาระบาย วุ้นสดของใบใช้ปิดขมับแก้ปวดหัว ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลไหม้เกรียมจากแสงแดนและการฉายรังสี แผลสด แผลเรื้อรัง ใช้กินรักษาแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในเครื่องสำอาง เช่น แชมพูสระผม สบู่ และครีมกันแดด

สารสำคัญ
ในยางมี แอนทราควิโนน
ในวุ้นมี กลับโคโปรตีน aloctin A สลายตัวง่ายเมื่อถูกความร้อน
ข้อควรระวัง
1. การใช้ว่านหางจระเข้เป็นเวลานาน ๆ ติดต่อกัน ทั้งโดยการรับประทานหรือใช้ภายนอก อาจเกิดอาการแพ้เป็นผื่นคันได้ จึงไม่ควรใช้ติดต่อกันนาน ๆ
2. สารในวุ้นของว่านหางจระเข้สลายตัวได้ง่ายและรวดเร็วจึงควรเก็บไว้ในตู้เย็น หรือเตรียมใหม่สด ๆ ก่อนใช้

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Aloe barbadenisi Mill. วงศ์ Liliaceae
1. indica Royle
2. vera Linn.
ชื่ออังกฤษ
Aloe, Star Cartus< Aloinชื่อท้องถิ่น ว่านไฟไหม้ (เหนือ) หางตะเข้ (กลาง)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ส้มลุกอายุหลายปี สูง 0.5-1 เมตรข้อและปล้องสั้น ใบ เป็น ใบเดี่ยว เรียงรอบต้น กว้าง 5-12 เซนติเมตร ยาว 30-80 เซนติเมตร อวบน้ำมาก สีเขียวอ่อนหรือสีเขียวเข้ม ภายในมีวุ้นใสใต้ผิว สีเขียวมีน้ำยางสีเหลือง ใบอ่อน มีประสีขาว ดอกเป็นช่อออกจากกลางต้น ดอกย่อย เป็นหลอดห้อยลงสีส้ม บานจากล่างขึ้นบน ผล เป็นผลแห้ง แตกได้

******* *******
ปัจจุบันมีผู้ผลิตแชมพู สบู่ ครีม เจลหรืออื่นๆ จากว่านหางจระเข้มากมาย มีจำหน่ายตามร้านค้าผลิตภัณฑ์ธรรมชาติทั่วไป

ประกาศจากแอดมิน: คุณสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ธรรมชาติบำบัดได้ที่ไหน???...

ชีวอโรคยา แบ่งปันข้อมูลเพื่อสุขภาพ ไม่ใช่เพจขายผลิตภัณฑ์นะคะ ปัจจุบันมีสมุนไพรแปรรูป - ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากธรรมชาติจำหน่ายตามร้านค้าเพื่อสุขภาพทั่วไป หากท่านหาซื้อไม่ได้ กรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ Health me Shop
เพจ ที่ชมรมชีวอโรคยา มอบหมายให้สมาชิกชมรมจัดทำขึ้นเพื่อจัดหาสมุนไพรจำหน่ายสำหรับผู้ที่ไปหาซื้อด้วยตนเองไม่ได้ ติดต่อ Health me Shop ได้ที่ลิ้งค์นี้นะคะ

www.facebook.com/healthmeshop999

******* *******
เครดิต: เรื่อง ชีวอโรคยา เรียบเรียงจาก ไทยสมุนไพร.net ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

7 วิธีทำให้ชีวิตมีความสุข


1.ต้องรู้จักเป็นผู้ให้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ ความรู้ น้ำใจ ข้อแนะนำ หรือสิ่งอื่นใดก็ได้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับ พระพุทธเจ้าบอกว่า "ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้" นั่นก็หมายความว่า ใครก็ตามเป็น "ผู้ให้" ย่อมสร้างไมตรีให้เกิดขึ้นในใจของผู้รับ ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีและเป็นมิตรต่อกัน

2.กัลยาณมิตร การมีเพื่อนที่ดีย่อมทำให้ชีวิตของเรามีความสุข ดั่งในยุทธจักรเขาว่า "ท่ามกลางลมหนาวและพายุร้าย หากที่นั่นมีสหายทั้งหมดจะกลายเป็นลมหายใจอันอบอุ่นที่ซึ่งมิตรแท้จะอบอุ่นและเจิดจ้าตลอดกาล"

3.ดำรงชีวิตแบบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ รู้จักความเพียงพออย่าตกเป็นทาสลัทธิบริโภคนิยม ที่ต้องวิ่งไล่ตามโลกไม่ได้หยุดหย่อน ดั่งในยุทธจักรเขาบอกว่า "ในโลกนี้มีแต่คนรู้จักพอ จึงสามารถได้ลิ้มรสความเบิกบานที่แท้จริง"

4.อย่าหวังมากเกินไป จงตั้ง "ความหวัง" ในสิ่งที่เป็นไปได้และไม่ยากจนเกินความสามารถของเรา และหากไม่ได้ ดั่งหวังก็ต้อง "หัดปลง" เสียบ้าง ในยุทธภพจึงสอนว่า "คนผู้หนึ่งขอเพียงปลงได้ตก ในโลกก็ไม่มีเรื่องใดควรดูให้ปวดร้าวกลัดกลุ้มอีก"

5.ละความโกรธ เกลียด ลงบ้าง ให้ใช้หลักเมตตาและให้อภัยโดยเฉพาะกับคน หรือสัตว์ หรือหากยังทำใจเมตตาไม่ได้ อย่างน้อยก็วางเฉย คิดเสมอว่าอย่าให้สิ่งเหล่านี้มามีอิทธิพลเหนือจิตใจเรา

6.รักและพอใจในงานที่ทำ เพราะมันเป็นส่วนสำคัญและกินเวลาเกือบครึ่งค่อนของชีวิตเรา หากเราไม่ "รักงาน" ของเราแล้ว ชีวิตที่เหลือคงเป็นทุกข์ไม่จบสิ้นและเราก็ต้องจมปลักกับความเบื่อที่ยาวนาน

7.ทำตน "ใฝ่รู้" อยู่เสมอ เช่น อ่านหนังสือทุกชนิด เรียนคอมพิวเตอร์ อบรมภาษา ฯลฯ เพราะจะทำให้เราไม่ล้าสมัย หรือตกยุค แต่จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลา ไม่เป็นคนอมทุกข์ เหงาหงอย เพราะมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีเข้ากับใครก็ได้

เคล็ดลับง่ายๆ ในการทำให้ชีวิตมีความสุขไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
******* *******
เครดิต: เรื่อง ชีวอโรคยา นำมาจาก ข่าวสดออนไลน์ โดย ทวี มีเงิน ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

9 วิธีเป็นคนเจ้าเสน่ห์ที่แสนสุข


หลายคนอาจมั่นใจในตัวเองว่าเป็นคนมีเสน่ห์ และถูกแวดล้อมด้วยคนรอบข้างตลอดเวลา แต่แน่ใจหรือว่า คุณเป็นคนเจ้าเสน่ห์ที่มีความสุข ในชีวิตจริงๆ ไม่ใช่แค่คนมารุมล้อมคุณเพราะการที่คุณลงทุนทุ่มเงิน หรือสิ่งตอบแทนให้เขาเหล่านั้น "หนังสือ 104 วิธีสู่การเป็นคนน่ารัก" ได้ให้แง่คิดการมีชีวิตแบบเป็นสุข จนอดหยิบยกมานำเสนอให้กับสาวเจ้าเสน่ห์ที่อยากมีความสุขที่แท้จริงไม่ได้ว่า จริงๆ แล้ว การหันมามองตัวเองเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเองมากที่สุด
1. สร้างเป้าหมายให้กับชีวิต
ดัชนีที่สามารถใช้ชี้วัดความกระตือรือร้นและพลังชีวิตของแต่ละคนคือ ความสามารถในการสร้างเป้าหมายในชีวิต ลองถามตัวเอง ให้แน่ในเกี่ยวกับเป้าหมายระดับต่างๆ ที่ตั้งไว้ เพราะสิ่งนั้นควรจะเป็นเรื่องที่เราต้องการจริงๆ มีเวลาและพลังงานมากพอ รวมทั้งคุ้มค่าต่อ ความพยายามที่แลกไป เป้าหมายในระดับสูงน่าจะเป็นสิ่งสะท้อนถึงคุณค่าที่เรายึดถือในชีวิตอย่างแท้จริง เพื่อที่ว่าจะได้เกิดแรงผลักดัน ในการไปให้ถึง

2. กำหนดแต่ละก้าวสู่จุดหมายให้ชัดเจน
แต่ละก้าวที่เรามุ่งไปสู่จุดหมาย เมื่อสิ้นสุดภารกิจแต่ละขึ้นตอน สูดหายใจลึกๆ และทบทวนอีกครั้งว่าก้าวต่อไปจะแตกต่างจากเดิมอย่างไร ด้วยวิธีนี้จะทำให้เรามองเห็นขึ้นต่อไปชัดเจนขึ้น และมีพลังงานสำรองมากพอที่จะลุยไปข้างหน้า หากเป้าหมายที่วางไว้เป็น สิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อนเลยในชีวิต ลองปรึกษากับคนที่ประสบความสำเร็จมาก่อน ใช้คำแนะนำและชัยชนะของพวกเขา มาเป็นแรงกระตุ้นที่มีประโยชน์สำหรับเรา แล้วทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

3. รักษาทัศนคติในแง่บวกและความกระตือรือร้นเอาไว้ให้ดี
กฎทองที่ควรมีไว้เตือนใจตัวเองเป็นประจำคือ พยายามเพ่งมองผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งต่างๆ ที่เรากำลังทำอยู่ในแง่ดี มากกว่ามองในแง่ลบ แล้วสิ่งนี้เองที่จะสะท้อนไปถึงสิ่งแวดล้อมในการทำงาน ที่คุณจะสามารถเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้เป็นอย่างดี ทำให้มีความสุขใน การทำงานเพิ่มขึ้น

4. รู้จักใช้ศิลปะในการวิพากษ์วิจารณ์
อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้พ้นทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงานคือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งที่เราเป็นผู้กระทำและเป็นฝ่ายถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นมุมไหนก็ตาม ศิลปะในการวิพากษ์วิจารณ์ที่สร้างสรรค์มีกฎง่ายๆ อยู่ไม่กี่ข้อ คือ มีจุดประสงค์ในการวิจารณ์ที่เสนอ ทางออก ที่เป็นจริง รวมทั้งให้คำแนะนำที่ดีในการแก้ปัญหา ในการวิพากษ์วิจารณ์ควรทำเป็นส่วนตัวไม่ใช่ในที่สาธารณะ และคำนึงถึง ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนต่างๆ ด้วย หากทำได้ตามขั้นตอนเหล่านี้ การวิพากษ์วิจารณ์นั้นๆ จะให้ผลในแง่ดี

5. พูดคำว่า "ไม่" เสียบ้าง เพื่อลดความเครียดลง
ดูเหมือนว่าความเครียดส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาจากการปฏิเสธคนไม่เป็น หรือการไม่พูดคำว่า "ไม่" ออกไปชัดเจน ในบาง สถานการณ์โดยเฉพาะในชีวิตการทำงาน การปฏิเสธในเวลาที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรือทำให้ดูไร้น้ำใจเสมอไป เพียงแต่ต้อง เลือกวิธีการและจังหวะเวลาให้ดี ปฏิเสธอย่างชัดเจนในกรณีที่ทำไม่ได้จริงๆ พูดสั้นๆ แค่ "ไม่ค่ะ ขอบคุณมาก" แต่ในบางกรณีอาจปฏิเสธพร้อมเหตุผลสั้นๆ เช่น "ไม่สะดวกค่ะ ต้องรีบเตรียมรายงานสำหรับวันพรุ่งนี้" การมีท่าทียิ้มแย้มจะทำให้การปฏิเสธนั้นไม่ดูก้าวร้าว

6. มองหาศรัทธาในชีวิต
ในชีวิตคนเราจำเป็นต้องมีศรัทธาต่อบางสิ่งอยู่เสมอ ศรัทธาคือความเชื่อมั่นหรือการให้คุณค่าต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นความหมายและคำอธิบาย ต่อการได้เกิดมามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ง่ายๆ อย่างเช่นความศรัทธาที่มีต่อศาสนา ซึ่งถ้าเราจะยึดถือในเรื่องศาสนาได้อย่างพอดีก็นับเป็นเรื่องดีมาก เมื่อมีศรัทธาแล้ว ก็หันมายอมรับและพอใจกับตัวเอง ด้วยการค้นหาความสำเร็จสูงสุดในชีวิตให้เจอแล้ว แล้วมีความพอใจกับมัน แค่นี้ความพอใจในชีวิตก็จะเกิดขึ้นเอง

7. ดูแลสุขภาพกายใจให้ดีอยู่เสมอ
อย่าหลงลืมเป็นอันขาด การดูแลสุขภาพกายและใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ เป็นเรื่องพื้นฐานที่เราต้องทำให้เป็นวินัยไปชั่วชีวิต เพราะเมื่อ สุขภาพดี เป็นเบื้องต้นแล้ว เท่ากับว่าต้อนทุนชีวิตของเรามีตุนอยู่เต็มกระเป๋า โดยเริ่มด้วยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่ามัวคุมอาหารจนผอมหัวโต ออกกำลังกายเป็นประจก อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 20 นาที และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ คุณภาพชีวิตเต็มร้อยแน่นอน

8. อิ่มใจกับความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต
ไม่จำเป็นเสมอไปที่ความอิ่มเอิบใจ จะมาจากความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เพราะมีตัวอย่างหลายต่อหลายเรื่องที่ทำให้เห็นว่า ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ต่างหากที่จะนำไปสู่ชัยชนะที่สูงที่สุดในชีวิต ดังนั้นลองหันมาชื่นชมกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำสำเร็จดูบ้าง หากรู้จักอิ่มใจแล้ว ทีนี้ก็มอบความรักให้กับผู้อื่นด้วยการให้อภัย และพร้อมที่จะยกโทษให้คนรอบข้างได้เสมอ

9. ฟื้นฟูคุณค่าให้ตัวเอง ในวันที่แสนท้อแท้
คงจะมีบ้างในบางวันที่รู้สึกล้มเหลวและเป็นผู้แพ้ แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองหมดแรงนอนซม หรือตามใจตัวเองผิดๆ ด้วยการกินอย่าง ไม่บันยะบันยัง ดังนั้นลองหาวิธีง่ายๆในการสร้างกำลังใจให้ตัวเอง เช่น ใช้เวลายามเย็นเดินชมสวน โทรคุยกับเพื่อนเก่าที่มีคำพูดดีๆ ให้เราเสมอ

******* *******
เครดิต: เรื่อง ชีวอโรคยา นำมาจาก novabizz.com ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

รู้หรือไม่ ในบ้านเรามีขยะอันตรายอะไรบ้าง


ขยะอันตรายจากชุมชน มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Household Hazardous Waste มักพบได้จากกิจกรรมต่าง ๆ ภายในชุมชน ทั้งจากบ้านเรือน ที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน ร้านค้าต่าง ๆ

ทั้งนี้ ให้ลองสำรวจผลิตภัณฑ์ในบ้านว่า มีผลิตภัณฑ์ประเภท ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ หลอดไฟ น้ำยาทำความสะอาด ยาและเครื่องสำอางหมดอายุ น้ำยาทาเล็บ น้ำยาเปลี่ยนสีผม กระจกเงา กระป๋องสเปรย์ ยาฆ่าแมลง สีทาบ้าน น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก ตัวทำละลาย ทินเนอร์ กาว ปากกาเคมี หรือไม่ ผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์เหล่านี้ ล้วนเป็นอันตราย เพราะมีสารเคมีที่มีคุณสมบัติกัดกร่อน สารที่ทำปฏิกิริยาเคมีหรือระเบิดได้ สารเคมีที่ติดไฟได้หรือสารที่มีความเป็นพิษ

แม้ว่าเราจะใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ตามคำแนะนำในฉลากผลิตภัณฑ์ แต่ก็อาจจะเป็นอันตรายหากใช้อย่างขาดความระมัดระวัง หรือลืมไปว่าเรากำลังใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารอันตรายอยู่ อุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บจากผลิตภัณฑ์ในบ้านสามารถเกิดได้ หากวางทิ้งไว้ในที่เด็กเล็กสามารถหยิบฉวยได้ หรือมีการใช้ผลิตภัณฑ์อยู่ใกล้กับเครื่องดื่มหรืออาหาร

นอกจากนี้ มีผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่มีสารระเหยหรือละอองที่สามารถทำความระคายเคืองต่อปอด ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่มีสารอันตรายอาจเป็นสาเหตุของการบาดเจ็บจากการเผาไหม้ การเจ็บป่วย ตาบอด และอาจถึงแก่ชีวิต

เมื่อผลิตภัณฑ์ที่มีสารอันตรายหมดอายุหรือไม่ต้องการใช้แล้วจะถูกทิ้งเป็นขยะอันตรายจากบ้านเรือน ซึ่งอาจมีจำนวนน้อยหากเทียบกับขยะทั่วไป แต่เป็นขยะที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก

ขยะอันตรายจากบ้านเรือนเหล่านี้ หากมีการทิ้งรวมกับขยะทั่วไป อาจเกิดการติดไฟหรือระเบิดได้ ขณะเดียวกันคนงานเก็บขยะอาจได้รับอันตรายจากไอระเหยหรือจากการสัมผัสสารเคมีได้ นอกจากนี้ การนำไปฝังกลบรวมกับขยะทั่วไป สารอันตรายจะสามารถปนเปื้อนสู่น้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นแหล่งในการใช้ผลิตน้ำอุปโภคบริโภคของเราได้

ภาพ: ตัวอย่างขยะอันตรายที่พบเป็นประจำในบ้านเรือนของเรา

******* *******
เครดิต: เรื่อง – ภาพ ชีวอโรคยา นำมาจาก สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

การรักษาภูมิแพ้ด้วยธรรมชาติบำบัด

การรักษาภูมิแพ้ด้วยธรรมชาติบำบัด
อาการภูมิแพ้มีอะไรบ้าง

1. แพ้อากาศ หวัดเรื้อรัง (Allergic rhinitis)ตอนเช้ามีน้ำมูก มีเสมหะในคอตลอดเวลา
2. หอบหืด (Asthma) เป็นโรคในกลุ่มภูมิแพ้ต่อตัวเอง เนื้อเยื่อในหลอดลมจะบวม หลอดลมตีบ หายใจลำบาก
3. ภูมิแพ้ของตาและหู (Allergic conjunctivitis) จะมีอาการคัน ระคายเคือง แสบเคืองตา มีตุ่มเม็ดเล็กอยู่ในหูหรือหูอื้อ น้ำหนวก
4. ผื่นแพ้ (Urticaria, Dermatitis, Eczema) หรือลมพิษ คือโดนสารที่ระคายเคือง จะเกิดผื่นขึ้นมา
5. แพ้อาหาร (Food allergy) เช่น แพ้อาหารทะเล
6. แพ้แมลงและปฏิกิริยาแอนาฟัยแลคติก (Anaphylactic) ที่พบมากคือ แพ้แมลงสาบ
7. แพ้ยา (Drug allergy)

แพ้อากาศ หวัดเรื้อรัง (Allergic Rhinitis)
- พบบ่อยที่สุด 20 % ของเด็กจะมีอาการเมื่ออายุ 2- 3 ปี 30 % จะมีอาการต่อมาจนถึงวัยผู้ใหญ่

- พบมากขึ้นเรื่อยๆ 50 % ประชากรในสังคมที่พัฒนาแล้วและกลายเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของโรคเรื้อรังที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน
ในปี 1987 ค่ายาต่างๆ รักษาภูมิแพ้อากาศคิดเป็นเงินทั้งหมด 1 พันล้านดอลลาร์ในอเมริกา ถ้าเป็นมาก คิดเป็นจำนวนคนที่ขาดงาน 800,000 กว่าวัน หรือเป็นเด็กขาดเรียน 800,000 กว่าวัน
สาเหตุ จากสารที่กระตุ้นทำให้แพ้ ได้แก่ ไรฝุ่น ปีกแมลงสาบ เกสรดอกไม้ กระบวนการภูมิต้านทานของเราเอง เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เจอกับสารแปลกปลอมแล้วมันจะจำเอาไว้ว่าเป็นสารแปลกปลอมที่ต้องกำจัดทิ้ง เผอิญสารแปลกปลอมนี้ไปคล้ายกับสารที่มีอยู่ในตัวเราเอง ฉะนั้นแทนที่มันจะไปจัดการสารแปลกปลอมนั้น แต่กลับไปจัดการกับสารในร่างกายของเราเอง ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ อีกตัวหนึ่งที่สำคัญคือ Immuglobullin E (IgE) ถ้าเป็นภูมิแพ้มาก จะตรวจพบ IgE สูง และอีกตัวที่เข้ามาเกี่ยวข้องคือ Mast cell อยู่ที่ผิว มีสารฮีสตามีน Histamin ผลิตออกมา คนที่แพ้ผื่นพิษ จะแก้โดยการกินยาแอนตี้ฮีสตามีน (Anti histamine) ซึ่งเป็นตัวที่ต้านกับสารที่ Mast cell ผลิตออกมา เป็นทฤษฎีที่การแพทย์แผนปัจจุบันนำมาใช้ แต่ในมุมมองของธรรมชาติบำบัด นอกจากในเรื่องของปัจจัยนี้ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยภายใน เราทำอะไรไม่ได้ เป็นภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นภายในตัวของเราเอง เราต้องกินยากดอาการแพ้ไปเรื่อยๆ แต่สาเหตุที่น่าสนใจคือ ออกซิเดตีบ สเตรส (Oxidative Stress)คือปฏิกิริยาอนุมูลอิสระ จากประชากรที่เป็นภูมิแพ้จำนวนไม่น้อย ไม่ได้เป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เด็ก จะเกิดจากการทำงานหนัก, อดหลับอดนอน, กินไม่ดี, อยู่ในที่ที่มีมลพิษมาก ที่ทำงานสูบบุหรี่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอนุมูลอิสระ

อนุมูลอิสระ คือสารตัวหนึ่งที่อิเล็กตรอนหายไป 1 ตัว ซึ่งสารในโลกนี้จะอยู่ได้ต้องมีอิเล็กตรอนครบคู่ ถ้าสารตัวนั้นขาดอิเล็กตรอนไป 1 ตัว จะอยู่ไม่ได้ จะต้องขโมยอิเล็กตรอนจากที่อื่นมา ในร่างกายของคนใดก็ตามที่มีอิเล็กตรอนอยู่มาก อนุมูลอิสระจะขโมยอิเล็กตรอนจากโมเลกุลที่อยู่ในร่างกาย ถ้าขโมยได้โมเลกุลนั้นก็จะผิดรูปร่าง ถ้าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นกับโปรตีนของเรา จะเกิดปัญหา คือร่างกายของเราสามารถจำโปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้นทุกชนิด จะไม่ทำร้ายโปรตีนนั้น แต่ถ้าเจอโปรตีนแปลกปลอม หรือสงสัยว่าเป็นแบคทีเรียจะกำจัดทิ้ง หรือเจอโปรตีนแปลกปลอมที่เซลล์มะเร็ง ต้องกำจัดทิ้ง ในคนปกติที่ไม่เป็นมะเร็งไม่มีเชื้อโรคเข้ามา แต่มีอนุมูลอิสระอยู่มาก ซึ่งอนุมูลอิสระจะไปทำให้โปรตีนเสียรูปร่าง ปรากฏว่าเม็ดเลือดขาวมาพบโปรตีนนี้ สงสัยว่าไม่ใช่โปรตีนของตนเอง แต่เป็นเชื้อโรค จะส่งเม็ดเลือดขาวไปทำลาย ทำให้เกิดอาการอักเสบบวมเกิดขึ้น ถ้าเกิดที่โพรงจมูกทำให้เยื่อจมูกเราบวม เกิดเป็นภูมิแพ้อากาศ แต่ถ้าเหตุการณ์ไปเกิดที่หลอดลม ทำให้เยื่อบุหลอดลมบวมจะเป็นหอบหืด หรือถ้าไปเกิดที่ข้อ จะเป็นข้ออักเสบ รูมาตอยด์ต่างๆ ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั้งตัว จะเป็น SLE ภูมิแพ้ทั้งระบบ ฉะนั้นในมุมมองธรรมชาติบำบัด อนุมูลอิสระสามารถหลีกเลี่ยงได้ อาการภูมิแพ้จะดีขึ้นหรือ อนุมูลอิสระมีสารบางอย่างใช้สู้อนุมูลอิสระได้ ถ้าเราใช้สารประเภทนี้เข้ามาช่วยรักษา มันจะไปสะท้านฤทธิ์กับอนุมูลอิสระทำให้โปรตีนไม่เสียรูปร่าง อาการภูมิแพ้จะดีขึ้น จะเป็นทฤษฎีการรักษา

อาการและอาการแสดง
- คันจมูก (Itching) อาจร่วมกับ คอ ตา ผิวหนัง ก็ได้
- น้ำมูกไหล (Runny nose)
- การรับกลิ่นเสียไป (Impaired smell)
- จมูกตัน (Nasal congestion)
- ไอ (Coughing)
- ปวดศีรษะ (Headache)
- น้ำตาไหล (Tearing eyes)
- หายใจเสียงดัง (Sneezing wheezing)

การวินิจฉัย
- ซักประวัติ ตรวจร่างกาย
- Skin Test คือ การทดลองโดยนำเข็มสะกิดตามผิวหนังให้เป็นแผล และเอาสารที่คนส่วนใหญ่แพ้ไปหยอดตามแผล ถ้าบวมแดงมากตรงจุดไหนแสดงว่าเราแพ้สารตัวนั้น แต่ Skin test ไม่จำเป็นต้องทำทุกราย ทำเพื่อให้ทราบว่าเราแพ้อะไรเท่านั้นเอง การปฏิบัติตัวต้องดูแลตนเอง

การรักษา
1.หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ แต่คนไทยมักแพ้อาหาร นมวัวมาก ลองหลีกเลี่ยงนมวัวระยะหนึ่ง รวมไปถึงผลิตภัณฑ์จากนมวัวทุกชนิด ไอศกรีม คอฟฟี่เมต อาการภูมิแพ้จะดีขึ้นมาก เรานิยมบริโภคนมวัวเพราะมีแคลเซียมมาก ต้องการโปรตีน อาจหาแคลเซียมจากแหล่งอื่นแทน เช่นนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม, ปลาเล็กปลาน้อย,งาดำวันละ 3 ช้อนโต๊ะเท่ากับแคลเซียมที่ต้องการใน 1 วัน ต้องเป็นงาดำบดเพราะแคลเซียมจะดูดซึมได้

2. รักษาด้วยยา
- Antihistamin (แอนตี้ฮีสตามิน) เด็กที่กินยาแทนที่ฮีสตามินจะมีผลข้างเคียง ทำให้เบื่ออาหาร ,ตัวจะเล็ก
- Steroids (สเตียรอยด์) ใช้ระยะยาวไม่ดี จะกดภูมิต้านทาน จะกดภูมิต้านทานจะทำให้อ้วนฉุได้
- Decongest anis ยาพ่นจมูก

3. Immunotherapy (อีมโมโนเธอราพี) เป็นการปรับภูมิต้านทาน คือทำให้ร่างกายชินกับสารแพ้ชนิดนั้น ตอนแรกถ้าแพ้มากให้สารนั้นปริมาณน้อย ถ้าชินแล้วจึงใส่เพิ่มจนสามารถทนระดับของสารแพ้ตัวนั้น

ธรรมชาติบำบัดรักษาภูมิแพ้
1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เช่น ขนสุนัข, ควันบุหรี่, เกสรดอกไม้, ฝุ่นในบ้าน,นมวัวและผลิตภัณฑ์จากวัว

2. ปรับอาหาร โดยการกินอาหารที่ต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี คนเราสร้างวิตามินซี ไม่ได้ ไม่เหมือนสุนัข, แมว ซึ่งสร้างวิตามินซีได้ วิตามินซีจะอยู่ในอาหารประเภทเปรี้ยว , ฝาด, คือ ผัก ผลไม้ที่สดๆ อนุมูลอิสระอีกกลุ่มหนึ่ง คือ วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ซึ่งอยู่ในผักผลไม้ที่มีสีเขียวจัด , สีเหลือง, สีแดง,สีม่วง, แครอทมีเบต้าแคโรทีน แต่มีไม่มาก แครอท 100g มีวิตามินเออยู่ 1,144 อินเตอร์เนชั่นแนลยูนิต แต่ที่มีเบต้าแคโรทีนมาก คือ ผักเหลียง ,ผักปัง,ผักขี้เหล็ก 100 g มีวิตามินเอ 43,333 อินเตอร์เนชั่นแนลยูนิต มากกว่าแครอท 40 เท่า วิตามินอีกตัวที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินอี ซึ่งมีอยู่ในเมล็ดธัญพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน,เมล็ดฟักทอง,จมูกข้าว ฉะนั้นควรกินข้าวกล้องจะมีจมูกข้าวมาก คนที่เป็นภูมิแพ้ถ้าอยากหายควรกินข้าวกล้อง น้ำผลไม้สดวันละ 2 แก้ว

3. การออกกำลังกาย ต้องสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3 วันๆละ ½ ชั่วโมง ทำให้ภูมิแพ้ดีขึ้น

4. เพิ่มภูมิต้านทาน เช่น อบสมุนไพร ,ซาวน่า .อาบแสงตะวัน เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจะมีไข้ ไข้ไม่ใช่สิ่งที่เชื้อโรคสร้างขึ้นมา แต่เป็นสัญญาณเพื่อกระตุ้นให้ภูมิต้านทานออกมาทำงานให้สมดุลขึ้น แต่ถ้าเราปกติ สามารถกระตุ้นให้ภูมิต้านทานทำงานโดยการทำให้มีไข้ โดยไปอบซาวน่าหรืออาบแสงตะวัน ร่างกายจะเหมือนมีไข้ ภูมิต้านทานจะออกมาทำงาน แสงแดดควรเป็นช่วงบ่าย หันหน้า-หลัง ข้างละ 10 นาที หรืออาบน้ำอุ่นสลับน้ำเย็นอย่างละ 1 นาที สัก 2-3 รอบก็ได้

ธรรมชาติบำบัดรักษาภูมิแพ้
1. วิตามิน อาจใช้วิตามินเม็ดมาเสริม ถ้ารับประทานผักผลไม้ไม่เพียงพอ
2. การอดล้างพิษ ถ้ามีอนุมูลอิสระ,สารพิษมากใช้วิธีนี้จะได้ผลโดยเฉพาะเป็นภูมิแพ้
3. การสวนล้างลำไส้ เช่นสวนกาแฟ
4. การฝังเข็ม
5. การให้วิตามินระดับสูงทางเส้นเลือดดำ

การอดเพื่อสุขภาพ
การอดมีตั้งแต่สมัยโบราณ มีทุกชาติทุกศาสนา และเป็นสัญชาติญาณการอดของสัตว์ต่างๆ รวมทั้งมนุษย์เรา เช่น การเจ็บป่วย จะเบื่ออาหาร ทางวิทยาศาสตร์จะมี 3 ทฤษฎี ที่อธิบายเรื่องการอดทำไมส่งผลดีต่อร่างกาย

1. ทฤษฎีการถ่ายเทพลังงาน การกินอาหาร จะใช้พลังงานในการย่อยอาหาร ถ้าเราอดอาหาร ร่างกายจะไม่ใช้พลังงาน แต่จะใช้พลังงานในการกำจัดสารพิษแทน

2. ทฤษฎีอนุมูลอิสระ การกินอาหารเหมือนการเอาเชื้อเพลิงเข้าไปในร่างกาย ทุกครั้งที่มีการเผาเชื้อเพลิงจะเกิดอนุมูลอิสระทุกครั้ง เช่น นำฟืนมาจุดไฟ ออกซิเจนจากอากาศมารวมตัวเกิดเป็นไฟความร้อน เผาไหม้เชื้อเพลิงคือฟืนจะหายไป แต่จะเกิดเขม่าควันก็คืออนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับร่างกายของเรา เมื่อกินอาหาร ข้าวและไขมันคือเชื้อเพลิง การหายใจคืออกซิเจนเข้าไปสันดาปเกิดเป็นพลังงาน สิ่งที่เกิดขึ้นเสมอคือ อนุมูลอิสระ ฉะนั้นคนที่กินน้อยอยู่นาน เพราะร่างกายเผาผลาญน้อยลง อนุมูลอิสระจะน้อย สุขภาพจะดี

3. ทฤษฎีขับสารพิษจากลำไส้ใหญ่ โดยที่ลำไส้ใหญ่ มีหน้าที่
1) เป็นที่พักอุจจาระ ลำไส้ใหญ่จะพองตัวเป็นที่เก็บอุจจาระ อาหารทางปากจนถึงทวารหนัก ใช้เวลา 24- 48 ชั่งโมง
2) เป็นทางผ่านของสารพิษ ซึ่งสารพิษต่างๆในร่างกายจะดูดขับโดยตับ แล้วขับออกกับน้ำดี น้ำดีเข้ามาผสมกับกากอาหารที่เหลือจากการย่อย คือ อุจจาระซึ่งมีสีเหลืองของน้ำดี อยู่ด้วย
3) การดูดน้ำกลับ ทำให้อุจจาระเป็นก้อน ปัญหาคือ บางคนท้องผูก 7 วัน อุจจาระดูดน้ำกลับเรื่อยๆ อุจจาระจะแข็ง สารพิษจะดูดกลับไปกับน้ำด้วยทำให้เกิดโรคภูมิแพ้

การอดอาหารมีหลายวิธี ถ้าอดด้วยผลไม้ เราจะได้วิตามินต่างๆ ทำให้ร่างกายขับสารพิษได้ดีขึ้น นอกจากนี้ผลไม้จะมีเส้นใยสูง จะทำหน้าที่เหมือนไม้กวาดที่คอยปัดกวาดเอาของเสียออกมาได้ดีขึ้น ถ้าอด 7 วัน ร่างกายจะเกลี้ยงเกลาสะอาด

ชนิดของอด
- อดไม่กินอะไรเลย
- อด + กินแต่น้ำเปล่า
- อด + กินแต่น้ำผลไม้
- กินแต่ผลไม้อย่างเดียว

นิยามของการอด
การกำจัดการกินอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน 800 แคลลอรี่ / วัน ซึ่งเป็นพลังงานที่น้อยที่สุดที่ร่างกายต้องการ แหล่งพลังงานสำรองของร่างกายคือ ไกลโคเจนซึ่งอยู่ในกล้ามเนื้อร่างกายจะใช้ไกลโคเจนไปเมื่อไกลโคเจนใกล้หมดร่างกายจะใช้พลังงานแหล่งที่ 2 คือไขมัน ทำให้ผอมลง

ผลไม้สำหรับการอด
ผลไม้เนื้อโปร่งไม่หวาน เช่น มะละกอ , ฝรั่ง, ชมพู่,แตงโม, สับปะรด ห้ามผลไม้หวานจัด เนื้อแป้งเยอะ เช่น ทุเรียน , ละมุด,กล้วย

ระยะต่างๆ ของการอด
ระยะที่ 1 1-6 ชั่วโมง ระยะหิว- ระหว่างที่อดระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงทำให้หิว

ระยะที่ 2 6-18 ชั่วโมง ระยะโหย จะไม่ค่อยมีแรง เริ่มใช้พลังงานจากไกลโครเจนที่ตับและใช้
ไขมัน จนน้ำตาลใน เลือดปกติ อาการหิวจะหายไป

ระยะที่ 3 12-48 ชั่วโมง ระยะซ่านพิษ ระยะนี้อาการจะเป็นมากขึ้น ช่วงสั้นเกิดจากสารพิษสะสมในร่างกาย เป็นสารพิษที่ละลายในไขมัน จะถูกละลายในกระแสเลือด ช่วงนี้อาการภูมิแพ้จะมาก เป็นช่วงที่ควรไปสวนกาแฟ ซึ่งกาแฟจะกระตุ้นให้ตับขับสารพิษออกมาได้ดี ควรผ่านระยะนี้ให้ได้

ระยะที่ 4 เลย 48 ชั่วโมง ระยะปลอดพิษ ระยะนี้อาการภูมิแพ้จะลดลง

ล้างพิษ 10 วัน

วันที่ 1 วันเตรียมตัวอด คือ กินอาหารลดลงทีละหมู่ ในตอนเช้ากินทุกหมู่ มื้อกลางวันให้ตัดหมู่ คาร์โบไฮเดรต งดข้าว มื้อเย็น กินแต่ผัก ผลไม้ กินปลามื้อสุดท้าย เนื่องจากระยะที่ 2 หรือระยะโหย ร่างกายจะเอาไกลโครเจนมาใช้ จะเกิดกรดแลคติก คือ เลือดเป็นกรดมากขึ้น แล้วร่างกายจะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ถ้ากินข้าวมาตลอด เลือดจะเป็นกรดมาก อาการครั่นเนื้อตัวจะมาก ฉะนั้นจึงต้องงดแป้งก่อนมื้อแรก แต่ยังใช้พลังงานจากไขมันหรือโปรตีนอยู่ ความเป็นกรดของเลือดก็จะไม่มาก

วันที่ 2-3 วันอด กินผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน ( เนื้อโปร่ง ไม่หวานจัด) เรียกว่า Mono diet เพราะกินแล้วเบื่อทำให้หยุดกิน และกินอาหาร 1 ชนิด ร่างกายจะหลั่งน้ำย่อยเพียง 1 ชนิด เอาพลังที่เหลือจากหลั่งน้ำย่อยชนิดเดียว ไปขับสารพิษ

วันที่ 4-8 วันกินอิ่ม กินผักผลไม้หลายชนิด เพราะพิษถูกขับไปเกือบหมดอาหารหลักเป็นสลัดผัก, แกงจืดผัก, แกงส้ม, ผัดผัก ไม่ใช่โปรตีน สามารถกินจนอิ่ม ไม่หวานหรือมีน้ำมัน อาจเป็นเมล็ดธัญพืช ½ ช้อนโต๊ะ

วันที่ 9-10 วันเตรียมเลิก กินข้าว 1 มื้อ กินปลา 1 ขีด 1 มื้อ เพราะช่วงนี้ไม่มีน้ำย่อย กินมากจะท้องอืด ปวดท้อง และการอดนี้จะช่วยรักษาโรคกระเพาะ
หลังจากนั้น กินตามปกติ คือ ข้าวกล้อง ผลไม้ ผัก ถ้าทานเป็นประจำสารพิษจะถูกขับสม่ำเสมอ อาการภูมิแพ้จะดีขึ้น ควรอดล้างพิษ 10 วัน นี้ทุก 6 เดือน (ปีละ 2 ครั้ง) แต่สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ควรทำทุกสัปดาห์ ระหว่างนั้นให้ควบด้วยการล้างย่อย โดยการอดล้างพิษแบบ 1 วันทุกสัปดาห์ ใช้วันหยุด มี 4 สูตรให้เลือก คือ

สูตร ตอนเช้า ตลอดวัน วันรุ่งขึ้น
1 น้ำผลไม้ 1 แก้ว + มะละกอ มะละกออย่างเดียว สวนกาแฟหรือน้ำเปล่า 1,600 ซีซี + เกลือแกง 3 ช้อนชา + มะนาว 4 ลูก ดื่มให้หมดทีเดียว ตอนเช้าแล้วจะถ่าย
2 น้ำส้ม 1 แก้ว + มะละกอ กินน้ำส้มอย่างเดียว สวนกาแฟหรือน้ำมะนาว 1 แก้ว
3 น้ำส้ม 1 แก้ว + มะละกอ กินน้ำเปล่า น้ำมะนาว 1 แก้ว
4 น้ำส้ม 1 แก้ว + มะละกอ ไม่กินอะไรเลย น้ำมะนาว 1 แก้ว

การสวนกาแฟจะสวน 2 สัปดาห์ / 1 ครั้ง ถ้าอาการภูมิแพ้ยังเป็นมาก ต้องสวนกาแฟถี่ขึ้น เช่นสวนวันเว้นวัน
ทางศูนย์ธรรมชาติบำบัลวีได้เก็บข้อมูล ผู้ป่วยภูมิแพ้ที่เข้ามาทำการรักษาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2546- 31 ก.ค.2547
โดยมีหลักการการเลือกผู้ป่วยคือ
- เป็นโรคภูมิแพ้อากาศอย่างเดียว หรือร่วมกับอาการอื่นของภูมิแพ้ด้วยเช่น ผื่น อาการคันตา อาการคันคอ เป็นต้น
- มาติดตามการรักษาสม่ำเสมอ จนจบการรักษาครบ 10 ครั้ง
- ไม่มีภาวะแทรกซ้อนด้วยโรคเรื้อรังและรุนแรงอื่นๆ เช่นมะเร็ง ไตวายเรื้อรัง โรคตับเรื้อรัง, เบาหวาน เป็นต้น เพราะอดโดยใช้ผลไม้ไม่ได้

โรคแบ่งระดับการรักษา
- ระดับที่ 1 เป็นไม่มาก ปรับอาหาร,ปรับพฤติกรรม,วิตามินรับประทาน
- ระดับที่ 2 เป็นระดับกลางใช้ตามข้อที่ 1+ การฝังเข็มและสวนกาแฟ
- ระดับที่ 3 เป็นระดับมากใช้ตามข้อที่2+วิตามินซี ระดับสูงทางเส้นเลือดดำ

เกณฑ์ประเมินผล
- กลุ่มผู้ป่วยที่ตอบสนองดีมากต่อการรักษามีอาการดีขึ้น (A) 75% ขึ้นไป โดยไม่ต้องกินยาภูมิแพ้อีกเลย
- กลุ่มผู้ป่วยที่ตอบสนองดีต่อการรักษามีอาการดีขึ้น (B) 50-75 % อาจกินยาภูมิแพ้อยู่บ้าง แต่อาการดีขึ้น
- กลุ่มผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อการรักษาพอใช้ มีอาการดีขึ้น 25- 49 %
- กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามีอาการคงเดิม ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ สามารถปรับพฤติกรรมได้ง่ายใช้ธรรมชาติบำบัดแล้วจะไม่เป็นอีก

******* *******
เครดิต: เรื่อง – ภาพ ชีวอโรคยา นำมาจาก การบรรยายประชุมวิชาการกรมพัฒน์ (วันพุธ) นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล เรียบเรียงโดย : นางชุติมา ปกป้อง กองการแพทย์ทางเลือก
เรื่อง "การรักษาภูมิแพ้ด้วยธรรมชาติบำบัด"
โดย นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล
วันที่ 23 สิงหาคม 2548 เวลา 10.00-12.00 น.
ณ ห้องประชุมเบญจกูล กรมพัฒน์ฯ
ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

ประโยชน์ของผงถ่านไม้ไผ่ /สบู่ถ่านใช้แล้วได้ประโยชน์อย่างไร...อ่าน...


ถ่านไม้ไผ่ (Bamboo Charcoal)
เมื่อกล่าวถึง "ถ่าน" หลายคนคงจะนึกถึงชิ้นไม้ดำๆ ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับหุงต้มอาหารในครัวเรือนเท่านั้น แต่จริงแล้วถ่านมีสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือ สามารถดูดซับกลิ่นเหม็นอับไม่พึ่งประสงค์ต่างๆ ได้ ซึ่งจะเห็นจากการนำถ่านมาใส่ไว้ในตู้เย็น ทำให้ตู้เย็นไม่มีกลิ่นเหม็นคาว ใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้า และตู้โชว์ เพื่อไม่ให้มีกลิ่นเหม็นอับ
สิ่งที่ทำให้ถ่านมีความสามารถในการดูดซับกลิ่นได้ โดยเฉพาะ ถ่านไม้ไผ่ (Bamboo Charcoal) เนื่องจากโครงสร้างของถ่านถ่านไม้ไผ่ มีลักษณะเป็นรูพรุนเล็กๆ มากมาย โดยกลิ่นเหม็นอับต่างๆ จะแพร่เข้ารูพรุนเหล่านี้ ทำให้เกิดการดูดซับกลิ่นเหล่านั้นไว้ตามผนังและในรูพรุน หากถ่านมีรูพรุนมากๆก็จะทำให้ดูดซับกลิ่นได้มากตามไปด้วย

ถ่านไม้ไผ่ (Bamboo Charcoal) ภาษาญี่ปุ่นเรียก ทาเคะสึมิ (takezumi) หรือ คิคุตัน (tikutan) ทำมาจากไม้ไผ่ ( Bamboo ) เป็นถ่านที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตด้วยอุณหภูมิภายในเตามากกว่า 1,000 ºC มีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมมากมาย
ถ่านไม้ไผ่ ที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตด้วยอุณหภูมิภายในเตามากกว่า 1,000 ºC แตกต่างไปจากถ่านทั่วไป หรือแม้แต่ถ่านขาว ( White Charcoal ) หรือบินโจตัน ( Binchotan ) ที่มีผลิตกันมากในประเทศญี่ปุ่นและจีน ปัจจุบันประเทศจีนปิดป่าจึงไม่มีการผลิตถ่านทั้งสองชนิดนี้แล้ว

ถ่านไม้ไผ่ ที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตด้วยอุณหภูมิภายในเตามากกว่า 1,000 ºC มีลักษณะพิเศษ ดังนี้ :-
• มีรูพรุนมากกว่า หากนำมาแผ่กระจายออกเป็นพื้นที่จะได้พื้นที่มากถึง 300 - 700 ตร.ม/กรัม (ถ่านไม้ทั่วไป จะได้พื้นที่ประมาณ 50 ตร.ม/กรัม)
• มีค่าความด้านทานไฟฟ้า ( Resistance ) ต่ำ ( ไม่เกิน 100 โอห์ม )
• มีแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย

จีน และ ญี่ปุ่น ได้ทำการวิจัยถ่านไม้ไผ่ ที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตด้วยอุณหภูมิภายในเตามากกว่า 1,000 ºC พบว่ามีคุณสมบัติพิเศษ สามารถให้กำเนิดและปลดปล่อยประจุลบ ( Negative Ions ) และ อินฟาเรดยาว (Far infrared ray )

จากคุณสมบัติดังกล่าว ถ่านไม้ไผ่ จึงถูกนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในหลากหลายรูปแบบ เป็นที่นิยมมากในประเทศญี่ปุ่นและมีราคาแพง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
http://www.bamboocharcoal.in.th/

วิธีการใช้ผงถ่านไม้ไผ่
ดื่มล้างพิษ
ผงถ่าน 1 ช้อนชา/น้ำ 1 แก้ว คนให้เข้ากันตั้งทิ้งไว้ 5 นาที ดื่มซับสารพิษสารเคมีตกค้างในระบบทางเดินอาหาร (รีบดื่มหลังจากรับพิษ ภายใน 30 นาที จะขับพิษได้ถึง 89%)
ขับแก๊สในกระเพาะ ขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้คลื่นไส้ (ดื่มห่างจากการกินยาปกติ 2-3 ชม. กันถ่านไปดูดซับยา)

ล้างผัก-ผลไม้
ถ่าน 1 ช้อนชา น้ำ 3 ลิตร แช่ 20 นาที แล้วล้างน้ำ ดูดซับสารเคมีตกค้างได้ 85%

พอก-ทาผิว
ผงถ่านผสมดินสอพอง ผสมน้ำพอเป็นเนื้อครีม พอกทาบริเวณที่ต้องการ ช่วยดูดซับพิษ ความร้อนระหว่างชั้นผิว สิวยุบ ลดปวดเมื่อย แก้ผดผื่นคัน ทำสบู่ถูตัว

ขับคลื่นไฟฟ้า ซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ ผงถ่านมีคุณสมบัติปล่อยประจุลบ ช่วยขับคลื่นจากเครื่องใช้ไฟฟ้าและกลิ่นไม่พึงประสงค์ บรรจุใส่ภาชนะขนาดเล็ก วางไว้หลังเครื่องใช้ไฟฟ้า ในตู้ผ้า , ตู้โชว์, ตู้เย็น ,ห้องแอร์
******* *******
ประกาศจากแอดมิน:
ชีวอโรคยา แบ่งปันข้อมูลเพื่อสุขภาพ ไม่ใช่เพจขายผลิตภัณฑ์นะคะ ปัจจุบันมีสมุนไพรแปรรูป - ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจำหน่ายตามร้านค้าเพื่อสุขภาพทั่วไป หากท่านหาซื้อไม่ได้ กรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ Health me Shop
เพจ ที่ชมรมชีวอโรคยา มอบหมายให้สมาชิกชมรมจัดทำขึ้นเพื่อจัดหาสมุนไพรจำหน่ายสำหรับผู้ที่ไปหาซื้อด้วยตนเองไม่ได้ ติดต่อ Health me Shop ได้ที่ลิ้งค์นี้นะคะ
www.facebook.com/healthmeshop999
******* *******
เครดิต: เรื่อง ชีวอโรคยา เรียบเรียงจาก organichealthysoap
ภาพ: ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ
ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 149 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - เทิดไท้องค์ภูมิพล




รายการรักพ่อ149  เทิดไท้องค์ภูมิพล




พบกับ สารคดีเฉลิมพระเกียรติฯ ในหลวง  ตามรอย...สายน้ำพระราชหฤทัย" ตอน กษัตริย์-เกษตร ตอนที่ ๓, สารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน "มิตรประเทศ"
 ฟังเพลง  "ดั่งแสงทองส่องแผ่นดิน" จากโครงการเพลงเฉลิมพระเกียรติคำพ่อสอน ๘๔ พรรษา ,  ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว,  ช่วงบอกรักพ่อผ่านบทกวี, ช่วงคนรักพ่อ พบกับ Dj Nickie English Tutor ฝึกภาษาอังกฤษจากการดูภาพยนตร์,
ชีวิตคือการเดินทาง, นิยมทางลัด - พระไพศาล วิสาโล,

มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

คอเลสเตอรอล – ไตรกลีเซอไรด์ คืออะไร หากภาวะสูงเกินจะกำจัดได้อย่างไร?



คอเลสเตอรอล (cholesterol) เป็นไขมันที่เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ของทุกเนื้อเยื่อในร่างกายและถูกขนส่งในกระแสเลือด คอเลสเตอรอลส่วนใหญ่ไม่ได้มากับอาหาร แต่ถูกสังเคราะห์ขึ้นภายในร่างกาย สะสมอยู่มากในเนื้อเยื่อของอวัยวะที่สร้างมันขึ้นมา เช่น ตับ ไขสันหลัง (spinal cord) สมอง และผนังหลอดเลือดแดง (atheroma)

คอเลสเตอรอลมีบทบาทในกระบวนการทางชีวเคมีมากมาย แต่ที่รู้จักกันดีคือเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหัวใจและระบบหลอดเลือด (cardiovascular disease) รวมทั้งภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง (Hypercholesterolemia)

ร่างกายใช้คอเลสเตอรอลเป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมนเพศทุกชนิด สร้างน้ำดี สร้างสารสเตอรอล ที่อยู่ใต้ผิวหนังให้เป็นวิตามินดีเมื่อโดนแสงแดด คอเลสเตอรอลพบมากในไข่แดง เครื่องในสัตว์ และอาหารทะเล ร่างกายสามารถสังเคราะห์เองได้แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการ

ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 68 กิโลกรัม (150 ปอนด์) จะมีคอเลสเตอรอลประมาณ 35 กรัม โดยร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเองประมาณ 1 กรัมต่อวัน โดยทั่วไปร่างกายของคนไทยควรได้รับคอเลสเตอรอลจากอาหารที่รับประทานเข้าไปไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนที่ร่างกายรับเพิ่มเข้าไปจะถูกชดเชยโดยการลดปริมาณที่สังเคราะห์ขึ้นเอง (อ้างอิง : วิกิพีเดีย)

ปัญหาอยู่ที่ว่าคนส่วนใหญ่บริโภคไขมันที่เป็นคอเลสเตอรอลส่วนเกิน ในปริมาณที่มากเกินไป ถึงแม้ร่างกายจะชดเชยโดยลดปริมาณที่สังเคราะห์ขึ้นเองแล้วก็ตาม เนื่องจากคอเลสเตอรอลอยู่ในรูปไขมันจึงไม่ละลายน้ำ ดังนั้นจึงขนย้ายในกระแสเลือดได้ยาก เหมือนน้ำกับน้ำมันที่ไม่รวมตัวกัน

ร่างกายจึงออกแบบให้ไขมันถูกลำเลียงในกระแสเลือดในรูปแบบการรวมตัว โดยให้โปรตีนเป็นเสมือนพี่เลี้ยงหุ้มไขมันให้อยู่ด้านใน โปรตีนดูดซึมน้ำได้ดีกว่าจึงสามารถพาไขมันไปในกระแสเลือดได้ เราเรียกรูปแบบ ของการรวมตัวนี้ว่า ไลโปโปรตีน (lipoprotein) ไม่เพียงแต่คอเลสเตอรอล ไขมันพวกไตรกลีเซอไรด์ก็ถูกพาไปในกระแสเลือดด้วยไลโปโปรตีนเช่นเดียวกัน

รูปแบบของคอเลสเตอรอลในเลือดที่อยู่ในลักษณะของไลโปโปรตีน (lipoprotein) มีสองชนิดคือ LDL และ HDL ทั้งสองชนิดมีทั้งคุณและโทษหากมีในปริมาณที่ไม่เหมาะสมกับการทำงานในร่างกาย ถ้ามีในปริมาณที่เหมาะสมจะทำให้การทำงานต่างๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

แอล ดี แอล (LDL, Low Density Lipoprotein) มีส่วนประกอบของ คอเลสเตอรอล 45% ทำหน้าที่ขนส่งคอเลสเตอรอลจากตับไปยังผนังเส้นเลือด เนื้อเยื่อไขมัน และกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ถ้ามีจำนวนมากจะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ถ้าสูงเป็นระยะเวลานาน จะเกิดการพอกเกาะติดตามหลอดเลือดที่มีการอักเสบ หากมีการอักเสบอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดการอุดตัน จัดเป็นไขมันชนิดร้าย

การอักเสบที่ทำให้คอเลสเตอรอลมาพอกติดผนังเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดอุดตันนั้น มีสาเหตุสำคัญมาจากการกินน้ำตาล ไขมันประเภทไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน หรือไขมันประเภทผ่านกรรมวิธี วิธีลด LDL คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีคือ กินผักและใยอาหาร ซึ่งจะช่วยดูดซึมคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีออกมา

สาเหตุของโรคหลอดเลือดอุดตัน เป็นที่มาของโรคอีกหลายโรคเช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองแตก ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนในปัจจุบันเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะโรคหัวใจ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจนเป็นอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิตของประชากรโลกในปัจจุบันอันมีสาเหตุเบื้องต้นมาจากโรคหลอดเลือดอุดตัน เป็นเพราะความเข้าใจผิดว่าสาเหตุหลักมาจากตัวคอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวที่อยู่ในกระแสเลือด การเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตัน แท้จริงมาจากการอักเสบของผนังเส้นเลือด และการอักเสบนี้มีสาเหตุจากการบริโภคน้ำตาลและไขมันผิดประเภท

เอช ดี แอล (HDL, High Density Lipoprotein) เป็นไขมันที่สร้างจากตับและลำไส้ ทำหน้าที่ขนส่ง คอเลสเตอรอลจากเซลล์ทั่วร่างกายมายังตับ เพื่อเผาผลาญเป็นน้ำดี หรือนำไปให้ตับสร้าง LDL ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำลง จัดเป็นไขมันชนิดดี การมีระดับ HDL คอเลสเตอรอลชนิดดีสูง จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันได้ เอชดีแอลยิ่งสูงเท่าไหร่ยิ่งดีต่อร่างกาย

วิธีเพิ่ม HDL คือ ออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงภาวะเครียด

******* *******
ไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) คืออะไร
ไตรกลีเซอไรด์ เป็นไขมันในเลือดที่ร่างกายได้จากการสังเคราะห์ขึ้นในตับ จากอาหารส่วนหนึ่ง ไตรกลีเซอไรด์นับเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย โดยได้มาจากอาหารจำพวกแป้งน้ำตาล ไขมันประเภทต่างๆ รวมทั้งโปรตีนที่เหลือใช้จะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ และเก็บสะสมไว้ที่ไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อใช้เป็นพลังงานสำรอง

ไขมันชนิดนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเสื่อมของหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจขาดเลือด อัมพาต อัมพฤกษ์ได้ เช่นเดียวกับการมีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง การมีไตรกลีเซอไรด์ปริมาณสูงทำให้เลือดข้นเหนียว เกิดการจับตัวกันเป็นลิ่มเลือด และอุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะหัวใจและสมอง

ระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงมากๆ อาจจะทำให้เกิดโรคตับอ่อนอักเสบได้ ผู้หญิงที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง จะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม เพราะไตรกลีเซอไรด์ที่สูงไปกระตุ้นให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ไหลเวียนอยู่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเป็นมะเร็งเต้านม

โดยปกติร่างกายขจัดไตรกลีเซอไรด์ออกจากเลือดได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีขนาดเบาบางและเล็กมาก เพียงแค่สองสามชั่วโมงหลังจากการกินอาหาร ไขมันไตรกลีเซอไรด์ส่วนใหญ่จะถูกขจัดออกจากเลือดเข้าสู่เซลล์ได้แล้ว คนทั่วไปมีไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดไม่สูง คือประมาณ 50-150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากตรวจเลือดหลังอดอาหารมาแล้ว 8-12 ชั่วโมง พบว่าไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป แสดงว่าร่างกายมีปัญหาในการขจัดไตรกลีเซอไรด์

เรารู้จักไขมันทั้งสองชนิดคือ คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ แล้วว่ามีประโยชน์และโทษอย่างไรบ้าง ถ้าสามารถควบคุมปริมาณไขมันทั้งสองชนิดนี้ได้ สุขภาพจะดีขึ้น

ปัญหาสำคัญของไขมันทั้งสองชนิดนี้ที่มีต่อสุขภาพคือ มีปริมาณที่เกินความจำเป็นในร่างกาย ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการกินอาหารที่มีไขมันทั้งสองประเภทนี้มากเกิน เกิดภาวะสะสมพอกอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงอยู่ในกระแสเลือดด้วย และที่สำคัญไขมันที่มากเกินนี้ยังมีภาวะปนเปื้อนของสารพิษที่สามารถละลายอยู่ในไขมันนี้อีก อวัยวะบริเวณที่มีไขมันมีพิษไปพอก ก็จะเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายในบริเวณนั้น

การล้างพิษตับ มุ่งเน้นให้ร่างกายสามารถขจัดไขมันส่วนเกินและมีพิษสะสมออกจากร่างกายให้เร็วที่สุด ผ่านทางการผลิตน้ำดีของตับ โดยขจัดให้เร็วกว่าที่จะมีการดูดกลับของน้ำดี

เมื่อพิจารณาองค์ประกอบโดยรวมของน้ำดีแล้วจะเห็นว่า น้ำดีมีไขมันเป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ซึ่งมีไขมันประเภทคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบมากที่สุดถึงกว่าร้อยละ 80 นอกนั้นมีรงควัตถุที่ได้จากการกำจัดเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุแล้วจากม้าม

มีไขมันอีกประเภทคือพวกฟอสโฟไลปิด (phospholipid) เป็นไขมันที่ช่วยในการละลายนิ่ว และทำให้ไขมันไม่เหนียวตัวจับกันแน่น เช่น เลซิติน และมีน้ำเป็นส่วนประกอบ หากเราทำให้น้ำดีที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร (โดยเฉพาะสารอาหารพวกไขมัน) สามารถถูกขจัดออกนอกร่างกายได้จำนวนมากและเร็วจนร่างกายไม่สามารถดูดน้ำดีกลับไปใช้ได้ใหม่ การย่อยอาหารในคราวต่อไปร่างกายจำเป็นต้องหาวัตถุดิบใหม่คือ ไขมันประเภทคอเลสเตอรอลจากส่วนต่างๆ ของร่างกายมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตับ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำดีก็ จะถูกตับดึงคอเลสเตอรอลที่สะสมไว้ออกมาใช้งาน โรคไขมันพอกตับก็จะลดน้อยลง

หากล้างพิษอย่างต่อเนื่องประมาณเดือนละครั้ง ภาวะไขมันพอกตับจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อลดปริมาณไขมันที่พอกในตับลง ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดพังผืดที่จะทำให้ตับอักเสบก็น้อยลง ตับสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ การกำจัดเซลล์เสียหรืออนุมูลอิสระ จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรคมะเร็งจะมีโอกาสน้อยลง หรือไม่มีโอกาสก่อตัวขึ้นในตับ สำหรับสถิติของคนที่เป็นมะเร็งอยู่ก่อนการล้างพิษ หลังจากการล้างพิษแล้ว ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มีภาวะดีขึ้น หลายคนหายจากมะเร็งหากเป็นในช่วงเริ่มต้น

ภาพ: ปริมาณของไขมันแต่ละชนิดที่ควรมีอยู่ในกระแสเลือดเป็นดังนี้
******* *******

สนใจเข้าคอร์สล้างพิษตับกับชีวอโรคยา กรุณาอย่าถามที่ช่องคอมเม้นท์!!! ถามอีก 4 ช่องทางดีกว่านะคะ
* หมายเหตุ: แอดมินอาจไม่เห็นคอมเม้นท์นะคะ สนใจสอบถาม หรือจะเข้าร่วมกิจกรรม โปรดอ่านที่คำบรรยาย คลิกตามไปอ่านข้อมูลที่ภาพแรกหน้าเฟซบุ๊ก ชีวอโรคยาได้เลยนะคะ

www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

มีครบทุกอย่างที่ควรทราบและต้องทราบค่ะ อ่านรายละเอียดแล้วหากสนใจร่วมกิจกรรม สามารถสอบถามราคา-บัญชีโอนเงินเพื่อจองคอร์สร่วมกิจกรรมติดต่อเราได้ 4 ทาง คือ
- สอบถามได้ทางช่องข้อความ (Message)
- ฝากอีเมล์ของท่านเพื่อไว้ในข้อความ (Message)
- อีเมล์หาเราที่ Chivaarokhaya@hotmail.com
- อ่านรายละเอียดจบแล้ว โทรถามราคา-บัญชีโอนเงิน
ได้ที่ 09 0808 0316 รับสาย 09.00-19.00 น.

!!!อย่าฝากอีเมล์ให้ในช่องคอมเม้นท์!!! เนื่องจากจะมีผู้ขโมยอีเมล์ของคุณไปสร้างความรำคาญให้คุณค่ะ

โปรดอ่านศึกษาข้อมูลก่อนโทรมาสอบถามราคาจะดีมากเลยค่ะ เพื่อทราบว่าคุณมีคุณสมบัติเข้าคอร์สได้ไหม และทราบรายละเอียดต่างๆ เนื่องจากรายละเอียดมาก อาจไม่มีเวลาอธิบายได้ครบหมด

******* *******
หาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดโรคต่างๆ ในร่างกายและวิธีการป้องกัน ได้ในหนังสือ “ล้างพิษตับ ดีท็อกซ์ลำไส้” เขียนโดย “ชีวอโรคยา และ วันชัย สุนทรถาวร” สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊กส์ ราคา 180 บาท
หาซื้อได้ที่ ร้านซีเอ็ด /ร้านนายอินทร์ และร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ

หากไม่มีเวลาไปหาตามแผงสั่งซื้อได้ที่เว็บไซต์ต่างๆ ได้มากมายค่ะ อาทิ

แบบหนังสือเล่ม ลดเหลือ 171 บาท
www.se-ed.com/productล้างพิษตับ-ดีท็อกซ์ลำไส้.aspx?no=9786165155892

แบบ E-Book ลดเหลือ 153 บาท
www.mebmarket.com/index.php?action=Publisher&id=54840&name=Nation%20Books

******* *******
เครดิต: เรื่อง – ภาพโดย ชีวอโรคยา และ วันชัย สุนทรถาวร จากหนังสือ “ล้างพิษตับ ดีท็อกซ์ลำไส้” เขียนโดย “ชีวอโรคยา และ วันชัย สุนทรถาวร”

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

รู้หรือไม่? สาวรักแต่งหน้า เสี่ยงสารเคมีสะสมปีละ 2 กิโลกรัม


เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันผู้หญิงถึง 70% แต่งหน้า และในขณะที่เหล่าสาวๆ กำลังสนุกกับการแต่งหน้า มีภัยร้ายตัวหนึ่งแฝงตัวคืบคลานใกล้เข้ามาทุกที รู้กันหรือไม่ว่าในเครื่องสำอางที่ใช้กันอยู่แทบจะทุกวันนั้นมีส่วนประกอบของสารเคมีอยู่ระหว่าง 80 - 90% ซึ่งถ้าหากสาวๆ ไม่ดูแลปกป้องผิวหน้ากันอย่างดีแล้ว นอกจากจะได้ผิวหน้าหมองคล้ำ มีริ้วรอยเป็นของแถมแล้ว ยังเสี่ยงต่อการสะสมสารเคมีในร่างกายถึงปีละ 2 กิโลกรัม ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับผิว ความผิดปกติด้านฮอร์โมน หรือแม้กระทั่งก่อเกิดมะเร็งได้

“ในการแต่งหน้าแต่ละครั้งนั้น ผิวหนังสามารถซึมซับสารเคมีจากเครื่องสำอางเข้าสู่ร่างกายได้ถึง 60% อันเป็น สาเหตุเบื้องต้นของผิวหน้าหมองคล้ำ มีริ้วรอยเหี่ยวย่น เนื่องจากผิวหน้าได้รับออกซิเจนน้อยลงทำให้เซลล์เสื่อม และดูมีอายุก่อนวัย ถึงแม้จะมีการทำความสะอาดเป็นอย่างดีก่อนนอน ดังนั้นยิ่งผู้หญิงยิ่งแต่งหน้าหนามากเท่าไหร่ จะยิ่งสุ่มเสี่ยงต่อการดูแก่ก่อนวัยและผิวหมองคล้ำมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นไม่ควรใช้สำอางมากชนิด ควรใช้แต่พอควร และรีบล้างออกทันทีเมื่อหมดวัน หากทิ้งไว้อาจเป็นต้นกำเนิดของแบคทีเรียต่างๆ ทำให้เกิดการอุดตัน เป็นที่มาของผื่นแพ้และเป็นสิว” นพ.วรพล สุขีวัฒนา หรือ ดร.โทนี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ กล่าว

ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงปัญหาผิวหนังที่เกิดขึ้นทันทีหรือในระยะสั้นเท่านั้น แต่ในระยะยาวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่า ผู้หญิงซึมซับสารเคมีจากเครื่องสำอางทุกชนิดเฉลี่ยปีละเกือบ 2 กิโลกรัม ในขณะที่เอนไซม์ในน้ำลายและ น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารอาจทำลายสารเคมีในลิปสติกได้ แต่ถ้าเป็นเครื่องสำอางที่ซึมซับผ่านทางผิวหนัง และ ทางกระแสเลือดนั้นไม่สามารถป้องกันได้เลยและจะไปสะสมที่ตับ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถกำจัดออกทาง ผิวหนังและการขับถ่ายได้ เป็นสาเหตุของผดผื่น ซึ่งเป็นผลจากการขับพิษตามธรรมชาติออกจากร่างกายทางหนึ่ง เป็นเหตุให้สาวๆ ผู้รักสวยรักงามต้องหันมาใส่ใจและเลือกซื้อเครื่องสำอางกันมากขึ้น โดยให้ความใส่ใจกับส่วน ผสมต่างๆ เพราะสารบางตัวนั้นเป็นต้นเหตุของมะเร็ง บางตัวมีผลทำให้ฮอร์โมนผู้หญิงลดลง ประจำเดือนหมดเร็ว ก่อนจะซื้อเครื่องสำอางจึงควรระวัง 5 อันดับต้นๆ ของสารเคมีที่มีอันตรายต่อร่างกาย ดังต่อไปนี้

1. พาราเบน (Paraben) สารกันเสียที่นิยมใช้อย่างมากในกลุ่มเครื่องสำอางจำพวกผิวหนัง ครีมบำรุงผิวหน้า ครีมทำความสะอาด รวมถึงผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นหรือโรลออน เนื่องจากราคาถูกจึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในรูป ของเมธิลพาราเบน (Methylparaben) และเอธิลพาราเบน (Ethylparaben) มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญ เติบโตของแบคทีเรีย สารเคมีตัวนี้สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและกระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วและง่ายต่อการสะสมในร่างกาย หลายองค์กรจึงรณรงค์ให้หลีกเลี่ยงการใช้พาราเบนที่พบว่าเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิว อาจขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ ทำให้มีความผิดปกติด้านฮอร์โมน (Hormone imbalance) และอาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม

2. ทาล (Talc) เป็นสารเคมีอีกหนึ่งชนิดที่สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ โดยเฉพาะถ้าใช้แหล่งวัตถุดิบไม่ดีอาจเกิด การปนเปื้อนของสารชนิดที่เรียกว่า ‘Asbestos’ แต่ต้องได้รับเป็นจำนวนมากจึงส่งผลร้ายต่อร่างกายได้ ทาลเป็น ส่วนประกอบสำคัญที่พบมากที่สุดในเครื่องสำอางประเภทแป้งตลับ อายแชโดว์ชนิดฝุ่น หรือพวกบลัชออน เป็นต้น โดยทำหน้าที่เป็นสารช่วยหล่อลื่น ทำให้รู้สึกลื่นเมื่อสัมผัส ไม่จับตัวเป็นก้อน

3. Petroleum Derivative เป็นสารเคมีที่ได้มาจากการแยกน้ำมันปิโตรเลียม และถูกนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่อง สำอางหลายประเภท อาทิ ครีมรองพื้น โฟมล้างหน้า ครีมบำรุงผิว เพื่อทำหน้าที่เก็บกักความชุ่มชื่นผิว โดยการ เคลือบผิวไว้ แต่ด้วยความที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่และผ่านกรรมวิธีทางเคมี จึงอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ผิวอุดตันและเกิดสิวได้ และหากสะสมในประมาณมากพอสมควรอาจเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของผิว ทำให้ฮอร์โมนและภูมิคุ้มกันในเพศหญิงอ่อนแอ

4. สารตะกั่ว (Lead) อาจจะปนเปื้อนมาจากการสกัดส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอางเป็นสารต้องห้าม เนื่องจาก หากดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดอาการปวดบิดในท้องอย่างรุนแรงโดยหาสาเหตุไม่พบ ร่วมกับอาการท้องผูก หรือถ่ายเป็นเลือด อาจมีอาการซีด อ่อนแรง เนื่องจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายเร็วขึ้น และลดอัตราการสร้างเม็ดเลือดแดง ระบบประสาททั่วร่างกายผิดปกติ กฎหมายกำหนดไว้ว่าอาจพบสารตะกั่วได้ในอัตราส่วนไม่เกิน 20 ส่วนในล้านส่วนโดยน้ำหนัก หากพบว่าผลิตภัณฑ์ใดมีสารตะกั่วเกินกว่านี้ จะเข้าข่ายเป็นเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัย

5. สารปรอท (Mercury) เป็นสารที่ทำให้เกิดอาการการแพ้หรือระคายเคืองได้อย่างรุนแรง อันตรายต่อระบบ ทางเดินปัสสาวะ ทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ และไตอักเสบ มักพบในเครื่องสำอางที่ทำให้สีผิวจาง ลดสิว ฝ้า กระ และจุดด่างดำ ที่ไม่ได้มาตรฐาน สารปรอทสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น สูดดมเข้าทางปอด หรือถูกดูดซึม ผ่านทางลำไส้เล็กหากมีการกลืนกินเข้าไป แม้แต่การทาที่ผิวหนังสารปรอทก็จะถูกดูดซึมเข้าไปสะสมในร่างกาย

ทางที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีสารจำพวกนี้ ใช้เครื่องสำอางพอควรไม่มากชนิด และควรทำความ สะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดทุกครั้ง หรือหากเลี่ยงไม่ได้ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่สามารถป้องกันการ ซึมเข้าผิวของสารเคมีชนิดต่างๆ (Chemical protective shield) จะสามารถปกป้องผิวจากสารเคมีในเครื่องสำอาง ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและลดอัตราเสี่ยงต่อโรคร้ายต่างๆ ได้

******* *******
เครดิต: เรื่อง ชีวอโรคยา เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของบทความ “รู้หรือไม่? สาวรักแต่งหน้า เสี่ยงสารเคมีสะสมปีละ 2 กิโลกรัม” โดย FLASH จาก CelebOnline อ้างอิง นพ.วรพล สุขีวัฒนา หรือ ดร.โทนี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ

ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

ฟัง แฮ้งคอคำ อัลบั้ม ดอกไม้เดือนตุลา (Full Album) เพลงใต้ดินที่น่าฟัง

  แนะนำอัลบั้มเพลงจากศิลปินใต้ดิน แฮ้งคอคำ อัลบั้ม ดอกไม้เดือนตุลา (Full Album)
วมเพลงในอัลบั้ม ดอกไม้เดือนตุลา

มีบทเพลงที่น่าสนใจฟัง อาทิ บทเพลง 1.ดอกไม้เดือนตุลา 2.เหนื่อยไม่เหนื่อย  3.สามัคคีได้ไง
4.กรรมของแผ่นดิน  5.เสือกะบาก 6.เพื่อแผ่นดิน 7.เปลี่ยนคิด..ชีวิตเปลี่ยน  8.หัวใจไม่พิการ  9.โลกร้อน คนละลาย 10.ห-ว-ย หวย  11.กิ๊กใคร กิ๊กมัน
PROM MUSIC
เขียดขาคำ เรคคอร์ด

ลองมาดูบทเพลงที่แนะนำให้ลองฟัง

"วันนี้ เห็นเจ้าร่วงหล่น กลางถนน อันศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายและชีวิต ถูกปลิดด้วยน้ำมือมาร
ดอกไม้เจ็ดตุลา คือคุณค่า คือตำนาน คือดอกไม้ แห่งอุดมการณ์ เจ้าเบ่งบาน อยู่กลางใจชน
อำลา อาลัย ดอกไม้เดือนตุลา อำลา อาลัย ดอกไม้เจ็ดตุลา"

 เพลง ดอกไม้เจ็ดตุลา
++++

"เหนื่อยมั้ยครับพี่น้อง ลุงจำลองเค้าให้มาถาม เหนื่อยไหมในหน้าที่ยาม ยามรักษาแผ่นดิน"

เพลง เหนื่อยไม่เหนื่อย

++++++++
เพลงสามัคคีได้ไง

วันดีๆอยู่กับคนดีๆ ช่วยนำช่วยชี้สิ่งดีให้กัน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อกัน ช่วยกันและกัน สร้างสรรค์แต่สิ่งดี
คนไม่ดีอยู่กับคนไม่ดี ช่วยนำช่วยชี้ สิ่งไม่ดีให้กัน โกงกินและคอรัปชั่น ช่วยกันและกัน แบ่งปันสิ่งไม่ดี
แล้วอย่างนี้จะสามัคคีได้ยังไง ในเมื่อเมืองไทยมีดีและไม่ดี จะให้คนดีสามัคคีกับคนไม่ดี ช่วยบอกฉันที มันจะดีได้ยังไง


9 กระบวนท่าสุดฟิต พิชิตอาการปวดหลัง


นั่งอยู่ทั้งวันตั้งแต่เริ่มงานจนเลิกงาน ไหนเวลาเดินทางยังต้องเจอกับการจราจรที่ติดขัดสุดๆ นี่แหละคือวิถีชีวิตของคนกรุง ที่ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงยากเสียแล้ว วันๆ นึงถ้าลองคำนวน เราใช้เวลาไปกับการนั่งเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ใครจะคิดว่าการนั่งนานๆ นี่จริงๆ แล้วเป็นสาเหตุเริ่มต้นของการปวดหลัง ที่อาจลุกลามและเรื้อรังใหญ่โตเป็นโรคอื่นได้

ช่วงใกล้วันหยุดยาวพักผ่อนแบบนี้ เชื่อว่าหลายคนคงมีเวลาได้เอนกายพักผ่อนสมองกันอย่างเต็มที่ และทางที่ดีก็ควรแบ่งเวลามาออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อกันบ้าง โดยเฉพาะใครที่ต้องนั่งบ่อยๆ ลองมาฝึกการบริหารกล้ามเนื้อหลัง และหน้าท้องตาม 9 ขั้นตอนนี้กันเลย

1.นอนหงายชันเข่า 2 ข้าง แขนแนบข้างลำตัว จังหวะที่ 1 เกร็งกล้ามเนื้อท้อง เพื่อกดหลังให้แนบกับพื้น นับ 1-3 ช้าๆ จังหวะที่ 2 คลายกล้ามเนื้อปล่อยพักตามสบาย ทำ 5-6 ครั้งในวันแรก แล้วเพิ่มขึ้นในวันต่อไป

2.นอนหงายชัยเข่า 2 ข้าง ผงกศีรษะค้างไว้นับ 1-2 แล้วเอาลง เริ่มทำครั้งแรก 10 ครั้ง แล้วค่อยเพิ่มจนถึง 25 ครั้งในวันต่อไป

3.นอนหงายเหยียดขาทั้ง 2 ข้าง ยกขาข้างหนึ่งให้ตั้งฉากกับลำตัว โดยเข่าไม่งอ แล้วค่อยๆ เอาลง จากนั้นยกอีกข้างหนึ่งสลับกัน เมื่อเอาลงแล้วยกพร้อมกันทั้ง 2 ข้างอีกครั้ง เริ่มทำ 3 ครั้ง แล้วค่อยเพิ่มให้ถึง 10 ครั้ง

4.นอนคว่ำขาเหยียดตรงแล้วยกขาข้างหนึ่งขึ้นค้างไว้ นับ 1-3 จังวางลงสลับกับยกขาอีกข้าง ทำเหมือนกันโดยที่เข่าไม่งอขณะยกขาประมาณ 5 ครั้ง ต่อไปค่อยเพิ่มขึ้น

5.ยืนหลังตรง งอเข่า งอสะโพกลงนั่งให้ชิดพื้นมากที่สุดโดยหลังไม่งอ เริ่มทำ 3 ครั้งเพิ่มขึ้นเป็น 10 ครั้งในวันต่อๆไป

6.นั่งหลังตรง ขาข้างหนึ่งเหยียดยาวเข่าตรง ขาอีกข้างงอขึ้นมาตั้งไว้ เริ่มทำโดยเหยียดแขนทั้งคู่ แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าให้ไกลที่สุด จนรู้สึกตึงที่หลังขาข้างที่เหยียด นับ 1-3 จึงค่อยเอนหลังกลับเท่าเดิม ทำ 5-6 ครั้ง ต่อไปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

7.นอนหงายงอเข่าขึ้นตั้งไว้ 2 ข้าง มือประสานไว้ตรงเข่า จากนั้นดึงขาเข้ามาชิดอก พร้อมกับยกศีรษะขึ้นด้วย นับ 1-3 แล้วกลับไปอยู่ที่เดิม

8.นอนหงายงอเข่าขึ้นตั้งไว้ จังหวะที่ 1 เกร็งกล้ามเนื้อท้องไว้หลังติดพื้น จังหวะที่สองยกก้นขึ้นพ้นพื้นในเวลาเดียวกัน นับ 1-3 ค่อยกลับมาอยู่ในท่าเดิม

9.ยืนตรงมือทั้งสองข้าง เหยียดกำแพงไว้เท้าทั้ง 2 ห่างจากกำแพงครึ่งเมตร จังหวะที่ 1 โน้มตัวไปข้างหน้า ขณะที่ตัวตรงอยู่ส้นเท้ายังคงแตะอยู่ที่พื้นเช่นเดิม นับ 1-3 จากนั้นค่อยดันตัวกลับมายืนเท่าเดิม

ทั้งนี้การบริหารร่างกายต้องทำทุกวันถึงจะได้ประโยชน์ หากมีอาการปวดหลังเพิ่มขึ้นควรหยุดทันที

******* *******
เครดิต: เรื่อง ผู้จัดการออนไลน์ อ้างอิง: ข้อมูลจากศูนย์กระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเวชธานี
ภาพ: ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ไม่ต้องพึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

105 ภาพบรรยากาศ งานปล่อยหนังสือ 7 มิ.ย.2557 กับเครือข่ายเพื่อนหนังสือ ที่หอศิลป์ กทม.

ในโอกาสที่ได้ร่วมจัดงาน ปล่อยหนังสือ ร่วมกับงาน ปิดเมือหนังสือโลก โดย กทม จัดที่หอศิลป์ ตลอดเดือน มิถุนายน 2557 เครือข่ายเพื่อนหนังสือ ได้นำหนังสือ มาร่วมปล่อย หลายประเภท และนี่คือ ภาพบรรยากาศในวันนั้น

ขอขอบคุณ เครือข่าย เพื่อนหนังสือ ที่จัดกิจกรรมดีๆแบบนี้ขึ้นมา