++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จากบทความ "ทำยังไงดี?"

จากบทความ "ทำยังไงดี?"

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่เชื่อเรื่องนรก แต่เคยพลาดก่อบาปหนักไปแล้ว พอได้ยินใครพูดถึงนรกทีไร คงหนาวๆร้อนๆ หรือเย็นวาบที่สันหลังเหมือนมีชนักปักอยู่ทุกที และนั่นอาจเป็นเหตุหนึ่งให้ไม่อยากเชื่อ ไม่อยากฟังเรื่องนรกสวรรค์เอาเลย



ก่อนอื่นถ้าไม่มีอภิญญา ไม่เคยเห็นนรกด้วยจิต ก็ขอให้ปลอบตัวเองว่าคุณแค่กลัวความคิดมากของตน ไม่ใช่กำลังกลัวนรกของจริง

มองไปรอบๆตัวดีกว่า ถ้านรกมีจริง เผลอๆตอนนี้อาจโหรงเหรง เพราะวิญญาณที่ควรอยู่แถวๆนั้นมาอยู่แถวๆนี้กันหมด!


หากกลัวนรก วิธีที่ดีที่สุดคือให้เตรียมใจลงนรก คนที่เตรียมพร้อมจะลงนรก มักไม่ต้องลงนรกกัน ส่วนคนที่มั่นใจว่าฉันขึ้นสวรรค์แน่ นั่นแหละมักพลาดลงนรกมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว



นั่นเพราะอะไร? เพราะเมื่อทะนงว่าฉันทำบุญมาก ต้องได้ขึ้นสวรรค์แน่ ก็มักประมาท เลิกสำรวจตัวเอง และไม่ยับยั้งชั่งใจในการคิดฟุ้งซ่าน ในการพูดทิ่มแทงใจคนอื่น หรือกระทั่งในการลงมือทำร้ายใครๆ

แต่เมื่อระลึกอยู่ว่าฉันทำบาปไว้ไม่น้อย มีสิทธิ์ลงนรกถ้าขาดใจตายเดี๋ยวนี้ ก็มักสังวรระวัง จะคิด จะพูด หรือจะทำอะไรร้ายกาจ ก็มักยั้งๆ เหมือนคนรู้ว่าถ่านร้อน เมื่อนึกสนุกอยากสัมผัสก็ย่อมยั้งมือ ไม่จับเต็มกำ

สรุปเบื้องต้นคือความประมาทมักอยู่กับคนเชื่อมั่นเกินเหตุว่าข้าคือเทวดา มีที่หมายเป็นสวรรค์ ส่วนความสังวรระวังมักอยู่กับคนที่รู้ตัวว่าก่อบาปก่อกรรมมาไม่น้อย อยากกลับตัวกลับใจหนีนรกกัน

เพื่อสำรวจให้รู้ว่าคุณเป็นพวกมีสิทธิ์ลงหรือไม่ต้องลงนรก มีวิธีง่ายๆ คือถามตัวเองว่าในเวลาส่วนใหญ่ คุณสบายใจหรือไม่สบายใจ สภาพทางใจนั่นแหละ กำลังฟ้องอยู่อย่างโจ่งแจ้งว่าสภาพที่เหมาะสมกับใจควรเป็นอย่างไร โดยเฉพาะหลังจากไร้กายหยาบนี้ให้อาศัยอีกต่อไป

ความสบายใจคืออะไร? คือเย็น คือโล่ง คือเบา... ส่วนความไม่สบายใจคืออะไร? คือร้อน คือทึบ คือหนัก...

โลกนี้เหมือนป่าที่ไฟกำลังลามไล่สัตว์ทั้งหลาย เมื่อไม่ฝึกหนีไฟ ไฟย่อมถึงตัวและคลอกคุณมอดไหม้ได้ทั้งหมด

ถึงแม้จะเห็นตนเองเป็นคนดี ทำบุญไว้มาก และไม่คิดเบียดเบียนใครก่อน แต่ถ้าไม่ฝึกหนีไฟแล้ว ไฟโกรธจะเป็นบทลงโทษขั้นต้น ไฟแค้นจะเป็นบทลงโทษขั้นกลาง ไฟนรกจะเป็นบทลงโทษขั้นสุดท้าย และสิ่งที่ถูกเผาผลาญก็ไม่ใช่อะไรอื่น คือจิตวิญญาณของคุณเอง!

เมื่อจิตวิญญาณถูกไฟโทสะเผาผลาญอยู่ คำว่า "ไม่สบายใจ" คงนับว่าน้อยไป

หนักกว่านั้น ถ้าเลือกจะยืนอยู่ข้างคนเลว ก่อบาปทั้งรู้ ระราน มุ่งประทุษร้ายหมายขวัญใครต่อใคร จนจิตใจด้านชา ปราศจากความละอาย ก็เปรียบได้กับนักสะสมของเหม็น เพราะความชั่วเปรียบเหมือนของเหม็น และ กลิ่นเหม็นแห่งบาปนั้น ก็น่าขยะแขยงกว่ากลิ่นเหม็นจากรักแร้ที่สะสมแบคทีเรียไว้เป็นไหนๆ เนื่องจาก กลิ่นเหม็นแห่งบาปจะเป็นชนวนให้เกิดความไม่ยอมรับตนเอง รังเกียจตนเอง ตลอดจนเกลียดกลัวตนเองได้ตลอดเวลา ล้างด้วยสบู่ไหนๆก็ไม่ออก

เมื่อทราบว่าประตูนรกใหญ่ๆมีอยู่สองบาน บานหนึ่งคือประตูแห่งความร้อนใจที่ให้อภัยใครต่อใครไม่ได้ กับอีกบานคือประตูแห่งความเหม็นที่ต้องเป็นนักทำร้ายชาวโลก แค่นี้ก็เท่ากับคุณเห็นทางหนีนรกได้ไกลๆแล้ว

หลังจากเย็นใจที่อภัยได้ และโล่งใจไม่ต้องทำร้ายใคร นานเข้าคุณจะสบายใจ ไม่นึกกลัวนรก แม้บาปเก่ายังคอยหลอกหลอนอยู่ ก็ทำให้ทรมานใจได้เพียงเล็กน้อย เปรียบความรู้สึกเหมือนเตรียมพร้อมจะลงไปใช้กรรมครู่เดียวในนรกขุมตื้นๆ เดี๋ยวก็ได้ขึ้นมา ในเมื่อสะสมความเย็น ความโล่งไว้มากกว่า

และเมื่อได้ความสบายใจเป็นเกณฑ์วัดความห่างนรก คุณก็จะเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงจิต ว่าการบำเพ็ญตบะให้มาก ตั้งมั่นในทาน ตั้งมั่นในศีล และตั้งมั่นในศรัทธาบนทางนิพพานนั่นเอง คือของจริงที่จะช่วยให้ไม่ต้องกลัวนรกอย่างถาวรครับ เพราะความตั้งมั่นในกรรมอันสว่างขาวเหล่านั้นเอง คือตัวบันดาลให้เกิดความสบายใจหายห่วงไปจนชั่วชีวิต

ดังตฤณ

จากบทความ "ทำยังไงดี?"
นิตยสาร Miracle of Life ฉบับ เดือนพฤศจิกายน ๕๓


ความแตกต่างของพระสงฆ์วัดเส้าหลินกับวันต้าเปยซื่อ

 ความแตกต่างของพระสงฆ์วัดเส้าหลินกับวันต้าเปยซื่อ


ต่างก็เป็นนักบวชในพุทธศาสนา นับว่าเป็นลูกศิษย์ของพระองค์ศาสดาที่ควรแล้วที่จะมุ่งเน้นในการปฏิบัติดีปฎิบัติชอบ เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่พระสองสำนักนักนี้ช่างต่างกันเหมือนฟ้ากับเหวจริงๆ

วัดเส้าหลิน ซี่งสถาปนาโดยพระโพธิธรรม มีอายุ1500 ปี เป็นวัดที่มีประวัติที่ดีมาแต่โบราณ พระสงฆ์เคยปฎิบัติธรรมพร้อมกับฝึกกำลังภายในจนชื่อเสียงดังไปทั่วโลก แต่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ได้ถูกเปลี่ยนกลายเป็นวัดที่มุ่งไปในทางพาณิชย์ นำวิชากังฟู หรือกำลังภายในเป็นทางหารายได้ให้กับวัดและรัฐบาลจีน  เจ้าอาวาสเป็นซีอีโอในผ้าเหลือง  ละทิ้งการปฏิบัติธรรม แต่มุ่งส่งเสริมให้พระฝึกมวยจีนเพื่อส่งออกเป็นสินค้าพาณิชย์ไปต่างประเทศไปแสดงมวยจีนและตั้งสำนักสอนมวยในประเทศต่างๆทั่วโลกเพื่อหารายได้มหาศาลเข้าวัดและประเทศ นำวัดไปขึ้นเป็นมรดกโลก ต่างๆนาๆ เจ้าอาวาสคนปัจจุบันก็แทนที่จะปฏิบัติธรรมและสอนธรรมะให้กับชาวบ้าน แต่กลับใช้ชีวิตเยี่ยงพระราชา สนุกกับเทคโนโลยี่และทางโลกอย่างสุดเหวี่ยง เช่นไปดูกีฬารักบี้ที่สหรัฐอเมริกา ไปชมฟุทบอลเวอร์คลับที่เยอรมัน  

ในขณะเดียวกัน วัดต้าเปยซื่อ ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเหมาฉี ตอนใต้ของเมืองไห่เฉิง มณฑลเหลีวหนิง ท่านเจ้าอาวาสมีนามว่า
เหมี่ยวเสียง และพระองค์อื่นๆ ยืดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด เช่นออกบิณฑบาต ฉันมื้อเดียวก่อนเที่ยง ไม่รับบริจาคเงิน  ดูแล้วตรงกับทางเถรวาทหลายข้อ หรืออาจจะเคร่งกว่าด้วยซ้ำไปว่าสตรีห้ามเข้าภายในของบริเวณวัดได้
เวลามีพีธี สตรีจะอยู่ที่ลานวัดข้างนอก
ทุกวันนี้ศาสนาเสื่อมเพราะผู้ปฏิบัติธรรมเสื่อมมีให้เห็นมากมาย  แต่โชคดีที่ก็มีพระสงฆ์องค์เจ้าที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างเคร่งครัดเพื่อเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าแก่มวลชน  ดังนั้นการจะไปเข้าวัดไหนก็ต้องเลือกให้ดี และช่วยกันนำออกมาเผยแพร่ให้คนรู้กันมากๆ จนได้ไม่หลงเข้าวัดผิด หรือนับถือกราบไหว้พระผิด
ขออภัยหากแปลอะไรผิดพลาด ดิฉันก็แปลเท่าที่ความรู้อันน้อยนิดจะอำนวยให้


เรียนพุทธศาสนา ใน ๑๕ นาที โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ




นับตั้งแต่กาลที่โลกว่างเปล่า เริ่มกลายเป็นมนุษย์โลกขึ้น เมื่อหลายแสนปีมาแล้ว มนุษย์ได้ใช้มันสมองแสวงหาความสุขใส่ตน เป็นลำดับๆ มาทุกๆ ยุค จนในที่สุดเกิดมีผู้สั่งสอนลัทธิแห่งความสุขนั้น ต่างๆ กัน ตัวผู้สอนเรียกว่า ศาสดา, คำสอนที่สอนเรียกว่า ศาสนา, ผู้ที่ทำตามคำสอน เรียกว่า ศาสนิก, ทุกอย่างค่อยแปรมาสู่ความดียิ่งขึ้นทุกที สำหรับคำสอนขั้นโลกิยะหรือจรรยา ย่อมสอนมีหลักตรงกันหมดทุกศาสนา หลักอันนั้นว่า จงอย่าทำชั่ว จงทำดี ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ดังที่ทราบกันได้อยู่ทั่วไปแล้ว แต่ส่วนคำสอนขั้นสูงสุดที่เกี่ยวกับ ความสุขทางใจอันยิ่งขึ้นไปนั้น สอนไว้ต่างกัน ศาสนาทั้งหลายมีจุดหมายอย่างเดียวกัน เป็นแต่สูงต่ำ กว่ากันเท่านั้น

ทุกองค์ศาสดาเว้นจากพระพุทธเจ้า สอนให้ยึดเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสาวกไม่มีความรู้พิสูจน์ว่าเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เป็นผู้สร้างโลก และอำนวยสุขแก่สัตว์โลก เป็นที่พึ่งของตน ให้นับถือบูชาสิ่งนั้นโดยแน่นแฟ้น ปราศจากการพิสูจน์ ทดลอง แต่อย่างใด เริ่มต้นแต่ยุคที่ถือผี ถือไฟ ถือดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ มาจนถึงยุคถือพระเป็นเจ้า เช่น พระนารายณ์ และพระพรหม ของศาสนาฮินดู พระยโฮวา ของศาสนาคริสเตียนและยิว และพระอหล่า ของอิสลาม ต่างสอนให้มอบความเชื่อในพระเจ้าเหล่านั้นแต่ผู้เดียว ว่าเป็นผู้มีอำนาจเหนือสิ่งใดทั้งหมด ทั้งๆ ที่ไม่ต้องรู้ว่า ตัวพระเจ้านั้นเป็นอะไรกันแน่ และผิดจากหลักธรรมดาโดยประการต่างๆ

ต่อมาเมื่อสองพันปีเศษมาแล้ว ภายหลังแต่พระเจ้าของศาสนาพราหม์ ก่อนแต่พระคริสต์ และพระโมหมัด ของชาวยุโรปและอาหรับ พระพุทธเจ้าได้อุบัติบังเกิดขึ้น ทรงสอนการพึ่งตนเอง และ ทรงสอนหลักธรรมทางใจในขั้นสูง ผิดกับศาสนาอื่นทั้งหมด คือ


หลักกรรม

ทรงสอนเป็นใจความว่า สุขทุกข์ เป็นผลเกิดมาจาก เหตุของมันเอง ได้แก่ การกระทำ ของผู้นั้น ผลเกิดจาก การกระทำ ของผู้ใด ผู้นั้นต้องได้รับ อย่างแน่นอน และยุติธรรม ไม่มีใครอาจ สับเปลี่ยน ตัวผู้ทำ กับตัวผู้รับ หรือ มีอำนาจ เหนือ กฏอันนี้ได้ นี่เรียกว่า ลัทธิกรรม มีเป็นหลักสั้นๆ ว่า สัตว์ทั้งหลาย มีกรรม เป็นของตน หมุน ไปตามอำนาจเก่า ซึ่งในระหว่างนั้น ก็ทำกรรมใหม่ เพิ่มเข้า อันจะกลายเป็น กรรมเก่า ต่อไปตามลำดับ เป็นเหตุและผล ของกันและกัน ไม่รู้จักสิ้นสุด คาบเกี่ยวเนื่องกัน เหมือนลูกโซ่ ไม่ขาดสาย

เราเรียกความเกี่ยวพัน อันนี้กันว่า สังสารวัฏ หรือสายกรรม มันคาบเกี่ยว ระหว่าง นาทีนี้ กับนาทีหน้า หรือ ชั่วโมงนี้กับชั่วโมงหน้า วันนี้กับวันหน้า เดือนนี้กับเดือนหน้า ปีนี้กับปีหน้า จนถึง ชาตินี้กับชาติหน้า สับสน แทรกแซงกัน จนรู้ได้ยาก ว่าอันไหน เป็นเหตุของ อันไหนแน่ ดูเผินๆ จึงคล้ายกับว่า มีใคร คอยบันดาล สายกรรม ประจำบุคคลหนึ่งๆ ย่อมผิดจาก ของอีกคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น ต่างคน จึงต่างเป็นไปตาม แนวกรรม ของตน ไม่เหมือนกัน กรรมเป็นเหตุ สุขและทุกข์ เป็นผลเกิดมาแต่กรรมนั้นๆ


หลักอนัตตา

ทรงสอนอีกว่า ไม่มีพระเจ้าผู้สร้าง ไม่มีสิ่งอันควรเรียกได้ว่า ตัวตน สรรพสิ่งไม่มีผู้ใดสร้าง เกิดขึ้นแปลกๆ ก็เพราะปัจจัยตามธรรมชาติที่จะต้องค่อยๆ แปรไปตามลำดับ ตามกฏเกณฑ์ ของธรรมชาติ โดยไม่อยู่ในอำนาจของใคร เรียกว่า มันเป็นอนัตตา หลักอนัตตา นี้จึงมีแต่ใน พุทธศาสนา ไม่มีในศาสนาอื่น อันสอนว่า ทุกสิ่งพระเจ้าสร้างขึ้นเป็นตัวตน และอยู่ใต้อำนาจพระเจ้า ผู้เป็นเจ้า แห่งตัวตน ทั้งหลาย

ทรงสอนว่า ไม่มีตัวตน ซึ่งเที่ยง และ ยั่งยืน สิ่งหนึ่ง ย่อมเกี่ยวเนื่อง มาแต่อีกสิ่งหนึ่ง และสิ่งนั้นก็เกิด ทยอยมาแต่สิ่งอื่น แม้สิ่งอื่นนั้น ก็เกิดทยอยมา แต่สิ่งอื่นอีก ตั้งต้นมานาน ซึ่งไม่มีใครกำหนดได้ และจะเกิด สืบต่อกันไปข้างหน้า อีกเท่าไรแน่ ก็กำหนดมิได้ เหมือนกัน กฏข้อนี้เป็นไป ทำนองเดียวกัน ทั้งสิ่งที่มีวิญญาณ และที่หาวิญญาณมิได้ สำหรับสิ่งที่หาวิญญาณมิได้ จักยกไว้ เพราะไม่เกี่ยวกับ สุขทุกข์ ส่วนสิ่งที่มีวิญญาณ เช่น มนุษย์ และ สัตว์เดรัจฉาน ทั่วไป เป็นสิ่งควรเรียนรู้ เพราะเกี่ยวกับ สุข ทุกข์ ในชีวิต มนุษย์เรา เกิดจากการรวมพร้อมแห่ง รูปธาตุ (Physical Element) และนามธาตุ (Mental Element) อันมีประจำอยู่ตามธรรมดาในโลกนี้ เมื่อสองอย่างนี้ ยังประชุมกัน เข้าไม่ได้ อย่างเหมาะส่วน ก็เป็นมนุษย์ขึ้น

เช่นเดียวกับ พืชพรรณไม้ ที่อาศัย ดินฟ้าอากาศ และเชื้อ ในเมล็ดของมันเอง งอกงาม กลายเป็น ต้นไม้ ใหญ่โตขึ้นได้ รูปธาตุ และ นามธาตุ นั้น แต่ละอย่าง ก็ล้วนเกิดมาจาก การรวมพร้อม ของพืชอื่น อีกต่อหนึ่ง เกิดสืบต่อกันมาเป็นลำดับ จนกว่าจะเหมาะสำหรับผสมกันเข้า ในรูปใหม่เมื่อใด รูปธาตุในกายนี้ เช่น พืชและเนื้อสัตว์ ซึ่งอาศัย สิ่งอื่น เกิดมาแล้ว หลายต่อ หลายทอด จนมาเป็น เชื้อบำรุงร่างกายนี้ โดยเป็นเชื้อให้เกิดและบำรุง ส่วนเล็กที่สุด ของร่างกาย (Cell) ที่สำหรับจะเป็นเนื้อ หนัง กระดูก ผม ขน เล็บ ฟัน โลหิต และอื่นๆ ในร่างกายเรา ธาตุลม อันเกิดขึ้น จากธรรมชาติส่วนอื่นๆ ก็ได้ใช้เป็นลมหายใจ เข้าไป บำรุงโลหิต และ สิ่งต่างๆ โลหิตเป็นเหตุ ให้เกิดความอบอุ่น และความร้อนขึ้นได้ เท่านี้ก็พอจะมองเห็นได้ว่า มันอาศัยกัน เกิดขึ้น เป็นลำดับๆ มามากมาย นี้เป็นการเกิด การผสม การแปร ของธรรมชาติ ฝ่ายรูปธาตุ

ส่วนนามธาตุนั้น ยิ่งละเอียดมาก นามธาตุ อาศัยอยู่ได้เฉพาะใน รูปธาตุ ที่ได้ปรับปรุง กันไว้ เหมาะเจาะแล้ว และมีหน้าที่บังคับรูปธาตุ พร้อมทั้งตนเอง ให้ตั้งอยู่ หรือ เป็นไปต่างๆ ตลอดเวลา ที่เข้ามา เนื่องเป็นอันเดียวกัน ควรเปรียบ เรื่องนี้ด้วย เครื่องไดนาโมไฟฟ้า ชิ้นโลหะต่างๆ กว่าจะมา คุมกันเข้า จนเป็นอย่างนี้ได้นั้น ล้วนแต่ เกิดจากอุตุนิยมสืบมา ไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนปี จนมนุษย์ นำมาปรับปรุง ให้เป็นรูปต่างๆ ก็ยังหามี ไฟฟ้าเกิดขึ้นไม่ แต่เมื่อได้ยักย้าย ประกอบกันเข้า จนถูกส่วน พร้อมด้วย อาการหมุน มันจึงปรากฏ แรงไฟฟ้าอย่างแรง ขึ้นได้ ไฟฟ้าบางส่วนนั้น ปรากฏขึ้น มาจากการหมุนของเครื่อง การหมุนของเครื่อง กลับได้แรงไฟนั้นเอง มาช่วย สนับสนุน ในการหมุนบางส่วนก็มี ถ้ามีแต่ชิ้นโลหะก็ดี มีแต่อาการหมุน อย่างเดียวก็ดี หรือมีแต่กระแสไฟฟ้า อันเป็นธรรมชาติ ประจำ อยู่ใน สิ่งต่างๆ ในโลกก็ดี ยังไม่ประชุมกัน เข้าได้แล้ว กระแสไฟฟ้าใหม่ จะไม่ปรากฏขึ้น มาได้เลย ฉันใดก็ฉันนั้น รูปธาตุ หรือ ร่างกายนี้ เปรียบเหมือน เครื่องไดนาโม

นามธาตุ เปรียบเหมือน กระแสไฟฟ้า ได้อาศัยกันกลับไปกลับมา จึงเป็นไปได้ ทั้งแต่ละอย่างๆ ล้วนต้องอาศัย ความประจวบพร้อม แห่งเครื่องประกอบ ซึ่งเกิดมาแต่สิ่ง อื่น หลายทอดด้วยกัน นามธาตุ ก็เกิดสืบมา โดยตรงจาก พวกนามธาตุ อิงอาศัย อยู่กับรูปธาตุ เมื่อรวมกันเข้าแล้ว เราสมมุติเรียก คนหรือสัตว์ ชื่อนั้นชื่อนี้ เพื่อสะดวกแก่การพูดจา เช่นเดียวกับ สมมุติเรียก ชิ้นโลหะและวัตถุต่างๆ ว่า เครื่องไดนาโม ยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้เหมือนกัน หลักของการ ที่สิ่งต่างๆ เป็นเหตุผลของกัน และให้เกิดสืบสาวกันไปนี้ เป็นปัญหา ที่ละเอียด ลึกซึ้ง ซึ่งพระองค์ ได้ทรงตีแตก อย่างทะลุปรุโปร่ง ในตอนหัวค่ำ แห่งคืนตรัสรู้ ที่ใต้ต้นมหาโพธิ์ ที่พุทธคยา เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท

ความรู้อันนี้ ทำให้พระองค์ ทรงรู้จักโลกดี พอที่จะตี ปัญหาที่สอง ออกได้ สืบไปว่า มนุษย์เรา ควรทำ อย่างไรกัน จึงเหมาะแก่โลก ซึ่งมีธรรมชาติ เป็นอย่างนี้ หรือ จะอยู่เป็นสุข ในโลกอันมี สภาวะเช่นนี้ได้? การตีปัญหาข้อสอง ออก ได้สำเร็จผล เกิดเป็น หลักธรรมต่างๆ ที่พระองค์ใช้สอน บริษัทในสมัยต่อมา นั่นเอง อันรวมใจความ ได้สั้นๆ ว่า สิ่งซึ่ง เกิดมาจาก สิ่งอื่น ซึ่งไม่เที่ยงถาวร และ ทั้งอาการที่สืบต่อกันมา ก็ไม่ถาวรแล้ว สิ่งนั้นจะ เที่ยงถาวร อย่างไรได้ ย่อม กระสับกระส่าย โยกโคลง แปรปรวน ไปตามกัน สิ่งที่แปรปรวน ไม่คงที่ ย่อมก่อให้เกิด ภาวะชนิดที่ ทนได้ยาก คือ ทำให้เจ้าของ ได้รับ ความไม่พอใจ เสียใจ และ เป็นทุกข์ เมื่อมันแปรปรวน และ เป็นทุกข์ อยู่อย่างนี้แล้ว

มนุษย์จึงไม่ควรฝืนธรรมดา สะเออะเข้าไปรับเอาความทุกข์นั้น โดยเข้าใจอ้างตัวเอง เป็นเจ้าของ ร่างกายนี้ และ ร่างกายอื่น มันไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ ของเรา เห็นได้ตรงที่ไม่อยู่ ในอำนาจเรา เราไม่ได้ ทำมันขึ้น นอกจาก อำนาจธรรมชาติ แห่ง นาม และ รูป เท่านั้น ผู้ที่เข้าไป ผูกใจ ในสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นของ ภายใน และ ภายนอกตน ก็ดี ว่าเป็นสิ่ง ที่จะเป็นไป ตามความประสงค์ ของตน ทุกเมื่อแล้ว จะเกิดเป็นปัญหา ยุ่งยากขึ้น ในใจ ของผู้นั้น มืดมิดเกิดกว่า ที่เขาจะสะสางได้ พระองค์ จึงทรงสอน ให้หน่าย และ ละวาง สิ่งต่างๆ ด้วยการไม่ยึดถือ ทางใจ แม้ว่า ตามธรรมดา คนเรา จะต้อง อิงอาศัย สิ่งนั้นๆ เพื่อมีชีวิตอยู่ หมายความว่า เราปฏิบัติ ต่อมัน ให้ถูกต้อง ก็แล้วกัน

เมื่อเรา ไม่เข้าไป ผูกใจ ในสิ่งใด สิ่งนั้น ก็ไม่เป็นนาย บังคับใจเรา ให้อยาก ให้โกรธ ให้เกลียด ให้กลัว ให้เหี่ยวแห้ง หรือ ให้อาลัย ถึงมันได้ เราจะอยู่ เป็นสุข เมื่อใจ หลุดพ้นแล้ว ก็เป็นอันว่า ไม่มีอะไร มาทำให้เรา กลับเป็น ทุกข์ ได้อีก จนตลอดชีวิต การคิดแล้วคิดอีก เพื่อตีปัญหานี้ให้แตก จนใจ หลุดพ้น เรียกว่า วิปัสสนากัมมัฏฐาน และ เมื่อใจเรา ไม่ค่อย ยอมคิด ให้จริงจัง ลึกซื้ง เพราะอาจ ฟุ้งซ่าน ด้วยความรัก ความโกรธ ความกลัว ความขี้เกียจ หรืออะไรก็ตาม จะต้องทำการ ข่มใจ ให้ปลอดจาก อุปสรรคนั้นๆ เสียก่อน การข่มใจนั้น เราเรียกกันว่า สมถกัมมัฏฐาน ถ้าไม่มี อุปสรรคเหล่านี้ สมถกัมมัฏฐาน ก็ไม่เป็น ของจำเป็นนัก นอกจาก จะเข้าฌาน เพื่อความสุข ของพระอริยเจ้า เช่นเดียวกับ การหลับนอน เป็นการ พักผ่อน อย่างแสนสุข ของพวกเราๆ เหมือนกัน คำสั่งสอน ส่วนมาก ของพระองค์ เราจึงพบแต่วิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นส่วนใหญ่


ความยึดถือ หรืออุปาทาน

เราจะมองเห็น อย่างแจ่มแจ้ง ได้แล้วว่า สภาพแห่งทุกข์ มีอยู่ในโลกนี้ จริง แต่บุคคล ผู้จะรับทุกข์ นั้นหามีไม่ ถ้าหากเขา จะไม่หลง เข้าไปรับเอา ด้วยความ เข้าใจผิด ว่า สิ่งนั้นเป็นสุข และ อยากได้ หรือ หวงแหน จนเกิดการ ยึดมั่น หรือเข้าใจไปว่า ทั้งมัน ทั้งเขา เป็นตัวตน ที่จะอยู่ใน อำนาจของตน ได้ทุกอย่าง ตามแต่จะปราถนา คิดดูก็เป็นการ น่าขัน และ น่าสลดใจ อย่างไม่มีเปรียบ ที่เราพากัน สมมุติเอา สิ่งที่ พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า "ว่างเปล่า" ให้ เป็นตัว เป็นตน ขึ้น แล้ว ทำใจตัวเอง ให้ดิ้นรน ก่อความ ยุ่งยาก ให้เกิดขึ้นในใจ รัก โกรธ เกลียด กลัว ไปตาม ฉาก แห่งความ แปรปรวน ของสิ่งนั้นๆ ซึ่งที่แท้ มันเป็นของ "ว่างเปล่า" อยู่ตลอดเวลา ตามที่ พระองค์ตรัส ไว้นั่นเอง

คำว่า "ว่างเปล่า" ในที่นี้ คือ ไม่มีแก่นสาร ตัวตน ที่จะมายืนยันกับเราว่า เอาอย่างนั้น อย่างนี้กันได้ เพราะของทุกอย่างล้วนแต่มีสิ่งอื่นปรุงแต่ง ค้ำจุนกัน มาเป็นทอดๆ จึงตั้งอยู่ได้พร้อมกับ การค่อยๆ แปรไป สิ่งที่สิ่งอื่น ปรุงแต่ง จึงเป็นของว่างเปล่า ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีอิสระแก่ตน ใครจะเอา สัญญา มั่นเหมาะ กับสิ่งเหล่านั้น อย่างไรได้ ในเมื่อทั้ง ผู้ถือสัญญา และ ผู้ให้สัญญา ก็ล้วนแต่ ไม่มีความเป็นใหญ่แก่ตน หรือมีความเป็นตัว เป็นตน ไปตามๆ กันทั้งนั้น ผู้ที่ขืน เข้าไปสัญญา หรือ ยึดมั่น ในสัญญา ก็เท่ากับ เอาความว่างเปล่า ไปผูกพัน กับ ความว่าง 2 จะได้ผล อันพึงใจ จากอะไรเล่า ทั้งนี้ ก็เพราะ การหลงยึดมั่น ของว่าง ขึ้นเป็น ตัวตน เราเรียกกันว่า อุปาทาน วัตถุ อันเป็นที่ตั้ง แห่งความ ยึดมั่น นั้น เรียกว่า อุปาทานขันธ์ มีห้าอย่าง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพราะฉนั้น จึงตรัสรู้ว่า ขันธ์ทั้งห้า เป็นที่ตั้ง แห่งความ ยึดมั่น อันเป็นทุกข์


หลักอริยสัจ

เราจะเรียนรู้ หลักความจริง เหล่านี้ ได้จากโรงเรียน คือร่างกายเรานี้ เท่านั้น ของใคร ก็ของมัน ต้องอาศัยร่างกาย เป็นที่ค้นหาความจริง เป็นครู สอนความจริง เพราะในร่างกายนี้ มีลักษณะพร้อม ทั้งเหตุ และผล พอเพียง ที่จะให้เราศึกษา หาความรู้ และ ทำความมั่นใจ ให้แก่เราได้ พระองค์ จึงตรัสไว้ว่า

"...แน่ะเธอ ! ในร่างกาย ที่ยาว วาหนึ่งนี้ นั่นเอง อันมีพร้อมทั้ง สัญญา และ ใจ ฉันได้บัญญัติ โลก (คือความทุกข์), ได้บัญญัติ โลกสมุทัย (คือ เหตุให้เกิด ทุกข์), ได้บัญญัติ โลกนิโรธ (คือความดับไม่เหลือ แห่ง ทุกข์), และได้บัญญัติ โลกนิโรธคามินีปฏิปทา (คือการทำเพื่อให้ถึง ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้น) ไว้"

ในที่นี้ ตรัสเรียก สภาพธรรมดา อันเต็มไปด้วยทุกข์ว่า โลก, เรียก ความอยาก ทะเยอทะยาน ของสัตว์โลก เพราะความยึดมั่น เข้าใจผิดว่า เหตุให้เกิดโลก, เรียก การดับความอยากเสียแล้ว อยู่สงบเป็นสุขใจ เพราะไม่ยึดมั่น และเข้าใจถูก ในสิ่งต่างๆ ว่า เป็นที่ดับของโลก, และทรงเรียก มรรคมีองค์แปดประการ ว่า เป็นวิธีให้ถึง ความดับของโลก นั้น อันเป็นสิ่งที่ สัตว์ทุกคน ควรกระทำ เป็นหน้าที่ ประจำชีวิต ของตนๆ ตามนัยนี้ เป็นอันว่า หลักใหญ่ ของพุทธศาสนา คือ การสอน ให้ดับทุกข์ ภายในใจ ด้วยการศึกษา หาความจริง ในกายตน และ หยั่งรู้ ไปถึงสิ่ง และ บุคคล ที่แวดล้อมตน อยู่ตามเป็นจริง ไม่ติดมั่น จนเกิดทุกข์ เพราะเห็น กฏแห่งอนัตตา แล้วมีใจ ปลอดโปร่งสบาย การไม่ยึดมั่นว่า เป็นตัวตน อันจะก่อ ให้เกิดการเห็นแก่ตนนั้น เป็นประโยชน์ ทั้งแก่ตน และผู้อื่น หรือแก่โลกทั้งสิ้น

คือตนเอง จะเป็นผู้มีความสุขสงบ เยือกเย็นแสนจะเย็น ส่วนผู้อื่นนั้น นอกจาก ไม่ถูกผู้นั้น มาเบียดเบียนแล้ว ยังอาจประพฤติ ตามเขา จนได้รับความสุข อย่างเดียว ไฟทุกข์ ของโลกจะดับสนิท หลักธรรมทั้งหลาย แม้จะมีชื่อเรียกต่างๆ กันหมดนั้น รวมลงได้ในหลัก คือ ความดับทุกข์ ทั้งสิ้น ความรู้ชนิดนี้ ย่อมนำให้เกิด ความเมตตา สงสารเพื่อน ที่กำลังอยู่ในทะเล แห่งสังสารวัฏ ด้วยกันอย่างแรงกล้า เพราะฉะนั้น เป็นอันไม่ต้องกล่าว ก็ได้ว่า เมตตา เป็นหลักอันสำคัญ ใน พุทธศาสนา นี้ด้วย อีกประการหนึ่ง


หลักโลกิยะ และโลกุตตระ

ผู้สำคัญในสิ่งว่างเปล่า ว่าเป็นแก่นสาร ก็คือผู้หลง หรือ เรียกตรงๆ อีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ปลูกสร้าง ฉางบรรจุความทุกข์ไว้ สำหรับตน และนั่นคือ ปกติ หรือธรรมดา ของมนุษย์ทั้งโลก ที่เรียกว่า ยังอยู่ในวิสัย โลกิยะ ไม่ใช่ โลกุตตระ คือ ผู้พ้นจากโลก ด้วยน้ำใจ บางสมัย หรือ บางเรื่อง ผู้แสวงหาทุกข์มาใส่ตน ได้มาก กลับได้รับ ความยกย่องนับถือ ทั้งนี้ เพราะพากัน หลง ในสิ่ง ที่ยังไม่รู้จัก มันดี และนับถือ โลกิยะ คนยากจน ซึ่งมีอยู่เป็นส่วนมาก ทะเยอทะยาน เงินทอง ของ มหาเศรษฐี อย่างแรงกล้า แต่มหาเศรษฐี นั้น ไม่ได้ ทะเยอทะยาน หรือ รู้สึกอะไร กี่มากน้อย ในเงินทอง ของตนเองเลย เป็นแต่ทะเยอทะยาน ต่อส่วน ที่มากขึ้น ไปกว่านั้นอีก ส่วนความหนักใจ ความหวั่นใจ เมื่อคิด เทียบส่วนแล้ว ย่อมมีเสมอกัน ไปหมด มันมีส่วนมากน้อย เท่ากับ ที่ตน สมมุติเอา ความว่างเปล่า ขึ้นเป็นตัว เป็นตน ตามมาก และ น้อย เพียงไร ใครสมมุติขึ้นมาก ก็ต้องแบกไว้มาก และหนักกว่า! พระพุทธเจ้าเอง ก็เคยทรงแบกก้อนหิน อันหนักนี้ แต่แล้ว กลับทรงสลัดทิ้งเสีย !!

เพราะพระองค์ ทรงค้นพบว่า มันคือความทุกข์ ทรมาน ของผู้เข้าใจผิด หลงเข้าไปยึดถือ เป็นของน่าสะอิดสะเอียน และตรงกันข้าม กลับเป็นของเบา สบาย สำหรับผู้ไม่หลงยึดถือ หรือสลัดทิ้งเสียได้แล้ว นี้เรียกว่า ทรงค้นพบ โลกุตรธรรม เพราะฉะนั้น พุทธศาสนา ก็คือ คำสอนให้สลัดความทุกข์ ออกทิ้งเสีย ให้พ้นจาก ความทุกข์ อันเป็นของมีประจำ อยู่ในโลกแต่อย่างเดียว ไม่หลง ประกอบทุกข์ ขึ้นแบกไว้ ไม่ใช่ให้อ่อนแอ ร้องขอแต่ความสุข ทั้งที่ไม่รู้จักทุกข์ และ สลัดมันออกไปเสีย โดยรู้ว่า ภาวะที่หมดทุกข์ นั่นแล เป็นความสุข ที่แท้, มันเป็นการ กระทำชีวิต ให้กลับกลาย มาเป็น อิสระจากสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ ตามธรรมชาติ อันยั่วยวนใจ ในโลก ภายหลังจากที่เราเองได้ยอมตน เข้าไปเป็นทาส ด้วยความโง่ อย่างยิ่ง ของเรามาแล้ว ตลอดสังสารวัฏ อันยาวยืด ซ้ำซาก ไม่มีที่สิ้นสุด ลงได้ จนกว่า เราจะรู้เท่าทันมัน ดวงใจอันข้ามขึ้น อยู่เหนือ โลก เช่นนี้ เรียกว่า โลกุตตรจิต ภาวะที่เป็นเช่นนั้น เรียกว่า โลกกุตตรธรรม โลกุตตรวิสัย, หรือ โลกุตตรภูมิ

ในวงแห่งศาสนาอื่นๆ เมื่อศาสนิกใกล้จะตาย ย่อมร้องว่า "สวรรค์ ! พระเจ้า !" แต่สำหรับ พุทธศาสนิก ที่แท้จริง จะร้องว่า "ความดับสนิท อย่างไม่มีเหลือ เป็นเชื้ออีกต่อไป !" นี้แสดงว่า เขาเหล่าโน้น ยังอยากอยู ่ในโลก - โลกสวรรค์ หรือ โลกพระเจ้า ส่วน พุทธศาสนิก มีจุดหมาย ปลายทาง คือ ความดับไม่มีเหลือ, โลกุตตระ จึงมีแต่ใน พุทธศาสนา เท่านั้น

เมื่อมนุษย์ ยังเป็นป่าเถื่อน, รู้จัก และปรารถนา ความสุข อย่างสูงสุด เพียงการได้กิน ได้เสพย์ ของอร่อยๆ พออิ่มไป ขณะหนึ่งๆ เท่านั้น แต่ความคิด ของมนุษย์ ในอันแสวงหาความสุขที่ยิ่งขึ้นไป ไม่ได้หยุดเฉยอยู่ นานเข้า ค่อยมีความเห็นแปรไปสู่ ภาวะที่สูงขึ้น จนรู้จัก และปรารถนา ทรัพย์สมบัติ แว่นแคว้น ปรารถนากามสุข จนถึงสวรรค์ อันเป็น ที่สุดยอด ของกาม นานต่อมา มีพวกหัวคิดสูง เห็นว่า สุขในกาม ก็ยังเป็น ของเสียดแทง หัวใจ เท่าๆ กับ ความหวาน อร่อยของมัน เลยนึก หาความสุข อันสูงขึ้นไป และได้ยึดเอาว่า ความมี ความเป็น แห่งชีวิต ที่ปราศจากกาม เป็นยอดสุด คือ ความเป็น พรหม นั่นเอง และบัญญัติขึ้น ในยุคนั้น ว่า ความเป็นพรหม นั่นแหละ เป็นนิพพาน คำว่า นิพพาน ที่แปล ตามศัพท์ว่า ปราศจากการเสียดแทง ได้เกิดมีขึ้นแต่ครั้งนั้น

ต่อมาอีกนาน พระพุทธเจ้า อุบัติขึ้น และทรงค้นพบว่า ภาวะ แห่งพรหม ก็จังไม่เที่ยง แปรปรวน และแตกดับ เช่นเดียวกับ สิ่งที่ต่ำกว่า อื่นๆ จะเรียกว่า นิพพาน หาได้ไม่ ยังเสียดแทงอยู่อย่างละเอียด เพราะยังมี ความสำคัญว่า ตัวตนอยู่ จะต้องเสียดแทงใจ ในเมื่อมันแตกดับ เพราะยังมี ความอยาก ความปรารถนาในทางที่แม้ไม่ใช่กาม ก็จริง ตัณหา ยังมีอยู่ จึงทรงบัญญัติ ความดับไม่เหลือ เป็นตัวตน สำหรับยึดถืออีกต่อไปว่า เป็นตัวนิพพาน อันแท้จริง อันจะไม่มีใครมาบัญญัติ ความสุข ให้สูงกว่านี้ ขึ้นไปได้อีก โลกุตตรธรรม หรือ นิพพาน ที่แท้จริง จะมีแต่ในพุทธศาสนา นอกนั้น ยังอยู่ในวิสัยโลก ทั้งสิ้น ต่างกันสักว่า ชื่อ เป็นมนุษย์โลกบ้าง เทวโลกบ้าง พรหมโลกบ้าง


พุทธศาสนา กับวิทยาศาสตร์

หลักแห่งพุทธศาสนา แปลกจากศาสนาอื่น ทั้งหลาย โดยเป็น ศาสนา แห่งวิชาความรู้ ที่ทนต่อการพิสูจน์ ของใครๆ ได้ทั้งสิ้น ดังที่ตรัสไว้ว่า ธรรม ในพุทธศาสนา ย่อมทนต่อการพิสูจน์ได้3 คือ ท้าให้ใครพิสูจน์ได้ทุกอย่าง จนผู้พิสูจน์ พ่ายแพ้ภัยตัวเอง หมดมานะ กลับใจ ยอมนับถือ พุทธศาสนา คำที่กล่าวกันว่า พุทธศาสนา เหมือนกัน หรือเข้ากันได้ กับ วิทยาศาสตร์นั้น มีผู้ตีความกันว่า เพราะพุทธศาสนา แยกสังขาร ร่างกาย ออก วิเคราะห์ หาความจริง เช่นเดียวกับ วิทยาศาสตร์ แผนปัจจุบัน แยกธาตุต่างๆ ออกหา คุณสมบัติ ชั้นละเอียด

ข้าพเจ้าเห็นว่า คำกล่าวนั้น ยังไม่เพียงพอ กับคุณค่า อันสูงสุดแท้จริง ของพุทธศาสนา เพราะถ้า กล่าวเช่นนั้นแล้ว วิชา สรีรศาสตร์ หรือ แพทย์ศาสตร์ อันเกี่ยวกับการแยกตรวจร่างกาย ก็จะกลายเป็น พุทธศาสนาไปส่วนหนึ่งด้วย ที่แท้ ควรกล่าวว่า เหมือนกันโดยที่ หลักวิทยาศาสตร์ ก็ทนต่อการพิสูจน์ อาจทำการ พิสูจน์ให้ดูเอง หรือยอมให้ใครพิสูจน์ ได้ทุกท่า ทุกทาง จนเขาหมดท่าจะพิสูจน์ เพื่อโต้แย้งอีกต่อไป และหมดความสงสัย เช่นเดียวกับพุทธศาสนา ยอมให้ใครเพ่งพิสูจน์ซักไซร์อย่างไร ก็ได้ ยอมทนอยู่ได้ จนเขาหมดวิธีพิสูจน์ และต้องเชื่อ สัจจะย่อมไม่ตาย !

คำว่า วิทยาศาสตร์ ในที่นี้ หมายถึง วิชา (Science) ที่แท้จริง ทุกๆ อย่าง ไม่เฉพาะแต่การแยกธาตุ (Chemistry) เท่านั้น แม้คณิตศาสตร์ (Mathematics) ก็เป็นวิทยาศาสตร์ ในที่นี้ด้วย ถ้าท่านสงสัยว่า วิชาเลข หรือ คณิตศาสตร์ จะทนต่อพิสูจน์ ได้เหมือน พุทธศาสนา อย่างไร ก็จงลองคิดดูอย่างง่ายๆ ที่สุดว่า ๒+๓=๕ เป็นต้นนี้ มันเป็นความจริงเพียงไร มีใครบ้างที่อาจพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ๒ บวก ๓ ได้ผลเป็นอย่างอื่นนอกจาก ๕ ใครจะพิสูจน์ โดยวิธีไร กี่ร้อยกี่พันเท่า ก็ตาม มันยังคงเป็น ๒+๓=๕ อยู่เสมอ เป็นหลักที่แข็งแรง ยิ่งกว่าภูเขาหินแท่งทึบ อันอาจหวั่นไหวได้ โดยธรรมชาติ หรืออุตุนิยมแปรปรวน หลักความจริง แห่งวิทยาศาสตร์ เหล่านี้มั่นคง มีอุปมาฉันใด พุทธศาสนา ก็มีหลักแห่งความจริง หนักแน่นมั่นคง ฉันนั้น

แม้จะขนเอาการแยกธาตุ และตรวจค้นพิสูจน์ อย่างที่เรียกว่า วิทยาศาสตร์แผนใหม่ ทั้งหมดมาเป็นเครื่องมือพิสูจน์ ก็ไม่อาจ พิสูจน์ พุทธศาสนา ให้เศร้าหมองไปได้ เช่น พิธีต่างๆ เป็นต้น มาพิสูจน์ในนามว่า พุทธศาสนา ก็แล้วกัน ความจริง หรือพุทธศาสนา จะยังคงอยู่ชั่วโลก ไม่มีสมัย หรือขีดขั้น กำหนดเวลาอายุ เพราะเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติ เพื่อชำนะ ธรรมชาติด้วยความจริง เช่นนี้ ยังมิเป็นเครื่องชี้ อันเด่นชัดว่า พุทธศาสนา เข้ากันได้กับ วิทยาศาสตร์ ซึ่งโลกปัจจุบัน ย่อมบูชาอย่างสนิททั่วหน้า โดยลักษณาการอย่างไรเจียวหรือ? และข้อสำคัญที่สุด ก็คือ เมื่อมีแต่พุทธศาสนาเท่านั้น ที่เข้ากันได้กับวิทยาศาสตร์ของโลกแล้ว จะยังมีศาสนาไหนอีกเล่า ที่จะเป็นศาสนาแห่งสากลโลก นอกจากพุทธศาสนา ?"


โมกขพลาราม
๑ กรกฏาคม ๒๔๗๗

...................................

หมายเหตุส่วนตัว :- ที่จริงศาสนาทั้งหลายมี จุดมุ่งหมาย อย่างเดียวกัน คือความสุข ถ้าจะปรับกันเข้าให้สนิทก็จะลงกันได้เป็น ศาสนาเดียวกัน ! ใครมีคุณสมบัติแค่ไหน ย่อมอยู่ในระดับแค่นั้น เหมือนพี่น้อง หรือ ผู้มีคุณวุฒิ ยิ่งหย่อนกว่ากัน ยืนเรียงแถวกันตามลำดับวุฒิ ก็จะมีแต่ ศาสนาเดียวในโลก ! ขอแต่ อย่าถือเราถือเขา ถึงกับพยายาม ทำลายเพื่อนศาสนาอื่น เพื่อประโยชน์ตน ด้วย "การรุกเงียบๆ" อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็แล้วกัน หลักศาสนาอื่นทั้งหลาย มีเพียง โลกิยะ ไม่พ้นไปได้ ส่วนพุทธศาสนา ยังมีสูงขึ้นไปถึงโลกุตตระด้วย มีทั้งสองอย่าง ใครจะเลือกเอาอย่างไหนก็ได้ หลักโลกุตตระ หรือที่เกี่ยวกับ โลกุตตระ เท่านั้น ที่พุทธศาสนา มีอยู่อย่างที่ศาสนาอื่นไม่มีเสียเลย จึง "อม" ศาสนาอื่นๆ ไว้ได้ทั้งหมด

พุทธทาส.


หมายเหตุประกอบ

๑. ศาสนาคริสต์และอิสลาม แม้เกิดทีหลังพุทธศาสนา แต่กลับไปมีหลักอย่างเดียวกับ ศาสนาพราหม์ในอินเดีย ซึ่งมีอยู่ก่อนศาสนาพุทธ ก็เพราะมีมูลรากไปจากศาสนานั้น โดยพวกที่ถือพระเจ้าแต่องค์เดียวของพราหม์ยุคนั้น แยกพวกจากอินเดียข้ามแดนไปทางตะวันตก คือ ปาเลสไตน์และอาหรับ (ดูพิสดารในเทศนาเสือป่า)

๒. ดูเรื่อง "ใครทุกข์? ใครสุข?" ประกอบ จะได้ความชัดเจน เมื่อสงสัยว่า ไม่มีตัวตนแล้ว ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

๓. ตรัสว่า "...เมื่อเขาใคร่ครวญต่อเนื้อความแห่งธรรมอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมทนต่อการพิสูจน์ได้ เมื่อธรรมทั้งหลายทนต่อการพิสูจน์ได้ เขาย่อมเกิดความพอใจและความขยันขันแข็ง.." จังกีสูตร ม.ม. ไตร, ล. ๑๓ น. ๖๐๕ บ. ๖๕๘.



...........................................................

จากหนังสือชุมนุมเรื่องสั้น พุทธทาสภิกขุ
พิมพ์ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๓๘
โดยสำนักพิมพ์สุขภาพใจ

ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1517

สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของคนเรา


สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของคนเรา คือ ชีวิต และเราจะเป็นเจ้าของชีวิตได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น"


...คุณจะไม่มีวันได้สิ่งที่คุณพอใจ... จนกว่าคุณจะได้เรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่คุณมี...

...อย่าปล่อยให้ชีวิตเป็นไปอย่างไร้จุดหมาย...  ผู้ที่มีชีวิตอยู่แต่ไม่ยอมต่อสู้ชีวิต คือ... ศพเดินได้...

...อุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุดของความสำเร็จ ก็คือ... การล้มเลิกกลางคัน...


๐ เคารพและให้เกียรติ ๐

๐ เคารพและให้เกียรติ ๐

“...ไม่ว่าเธอจะเป็นพระหรือฆราวาส ถ้าเธอเป็นผู้ปฏิบัติตามพุทธธรรมอย่างบริสุทธิ์แท้จริง
เธอจะสามารถลุถึงความเคารพนอบน้อมในทุกแห่งที่เธอไป และเธอจะได้พบกับมรรคาที่ชัดเจนและกว้างขวาง
ถ้าเธอสามารถมีจิตใจที่เปิดกว้างเช่นนี้ เธอจะไม่มีความเห็นแก่ตัวในจิตใจ และในทุกสิ่งที่เธอทำ
เธอจะทำเพื่อผู้อื่น ไม่ว่าเธอจะไปแห่งใด ผู้คนก็จะต้องการติดต่อสัมพันธ์กับเธอ
และในขณะที่เธอสามารถติดต่อสัมพันธ์กับทุกๆคนได้นั้นเอง
เธอก็จะสามารถติดต่อสัมพันธ์กับพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ นี่คือประสิทธิผลอันยิ่งใหญ่ของความเคารพนอบน้อม

เราควรจะดูแบบอย่างจากพระพุทธองค์ในการเรียนรู้วิธีการแสดงความเคารพ
พระพุทธเจ้าศากยมุนีไม่เพียงแต่จะทรงแสดงความเคารพและให้เกียรติแด่พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย
แต่พระองค์ยังทรงแสดงความเคารพต่อสรรพสัตว์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นี่คือสาระสำคัญของพุทธศาสนา...

...เธอควรนำวิธีการให้เกียรติและการเคารพต่อทุกๆคนรอบตัวเธอดังเช่นนี้มาใช้
ก็ด้วยความเคารพให้เกียรติอันไม่มีประมาณเช่นนี้แหละ เธอจะไม่สูญเสียความสงบในใจของเธอ
เธอไม่เพียงแต่ควรแสดงความเคารพต่อผู้ที่เป็นคนดี เธอควรแสดงความเคารพต่อผู้ที่เป็นคนไม่ดีด้วย
เพราะว่าสิ่งใดก็ตามที่คนเหล่านี้ได้กระทำให้ตนเองเป็นคนไม่ดี ก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
เธอควรจะนำทัศนคติแห่งความเสมอภาคต่อทุกๆคนมาใช้
และเมื่อนั้นเธอจะไม่มีความโกรธหรือความเกลียดชัง จิตใจของเธอจะสงบ บริสุทธิ์ และมั่นคง

พระพุทธเจ้าคือบุคคลแบบใด? พระองค์คือผู้ที่ให้ความสำคัญแก่ผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอ
คือผู้ที่ไม่มีความคิดความปรารถนาเพื่อตนเอง เพราะพระองค์ทรงมีจิตใจเช่นนี้
พระองค์จึงสามารถอุทิศทุกๆสิ่งที่ทรงมีให้แด่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
ถ้าเธอสามารถดำเนินตามอย่างที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้
เธอก็จะไม่มีความปรารถนาและความเห็นแก่ตัว และด้วยความไม่เห็นแก่ตัว
การกระทำของเธอจะแสดงความซื่อตรงในทุกแห่งที่เธอไป
เธอจะเผยให้เห็นความบริสุทธิ์และความซื่อตรงในทุกการกระทำของเธอ...”

 

/พระอาจารย์เหรินจุ้น (พ.ศ.๒๔๖๒ – ๒๕๕๔) พระอาจารย์ผู้ก่อตั้ง Bodhi Monastery
เมืองซัสเซ็กซ์ เคาน์ตี รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

Bodhi Monastery มุ่งเผยแผ่พุทธธรรมโดยไม่แบ่งแยกนิกาย
ตามประณิธานของพระอาจารย์อิ้นซุ่น พระอาจารย์ผู้เป็นปราชญ์รูปสำคัญของพุทธศาสนาในจีน
(และเป็นอาจารย์ของท่านเหรินจุ้น)
ซึ่งมุ่งให้ความสำคัญแก่การศึกษาแก่นแท้ของพุทธศาสนามากกว่ารูปแบบหรือขั้นตอนในพิธีกรรมของนิกายต่างๆ

*ส่วนหนึ่งมาจากพระะรรมเทศนา Respect: The Basis for Compassion and Wisdom
รวมอยู่ในหนังสือ Great Bodhi Mind: A Collection of Dharma Talks By Ven. Jen-chun

ฉบับเต็ม pdf (ภาษาอังกฤษ) โหลดได้ฟรีจากเว็บของ Bodhi Monastery ที่http://bodhimonastery.org/docs/renjun/great_bodhi_mind_by_ven_jenchun.pdf ครับ

20 ข้อ ที่ควรรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 40.




1. ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไป เอาแค่พอใช้ได้ก็พอ
เพราะโลกแห่งความเป็นจริง วัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ที่เกรด

2. การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสำคัญมาก
พอๆ กับการคร่ำเคร่งหน้าตำราเรียน

3. เลือกงานที่เราชอบนั้นใช่ แต่อย่าลืมด้วยว่า
อาชีพนั้นสามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือเปล่า
ถ้าไม่ใช่ ก็อย่าหลอกตัวเอง

4. เมื่อถึงวัยทำงาน ใครเก็บเงินก่อน รวยเร็วกว่า
และสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ คือ
"ชีวิตที่ไม่มีหนี้ คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด"

5. หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอโดยเร็วที่สุด
เพราะมันจะเป็นเครื่องนำทางของคุณ ในชาตินี้ตลอดไป

6. ซื้อบ้านก่อน ที่จะซื้อรถ
เพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รถมีแต่มูลค่าลดลง
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด

7. ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมาก
รีบใช้ให้หมดโดยเร็วพลัน ก่อนที่จะแก่ แล้วผ่อนไม่ไหว

8. การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรก สู่ความร่ำรวย
แต่ขั้นต่อมา คือ ต้องรู้จักลงทุน

9. อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลกใบนี้
เพราะคุณจะไม่มีทางรู้ว่า วันหนึ่ง
เขาอาจจะยิ่งใหญ่มาก จนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้

10. คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้

11. ควรมีงานทำมากกว่า 1 งาน
เพราะความมั่นคง ไม่เคยมีบนโลกใบนี้

12. อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้แค่อย่างเดียว
เพราะความสามารถของคนเรา มีมากกว่า 1 เสมอ

13. เมื่อมีโอกาสใดก็ตามเข้ามา จงอย่าปฏิเสธ
ถึงจะล้มเหลว แต่มันก็คือ ประสบการณ์

14. สร้างเนื้อ สร้างตัวให้ได้เร็วที่สุด
ในขณะที่คุณยังมีกำลัง ยังเป็นหนุ่ม-สาว
เพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงอายุมาก ไม่ใช่เรื่องสนุก

15. ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มสาว
เพราะเมื่อมีครอบครัว การเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม

16. เลือกคู่ชีวิต จงคิดให้ดีๆ อย่าดูแต่ข้อดีของเขา
แต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้มากแค่ไหน

17. การมีแฟน หรือสามีภรรยา ยังเลิกกันได้
แต่ความเป็น พ่อแม่ลูก นั้นเลิกกันไม่ได้
เพราะฉะนั้น ควรดูแลพวกเขาให้ดีๆ

18. ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหน
ก็ไม่สามารถทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้

19. ลองหาเวลาอยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้าง
อย่าแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียว และอีกอย่าง
งานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต

20. สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง
โปรดถนอมตัวเองให้มาก เมื่อยังเป็นวัยรุ่น
อย่าใช้ชีวิตให้หนักเกินไป

ผู้เขียน : พี่บอย Wisoot Sangarunlert
เจ้าของข้อเขียน "20 ข้อที่ควรรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 40"
โดยเขียนบทความนี้ไว้ในนิตยสาร MiX magazine
ฉบับเดือนเมษายน 2556

การละบาปนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า

การละบาปนี้  เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า
การทำบุญ

ผู้มีความเพียรอย่างแรงกล้า
เท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง

การไม่กังวล  การไม่ยึดถือ
นั่นแหละคือวิหารธรรมของนักปฏิบัติ

อย่าทำ...... ในสิ่งที่ไม่มีสิทธิ
อย่าคิด.......ในสิ่งที่ไม่มีค่า
อย่ารอ........ในสิ่งที่ไม่มีมา
อย่าไขว่คว้า..ในสิ่งที่ไม่มีจริง

ธรรมะรักษาครับ

ถวิล  พัวภูมิเจริญ   ธีรสิทธิ์  อมรแสนสุข

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 41 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - พระคุณแม่

มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุรักพ่อ41 พระคุณแม่

รายการรักพ่อ41 พระคุณแม่ ตอนพิเศษ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม 2555 พบกับ สารคดี "พระเมตตาดั่งสายธาร" ป่ารักน้ำ ,​รอยยิ้มของแม่จากศิลปินเพื่อชีวิต จีน ปุถุชน,​ การรวมใจถวายพระพรด้วยบทกวีจาก 8 สุภาพสตรี วารินทิรา เขียวจันทร์, วรพนิต นวลสกุล, กาญจนรัตน์ ฉ่ำมณี, สุลาลัย เหลาเจริญ, มณีรัตน์ ไพบูลย์ธัญญาพร, Nopparos Chantamit, จุรีรัตน์ จันทร์เลื่อน , การเปิดใจอย่างน่ารักของจากลูกถึงแม่ และอย่างสุดซึ้งจากแม่ (จันทนา สุวรรณดารา)ถึงคุณยาย ของครอบครัวสุวรรณดารา

http://www.youtube.com/watch?v=JUQqUkBlGno



เทคนิคเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์หน้าหนาว

เทคนิคเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์หน้าหนาว ใส่ฟางข้าวแห้ง 1/2 บ่อ (เปลี่ยนทุกสัปดาห์) ยกฟางออก + ให้อาหาร แล้วปิดทันที เพื่อไม่ให้รบกวนการกินอาหารของกบ
จาก SmS Farmer Info - 11 พ.ย.2556

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หุ่นกระบอกบิน ตุ๊กตาหิน ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล

หุ่นกระบอกบิน ตุ๊กตาหิน
ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล

     เด่นนั่งอยู่ที่ม้าหินริมสระน้ำในวัดแห่งหนึ่ง มองตุ๊กตาจีนทำจากหินสีเขียวตัวหนึ่ง เหมือนกำลังระลึกถึงใครสักคน ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตเขา เขาเป็นเจ้าของกิจการธุรกิจติดตั้งระบบสูบน้ำเพื่อบำบัดน้ำเสีย งานล่าสุดของเขาคือ ปรับปรุงสระน้ำในวัดนี้ จากสระเก่าสกปรกให้เป็นสระที่มีระบบกรองน้ำด้วยถังทราย ถ่านแกลบ ให้สามารถนำน้ำมาใช้ได้ในบางกิจกรรมที่ไม่ต้องการน้ำสะอาดอย่างน้ำประปา เช่นรดน้ำต้นไม้ ล้างพื้น หรือนำน้ำที่กรองแล้วบางส่วนไปฆ่าเชื้อต่อด้วยหลอดรังสียูวีก่อนนำไปราดห้องน้ำ งานของเขาเสร็จแล้ว แต่เขากำลังนึกถึงป้าของเขาซึ่งเป็นเจ้าของร้านเจ้าของขายของชำ

...................................................

     ร้านขายของชำของป้าที่ต่างจังหวัด เป็นร้านขายของชำที่ดีที่สุดเท่าที่เด่นเคยรู้จัก แตกต่างกับร้านขายของชำแถวบ้านเด่นอย่างสิ้นเชิง ร้านแถวบ้านมักจะอมของแถมเป็นประจำ เช่นไม่แจกจานตามเงื่อนไขทั้งที่ซื้อนมข้นหวานสิบกระป๋อง ของก็เก่าเลือกก็ไม่ได้ เช่นยาสีฟันที่ใส่ตู้ตากแดดจนกล่องมีสีซีดจาง อาหารกระป๋องที่บุบ เทปกาวที่เหลืองจนใช้ไม่ได้ในห่อ หลอดไฟที่ขาด ซึ่งพอแกะแล้วก็ไม่ให้เปลี่ยน และที่ฝังใจมากที่สุด คือโกงเกมส์จับฉลากเบอร์ละบาท ในสมัยนั้นปืนฉีดน้ำราคายี่สิบบาท มีฉลากเหลืออยู่สิบใบ จับจนหมดสิบเบอร์ยังไม่เจอเบอร์ที่ตรงกับปืนฉีดน้ำ ทราบจากเด็กที่โตกว่าภายหลังว่า ทางร้านแอบฉีกหนึ่งเบอร์ เอาเบอร์ที่ฉีกออกนั้นเขียนเป็นรางวัลปืนฉีดน้ำให้ลูกเขาเล่นเอง เมื่อมีร้านสะดวกซื้อและห้างค้าปลีกมาเป็นแหล่งซื้อของทางเลือกใหม่ เด่นก็รู้สึกสะใจที่ร้านนั้นเจ๊งไป หนึ่งในเหตุการณ์ประทับใจของเด่นเกี่ยวกับร้านขายของชำของป้า เกิดขึ้นในวัยเด็ก ขณะที่แม่ของเด่นพาเด่นไปเยี่ยมป้าที่ร้านขายของชำของป้าในต่างจังหวัด   ในวันนั้นมีคนดูยากไร้มาเดินมองๆ ข้าวสารที่ร้านขายของชำแห่งนั้น ในขณะที่เจ้าของร้านนั่งอยู่ หากเป็นร้านอื่นบางร้าน คนยากไร้คนนั้นคงโดนไล่ว่า อย่ามายืนขวางหน้าร้าน แต่ภาพที่เด่นเห็นคือ ป้าไปหยิบถุงพลาสติกไปชั่งข้าวให้คนยากไร้คนนั้นหนึ่งกิโลกรัม พร้อมให้หัวไช้โป๊วแห้งไปอีก ปากก็บอกว่า “ไม่มีเงินก็เอาไปกินเถิด ชั้นให้”

     เมื่อคนยากไร้ได้ข้าวก็ดีใจ ยกมือไหว้ อวยพรเสียยกใหญ่ ก่อนจากไป เด่นจึงถามป้าว่า “ให้ไปเปล่าๆ เลยเหรอครับป้า ผมว่าให้เปล่าๆ อย่างนี้ขาดทุนแย่” ป้ากลับตอบมาว่า “เค้าอดจริงๆ ให้เค้าไปเถอะ ถ้าเค้าไม่มีกิน เค้าก้อต้องขโมย มันบาป” แม้เด่นจะคิดว่า หากมีคนใจดีแบบนี้อยู่มากๆ คนจนคงงอมืองอเท้า ไม่ดิ้นรนทำมาหากิน แต่เด่นก็อดประทับใจคุณป้าไม่ได้ เท่าที่แม่เล่าให้ฟัง ป้าเป็นคนใจดี ใครชักชวนเอ่ยปากให้ร่วมบุญร่วมทานใด ป้าไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง ร่วมบุญทุกครั้งที่มีโอกาสมาโดยตลอด

     เด่นทำงานรับเหมาเกี่ยวกับการออกแบบระบบบำบัดน้ำเสียซึ่งไม่มีกำไรมากนัก แต่พออยู่ได้ไม่เดือดร้อนเพราะเด่นดำเนินธุรกิจแบบมีกรอบคุณธรรม ไม่ขูดรีดกำไรจนเกินไป แบบที่ป้าและพ่อแม่สอนสั่ง ส่วนป้ายังเปิดร้านขายของชำที่ต่างจังหวัด พออยู่ได้เช่นกัน เพราะร้านสะดวกซื้อและห้างค้าปลีก ยังไม่สนใจหมู่บ้านเล็กๆ ป้ายังขายของอยู่ เพราะเหตุผลว่าคนในหมู่บ้านจะเข้าเมืองก็ลำบาก ขายของให้เขาจะได้สบายๆ ไม่ต้องเดินทางไกล Facebook ทำให้เด่นยังได้คุยกับลูกพี่ลูกน้องรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่เป็นลูกของป้า เขาได้รู้และรู้สึกยินดีกับป้าและลุงเขยที่เพิ่งจะขายที่ดินจำนวน 10 ไร่ ได้เงินมากพอที่จะไปซื้อที่ดินที่จังหวัดนครสวรรค์เกือบ 300 ไร่ เพื่อเริ่มการปลูกยาง ไม้เศรษฐกิจที่กำลังมีราคาดี และจะกันที่ปลูกข้าวเพื่อทำสวนเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง เด่นรู้สึกว่าสวรรค์ได้ตอบแทนคนดีๆ อย่างท่าน ถ้าเด่นเดาไม่ผิด คุณป้าคงกันที่ไว้ปลูกข้าว ปลูกกล้วย เพื่อแจกคนจนแน่นอน ว่าแล้วเด่นจึงส่งข้อมูลแบบการสร้างจักรยานสีข้าว จักรยานสูบน้ำ กังหันลมสูบน้ำจากถัง 200 ลิตรใบเก่า เครื่องกรองน้ำจากถังเก่าใส่ทรายและถ่านแกลบ ไปให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาพิจารณา เผื่อว่าจะได้เอาไปให้คุณป้าใช้งานในสวน

     ภาพความสุขของครอบครัวป้ามีอยู่ได้ไม่นานนัก เหมือนสวรรค์เปลี่ยนใจมากลั่นแกล้ง หลังจากนั้นไม่นาน เด่นได้ทราบว่า ป้าป่วยเป็นมะเร็ง เด่นเกิดความสงสัย คนใจบุญที่ทำดีมาทั้งชีวิตแบบป้า ไม่น่าจะไม่ต้องมาประสบชะตากรรม พบเรื่องราวร้ายๆ หรือว่าผลบุญไม่ช่วยป้าเลย รับรู้ข่าวของป้ามาโดยตลอด รับรู้ว่าป้าต้องทนทุกข์ทรมานกับการรักษามะเร็งด้วยยาเคมีบำบัด อยู่เนิ่นนาน จนป้าบอกว่าจะไม่ไปรักษาแผนปัจจุบันอีกแล้ว ด้วยความห่วงใยคุณป้า แม่และเด่นพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับ หมอสมุนไพรที่มีจรรยาบรรณและเชื่อถือได้ จนในที่สุดก็เจอหมอดีเข้า หมอคนนี้มีสูตรยาต้มที่ระงับมะเร็งได้ คนป่วยยากจนที่ไม่มีเงินไปรักษากับแผนปัจจุบันมารักษากันมาก และส่วนใหญ่ได้ผลดีด้วย มีหลักฐานยืนยันจากผู้ป่วยหลายราย ซึ่งดีขึ้นจากการแพทย์ทางเลือกนี้ เด่นลงทุนไปหาหมอในวันหยุด เมื่อพบกับหมอแล้วยิ่งเกิดความศรัทธา บ้านหลังเล็กมีสมุนไพรอยู่เต็ม มีคนป่วยมาพบมากพอควร ในระหว่างที่รอคิวพบหมอ ก็พบเจ้าหนี้ของหมอยา มาทวงหนี้และค่าเช่าบ้านข้างๆ ที่หมอยาเช่าใช้เป็นที่เก็บยา เจ้าหนี้คนนี้ใจดีมาก แกมาถามดีๆ ว่า เดือนนี้มีจ่ายไหม หมอยาบอกขอผัดผ่อนไปก่อน พร้อมให้เหตุผลว่า เดือนที่แล้วคนจนมารักษาเยอะ เลยต้องรักษาฟรีไปบ้าง รับเงินพอแค่เขามีจ่ายบ้าง เจ้าหนี้ก็ยิ้มไม่ว่าอะไร บอกว่าไม่เป็นไร สำหรับหมอมีเมื่อไรค่อยจ่ายก็ได้ เมื่อถึงคิวเด่นซึ่งขอพบหมอเป็นคนสุดท้าย หมอกลับไม่ยอมจ่ายยา บอกว่าอยากให้พาคนป่วยมาดูสภาพ ถ้าทำได้ ถามแค่ว่ายังกินข้าวดื่มน้ำเองได้นะ เพราะต้องกินยาต้ม เด่นถามหมอว่า ทำไมไม่ขึ้นราคายาละครับ จะได้มีเงินจ่ายหนี้ ซื้อบ้านข้างๆ ที่ปกติเช่าเป็นคลังเก็บยา หมอตอบกลับด้วยคำพูดที่เด่นประทับใจว่า “จะเอาอะไรหนักหนา กับคนเจ็บคนป่วย แค่เขาเจ็บป่วย เขาก็ทุกข์ทรมานมากพออยู่แล้ว”

     เด่นเชื่อว่าสวรรค์กลับมาช่วยคุณป้าแล้ว ป้าจะได้เจอหมอดี  และจะรีบพาป้ามาหาหมอ บุญย่อมรักษาคนดี เจอหมอดีขนาดนี้ ในที่สุดป้าก็ได้ไปซื้อยากินตามคำแนะนำของเด่น เด่นดีใจที่รู้ว่าป้ามีกำลังใจขึ้นมามาก ใช่สิ สวรรค์ต้องคุ้มครองคนดีๆ เด่นคอยลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ ว่าอาการป้าจะดีขึ้นไหม คอยถามข่าวอยู่อย่างสม่ำเสมอ แล้วก็เป็นไปตามคาด แค่เจ็ดวันป้าก็ดีขึ้น เพราะไม่มีอาการปวดกระดูกเหมือนเคย แต่ยังเหนื่อยหอบอยู่ เด่นคิดว่า แน่นอน คนดี สวรรค์ย่อมคุ้มครอง ดลใจให้ เจอหมอดียาดี อาการก็ต้องดีขึ้น

     แต่แล้ววันที่แปดก็ได้ข่าวว่า ป้าไม่ยอมกินอะไรเลย วันนึงกินข้าวคำสองคำ แต่ลูกป้าอีกคนที่เฝ้าไข้อยู่ ก็พยายามหยอดยาตามลงไปในปากของแกไม่ให้ขาด หยอดได้ 1-2 ช้อน ไม่เต็มแก้ว เช้าเย็นอย่างเคย เด่นรู้สึกไม่สบายใจจนกังวล เพราะยาที่เขาแนะนำไม่ถูกกับโรคหรือเปล่า ป้าทรุดเพราะ ยานั้นหรือเปล่า


     คืนหนึ่งเด่นฝันไป เด่นฝันว่า ได้เทียวไปเทียวมา ซื้อยาไปให้ป้ากินอยู่หลายต่อหลายเที่ยว แต่ป้าก็ไม่ดีขึ้น จากยาหนึ่งชะลอม เป็นสองชะลอม จนเป็นห่อใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อวางห่อยาขนาดใหญ่ลง แกะผ้าห่อออก ปรากฏว่าในห่อใหญ่ กลับกลายเป็นโลงศพขนาดใหญ่สวยงามสีขาว มีลายเขียนสีเป็นสีทอง เปิดโลงศพดูพบเพชรเม็ดใหญ่อยู่หนึ่งเม็ด ในโลงศพนั้น แล้วก็มีฝูงหุ่นกระบอกผู้หญิงบินได้เป็นจำนวนมากแต่ละตัว สวยงามมีอาภรณ์ประดับแวววาวระยิบระยับทุกตัว บินลงมาวนเวียนที่ตัวเด่น หุ่นกระบอกที่สวยงามตัวหนึ่ง กล่าวกับเด่นด้วยเสียงเล็กแหลมว่า “รักษาไม่หาย ยังไงก็ต้องตาย ใส่โลงศพนี้ แน่นอน” เด่นสะดุ้งตกใจตื่น ดูนาฬิกาพบว่าเป็นเวลา 2:55 น. ของวันใหม่ เกิดความสะพรึงกลัวในความฝันอย่างบอกไม่ถูก จนถึงขั้นไม่กล้าลุกไปเข้าห้องน้ำทั้งที่ปวดปัสสาวะอยู่นาน ตอนสาย ลูกพี่ลูกน้องของเขาประกาศข่าวการเสียชีวิตของคุณป้า ว่า “แม่หลับสบายแล้ว ต่อไปจะได้ไม่ต้องเจ็บต้องปวดอีก”

ทราบภายหลังว่าป้าสิ้นลมในเวลา 3:05น.
_______________________________

    ความดีที่คุณป้าทำมาตลอดชีวิตไม่ได้ช่วยป้าเลย เด่นคิดว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เด่นเลิกเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ คิดว่ามันเป็นเรื่องหลอกคนให้ง่ายต่อการปกครองในสมัยก่อน เริ่มใช้ชีวิตอย่างไร้ศีลธรรม และพบว่าชีวิตของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ รายได้มากขึ้นจากการขูดรีดเอากำไรจากคนที่ไม่รู้ ขายของถูกๆ ในราคาแพง เมื่อกล้าขูดรีดเอากำไรครั้งหนึ่ง ก็กล้าทำขึ้นเรื่อยๆ อย่างย่ามใจ จนในที่สุดก็ได้รับงานใหญ่มา เป็นการปรับปรุงบ่อน้ำโบราณอายุสองร้อยปีเศษในวัดแห่งหนึ่ง รายละเอียดคือ เปลี่ยนสระน้ำซึมที่ถูกละเลยจนน้ำเน่า ขยะเต็ม ให้มีสภาพดีขึ้น ติดเครื่องสูบ ไปลงเครื่องกรองที่ใช้ทราย ถ่านแกลบ กรวด หิน ให้น้ำที่เคยขุ่นมีตะไคร่ใสขึ้น เพื่อนำน้ำไปรดน้ำต้นไม้ ล้างพื้น และ ราดส้วม เพื่อที่จะลดปริมาณการใช้น้ำประปา น้ำส่วนใหม่จากดินรอบๆจะซึมเข้ามา (ไม่ใช่น้ำบาดาลใต้ดินลึกๆ ที่หากสูบขึ้นมาใช้มากเกินไป อาจส่งผลให้ดินทรุดตัว) ทำให้น้ำมีสภาพดีขึ้น งานนี้กำไรมหาศาลรออยู่ ผู้ตรวจรับเป็นพระสงฆ์ที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องสูบน้ำ และทางวัดก็จ่ายสดไม่มีเชื่อด้วย ขอเบิกเท่าไรก็ให้ตลอดไม่มีปฏิเสธ เพราะมีเจ้าภาพหลายคนร่วมทอดผ้าป่าถวายเงินไว้แล้ว อีกทั้งหัวหน้าคณะของเจ้าภาพ ก็เป็นเศรษฐีหุ้น พร้อมเพิ่มเงินให้หากเงินไม่พอ
_______________________________

ในที่สุดวันส่งมอบงานให้ทางวัดก็มาถึง พระสงฆ์องค์เจ้าประทับใจในผลงานมาก งานสมบูรณ์จนแทบจะไม่มีที่ติ จนหลายคนถามเด่นว่าทำงานดีขนาดนี้จะมีกำไรเหรอ เด่นยิ้มอย่างพอใจ บอกว่า “เอาน่า ถือว่าร่วมทำบุญละกัน ปกติคนเราทำบุญค่าน้ำประปาให้วัด ก็ประหยัดแค่เงินที่ถวายนั้น แต่ถ้าเราถวายระบบที่ช่วยประหยัดน้ำได้ในระยะยาว วัดก็ประหยัดเงินได้มาก แถมยังมีจักรยานสูบน้ำเป็นพลังงานทางเลือกลดการใช้ไฟฟ้า แถมพระเณรชาวบ้านรอบวัดได้ออกใช้เป็นที่ออกกำลังกายได้อีกด้วย” เด่นได้กลับใจ ทุ่มเททำอุปกรณ์ทุกอย่างที่เคยคิดจะ ทำให้ป้าใช้ ที่สวนสามร้อยไร่ของป้า ซึ่งสุดท้ายไม่ได้ทำ เพราะ ป้าเสียไปซะก่อน
_______________________________

     เด่นไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจไม่ขูดรีดวัดอย่างที่ตั้งใจทำในตอนแรก เนื่องจากความฝันของเขา ในคืนหนึ่งในระหว่างที่รับงาน ณ วัดนี้ เด่นไม่อยากเล่า เพราะมันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล และคนบางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เย็นวันหนึ่ง เด่นยืนที่ริมสระในวัดนึกในใจ ว่า “ป้า ค้าขายแบบป้าเมื่อไรจะรวย ต้องขูดรีดแบบผม ตั้งแต่ผมเริ่มทำธุรกิจแบบเอาเปรียบ ขูดรีดคนที่ไม่รู้ ผมรวยเอาๆ ผมอาจเหมือนร้านชำที่เอาเปรียบ ที่วันหนึ่งอาจถูกร้านสะดวกซื้อ มาแย่งลูกค้าจนเจ๊ง แต่ธุรกิจที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างผม คงอีกนานกว่าจะมีคนมาแข่งได้ ป่านนั้นผมก็รวยแล้ว ป้ารู้ไหม ขนาดเศรษฐีที่ขุดบ่อถวายวัด ยังเป็นโรคอหิวาตกโรคตายเลย การได้รับผลดีชั่ว มันเป็นผลจากความบังเอิญ เรื่องกรรมวิบากเป็นเรื่องที่ใช้หลอกคนเท่านั้น”
     เด่นได้พบคุณป้าร้านขายของชำอีกครั้งในความฝัน แกแต่งกายชุดขาวสะอาด แกมาบอกว่า “ตอนนี้แกอยู่บนสวรรค์ในวิมานอย่างมีความสุขแล้ว นึกถึงเด่น เห็นว่ากำลังจะโกงวัดโกงพระโกงเจ้าทำบาปใหญ่ เลยลงมาหาเพื่อห้าม และอยากจะบอกว่าทำดียังไงก็ต้องได้ดี แม้ไม่เห็นกันในภพปัจจุบัน ก็จะติดตัวคนทำดีไป จนกระทั่งให้ผลสักวันหนึ่งแน่นอน ป้ากับท่านเศรษฐีที่ขุดสระน้ำถวายวัด อาจจะตายด้วยโรคร้าย ก็เพราะกรรมเก่าที่ป้าเคยค้าขายยาพิษในอดีตชาตินานมาแล้ว และท่านเศรษฐีที่อดีตชาติได้วางยาศัตรูจนตายเช่นกัน” ป้าพูดต่อ “ตอนนี้ชดใช้หนี้กรรมหมดแล้ว และกำลังเสวยความสุขอยู่ในวิมาน ด้วยแรงส่งของกุศลกรรมที่ตั้งใจทำมาตลอดชีวิต วัฏสงสารนี้ยาวไกลนัก จะมีสักกี่ชาติ ที่ได้พบพระพุทธศาสนา รู้กฎแห่งกรรมวิบาก. “ป้าหิวบ้างไหม” เด่นถาม ป้าบอกว่า “แค่คิดก็อิ่มแล้ว ไม่รู้จักคำว่าหิวเลย เป็นผลจากที่ป้าชอบให้ของกินคนอื่น และปรารถนาให้เขาอิ่ม ไม่ต้องทุกข์ทรมานจากความหิวโหย”

     ป้ายังบอกด้วยว่า “ลึกลงไปหนึ่งวา ที่กึ่งกลางบ่อ มีตุ๊กตาหินจีนรูปนักรบสวยงามตัวหนึ่งจมอยู่ใต้บ่อ นำตุ๊กตานั้นขึ้นมาด้วยนะ ท่านเศรษฐีพ่อค้าที่ไปค้าขายที่เมืองจีนสมัยอยุธยา นำตุ๊กตาพวกนี้ถ่วงห้องอับเฉาเรือ ในตอนขากลับที่เรือว่าง ถ่วงเรือไม่ให้ล่ม และนำมาถวายวัดนี้ พร้อมขุดสระน้ำนี้ถวาย ตุ๊กตาหินตัวนี้ตัวใหญ่ สูงเกือบสองเมตร แบ่งเป็นสองส่วน ต่อกันด้วยสลักซึ่งเป็นแท่งหินที่ระดับเอวสลักของตุ๊กตานั้นเก็บอยู่ในวิหารข้างโบสถ์ ส่วนง้าวของตุ๊กตาหิน ตอนนี้ด้ามถูกวางพาดเป็นเชิงเทียนในโบสถ์ ใบง้าวอยู่ใต้ฐานพระพุทธรูป จัดการประกอบให้เรียบร้อยนะ”

เด่นเชื่อว่าเขาไม่ได้ฝันเหลวไหล เพราะเมื่อสูบน้ำเก่าหมดบ่อ ขุดดินลึกลงไปอีกสองเมตรที่กึ่งกลางบ่อ ก็พบตุ๊กตาเนื้อหินเขียวสวยงามตัวหนึ่ง ที่แบ่งเป็นสองชิ้นจริงๆ สลักของตุ๊กตา ด้ามง้าวและ ใบง้าว อยู่ในที่ตามที่ป้าพูดให้ฟัง และตอนนี้ทางวัดได้เชิญตุ๊กตาตัวนี้ ออกมาตั้งแสดงอยู่ที่มุมหนึ่งในวิหารข้างสระน้ำ

     เด่นกำลังจ้องมองตุ๊กตาหินเขียว มันเป็นประจักษ์พยานของสิ่งลี้ลับที่มีอยู่จริง และคิดถึงป้าที่เชื่อเรื่องภพภูมิอื่น การเวียนว่ายตายเกิด และกฎแห่งกรรม เด่นหันมาเป็นผู้ประกอบอาชีพตามหลักคุณธรรม เพื่อความสุขของสังคมอีกครั้ง

ข้อคิดเพื่อความปลอดภัยในสังคมอันตราย

 ข้อคิดเพื่อความปลอดภัยในสังคมอันตราย

อ่านและส่งต่อ บอกต่อ เล่าต่อ ให้มากที่สุด เพื่อความปลอดภัยของทุกคน


ตำรวจชาวออสเตรเลียได้เขียนสิ่งนี้ขึ้นเพื่อผู้หญิงทุกคน
นั่นเป็นเพราะว่าการลักพาตัวครั้งล่าสุดเกิดขึ้นกลางวันแสกๆ
ตั้งสติให้ดีก่อนจะทำการอะไรหากคุณกำลังอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ข้อความนี้สำหรับตัวของคุณเองและ เพื่อให้คุณได้แบ่งปัน
ให้กับภรรยา ลูก หรือทุกๆ คนที่คุณรู้จัก

หลังจากที่คุณได้อ่านคำแนะนำที่สำคัญเหล่านี้ ..
คุณอาจต้องการที่จะเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับรู้
โปรดส่งต่อให้กับคนที่คุณรักและเป็นห่วง

การระมัดระวังล่วงหน้าไม่ต้องแลกกับความสูญเสีย
เพราะฉะนั้นปลอดภัยไว้ก่อน ดีที่สุด

1.  เคล็ดลับจากวิชาเทควันโด้
ข้อศอก เป็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกายของมนุษย์
หากคุณอยู่ใกล้คนร้ายในระยะที่จะใช้มันได้....จงใช้มันซะ!

2.  เคล็ดลับจากสมุดแนะนำนักท่องเที่ยว
ถ้าคนร้ายต้องการกระเป๋าเงินหรือของมีค่าของคุณ
อย่ายื่นให้กับเขา
จงโยนกระเป๋าเงินของคุณไปให้ไกลจากตัวเอง..
โอกาสที่คนร้ายจะสนใจกระเป๋าเงินของคุณนั้นมีมากกว่าที่จะสนใจคุณ
และนั่นจะทำให้เขาต้องไปหยิบกระเป๋าเงินที่อยู่ห่างจากตัวคุณ
ตอนนี้แหละ จงวิ่งไปอีกทิศทางหนึ่งให้เร็วที่สุด ><

3.   ถ้าคุณเกิดถูกลากหรือโยนเข้าไปในท้ายรถของคนร้าย
สิ่งที่คุณควรทำคือ ให้ถีบไฟท้ายจนหลุดออกมา
ยื่นแขนของคุณออกมาจากช่อง แล้วเริ่มโบกมืออย่างบ้าคลั่ง
คนขับไม่เห็นสิ่งที่คุณทำ แต่คนอื่นจะเห็น
วิธีนี้ได้ช่วยหลายต่อหลายชีวิตมาแล้ว..

 4.  คุณผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะนั่งอยู่บนรถเฉยๆ หลังจากช้อปปิ้ง เที่ยว
กิน หรือ ทำงานเพื่อจะแต่งหน้า เปิดอ่านหนังสือ เช็คโทรศัพท์ ฯลฯ
ห้ามทำเป็นอันขาด!   คนร้ายจะคอยเฝ้าดูพฤติกรรมของคุณ และสิ่งที่คุณทำ
เป็นการเปิดโอกาสอันเหมาะสม เพื่อให้เขาเข้ามาทางที่นั่งข้างคนขับ
และเอาปืนจ่อหัวคุณเพื่อจะให้คุณขับไปตามทางที่เขาต้องการ
เพราะฉะนั้น....ทันทีที่คุณขึ้นรถ
จงล็อคประตู และรีบออกรถซะ........

แต่ถ้าเกิด....
คนร้ายอยู่บนรถกับคุณ
และเอาปืนจ่อหัวคุณไว้
อย่าขับรถออกไปตามที่เขาบอก


ย้ำ:  อย่าขับรถออกไปตามที่เขาบอก
สิ่งที่คุณควรทำคือ


เหยียบคันเร่งให้เร็วที่สุด
ขับพุ่งใส่กำแพงหรือสิ่งกีดขวางในละแวกนั้น
ถุงลมนิรภัยฝั่งคุณจะช่วยชีวิตคุณไว้
(เช่นเดียวกับฝั่งคนร้ายหากคนร้ายนั่งเบาะหน้า)
(หากคนร้ายนั่งอยู่เบาะหลัง เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส)
แต่ทันใดที่รถของคุณชน ให้รีบถอนตัวออกมา(จากถุงลมนิรภัย)
แล้ววิ่งออกจากรถสุดแรงเกิด
วิธีนี้จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นตรงที่คุณสามารถวิ่ง
เข้าหากลุ่มคนเพื่อขอความช่วยเหลือได้
หากคุณออกรถไปที่ไกลๆ ตามเส้นทาง/สถานที่ที่คนร้ายบอก
จะทำให้คนร้ายตามตัวคุณได้ง่าย เพราะคุณไม่รู้จักสถานที่นั้นดีเท่าเขา

5.  ข้อแนะนำสำหรับการเดินไปที่รถของคุณ ในลาน/โรงจอดรถ


ก. จงระวัง:
มองไปรอบๆ ตัวของคุณ
มองเข้าไปในรถของคุณ
มองลอดไปบนพื้นฝั่งที่นั่งข้างคนขับ และเบาะหลัง

ข. ถ้ารถของคุณมีรถตู้จอดอยู่ข้างๆ
ให้ขึ้นรถทางฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ
คนร้ายจะจู่โจมเหยื่อของมันโดยการฉุด
ขึ้นรถตู้ในขณะที่เหยื่อกำลังจะเปิดประตูขึ้นรถ
เพราะฉะนั้นรถตู้น่าสงสัยเหล่านี้จึงมักที่จะจอดอยู่ฝั่งคนขับ

ค. ให้มองไปที่รถที่จอดอยู่ข้างๆ คุณทั้งสองข้างของรถ
ถ้าเจอผู้ชายนั่งอยู่คนเดียวในฝั่งที่อยู่ใกล้รถของคุณมากที่สุด
สิ่งที่คุณควรทำคือเดินกลับเข้าไปในห้าง
หรือออฟฟิสเพื่อขอให้ รปภ. หรือตำรวจเดินมากับคุณ
เพื่อส่งคุณขึ้นรถ

ไม่ต้องไปคิดมากกว่าคนอื่นหรือตำรวจจะมองคุณโรคจิตหรือเปล่า
เพราะการระมัดระวังเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในสถานการณ์อันน่าสงสัยนั้น
จงตระหนักอยู่เสมอว่า ปลอดภัยไว้ก่อน...

6.  จงใช้ลิฟต์ตลอดแทนที่จะใช้บันใด
เพราะบันใดเป็นสถานที่ที่แย่ที่สุดที่ผู้หญิงจะอยู่คนเดียว
มันเป็นที่ๆเหมาะสุดสำหรับคนร้าย และน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งในยามวิกาล


7.  ถ้าคนร้ายมีปืน...
แต่คุณไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
จงวิ่ง !!
เพราะโอกาสที่คนร้ายจะยิงถูกคุณมีเพียง 4 ครั้งใน 100 ครั้งเท่านั้น
ถ้าคุณกำลังวิ่ง
และเป็นไปได้สูง ว่าจะไม่โดนอวัยวะสำคัญ  วิ่งๆๆๆ !!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...การวิ่งซิกแซก

8.  จุดอ่อนของผู้หญิงส่วนใหญ่คือ
ชอบสงสาร และ เห็นใจ
จงหยุดซะ
เท็ด บันดี้ เป็นฆาตรกรหน้าตาดี และการศึกษาสูง
เขาใช้จุดอ่อนข้อนี้ของผู้หญิงเพื่อลวงมาฆ่าเสมอ
เพราะฉะนั้นจงมีเหตุมีผล ดูสถานการณ์ด้วยความระมัดระวัง
จงช่างสังเกต หากพบข้อสงสัยแม้เพียงข้อเดียว
ก็ควรจะหลีกเลี่ยงบุคคลนั้นๆ ให้เร็วที่สุด

9.  เรื่องที่ควรตระหนักอีกข้อ:
เพิ่งจะมีคนมาเล่าให้ฉันฟังว่า
เพื่อนสาวของเขาได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กตอนกลางคืน
และเธอก็คาดว่าเสียงนั่นดังมาจากระเบียงบ้านของเธอ

เธอเลือกที่จะโทรแจ้งตำรวจแทนที่จะออกไปดูด้วยตัวเอง
นั่นเป็นเพราะว่าเธอมีลางสังหรณ์ว่านั่น
อาจจะเป็นกลลวง และตำรวจก็สั่งกับเธอว่า

"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามเปิดประตู เด็ดขาด"
เธอจึงเล่าให้ตำรวจฟังอีกว่าเสียงนั่นฟังดูเหมือนว่าเด็กนี่ได้คลานมาใกล้หน้าต่างของและเธอก็เป็นกังวลว่าถ้าหากเด็กคนนี้
คลานออกไปถึงถนนก็จะถูกรถชน ตำรวจจึงสั่งเธอว่า
"ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างทางไปบ้านเธอแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม ห้ามเปิดประตูเด็ดขาด

ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรหรือเกิดอะไรขึ้น
ตำรวจย้ำถึงสามรอบ" ตำรวจเล่าให้เธอฟังต่อว่า
พวกเขาคิดว่าน่าจะเป็นฆาตรกรที่ใช้วิธีเปิดเทปเสียง

เด็กร้องไห้เพื่อจะหลอกหล่อให้ผู้หญิงออกจากบ้านมาดู

โดยที่ฆาตรกรหวังใช้จุดอ่อนของผู้หญิงคือ

ความเห็นใจ และสงสาร นั่นเอง แต่ทางตำรวจ

ก็ยังจับตัวฆาตรกรกลุ่มนี้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็มี
การโทรมาแจ้งและได้เล่าเรื่องเดียวกัน คือได้ยินเสียง

เด็กมาจากนอกบ้าน หน้าต่าง หน้าประตู เวลากลางคืน

และทุกสายที่โทรมาแจ้งล้วนแต่เป็น ผู้หญิงที่อยู่บ้านคนเดียวทั้งสิ้น

10. ถ้าคุณตื่นขึ้นมากลางดึกและได้ยินเสียง

เหมือนว่าก๊อกน้ำถูกเปิดอยู่หรือท่อน้ำของคุณแตกนอกบ้าน

ห้ามออกไปเดินสำรวจเด็ดขาด!

เพราะมีคนกลุ่มนึงจะเข้าไปเปิดก๊อกน้ำบ้านคุณให้สุด

เพื่อให้คุณได้ยินและออกมานอกบ้าน
นั่นคือเวลาที่พวกเขาจะโจมตีคุณ


จงมีสติอยู่ตลอดเวลา, อยู่อย่างระมัดระวัง,
ตรวจสอบความปลอดภัย, และอย่าลืมดูแลกันเอง ระหว่าง คุณกับเพื่อนบ้านด้วย!


กรุณาส่งอีเมลฉบับนี้..เพื่อเผยแพร่ ให้มากที่สุด

แสงไฟจากเทียนไขเล่มหนึ่งจะไม่มีวันมืดลง

หากมีเทียนเล่มอื่นๆ มาสานแสงไฟจากเทียนเล่มนั้นต่อ

กำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง




.. ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า
แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุด
ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ..

.. ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า
การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต

ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป
ที่จะทำใหสิ่งที่ตนฝัน ..

.. คนที่ไม่เคยหิว
ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม

ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว
ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ..

.. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
เหตุผลขอคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน
อีกคนนึง ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า
ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..

.. คนเรา
ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น
ที่ได้ทำ ..

หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า



........................................



ที่มา : http://www.dhammajak.net/dhamma/107.html

อย่าเก็บทุกข์ในวันวาน

อย่าเก็บทุกข์ในวันวาน
มาทำร้ายคนรอบข้างตัวเราในวันนี้

ชี้ทางดีให้ลูกเดิน  ดีกว่าใช้เงินจูงใจ
หลายชีวิตผิดพลาดไป
ก็เพราะ   แรงจูงใจของเงิน

อะไรก็ตามที่เราหนีไม่พ้น
เราควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้
นี่คือศิลปในการอยู่ในโลกนี้อย่างไม่ทุกข์

ขอให้เรา สว่างตานอกด้วยแสงไฟ
แต่จงสว่างตาใน  ด้วยแสงแห่งธรรม

ฉันไม่ได้ล้มเหลว  
ฉันเพียงแค่ค้นพบ 10000 วิธีที่ไม่ได้ผล
โทมัส อัลวา  เอดิสัน

อดีต.........เอาไว้สอนใจ
อนาคต......เอาไว้เตรียมใจ
ปัจจุบัน......เอาไว้ใส่ใจ


สุขในธรรม  ธรรมะรักษาครับ

ถวิล  พัวภูมิเจริญ    ธีรสิทธิ์  อมรแสนสุข

5ห้องชีวิต-การบรรยายของคุณอนันต์ จากงาน This is my future 2013



คนที่ประสบความสำเร็จจะต้องเรียนเก่งจริงหรือไม่ ?
จากงาน This is my future 2013 -
9 สุดยอดคลังสมองประเทศไทย เตรียมคนไทยไปเวทีโลก
เสวนาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจจาก
9 มืออาชีพใน 9 ธุรกิจ โดยมีผู้บริหารระดับสูงที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ มาแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อช่วยกระตุ้นให้เยาวชนได้พัฒนาความรู้ นำหลักแนวคิดมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง พร้อมก้าวเข้าสู่การแข่งขัน หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ได้อย่างมีศักยภาพมากขึ้น ได้กระแสตอบรับจากผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 1,000 คน

คุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของแลนด์แอนด์เฮาส์พูดดี 11 นาที ได้เนื้อหาและแรงบันดาลใจยิ่ง

ในขณะที่คนอื่น ๆ บอกว่าต้องเร่งยกระดับการศึกษาของชาติ แต่คุณอนันต์ ตั้งคำถามว่า คนที่ประสบความสำเร็จ
จะต้องเรียนเก่งจริงหรือไม่ ?
ประเทศไทยเน้นเรื่องการศึกษามาก จนลืมเรื่องความสำคัญของการฝึก "นิสัย" คนไทยควรจะมีนิสัยอย่างไร จึงจะเจริญก้าวหน้าในชีวิต

คนที่มีนิสัยดีเหมือนเรามีเครื่องจักรที่ดีในตัวไม่ว่าไปทำอะไรก็จะดี

คุณอนันต์ เจ้าของแลนด์แอนด์เฮาส์ เล่าว่า เกิดมาในครอบครัวยากจน ในบ้านมีคนมากถึง 31 คน ถือเป็นสถานที่สำคัญฝึกนิสัยให้กับเขา จนทำให้มีวันนี้
นิสัยที่ดี ฝึกไม่ยาก เริ่มจากที่บ้านใน 5 ห้อง :
1. ห้องนอน :
ฝึกทำใจให้ว่าง ทำสมาธิ ล้างใจสะอาด นอนได้เต็มที่ และฝึกตื่นให้เป็นเวลา เก็บที่นอน เปิดหน้าต่างให้เคยชิน
"ถ้าเราเป็นคนไม่ตื่นตามเวลา ใช้ปุ่ม Snooze เพื่อที่จะตื่นมากด Snooze อีกที เราจะกลายเป็นคนที่ทำงานเสร็จนาทีสุดท้ายเสมอ"

2. ห้องน้ำ :
ฝึกการใช้น้ำอย่างประหยัด เกรงใจคนอื่น รักษาเวลา การฝึกล้างห้องน้ำให้เป็น จะช่วยฝึกให้เราไม่ดูถูกคน เป็นคนไม่เลือกงาน ไม่มีทิฐิ
"สมัยเด็ก บ้านผมไม่ได้มีฐานะ
แต่มีคนถึง 31 คน น้ำก็ต้องใช้ประหยัด เข้าห้องน้ำนานไม่ได้ เพราะคนอื่นก็ต้องใช้เหมือนกัน" "ผมล้างห้องน้ำมาจนโต ทำให้ทุกงานผม ห้องน้ำต้องสะอาด เสียอย่างเวลาขึ้นเครื่อง บางทีผมต้องเสีย 15 นาทีเช็ดห้องน้ำจนสะอาด" "คนว่าผมสร้างห้างมาให้คนเข้าห้องน้ำ
ทั้ง Terminal 21 หรือ Fashion ก็ยอมรับครับตอนนี้มีคนมาเข้าห้องน้ำห้างผม วันละเป็นแสน"

3. ห้องแต่งตัว :
ฝึกให้รู้จักตัดใจ เสื้อผ้าไม่ใส่ต้องทิ้ง เสียสละให้คนอื่น ใช้สิ่งของต่าง ๆ อย่างพอดีตัว "ไม่ใช่จะใช้ชีวิตแย่ ๆ แต่เท้ามีแค่สองข้าง จะมีรองเท้ามากมายทำไม อะไรไม่ได้ใส่เกิน2เดือน เอาไปบริจาคเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่"

4. ห้องกินข้าว :
ฝึกการทานอาหาร นั่งพร้อมหน้ากัน รู้จักแบ่งปัน ตักข้าวแล้วต้องกินให้หมด ดังนั้นต้องตักให้พอดีตัว และตักให้พ่อแม่หรือคนอื่นก่อน
"ไข่พะโล้ 2 ฟอง นั่งกัน 4 คน เราต้องแบ่งกันคนละครึ่งฟอง และตัดให้แม่ก่อน จนติดนิสัยให้คนอื่นก่อน เช่นเวลาเข้าออกลิฟต์"

5. ห้องทำงาน :
ฝึกจัดลำดับความสำคัญ อย่าให้มีอะไรรกบนโต๊ะทำงาน กระดาษที่กองเต็มโต๊ะ บอกนิสัยไม่ตัดสินใจ หรือไม่มั่นคงทางใจ กลัวไม่มีข้อมูล "เวลาผมเจอใครกระดาษกองเต็มโต๊ะ ผมคิดเลยว่าคนนี้ไม่กล้าตัดสินใจ หรือ Insecure กลัวขาดข้อมูล ทั้งที่มันมีในมือถือหมดแล้ว" "ห้องทำงานผมไม่มีกระดาษบนโต๊ะ ไม่มีโทรศัพท์เพราะใช้มือถือ ไม่มีคอมพ์เพราะใช้แท็บเล็ต ตอนนี้มีห้องไว้โชว์ว่าว่างเปล่า"

5 ห้องนี้จะฝึกให้เรา รักษาความสะอาด มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา สุภาพ และฝึกสมาธิให้ใจสะอาด
"คนเรียนเก่งไม่ใช่คนเก่งเสมอไป แต่คนเก่งมักมีนิสัยสร้างความเจริญก้าวหน้าเรื่องนี้อย่าสอนแต่ในห้องเรียน เริ่มจากที่บ้าน"

"ทุกวันนี้โลกวุ่นวายไม่ใช่เพราะคนไม่มีการศึกษา แต่เพราะคนนิสัยไม่ดี และมีการศึกษาเยอะต่างหาก"

คุณอนันต์ ยังเล่าว่าในปี 40 เกือบล้มละลายขาดทุน 3-4 หมื่นล้าน เพราะกู้เป็นเงินดอลลาร์ แต่รายได้เป็นเงินบาท ต้องไปเจรจากับเจ้าหนี้ ..ตอนเจรจากับเจ้าหนี้ คุณอนันต์ยังยิ้มได้ตลอด เพราะนึกถึงสมัยเด็กบ้านยากจน ต้องยืมของเล่นข้างบ้าน ซึ่งคนที่หน้าตาหมองเศร้าคือเด็กคนนั้น

ที่มา : http://storify.com/yoware/5?utm_content=storify-pingback&utm_medium=sfy.co-twitter&awesm=sfy.co_gTN6&utm_source=inagist.com&utm_campaign=

ยกตัวเองขึ้น โดยไม่ลดคนอื่นลง



อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์เดินเล่นที่ชายหาด
อาจารย์ได้เริ่มสอนลูกศิษย์ด้วยการใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต ตามลำดับ

อาจารย์กล่าวว่า “เธอสามารถทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้หรือเปล่า ไหนลองทำให้ดูหน่อยสิ”

ลูก ศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วก็ ลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงเหลือเพียง 1 ฟุต ทำให้เส้น 3 ฟุตโดดเด่นขึ้นมา แล้วศิษย์ก็ถามอาจารย์ และขอความเห็นว่า “แบบนี้ถูกหรือเปล่าครับ”

“เหยีบบหัวคนอื่นเพื่อให้ตัวเองอยู่สูงขึ้น”
อาจารย์เขกกบาลลูกศิษย์เบา ๆ แล้วบอกว่า ” คนที่จะยกตนเองให้สูงขึ้น โดยการทำร้ายคู่แข่งนั้น ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ถ้าเลือกใช้วิธีนี้ชีวิตเธอ ก็มีแต่จะล้มเหลวไม่พัฒนา ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง ”

แล้ว อาจารย์ก็ขีดเส้น 2 เส้นให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต จากนั้นอาจารย์ก็สาธิตให้ดูด้วยการขีดเส้น 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต แล้วพูดว่า “จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเธอคือศัตรู แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ” ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือดี กว่า ที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม

คนที่พยายามจะ เลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน ถึงแม้จะทำให้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็ม ภาคภูมิ การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดย ปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขา
อย่างเสรีนั้น ย่อมมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน

หากไร้คู่แข่งแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม

นัก สู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข้ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ จะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง ดังนั้นเมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แกร่ง และฉลาดล้ำ ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น

การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูตามมาด้วย

แต่ การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ไปลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะ พร้อมกับยังมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้น และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งของเธอเอง ด้วย

เตือนภัย แค่มีสลิป ATM ก็สามารถปล้นเงินใน บัญชีคุณได้



เนื่องจากเมื่อคืนฟังข่าว เรื่องการเตือนภัยการฉกเงินในบัญชีของเรา ด้วยวิธีการเอา สลิป ATM จากตู้ ที่เราชอบทิ้งขว้างกัน โดยสามารถเอาเงินของผู้เสียหาย รวมเกือบ 8 แสนบาท ด้วยการทำเพียง 4 ครั้งเท่านั้น  และผู้เสียหาย ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเงินหายไปจากบัญชี!!








จากที่ฟังมา ขั้นตอนอาจจไม่ละเอียดมาก แต่สามารถดูได้ในคลิปนี้นะครับ

ขั้นตอนของโจรคือ
1. เมื่อผู้เสียหายกดเงินและทิ้งสลิป ATM ไว้ที่เครื่อง ผู้ร้ายจะเข้ามาค้นและดูว่า บัญชีใด มีเงินในบัญชีมาก ที่สมควรจะขโมย
2. นำเลขที่บัญชีไปหาข้อมูลชื่อ วันเดือนปีเกิด และคัดสำเนา กับทะเบียนราษฏ์ เพื่อนำไปเปิดบัญชีใหม่
3. นำไปเปิดบัญชีสาขาอื่น โดยใช้ชื่อและเอกสารปลอมของผู้เสียหาย และทำบัตร ATM รวมไปถึง ทำระบบบัญชีอินเทอร์เน็ตออนไลน์ โดยระบุกับพนักงานให้ผูกกับบัญชีอื่น (บัญชีที่มีเงินเยอะ) เข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตออนไลน์ด้วย
4.เข้าระบบอินเทอร์เน็ต โอนเงินจากบัญชีเงินเยอะ เข้าบัญชีใหม่(เพิ่งเปิด) และนำ ATM ไปถอนเงิน โดยไม่ทิ้งร่องรอย



เตือนภัยไว้ด้วยนะครับ ว่าหากไม่ต้องการสลิป ก็ให้ฉีก และนำไปทิ้งที่บ้านหรือที่อื่น เพื่อความปลอดภัยของเราเอง

ปล. มีประโยชน์ อย่าลืมบอกต่อนะครับ



--
Natyakul

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 40 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - รักแม่

มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุรักพ่อ 40 รักแม่

ตอนพิเศษ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม 2555 พบกับ สารคดี "พระเมตตาดั่งสายธาร" สุดหล้า ฟ้าใกล้ และฟ้าดินเดียวกัน, บทเพลงเทิดพระเกียรติ, แม่ของแผ่นดิน - แฮมเมอร์, แม่ของแผ่นดิน- (กษัตริยา) และเพลง ''สายใยแผ่นดิน'' เบิร์ด ธงไชย , 5 บทเพลงแม่ ที่เขียนขึ้นจากชีวิตจริง อาทิ เพลง "วันวานไม่มีเขา...วันนี้ไม่มีเรา" - แอ๊ด คาราบาว, เพลงแม่ - เต้ วายามะ ,เพลงคิดถึงแม่ สุเวศน์ ภู่ระหงษ์, เพลงนกเขาเถื่อน - วงคีตาญชลี, เพลงอ้อมกอดแห่งรัก อุ่นไอวัยเยาว์

http://www.youtube.com/watch?v=W7VDi3YVcaY



เคล็ดลับง่ายๆ ในการปั้นทอด ไม่ให้เหนียวติดมือ

ภูมิใจนำเสนอเคล็ดลับง่ายๆ ในการปั้นทอด ไม่ให้เหนียวติดมือ โดยการล้างมือให้สะอาด แล้วจุ่มมือลงในน้ำมันแล้วจึงปั้นทอดมัน
จาก SmS Farmer Info - 10พ.ย.2556

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

กำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง




.. ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า
แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุด
ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ..

.. ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า
การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต

ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป
ที่จะทำใหสิ่งที่ตนฝัน ..

.. คนที่ไม่เคยหิว
ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม

ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว
ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ..

.. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
เหตุผลขอคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน
อีกคนนึง ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า
ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..

.. คนเรา
ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น
ที่ได้ทำ ..

หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า

"บทเรียนมีคุณ ค่าจากผู้สูงอายุ"... โดย Karl A. Pillemer...

"บทเรียนมีคุณ ค่าจากผู้สูงอายุ"...
โดย Karl A. Pillemer...
แนะ นำให้สอนลูกหลาน
http://www.huffingtonpost.com/karl-a-pillemer-phd/top-10-lessons-for-living_b_1133585.html
อาจารย์ท่านหนึ่ง ของ Cornell ชื่อ Karl Pillemer ซึ่ง ได้ไปสัมภาษณ์ชาวอเมริกัน ที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไปมากกว่า 1,200 คน โดยคำถามเด็ดนั้นอยู่ที่ว่า “จาก ประสบการณ์ชั่วชีวิตคุณ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน” แล้ว ก็นำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living ครับ แต่เขาได้คัดเลือกบทเรียนสำคัญ 10 ประการ ที่โดดเด่นเอาไว้ครับ โดยบทเรียนทั้ง 10 ประการ ประกอบด้วย
1. ให้ เลือกอาชีพโดยดูจากความต้องการ ภายในมากกว่าผลตอบแทนด้านการ เงิน โดยบรรดาผู้สูงวัยกล่าวว่าความผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพของเขา คือ การเลือกอาชีพโดยดูจากผลตอบแทนมากกว่าสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ
2. ให้ ปฏิบัติต่อร่างกายเหมือนกับต้อง ใช้งานไปอีกร้อยปี โดยให้ลดและเลิกพฤติกรรมที่ทำ ร้ายร่างกายเราไม่ว่าจะเป็นการ สูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่ดี หรือไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเสียชีวิตในฉับพลัน แต่ทำให้เราเกิดความทรมานเมื่อ สูงวัย
3. ตอบ ตกลงต่อโอกาสที่เข้ามา โดยเมื่อมีโอกาสหรือความท้าทาย เข้ามา ต้องอย่า ปฏิเสธครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะมาเสียใจหรือเสียดายในภายหลัง
4. เลือก คู่ด้วยความระมัดระวัง อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ใช้เวลาในการดูและทำความรู้จักคนที่เราจะอยู่ด้วย อย่ารีบด่วนตัดสินใจที่จะอยู่ ด้วยกันจนกว่าจะรู้จักอีกฝ่าย หนึ่งอย่างถ่องแท้
5. เที่ยวให้มากไว้ (ชอบมากครับ) เมื่อ มีโอกาสให้เดินทาง ครับ คนสูงวัยส่วนใหญ่จะมองย้อนกลับมายังโอกาสต่างๆ ที่ได้ท่องเที่ยวเดินทาง และมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ และมีคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว
6. ให้ พูดในสิ่งที่อยากจะพูด เนื่องจากเรามักจะเสียใจและ เสียดาย ว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูดกับหลายๆ คน เมื่อไม่มีโอกาส เราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิต อยู่เท่านั้นนะครับ
7. เวลา เป็นของมีค่า ชีวิตของเรานั้นแสนสั้น แต่ไม่ใช่ให้มานั่งเศร้า นะครับ แต่ให้ ทำในสิ่งที่สำคัญและมีค่าเดี๋ยว นี้ เนื่องจากยิ่งเราอายุมากขึ้น เราจะพบว่าเวลายิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น
8. ความ สุขเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจาก เงื่อนไขต่างๆ คำแนะนำหนึ่ง ก็คือ จง รับผิดชอบต่อความสุขของตัวเรา เองตลอดชีวิตเรา
9. การ ใช้เวลามานั่งกังวลต่อสิ่ง ต่างๆ นั้นเป็นการเสียเวลา ดังนั้น ให้ หยุดกังวลครับ หรือไม่ก็พยายามลดความกังวลลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกังวลในสิ่งที่ไม่เกิด ขึ้น
10. คิด เล็ก-อย่าคิดใหญ่ ค่อยๆ ซึมซับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตเรา และมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้นครับ
DISCLAIMER:
   The information contained in this e-mail may be confidential, proprietary, and/or legally privileged. It is intended only for the person or entity to which it is addressed. If you are not the intended recipient, you are not allowed to distribute, copy, review, retransmit, disseminate or use this e-mail or any part of it in any form whatsoever for any purpose.
    If you have received this e-mail in error, please immediately notify the sender and delete the original message. Please be aware that the contents of this e-mail may not be secure and should not be seen as forming a legally binding contract unless otherwise stated. Thank you.

จริงใจ..สบายจริง




คงเป็นเรื่องน่าเศร้า
หากคนเราต้องบิดเบือนความจริงในใจ
แล้วใส่หน้ากากเข้าหากัน

เราคงมีชีวิตอยู่กับความสุขปลอมๆ
ท่ามกลางความกลัวที่จะผิดหวัง
ทั้งที่ในที่สุดก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี

ถอกหน้ากากออกดีไหม
จะเป็นไรไป หากใครจะอ่านสายตาของเราได้
หรือแม้แต่จะมองทะลุถึงใจของเรา

เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่เราไม่ต้องปิดบัง อำพราง
ไม่ต้องไว้ท่าไว้ทางหรือมีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ
เมื่อนั่นใจของเราย่อมมีพลังอย่างเต็มที่
ที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้บังเกิดขึ้น

ซึ่งต่างค้นพบพลังแห่งความจริงใจ
เป็นพลังที่เกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ
แต่มีอานุภาพเหลือประมาณ

ฉะนั้น..
อย่ากลัวเลย..ที่จะเป็นคนจริงใจ
เป็นคนซื่อๆ ใสๆ
ปากกับใจตรงกัน
ถึงแม้เราไม่เก่ง ไม่ดีเด่น
ไม่ได้เป็นคนสำคัญ
ขอเพียงเรามีความจริงใจต่อกัน
แค่นี้ก็สุขสบายใจ..

....................

บทความจาก
http://www.watsuthatschool.com/viteput/

ผลของกรรม

ผลของกรรม

การได้ยิน เป็นผลของกรรม ได้ยินเสียงที่ดี ก็เพราะ กุศลวิบาก คือ กรรมดี

ให้ผล เป็นปัจจัยให้ได้ยินเสียงที่ดี ได้ยินเสียงที่ไมดี่ เพราะ อกุศลกรรมให้ผล

เกิดอกุศลวิบากทางหู ทำให้ได้ยินเสียงที่ไม่ดี แต่ เสียงที่ดี เสียงที่ไม่ดี การ

ได้ยินเสียงที่ดี การได้ยินเสียงที่ไม่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการชอบ หรือ ไม่ชอบของ

เรา เพราะ การชอบ หรือ ไม่ชอบ เสียงนั้น เป็นอกุศลจิต ที่เป็นเหตุใหม่ ไม่ใช่

เป็นการกำหนดว่า หากชอบเสียงนั้น เสียงนั้นจะเป็นเสียงที่ดี หรือ เป็นการ

ได้ยินเสียงที่ดี ครับ หรือ หากไม่ชอบ เสียงนั้น ก็ไมได้หมายความว่า เสียงนั้น

จะไม่ดีตามที่ชอบ หรือ เป็นการได้ยินเสียงที่ไม่ดี ตามการไม่ชอบ เพราฉะนั้น

เสียงไม่ดี ก็ต้องเป็นสียงที่ไมดี่ เสียงที่ดี ก็ต้องเป็นเสียงที่ดี เปลี่ยนแปลงไม่ได้

หากแต่ว่า เมื่อไม่ชอบในเสียงนั้น ไม่ชอบการได้ยินเสียงนั้น เป็นอกุศลจิตที่เป็น

โทสะ และ เมื่อไม่ชอบเสียงที่ดี มีการชมเชย เสียงดนตรีไพเราะ การไม่ชอบ เป็น

อกุศลทีเป็นโทสะ เป็นอกุศลจิต แต่ เสียงที่ดี การได้ยินก็ไม่เปลี่ยนลักษณะ ก็ยัง

เป็นเสียงที่ดีอยู่ เป็นการได้ยินที่ดี ทีเป็นกุศลวิบกาก จิตที่ไม่ชอบ จึงเป็นอกุศล

จิตแน่นอน ที่เป็นโทสะมูลจิต

นิทาน "ขอทานกับเทวดา"

นิทาน "ขอทานกับเทวดา"
มีขอทานคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในเมืองที่ใหญ่มาก
ด้วยความที่ในเมือง มีขอทานอยู่มากมาย
วันๆนึงเขาจึงแทบไม่ได้ตังค์เลย ทั้งๆที่เขาขยันออกขอทานมาก
เทวดาตนหนึ่งที่เฝ้ามองขอทานคนนี้มาสักระยะนึงแล้ว
จึงแปลงร่างเป็นคนลงมา แล้วมาหาขอทานคนนี้...

"ข้ามองเจ้ามานานละ เห็นว่ายากจน แต่ก็ยังดี
ที่ขยันทำมาหากิน ไม่ไปปล้นจี้ ขโมยของใคร
วันนี้ข้าจะให้เงินเจ้า 10,000 บาทละกัน" เทวดาบอก

"จริงเหรอครับ ขอบคุณมากครับ !" ขอทานตื่นเต้น
"แต่ข้าถามนิดนึง" เทวดาว่า "เจ้าจะเอาหมื่นนึงนี่ไปทำอะไรเหรอ ?"
"ข้าจะเอาไปซื้อโทรศัพท์ครับท่าน" ขอทานตอบ
เทวดาก็ถามต่อ "ซื้อไปทำไม?"
"ข้าจะได้โทรไปถามเพื่อนๆข้าว่า
ตรงไหนขอทานแล้วได้เงินดีๆบ้างน่ะครับ" ขอทานตอบ
เทวดาได้ฟังคำตอบก็เริ่มตึ้บๆ

"งั้นข้าให้เจ้า 100,000 เลย !" เทวดายื่นข้อเสนอให้มากขึ้นไปอีก
ขอทานก็ตอบตกลงอย่างตื่นเต้น แต่ก่อนที่เทวดาจะให้เงิน
ก็ถามขอทานอีกครั้งว่า จะเอาเงินแสนนึงนี้ไปทำอะไร
"ข้าจะเอาไปซื้อมอเตอร์ไซค์มาขี่ครับ
จะได้ไปขอทานได้ไกลขึ้น สะดวกขึ้น"
เทวดาฟังเสร็จเริ่มเครียด...

"งั้นข้าให้เจ้า 10,000,000 เลยทีนี้ !!
เจ้าจะเอาไปทำอะไร !?!" เทวดาถามครั้งสุดท้าย
"โอ้ !!! ถ้าข้ามีสิบล้าน ! ....
ข้าจะเอาเงินไปจ้างให้ขอทานคนอื่นมันออกไปจากเมืองให้หมดเลยครับ ! แล้วข้าจะได้เป็นขอทานแค่คนเดียวในเมืองนี้ !"

เทวดาฟังเสร็จปั๊ปก็เพลียกับคำตอบของขอทานคนนี้
แล้วก็หายวับไปไม่ปรากฏตัวอีกเลย...

แล้วเทวดาก็สรุปออกมาได้ว่า
"คนบางคน ไม่ได้จนเพราะขาดโอกาส
แต่มันจนเพราะความคิดของมันต่างหาก
มันเลยต้องจนทั้งปีทั้งชาติ"

ฟังนิทานเรื่องนี้จบแล้ว
เพื่อนๆคิดอย่างไรกันครับ
ปีที่แล้วตุ้ม เคยเขียนบทความนึงไปแล้ว
รู้สึกว่านิทานเรื่องนี้ เปรียบเทียบให้เห็นภาพได้ชัดมาก
เรื่องความจนสี่ประเภท จนเงิน จนเวลา
หากมีโอกาสดีๆ มา ยังพอ แก้ไขได้
จนโอกาส หากความคิดดี เมื่อมีโอกาสดีๆมา
ยังพอที่จะเปลี่ยนชีวิตได้
แต่หากจนความคิด ต่อให้มีโอกาสดีๆ ผ่านมาเท่าไร
มันก็คงกลายเป็นแค่อากาศที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป

อย่าปฏิเสธโอกาสที่คุณยังรู้จักไม่ดีพอ
เพราะอาจเป็นโอกาสที่คุณเฝ้ารอมาแสนนาน

#ข้อคิดดีๆในการดำเนินชีวิต 14/9/2013 01:37

Credit เค้าโครงนิทาน ก่อนผมดัดแปลงเล็กน้อย
พิมพ์ไว้โดยคุณตุ้ยครับ

เหตุเกิด จาก ความรัก

ขออนุญาตนำบทความดีๆ
จากหนังสือเรื่อง เหตุเกิด จาก ความรัก ที่มีโอกาสได้อ่านมาเล่าให้ได้อ่านต่อกัน

ชื่อตอน พัฒนาการของความรัก
เพราะความรักไม่มีฉลากบอกว่ามันเป็นอย่างไรเราจึงต้องเรียนรู้กันเอง

หลายคนอาจเข้าใจว่า
ความรักคือการได้ครอบครอง การได้อยู่กับคนที่รัก
มีคนรักมาคอยดูแลและเป็นที่พึ่งพิง

แต่เมื่อได้เรียนรู้จริงๆจะเข้าใจว่า
ความรักคือการให้ หรือการได้ดูแลคนที่เรารัก

ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องได้เค้ามาครอบครอง
แต่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจถึงความรักที่แท้จริงนี้

คนที่มองว่าความรักคือการให้
ถ้าหากมองไม่เห็นรากของความทุกข์และปัญหาทั้งหมดของความรักจริงๆว่ามันมาจาก “ความเหงา”

ยังอยากที่จะทำอะไรให้เค้าซึ่งถือว่าเป็นการทำเพื่อหวังสิ่งตอบแทนอยู่ เราก็จะยังเป็นทุกข์ำไปเรื่อยๆ

การที่เราอยากมีความรักที่ดี ซึ่ง “ความอยาก” นี้เอง
จะเป็นตัวนำเราไปสู่หลุมกรรมที่เราขุดไว้
รักของเราส่วนใหญ่จึงไม่ใช่รักที่บริสุทธิ์แบบที่จะไม่นำทุกข์มาให้

รักแท้ไม่มีคำว่าเพื่ออะไร
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องการที่จะให้
แต่ให้ด้วย “ความพร้อม” ที่จะให้
ไม่ใช่ ให้เพราะ “ความอยาก” ทำสิ่งต่างๆให้คนที่เรารัก

พอเห็นรากของปัญหาจริงๆว่า
เกิดจาก “ความอยาก” มีตัวตน

เราจะไม่ได้รักแบบอยากได้รักหรืออยากให้
แต่เป็นความรักด้วยความเป็นกลาง
ไม่ได้อยากรักเพื่อตัวฉัน
ไม่ได้อยากให้เพื่อให้สมอยากฉัน

ดั่งคำครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า
รักแท้เหมือนธรรมชาติ เช่น ต้นไม้
ใครอยู่ใกล้ก็สัมผัสถึงความสุขได้
เค้าก็ไม่ได้เลือกให้ความสุขใคร ว่าคนนี้คนปลูกฉัน
ฉันให้ความสุขและร่มเย็นมากกว่า

ค่อยๆพัฒนาจิตใจให้เข้าถึงความรัก
ด้วยความเป็นกลาง
เมื่อสร้างเหตุที่ดี คือ จิตใจดี คิดดี พูดดี ทำดี
ถ้ามีคนรัก เราก็รู้จักรักอย่างไม่ทุกข์ได้

เป็นอย่างไรบ้างกับบทความข้างต้น
ค่อยๆพัฒนาความรักและค่อยๆทำความเข้าใจเรื่องความรักนะครับ
สักวันหนึ่งเพื่อนๆจะเข้าใจความรักที่แท้จริง
, _/\_

สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://www.sangtean.com/love/

ข้อคิดจาก อ.ประเสริฐ เรื่อง "ประตูใหญ่บางขวาง(ยัง)เปิดอยู่



ในสมัยพุทธกาลมีผู้คนมากมายพยายามแสวงหาหนทางสู่พระนิพพาน การพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นที่ปรารถนาของผู้คนในยุคนั้น นั่นจึงเป็นที่มาที่เราจึงได้เห็นฤาษี ชี ไพร ปริพาชก พยายามประพฤติปฏิบัติกัน ทำกันทุกอย่างไม่ว่าจะทุกรกิริยาซึ่งแสนจะยากลำบาก แต่ก็อดทนทำกัน นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาเหล่านั้นปรารถนาจะพ้นทุกข์จริงๆ พูดไปแล้ว สาวกวันนั้นอาจจะง่ายกว่าวันนี้ก็ตรงมีคนแสวงหาทางออกกันอยู่แล้ว

วันนี้สถานการณ์ต่างออกไป ผู้คนหลงไหลไปกับกามสุข ความหรูหรา สะดวกสบาย เรื่องจะให้มานั่งลำบากนะหรือ? ลืมไปได้เลย

ใน ธัมมจักรกัปวัตตนสูตร พระองค์จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางสุดโต่ง ๒ สาย ที่บรรพชิตไม่ควรเสพ คือ กามสุขัลลิกานุโยโค การประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยกาม เป็นของชาวบ้าน เป็นของชนชั้นปุถุชน และ อัตตกิลมถานุโยโค การทรมานตนให้ลำบาก เป็นสิ่งนำมาซึ่งทุกข์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า

พระองค์พูดกันเอาไว้หมดแล้วทั้งหลงใหลในกามและทรมานตนให้ลำบาก จากนั้นท่านได้ชี้บอกว่าทางสายกลางมีอยู่นั่นเป็นทางสู่พระนิพพาน สู่ความสงบเย็น แล้วก็ประกาศเลยว่าทางสายกลางนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ ประกอบด้วยองค์ ๘ประการ คือ อริยมรรคมีองค์๘

ทางออกจากทุกข์ท่านได้แสดงไว้แล้ว ได้เดินนำไปก่อนแล้ว สังสารวัฏนี้คือคุกขังสัตว์ที่แข็งแรง ไม่มีทางที่สัตว์โลกจะออกได้ด้วยปัญญาปุถุชนอันทุพลภาพ มีแต่ความหลงใหลในสิ่งลวงใจ แต่บัดนี้ประตูคุกถูกเปิดแล้วด้วยปัญญาการตรัสรู้ของพระองค์

ในขณะเดียวกันประตูห้องขังของนักโทษแต่ละห้อง แต่ละห้องนั้น ดูเหมือนจะถูกปิดไว้แต่ในความเป็นจริง ประตูแต่ละห้องนั้นกลับไม่ได้ใส่กุญแจ เมื่อสาวกได้ฟังคำพระศาสดา และประพฤติปฏิบัติตาม จึงได้พบความอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ได้เห็นความจริงว่าประตูใหญ่ของสังสารวัฏได้ถูกเปิดออกแล้วจริงๆ สาวกทุกคนจึงรีบวิ่งกันเข้าไปประกาศให้คนในคุกทั้งหลายรีบตื่นขึ้นแล้วก็กระชากประตูลูกกรงแต่ละห้องอย่างสุดแรงและได้ประหลาดใจพร้อมได้ดีใจเป็นครั้งที่สองคือ ประตูห้องขังแต่ละห้องไม่ได้ล็อค จึงรีบบอกถึงสิ่งอัศจรรย์ที่ได้พบจากปัญญาการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเสียงสั่นระรัว แต่ความสุขความดีใจค่อยสลายๆไปเพราะ..แทบจะไม่มีนีกโทษคนไหนสนใจจะเดินตามออกมาเลย พวกเขาพลีกายเทใจให้กับห้องขังที่พัศดีประดับประดาเอาไว้ให้หลงใหล นี่จึงกลายเป็นคุกที่แยบยล แนบเนียนยิ่งกว่าสมัยใดใด จนพัศดีไม่ต้องใช้ผู้คุม ไม่ต้องล็อคกุญแจห้องขัง แถมนั่งยิ้มอยู่บริเวณประตูใหญ่ และปล่อยให้สาวกเดินไปชักชวนได้ถึงในห้องขังอย่างยิ้มเยาะ หัวเราะด้วยความสมเพศและสะใจ ทั้งต่อสาวกที่ต้องเหนื่อยเปล่าและนักโทษผู้โง่เขลา หลงใหลแค่ของลวงๆ ของชั่วคราว เป็นจริงเป็นจังกับสิ่งไร้สาระ

พัศดีเคยทูลขอพระพุทธเจ้าให้ละขันธ์ ปรินิพพานไปแล้วครั้งหนึ่ง ความจริงประตูคุกควรจะถูกปิดไปแล้วตั้งแต่วันนั้น แต่ด้วยพระปรีชาสามารถและความทุ่มเทของพระพุทธเจ้า ที่ได้ทรงประกาศปาฏิโมกข์ไว้และตั้งธรรมวินัยให้ภิกษุต้องสวดและฟังในทุกกึ่งเดือน จึงทำให้พระพุทธศาสนายังคงอยู่มาถึงวันนี้ ประตูคุกที่เปิดอ้าส้า 180 องศามาเป็นเวลานานถึง 2,600 ปี หลังการตรัสรู้ แต่คนคุกกลับไม่รู้เลยว่าประตูใหญ่ของคุกนั้น ได้มีเจ้าหน้าที่เรือนจำได้เดินไปดึงประตูเพื่อปิดกลับไปเหมือนเดิม ประตูใหญ่ของคุกนี้กำลังปิดลงอย่างช้าๆ คนคุกหาได้รู้เรื่องไม่ เพราะคาราโอเกะที่กำลังตะโกนแหกปากร้องกันอยู่นั้น มันกลบเสียงทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่รอบๆโดยหมดสิ้น

เพราะมัวแต่หลงใหลสิ่งที่พัศดีสร้างไว้ล่อในห้องขัง คนคุกกลับไม่เห็นความจริงว่า ที่กำลังหัวเราะมีความสุขอยู่กับทีวีจอแบน ipad, iphone, Hi-speed internet กระเป๋า เสื้อผ้า สิ่งยวนใจนั้น ทั้งๆที่เพื่อนร่วมคุก ห้องขังข้างๆถูกลากออกไปประหารทุกวัน สาวกพยายามบอกว่า "เธอก็โดนพิพากษาประหารด้วยเช่นกัน ทำไมไม่หาทางหนีออกไปในขณะที่เวลายังคงเหลือ ซึ่งไม่รู้ด้วยว่าเหลืออยู่เท่าไหร่ ก่อนที่เขาจะมาลากออกไปประหาร"

คำตอบที่ได้กลับทำให้สาวกที่ยืนรอที่จะช่วยชี้บอกทางนั้น ต้องก้มหน้าถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ทั้งๆที่ยืนรออยู่ด้วยใจระทึก ทั้งๆที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วยเลยเพราะความจริงก็คือ "กูไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย แต่ผู้คนกลับมาพูดกันเองว่า นั่นมันหน้าที่ของมึงที่ต้องมาบอกกู ส่วนกูจะทำหรือไม่ทำตามนั่นมันสิทธิของกู"

สาวกเองก็ยืนลุ้นมองดูนาฬิกาสลับกับหันกลับไปมองประตูใหญ่ กลัวมันจะปิดเสียก่อน กลัวเจ้าหน้าที่คุกจะเดินมาลาก คนๆนั้นไปประหารเสียก่อน

แต่คำตอบที่ได้กลับกลายเป็น "เดี๋ยวนะ ขอดูละครให้จบก่อน ตอนนี้เป็นตอนจบซะด้วย ไปบอกห้องอื่นก่อนก็ได้ "

มาจนถึงวันนี้ สาวกทั้งหลายได้พบความจริงจากบทเรียนที่ได้พบเจอมา จึงไม่ทุกข์กับใครๆอีกต่อไป ทำได้แค่ดีที่สุดอย่างเต็มความสามารถในชีวิตที่ยังเหลืออยู่ เพราะยอมรับความจริงแท้แน่นอนแล้วว่า..สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 39 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - แม่ฟ้างาย



มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร

เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ


รายการวิทยุรักพ่อ 39 แม่ฟ้างาย

พบกับช่วงทีนพลัสรักพ่อ พาไปเชียงใหม่สัมผัสกับเรื่องราวของแม่ฟ้า­งาย คำอโศก ที่ม่อนตะวันงาย ,เพลงลมหายใจปลายด้ามขวาน, เพลงคนมีน้ำยา




ไล่มดคันไฟให้หนีไป

เพียงนำน้ำหน่อไม้ดองที่ผ่านการหมักดอง 15-30 วัน ใช้ราดบริเวณที่มีมดคันไฟ น้ำหน่อไม้ดองเป็นกรดและมีกลิ่นที่สามารถไล่มดคันไฟให้หนีไป
จาก SmS Farmer Info - 9 พ.ย.2556

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ต้องรู้!!! “น้ำมะนาว” จากผลมะนาวกินแล้วเป็นด่าง ส่วน “น้ำมะนาวเทียม” คือกรด!!!

ต้องรู้!!! “น้ำมะนาว” จากผลมะนาวกินแล้วเป็นด่าง ส่วน “น้ำมะนาวเทียม” คือกรด!!! ล้วนๆ
อาหารที่เป็นกรดหรือด่างไม่ใช่หมายถึงรสชาติของอาหารนั้นๆ แต่หมายถึงว่าอาหารที่เรากินเข้าไปเมื่อถูกย่อยจนหมดแล้ว จะได้สารสุดท้ายที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือเป็นด่าง เช่น น้ำมะนาวมีรสเปรี้ยวเพราะเป็นกรด แต่เมื่อผ่านกระบวนการย่อยแล้วจะมีสภาพเป็น “ด่าง” เป็นต้น

แม้จะมีข้อมูลข่าวว่า พบปริมาณกรดซิตริกในน้ำมะนาวเทียม 3.3-10.8 มิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิลิตร (แล้วแต่ยี่ห้อ) น้ำมะนาวที่คั้นจากผลมะนาว พบปริมาณกรดซิตริก 6.9 มิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิลิตร แต่!!!...กรดซิตริกสังเคราะห์ไม่มีคุณสมบัติเปลี่ยนเป็นด่างเมื่อเข้าสู่กระบวนการย่อยของร่างกาย

ผู้ที่อ้างว่าปริมาณกรดซิตริกที่พบในน้ำมะนาวเทียม เป็นปริมาณที่พบได้ในน้ำมะนาวตามธรรมชาติ นั้นไม่ได้ตระหนักว่า น้ำมะนาวธรรมชาติจะปรับตัวเป็นด่างเมื่อผ่านกระบวนการย่อย ดังนั้นการกินน้ำมะนาวเทียมจึงเท่ากับเรากิน “น้ำกรด” เข้าไปดีๆ นั่นเอง

สำหรับผู้ที่วิตกกังวลเรื่องกรดซิตริกสังเคราะห์ ถ้าจำเป็นต้องหาความเปรี้ยวจากธรรมชาติมาทดแทนมะนาวในการปรุงอาหาร มีทางเลือก เช่น การใช้มะขามเปียก มะม่วงดิบ มะดัน มะยม ตะลิงปลิง ส้มโอ ส้มซ่า มะเฟือง ซึ่งนอกจากจะให้รสเปรี้ยวแล้ว ผลไม้เหล่านี้ยังช่วยปรับสมดุลความเป็นกรดด่างในทางเดินอาหารและลำไส้รวมทั้งช่วยฆ่าเชื้อในลำไส้ด้วย
******* *******
เครดิต: เรื่อง ชีวอโรคยา เรียบเรียงจาก สรรพคุณสมุนไพรไทย (มะนาว) และ ข่าว “มะนาวเทียม X-RAY สุขภาพ” เดลินิวส์ 29 เมษายน 2555
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772



• หลัก 6 ประการ สู่ความสำเร็จในการสร้างมนุษยสัมพันธ์



• ที่มา: http://www.thaitrainingtoday.com/
บทความต่อไปนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่คิดว่าความสำเร็จของตนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่น ไม่ต้องการที่จะคบหาใคร และต้องการที่จะอยู่เพียงลำพังผู้เดียวในโลกส่วนตัว แต่เพราะความสำเร็จของคนๆหนึ่ง ขึ้นกับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ท่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับแนวทางต่อไปนี้ก็ได้ นั่นเป็นกรอบความคิดของแต่ละบุคคลพึงมี ที่ไม่มีใครเหมือนกัน แต่เป็นสิ่งที่ไม่ยาก หากท่านจะท้าทาย เพื่อพิสูจน์กับความจริงบางอย่าง ขอเพียงท่านประพฤติตัวตรงข้ามจากแนวทางความจริงนั้น ผลลัพธ์ของมัน จะบอกได้เองว่า อะไรจริง อะไรเท็จ สัจธรรมต่าง ๆ พิสูจน์ได้ด้วยวิธีนี้
หลักการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นในฐานะที่ต้องพึ่งพากัน
เพื่อจุดมุ่งหมายสู่ความสำเร็จในทุกๆ ด้าน ของคนทุกระดับ
จะหนีไม่พ้นไปจากหลักการพื้นฐานต่อไปนี้
1. ชื่อ คือเสียงที่ไพเราะสำหรับแต่ละคน
ทุกครั้งที่ใครถูกเรียกชื่อ จะรู้สึกเสมือนหัวใจพองโต รับรู้ถึงความรื่นไพเราะหูเสมอ การที่เราจำชื่อคนอื่นได้ และเรียกด้วยความถูกต้องคล่องปาก เสมือนเรากำลังกล่าวคำชมที่มีประสิทธิภาพ การลืมชื่อหรือเรียกชื่อผิด เท่ากับว่าเรากำลังเข้าสู่ความลำบาก และเพลี่ยงพล้ำเสียประโยชน์ที่พึงได้จากการติดต่อ
ความคิดแห่งการจำชื่อ และการให้เกียรติชื่อของผู้อื่น เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งของคุณสมบัติ ของผู้ประสบความสำเร็จ แม้แต่ระหว่างเจ้านาย กับลูกน้องการเรียกชื่อเขาได้ และถูกต้อง จะสร้างความอบอุ่นให้ผู้ถูกเรียกได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผู้ประสบความสำเร็จในการติดต่อกับผู้คน เขามักตระหนักเสมอว่า ผู้คนล้วนแต่ภาคภูมิใจในชื่อของตนเสมอ ที่สำคัญมันเป็นหลักจิตวิทยา การสร้างความรู้สึกที่ดี และแสดงให้ผู้อื่นได้รับรู้ว่าเขาถูกให้เกียรติ และเติมเต็มความต้องการเป็นผู้มีความสำคัญ
2. แค่รอยยิ้มก็ได้มิตรภาพเกินครึ่ง
สีหน้าที่ปรากฏ มีความหมายกว่าภาษาที่พูดมากมาย มันแสดงอะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความจริงใจ รอยยิ้มเป็นไปได้มากกว่าคำพูดที่จะเอ่ยว่า “ ผมมีความสุขมากที่ได้พบคุณ ” ผู้ที่แสวงหาความสำเร็จ จะปฏิบัติต่อผู้อื่นที่มาบ่นเพ้อ หรือแสดงความไม่พอใจด้วยท่าทางที่สงบ แจ่มใส และยิ้มเสมอขณะที่พวกเขาฟังคำประณามใดๆ รอยยิ้มระงับความโกรธได้อย่างไม่น่าเชื่อ ท่านลองทำดู แต่จงรู้ไว้ก่อนว่ามันเป็นสิ่งยากยิ่งที่ต้องฝึกฝน ไม่ใช่เสแสร้ง มันเป็นสิ่งที่ยากในช่วงแรกๆ แต่ผลมันมีค่ายิ่ง รอยยิ้มที่จริงใจ คือเจตนาที่ดีของตัวท่านที่ผู้อื่นรับรู้ได้ ในสภาวะแวดล้อมรอบตัวท่าน สิ่งที่ทำให้ท่านเป็นสุข หรือทุกข์หาใช่เงื่อนไขแวดล้อมเหล่านั้นไม่ หากแต่ขึ้นกับการเลือกตอบสนองของท่านเองต่างหาก ในสภาวะเงื่อนไขเดียวกัน ทำให้อีกคนชอบ หรือเป็นสุขได้ แต่สำหรับอีกคนกลับ เป็นทุกข์หรือรังเกียจ ก็เพราะมนุษย์ต่างมีทัศนคติในการมองโลกเป็นของตัวเอง ไม่มีอะไรที่ดี หรือเลว เหมือนกันหมดสำหรับทุกๆ คน ยิ้มไว้ ชัยชนะในมิตรภาพเป็นของท่าน
3. หากท่านหวังให้คนอื่นชอบ ก็จงตอบสนองความต้องการผู้อื่นก่อน
เราสามารถผูกมิตรได้มากขึ้น เพียงแค่การให้ความสนใจแก่ผู้อื่นอย่างแท้จริง จงสร้างความประทับใจให้ผู้อื่น อย่ามุ่งหวังแต่ให้ผู้อื่นสนใจในตัวท่าน เพราะมิตรแท้มิได้เกิดด้วยวิธีการนี้ มีผู้กล่าวไว้ว่า “ คนใดไม่ให้ความสนใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันผู้นั้นจะประสบแต่ความยากลำบากในชีวิต และจะเป็นต้นเหตุในการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ” ทุกคนไม่ว่าจะอาชีพใด หรือชนชั้นไหน ล้วนแล้วแต่กระหายให้ผู้อื่นสนใจและชื่นชม ดังนั้นหากต้องการความสำเร็จในมิตรภาพ ขอจงสละความเห็นแก่ตัว และหันไปมองในมุมของผู้อื่นบ้าง ไม่เว้นแม้แต่เวลาที่ท่านคุยโทรศัพท์ ท่านจงเอ่ยน้ำเสียงที่แสดงให้เห็นว่า ท่านมีความกระตือรือร้นที่จะติดต่อกับคนๆ นั้น
4. จงเป็นนักฟัง มากกว่า นักพูด
ไม่มีอะไรที่จะแสดงความนับถือ และให้เกียรติคู่สนทนาไปได้มากกว่าการสนใจฟังคู่สนทนาของท่าน เพราะนั่นเป็นการแสดงความชื่นชมอย่างดีที่ท่านมีให้เขา คนส่วนมากล้มเหลวในการสนทนาเพราะเขาไม่รู้จักฟังผู้อื่น ไม่ฟังเพื่อจับประเด็น และทำความเข้าใจ ส่วนมากมักวุ่นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองจะพูดโต้ตอบกลับไป จนไม่มีเวลาที่จะสนใจฟังคู่สนทนาอย่างจริงใจ ผู้มีความสำเร็จในชีวิต มักเป็นนักฟังผู้เยี่ยมยอด และมันเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในตัวบุคคล ไม่ยากอย่างที่กล่าวมาข้างต้น หากท่านจะพิสูจน์ความจริงข้อนี้ หากท่านอยากให้ใครสักคนหลีกให้ไกล และหันหลังหัวเราะเยาะท่าน ก็จงทำตัวเป็นผู้พูดมากเข้าไว้ จงอย่าฟังใครนานนัก พูดแต่เรื่องของตัวท่าน อย่าหยุด พูดออกไปให้มากๆ หากคนอื่นจะเอ่ยปากพูด จงสวนทะลุกลางปล้อง แม้แต่ตัวท่านเอง เจอแบบนี้จะรู้สึกเช่นไร.. คนปรารถนาที่จะได้มิตรภาพ จะเป็นผู้ฟังอย่างตั้งใจและสนใจในสิ่งที่ผู้อื่นกำลังพูด เขาถาม คำถามที่ผู้อื่นอยากจะตอบ เปิดโอกาสและสนับสนุนให้ผู้อื่นพูด จำไว้เสมอว่าทุกคนล้วนอยากเป็นคนสำคัญในสายตาผู้อื่น ปัญหาของเขา เขาย่อมสนใจมากกว่าปัญหาของท่านแน่ๆ แค่เปิดใจ ไม่ใช่แกล้งทำ ท่านไม่ต้องทำเป็นยอมแพ้เพื่อผู้อื่น แต่จงฝึกฝน และจะรู้ว่าผลที่ได้ คือชัยชนะทั้งคู่
5. คำขอโทษและคำชม คือภาษาสวรรค์
จงให้ความสำคัญ และปฏิบัติตัวให้เกียรติผู้อื่น ด้วยความกล้าที่จะเอ่ยคำชม และการขอโทษอย่างจริงใจ เพราะความปรารถนาที่จะเป็นผู้ที่มีความสำคัญ เป็นธรรมชาติอันลึกซึ้งของมนุษย์ ไม่น่าเชื่อว่าความกระหายอยากเป็นผู้มีคุณค่า และความสำคัญแห่งตน เป็นจุดกำเนิดแห่งอารยธรรมมนุษย์ ที่แตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่นๆ คำชมจากความจริงใจ มิใช่คำเยินยอ ปอปั้น คำชมของท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเขายังมีคุณค่าพอที่จะมีคนชม มีคนบ้าจำนวนมากที่ทางการแพทย์สรุปออกมาว่า ภาวะเสียสติของพวกเขา เกิดจากการไม่ได้รับการตอบสนองในเรื่อง ความต้องการ การเป็นผู้ที่มีคุณค่า และความสำคัญ เช่นเดียวกันกับการกล่าวคำขอโทษ เป็นการให้เกียรติ และนับถือความเป็นผู้ที่มีความสำคัญ ในตัวผู้อื่น ไม่มีอะไรที่จะทำลายความรู้สึกทะเยอทะยาน หาญกล้าของคนๆ หนึ่งได้มากไปกว่าการตำหนิกล่าวโทษ คนส่วนมากอาย และเสียศักดิ์ศรีที่จะกล่าวขอโทษในความผิดที่ตัวเองมีต่อผู้อื่น ดังนั้นจงมอบมิตรภาพให้กับผู้อื่นด้วยการแสดงคำชื่นชม และกล่าวขอโทษ
6. วิธีสร้างศัตรู
ไม่ยากหากชีวิตท่านอยากจะมีแต่ศัตรู เพียงเมื่อท่านคุยอะไร กับใคร บอกเขาไปสิว่า เขาผิด การที่บอกว่าใครผิด ท่านคิดหรือว่าร้อยทั้งร้อยเขาจะเห็นด้วยกับท่าน ไม่มีทาง เพราะทุกคนต่างมีศักดิ์ศรีและความเคารพในความเป็นตัวของตัวเองเสมอ แม้ว่าพวกเขาจะผิดจริง ยังไงก็ต้องหาเหตุผลมาแก้ต่างให้ตัวเองก่อนเสมอ เป็นเรื่องที่แย่มาก หากจะแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่า “ฉันเก่งกว่าคุณ” มันเป็นการเหยียดหยามความเป็นตัวตนของคนอื่นอย่างมาก และท่านกำลังมุ่งสู่ความยุ่งยากในชีวิตเสียแล้ว เพราะท่านกำลังเอามาตรฐานของตัวเองไปตัดสินผู้อื่น มีคนกล่าวอย่างน่าฟังว่า “ หากจะสอนใคร จงสอนเสมือนว่าไม่ได้สอนเขา หากจะบอกอะไรใคร จงทำเสมือนว่าเขาลืมเลือนในสิ่งนั้น ” จงคิดเสมอว่า เราไม่สามารถสอนใครได้หรอก เราทำได้ดีแค่ทำให้เขาค้นพบว่า “ความจริง” มันมีอยู่อย่างนั้น การสร้างศัตรูได้อีกทางคือ การโต้เถียง เรามีสิทธิ์พอหรือยังที่จะโต้เถียงกับใครว่าเราถูกเสมอ มีวิธีเดียวในโลกที่จะหาประโยชน์ได้จากการโต้เถียงคือ หลีกเลี่ยงมันเสีย การโต้เถียงร้อยละ 90 จะจบด้วยการแยกทางเดิน ท่านอาจจะชนะจากการโต้แย้ง แต่ท่านไม่ได้มิตรภาพจากใคร...
To find out more about how a good recruiter can help your team and your company succeed, please contact Adecco representative today.

3 ขั้นตอนในการ ค้นหาความต้องการและเป้าหมายของชีวิต เพื่อเต็มที่กับชีวิตที่มากกว่า

3 ขั้นตอนในการ ค้นหาความต้องการและเป้าหมายของชีวิต เพื่อเต็มที่กับชีวิตที่มากกว่า
ขั้นที่ 1 ถามคำถามเพื่อค้นหาตัวเองสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆในขณะนี้
หากคุณมีเงินเยอะมากๆที่ใช้ยังไงก็ไม่หมด คุณจะตอบคำถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองอย่างไร
• คุณจะใช้เวลาของตัวเองอย่างไร?
• วันที่สมบูรณ์แบบที่สุดในชีวิตของคุณเป็นอย่างไร? เขียนอธิบายโดยละเอียด
• คุณรักที่จะทำอะไร?
ขั้นที่ 2 ถามคำถาม เพื่อค้นหาความต้องการของเด็กคนนั้นที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ ซึ่งคุณอาจจะลืมเด็กคนนั้นไปแล้วก็ได้
ลองย้อนหลังกลับไปดูอดีตของตัวคุณเองในวัยเด็กบ้าง วัยที่ตัวคุณมีอิสระภาพทางความคิด ความรู้สึก และความสุขอย่างไรขีดจำกัด ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ในทุกๆด้าน คุณจะตอบคำถามเหล่านี้กับตัวเองอย่างไร
• อะไรที่ทำให้เด็กอย่างคุณ มีความสุขมากที่สุดในโลก?
• อะไรที่คุณชอบทำ เมื่อใดที่คุณได้ทำในสิ่งนี้คุณจะรู้สึกมีความสุขจนทำให้คุณลืมเรื่องเวลาไปเลย ว่าคุณใช้เวลาไปกับมันนานแค่ไหนแล้ว?
• อะไรที่คุณชอบทำมาก แต่มักจะถูกห้ามหรือถูกทำให้เปลี่ยนใจโดยครอบครัวของคุณ?
ขั้นที่ 3 ร้อยเรียงวัตถุประสงค์ของชีวิตคุณ
พิจารณาคำตอบที่คุณได้รับจากตัวเองในขณะนี้ เปรียบเที่ยบกับวัยเด็ก โดยปราศจากข้อจำกัดต่างๆ และปราศจากการชักจูงจากคนรอบข้างแล้ว จริงๆแล้วคุณต้องการอะไรในชีวิต และอะไรที่ทำให้คุณมีความสุขที่แท้จริง แล้วทำการเชื่อมโยงกันเพื่อหาเป้าหมายและความต้องการที่แท้จริงของตัวคุณเอง แล้วถามคำถามเพื่อทำมันให้เป็นจริง คือ
• ทำอย่างไรคุณจะสามารถทำเป้าหมายหรือความต้องการในชีวิตให้เป็นจริงได้?
• การทำความต้องการในชีวิตของคุณให้เป็นจริงได้ต้องใช้ทักษะอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง?
• คุณสามารถเชื่อมโยงอาชีพทำทำอยู่ กับเป้าหมายในชีวิตของคุณได้อย่างไรบ้าง? เป็นคำถามที่สำคัญมากๆ
• คุณวางแผนจากวันนี้ที่คุณเป็น ไปถึงวันที่คุณสามารถทำสิ่งที่ชีวิตคุณต้องการได้อย่างไร?

19พฤติกรรมที่นำไปสู่ความทุกข์ของผู้คนในสังคม



1. หัวแข็ง หัวดื้อ
2. หลงรักตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่งมาก
3. ขาดอารมณ์ขัน
4. เอาจริงเอาจังกับงานมาก
5. เครียด ย้ำคิด ย้ำทำ
6. พูดไม่เป็น หรือพูดน้อย
7. ก้าวร้าวสูง
8. แข่งขันสูง
9. ไม่ชอบเห็นใครดีกว่า กลัวคนอื่นเก่งกว่า อิจฉาคนเก่งกว่า กับพี่น้องก็อิจฉากันเอง ก้าวร้าวกันเองมาก
10. ชมคนอื่นไม่เป็น ติเก่ง จับผิดเก่ง
11. รักคนอื่นไม่เป็น
12. หลายคนไม่รักตัวเอง มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง เช่น ติดเหล้า บุหรี่ หรือหักโหมทำงานมาก
13. ขาดความสุนทรีย์ในการดำเนินชีวิต
14. เจ้าระเบียบมาก จุกจิกจู้จี้ ย้ำคิดย้ำทำ
15. ชอบสอนคนอื่นเสียจริงๆ แต่ตนเองไม่ทำ
16. ขาดงานอดิเรก ถ้าเส่นกีฬาก็เอาจริงเอาจังจนเกินสนุก
17. ชอบขัดคอคน ต่อหน้าคนอื่นทำเรียบร้อย พอลับหลังนินทาหรือก้าวร้าว หรือด่าหยาบคาย
18. ปลอบคนไม่เป็น หลายรายสนุกกับการเล่นกับหมาได้มากกว่าพูดกับคน
19. กลัวการเสียเปรียบมาก ไม่ยอมเสียเปรียบใคร

มาเลือกเดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟท์กันเถอะ@



การเดินขึ้นบันได เป็นการออกกำลังกายขณะทำงานรูปแบบหนึ่ง เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ ถึงขนาดมีการแข่งขันการเดินขึ้นบันไดเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ทำได้ง่าย ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา

• วิธีปฏิบัติ

1. ท่าทางในการเดิน ควรเดินในลักษณะหลังและคอตรง ไม่โน้มตัวไปข้างหน้า ผ่อนคลายส่วนของหัวไหล่

2. ควรเดินเต็มเท้า และไม่กระแทก ซึ่งลดแรงกระแทกต่อข้อเท้าและข้อเข่า

3. สายตาเหลือบมองต่ำที่ขั้นบันได เพื่อป้องกันการหกล้ม

4. ก้าวด้วยจังหวะที่คงที่ สม่ำเสมอ

5. ควรหยุดการออกกำลังกายและปรึกษาแพทย์เมื่อท่านมีอาการดังต่อไปนี้ คือ เจ็บหน้าอก หายใจไม่คล่อง วิงเวียน ปวดตามข้อเข่าหรือข้อเท้า

6. สำหรับท่านที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ ควรเริ่มขึ้นบันไดเพียง 1 ชั้นก่อน สลับกับเดินพื้นราบ ขณะเดินควรเริ่มด้วยการเกาะราวบันได เมื่อท่านเดินได้คล่องจึงปล่อยมือจากราวได้ ถ้าไม่มีอาการผิดปกติ จึงค่อยๆเพิ่มจำนวนชั้นอย่างช้าๆ คือ 1-2 ชั้นต่อสัปดาห์

• ประโยชน์

1. สามารถออกกำลังกายได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยเฉพาะในที่ทำงาน

2. เพิ่มสมรรถภาพความแข็งแรงและทนทานของระบบหัวใจ หลอดเลือด และปอด เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค ลดความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน

3. เพิ่มความแข็งแรงของระบบกล้ามเนื้อ ทำให้ลดอุบัติการณ์การพลัดตกหกล้ม

4. เป็นการออกกำลังกายที่เก็บสะสมได้จนเท่ากับการออกกำลังกาย 30 นาทีต่อวัน

5. การขึ้นบันไดสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 8 – 11 กิโลแคลอรีต่อนาทีซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายทั่วไป ส่วนการลงบันไดจะใช้พลังงานประมาณ 1 ใน 3 ของการขึ้นบันได

6. มีรายงานว่า การขึ้นบันไดเฉลี่ยวันละ 2 ชั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 2.7 กิโลกรัมในเวลา 1 ปี

7. มีหลักฐานยืนยันว่า การขึ้นลงบันไดสามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

8. มีหลักฐานยืนยันว่า สามารถลดปริมาณไขมันในร่างกาย และเพิ่มปริมาณ High-density lipoprotein (HDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีได้

9. ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องการอุปกรณ์พิเศษใดๆ

10. เป็นการประหยัดค่าไฟฟ้าสำหรับการใช้ลิฟต์หรือบันไดเลื่อน

โดยสรุป ในชีวิตประจำวันท่านสามารถออกกำลังกายด้วยการขึ้นลงบันไดได้แทนการใช้ลิฟต์ หรือบันไดเลื่อนในทุกโอกาส และตั้งเป้าหมายว่า จะขึ้นลงบันไดอย่างน้อยวันละ 2-3 ชั้น ท่านอาจพบว่า สุขภาพของท่านเปลี่ยนแปลงไปอย่างคาดไม่ถึง

ข้อควรระวัง!!

ผู้ที่มีอาการดังต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน ได้แก่ โรคหัวใจ โรคปอด มีประวัติเจ็บแน่นหน้าอกหรือหายใจไม่คล่องขณะหรือภายหลังการออกกำลังกาย ปวดบวมตามข้อโดยเฉพาะข้อเข่าและข้อเท้า

(จาก หนังสือ 100 เรื่องเด่นความรู้ เพื่อส่งเสริมสุขภาพสำหรับประชาชน)

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 149 พฤษภาคม 2556 โดย นพ.จิโรจน์ สูรพันธุ์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล)

ฟังเพลงแม่ - แฮมเมอร์

แม่ - แฮมเมอร์


ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 38 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - Sitthiporn+Rattana Ritthisorakrai

รายการวิทยุรักพ่อ38: Sitthiporn+Rattana Ritthisorakrai

พบกับการเปิดใจของคุณสิทธิพร-รัตนา ฤทธิสรไกร แห่งคนเมืองเรดิโอ พูดถึงจุดเริ่มต้นวิทยุออนไลน์จนมาถึง 1 ปีคนเมืองเรดิโอ, เบื้องหลังการทำงาน ปัญหาอุปสรรค โอกาส มิตรภาพ ความประทับใจ ความจริงใจในการทำงาน การบอกรักพ่อ และอีกครั้งกับเสภา 1ปีคนเมืองเรดิโอ



หยุดแมลงที่กำลังเข้าทำลายพืชผัก

หยุดแมลงที่กำลังเข้าทำลายพืชผักด้วยใบสาบเสือ 3 กก. EM 1 ลิตร + กากน้ำตาล1กก.+เหล้าขาว 1 ขวด หมัก 1 เดือน ใช้ 20cc +น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 3-4 วัน
จาก SMS Farmer Info - 5 พ.ย.2556

ช่วยให้ผักมีรสชาติหวานและเพิ่มความกรอบ

เพียงแช่ผักสดที่ซื้อจากตลาด ในน้ำผสมน้ำปูนแดงนาน 15 นาที นอกจากจะทำให้สารตกค้างลดลงแล้ว ยังช่วยให้ผักมีรสชาติหวานและเพิ่มความกรอบด้วย
จาก SMS Farmer Info - 3 พ.ย.2556

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การกินชาเขียวให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระ จะต้องชงชาเขียวเข้มข้นแบบญี่ปุ่น

การกินชาเขียวให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระ จะต้องชงชาเขียวเข้มข้นแบบญี่ปุ่น ดื่มอย่างน้อยวันละ 20 แก้ว เป็นประจำทุกวัน และเป็นชาเขียวร้อน จึงจะสามารถป้องกันมะเร็งได้

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ชาเขียว”กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม เพราะการโหมโฆษณายกย่องสรรพคุณแสนวิเศษว่าเป็นน้ำมหัศจรรย์ดีเลิศ ช่วยยับยั้งป้องกันสารพัดโรค ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง หัวใจ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล แม้กระทั่งป้องกันฟันผุ จนชาเขียวถูกนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์อีกมากมายหลายชนิดทั้งเค้กชาเขียว ยาสีฟัน ไม่เว้นแม้กระทั่ง...ผ้าอนามัย

ความจริงที่หลายคนยังไม่รู้คือ การดื่มชาเขียวอาจไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรต่อร่างกายเลยหากดื่มไม่ถูกต้อง ไม่ถูกวิธี นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ธรรมชาติบำบัด ผู้อำนวยการศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี และสง่า ดามาพงศ์ นักโภชนาการและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข จะช่วยแนะนำและไขข้อข้องใจในการดื่มชาเขียวให้กระจ่างยิ่งขึ้น

นพ.บรรจบอธิบายว่า ทราบกันดีว่าชาเขียวมีสารแคซิทิน (catecihns) ซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่งในชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็ง แต่สารดังกล่าวไม่ได้มีเฉพาะในชาเขียวเท่านั้น แต่ชาแดง ชาอังกฤษ ก็มีสารนี้เหมือนกัน แต่การที่ชาเขียวโด่งดังมาก เป็นเพราะในช่วงปี 2540 กองทุนวิจัยมะเร็งโลก สหรัฐอเมริกา ได้มีการรวบรวมงานวิจัยกว่า 4,000 ชิ้น เกี่ยวกับอาหารที่สามารถป้องกันมะเร็ง ซึ่งมีรายงานวิจัยจำนวนมากที่ระบุว่าชาเขียวป้องกันมะเร็งได้

อย่างไรก็ตาม จริงๆ แล้วการกินชาเขียวให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระ จะต้องชงชาเขียวเข้มข้นแบบญี่ปุ่น และต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละ 20 แก้ว เป็นประจำทุกวัน จึงจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ ซึ่งในทางปฏิบัติอาจทำได้ยาก

นพ.บรรจบบอกต่อว่า การดื่มชาเขียวในปัจจุบัน เป็นการฉวยโอกาสทางการค้า เป็นการสร้างกระแสความนิยมในวัยรุ่นให้ดื่มเครื่องดื่มชาเขียวบรรจุขวด ซึ่งเกิดประโยชน์น้อย เพราะน้ำชาเขียวที่ดื่มกันนั้น เป็นชาเขียวเจือจางที่ร้ายกว่านั้นคือ การปรุงรสแต่งกลิ่นใส่น้ำตาล แทนที่จะได้ประโยชน์ อาจทำให้เกิดโรคอ้วน ดื่มมากๆ อาจทำให้สมาธิสั้น ประโยชน์จึงได้แค่เพียงชื่นใจ และดับกระหายเท่านั้น

ขณะที่สง่า ดามาพงศ์ นักโภชนาการและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า ในญี่ปุ่นและจีนมีการดื่มชาเขียวมานานนับพันๆ ปี มีพิธีชงชาที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เรียกว่าดื่มกันแทนน้ำ แต่ชาของญี่ปุ่นเป็นน้ำชาเข้มข้น ที่ดื่มกันร้อนๆ หลังมื้ออาหาร ทำให้คนญี่ปุ่นสุขภาพแข็งแรง มะเร็งบางชนิดไม่เกิดขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก สารโพลีฟีนอลที่ยอดใบชาเขียวมีสาร ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็ง

“แต่คนไทยฟังไม่ได้ศัพท์ จับบางประโยคมาแล้วกินตาม แถมกินร้อนก็ไม่ได้ เพราะประเทศไทยอากาศร้อน แล้วก็ต้องใส่น้ำตาลเพิ่มรสชาติให้อร่อยถูกใจ กินกันทั้งบ้านทั้งเมือง โดยที่ไม่รู้ว่ามีคุณสมบัติตามที่มีการกล่าวอ้างจริงหรือไม่ ซึ่งจากการวิเคราะห์หาคุณประโยชน์แล้วก็พบว่า ชาเขียวมีค่าเท่ากับการดื่มน้ำเปล่า และไม่มีสารอาหารวิตามินแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ถือเป็นน้ำเปล่าที่มีราคาแพงด้วยซ้ำ”

อาจารย์สง่าบอกอีกว่า ที่น่าเป็นห่วงคือกาเฟอีนในขวดชาเขียวซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีการประกาศควบคุมกาเฟอีนในชาเขียวพร้อมดื่มจะสามารถมีกาเฟอีนได้ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อ 1 ขวด แต่ในท้องตลาดที่มีการสำรวจกลับพบว่า มีกาเฟอีนเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดมากถึง 65% ขณะที่ร่างกายของคนเราสามารถรับกาเฟอีนได้ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน แต่กาเฟอีนมีอยู่ในเครื่องดื่มหลายประเภททั้งชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มน้ำอัดลม ดังนั้น ถ้าได้รับกาเฟอีนเกินที่ร่างกายรับได้ ก็อาจทำให้เกิดหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

อย่างในรายที่เกิดเป็นข่าวก่อนหน้านี้ นอกจากจะมีผลต่อการทำงานของหัวใจและไตแล้วยังมีผลต่อโรคกระเพาะอักเสบ ซึ่งในส่วนประกอบของชาเขียวนอกจากจะมีกาเฟอีนแล้วก็มักจะผสมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งที่ให้ความหวานสูง เทียบได้กับการดื่มน้ำอัดลมที่เป็นสาเหตุให้เกิดไขมันสะสมเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นการบริโภคชาเขียว เพื่อมุ่งหวังประโยชน์ด้านสุขภาพควรตระหนักในเรื่องปริมาณกาเฟอีนและน้ำตาลมากที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีข้อสงสัยที่สะพัดทั่วอินเทอร์เน็ตซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ คือ การที่ระบุว่า การดื่มชาเขียวเย็นไม่เกิดประโยชน์แล้วกลับทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย กล่าวคือ การดื่มชาเขียวแช่เย็น ก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง นอกจากนี้ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันใน ร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้าย ตามมา เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ ฯลฯ นั้น

นักโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า การดื่มชาเขียวเย็นแล้วจะทำให้เกิดพิษภัยต่างๆ นานา ที่กล่าวมานั้น ขณะนี้ไม่มีหลักฐานการวิจัยยืนยัน หรือแม้แต่การดื่มชาเขียวร้อน แม้ที่ยอดใบชาจะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ป้องกันการเกิดมะเร็งได้จริง แต่ก็ไม่มีผลวิจัยที่ชัดเจนว่าการดื่มชาเขียวในคนช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งได้

ขณะที่นพ.บรรจบ เสริมว่า ดังนั้น ไม่ว่าจะดื่มชาเขียวร้อนหรือเย็นก็ไม่ต่างกัน เนื่องจากวิธีการดื่มของคนไทยเป็นวิธีที่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร ไม่ใช่ดื่มแล้วจะเป็นมะเร็งหรือก่อโรคนั้นโรคนี้ อย่าเชื่อข่าวลือ หรือข่าวทางอินเทอร์เน็ตที่ไม่มีที่มาที่ไปมากเกินไป ควรจะใช้วิจารณญาณ ซึ่งผู้บริโภคสมัยนี้ควรจะศึกษาข้อมูลความรู้มากๆ เพราะกระแสโฆษณาหรือข่าวลืออาจทำให้ไขว้เขวได้เหมือนกัน

“ดังนั้น หากมีเงินแล้วอยากกิน ก็กินไปไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าต้องการดื่มเพื่อสุขภาพ แค่น้ำเปล่าก็เพียงพอแล้ว หรืออยากให้มีรสชาติก็แนะให้ดื่มชาสมุนไพรไทยๆ ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่ต้องเห่อของต่างชาติ ซึ่งในการรักษาด้วยธรรมชาติบำบัด มักจะให้ข้อมูลและศึกษาสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละชนิด ว่าดีต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง แล้วเลือกดื่ม เช่น ถ้ามีปัญญาทางเดินปัสสาวะอักเสบ ซึ่งผู้หญิงที่ชอบอั้นปัสสาวะเป็นกันมากให้ดื่มชาหญ้าหนวดแมว หรือถ้านอนไม่หลับก็ลองดื่มชาชุมเห็ดไทย หากความดันเลือดสูง ให้ดื่มชาตะไคร้ใบเนียม และหากอาหารไม่ย่อยชาตะไคร้ก็จะได้ผลดี ที่สำคัญคือ ความเข้มข้นของน้ำ และ การไม่เติมน้ำตาลจนหวานเกินไป"
******* *******
เครดิต: เรื่อง ชีวอโรคยา นำมาจากบทความ ดื่มชาเขียวร้อนหรือเย็นดี? ผู้จัดการออนไลน์
www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9500000071769
ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

ความรู้สึก.. เป็นพลังงานที่แม้จะมองไม่เห็นแต่

ความรู้สึก.. เป็นพลังงานที่แม้จะมองไม่เห็นแต่
ส่วนรับพลังงานของผู้คนจะสัมผัสถึงได้..
ไม่ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับตัวเอง..
คนอื่นก็จะรู้สึกแบบนั้นต่อตัวคุณเหมือนกัน..
ถ้าวันนี้เรารู้สึกดีกับตัวเอง ปรารถนาดีและโอบกอดตัวเองได้..คนอื่นๆ ก็อยากเข้าใกล้ อยากส่งความรู้สึกดีๆ ให้เรา
...

Feel good about yourself and who you are.
When you appreciate yourself, others will, too.
[cr. Krit Life Coach ]

จงอย่าเย่อหยิ่ง ไม่มองดินที่เดินเหยียบย่ำ

จงอย่าเย่อหยิ่ง ไม่มองดินที่เดินเหยียบย่ำ
แม้วันนี้ ดินจะอยู่ใต้เท้าเรา
แต่พรุ่งนี้อาจเป็นเรา ที่อยู่ใต้พื้นดิน
อย่าเหยียบย่ำลงไปบน "ความผิดพลาด" ของใคร
ถึงจะทำให้เรา "สูง" ขึ้นมาได้
แต่คงไม่มีใคร "ชื่นชม" หรือ "ดีใจ" ไปกับเรา

@ มาทำสวนแบบ mandala garden กันไหม?

@ มาทำสวนแบบ mandala garden กันไหม?

~ สำหรับสวนผสมผสานแบบ Mandala เป็นแนวคิดหนึ่งในการทำการเกษตรแบบยั่งยืน สอดคล้องกับธรรมชาติและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งลักษณะของสวนผสมผสานแบบ Mandana จะเป็นรูปทรงกลมที่มีรูตรงกลางและมีลักษณะสมส่วน มีการแบ่งพื้นที่แปลงปลูกออกเป็นส่วนต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าไปปลูกและดูแลพืชผักต่างๆ โดยจะมีการนำไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ไม้ผล ไม้ทรงพุ่มขนาดเล็ก และพืชผักต่างๆมาปลูกร่วมกันแบบผสมผสาน และให้พืชแต่ละชนิดได้เอื้อประโยชน์ และรักษาสมดุลทางธรรมชาติให้แก่กันและกัน ร่วมกับการดูแลสวนประเภทนี้ซึ่งไม่ยุ่งยากมากนักเพียงแค่มีการจัดหาพืชคลุมดินและใส่ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อปรับปรุงคุณภาพดินให้มีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้และพืชผักเหล่านี้ นอกจากสวนแบบ Mandala จะให้คุณค่าในด้านการรักษาสมดุลในการปลูกพืชแบบผสมผสานแล้ว ลักษณะสวนที่มีรูปทรงกลมเองยังมีความสวยงาม สามารถใช้ตกแต่งภูมิทัศน์ของพื้นที่ ทั้งยังดูแปลกตา และน่าสนใจกว่าการทำสวนแบบเป็นแถวเป็นแนวในแบบเดิมๆอีกด้วย:)

การบรรลุธรรมของพระรมณียวิหารีเถระ@



~ เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?

แม้พระเถระนั้นก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี แล้วมีจิตเลื่อมใส ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วทำการบูชาด้วยดอกหงอนไก่ ด้วยบุญกรรมนั้นเขาเกิดในเทวโลกแล้วกระทำบุญ ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นบุตรของเศรษฐีคนใดคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถึงความหมกมุ่นในกามคุณ เพราะความเมาในความเป็นหนุ่มอยู่.
วันหนึ่ง เขาเห็นบุรุษคนหนึ่งเป็นชู้กับเมียเขา ถูกลงโทษมีอย่างต่างๆ เกิดความสลดใจ ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาแล้วบวช ถึงจะบวชแล้ว เพราะความเป็นคนมีราคจริต จึงปัดกวาดบริเวณจนสะอาด ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้อย่างดี ตกแต่งเตียงตั่งอย่างเรียบร้อย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงมีนามปรากฏว่า "รมณียวิหารี".
เพราะเป็นผู้หนาแน่นด้วยราคะ ท่านจึงทำกิจโดยไม่แยบยล ต้องอาบัติในเพราะตั้งใจทำน้ำสุกกะ(น้ำอสุจิ)ให้เคลื่อนแล้ว มีวิปฏิสารว่า น่าตำหนิตัวเราจริงหนอ เราเป็นอย่างนี้ พึงบริโภคอาหารที่เขาถวายด้วยศรัทธา (ได้อย่างไร) เดินไปโดยคิดว่าจะสึก นั่งพักที่โคนไม้ในระหว่างทาง.
ก็เมื่อหมู่เกวียนเดินผ่านทางนั้นไป โคที่เขาเทียมเกวียนตัวหนึ่งเหน็ดเหนื่อย ลื่นตกไปในทางที่ไม่สม่ำเสมอ เจ้าของเกวียนจึงปลดมันออกจากแอก ให้หญ้าให้น้ำ พอหายเหนื่อยแล้วก็เทียมมันเข้าที่แอกอีก เดินทางต่อไป.
พระเถระเห็นดังนั้นก็คิดว่า โคตัวนี้แม้พลาดไปแล้วหนหนึ่ง ยังลุกขึ้นนำธุระของตนไปได้ฉันใด แม้เราก็ฉันนั้น แม้จะพลั้งพลาดไปบ้างครั้งหนึ่งด้วยอำนาจกิเลส ก็ควรจะลุกขึ้นบำเพ็ญสมณธรรม ดังนี้แล้วเกิดโยนิโสมนสิการ กลับไปแจ้งข่าวความเป็นไปของตนแก่พระอุบาลีเถระ ออกจากอาบัติโดยวิธีที่กล่าวแล้วนั้น กระทำศีลให้บริสุทธิ์ดุจเดิม เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก.

MV เขย่าโลก อัญชลี จงคดีกิจ

"...เขย่าๆโลกเสียใหม่ อย่าหลับไหลช่วยสร้างโลกก่อน โลกของเรามันดูเก่าเพียงไหน มนุษย์ทำลายจนมันสั่นมันคลอน เขย่าๆเข้าที่เสียก่อน อย่าปล่อยโลกร้อนๆ ทั่วปฐพี ....ตื่นขึ้นมาสู้ความจริงดีกว่า ยอมรับว่า อะไรชั่วดี ทุกชีวิตพร้อมใจกันเต็มที่ ก่อนที่โลกนี้จะแตกสลาย..."

เป็น Music Video ยุคแรกๆ ที่ใช้เอฟเฟค ระเบิดมากมาย ถ่ายทำที่โรงถ่ายประมวณ ย่านจรัญสนิทวงศ์ เป็นงานสุดท้ายที่ใช้โรงถ่ายแห่งนี้ ก่อนที่จะหยุดทำการ ผลิตโดย MPA COMMUNICATION

http://www.youtube.com/watch?v=yjr24xTxjZ0


ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 37 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - Kwang Deery & Warintira Khiewchan

รายการวิทยุรักพ่อ 37 : Kwang Deery & Warintira Khiewchan

การบอกรักพ่อ (สุภาณุ โอษฐ์เจษฎา) ผ่านรายการของดีเจเหมียว ธมน โอษฐ์เจษฎา ผู้ร่วมดำเนินรายการ, ช่วงทีนพลัสรักพ่อ จากชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว จ. ชลบุรี, คุยกับ น้องกวาง (Kwang Deery) ชิดชนก สำเภา กับประสบการณ์ร่วมงานอาสากับกลุ่มรักพ่อภา­คปฏิบัติ มิตรภาพที่เกิดขึ้นกับแก๊งโรคจิตอาสา, เกิร์ลแก๊งกู้ชาติ กับการทำความดี ถวายพ่อหลวง, ถอดประสบการณ์คุณเจี๊ยบ วารินทิรา เขียวจันทร์ (Warintira Khiewchan) กับการไปร่วมอุโบสถศีล ถือศีลแปดเป็นครั้งแรกในชีวิต และข้อคิดเรื่องการมีสติ