++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

การวิจัยเพื่อฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของพื้นที่เสื่อมโทรมในเขตพื้นที่อนุรักษ

การเร่งรัดให้เกิดกระบวนการฟื้นตัว ของป่าธรรมชาติ เป็นวิธีหนึ่งที่จะฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของป่าเสื่อมโทรมในเขต พื้นที่อนุรักษ์ต่างๆ โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาและทดสอบ “วิธีการใช้พรรณไม้โครงสร้าง” เพื่อฟื้นฟูป่าซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำที่เสื่อมโทรมในภาคเหนือของประเทศไทย โดยการคัดเลือกพรรณไม้ยืนต้นในท้องถิ่นประมาณ 20 – 30 ชนิด ที่มีคุณสมบัติสามารถแผ่กิ่งก้านปกคลุมวัชพืชได้อย่างรวดเร็ว และดึงดูดสัตว์ป่าที่ช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์ให้เข้ามาในพื้นที่ปลูกป่า ในเดือนมิถุนายน 2541 วางแปลงทดลองเนื้อที่ 12 ไร่ และทำการประเมินผล เดือนกรกฎาคม, พฤศจิกายน 2541 และมีนาคม 2542 ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พบว่า ต้นไม้ที่ปลูกมีชีวิตรอดเฉลี่ยร้อยละ 81 โดยมีค่าตั้งแต่ร้อยละ 100 ในเลือดนก (Horsefiedia amygdalina) และแคหัวหมู (Markhamia stipylata) ลงมาถึงร้อยละ 45 ในมณฑาแดง (Manglietia garrettii) จากการวัดความสูง ในเดือนมีนาคม 2542 พบว่า ไม้ที่โตเร็วที่สุด คือ ทองหลางป่า (Erythrina subumbrans), นางพญาเสือโคร่ง (Prunus cerasoides), เลี่ยน (Melia toosendan), และมะคำดีควาย (Spondias axillaris) ความสูงโดยเฉลี่ย 135,134,133 และ 88 เซนติเมตร ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับแปลงควบคุมที่ไม่มีการปลูกพบว่ามีการทดแทนทางธรรมชาติ น้อยมาก นอกจากการทดสอบการเจริญเติบโตของพรรณไม้ต่างชนิด และการทดสอบผลของปุ๋ยและวัสดุคลุมดินแล้ว ยังมีการประเมินผลการเปลี่ยนแปลงชนิดของพรรณไม้ที่ปกคลุมดินและประชากรของ นกในแปลงทดลองดังกล่าว เปรียบเทียบกับแปลงควบคุมที่ไม่ได้ปลูกด้วย เทคนิคต่างๆที่ได้ปรับปรุงและพัฒนาขึ้นในโครงการวิจัยนี้ จะได้นำไปเผยแพร่แก่ชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการปลูกป่า โดยการเผยแพร่ทางการพิมพ์ การอบรม และการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในปี 2542 และ 2543 ต่อไป

คณะผู้วิจัย - สตีเฟน เอลเลียต, พุฒิพงศ์ นวกิจบำรุง, เชิดศักดิ์ เกื้อรักษ, สุดารัตน์ ซางคำ, เจ. เอฟ. แม็กเวล, ไพบูลย์ เศวตมาลานนท์ และ วิไลวรรณ อนุสารสุนทร

บทบาทผู้นำท้องถิ่นในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ในเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร

THE ROLES OF LOCAL LEADER IN PROMOTION OF ECO-TOURISM IN LAT KRABANG DISTRICT, BANGKOK METROPOLITAN AUTHORITY

ไพรัตน์ ทับทิมเทศ
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมและสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

ว ัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาบทบาท คุณลักษณะทางด้านการท่องเทียวเชิงนิเวศ เปรียบเทียบบทบาทจำแนกตามคุณลักษณะส่วนบุคคล เปรียบเทียบคุณลักษณะทางด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของผู้นำท้องถิ่นจำแนกตา มคุณลักษณะส่วนบุคคล ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะทางด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของผู้นำท้องถิ่ นกับบทบาทของผู้นำท้องถิ่น ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ผู้นำท้องถิ่นในเขตลาดกระบัง จำนวน 297 คน ได้มาโดยการเลือกสุ่มแบบตัวอย่างอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย ข้อมูลที่ได้วิเคราะห์ด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน

ผลการวิจัย พบว่า ผู้นำท้องถิ่นส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 46-60 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา มีระยะเวลาอยู่ในตำแหน่ง 1 ปี ส่วนใหญ่รับข่าวสารการท่องเที่ยวเชิงนิเวศจากโทรทัศน์เดือนละครั้ง รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอยู่ในระดับน้อย การรับรู้บทบาทของผู้นำท้องถิ่นในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในระดับ ปานกลาง มีความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดและความหมาย องค์ประกอบหลักและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศระดับปานกลาง มีแรงจูงใจภายนอกและแรงจูงใจภายในในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอยู่ใ นระดับปานกลาง และเห็นว่าผู้นำมีบทบาทในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศด้านการให้การศึ กษา และด้านการบริหารอยู่ในระดับปานกลางเช่นกัน ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ผู้นำท้องถิ่นที่มีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งแตกต่างกัน มีการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศแตกต่างกัน ผู้นำท้องถิ่นที่มีสถานะ ตำแหน่ง ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง และระดับการศึกษาแตกต่างกัน รับรู้บทบาทในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศแตกต่างกัน ผู้นำท้องถิ่นที่มีสถานะตำแหน่งและระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งแตกต่างกัน มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดและความหมายของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ องค์ประกอบหลักของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศแตกต่างกัน ผู้นำท้องถิ่นที่มีสถานะตำแหน่งและระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งแตกต่างกันมีแรง จูงใจภายนอกและแรงจูงใจภายในในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศแตกต่างกัน ผู้นำท้องถิ่นที่มีสถานะตำแหน่ง ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งและระดับการศึกษาแตกต่างกัน มีบทบาทการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศด้านการให้การศึกษาและด้านการบริห ารแตกต่างกัน การรับรู้ข่าวสารการท่องเที่ยวเชิงนิเวศมีความสัมพันธ์ในทางบวกกับบทบาทในกา รส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของผู้นำท้องถิ่นด้านการให้การศึกษาและด้าน การบริหาร การรับรู้บทบาทในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับบทบาทในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของผู้น ำท้องถิ่นด้านการให้การศึกษาและด้านบริหาร ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศด้านแนวคิดและความหมายเกี ่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ด้านองค์ประกอบหลักของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และด้านการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับบทบาทในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของผู้น ำท้องถิ่นด้านการให้การศึกษา และด้านการบริหาร และแรงจูงใจภายนอกและแรงจูงใจภายในในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศมีคว ามสัมพันธ์ในทางบวกกับบทบาทในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของผู้นำท้อ งถิ่นด้านการให้การศึกษาและด้านการบริหาร


จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรน้ำลุ่มน้ำบางปะกง-ปราจีนบุรี

STRATEGIC MANAGEMENT OF WATER RESOURCE IN BANGPAKONG-PRACHINBURI RIVER BASIN

บุษบงก์ ชาวกัณหา
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมและสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต


ค วามมุ่งหมายที่จะศึกษาถึงสถานการณ์การจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำบางปะกง-ปราจีนบ ุรีพร้อมทั้งวิเคราะห์ศักยภาพการจัดการทรัพยากรน้ำลุ่มน้ำของชุมชนท้องถิ่น ในลุ่มน้ำบางปะกง-ปราจีนบุรี วิธีการดำเนินการศึกษาในครั้งนี้มีทั้งการวิเคราะห์เอกสาร การเก็บข้อมูลภาคสนาม การสนทนากลุ่ม ซึ่งเนื้อหาการศึกษามีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์นโยบายการจัดการทรัพยากร และศักยภาพของการจัดการทรัพยากรน้ำลุ่มน้ำของชุมชนท้องถิ่น พร้อม SWOT Analysis เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ในการจัดการทรัพยากรน้ำลุ่มน้ำบางปะกง-ปราจีนบุรี

ผ ลการศึกษาพบว่า ลุ่มน้ำบางปะกง-ปราจีนบุรี ทั้งบริเวณต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ของพื้นที่ลุ่มน้ำหลัก ได้แก่ บางปะกงและปราจีนบุรี มีความหลากหลายในการใช้พื้นที่ ทั้งเป็นแหล่งเกษตรกรรม ชุมชนและอุตสาหกรรม การสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้-ส่วนเสีย ยังไม่เพียงพอ การตัดสินใจในการใช้และจัดการทรัพยากรน้ำยังไม่ชัดเจนทั้งในระดับโครงสร้างแ ละระดับปฏิบัติในพื้นที่ ก่อให้เกิดความสับสนและความไม่ไว้วางใจระหว่างกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเนื ่องจากแตกต่างกันในมุมมองและผลประโยชน์ มีความขัดแย้งในตัวเองด้านของการพัฒนานโยบายกับการจัดการทรัพยากร ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับบทบาทการพัฒนาจังหวัดในระดับภูมิภาค ศักยภาพของชุมชนท้องถิ่นในการจัดการในระดับลุ่มน้ำมีการรวมตัวกันเพื่อการจั ดการในรูปแบบที่หลากหลายและมีความไม่ลงรอยกับการจัดการในเชิงขอบเขตการปกครอ งที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามแผนและงบประมาณ ขาดความเชื่อมโยงที่ใกล้ชิด

ยุทธศาสตร์ในการจัดการฯ ควรที่หน่วยงานทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ ต้องเน้นการมีส่วนร่วมของคนในท้องถิ่นในการรักษาระบบนิเวศและป่าต้นน้ำ พื้นที่ลุ่มชุมน้ำ รวมทั้งระบบนิเวศปากแม่น้ำ โดยดำเนินการให้มีหน่วยที่บูรณาการระดับกลาง ที่อยู่ระหว่างองค์กรที่รับผิดชอบระดับลุ่มน้ำ และองค์กรรับผิดชอบระดับท้องถิ่นโดยปรับรูปแบบองค์กรบริหารจัดการทรัพยากรธร รมชาติและสิ่งแวดล้อมระดับลุ่มน้ำสาขาให้เป็นรูปแบบ “องค์กรเอกชนท้องถิ่น ” ดำเนินการใช้การคลังด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การมีภาษีสิ่งแวดล้อม และภาษีน้ำ การใช้พันธบัตรสิ่งแวดล้อม และนำรายได้ไปตั้งกองทุนในการจัดการดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรน้ำและค วรดำเนินการบูรณาการด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพและสังคมเข้าไปในนโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำ โดยสนับสนุนการทำ R&D และมี Incubation center ดำเนินการให้มีกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจ เช่น กฎหมายพิจารณ์ที่เป็นธรรม


จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำของเซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน

THE LEADERSHIP DEVELOPMENT STYLE OF SIR RICHARD BRANSON

ปรารถนา รัตนะสิทธิ์
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมและสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต


ว ัตถุประสงค์ เพื่อ ศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาภาวะผู้นำโดยกำเนิด ภาวะผู้นำโดยพัฒนาหรือโดยการสร้าง และภาวะผู้นำตามสถานการณ์ ของ เซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน รวมทั้งเพื่อศึกษาวิเคราะห์รูปแบบภาวะผู้นำ ของ เซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน ที่สามารถใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้อื่น

ก ารวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเอกสาร โดยใช้วิธีการเก็บรวบรวมเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับ เซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน ที่มีอยู่ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในวงการธุรกิจ บทความ และบทสัมภาษณ์ต่างๆ รวมถึงข้อมูลจากอินเทอร์เนต ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) และวิธีการวิเคราะห์เชิงบริบท (Contextual Analysis) รวมทั้งวิธีการสังเคราะห์เชิงพรรณนาจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ทั้งหมด

ผ ลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะผู้นำของเซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน โดยกำเนิดนั้น มีผลมาจากทั้งการเลี้ยงดูของครอบครัว และความคิดสร้างสรรค์ที่ได้รับจากญาติพี่น้อง มีผลให้เขาสามารถพัฒนาตนเองขนเป็นเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าเด็กคนอ ื่น ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะผู้นำจากการพัฒนาพฤติกรรม ประกอบไปด้วย ความฉับไวในการแก้ปัญหา การมองภาพกว้าง การตั้งความหวังไว้สูง ปัจจัยภาวะผู้นำตามสถานการณ์ ประกอบด้วย การสร้างความสามัคคี ใช้บุคคลเป็นสำคัญ มีส่วนร่วมตลอดเวลา ซึ่งนำไปสู่ ภาวะผู้นำในแบบเชิงปฎิรูป ซึ่งสามารถนำไปเป็นต้นแบบในการพัฒนาภาวะผู้นำของงผู้อื่นได้

จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธาน

รูปแบบการบริหารจัดการกองทุนเกษตรกรรมยั่งยืนของเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก จังหวัดฉะเชิงเทรา

THE MANAGEMENT MODEL OF SUSTAINABLE AGRICULTURAL FUND OF ALTERNATIVE AGRICULTURE’S NETWORK IN CHACHOENGSAO PROVINCE

พลูเพ็ชร สีเหลืองอ่อน
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมและสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

ว ัตถุระสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์รูปแบบการบริหารจัดการกองทุนเกษตรกรรมยั่งยืน ของเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกฉะเชิงเทรา เป็นการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพที่เก็บรวบรวมจากกลุ่มประชากรที่ศึกษา 2 กลุ่ม คือ 1) ผู้นำหรือเกษตรกรที่เป็นกรรมการกองทุน 25 คน โดยแบบสัมภาษณ์ และ 2) เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทุนแล้ว 75 คน โดยการจัดสนทนากลุ่ม รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมและประชุมกองทุน

ผล การวิจัย พบว่า กลุ่มประชากรที่ศึกษามีความเชื่อมั่นว่า รูปแบบการบริหารจัดการกองทุนเกษตรกรรมยั่งยืนโดยผู้นำหรือตัวแทนเกษตรกรเป็น รูปแบบการบริหารจัดการที่มีความยั่งยืน มีองค์ประกอบที่ชี้ให้เห็นแนวโน้มความยั่งยืน คือ 1) กรรมการและสมาชิกมีส่วนร่วมในกิจกรรมกองทุนอย่างสม่ำเสมอ มีความเชื่อ ความรู้ ทักษะ และเป็นผู้มีความสามารถทำเกษตรกรรมยั่งยืนได้ด้วยตนเอง 2) มีองค์กรพันธมิตรทำงานส่งเสริมในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง มีเครือข่ายช่วยเหลือเกื้อกูลกันหลายรูปแบบ 3) รูปแบบการบริหารกองทุนโดยผู้นำหรือตัวแทนเกษตรกร สร้างความพอใจแก่สมาชิก ทั้งการสนับสนุนทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำสำหรับการทำเกษตรยั่งยืน ควบคู่กับการสนับสนุนการออมของสมาชิก มีกระบวนการเสริมการเรียนรู้ การติดตามงาน มีการสื่อสารภายใน และมีการวางระบบตรวจสอบกันได้ และ 4) มีตัวชี้วัดแนวโน้มความยั่งยืน อันได้แก่ การชำระทุนคืนต่อเนื่อง การขยายสมาชิก การมีอาหารปลอดภัยบริโภคอย่างเพียงพอ สามารถลดรายจ่าย สร้างรายได้จากผลผลิตในแปลง มีการออมอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่สามารถลดหนี้สินได้ มีการเกื้อกูลกันในชุมชน สภาพแวดล้อมของแปลงเกษตรมีความหลากหลายของพันธุ์พืชและมีสภาพที่สมดุลขึ้น

จ ากผลการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะต่อกองทุนเกษตรกรรมยั่งยืนฯ ในการพัฒนาแปลงต้นแบบเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อขยายผลเชิงปริมาณควบคู่กับคุ ณภาพสมาชิก และพิจารณาขยายผลกองทุนเกษตรกรรมยั่งยืนสู่กองทุนเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรท้องถิ่นน่าจะได้นำรูปแบบการบริหารจัดการกอ งทุนโดยผู้นำหรือตัวแทนเกษตรกรไปปรับใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานหรือแนวทาง ในการริเริ่มก่อตั้งกลุ่มใหม่ด้วย


จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

บทบาทของผู้นำชุมชนในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนอำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว

THE ROLES OF COMMUNITY LEADER ON PREVENTING AND RESOLVING DRUGS ABUSE PROBLEMS IN COMMUNITY AT WATTHANANAKORN DISTRICT, SAKAEO PROVINCE

กนิษฐา ด้วงอินทร์
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมและสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

ว ัตถุประสงค์เป็นการศึกษาระดับบทบาทของผู้นำชุมชนในการดำเนินการป้องกันและแก ้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว ตลอดจนศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภูมิหลังของผู้นำชุมชนกับบทบาทของผู้น ำชุมชนในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน

ประชากร ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้นำชุมชนในเขตอำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว จำนวน 235 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อวิเคราะห์และอธิบายข้อมูลในเชิงพรรณนา และใช้สถิติอนุมาน ได้แก่ ค่าไคสแคร์ เพื่อทดสอบสมมติฐาน

ผลการวิจัยพบว่า บทบาทของผู้นำชุมชนในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน มีการปฏิบัติในระดับปานกลาง นอกจากนี้ ปัจจัยภูมิหลังของผู้นำชุมชนมีความสัมพันธ์กับบทบาทของผู้นำชุมชนในการดำเนิ นการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ตำแหน่ง ระดับการศึกษา ประสบการณ์การเป็นผู้นำชุมชน ส่วน เพศ อายุ การเข้ารับการฝึกอบรม ไม่มีความสัมพันธ์กับบทบาทของผู้นำชุมชนในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหา ยาเสพติดในชุมชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

จากผลการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยขอเสนอแนะให้ผู้นำชุมชนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการร่วมคิด ร่วมวางแผนและร่วมกันรับผิดชอบ โดยยึดรูปแบบพหุภาคี หรือ ประชาสังคม เป็นกลไกในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน ตลอดจนบุคคลระดับผู้นำชุมชนจำเป็นต้องพัฒนาความรู้ ความสามารถ รวมทั้งพัฒนาบทบาทในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนอย่างจ ริงจังและต่อเนื่อง การดำเนินงานจึงจะประสบผลสำเร็จและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

ผลของสารไพเพอรีนที่มีต่อสารก่อการกลายพันธุ์ที่ชักนำให้เกิดความเสียหายต่อโครโมโซมในเซลล์ไขกระดูกของหนูแรทขาว

Effect of piperine on the mutagen-induced chromosome aberrations in rat bone marrow cells

สรียา วงษ์พา
วม.ท (พิษวิทยา)

ไ พเพอรีนเป็นสารอัลคาลอยด์ให้กลิ่นฉุนและรสชาติเผ็ดร้อน ที่สกัดจากผลของพริกไทยดำและพริกไทยเอเชีย พริกไทยทั้งสองสายพันธุ์นี้เป็นที่นิยมบริโภคกันมากในหลายประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังนิยมใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในตำรับยาแผนโบราณในหลายประเทศแถบทว ีปเอเชีย จึงน่าสนใจที่จะศึกษาถึงความเป็นพิษของมัน โดยเฉพาะความเป็นพิษต่อพันธุกรรม ในการศึกษาครั้งนี้ได้ทำการศึกษาผลของไพเพอรีนที่มีต่อโครโมโซมหนูแรทขาวผู้ พันธุ์วิสตาร์ (Wistar rat) หนูแรทเพศผู้พันธุ์วิสตาร์ได้รับไพเพอรีนขนาด 100,400 และ 800 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หลังจากนั้น 24 ชั่วโมง ฆ่าหนูและเก็บเซลล์ไขกระดูกจากกระดูกต้นขา เพื่อนำมาทำการวิเคราะห์โครโมโซม ผลของการศึกษาพบว่าไพเพอรีนในขนาดที่หนูได้รับไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายต่ อโครโมโซมเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม อย่างไรก็ตามไพเพอรีนในขนาดที่หนูได้รับมีผลทำให้ค่า Mitotic index ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งบ่งชี้ว่าไพเพอรีนอาจมีฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์ไขกระดูกเมื่อได้รับในปริมา ณสูง

นอกจากนี้ยังได้ทำการศึกษาผลของไพเพอรีนที่มีต่อ cyclophosphamide (CP) และ mitomycin C (MC) ที่ชักนำให้เกิดความเสียหายต่อโครโมโซมในหนูแรทขาวเพศผู้พันธุ์วิสตาร์โดยหน ูแรทเพศผู้พันธุ์วิสตาร์ได้รับสารไพเพอรีนขนาด 100, 400 และ 800 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ก่อนที่จะได้รับ CP หรือ MC ในขนาด 50 หรือ 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตามลำดับ หลังจากได้รับ CP หรือ MC ไปแล้ว 24 ชั่วโมง ฆ่าหนูและนำเซลล์ไขกระดูกมาวิเคราะห์โครโมโซม จากการศึกาพบว่าไพเพอรีนขนาด 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สามารถยับยั้งความเสียหายของโครโมโซมที่เกิดจากการชักนำของ CP สำหรับความเสียหายที่เกิดจากการชักนำของ MC พบว่า ไพเพอรีนขนาด 800 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สามารถยับยั้งความเสียหายของโครโมโซมได้

โดยสรุป ไพเพอรีนทุกขนาดที่ไม่ทำให้โครโมโซมเสียหาย นอกจากนี้ไพเพอรีนในขนาด 100 และ 800 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สามารถลดความเสียหายของโครโมโซมที่เกิดจากการชักนำของ CP และ MC ตามลำดับ การประเมินความปลอดภัยสำหรับการบริโภคไพเพอรีนในมนุษย์ และกลไกที่อาจเป็นไปได้ของมันในการช่วยลดความเสียหายของโครโมโซมที่ชักนำโดย CP และ MC ถูกอภิปรายต่อไป



จากการประชุมวิชาการ เสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 1
เรื่อง บัณฑิตศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
30-31 มกราคม 2550 ณ อาคารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

การศึกษาเชิงภาษาศาสตร์ชาติพันธุ์ในบทเพลงลูกทุ่งและลูกกรุง

AN ETHNOLINUISTIC STUDY IN THE LYRICS OF THAI COUNTRY AND CITY SONGS

เกรียงไกร วัฒนาสวัสดิ์
ปร.ด ภาษาศาสตร์

วัตถุประสงค์
- เพื่อจำแนกความแตกต่างของบทเพลงลูกทุ่งและเพลงลูกกรุงในด้านการใช้ภาษาและเน ื้อหาโดยมุ่งศึกษาเปรียบเทียบ 1) แก่นของเพลง 2) กลวิธีทางภาษา และ 3) ภาพสะท้อนทางสังคมวัฒนธรรมที่ปรากฏในบทเพลง

การวิเคราะห์ข้อมูล
- กระทำโดยประสานกลวิธีจากสหวิทยาการ (Multi-disciplinary approaches) ซึ่งข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้นำมาจากบทเพลงลูกทุ่งจำนวน 474 เพลงและบทเพลงลูกกรุงจำนวน 483 เพลง

ผลการวิเคราะห์จากงานวิจัยนี้แส ดงให้เห็นว่า ไม่สามารถจำแนกลักษณะความแตกต่างของบทเพลงลูกทุ่งและลูกกรุงได้อย่างเด่นชัด ทั้งนี้เนื่องจากบทเพลงทั้งสองมีแก่นของเพลง กลวิธีทางภาษาและภาพสะท้อนทางสังคมวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน ผลการศึกษาการใช้ภาษาในบทเพลงลูกทุ่ง แสดงให้เห็นว่าบทเพลงลูกทุ่งส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา อาทิเช่น ภาษาแสลงและภาษาปาก ส่วนการใช้ภาษาในบทเพลงลูกกรุงมีลักษณะเป็นภาษากวี ปัจจัยดังกล่าวนี้เองที่ทำให้บทเพลงลูกทุ่งยังคงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ฟัง

เ มื่อพิจารณาผลการวิเคราะห์ในด้านเนื้อหาของเพลง พบว่า เนื้อหาของเพลงทั้งเพลงลูกทุ่งละเพลงลูกกรุงสามารถจำแนกได้เป็น 7 ประเภท คือ 1) การชมความงาม 2) ประเพณีและเทศกาลต่างๆ 3) ความผิดหวัง 4) ความรัก 5) คติธรรมสอนใจ 6) การปลุกใจและสดุดี และ 7) การสะท้อนภาพสังคม เนื้อหาของเพลงที่มีความถี่ 3 อันดับแรกซึ่งปรากฏทั้งในเพลงลูกทุ่งและลูกกรุง ได้แก่ เนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ความผิดหวัง และการสะท้อนภาพสังคมซึ่งสนับสนุนแนวคิดทางชาติพันทางดนตรีที่ว่า บทเพลงเป็นสื่อที่ใช้เพื่อปลดปล่อยความตึงเครียดและการแสดงออกทางอารมณ์ของม นุษย์ นอกจากนี้ผลการวิจัยนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่า บทเพลงทั้งสองประเภทเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการบันทึกความเปลี่ยนแปลงของสังค มวัฒนธรรมไทย แต่ยังให้ยังแสดงให้เห็นว่า กลวิธีทางภาษาและภาพสะท้อนทางสังคมวัฒนธรรมในบทเพลงทั้งสองประเภทมีความแตกต ่างกันขึ้นอยู่กับแก่นของเพลง

จากการประชุมวิชาการ เสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 1
เรื่อง บัณฑิตศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
30-31 มกราคม 2550 ณ อาคารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

การทำให้บริสุทธิ์บางส่วนและการวิเคราะห์คุณลักษณะของแบคเทอริโอซินที่ผลิตโ ดยเชื้อ แลคโตบาซิลลัส พารา-เคซีไอ สายพันธุ์ พาราเคซีไอ

ธิดารัตน์ สุขแสงเปล่ง, ศิริวุฒิ สุขขี, สุมาลี พฤกากร และคณะ
ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เป็นที่ทราบกันดีว่าแลคโตบาซิลลัสผลิตแบคเทอริโอซินเพื่อการประยุกตใช้เชิงสุขภาพของคนได้ เมื่อเร็วๆนี้ผู้เสนอได้รายงานถึง
Lactobacillus paracasei subsp paracasei 3 ไอโซเลท ได้แก่ B282 B63/8 และ B85/4 แสดงฤทธิ์ต้านจุลชีพที่ดีต่อเชื้อที่ก่อโรคปริทันต์ porphyronomus gingivalis W50

วัตถุประสงค์

- เพื่อแยกสารแบคเทอริโอซินจากเชื้อข้างต้นให้บริสุทธิ์บางส่วน และวิเคราะห์สารดังกล่าว


วิธีศึกษา
- เตรียมแบคเทอริโอซินหยาบได้จากน้ำเลี้ยงเชื้อปราศจากเซลล์ ศึกาน้ำหนักโมเลกุลและประจุ ทำให้บริสุทธิ์บางส่วนด้วยคอลัมภ์โครมาโตกราฟีชนิดแลกเปลี่ยนประจุ และตรวจวัดผลผลิตและแบคเทอริโอซินแอคติวีตีของแต่ละส่วนแยก ซึ่งพบว่าแบคเทอริโอซินหยาบสามารถแยกได้จากการตกตะกอนด้วย 40
% แ อมโมเนียซัลเฟต ปั่นแยกที่ 4200 รอบต่อนาที และกรองแบบอุลตร้าฟิวเตรชั่นตามลำดับ มี น้ำหนักโมเลกุลระหว่าง 35-90 กิโลดาลตัน และมีประจุควบคุมทั้งบวกและลบ ส่วนแยกโปรตีนจากคอลัมภ์ประจุลบของไอโซเลท B85/4 แสดงผลผลิและแบคเทอริโอซินสูงสุด มีน้ำหนักโมเลกุลระกว่าง 40-80 กิโลดาลตันและค่า pI ระหว่าง 4-5

สรุป
- แบคเทอริโอซินของ
Lactobacillus paracasei subsp. Paracaei ส ามารถเตรียมและแยกให้บริสุทธิ์ได้ตามลำภดับวิธีข้างต้น แฃะส่วนแยกจากคอลัมภ์ประจุลบที่แสดงฤทธิ์ มีน้ำหนักโมเลกุลระหว่าง 40-80 กิโลดาลตัน อย่างไรก็ตามแบคเทอริโอซินนี้ยังต้องแยกให้บริสุทธิ์ด้วยวิธีเจล ฟิลเตรชั่น และวิเคราะห์ในระดับโปรทีโอ-มิคต่อไป
- อย่างไรก็ตามแบคเทอริโอซินนี้ ยังต้องแยกให้บริสุทธิ์ด้วยวิธีเจล ฟิลเตรชั่น และวิเคราะห์ในระดับโปรทีโอ-มิคต่อไป
- การจัยนี้ได้รับทุสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ

จากการประชุมวิชาการ เสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 1
เรื่อง บัณฑิตศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
30-31 มกราคม 2550 ณ อาคารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

ผลกระทบสิ่งแวดล้อมบริเวณชายฝั่งทะเลบ้านบางปอ จังหวัดนครศรีธรรมราช

นิจิตรา วรรณจันทร์, ธีระยุทธ ภู่เพชร และไตรเทพ วิชย์โกวิทเทน
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

วัตถุประสงค์
- เพื่อตรวจวัดระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมชายฝั่งทะเลบ้านบางปอ จังหวัดนครศรีธรรมราช รวมทั้งดัชนีคุณภาพสิ่งแวดล้อมชายหาด พร้อมทั้งวิเคราะห์นโยบายและแนวทางในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมภายในพื้นที่

วิธีการวิจัย
- กำหนดสถานที่ที่ทำการตรวจวัดทั้งสิ้น 11 สถานี ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ปากแม่น้ำสิชลจนถึงชายฝั่งทะเล โดยทำการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2 ครั้ง ในช่วงฤดูน้ำมาก และฤดูน้ำน้อย ดัชนีที่ทำการตรวจวัดประกอบด้วยดัชนีที่เกี่ยวกับคุณภาพน้ำ ความลาดชันของชายหาด ขนาดของอนุภาคและสารอินทรีย์ในดิน สัตว์หน้าดิน ขยะมูลฝอย และลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดิน ข้อมูลที่ได้นำมาประกอบในการคำนวณค่าดัชนีคุณภาพชายหาด และทำการออกแบบสอบถามเพื่อทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน นักท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายในพื้นที่

ผลการศึกษา

- คุณภาพสิ่งแวดล้อมบริเวณชายฝั่งบ้านบางปอ และปากแม่น้ำสิชล จะมีความผันแปรตามฤดูกาล และกิจกรรมการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องพบว่า สภาพที่เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในพื้นที่มากที่สุด ได้แก่ การกัดเซาะชายฝั่ง และขยะมูลฝอยตกค้าง รองลงไปได้แก่ การสร้างสิ่งก่อสร้างรุกล้ำพื้นที่ชายหาดและปากแม่น้ำ และการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำ แต่หากพิจารณาคุณภาพสิ่งแวดล้อมชายหาดในภาพรวมยังอยู่ในระดับดีมีค่าดัชนีเท ่ากับ 7.3 สำหรับนโยบายและแผนการจัดการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของห น่วยงานที่เกี่ยวข้องนับว่า ยังมีอยู่น้อย และไม่มีการจัดทำแผนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ

สรุป
- ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดบริเวณชายฝั่งทะเลบ้านบางปอ จังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบด้วยการกัดเซาะชายฝั่ง ขยะมูลฝอยตกค้าง การรุกล้ำชายฝั่งและการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำ การศึกษานี้ได้เสนอแนะแนวทางในการจัดการพื้นที่โดยเน้นความร่วมมือกันระหว่า งหน่วยงาน

จากการประชุมวิชาการ เสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 1
เรื่อง บัณฑิตศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
30-31 มกราคม 2550 ณ อาคารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

การศึกษาเปรียบเทียบคุณสมบัติแป้งเปียก และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบความร้อนของแป้งข้าวโพดดัดแปรด้วยแรงดันออสโมติก และแป้งข้าวโพดดัดแปรด้วยความร้อนชื้น

เฉิดฉัน ปุกหุต, บุษวรรณ สุวรรณวัฒน์ และไสยวิชญ์ วรวินิต
ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

วัตถุประสงค์
- เพื่อศึกษาคุณสมบัติแป้งเปียก และคุณสมบัติการเปลี่ยนแปลงรูปแบบความร้อนโดยเปรียบเทียบระหว่างวิธีดัดแปรด ้วยแรงดันออสโมติกและวิธีดัดแปรด้วยความร้อนชื้นในแป้งข้าวโพด

วิธีการวิจัย
- การดัดแปรด้วยแรงดันออสโมติก เริ่มจากผสมแป้งลงในสารละลายโซเดียมซัลเฟตอิ่มตัว และให้ความร้อนด้วยหม้อนึ่งความดันที่อุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียส ซึ่งเทียบเท่ากับแรงดันออสโมติก 341 ความดันบรรยากาศ เป็นเวลา 15,30 และ 60 นาทีตามลำดับ สำหรับการดัดแปรแป้งด้วยความร้อนชื้น เริ่มจากการปรับความชื้นของแป้งให้ได้ 20 เปอร์เซ็นต์ (กรัมน้ำต่อกรัมแป้ง) และให้ความร้อนเช่นเดียวกับวิธีดัดแปรด้วยแรงดันออสโมติก

ผลการศึกษา
- การดัดแปรด้วยวิธีแรงดันออสโมติก ทำให้เพิ่มอุณหภูมิเจลาติไนซ์มากกว่าแป้งดัดแปรด้วยความร้อนชื้นและแป้งที่ผ ่านการดัดแปรด้วยวิธีแรงดันออสโมติกจะมีคุณสมบัติเป็นเนื้อเดียวกันสูงกว่าก ารดัดแปรด้วยความร้อนชื้น นอกจากนี้แป้งดัดแปรด้วยแรงดันออสโมติกทำให้เพิ่มคุณสมบัติความหนืดสูง, การแตกหลังการพองของเม็ดแป้ง และความหนืดสุดท้าย เช่นเดียวกับการดัดแปรด้วยความร้อนชื้น

สรุป
- จากผลการศึกษาพบว่า การดัดแปรด้วยแรงดันออสโมติกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติแป้งเปียกและก ารเปลี่ยนแปลงรูปแบบความร้อนได้ดีกว่าวิธีดัดแปรด้วยความร้อนชื้น เนื่องจากการถ่ายเทความร้อนที่ดีระหว่างการดัดแปร ส่งผลให้วิธีนี้เหมาะสมในการนำไปใช้ในระดับอุตสาหกรรม การวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการทุนผู้ช่วยวิจัยบัณฑิตศึกษา

จากการประชุมวิชาการ เสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 1
เรื่อง บัณฑิตศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
30-31 มกราคม 2550 ณ อาคารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

การเพิ่มความเป็นผลึกสัมพัทธ์ในแป้งมันสำปะหลังโดยการสเปรย์ดรายร่วมกับสารค อลลอยด์ของซิลิคอนไดออกไซต์และการนำไปใช้ประโยชน์ในการตอกเม็ดยา

ตวงพร ตู้โกเมน, สุจินต์ ชอบสงบและไสยวิชญ์ วรวินิต
ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ, ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

วัตถุประสงค์
- เพื่อเพิ่มความเป็นผลึกของแป้งมันสำปะหลังโดยการสเปรย์ดรายร่วมกับสารคอลลอยด์ของซิลิคอนไดออกไซต์

วิธีการวิจัย
- ขั้นตอนการศึกษาเริ่มจากการนำแป้งและสารคอลลอยด์ซิลิคอนไดออกไซต์ความเข้มข้ นต่างๆ (โดยเทียบกับน้ำหนักแห้งของแป้ง) ไปกระจายตัวในน้ำ และนำไปทำให้แห้งโดยเทคนิคการสเปรย์ดรายเพื่อให้ได้แป้งและคอลลอยด์ซิลิคอนไ ดออกไซต์ที่เกาะกลุ่มกันอยู่

ผลการศึกษา
- โดยพบว่าสารคอลลอยด์ซิลิคอนไดออกไซต์สามารถเพิ่มค่าการไหลของกลุ่มแป้งที่เก าะตัวกันอยู่ได้โดยการลดแรงเสียดทานระหว่างเม็ดแป้ง นอกจากนั้นภาพขยายจากเครื่อง
SEM ข ยายให้เห็นสารคอลลอยด์ซิลิคอนไดออกไซต์เกาะอยู่บนพื้นผิวของเม็ดแป้งที่เกาะ กลุ่มกัน นอกจากนี้สารดังกล่าวยังสามารถเพิ่มความเป็นผลึกโดยสัมพัทธ์ของแป้งโดยไปทำใ ห้เส้นสายในโครงสร้างของแป้งเกิดการเรียงตัวใหม่ให้มีระเบียบมากขึ้นด้วยการ จับกับหมู่ไซลานอลบนพื้นผิวของสารคอลลอยด์ซิลิคอนไดออกไซต์ด้วยพันธะไฮโดรเจ น เมื่อความเป็นผลึกของเม็ดแป้งเพิ่มขึ้นทำให้เม็ดยาที่ตอกได้มีความแข็งแรงมา กขึ้นด้วย โดยเมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสารคอลลอยด์ซิลิคอนไดออกไซต์จะมีผลทำให้ความกร่ อนของเม็ดยาลดลงและเม็ดยาจะใช้เวลาในการแตกตัวเพิ่มขึ้น

สรุป
- การสเปรย์ดรายแป้งมันสำปะหลังร่วมกับสารคอลลอยด์ซิลิคอนไดออกไซต์มีผลช่วยเพ ิ่มความเป็นผลึกสัมพัทธ์ในแป้งที่ได้และช่วยปรับปรุงคุณภาพของเม็ดยาที่ตอกไ ด้

จากการประชุมวิชาการ เสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 1
เรื่อง บัณฑิตศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
30-31 มกราคม 2550 ณ อาคารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

ผลกระทบของสารหนูต่อปลาช่อนที่อาศัยในแหล่งน้ำปนเปื้อนสารหนู

สิริพร เหลืองสุชนกุล-1, วิชัย เอกทักษิณ-2, กันทิมาณี พันธุ์วิเชียร-3 และพรสวรรค์ วิสุทธิวิเศษ-1

1-คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2-คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล, 3-คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

วัตถุประสงค์
- เพื่อตรวขจหาการสะสมของสารหนูและผลกระทบของสารหนูต่อปลาช่อน สกุล
Channa striata (Bloch,1797) ที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนสารหนูจาก ต.ร่อนพิบูลย์ อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช (ความเข้มข้นสารหนู 680+6.51 และ 976.4 + 3.21 มิลลิกรัมต่อลิตร) เปรียบเทียบกับปลาช่อนจากแหล่งน้ำที่ไม่มีประวัติของการปนเปื้อนสารหนูจากแม่น้ำสุพรรณ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี (ความเข้มข้นสารหนู 14.9 + 0.15 มิลลิกรัม ต่อ ลิตร)

วิธีการวิจัย
- โดยทำการเก็บตัวอย่างปลาช่อน ขนาดอายุ 8 เดือน ถึง 1 ปี จากทั้งสามแหล่งน้ำ นำมาแยกเป็นอวัยวะต่างๆ คือ เหงือก ตับ ไต ลำไส้ กระเพาะอาหาร ไส้ติ่ง และกล้ามเนื้อ มาวิเคราะห์หาสารหนูด้วยเครื่อง
HG-AAS และนำมาตรวจหาความผิดปกติของเนื้อเยื่อ และตรวจหาเอ็นไซม์ Ethoxyresorufin –O- deethylase (EROD), Superoxide dismutase (SOD) and Glutathione –S-Tranferases (GST) ในตับ

ผลการศึกษา
- พบว่ามีการสะสมสารหนูสูงสุดในกล้ามเนื้อและตับของปลาช่อนจากแหล่งน้ำปกติ ซึ่งตรงข้ามปลาช่อนที่มาจากแหล่งน้ำที่มีสารหนู ที่พบว่ามีการสะสมสารหนูสูงสุดในตับเท่านั้น ผลการตรวจหาพยาธิสภาพในอวัยวะต่างของปลาช่อน มีความแตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่างปลาช่อนจากแหล่งน้ำที่มีสารหนูและไม่มีสารหนู ตับปลาช่อนจากแหล่งน้ำที่มีสารหนู มีการเปลี่ยนแปลงทางเนื้อเยื่อรุนแรงที่สุด และตรวจพบว่าปริมาณเอนไซม์จากตับปลาช่อนที่มาจากแหล่งน้ำที่มีการปนเปื้อนสา รหนู มีระดับสูงกว่าจากตับปลาช่อนจากแหล่งน้ำที่ไม่มีการปนเปื้อนสารหนู

สรุป
- ปัจจัยที่มีผลต่อการสะสมสารหนูคือ ความเข้นข้นของสารหนูในน้ำและระยะเวลาที่ได้รับสารหนู วึ่งมีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพ การเพิ่มขึ้นของระดับเอนไซม์สามารถบอกได้ถึงสภาวะการทำงานตับที่ยังคงอยู่
- งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการบัณฑิตฝึกอบรมและวิจัยด้านวิทยาศาสต ร์ เทคโนโลยี และบริหารสิ่งแวดล้อม และทุนสนับสนุนวิทยานิพนธ์บางส่วนจากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล

จากการประชุมวิชาการ เสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 1
เรื่อง บัณฑิตศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
30-31 มกราคม 2550 ณ อาคารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

วิธีเอาใจดาร์ลิ่ง ให้รักกันไม่รู้ลืม

รู้นะ ว่าคุณกับแฟนหลงใหลได้ปลื้ม จนแทบจะแกะจากกันไม่ออก แล้วในเมื่อ รักกันมากขนาดนี้ แล้วทำไมคุณถึง ไม่ขยันเอาอกเอาใจ แฟนสุดเลิฟ ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ล่ะ เอ๊า อย่าคิดตื้นๆ นะว่าแฟนเป็นของตาย สนก็ได้ ไม่สนก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวความรักจืดสนิทแล้ว จะหาว่า ไม่เตือนไม่ได้นะ

ใน วิธีเอาใจดาร์ลิ่งกันให้สุดๆ (30 Ways to Spoil Each Other Rotten) ของนิตยสารเรดบุ๊ก เปิดโอกาสให้หญิงชาย ผู้มีหวานใจในชีวิตจริงช่วยกันบอกเล่า เก้าสิบถึงเคล็ดลับส่วนตัวในการโอ้โลมคนรักให้ สวีวี่วี รักใคร่กลมเกลียวแบบผูกพันไม่รู้ลืม ซึ่งวิธีใครวิธีเค้า ถ้าจะโดนใจคุณผู้อ่านจนจะขอยืมเคล็ดไม่ลับที่เป็นแซมเปิ้ลต่อไปนี้ไปใช้บ้าง ก็ไม่มีใครกล้าว่าหรอกจ้ะ ขอเพียงให้ ทำเพราะรักจริง ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งกระแดะเท่านั้นเป็นพอ

ตัวอย่างของการเอาอกเอาใจคนรักให้เค้าประทับใจ เผื่อแม้จะอยู่กันไปนานๆ คู่เลิฟคู่นั้นก็ยังมีเกราะป้องกันความเบื่อ ไม่ให้ความเซ็งในอารมณ์ แทรกซ้อนขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน แซมเปิ้ลให้ฟังก็มีดังนี้

1. ครั้งสุดท้ายที่ฉันไปทำผม เจ้าของร้านซาลอนเจ้าประจำชวนฉันเข้ารับการขัดสี ฉวีวรรณ, นวดหน้านวดตัวและ เข้าคอร์สรับการรักษาเล็บมือเล็บเท้า รวมทั้งดูแลใส่ใจต่อ สุขภาพของผิวด้วย หลังแฟนของฉันรู้เรื่องเข้า เค้าก็รีบโทร.ไปจองเวลากับเจ้าของร้านทันที เพื่อให้ฉันได้เข้าคอร์สเสริมความงามตามที่ได้แนะนำไว้... เป็นเจ้าบุญทุ่มเหลือเกินนะยะ

2. แฟนช่วยทำงานบ้าน ตามรายการที่ฉันเขียนไล่เรียงไว้ก่อนหลัง และขีดฆ่ารายการ ที่ทำไปแล้ว เช่น นำจักรยานไปซ่อม, เอารถไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง, ไปซื้อนมที่ซุปเปอร์มาร์เกต และนำเงินค่าหนังสือพิมพ์ไปใส่ไว้ในตู้จดหมายเพื่อจ่ายให้เด็กส่ง น.ส.พ.แสดงให้เห็นว่าเขายินดีที่จะช่วยทำงานบ้านและ ไม่ถือว่างานบ้านต้องเป็นงาน สำหรับผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียว... ขยันช่วยกันอย่างงี้รักตายเลยสิ ใช่ป่าว

3. ฉันมักเลือกชุดทำงานให้แฟนเพื่อให้เค้าใส่ในวันรุ่งขึ้น เพราะฉันรู้ว่าเค้างานหนัก และไม่ค่อยว่าง ดังนั้นฉันจึงเลือกที่จะตื่นก่อนไก่โห่เพื่อตระเตรียมอาหารเช้าให้ แถมยังเตรียมน้ำไว้ให้เค้าอาบด้วยนะ...บริการเต็มที่เลยนะเนี่ย

4. ฉันทำให้เค้าประหลาดใจโดยวางถ้วยกาแฟ และขนมปังโรยงาทาด้วย ครีมชีสที่แฟนชื่นชอบไว้ในรถ แค่นี้เค้าก็สามารถเพลิดเพลินกับอาหารเช้าระหว่างทางที่เขา เดินทางไปทำงานได้แล้ว

5. แฟนของฉันเปลี่ยนห้องน้ำในบ้านเราเป็นสปา พอฉันกลับถึงบ้านก็พบว่า เค้าพร้อมที่จะปรนนิบัติฉันแล้ว ขณะที่เขากำลังนวดให้ ทำให้ฉันเผลอหลับไปเพราะ เสียงดนตรีคลอเคล้า หนำซ้ำบรรยากาศยังแสนโรแมนติ๊ก โรแมนติก มีทั้งเทียนและน้ำมันหอมระเหย ฉันงี้หลับฝันดีไปตลอดทั้งคืนเลย

6. แฟนฉันเกลียดการหารีโมตคอนโทรลเอามากๆ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เราอยากดู โทรทัศน์กัน ฉันจะหารีโมตเตรียมไว้บนโซฟาที่เขานั่งเป็นประจำไว้ ล่วงหน้า และจะไม่แย่งรีโมต แต่จะอยู่ดูทีวีช่องที่เขาโปรดปรานเป็นเพื่อน ก่อนจะชวนเข้านอนพร้อมกัน... แหม้รักกันเหลือเกินนะยะ

7. ฉันมักซื้อการ์ดอวยพรสวยๆ สำหรับโอกาสพิเศษๆตุนไว้เสมอ พอถึงวันสำคัญๆทีไร ฉันจะส่งการ์ดไปให้แฟนในวันเหล่านั้นตลอดทั้งปี...รักกันทุกเทศกาลว่างั้นเหอะ

8. เมื่อไรที่เราออกไปนอกบ้าน ไม่ว่าจะไปรับประทานอาหารเย็นในภัตตาคาร หรือนั่งรถไฟเที่ยว แฟนจะให้ฉันเลือกที่นั่งที่ดีที่สุดก่อนเสมอ...น่ารักอะไรเช่นนี้

9. ผมแอบเอารถของแฟนไปล้าง และเติมน้ำมันจนเต็มถังให้เสมอ เพื่อจะได้มั่นใจไงครับว่า รถที่แฟนผมขับจะไม่น้ำมันหมดกลางทาง...สุภาพบุรุษดีเหลือเกิน

10. ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าแฟนเตรียมลางานให้ฉันในวันจันทร์และวันอังคารไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังเรานัดกันไปเที่ยวทะเลในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่พอฉันอ้อนเค้าให้อยู่นานกว่านี้ เขาก็ยอมรับว่าเขาได้เช่าเรือเพิ่มอีกสองวัน และนั่นทำให้ฉันไม่หวังจะกลับไป ทำงานจนกระทั่งถึงวันพุธ มันเป็นวันหยุดที่ดีที่สุดที่เราเคยมีมาเชียวล่ะ...อิจฉ้า อิจฉา

11. ในวันฝนตก บางครั้งแฟนก็ทำให้ฉันแปลกใจโดยตื่นแต่เช้า ปิดนาฬิกาปลุก และพาสุนัขออกไปเดินเล่น ซึ่งที่จริงมันเป็นหน้าที่ของฉันต่างหากล่ะ แต่ในเมื่อเขาทำแทนแล้ว ฉันจึงได้พักผ่อนมากขึ้น...ดีอย่างงี้ไม่รักทนไหวเหรอ

12. ฉันชอบดอกทิวลิปมาก แฟนจึงชอบส่งช่อดอกทิว-ลิปมามอบให้เสมอ แต่ครั้งหลังสุด เมื่อถึงวันครบรอบความรักของเรา เขาถึงกับลงทุนปลูกต้นทิวลิปในสวนหลังบ้าน ซึ่งเป็นมุมที่เขาคำนวณแล้วว่า ฉันจะมองเห็นวิวทิวทัศน์ ของดอกทิวลิปจากระเบียบ ห้องนอนพอดี....โรแมนติกจัง

13. บางครั้งเมื่อเราสองชวนกันไปเที่ยว แฟนเอาใจฉันด้วยการพาขึ้นเครื่องบิน ชั้นเฟิร์สต์คลาส, ให้รถลีมูซีนมารับ แทนที่จะนั่งรถแท็กซี่ และลงทุนจองที่พักของ โรงแรมห้าดาวที่มีอ่างน้ำวนให้ได้สัมผัสชีวิตหรูหราอย่างเต็มที่ และพอฉันทักท้วงขึ้นว่า มันสิ้นเปลืองเกินไป เขาก็บอกอย่างง่ายดายว่า คุณสมควรที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้นี่จ๊ะ... ปากหวานจังแฮะ

14. เช้าวันนึงที่ฉันต้องเสนองานกับลูกค้ารายสำคัญ ฉันตื่นเต้นมาก ระหว่างทางที่ขับรถไปทำงาน ฉันได้ยินดีเจที่สถานีวิทยุเรียกชื่อฉันและบอกว่า มีผู้ขอเพลงมอบให้ ปรากฏว่า แฟนฉันเองที่เป็นคนโทร.ไปขอเพลงและฝากดีเจ อวยพรให้ฉันโชคดี แถมยังเตือนฉันด้วยว่า เห็นไหมว่ามีคนมากมายที่ให้กำลังใจฉันอยู่ ฉันงี้ซึ้งจนพูดไม่ออกเลย....เป็นกำลังใจให้กันจังนะ

15. แฟนฉันทั้งโทรศัพท์และอีเมล์ไปหาเพื่อนสนิทของฉัน ในวันก่อนที่จะถึง วันคล้ายวันเกิดของฉัน เพื่อให้แน่ใจว่าพวกหล่อนจะโทร.มาอวยพรฉันให้ได้ในวันนั้น.... ทำตื่นเต้นไปได้

16. ไม่ว่าฉันจะวางโทรศัพท์มือถือลืมไว้ที่ไหน แฟนจะเอาโทรศัพท์มือถือของ ฉันไปชาร์จไฟแบตเตอรี่ให้ไว้ในตอนกลางคืนเสมอ พอฉันตื่นมา โทรศัพท์ของฉัน จะมีแบตเตอรี่อยู่เต็ม และเมื่อเขาหยิบโทรศัพท์มาให้ทีไร เขาจะพูดว่า แค่อยากให้รู้ว่าผมรักคุณเท่านั้นแหละ ...นี่สิรักกันจริง

17. ถ้าฉันต้องหอบงานจากออฟฟิศมาทำที่บ้าน แฟนจะกุลีกุจออาสาลูกๆ และงานบ้านด้วยตัวเขาเอง เมื่อฉันกำลังประชุมทางไกลหรือกำลังง่วนอยู่กับงานที่ทำ เขาก็จะไม่มารบกวนนอกจาก ยกอาหารว่าง หรืออาหารมื้อหลักๆ ที่เขาอุตส่าห์ทำเอง มาเสิร์ฟให้

แหมถ้าใครลองได้หวานกะดาร์ลิ่งขนาดนี้ ถ้าไม่ทั้งรักและหลงก็แย่แล้ว.

วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

เปิดประตูใจ - ให้ความคิดสร้างสรรค์

จาก HOW TO BE TWICE AS SMART
โดย สก๊อตต์ วิทท์

ความคิดสร้างสรรค์นั้น มิได้เกิดขึ้นเพื่อศิลปินเท่านั้น แต่มันสามารถจะยังความสำเร็จอันใหญ่หลวง ให้เกิดขึ้นได้แก่ บุคคลทุกวงการ

บุคคล ที่มีแนวความคิด และมองเห็นหนทางแก้ปัญหา ให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ คือบุคคลที่มีความก้าวหน้าในสาขาวิชาชีพของตน เขาสามารถจะสร้างธุรกิจ ที่ก่อให้เกิดผลกำไรได้อย่างมากมาย เป็นที่ดึงดูดใจแก่ทุกผู้ที่ได้พบเห็น ทั้งในแวดวงของญาติสนิทมิตรสหาย และสังคม และใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรี

ความคิดสร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในถ้วนทั่วทุกตัวคน ออกจะเป็นที่น่าเสียดายว่า ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมาก ที่มิได้เรียนรู้การนำมันออกมาใช้อย่างถูกต้อง ด้วย เหตุผลนานัปการ ทำให้เขากักเก็บ อัจฉริยะในทางสร้างสรรค์ของตน ไว้ในสมองอย่างไร้ประโยชน์ เพราะมิได้นำมันออกมาใช้ในชีวิตประจำวันเลย

ซึ่งในเอกสารชิ้นนี้ จะได้เปิดเผยถึงวิธีการ ที่คุณจะเปิดประตูสมอง และปลดปล่อยศักยภาพนั้นออกมา เพื่อให้คุณได้ก้าวไปสู่ ความเป็นนักแก้ปัญหาในทางสร้างสรรค์ และเป็นอีกคนหนึ่ง ที่ประสพความสำเร็จ

ความคิดสร้างสรรค์ วิธีนำมันออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์


คุณไม่เคยรู้สึกแปลกใจบ้างเลยหรือ เมื่อมีใครสักคนหนึ่งสามารถแก้ปัญหาซึ่งมองเห็นอยู่ว่า ไม่น่าจะแก้ได้ให้สำเร็จลงอย่างน่าพิศวง? เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่อาจจะแก้ไขได้ในหนทางปรกติ บุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ จะไม่ลังเลใจเลย สำหรับการใช้ความคิด เพื่อหาหนทางใหม่ในการแก้ปัญหานั้นๆ

ขอให้เราดูตัวอย่าง จากการกระทำของยูไลซิส แกรนท์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ อับราฮัม ลินคอล์น ชอบที่จะเล่าเรื่องของเขา เมื่อครั้งวัยเด็ก ให้ใครๆฟังอยู่เสมอ และเรื่องที่เล่าก็คือ

เมื่อแกรนท์ได้ทำให้เจ้าล่อดื้อตัวหนึ่ง ซึ่งไม่ยอมให้ใครขึ้นนั่งบนหลังมัน สยบให้กับเขาได้ เจ้าล่อตัวนี้ เป็นสมบัติของเจ้าของคณะละครสัตว์ ซึ่งเสนอให้เงินรางวัลแก่ผู้ใดก็ตาม ที่สามารถขี่หลังมันได้ในเวลาที่กำหนด

แกรนท์ยืนดูผู้ชายตัวโตๆหลายคน ที่ถูกเหวี่ยงลงมาจากหลัง และเมื่อเขาเองลองใช้ความพยายามดู ก็ถูกมันเหวี่ยงลงมาจากหลังเช่นกัน

ในที่สุดแกรนท์ เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา เขาขอทดลองขึ้นหลังมันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เขามิได้ขึ้นในลักษณะปรกติธรรมดา แทนที่เขาจะปีนขึ้นไปนั่งบนหลังมันด้วยวิธีปรกติ เขากลับขึ้นโดยหันหน้ามาทางกันของมัน เอาเท้าทั้งสองข้างรัดท้องของมันไว้ พร้อมกับเอามือจับหางมัน

ไม่ว่าเจ้าล่อตัวนี้จะทำพยศสักเท่าใด ก็ไม่สามารถจะเหวี่ยงเขาลงจากหลังได้ ในที่สุด เจ้าล่อดื้อตัวนั้น ก็๋ต้องยอมแพ้ และแกรนท์ก็ได้รับเงินรางวัลไป
เมื่อยูไลซิส แกรนท์ เจริญวัยขึ้น เขาก็ได้ชัยชนะในสงครามกลางเมือง

พลังสมอง เป็นสิ่งที่สามารถจะทำให้ใครทุกคนประสพความสำเร็จได้ ในวิถีทางต่างๆกัน แต่ก่อนที่ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่า เราจะนำมันมาใช้ได้ด้วยวิธีใดบ้างนั้น มันมีหลักอยู่ 2 ประการ ที่เราจะต้องพูดกันให้เข้าใจเสียก่อน

สร้างความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นกับตน


ซาชาเรียส กล่าวไว้ว่า "มนุษย์ มีความพึงใจในธรรมชาติ ทั้งนี้ มิได้หมายความว่า เป็นเพราะธรรมชาติได้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เขา แต่เป็นเพราะธรรมชาติ ได้ให้อำนาจ เพื่อที่เขาจะได้กระทำในทุกสิ่งทุกอย่างให้กับตนเอง"

ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า มนุษย์ส่วนใหญ่ มิได้ตระหนักในพลังนี้ ทั้งนี้ เนื่องจากมนุษย์ขาดความมั่นใจ ในการที่จะทำอะไรก็ตาม ในวิถีทางที่ผิดปรกติธรรมดาไปบ้าง

ความมั่นใจ คือ องค์ประกอบอันสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ เมื่อคุณรู้ว่า มันมีหนทางในการแก้ปัญหา (แม้ว่าในขณะนั้น คุณจะยังไม่รู้ว่าหนทางนั้นคืออะไร) คุณจะเกิดความเร้าใจ ที่จะขุดลึกลงไปให้ถึงจุดที่บรรลุเป้าหมาย คือ สามารถแก้ปัญหานั้นได้

บุคคลที่มีความคิดอันชาญฉลาดอย่างต่อเนื่องกันตลอดเวลา มิได้หมายความว่า เขามีความคิดสร้างสรรค์มากมายไปกว่าเราเลย เพียงแต่เขามีความมั่นใจในตนเองสูงกว่าเราเท่านั้น คุณจะสร้างความมั่นใจ ในลักษณะเดียวกันนี้ ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร คำตอบก็คือ

คุณจะต้องมีความรู้ในสิ่งที่คนเหล่านั้นรู้ คือ "มันมีหนทางในการแก้ปัญหาทุกประการอยู่เสมอ และมีแนวความคิดอันจะเกิดขึ้น เพื่อสนองความต้องการของเราอยู่ตลอดเวลา" และในเอกสารชิ้นนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีการที่จะเริ่มต้นใช้ความฉลาด และปฏิภาณของตนเอง ต่อสถานการณ์ที่คุณอาจจะไม่เคยคิดว่ามันจะมีหนทางแก้ไขได้มาก่อน

เมื่อคุณได้รู้ว่า มันมีหนทางในการแก้ปัญหาทุกประการ และมีแนวความคิดที่เกิดขึ้น เพื่อสนองความต้องการของเราอยู่ตลอดเวลาแล้ว คุณก็จะได้พบวิธีการง่ายๆ ที่จะหามันให้พบได้

ความมั่นใจ เป็นคุณสมบัติประการแรก ที่จำเป็นต้องมี คุณอาจจะต้องพบกับความแปลกใจที่ได้เรียนรู้ว่า คุณสมบัติประการที่สองที่ตามมา ก็คือ การใช้ความคิดอย่างอิสระ ซึ่ง อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ กล่าวไว้ว่า "จง อย่าใช้เส้นทางที่บุคคลอื่นใช้อยู่ตลอดไป เพราะมันจะนำคุณไปสู่จุดหมายที่ใครๆเขาไปกัน จงหลีกเลี่ยงออกจากเส้นทางนั้น และเข้าสู่ราวป่าเสียบ้าง แล้วคุณจะได้พบกับสิ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน พร้อมทั้งสิ่งอื่นๆที่จะตามมาอีกด้วย และก่อนที่คุณจะทันรู้ตัว คุณก็จะได้พบกับสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด สำหรับการใช้ความคิด"

photo การค้นพบพลังอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายทั้งปวงนี้ คือผลจากการใช้ความคิดทั้งสิ้น

นักคิดผู้มีความเป็นอิสระ จะไม่ยึดมั่นอยู่กับการกระทำ ซึ่งได้รับการอธิบายวิธีการไว้แล้ว เขาจะไม่ยึดมั่นในสิ่งนั้น เพียงเพราะมีกฏกำกับไว้ว่า ถ้าใช้วิธีที่กำหนดไว้แล้ว จะทำไม่ได้ และไม่หวั่นเกรงต่อการที่จะคิดหาทางแก้ปัญหา ในหนทางที่ไม่ปรกติธรรมดาเลย

คงไม่เคยมีใครคิดที่จะขึ้นหลังสัตว์ โดยหันหน้าไปทางหางของมันเป็นแน่ แต่วิธีนั้นเอง ที่ทำให้ยูไลซิส แกรนท์ ได้รับรางวัลมา

ดังนั้น ถ้าคุณตระหนักถึงความจริงที่ว่า มันมีหนทางในการแก้ปัญหาทุกประการอยู่เสมอ และมีแนวความคิดอันจะเกิดขึ้น เพื่อสนองความต้องการของเราอยู่ตลอดเวลาแล้ว และถ้าคุณมีความเต็มใจที่จะให้ตนเองเป็นนักคิดอิสระ ผู้ซึ่งไม่หวั่นเกรงต่อการที่จะออกนอกเส้นทางที่ผู้อื่นเคยใช้ คุณก็จะสามารถหาวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการแก้เมื่อใดก็ตาม

การแก้ปัญหาด้วยความคิดสร้างสรรค์


ต่อไปนี้ คือวิธีการแก้ปัญหาอันยากยิ่ง ด้วยการนำความคิดสร้างสรค์เข้ามาช่วย แต่ก่อนอื่น คุณจะต้องเรียนรู้ ในความจริงประการหนึ่งว่า "เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น และไม่สามารถจะแก้ไขให้บรรลุไปด้วยวิธีการปรกติ นั่นแสดงให้เห็นว่า มันมีโซ่บางห่วงที่ขาดหายไป"

ปัญหาของแกรนท์ ที่ทำให้เขาไม่สามารถจะนั่งอยู่บนหลังล่อตัวนั้นในครั้งแรกได้ ก็เนื่องจากขาดที่ยึดจับไว้....นั่นคือห่วงโซ่ที่ขาดหายไป

ดังนั้น ขั้นตอนแรกในการแสวงหาวิธีการแก้ปัญหาอันยากยิ่งอย่างฉลาดก็คือ คุณจะต้องพิจารณาถึงธรรมชาติของห่วงที่ขาดหายไปนั่นเสียก่อน เพราะวัตถุประสงค์ของคุณ คือ การค้นหาองค์ประกอบอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง ซึ่งมันจะช่วยให้การแก้ปัญหาง่ายขึ้น

เพราะฉะนั้น ในตอนแรก คุณจงอย่าได้กังวลเกี่ยวกับสิ่งนั้น เพียงแต่จะต้องหามันให้พบเสียก่อน ห่วงโว่ที่ขาดหายไปนั้น บางครั้งเราก็อาจจะมองเห็นได้ชัด ยกตัวอย่าง เช่น ในกรณีของแกรนท์ ที่มองเห็นว่า ความไม่สำเร็จ เกิดขึ้นจากการที่เขาไม่มีอะไรยึดตัวไว้

แต่บางอย่าง คุณจะต้องใช้เวลาในการขุดค้นเพื่อหามา ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้น ที่ความคิดสร้างสรรค์ของคุณจะปรากฏ และหลั่งไหลออกมา ในทิศทางที่คุณอาจจะไม่เคนคิดถึ งมาก่อน

วิธีนำเทคนิคของห่วงโซ่ที่ขาดหายไปมาใช้


ต่อไปนี้คือบันได 2 ขั้น ในการนำเทคนิคของห่วงโซ่ที่ขาดหายไป มาใช้ในการหาหนทางแก้ไขปัญหาที่ยากยิ่งด้วยความฉลาด

จงหาห่วงโซ่ที่ขาดหายไป ระหว่างตัวปัญหา กับหนทางในการแก้ว่าอะไรคือองค์ประกอบอันมีค่าในการขจัดปัญหานั้น ?

ตรงประเด็นนี้ คุณจะต้องไม่กำหนดมันลงไปอย่างจำเพาะเจาะจง แต่จงคิดในแง่ทั่วๆไป ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้าที่แกรนท์ จะเกิดความคิดในการจับหางล่อไว้ เขาจะต้องตระหนักว่า ห่วงโซ่ที่ขาดหายไป คืออะไรบางอย่าง ที่จะใช้ในการจับเพื่อยึดตัวไว้

2. ตรงจุดนี้เอง ที่ความคิดอิสระจะเกิดขึ้น โดยในตอนแรก คุณจะต้องไม่กังวลว่า มันเป็นความคิดที่ผิดธรรมชาติสักแค่ไหนก็ตาม แต่คุณจะต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ที่จะเอามันมาเติมลงในช่องว่างที่ขาดหายไปให้เต็มเท่านั้น ในบางครั้ง เมื่อมีแนวความคิดเกิดขึ้น คุณอาจจะต้องถึงกับจดมันลงไว้ และอย่ารีบร้อนขจัดความเป็นไปได้ซึ่งมีอยู่หลายวิธีออกไป แต่จงพิจารณาแต่ละวิธีที่อาจจะนำมาใช้ได้ แล้วคุณจะมองเห็นหนทางในการแก้ปัญหาที่คุณอานคิดไม่ถึงมาก่อน จากนั้น จึงเลือกวิธีที่จะให้ประโยชน์กับคุณมากที่สุดนำมาใช้

ย้อนหลังในปี ค.ศ. 1930 อะรัมโก้ ซึ่งมีชื่อเต็มว่า อะราเบียน - อเมริกัน ออย์ คอมเปนี ต้องการพาหนะสักอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถจะวิ่งในท้องทะเลทรายแห่ง ซาอุดิอาระเบีย ได้ ปัญหาที่บริษัทน้ำมันแห่งนี้เผชิญอยู่ ก็คือ ทราย ซึ่งล้อรถมักจะจมลง เวลา นั้น เป็นเงินเป็นทองเสมอ แม้แต่กับบริษัทน้ำมันก็ตามที และทุกครั้งที่ล้อรถจมลง ย่อมหมายถึงการต้องสูญเสียเงินจำนวนหนึ่งไป

ไม่เคยมีผู้ใดวิเคราะห์ถึงปัญหานี้มาก่อน ริชาร์ด เคอร์ซึ่ง เป็นวิศวกรของบริษัท อะรัมโก้ มิได้มีข้อมูลทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ ที่จะนำมาใช้ในการออกแบบยางล้อรถยนต์ ซึ่งจะนำไปวิ่งบนพื้นทรายได้ ดังนั้น ขั้นตอนแรก ที่จะนำเทคนิคห่วงโซ่ที่ขาดหายไปมาใช้ ก็คือ ความรู้ที่ว่า ห่วงโซ่ที่หายไปนั้น คือ การขาดข้อมูลทางด้านวิศวกรรม

ขั้นตอนที่สอง คือการพิจารณาถึงหนทางอันเป็นไปได้ในการหาข้อมูลที่เหมาะสม การทดลองเพื่อหาความผิดพลาดนั้น คือวิธีหนึ่งของความเป็นไปได้ แต่นั่นหมายถึง การที่จะต้องใช้เวลานานมาก และเมื่อเขาทำสมองให้ปลอดโปร่งแจ่มใส และปล่อยให้ความคิดอิสระ อันเกี่ยวกับหนทางที่เป็นไปได้ผ่านเข้ามา ความคิดหนึ่งที่แวบขึ้นมาในสมอง คือ

พิจารณาถึงการเดินของอูฐ ซึ่งมันมิได้ประสบปัญหาความยากลำบากในการที่จะเดินข้ามทะเลทรายเลย ไม่ว่ามันจะบรรทุกสัมภาระไว้บนหลัง บวกกับน้ำหนักตัวให้หนักเท่าไรก็ตาม อุ้งเท้าของอูฐจะไม่จมลงในทราย ถ้าเราจะมองดูหนทางที่เป็นไปได้ โดยพิจารณาจากอูฐอย่างผิวเผิน คุณจะเห็นว่า มันเป็นความคิดเพ้อฝัน ซึ่งแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย

แต่กระนั้น มันก็ยังมีเหตุผลประการหนึ่ง ซ่อนอยู่ คือ ถ้ากำลังลากของอูฐที่มีอยู่ สามารถทำให้มันเดินไปได้แล้ว กำลังลากนั้นก็น่าจะนำมาใช้กับรถบรรทุกที่วิ่งในทะเลทรายได้เช่นกัน ริชาร์ด เคอร์ ได้ประเมินจากช่วงขา และน้ำหนักที่อูฐรับอยู่ ซึ่งทำให้เขาได้ข้อมูลทางด้านวิศวกรรมขึ้นมา เพื่อที่จะนำไปดัดแปลง ให่เหมาะสมกับยางของล้อรถบรรทุก ที่จะใช้วิ่งในทะเลทราย ซึ่งวิธีการของเขา ก็ยังเป็นที่นิยมใช้กันอยู่แม้ในปัจจุบันนี้ และมิใช่แต่ในตะวันออกไกลเท่านั้น

เทคนิคของห่วงโซ่ที่ขาดหายไป คือ องค์ประกอบอันสำคัญ ของเครื่องมือที่จะนำมาใช้ในพลังสมอง ดังนั้น จงอย่าปล่อยให้ปัญหาผ่านเลยไป มัน เป็นสิ่งมีประสิทธิภาพอันมหัศจรรย์ ที่คุณได้นำออกมาจากความคิดสร้างสรรค์ ที่ธรรมชาติได้มอบไว้ให้ มันเป็นรูปแบบของความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถจะทำให้คุณมองเห็นหนทางในการแก้ปัญหาทุกประการได้

ดังนั้น ในคราวต่อไป เมื่อคุณต้องพบกับอุปสรรคในการแก้ปัญหา จงทดลองปฏิบัติตามกฏที่ได้ให้ไว้ดู

ประการแรก พิจารณาถึงห่วงโซ่ที่ขาดหายไป ระหว่างตัวปัญหา กับหนทางในการแก้
ประการที่สอง จงพิจารณาถึงหนทางที่เป็นไปได้ ในการที่จะนำห่วงโซ่นั้น กลับมาเติมลงในช่องว่างที่ขาดอยู่ เช่นเดียวกับที่อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ที่ได้กล่าวไว้ว่า "คุณจะได้พบกับอะไรบางอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน"

การนำความคิดสร้างสรรค์มาใช้ ในการสร้างเสริมแนวความคิดใหม่


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้พูดถึงการนำความคิดสร้างสรรค์ เข้ามาใช้ในการแก้ปัญหา... และถ้าเราจะนำมันมาใช้ในการสร้างแนวความคิดใหม่ๆ ซึ่งให้โอกาสอันน่าตื่นเต้นกับเราเล่า ควรจะทำอย่างไร?

การค้นพบทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ซึ่งเราๆท่านๆ ก็คงจะทราบกันดีว่า ส่วนใหญ่แล้ว เกิดขึ้นจากเหตุบังเอิญ เมื่อมีผลแอปเปิ้ลหล่นใส่ศีรษะ ของ ไอแซค นิวตัน นั่นแหละ เขาจึงได้ค้นพบกฏแห่งแรงดึงดูดของโลก

photo มีนักประดิษฐ์คิดค้นมากมายในโลกนี้ ที่มิได้เริ่มต้นค้นคว้าในสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาอย่างจริงจัง ตั้งแต่ในตอนแรก แทบทุกคน ต่างก็คิดค้นในโครงการอื่นๆอยู่ และแล้วก็ให้มีเหตุบังเอิญเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เขาต้องเปลี่ยนเข็ม ไปทำในสิ่งที่แตกต่างกว่าที่ตั้งใจไว้ และมีความสำคัญอันใหญ่หลวงเกินกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มากนัก

ยกตัวอย่างจากเรื่องของ วิลเลียม เอช. เมสัน ซึ่งพยายามหาวิธีการสกัดน้ำมันสนออกมาจากท่อนไม้สดๆ ซึ่งต้องมีการตัด และเลื่อยไม้กันอย่างหนัก และแล้วเขาก็ได้สังเกตเห็นว่า ต้นไม้ได้ถูกทำลายลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เขาจึงเลิกล้มโครงการน้ำมันสน และหันไปคิดค้นวิธีที่จะเอาเศษไม้มาทำให้เป็นวัสดุอันมีค่าควรแก่การใช้ต่อ ไป และนั่นคือ การเริ่มต้นของแนวความคิด ที่ทีจะทำไม้ ให้เป็นเส้นใยละเอียดที่เรียกว่า ไฟเบอร์ แล้วนำไปอัด ซึ่งทำให้ได้แผ่นมาโซไนท์ ออกมา

มันออกจะมีความเป็นธรรมดาอยู่ สำหรับการประดิษฐ์คิดค้นที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ แนวความคิดหนึ่ง นำไปสู่แนวความคิดต่อๆไป และแนวความคิดแรกก็ถูกล้มเลิกไป ในขณะที่แนวความคิดใหม่ ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ

และนี่คือจุดที่นำเรามาสู่ประเด็นสำคัญ คือ ความคิดใหม่นั้น มิใช่ความคิดดั้งเดิมเสียทั้งอัน มันเป็นลักษณะของส่วนผสม และการปรับปรุงเข้าด้วยกัน เช่นที่ริชาร์ด เคอร์ ได้พัฒนายางล้อรถ เพื่อใช้ในทะเลทรายมาจากอูฐ ซึ่งเป็นสัตว์ธรรมชาติที่เกิดมาเหมาะสมที่จะต้องมีชีวิตอยู่ในทะเลทรายนั้น

แม้แต่ความคิดของยูไลซิส แกรนท์ ในการขี่ล่อ ก็มิใช่ความคิดดั้งเดิมเสียทั้งหมด มันมิได้คล้ายคลึงกับการที่เราต้องจับสายบังเหียนไว้ในขณะที่ขี่ม้าหรอก หรือ?

โอลิเวอร์ เวนเดลล์ กล่าวไว้ว่า "มีแนวความคิดมากหลาย ที่ดีกว่าความคิดแรกเริ่มมาก เมื่อนำไปผนวกหรือประยุกต์เข้ากับความคิดอื่น" ดังนั้น ทำไมเราจึงจะต้องดิ้นรนคิดค้นแนวความคิดใหม่ๆขึ้นมาอีก ในเมื่อแนวความคิดแท้จริงที่คุณต้องการ มีอยู่แล้วในรูปแบบอื่น ที่อาจจะแตกต่างออกไป?

ขอให้คิดเพียงแค่หนทางที่เป็นไปได้ก็พอ ไม่นาน ความคิดริเริ่มก็จะต้องเกิดขึ้น พร้อมๆ กับความคิดสร้างสรรค์ และคุณสามารถจะนำมาประยุกต์ให้เข้ากับความต้องการของคุณได้

ทำไมจึงควรเป็นนักลอกเลียนผู้มีความคิดสร้างสรรค์


บุคคลทั้งหลาย ที่อยู่ในวงการธุรกิจ วิทยาศาสตร์ และสาขาวิชาที่เกี่ยวกับศิลปกรรมต่างๆ ซึ่งมักจะมีความคิดใหม่ๆ มาเสนอให้เห็นอยู่เสมอนั้น ผมเรียกพวกเขาว่า "นักลอกเลียนผู้มีความคิดสร้างสรรค์"

เพราะคนเหล่านี้ ทำผลิตภัณฑ์ สูตร และระบบต่างๆที่ได้รับการรับรองแล้ว มาปรับปรุงให้เหมาะสมกับการใช้งานของตน ตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ คือ นักเขียนผู้หนึ่ง ซึ่งตระหนักถึงหนังสือจำนวนมหาศาลที่ออกสู่ตลาด ซึ่งมากกว่าปีละ 40,000 เล่มทุกปี และมีหนังสือเพียงแค่หยิบมือเดียวที่ได้ขึ้นหึ้ง เป็นหนังสือขายดีที่สุด นักเขียนผู้นี้ ใช้เวลาถึง 6 เดือน อ่านหนังสือประเภทขายดีนั้นกว่า 100 เล่ม เพื่อที่จะศึกษาว่า ในหนังสือเหล่านั้น มีสิ่งใดที่ตรงกับความต้องการของตนบ้าง และแล้ว เขาก็ได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง เมื่อเขาคือ โรบิน คุ๊ก ซึ่งเขียนนิยายเรื่อง โคม่า ซึ่งเป็นหนังสือขึ้นหิ้งขายดีทันที และเป็นหนังสือเล่มที่ทำให้เขาประสพความสำเร็จอย่างยิ่ง

ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่ผมจะบอกคุณก็คือ "แนวความคิดอันยิ่งใหญ่นั้น มีอยู่ตรงหน้าคุณในทุกเวลา แม้ในขณะที่"
  • คุณเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
  • อ่านโฆษณา
  • ใช้ผลิตภัณฑ์
  • เซ็นชื่อลงในเช็ค
  • อ่านแผ่นป้ายปิดประกาศ
  • อ่านหนังสือพิมพ์
  • ดูการทำงานของเครื่องจักร
คุณรู้หรือไม่ว่า คิง ยิลเลตต์ ได้แนวความคิดในกาผลิตใบมีดโกน ประเภทใช้แล้วทิ้งเลยมาจากไหน? เขามิได้เกิดความคิดนั้นขึ้นมา เพราะคนในโลกต้องการมีดโกนที่ดีกว่าอย่างแน่นอน... แต่ได้แนวความคิดมาจากจุกก๊อก ที่อยู่ในฝาของขวดเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมนั่นเอง

เขานำจุกก๊อกนี้ มีพิจารณา และเห็นว่า เป็นการโฆษณาสินค้าที่สมบูรณ์ที่สุด มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ง่าย เพราะคนต้องใช้อยู่ตลอดเวลา ยิลเลตต์ พยายามมองหาวิธีที่จะนำแนวความคิดนี้ มาปรับปรุงใช้กับประโยชน์อย่างอื่น และแล้ว เขาก็ยุติลงตรงใบมีดโกน

photo ก่อนหน้านั้น ใบมีดที่ใช้โกนหนวด จะต้องมีการลับให้คมอยู่เสมอ ดังนัน เขาจึงเกิดความคิดว่า ถ้าจะผลิตใบมีดโกนราคาถูก ชนิดใช้แล้วทิ้งเลยออกมา ก็จะเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าอย่างมาก ซึ่งยังถูกกว่าค่าใช้จ่ายในการลับมีดอีกด้วย และใบมีดโกนนี้ ทำให้เขารวยไม่รู้จบทีเดียว

หรืออย่างแนวความคิด ในเรื่องของการพิมพ์ ก็มิใช่เรื่องที่หยิบมาจากการอากาศ แต่เริ่มแรกของมันนั้น มาจากการแกะสลักบนต้นไม้
หรือความใคร่รู้ของเด็กชายคนหนึ่ง เกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้แว่นตา นำไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นกล้องจุลทรรศน์ขึ้น และยังความสำเร็จอื่นๆอีกมากมายเล่า?

ความสงสัยใคร่รู้ - องค์ประกอบแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง


สมองซีกขวาของคนเรานั้น คือส่วนที่เราคิดค้นหาความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น เด็กๆสามารถจะเข้าถึงสมองทางด้านขวา ได้ง่ายกว่าคนที่เจริญวัยแล้ว ด้วยเหตุนี้ เด็กๆจึงมักจะมีความคิดใหม่ๆแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอ

การสร้างมโนภาพของพวกเขา มิได้ถูกยับยั้งไว้ด้วยสมองซีกซ้าย ซึ่งเป็นศูนย์รวมของความสมเหตุสมผลอยู่ ยิ่งคนเราเจริญวัยขึ้นเท่าใด สมองซีกซ้าย ก็จะมีอำนาจเหนือเขามากขึ้นเท่านั้น

เมื่อใดก็ตามที่มีความคิดบางประการเกิดขึ้นในสมองซีกขวา สมองซีกซ้ายจะเริ่มเตือนกลับมาทันทีว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ประโยชน์ มันไม่สามารถทำให้สำเร็จไปได้ และเป็นการฝืนกฏ หรือไม่ก็อาจจะทำให้คนอื่นๆ หัวเราะเยาะเอาได้

ออก จะโชคดีอยู่ที่มิได้หมายความว่า บุคคลที่เจริญวัยแล้วทั้งหลาย จะขาดความสามารถในการนำประโยชน์จากสมองซีกขวาออกมาใช้ บุคคลเหล่านี้ ยังสามารถเก็บกักคุณสมบัติของความสงสัยใคร่รู้แบบเด็กๆ ไว้ได้

เคยมีคำกล่าวว่า "ความอยากรู้อยากเห็นนั้น ฆ่าแมวมาเสียนักแล้ว" แต่ความใคร่รู้นั้น ก็อยู่ในสายเลือดของนักลอกเลียน ที่สร้างสรรค์ อยู่ไม่น้อย และแน่นอน บุคคลผู้เจริญวัย ซึ่งได้สูญเสียคุณสมบัติในเรื่องนี้ไปแล้ว ก็สามารถจะเรียกคืนให้กลับมาได้ ทั้งนี้เพราะสมองซีกขวาของคนเรา มิได้ลีบเล็กลงกว่าที่มันเคยเป็น

และพลังสมอง ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันมิได้อ่อนแอลง สิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือ ตั้งโปรแกรมใหม่ให้ตนเองเท่านั้น

วิธีตั้งโปรแกรมให้ตัวเองบังเกิดความใคร่รู้


ต่อไปนี้ เป็นบันได 5 ขั้น ที่จะเปิดช่องการสื่อสาร เข้าไปสู่สมองฝ่ายสร้างสรรค์ของคุณ
เมื่อคุณประยุต์บันไดทั้ง 5 ขั้น เข้าไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในไม่ช้า คุณจะได้พบว่า ตัวเองเกิดความคิดริเริ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมันจะนำประโยชน์อันมหาศาลมาให้ ทั้งทางด้านการงาน ธุรกิจ และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ต่อไปนี้ คือบางตัวอย่าง ของบันไดแต่ละขั้น เพื่อให้คุณได้เริ่มต้น

1. จงทดลองวิธีต่างๆ กับสิ่งที่คุณเคยทำอยู่เป็นประจำ ประเด็นสำคัญมิได้อยู่ที่ความจำเป็นจะต้องหาวิธีที่ดีกว่า แต่เป็นการสร้างเสริมสมองให้ทำงานอย่างยีดหยุ่นได้ ซึ่งหมายถึง คุณใช้ทั้งความเต็มใจ และความสามารถ ที่จะจับตาดูการปฏิบัติของตนเองในแง่มุมต่างๆที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่น ลองนำวิธีการแปลกๆเข้ามาประยุกต์ใช้ในการทำงานของคุณ เช่น เปลี่ยนรูปแบของหัวกระดาษ ที่ใช้เขียนจดหมายหรือบันทึกต่างๆ , ปรับปรุงวิธีการเล่นกอล์ฟ เทนนิส หรือเกมอื่นๆ , เมื่อเข้าไปในร้านอาหาร ก็ลองสั่งอาหารที่คุณไม่เคยรับประทานมาลองชิมดู เช่นนี้ เป็นต้น

2. เปิดโอกาสให้ความคิดใหม่ๆ สามารถดำรงอยู่ กล่าวกันว่า คนเรานั้น ชอบที่จะคิดว่าตนเอง เป็นผู้คิดค้นอะไรใหม่ๆขึ้นมา ได้ด้วยตนเอง โดยมิได้ตระหนักว่า แท้ที่จริง มันก็คือความคิดที่มีจุดเริ่มต้นมาแล้วนั่นเอง ถ้ามาขัดถูเสียใหม่ แม้แต่ของที่ไร้ค่าก็อาจกลายเป็นอัญมณีได้ และจงอย่ารีบร้อนปฏิเสธแนวความคิดของผู้อื่น โดยเชื่อว่า ของตนจะต้องดีกว่า ซึ่งจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความสามารถในการสร้างจินตนาการนั้น จำเป็นจะต้องมีการศึกษา และพัฒนาแนวความคิดให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และถึงแม้ว่า แนวความคิดหรือแผนการนั้น จะต้องล้มเลิกไป แต่ความฝังใจในแนวความคิดจะยังคงอยู่

3. จงพยายามพัฒนาความสามารถของตนเอง ให้เป็นนักเลียนแบบที่มีความคิดสร้างสรรค์ให้ได้ ดังที่ได้กล่าวมแล้วว่า แนวความคิดใหม่นั้น คือการประสม และปรับปรุงให้เข้ากับแนวความคิดเดิมที่มีอยู่ มีวิธีการที่คุณจะสร้างเงื่อนไข ให้จิตใจเกิดความคิดในการประสม และปรับปรุงแนวความคิดอยู่เสมอ ซึ่งจะต้องใช้การฝึกฝนอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่ยังความเพลิดเพลิน และนำผลประโยชน์อันใหญ่หลวงมาสู่

ขอให้คุณใช้เวลาเพียงแค่วันละ 10 นาที คิดถึงผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด ซึ่งมิได้มีรูปแบบคล้ายกันเลย แต่มีระบบ หรือการใช้ที่คล้ายกัน และเขียนหัวข้อความคล้ายคลึงกันนี้ลงไว้ ในวันต่อมา ก็คิดขึ้นมาใหม่อีก 2 ชนิด แล้วเขียนลงไว้ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งถ้าจะมองด้วยตัวมันเองแล้ว คุณอาจจะมองไม่เห็นว่า มันจะช่วยอะไรได้ แต่ สิ่งที่คุณได้รับมาโดยไม่รู้ตัว ก็คือ มันจะทำให้สมองของคุณเริ่มคิดถึงความสัมพันธ์ และความคล้ายคลึงกับของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว แม้ในขณะที่คุณมิได้เล่มเกมนี้อยู่ และจุดนี้เอง ที่แนวความคิดได้ถูกสั่งสมขึ้น ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ กับโทรทัศน์ แทบจะมิได้มีอะไรคล้ายกันเลย แต่คุณจะมองเห็นความคล้ายกัน ระหว่างผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดนี้บางประการ เช่น เป็นผลิตภัณฑ์ที่จะต้องใช้ส่วนประกอบต่างๆ , การต้องสั่งสินค้าชนิดนี้มาจากญี่ปุ่น ทำให้ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศต้องถูกตัดทอนลง, เครื่องประกอบภายใน ก็คล้ายกัน เช่น จะต้องมีสายไฟ มีเสาอากาศ มีสวิทซ์ และอื่นๆ นอกจากนั้น ก็ยังเป็นที่นิยมใช้ของคนในประเทศ มีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อประกอบ และให้บริการขนาดใหญ่ขึ้น

4. พยายามพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในสิ่งที่พอใจ มันจะช่วยให้จินตนาการของคุณคงตัวอยู่เสมอ และพร้อมสำหรับปฏิบัติการ ความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ควรจะเป็นไปในลักษณะที่มีแต่การทำงาน แต่ขาดความเพลิดเพลิน เพราะถ้าคุณหาในประการหลังได้ด้วยแล้ว จะทำให้ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาตัวของมันเองไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะเล่นปริศนาอักษรไขว้ เล่นเกมกระดานที่จะต้องมีคู่แข่งขัน ทาสีบ้าน เขียนหนังสือ เรียนถ่ายรูป หรืองานแกะสลักต่างๆ ไม่เช่นนั้น ก็อาจจะเป็นการร่วมกิจกรรมชุมชนในท้องถิ่น.... เพื่อนของผมคนหนึ่ง มีความคิดสร้างสรรค์ในการซ่อมสิ่งของที่ชำรุดมาก เมื่อมีสิ่งของชำรุด เขาก็จะรับอาสาจากเพื่อนๆ ช่วยซ่อมให้ และในที่สุด ก็มีความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นมากมาย

5. ต้องมีความอยากรู้อยากเห็นให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงว่า คุณจะต้องไม่พอใจอยู่แต่เฉพาะข้อมูลที่ได้รับมา แต่พยายามหนหนทางเรียนรู้ถึงเหตุผลไปด้วย วิธีนี้ คุณจะฝึกได้โดยพัฒนาการตั้งคำถาม แก่ทั้งตนเองและผู้อื่น แม้ในเรื่องที่ยังไม่เกิดความสำคัญสำหรับคุณในตอนนั้น ทั้งนี้มิได้หมายความว่า ุคณต้องการมีความรู้เป็นสำคัญ แต่หมายถึงเป็นการทำให้พลังบันดาลใจแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นกตัวอย่างเช่น ในคราวต่อไป เมื่อคุณอ่านหนังสือพิมพ์จบลงแล้ว ก็จงลองถามตัวเองว่า ทำไมคุณจึงอ่านแต่เฉพาะเรื่องนั้น และไม่สนใจในเรื่องอื่นเลย, ลองถามเพื่อน ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายของชำดูว่า ทำไมเขาตั้งร้านอยู่ตรงนั้น หรือในคราวต่อไป ถ้ามีผู้มาบอกกับคุณว่า มีอะไรบางอย่าง ที่ไม่อาจทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ก็จงย้อนถามเขาว่า เพราะอะไร? ถึงคำตอบที่เขาให้มา จะไม่เป็นที่สุดของคำถาม แต่ก็จงถามเขาออกไป ... และเมื่อใดก็ตาม ที่คุณมีสิ่งที่จะต้องซ่อม ก็จงถามดูว่ามันเสียหายตรงไหน? และเพราะเหตุใด?

จิตใต้สำนึก - สายธารแห่งแนวความคิดและหนทางในการแก้ปัญหา


photo ในบทนี้ บ่อยครั้งที่ผมได้กล่าวย้ำว่า มันมีหนทางในการแก้ปัญหา และแนวความคิดที่จะสนองความต้องการของเรารออยู่ ซึ่งผมขอขยายความให้คุณได้เข้าใจเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า ในความเป็นจริงนั้น ทั้งหนทางในการแก้ปัญหา และแนวความคิดที่คุณประสงค์ มีอยู่แล้วในสมองของคุณ ผมมีตัวเลขที่จะใช้ยืนยันในการนี้ได้.....

นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณออกมาแล้วว่า ในขณะที่คนเราใช้ชีวอตไปตามรูปแบบธรรมดานั้น จะมีข้อมูลส่งเข้าไปในสมองมนุษย์ 15 ล้านล้านข้อมูล ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณได้ผ่านพบมาแล้ว จะถูกบันทึกลงไว้ในนั้น

ถ้า ในสมองของคุณ มีข้อมูลปกติธรรมดาอยู่ถึง 15 ล้านล้านข้อมูล ขอให้คุณลองคิดดูก็แล้วกัน จะมีวิธีการประสมข้อมูลเหล่านั้น เข้าด้วยกันเป็นจำนวนมากมายมหาศาลเพียงไร อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายที่คุณจะได้รับฟัง หรือคุณจะเรียกว่า เป็นข่าวดีก็ได้คือ 90 เปอร์เซ็นต์ ของข้อมูลเหล่านั้น ถูกฝังลงไว้ในจิตใต้สำนึกของคุณ และไม่มีวิธีการที่ง่ายๆ ที่จะนำมันออกมาใช้ เพราะมันจะออกมา ก็ต่อเมื่อมันต้องการจะออกเท่านั้น มิใช่ตามที่คุณปรารถนาจะให้มันออกมา คุณไม่สามารถจะบังคับให้ตนเองดึงความคิดสร้างสรรค์ ออกมาจากจิตใต้สำนึกได้ , คุณไม่สามารถจะสั่งจิตใต้สำนึก ปลดปล่อยข้อมูลอันถูกต้องออกมาให้ตามที่คุณต้องการ มันมิได้ทำงานในลักษณะนั้น

แต่มันต้องการเวลา สำหรับการจัดระบบอยู่ในตัวของมันเอง และต่อไปนี้ คือวิธีการ และเหตุผลในการทำงานของมัน
  • ในขณะที่คุณพยายามใช้สามัญสำนึก สรรค์สร้างแนวความคิดใหม่ๆ หรือหนทางในการแก้ปัญหาให้เกิดขึ้นอยู่นั้น จิตใต้สำนึกของคุณ จะรู้อยู่ว่า คุณกำลังแสวงหาอะไร
  • จิตใต้สำนึกของคุณ ไม่เคยหยุดพัก แม้ในยามที่คุณหลับ มันจะเลือกสรรเข้าไปในข้อมูลนับล้านๆ ที่มันกักเก็บไว้นั้น
  • หลังจากที่คุณได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไป จะเป็นนาที ชั่วโมง หรือวันก็ตามทั้งที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ จิตใต้สำนึกจะส่งหนทางในการแก้ปัญหาออกมาให้ ความคิดจะแวบขึ้นมาในสมองของคุณ หรือคุณจะได้รับคำตอบสำหรับปัญหาอันยากยิ่งที่เผชิญอยู่ ทั้งๆที่ในขณะนั้น คุณอาจกำลังคิดถึงสิ่งอื่นๆอยู่ก็ได้
สิ่งหนึ่งที่คุณจะต้องรู้ ก็คือ แนวควมคิด สำคัญๆ และการค้นพบอันยิ่งใหญ่ มักจะเกิดขึ้นในระหว่าง หรือภายหลัง จากที่คุณได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งนั่นคือ เวลาการทำงานอย่างจริงจังของจิตใต้สำนึก

เซอร์ วอลเตอร์ สก๊อทท์ เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรื่องนี้ เขาไม่เคยปล่อยให้ปัญหาเข้ามารบกวนจิตใจเลย ทั้งนี้ เพราะเขารู้ว่า เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง เขาจะต้องได้รับคำตอบนั้นอยู่แล้ว

ไอน์สไตน์ ก็เช่นเดียวกัน มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่า เขามักจะเกิดแนวความคิดที่ดีที่สุด ในระหว่างการโกนหนวด

โทมัส เอดิสัน ก็เช่นกัน หลังจากที่เขาพยายามขบคิดปัญหายากยิ่งไม่สำเร็จ เขาจะปล่อยมันไว้อีก 24 ชั่วโมง หลังจากที่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว เมื่อตื่นขึ้น เขาก็จะได้รับคำตอบ

โมซาร์ท ได้เล่าให้เพื่อนของเขาฟังว่า ท่วงทำนองเพลงที่ดีที่สุด จะเกิดขึ้นในขณะที่เขางีบหลับไป และเมื่อตื่นขึ้น เขาก็จะรีบเขียนมันลงไว้ตามที่ได้ยินในขณะที่ง่วงงุนอยู่

photo เพื่อมิให้คุณเข้าใจผิดในเรื่องนี้ สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องย้ำก็คือ บุคคล เหล่านี้ โดยแท้จริง เขามีความเป็นอัจฉริยะในสาขาวิชาชีพของตนอยู่ก่อนแล้ว เขามิได้พัฒนาความเป็นอัจฉริยะนั้น ขึ้นมาจากแนวความคิดทั่เกิดขึ้น ในระหว่างที่เขานอนหลับอยู่ ในช่วงเวลานั้น จะทำหน้าที่แต่เพียงเลือกสรรข้อมูลที่คุณต้องการ และรายงานเข้ามาให้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ บุคคลผู้มีความคิดในทางสร้างสรรค์ จึงพึ่งพาอาศัยจิตใต้สำนึก ในฐานะที่มันเป็นเครื่องมือที่จะช่วยพัฒนาความรู้ และสร้างสรรค์ซึ่งเขาได้มีอยู่แล้วในสมองเท่านั้น

ดังนั้น ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการทำงานของจิตใต้สำนึก คือบุคคลที่ศึกษา และหมั่นหาประสบการณ์ให้มากขึ้นเท่านั้น และประการสำคัญ ก็คือ การที่คุณจะได้พบว่า คุณ สามารถใส่ข้อมูลของปัญหาเข้าไปในจิตใต้สำนึกได้ตลอดเวลา และได้รับความคิดสร้างสรรค์กลับมานั้นถ้าปราศจากเทคนิคต่างๆ ที่คุณได้เรียนรู้จากเอกสารนี้แล้ว ข้อมูลทั้งหลาย แม้จะนับเป็นล้านล้านชิ้น ก็จะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของคุณตลอดไป

วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

ชุดควบคุมหุ่นยนต์บินมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

CHIANG MAI FLYING ROBOT CONTROLLER

พิพัฒน์พงศ์ วัฒนวันยู และ สัมพันธ์ ไชยเทพ
โครงการวิจัยหุ่นยนต์บินห้องวิจัยอากาศพลศาสตร์และระบบขับเคลื่อนประยุกต์ (PARA-LAB) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

จ ุดประสงค์ของงานวิจัยชิ้นนี้ เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบควบคุมหุ่นยนต์บินโดยรับข้อมูลจากจีพีเอส (GPS) และชุดส่งสัญญาณวีดีโอ พิกัดจีพีเอสที่รับได้จะผ่านช่องต่ออนุกรมและยูเอสบี 2.0 ของคอมพิวเตอร์เพื่อรับข้อมูลและแสดงผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ ชุดส่งสัญญาณวิดีโอใช้หลักการส่งแบบเอฟเอ็ม และให้กำลังส่งสูงสุด 5 วัตต์ มายังเสาส่งแบบยากิอัตราขยาย 9 dBi โดยมีความต้านทานอยู่ที่ 50 โอห์ม ชุดรับสัญญาณประกอบด้วยเสาอากาศชนิดกริดพาราโบลิคร่วมกับชุดเพิ่มกำลังและชุ ดขยายสัญญาณในสายรับ ชุดส่งสัญญาณภาพสามารถส่งได้ไกลถึง 1,000 เมตร ในพื้นที่โล่งแจ้ง ข้อมูลจากจีพีเอสจะแสดงตำแหน่งความเร็ว แผนที่การเดินทาง ของหุ่นยนต์บินขึ้นบนหน้าจอ งานวิจัยนี้ได้ใช้แผนที่เมืองเชียงใหม่ โดยเน้นบริเวณสำคัญ เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และใจกลางเมือง เป็นต้น ผลลัพธ์งานวิจัยแสดงถึงหลักการออกแบบ เสาอากาศขั้นสูงและหลักการวิเคราะห์ชุดรับสัญญาณสำหรับควบคุมหุ่นยนต์บิน


จากการประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา
ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ. 2550 ณ อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

การบริการที่เป็นเลิศของบริษัท ราชาเฟอร์รี่ จำกัด

Excellent Service for Raja Ferry company Limited

ดร.เกสรา สุขสว่าง และอภิชาติ ชโยภาส
สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเกี่ยวกับการบริการที่เป็นเลิศของบริษัท ราชาเฟอร์รี่ จำกัด มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา
1) ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการเรือเฟอร์รี่ของบริษัทราชาเฟอร์รี่ จำกัด จำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ และประเภทลูกค้า (ชาวไทยและชาวต่างประเทศ)
2) สภาพการปฏิบัติงานของผู้ให้บริการบริษัทราชาเฟอร์รี่ จำกัด จำแนกตามอายุ เพศ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส ประสบการณ์การทำงานกับบริษัทราชาเฟอร์รี่ จำกัด และประสบการณ์ทำงานกับองค์กรอื่น
3) ศึกษาแนวทางในการพัฒนาธุรกิจการให้บริการของเรือเฟอร์รี่สู่ความเป็นเลิศ


ก ลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ กลุ่มผู้ใช้บริการเรือเฟอร์รี่ของบริษัทราชาเฟอร์รี่ จำกัด ในเส้นทางดอนสัก-เกาะสมุย-เกาะพงัน จำนวน 400 คน และกลุ่มพนักงานผู้ให้บริการของบริษัทราชาเฟอร์รี่ จำกัด จำนวน 362 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One way Analysis of variance)

ผลการวิจัย
- ข้อมูลของผู้ใช้บริการ พบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุไม่เกิน 25 ปี ประกอบธุรกิจส่วนตัว จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 15,000 บาท เป็นประเภทบุคคลทั่วไปใช้บริการเองโดยลำพัง เดินทางเพื่อประกอบธุรกิจ/ ทำงาน ส่วนใหญ่ใช้บริการมากกว่า 10 ครั้ง ใช้บริการเส้นทางดอนสัก-สมุย ผู้ใช้บริการเรือเฟอร์รี่ของบริษัทราชาเฟอร์รี่ จำกัด มีความพึงพอใจในการบริการด้านอาคารสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก ด้านความน่าเชื่อถือและคุณภาพของการบริการ ด้านความรวดเร็วในการบริการ ด้านความเชื่อมั่นในความรู้ อัธยาศัยไมตรีและความปลอดภัย ด้านความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้า ในระดับปานกลาง

ข้อมูลของพนั กงานผู้ให้บริการ พบว่า ส่วนใหญ่พนักงานผู้ให้บริการเป็นเพศชาย มีอายุต่ำกว่า 30 ปี จบการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี สถานภาพโสด มีประสบการณ์การทำงานกับบริษัทราชาเฟอร์รี่ จำกัด ต่ำกว่า 5 ปี และมีประสบการณ์การทำงานกับองค์กรอื่นต่ำกว่า 5 ปี พนักงานผู้ให้บริการ มีสภาพการปฏิบัติงาน ด้านวิสัยทัศน์ในการให้บริการและด้านการตอบสนองอย่างเต็มใจและรวดเร็วในระดั บมาก ส่วนด้านทักษะในการให้บริการ การเข้าใจลูกค้า ด้านการสร้างความเข็มแข้งในงานบริการและด้านการประเมินผลการบริการ พนักงานผู้ให้บริการมีสภาพการปฏิบัติงานในระดับกลาง




จากการประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา
ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ. 2550 ณ อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

สถานการณ์การล่วงละเมิดทางเพศในเด็กและสตรีชนชาติฉานที่ลี้ภัยเข้ามาอยู่ตามแนวชายแดนไทย จ.แม่ฮ่องสอน

THE SITUATION OF HARASSMENT IN THE CHILDREN AND WOMEN OF SHAN NATIONALITY THAT REFUGE ALONG THAI BORDER, MEAHONGSON PROVINCE


ฉัฐกานต์ จิตรแสงคำ
สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

ว ัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาถึงสถานการณ์การล่วงละเมิดทางเพศในเด็กและสตรีชนชาติฉายที่ลี้ภัย เข้ามาอยู่ตามแนวชายแดนไทย จ.แม่ฮ่องสอนและสาเหตุที่แท้จริง

วิธีดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วยการ วิเคราะห์เอกสาร การเก็บข้อมูลภาคสนาม และการสนทนากลุ่ม ซึ่
ง เนื้อหาหลักของการวิจัยมีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์การล่วงละเมิดทางเพศ สาเหตุที่แท้จริงของการล่วงละเมิดทางเพศ และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศในรัฐฉานตั้งแต่อดีตจนถึ งปัจจุบัน รวมถึงการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัย

ผ ลการวิจัยพบว่า สถานการณ์ของการล่วงละเมิดทางเพศเกิดจากสาเหตุของสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพ ื่อแย่งชิงทรัพยากร ความต้องการทำลายเชื้อชาติ ความขัดแย้งทางการเมืองและปัญหาการค้ายาเสพติด ปัจจัยจากความรุนแรงดังกล่าว ทำให้เกิดการอพยพลี้ภัยของผู้คนจำนวนมากเข้ามาอาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย ในขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยไม่มีนโยบายให้มีศูนย์อพยพและการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเหล่านี ้ ผลกระทบที่ตามมาทำให้ผู้ลี้ภัย เหล่านี้ ต้องกลายเป็นแรงงานอพยพที่ผิดกฎหมาย ต้องเผชิญกับภาวะขาดแลคนปัจจัยจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต




จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

ลักษณะความเป็นผู้นำทางทหารของนายทหารสัญญาบัตร : กรณีศึกษาหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน

MILITARY LEADERSHIP STYLE OF COMMISSIONED OFFICERS: A CASE STUDY OF THE ROYAL THAI MARINE CORPS

นาวาเอก (พิเศษ) วิสิฎฐ์ พณิชยกุล
สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา
1) ลักษณะความเป็นผู้นำทางทหารของนายทหารสัญญาบัตร สังกัดหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
2) เปรียบเทียบลักษณะผู้นำทางทหารของนายทหารสัญญาบัตร สังกัดหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยจำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล

กลุ่มตัวอย่างที่ใช่ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นายทหารสัญญาบัตร สังกัดหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ชั้นยศตั้งแต่เรือตรี ถึง นาวาเอกพิเศษ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบ่งชั้นตามสัดส่วน (Stratified Random Sampling) จำนวน 300 นาย นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ ที (t-test) และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way Analysis of Variance)

ผล การวิจัย ข้อมูลส่วนบุคคล พบว่า นายทหารชั้นสัญญาบัตรส่วนใหญ่ชั้นยศเรือเอก สังกัดเหล่ารบมีอายุ 46-50 ปี อายุราชการ 26-30 ปี เงินเดือนมากกว่า 20,000 บาท มีระดับการศึกษาทางทหารชั้นนายนาวาหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน, ชั้นนายพันทหารราบ, ชั้นนายพันทหารม้า, ชั้นนายพันทหารช่าง, ชั้นนายพันทหารปืนใหญ่ กองทัพบก โดยมีแหล่งกำเนิดจากกองนักเรียนจ่า ศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ซึ่งนายทหารสัญญาบัตรส่วนใหญ่เคยผ่านการศึกษาอบรมหลักสูตรพิเศษ และผ่านการปฏิบัติราชการชายแดน แต่สำหรับหลักสูตรต่างประเทศ พบว่า โดยส่วนใหญ่แล้วไม่เคยผ่านการศึกษาอบรม นายทหารสัญญาบัตร หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน มีลักษณะความเป็นผู้นำทางทหารแบบประชาธิปไตย อยู่ในระดับมาก แบบอัตตนิยม และแบบปล่อยเสรี อยู่ในระดับปานกลาง ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า นายทหารสัญญาบัตร ที่มีชั้นยศ เหล่า และผ่านการศึกษาอบรมหลักสูตรพิเศษที่แตกต่างกัน มีลักษณะความเป็นผู้นำทางทหารแบบประชาธิปไตยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถ ิติที่ระดับ 0.05 โดยในเรื่องชั้นยศ พบว่า ชั้นยศ นาวาโท และนาวาเอกพิเศษ จะมีลักษณะความเป็นผู้นำทางทหารแบบประชาธิปไตยมากกว่าชั้นยศ เรือตรี เรือโท เรือเอก และนาวาตรี ส่วนชั้นนาวาเอก จะมีลักษณะความเป็นผู้นำทางทหารแบบประชาธิปไตยมากกว่าเรือตรี สำหรับในเรื่องของเหล่า พบว่า เหล่ารบจะมีลักษณะความเป็นผู้นำทางทหารแบบประชาธิปไตยมากกว่าเหล่าสนับสนุนก ารรบ และเหล่าสนับสนุนการช่วยรบ และการศึกษาอบรมหลักสูตรพิเศษ พบว่า ผู้ที่เคยผ่านการศึกษาอบรมหลักสูตรพิเศษ จะมีลักษณะความเป็นผู้นำทางทหารแบบประชาธิปไตยมากกว่าผู้ที่ไม่เคยผ่านการศึ กษาอบรม


จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

วิจัยการประเมินโครงการฝึกอบรม ด้านคุณธรรม จริยธรรมให้กับเยาวชน โดยใช้เทคนิคการสอนด้วยกิจกรรมดนตรีบำบัด แนวผสมผสาน

ภูริทต์ ลิมป์ประภากุล
สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

ว ัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้ เป็นการประเมินโครงการการฝึกอบรมด้านคุณธรรม จริยธรรมให้กับเยาวชนโดยใช้เทคนิคการสอนด้วยกิจกรรมดนตรีบำบัดแนวผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ตัวแทนนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) โรงเรียนกุลศิริเทคโนโลยีและบริหารธุรกิจ (กลุ่มโรงเรียนในเครือไทยเทค) เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เข้าเป็นผู้ร่วมอบรม จำนวน 67 คน มีนักเรียนชาย 25 คนและนักเรียนหญิง 42 คน จากสาขาต่างๆ คือ บัญชี การขาย คอมพิวเตอร์ และช่างอิเล็กทรอนิคส์ การวิจัยครั้งนี้ใช้การฝึกอบรมโครงการกิจกรรมดนตรีบำบัดแนวผสมผสานเป็นตัวสอ นคุณธรรม จริยธรรม และมีการผสมผสานรูปแบบของกิจกรรมอื่นๆเข้าร่วมด้วย ทำให้เกิดประสิทธิภาพ โดยมีหลักการของ 15Q เข้ามาเกี่ยวข้องในการฝึกอบรม การวิจัยครั้งนี้ได้ใช้รูปแบบของ CIPP MODEL เป็นกรอบในการประเมินผลของโครงการ และทำการประเมินก่อนการฝึกอบรม (Pretest) ประเมินหลังการฝึกอบรม (Posttest) และตารางช่องบันทึกความคิดบันทึกความรู้สึกเป็นเครื่องมือในการทำวิจัยระหว่ างทำกิจกรรม

ผลการวิจัย พบว่า ก่อนการฝึกอบรม นักเรียนมีความคิด ความรู้สึกตระหนักในเรื่องคุณธรรม จริยธรรมในระดับพอสมควรและบางข้ออยู่ในระดับต่ำ หลังจากรับการฝึกอบรมตามแผนการสอนปรากฏว่านักเรียนมีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น มากในบางข้อ แต่ในทุกๆหัวข้อมีทิศทางของการพัฒนามากขึ้น

จากผลการวิจ ัยครั้งนี้ ผู้วิจัยขอเสนอแนะให้โรงเรียนและผู้ที่สนใจวิธีการสอนด้วยกิจกรรมดนตรีบำบัด แนวผสมผสานว่า วิธีการสอนแนวนี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพต่อการเรียนการสอนของ นักเรียน ตลอดจนผู้ที่สนใจ เพราะภาษาของเพลงหรือดนตรีเป็นภาษาสากลที่สามารถเข้าใจง่าย สามารถสรุปแง่คิดได้อย่างหลากหลาย อีกทั้งการนำเอาหลักการ 15Q กับธรรมชาติบำบัดมาเป็นส่วนร่วมนั้น เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพต้อการสอนทางด้านคุณธรรม จริยธรรม




จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

การตัดสินใจซื้อส้นค้าเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้านของลูกค้า Index Living Mall ในเขตกรุงเทพมหานคร

DECISION MAKING IN PURCHASING AND DECORATED THING OF CONSUMERS AT INDEX LIVING MALL, IN BANGKOK

ภมนพร จันทร์วัฒนะ
สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต


วัตถุประสงค์
1. ศึกษาระดับการตัดสินใจซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านของลูกค้าตามปัจจัยก ารตลาด ซึ่งประกอบด้วย ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านการจำหน่ายและบริการ รวมทั้งด้านการส่งเสริมการตลาด
2. เปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านของลูกค้าจำแนกตามป ัจจัยส่วนบุคคลของลูกค้า ประกอบด้วย อายุ เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน
3. ศึกษาการตัดสินใจซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านของลูกค้าในลักษณะต่างๆกัน

ก ลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่ INDEX LIVING MALL ในเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 392 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม และทำการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย การคำนวณค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ t-test และ F-test

ผลการวิจัย พบว่า
1. ลูกค้ามีการตัดสินใจซื้อสินค้าตามปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านการจำหน่ายและบริการ และด้านการส่งเสริมการตลาดในระดับมาก
2. ลูกค้าที่มีระดับการศึกษาต่างกันมีการตัดสินใจซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่ง บ้าน ตามปัจจัยด้านราคาและด่านการส่งเสริมการตลาดแตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 โดยพบว่าลูกค้าที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษามีการตัดสินใจซื้อสินค้าตาม ปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาดมากกว่าลูกค้าที่สำเร็จการศึกษาระดับอาชีวศึกษ า ระดับปริญญาตรีและระดับสูงกว่าปริญญาตรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และลูกค้าที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษามีการตัดสินใจซื้อตามปัจจัยด้านร าคามากกว่าลูกค้าที่สำเร็จการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ และด้านการจัดจำหน่ายและบริการ ไม่แตกต่างกัน
3. ลูกค้าที่มีอาชีพต่างกัน มีการตัดสินใจซื้อเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้านตามปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านการจัดจำหน่ายและบริการ และด้านการส่งเสริมการตลาด ไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
4. ลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือนต่างกัน มีการตัดสินใจซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านตามปัจจัยด้านราคาแตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 โดยพบว่าลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท มีการตัดสินใจซื้อสินค้าตามปัจจัยด้านราคามากกว่าลูกค้า ที่มีรายได้ต่อเดือน 15,001 – 20,000 บาท อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการจัดจำหน่ายและบริการและการส่งเสริมการตลาดไม่แตกต่างกัน
5. ลูกค้าที่มีเพศ และอายุแตกต่าง มีการตัดสินใจซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ตามปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านการจัดจำหน่ายและบริการ และด้านการส่งเสริมการตลาดไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05
6. ลูกค้าส่วนมากจะซื้อเฟอร์นิเจอร์โดยมีเหตุผลที่สำคัญคือ คุณภาพของสินค้า ความหลากหลายของสินค้า ความเชื่อถือในตลาดสินค้า รูปทรงและสีสันของสินค้า และความแข็งแรงของสินค้า โดยใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้า

จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

การสร้างชุมชนเสมือนจริงในเกมออนไลน์กับพฤติกรรมการติดสื่อออนไลน์ของเยาวชนในเขตกรุงเทพมหานคร

ผศ.ดร.อุษา บิ๊กกิ้นส์
สาขานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

ว ัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะชุมชนเสมือนจริงในเกมออนไลน์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการสื่อสารเพื่อสร้างชุมชนเสมือนจริงในเกมออนไลน์และผลกร ะทบกับการดำเนินชีวิตประจำวันของเยาวชนในเขตกรุงเทพมหานคร และเพื่อศึกษาปัจจัยที่ทำให้เกิดการติดเกมส์ออนไลน์ของเยาวชนในเขตกรุงเทพมห านคร

การดำเนินการวิจัย เป็นวิจัยแบบผสมผสานทั้งงานวิจัยเชิงุคณภาพและเชิงปริมาณ ในระยะเวลาการเก็บข้อมูลตั้งแต่ พฤศจิกายน 2547 – พฤษภาคม 2548 โดยผู้วิจัยมีวิธีการเก็บข้อมูลดังนี้ คือ ศึกษาเนื้อหาเกมส์ออนไลน์ สัมภาษณ์เจาะลึก ผู้เล่นเกมส์ออนไลน์เป็นประจำ นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ของกระเทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาวัยรุ่นและสัมภาษณ์กลุ่มผู้ติดเกมส์ออนไลน์รวมทั้ง ทำการแจกแบบสอบถามเยาวชนในเขตกรุงเทพมหานคร

ผลการวิจัยพบว่า การสร้างชุมชนเสมือนจริงจะมีอยู่ 2 แบบ คือ การสร้างปาร์ตี้และกิลด์ โดยเป็นการรวมตัวของผู้เล่นเพื่อไปตีสัตว์ประหลาดและตีปราสาท พฤติกรรมการสื่อสารจะเป็นการสนทนาทั่วไป การสนทนาในปาร์ตี้และการสนทนาในกิลด์ ผลกระทบจากการเล่นเกมส์มีผลดีคือ ช่วยให้พิมพ์เร็วขึ้น เรียนรู้ภาษาอังกฤษ มีรายได้เพิ่ม มีเพื่อนใหม่ ผลเสียคือ เสียการเรียน เสียเงิน เสียเวลา เสียคนรัก เสียสุขภาพ และทำให้เห็นแก่ตัว ปัจจัยที่ทำให้เด็กติดเกมคือ การผจญภัยในดินแดนต่างๆ การได้เล่มกับเพื่อนหลายคนในเวลาเดียวกัน และการแข่งขันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

จากการวิจัยพบว่า การแก้ปัญหาเด็กติดเกมนั้นต้องอาศัยความร่วมมือกันของหลายๆฝ่าย ทั้งภาครัฐ ผู้ปกครอง ผู้ประกอบกิจการร้านเกม บริษัทผู้ผลิตเกมและเยาวชน


จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

การบริหารเทคโนโลยีสมัยใหม่กับงานก่อสร้างในประเทศไทย

ชลิดา มงคลอดิสัย, ธรรมศักดิ์ รุจิระยรรยง
ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

บ ทความนี้ได้นำเสนอแนวทางการบริหารเทคโนโลยีสมัยใหม่กับงานก่อสร้าง โดยอาศัยแนวความคิดของตัวแทนกลุ่มผู้ใช้เทคโนโลยีที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอุตส าหกรรมก่อสร้างในประเทศไทย ได้แก่ สถาปนิก มัณฑนากร ผู้ออกแบบและที่ปรึกษาโครงการ ผู้รับเหมาหลัก ผู้รับเหมาช่วงที่มีความชำนาญพิเศษ ผู้ผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยผลการวิจัยทำให้ทราบถึง

1) แนวทางที่เหมาะสมในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่กับงานก่อสร้างในประเทศไทย
2) ความต้องการในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ของแต่ละกลุ่มผู้ใช้ ซึ่งมีการตัดสินใจในเลือกใช้เทคโนโลยีที่อาจมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะของงานของแต่ละกลุ่มและการยอมรับของผู้บริหารในแต่ละอง ค์กร
3) ข้อจำกัดในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่กับงานก่อสร้างในประเทศไทย ซึ่งพบว่า ส่วนใหญ่คือความพร้อมของบุคลากรและขาดการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะต่างๆเพื่อแก้ปัญหาในการพัฒนาและการบริหารเทคโนโลยีสมัยใหม่กับงา นก่อสร้างในประเทศไทย


จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นรายวิชา ภาษาล้านนาเบื้องต้น หน่วย พท้นฐานภาษาล้านนา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 4

กัลยา กุหลาบขาว
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์

วัตถุประสงค์
- เพื่อสร้างและพัฒนาพร้อมทั้งหาประสิทธิภาพหลักสูตรท้องถิ่นรายวิชาภาษาล้านน าเบื้องต้น หน่วยพื้นฐานภาษาล้านนา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยสำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4

วิธีการวิจัย
ศ ึกษาความต้องการความจำเป็นของกลุ่มเป้าหมายสร้างและหาประสิทธิภาพของหลักสูต ร กลุ่มทดลองได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2548 โรงเรียนลองวิทยา อำเภอลอง จังหวัดแพร่ ที่อาสาสมัครเข้าร่วมโครงการทดลองจำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ หลักสูตรท้องถิ่นรายวิชา ภาษาล้านนาเบื้องต้น หน่วยพื้นฐานภาษาล้านนา และแบบประเมินโครงร่างหลักสูตรท้องถิ่นรายวิชา ภาษาล้านนาเบื้องต้น หน่วย พื้นฐานภาษาล้านนา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ในการหาประสิทธิภาพของหลักสูตร

ผลการวิจัย
- พบว่า ค่าความสอดคล้องในองค์ประกอบของหลักสูตรมีความสอดคล้องกัน และผลการทดลองใช้หลักสูตรกับนักเรียนกลุ่มทดลอง พบว่า เวลาที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ส่วนใหญ่มีความเหมาะสม และกิจกรรมการเรียนรู้มีความเหมาะสมกับผู้เรียน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้จัดให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริงด้วยตนเอง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนอยู่ในระดับดีขึ้นไป ความคิดเห็นของนักเรียนเกี่ยวกับภาษาล้านนา โดยภาพรวมนักเรียนมีความสุข สนุกสนานในการเรียนรู้ เห็นคุณค่าของภาษาพื้นเมือง (ล้านนา) ซึ่งเป็นภูมิปัญญาทางภาษา สนใจที่จะนำความรู้พื้นฐานนี้ไปศึกษาเกี่ยวกับภาษาล้านนาในระดับสูง

สรุป
- ผลการศึกษาแสดงว่าหลักสูตรท้องถิ่นรายวิชาภาษาล้านนา มีประสิทธิภาพสูงและเป็นที่พึงพอใจของนักเรียนในระดับมาก


จากการประชุมวิชาการ เสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 1
เรื่อง บัณฑิตศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
30-31 มกราคม 2550 ณ อาคารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

ภาวะผู้นำของนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต

Leadership of Rangsit University ‘s student

สมเกียรติ สุทธินรากร
สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต


วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาบุคลิกภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต ศึกษาภาวะผู้นำประกอบด้วย
1) คุณธรรมจริยธรรม วิสัยทัศน์ระดับส่วนรวม
2) วิสันทัศน์ระดับบุคคลของนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต
3) ศึกษาภาวะผู้นำและบุคลอกภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต จำแนกตามปัจจัยภูมิหลัง
4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพกับภาวะผู้นำของนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต

ก ลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต จำนวน 400 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มตัวย่างแบแบ่งชั้นตามสัดส่วน จำแนกตามคณะ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย ข้อมูลที่ได้วิเคร์ด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเมนมาตรฐาน การทดสอบค่าt (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียรสัน



ผลการวิจัยพบ ว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต มีบุคลิกภาพค่อนข้างเชื่อในแหล่งควบคุมภายนอก และมีภาวะด้านคุณธรรมและจริยธรรม ด้านวิสัยทัศน์ส่วนรวม และด้านวิสัยทัศน์ระดับบุคคลอยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 พบว่า นักศึกษาที่มีความแตกต่างกันในคะแนนเฉลี่ยสะสม ภูมิลำเนาเดิม และการเข้าร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัยมีบุคลิกภาพแตกต่างกัน ส่วนนักศึกษาที่มีภูมิลำเนาแตกต่างพบว่า มีภาวะด้านคุณธรรมจริยธรรมแตกต่างกัน รวมทั้งนักศึกษาที่เข้าร่วมในกิจกรรมมหาวิทยาลัยแตกต่างกัน มีภาวะผู้นำด้านวิสัยทัศน์ระดับส่วนรวมและด้านวิสัยทัศน์ระดับบุคคลแตกต่างก ัน นอกจากนี้ นักศึกษาที่บิดามีรายได้แตกต่างกัน มีภาวะผู้นำด้านคุณธรรมจริยธรรมด้านวิสัยทัศน์ระดับส่วนรวมและด้านวิสัยทัศน ์ระดับบุคคลแตกต่างกัน นักศึกษาที่มารดามีอาชีพแตกต่างกันมีภาวะผู้นำด้านวิสัยทัศน์ระดับบุคคลแตกต ่างกัน ในส่วนของการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพกับภาวะผู้นำของนักศึกษา พบว่า บุคลิกภาพของนักศึกษามีความสัมพันธ์ในทางบวกกับภาวะผู้นำด้านวิสัยทัศน์ระดั บส่วนรวมและวิสัยทัศน์ระดับบุคคล


จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

การยอมรับบทบาทของผู้นำสตรีในองค์กรภาครัฐ

ภชดา ทัตภากร
สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต


วัตถุประสงค์
1. ศึกษาการบริหารงานของผู้นำสตรีในองค์กรภาครัฐ และการสนับสนุนทางสังคมของผู้บังคับบัญชาที่มีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา
2. การยอมรับบทบาทการบริหารงานของผู้นำสตรีในองค์กรภาครัฐ
3. การยอมรับบทบาทการบริหารงานของผู้นำสตรีในองค์กรภาครัฐ จแนกตามลักษณะส่วนบุคคล การบริหารงานของผู้นำสตรีในองค์กรภาครัฐ และการสนับสนุนทางสังคมของผู้บังคับบัญชาที่มีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา

ก ลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ข้าราชการพลเรือนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับ 1-7 ในส่วนกลางของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษรตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 400 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) จำแนกตามขนาดของแต่ละกระทรวง โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย ซึ่งข้อมูลที่ได้วิเคราะห์ด้วยค่าสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียรสัน

ผลการวิจัย พบว่า บุคลากรในองค์กรภาครัฐส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุไม่เกิน 30 ปี และอายุระหว่าง 31-40 ปี ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีอายุราชการไม่เกิน 5 ปี ระดับตำแหน่งอยู่ในช่วง ซี 3-5 และมีสถานภาพโสด บุคลากรในองค์กรเห็นว่า การบริหารงานของผู้นำสตรีในองค์กรภาครัฐด้านการวางแผน ด้านการจัดองค์กร ด้านการสั่งการหรือการนำ และด้านการควบคุม อยู่ในระดับปานกลาง การสนับสนุนทางสังคมของผู้บังคับบัญชาที่มีต่อผู้ใต้บังคับบัญชาด้านข้อมูลข ่าวสาร ด้านวัสดุอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านความรู้ ความสามารถ และด้านอารมณ์จิตใจ อยู่ในระดับปานกลาง บุคลากรในองค์กรภาครัฐยอมรับบทบาทผู้นำสตรีในการบริหารงานในองค์กรภาครัฐ ด้านการวางแผน ด้านการจัดองค์กร ด้านการสั่งการหรือการนำ และด้านการควบคุม อยู่ในระดับปานกลาง บุคลากรในองค์กรภาครัฐที่มีอายุแตกต่างกันยอมรับบทบาทผู้นำสตรีในการบริหารง านในองค์กรภาครับด้านการวางแผน และด้านการสั่งการหรือการนำแตกต่างกัน บุคลากรในองค์กรภาครัฐที่มีอายุราชการแตกต่างกันยอมรับบทบาทผู้นำสตรีในการบ ริหารงานองค์กรภาครัฐในด้านการควบคุม แตกต่างกัน บุคลากรที่สังกัดกระทรวงแตกต่างกันยอมรับบทบาทของผู้นำสตรีในการบริหารงานด้ านการวางแผน ด้านการจัดองค์กร ด้านการสั่งการหรือการนำ และด้านการควบคุม แตกต่างกัน การบริหารงานของผู้นำสตรีในองค์กรภาครัฐด้านการวางแผน ด้านการจัดองค์กร ด้านการสั่งการหรือการนำ และด้านการควบคุม มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับการยอมรับบทบาทผู้นำสตรีในการบริหารงานองค์กรภาคร ัฐ ด้านการวางแผน ด้านการจัดองค์กร ด้านการสั่งการ หรือการนำ และด้านการควบคุม การสนับสนุนทางสังคมของผู้บังคับบัญชาที่มีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านความรู้ความสามารถ และด้านอารมณ์จิตใจ มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับการยอมรับบทบาทผู้นำสตรีในการบริหารงานในองค์กรภา ครัฐ ด้านการวางแผน ด้านการจัดองค์กร ด้านการสั่งการหรือการนำ และด้านการควบคุม



จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

ความแปรปรวนของคุณสมบัติดินที่มีต่อการพิบัติของริมตลิ่งแม่น้ำโขง ที่บ้านท่าโพธิ์ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย

สิรัญญา ทองชาติ – นักศึกษาปริญญาเอก ภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยรังสิต
ผศ.ร.ต.หญิง ดร.วรรณี ศุขสาตร - ภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยรังสิต
ผศ.ดร. สุทธิ์ศักดิ์ ศรลัมพ์ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์


ป ัญหาด้านเสถียรภาพของลาดตลิ่งริมน้ำ เกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่าง โดยความแปรปรวนของคุณสมบัติของดินริมตลิ่งแม่น้ำก็เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เก ิดความแปรปรวนของเสถียรภาพของลาดตลิ่งด้วย ดังนั้น ในบทความนี้จึงได้ทำการพิจารณาความแปรปรวนของคุณสมบัติดินที่มีต่อการพิบัติ ของตลิ่งแม่น้ำโขงที่บ้านท่าโพธิ์ อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย โดยผลศึกษา พบว่า ถ้าข้อมูลมีความแปแรปรวนมากก็จะส่งผลให้เกิดความแปรปรวนของผลลัพธ์ ซึ่งเป็นผลให้ความน่าจะวิบัติมีค่าเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น ในการเพิ่มข้อมูลหลุมเจาะสำรวจเป็นการลดความแปรปรวนเนื่องจากผลการทดสอบที่น ้อยเกินไป (Statistical Error in Mean) และผลที่เกิดจากการสุ่มทดสอบที่ผิดพลาด (Random Testing Error) ส่วนผลของความแปรปรวนภายในเนื้อของดินเอง (Real Spatial Variation ) ไม่สามารถทำการลดได้ เนื่องจากสภาพของเนื้อดินเป็นคุณสมบัติภายในตามธรรมชาติของดิน และความแปรปรวนตัวสุดท้ายเป็นความแปรปรวนเนื่องจากการทดสอบที่ผิดพลาด (Bias in Measurement Procedure) สามารถลดได้จากการทำการทดสอบคุณสมบัติของดินด้วยการทดสอบที่แม่นยำ และให้ความถูกต้องของผลการทดสอบสูง เช่น Triaxial Tes เป็นต้น


จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

การรับรู้หน่วยประกอบที่ดีของภาพปกนิตยสารท่องเที่ยว

พิบูลย์ พหุลรัตน์พิทักษ์
นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

วัตถุประสงค์
- เพื่อให้เข้าใจถึงหน่วยประกอบที่ดีของภาพปกนิตยสารท่องเที่ยวในการรับรู้ของ นักวิชาชีพวารสารศาสตร์ นักวิชาการถ่ายภาพ และผู้รับสาร จำนวน 12 คน โดยศึกษาจากภาพปกนิตยสารท่องเที่ยวจำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ 1) อสท 2) Nature Explorer 3) เที่ยวรอบโลก 4) Travel Guide ซึ่งวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2548 โดยใช้กรอบแนวคิดเกี่ยวกับการสื่อสารด้วยภาพ แนวคิดการถ่ายภาพเชิงสารคดี แนวคิดเกี่ยวกับภาพถ่ายเชิงวารสารศาสตร์ และการสร้างโครงความคิดของบุคคล (Personal Construct Approaches) และแนวคิดเรื่องตะแกรงกรองการรับรู้ (The Repertory Grid) เป็นแนวทางหลักในการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล

ผลจากก ารวิจัย พบว่า หน่วยประกอบที่ดีของภาพปกนิตยสารท่องเที่ยวในการรับรู้ของนักวิชาชีพวารสารศ าสตร์ นักวิชาการถ่ายภาพ และผู้รับสาร ได้แก่ ภาพปกที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ 1) ภาพปกมีการใช้หลักการจัดองค์ประกอบเชิงสร้างสรรค์ ประกอบด้วย 1.1) สีสันของภาพสามารถสื่ออารมณ์เข้ากับเรื่องราวของเหตุการณ์กิจกรรมการท่องเที ่ยว 1.2) การจับจังหวะแสดงความเคลื่อนไหวของภาพได้อย่างมีชีวิตชีวา 1.3) การจัดองค์ประกอบภาพอย่างเหมาะสมเพื่อแสดงทัศนมิติของภาพ (Perspective) 1.4) การใช้เทคนิคเพื่อเน้นรูปทรงของประธานภาพ (Silhouette) 2) เนื้อหาของภาพปกจูงใจให้เกิดพฤติกรรมการท่องเที่ยว ประอบด้วย 2.1) การนำเสนอภาพความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวโดยรวม 2.2) การใช้คนเป็นองค์ประกอบในการสร้างอารมณ์และเรื่องราวของภาพ 2.3) ภาพที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และ 3) ภาพที่เปิดพื้นที่ว่างเพื่อเอื้ออำนวยต่อการบรรณาธิกรณ์



จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

การบริหารการตลาดและการขายของทรัพย์สินรอการขาย ของบริษัทบริหารสินทรัพย์ : กรณีศึกษาการขายทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์

ดิเรก กองพฤกษชาติ
สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

ก ารศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสามารถขององค์กรด้านการบริหารจัดการในกระบ วนการบริหารตลาด กระบวนการบริหารการขาย ของสินทรัพย์รอการขาย และตัวแปรอื่นๆ ที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดประสิทธิผลในการขายทรัพย์สิน ว่ามีผลหรืออำนาจในการสร้างเสริม หรือทำให้เกิดการถดถอยของการขายทรัพย์
สินรอการขาย

ป ระชากรที่ใช้ในการดำเนินการวิจัยประกอบด้วย บริษัทบริหารสินทรัพย์ภาครัฐและภาคเอกชนจำนวน 13 รายคิดเป็นร้อยละ 100 ของจำนวนประชากร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบสอบถามที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้น รวมทั้งได้มีการค้นคว้าจากเอกสาร (Document) ได้แก่ งบการเงินและรายจ่ายประจำปี 2547 ของกลุ่มประชากรดังกล่าว

ผลการวิ เคราะห์ทางสถิติ พบว่า 1) คุณลักษณะของบริษัทบริหารสินทรัพย์ภาครัฐและภาคเอกชนไม่มีความแตกต่างกันเว้ นแต่ในด้านส่วนแบ่งการตลาดที่มีแนวโน้มที่จะต่างกัน 2) กระบวนการบริหารการตลาด และกระบวนการบริหารการขาย มีความสอดคล้องกัน 3) กระบวนการบริหารการตลาด และกระบวนการบริหารการขายโดยลำพังอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของการขายทรัพย์สินรอการขาย 4) ลักษณะของบริษัทบริหารสินทรัพย์กระบวนการบริหารการตลาด กระบวนการบริหารการขายมีความสัมพันธ์กัน และร่วมกันมีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของการขายทรัพย์สินรอการขาย

ข้อเสนอแนะ
1) กระบวนการตลาดต้องเน้นการจัดการกลุ่มทรัพย์สินและประเภททรัพย์สินเพื่อสามาร ถกำหนดลูกค้าเป้าหมาย และวิธีหรือกลยุทธ์ในการเข้าหา (Approach) กลุ่มลูกค้า
2) การกำหนดราคาขายต้องสอดคล้องกับราคาตลาดที่เป็นจริงในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง การหามูลค่าหรือราคาทรัพย์สินจากการคำนวณรายได้เพื่อเทียบเคียงราคาประเมิน เพื่อใช้เป็นราคาอ้างอิงราคาขายทรัพย์สิน
3) ความสนับสนุนภายในองค์กรต้องสร้างเสถียรภาพของการทำงาน รวมถึงสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมมากกว่าการสั่งงาน
4) ควรศึกษาเพิ่มเติมกรณีการต้องควบรวมกิจการของบริษัทบริหารสินทรัพย์ เนื่องจากนโยบายของภาครัฐต้องการให้มีองค์กรหลักที่ดูแลด้านนี้น้อยที่สุด และเป็นการลดการแข่งขัน จึงน่าจะเป็นหัวข้อที่น่าสนใจทั้งในเรื่องของวัฒนธรรมองค์กร พนักงาน การปรับสภาพการทำงาน รวมถึงคุณลักษณะและภาวะของผู้นำองค์กรอันจะเป็นประโยชน์ในด้านวิชาการต่อไป

จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

การศึกษาและจัดทำค่าเวลาพื้นฐานงานตอกเสาเข็มโดยวิธีสมการสังเคราะห์

สุภา ทองใหม่, วิสูตร จิระดำเกิง - ภาควิชาวิศวกรรมโยธา วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ดร.นัยเกียรติ พงษ์พัฒนศึกษา - วิทยาลัยบริหารธุรกิจและรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต

ก ารวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและจัดทำค่าเวลาพื้นฐานของงานตอกเสาเข็ม โดยวิธีสมการสังเคราะห์ ผู้วิจัยได้ทำการเก็บข้อมูลเวลาของงานตอกเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงหน้าตัดสี่จัต ุรัสของขนาดต่างๆ ด้วยปั้นจั่นตอกแบบ Drop Hammer จาก 10 หน่วยงานก่อสร้างในจังหวัดภูเก็ต และทำการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปรมากกว่า 2 ตัว ด้วยวิธีวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ (multiple regression analysis) โดยใช้โปรแกรม SPSS เพื่อสร้างเป็นสมการสังเคราะห์เวลาของกิจกรรมต่างๆในงานตอกเสาเข็ม ได้แก่ 1) งานตอกเสาเข็ม 2) งานเลื่อนปั้นจั่นบนราง 3 ) งานเลื่อนรางของปั้นจั่นไปทางด้านซ้ายหรือด้านขวา 4) การเลื่อนปั้นจั่นและรางไปทางด้านหน้าหรือด้านหลัง 5) งานเชื่อมต่อ 6) งานต่อปลอก 7) งานยกเสาส่งในการส่งเสาเข็ม ซึ่งสมการเหล่านี้จะใช้วิเคราะห์หาค่าเวลาพื้นฐาน เวลามาตรฐาน และอัตราการผลิต ของงานตอกเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงห้าตัดเหลี่ยมจัตุรัสขนาด 15 ซม. X 15 ซม., 20 ซม. X 20 ซม., 25 ซม. X 25 ซม., 30 ซม. X 30 ซม.,และ 35 ซม. X 35 ซม. ที่ความยาวต่างๆกัน โดยแต่ละขนาดเสาเข็มยังแยกเป็นชนิดแท่งเดียว 2 ท่อนต่อเชื่อม และ 2 ท่อนต่อปลอก ในเงื่อนไขการตอกเสาเข็มที่มีและไม่มีการส่งหัวเสาเข็ม โดยค่าอัตราผลผลิตที่ได้ผู้วิจัยพบว่ามีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปประยุก ต์ใช้ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดอื่นๆที่มีสภาพธรณีวิทยาคล้ายกัน


จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

การสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ภาพในตัวละครจักรๆวงศ์ๆ ทางโทรทัศน์กับแก่นจินตนาการของผู้ชมที่เป็นเด็ก

สิรภพ แก้วไกรสิน
นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

ก ารวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เข้าใจที่มาของจินตนาการและวิธีการสื ่อสารเชิงสัญลักษณ์ภาพที่เกี่ยวกับเอกลักษณ์ของตัวละครอมนุษย์ในละครจักรๆวง ศ์ๆ ทางโทรทัศน์ และเพื่อให้ทราบถึงแก่นจินตนาการในละครจักรๆวงศ์ๆ ในการรับรู้ของผู้ชมที่เป็นเด็ก โดยใช้แนวคิด ทฤษฎีการลู่เข้าเชิงสัญลักษณ์และแนวทางการศึกษาแก่นจินตนาการ แนวคิดเรื่องสัมพันธบท และแนวทางการศึกษาโดยการสัมภาษณ์แบบกลุ่ม การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การวิเคราะห์ตัวละครจักรๆวงศ์ๆทางโทรทัศน์ 3 เรื่อง คือ เรื่องเทพสามฤดู โกมินทร์ และสิงหไกรภพ ซึ่งออกอากาศในช่วงปี 2546-2548 และการสัมภาษณ์แบบกลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษาจำนวน 4 กลุ่มเพื่อศึกาแก่นของจินตนาการในการรับรู้ของเด็ก

ผลจากการวิจัยพบว ่า วิธีการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ภาพที่เกี่ยวกับเอกลักษณ์ของตัวละครอมนุษย์ในละ ครจักรๆวงศ์ๆทางโทรทัศน์ มีวิธีการที่สำคัญ ได้แก่ 1) การนำเสนอด้วยภาพที่มีลักษณะภาพตามแบบบแผนของจิตรกรรมไทยแนวประเพณี 2) การสื่อความหมายแฝงจากภาษาภาพโทรทัศน์ 3) การสร้างบริบทเพื่อกำกับความหมายอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวละคร 4) การสร้างสัมพันธบท 5) การประยุกต์ใช้รหัสภาพการ์ตูน ในแง่ของที่มาของจินตนาการเกี่ยวกับตัวละครอมนุษย์ในการรับรู้ของเด็กประกอบ ด้วย 1) งานจิตรกรรมและงานประติมากรรมในศาสนสถาน 2) งานวรรณกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน 3) งานสื่อสารมวลชน และ 4) กระบวนการจัดเกลาทางสังคมจากครอบครัวและโรงเรียน สำหรับแก่นจินตนาการของผู้ชมที่เป็นเด็กที่มีต่อละครจักรๆวงศ์ๆประกอบด้วย 1) แก่นจินตนาการที่เน้นความถูกต้องเป็นจริง 2) แก่นจินตนาการที่เน้นค่านิยมทางสังคม 3) แก่นจินตนาการที่เน้นประโยชน์ทั้งส่วนบุคคลและทางสังคม


จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

การนำเสนอภาพตัวละครเอกหญิงและค่านิยมในนวนิยายแนว Chick Lit

อรณิช รุ่งชัยมงคล
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล

วัตถุประสงค์
- เพื่อศึกษาภาพตัวละครเอกหญิงในด้านบุคลิกภาพและค่านิยมที่นำเสนอผ่านตัวละครเอกหญิงในนวนิยายแนว Chick Lit

วิธีการวิจัย
- เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา และเก็บข้อมูลจากตัวละครเอกหญิงในนวนิยายแนว Chick Lit ฉบับภาษาไทยที่ได้รับการตีพิมพ์มากกว่าหนึ่งครั้งภายในระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ.2544-2547 จำนวน 8 เรื่อง

ผลการศึกษา
- ตัวละครเอกหญิงในนวนิยายแนว Chick Lit มีทั้งบุคลิกภาพส่วนบุคคลที่แตกต่างกันไป และบุคลิกภาพส่วนรวมที่ได้รับอิทธิพลจากสภาพสังคม ได้แก่ ต้องการมีคู่รัก มองโลกในแง่ดี มุ่งมั่นบรรลุเป้าหมาย และต้องการประสบความสำเร็จ ค่านิยมที่นำเสนอผ่านตัวละครเอกหญิงในนวนิยายแนว Chick Lit ได้แก่ 1) ค่านิยมทางเศรษฐกิจ คือ มีเงินมาก มีรสนิยมสูง ชอบผู้ที่มีฐานะร่ำรวย และพึ่งพาอาศัยตนเอง 2) ค่านิยมทางสุนทรียภาพ คือ มีรูปร่างผอม และชื่นชอบผู้ที่มีหน้าตาดี 3) ค่านิยมทางสังคม คือ มีคู่รักก่อนอายุ 30 ปี และ 4) ค่านิยมหลักการ คือ เรียนรู้จากสื่อมวลชน

สรุป
- ภาพตัวละครเอกหญิงในด้านบุคลิกภาพและค่านิยมที่นำเสนอผ่านตัวละครเอกหญิงในน วนิยายแนว Chick Lit มีความสัมพันธ์กับสภาพทางสังคมที่เป็นต้นกำเนิดของนวนิยายแต่ละเรื่อง

จากการประชุมวิชาการ
เสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 1
เรื่อง บัณฑิตศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
30-31 มกราคม 2550 ณ อาคารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

การศึกษาลักษณะภาษาสื่ออารมณ์ขันในมุมขำขันของหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะและมหาสนุก

จิรศุภา ปล่องทอง
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล

วัตถุประสงค์
- เพื่อวิเคราะห์กลวิธีการใช้ภาษาสื่ออารมณ์ขัน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของบริบททางการสื่อสารต่อการใช้ภาษาสื่ออารมณ์ขัน

วิธีการวิจัย
- การศึกษาลักษณะภาษาสื่ออารมณ์ขันในมุมขำขันของหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะ และมหาสนุก เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ นำเสนอข้อมูลแบบพรรณนาวิเคราะห์ ซึ่งเก็บข้อมูลจากหนังสือการ์ตูน 2 ฉบับ ฉบับแรกคือ หนังสือการ์ตูนขายหัวเราะรายสัปดาห์ ฉบับมีนาคม – เมษายน 2548 จำนวน 78 เรื่อง และฉบับที่สอง คือ หนังสือการ์ตูนมหาสนุกรายสัปดาห์ ฉบับเดือนมีนาคม – เมษายน 2548 จำนวน 52 เรื่อง รวม 130 เรื่อง โดยจะศึกษาในส่วนของมุมขำขันเท่านั้น

ผลการศึกษา
- พบว่ากลวิธีการสร้างอารมณ์ขันนั้นมีความสอดคล้องกับตรรกะของตลกในเรื่องของก ารเล่นตลกกับภาษา, การเล่นตลกกับสามัญสำนึก , การเล่นตลกกับอารมณ์ความรู้สึก และการเล่นตลกกับเรื่องในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้สิ่งที่ควรคำนึงถึงเพื่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องอารมณ์ขัน ก็คือ บริบททางการสื่อสารด้วย

สรุป
- ผลการศึกษาแสดงว่า การเล่นตลกกับภาษาเป็นกลวิธีที่มีความสำคัญในการทำให้เกิดอารมณ์ขันในงานวิจัยนี้

จากการประชุมวิชาการ
เสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 1
เรื่อง บัณฑิตศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
30-31 มกราคม 2550 ณ อาคารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

การศึกษาประชาคมของสิ่งมีชีวิตในกระบวนการหมักสุราพื้นบ้าน (สาโท)

โชติทัต เลื่องชัยเชวง และชื่นจิตต์ บุญเกิด
ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

วัตถุประสงค์
- การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของเชื้อจุลินทรีย์ และจุลินทรีย์ที่สำคัญในกระบวนการหมักสุราพื้นบ้าน (สาโท)

วิธีการวิจัย
- ขั้นตอนการวิจัยเริ่มจากการศึกษากระบวนการหมักสุราแบบพื้นบ้าน และนำมาประยุกต์เพื่อให้เหมาะกับการวิจัยในห้องปฏิบัติการ ดีเอ็นเอของยีน rDNA เชื้อแบคทีเรีย ราและยีสต์ของสายพันธุ์มาตรฐานจะถูกนำมาวิเคราะห์ความแตกต่าง ด้วยวิธี PCR-DGGE ซึ่งใช้หลักการแยกโดยทำให้ดีเอ็นเอเกิด denaturation นอกจากนี้ยังทดลองหาเทคนิคที่เหมาะสมในการสกัดดีเอ็นเอจากตัวอย่าง

ผลการศึกษา
- จากการทดลองสามารถหมักสาโทในห้องปฏิบัติการโดยใช้ขั้นตอนประยุกต์ได้ และสามารถหาสภาวะที่เหมาะสมในการแยกความแตกต่างของจุลินทรีย์สายพันธุ์มาตรฐ านด้วยวิธี PCR-DGGE ซึ่งจะนำไปเปรียบเทียบกับการวิเคราะห์จุลินทรีย์ในตัวอย่างจากกระบวนการหมัก นอกจากนี้ได้เทคนิคที่เหมาะสมในการสกัดดีเอ็นเอจากตัวอย่าง

สรุป
- ได้สภาวะที่เหมาะสมในการแยกชนิดของจุลินทรีย์มาตรฐานด้วยวิธี PCR-DGGE และเทคนิคการสกัดดีเอ็นเอจากตัวอย่าง การวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนจากโครงการความร่วมมือเทคโนโลยีชีวภาพทางการเก ษตร สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ HEDP-ABC

จากการประชุมวิชาการ
เสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 1
เรื่อง บัณฑิตศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
30-31 มกราคม 2550 ณ อาคารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

การออกแบบการทำงานเพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา ในการค้นหาข้อมูลพรรณไม้สำหรับงานออกแบบภูมิทัศน์

กมลทิพย์ ศรีสะดี
หลักสูตรคอมพิวเตอร์เพื่อการออกแบบสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยรังสิต

เ นื่องจากปัจจุบันต้นไม้/หรือพรรณไม้มีมากมายหลายชนิด จึงได้มีการรวบรวมเก็บข้อมูลทั้งทางด้านหนังสือและอินเตอร์เนต ในส่วนอินเตอร์เนตสามารถใช้งานและค้นหาได้สะดวกจากการค้นหาด้วยคำ (Key word) หรือชื่อของพรรณไม้นั้นๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ต้องการ แต่ในบางครั้งอาจไม่ทราบคำที่จะค้นหาที่แน่นอนและถูกต้อง

จากปัญหาดั งกล่าวผู้วิจัยได้ศึกษาหาแนวทางในการพัฒนาเครื่องมือที่สามารถค้นหาพรรณไม้ท ี่ต้องการได้ โดยอาศัยการค้นหาจากคำที่เป็นพื้นฐานประกอบ ซึ่งการค้นหาลักษณะดังกล่าวทำให้ผู้วิจัยได้แนวความคิดที่ว่า “สามารถค้นหาพรรณไม้ได้จากภาพใบไม้ของพรรณไม้นั้นๆ แล้วได้ข้อมูลพรรณไม้ที่ต้องการได้อย่างถูกต้อง” ดังนั้น ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์หาแนวทางในการพัฒนาโปรแกรม ซึ่งเป็นโปรแกรมที่รวบรวมข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในการออกแบบงานภูมิทัศน์และสาม ารถค้นหาพรรณไม้จากภาพถ่ายของไบไม้ที่ต้องการและได้ข้อมูลของพรรณไม้นั้นๆได ้อย่างทันทีโดยผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Personal Digital Assistance : PDA) ที่สะดวกและมีน้ำหนักเบา

วัตถุประสงค์การศึกษาวิจ ัยในครั้งนี้ เป็นการออกแบบการพัฒนาโปรแกรมสำหรับค้นหาข้อมูลพรรณไม้ด้วยภาพโดยอาศัยแนวคิ ดและวิธีทำงานจากโปรแกรมต้นแบบที่นำมาใช้ในการศึกษา เพื่อตอบสนองความต้องการในการค้นหาข้อมูลของต้นไม้และ/หรือพรรณไม้ที่ใช้ในง านภูมิทัศน์ ณ เวลานั้น



จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี

ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบพฤติกรรมผู้นำของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลกับควา มพึงพอใจของประชาชนต่อการบริหารงานท้องถิ่นในเขตอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

ณรงค์ฤทธิ์ พาณิชย์ศะศิลวัฒน์
สาขาวิชาผู้นำทางธุรกิจ สังคมและการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

ว ิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงบรรยายโดยใช้เทคนิคการสำรวจเพื่อบรรยายความสำพันธ์ระหว ่างรูปแบบพฤติกรรมผู้นำของนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กับความพึงพอใจของประชาชนต่อการบริหารงานท้องถิ่นในเขตอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบพฤติกรรมผู้นำท้องถิ่นจำแนกตามลักษณะส่วนบุคคลและเขตการปกค รองส่วนท้องถิ่น 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของประชาชนต่อการบริหารงานของผู้นำแต่ละเขตการปกครองท ้องถิ่น 3) เพื่อเปรียบเทียบรูปแบบพฤติกรรมผู้นำท้องถิ่นกับเขตการปกครองท้องถิ่นแตกต่า งกัน 4) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของประชาชนต่อการบริหารงานของผู้นำท้องถิ่น และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบพฤติกรรมผู้นำกับความพึงพอใจของประชาชน ต่อการบริหารงานของผู้นำท้องถิ่น

การรวบรวมข้อมูลดำเนินการโดยใช้แบบ สอบถาม 2 ชุด ชุดที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับรูปแบบพฤติกรรมของนายก อบต. โดยให้เจ้าหน้าที่ประจำในหน่วยงานองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นผู้ตอบคำถาม ชุดที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจของประชาชนต่อการบริหารงานท้องถิ่น โดยให้ประชาชนในอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นผู้ตอบแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นสถิติพื้นฐานและทดสอบสมมติฐานด้วย t-test, F-test (ANOVA) และการวิเคราะห์การถดถอย (Linear Regression Analysis)

ผลการวิจัยสามารถสรุปได้ดังนี้

1. ผลการวิจัยรูปแบบพฤติกรรมผู้นำท้องถิ่น พบว่า อบต.คลองสาม อบต.คลองสี่ อบต.คลองหก อบต.คลองเจ็ด มีรูปแบบพฤติกรรมแบบมุ่งความสำเร็จมากที่สุด ส่วน อบต.คลองห้ามีรูปแบบพฤติกรรมผู้นำแบบให้การสนับสนุนมากที่สุด

2. ผลการศึกษาความพึงพอใจของประชาชนต่อการบริหารงานของผู้นำแต่ละเขตการปกครองท ้องถิ่นพบว่า ความพึงพอใจของประชาชนต่อการบริหารงานท้องถิ่นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก จำนวน 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลคลองห้า ตำบลคองหก ตำบลคลองเจ็ด และตำบลตลองสาม ตามลำดับ และอยู่ในระดับปานกลาง 1 ตำบล ได้แก่ตำบลคลองสี่

3. ผลการเปรียบเทียบระหว่างรูปแบบพฤติกรรมผู้นำท้องถิ่นกับเขตการปกครองท้องถิ่ น พบว่า รูปแบบพฤติกรรมของนายก อบต. ด้านผู้นำแบบให้การสนับสนุน และด้านผู้นำแบบมีส่วนร่วม ไม่แตกต่างกัน แต่ด้านผู้นำแบบมุ่งความสำเร็จแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน

4. ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจของประชาชนต่อการบริหารงานของผู้นำท้องถิ่น พบว่า ประชาชนที่อยู่ในเขตการปกครองท้องถิ่นที่แตกต่างกัน มีความพึงพอใจต่อการบริหารงานของผู้นำท้องถิ่นในด้านการบริหารงานสาธารณะ, ด้านสาธารณสุข , ด้านการศึกษา และด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

5.ผลการศึกษาพบว่าโดยภาพรวม ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบพฤติกรรมผู้นำไม่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของ ประชาชนต่อการบริหารงานท้องถิ่น จึงไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
.

จาก การประชุมนำเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2549
23-24 มกราคม พ.ศ.2550 ณ อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก ปทุมธานี