Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553
นักวิทยาศาสตร์จุฬาฯ สกัดมะลิทองคำนาโนถวายพระราชินีฯ วันแม่แห่งชาติ
ทั้งนี้ จากผลสำเร็จดังกล่าว ดอกมะลิทองคำนาโนสามารถนำไปพัฒนาเป็นเซ็นเซอร์ที่ประยุกต์ใช้งานด้านการตรวจ สอบเชิงโมเลกุลของสารเคมี เช่น การตรวจสอบวัตถุระเบิด ยาเสพติด สารพิษตกค้างในน้ำ อาหาร ผัก ผลไม้ ตรวจสอบน้ำสะอาด อาหารปลอดภัย ก๊าซพิษในบรรยากาศ โดยเฉพาะสารที่ไม่มีกลิ่น และ การตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ ได้
วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
ใครจะได้รับการว่าจ้าง
จาก The Book of Goals
ใครจะได้รับการว่าจ้าง? คือคนที่มีคุณสมบัติดีที่สุดหรือไม่? อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เมื่อโรงงานนิวเคลียร์ต้องการช่างเทคนิคพวกเขาจะจ้างนักฟิสิกส์นิวเคลียร์ด้วยหรือไม่? ไม่เป็นเช่นนั้น คนที่พวกเขาต้องการคือใครสักคนที่มีทักษะเพียงพอ เขาต้องการผู้ที่มีความเหมาะสมทางการศึกษา การฝีกอบรมประสบการณ์การทำงาน บุคลิกส่วนตัว ประวัติส่วนตัว และความสนใจภายนอกที่เหมาะสมกับงานนี้
บางครั้งประสบการณ์ทำงานหลายๆปี อาจเป็นข้อเสียเปรียบของคุณก็ได้ ผมเคยพบสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อผมไปสหภาพโซเวียตเก่าในฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1991 ผมรู้สึกประทับใจกับการบริการของโรงแรมในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ซึ่งโรงแรมนี้เกิดจากการร่วมทุนของบริษัทสวีเดน ผมได้ลองถามผู้จัดการดูว่า เขาได้หาพนักงานเหล่านี้มาจากไหน ผมได้รับคำตอบว่า เขาจ้างคนซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์มาเลย เพราะเขาต้องการคนที่มีความร่าเริง ไม่ยอมแพ้ ชอบติดต่อกับผู้อื่น เขาไม่ชอบคนที่เคยทำงานในโรงแรมมาก่อน เพราะพวกเขาจะมีนิสัยเสียหลายอย่าง
กระดาษที่เขียนคุณวุฒิของมักจะมีความสำคัญกว่า คุณสมบัติส่วนตัวของคุณ แน่นอนว่า คุณจำเป็นต้องมีสิ่งพื้นฐานที่เขาต้องการ แต่บริษัทยังมองหาสิ่งอื่นด้วย นอกเหนือจากทักษะทางเทคนิค เขาต้องการคนที่เหมาะสม เขาไม่ได้มองหาคนที่มีประสบการณ์มากที่สุด แต่เขาต้องการคนที่มีคุณสมบัติส่วนตัว มีความเฉลียวฉลาด ขยันทำงาน มีอารมณ์ขัน และมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปในงานนั้นๆ ซึ่งคุณสมบัติส่วนตัวเหล่านี้ช่วยให้คนนั้นเหมาะสมที่จะทำงานกับพนักงานอื่นที่มีอยู่ และโครงการในองค์กรนั้นๆ เมื่อคุณสามารถแนะนำตัวตามปัจจัยพื้นฐานได้เช่นนี้ คุณก็สามารถเป็นคนที่เขาจะว่าจ้างได้
ในการทำงาน
การหางานไม่ใช่การทำการผ่าตัดสมอง คนอย่างคุณ และคนซึ่งมีพรสวรรค์เพียงครึ่งหนึ่งของคุณหางานได้ทุกวัน ดังนั้นคุณก็ต้องทำได้ และจำไว้ว่ายิ่งคุณพยายามมากเท่าใด คุณก็๋ยิ่งจะมีโอกาสจะได้มันมามากเท่านั้น แม้ว่าในภาวะเศรษฐกินอันเลวร้ายเช่นนี้ คุณก็สามารถประสบความสำเร็จในการหางานที่คุณรักได้ ถ้าหากคุณบ่งชี้ได้ชัดเจนว่าอะไรเหมาะสมกับส่วนผสมของ ทักษะ และบุคลิกภาพของคุณ นอกจากนี้สิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่งคือ ความพยายาม
วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
ขอความช่วยเหลือจากภายนอก
จาก The Book of Goals
ถ้าคุณเคยเห็นใครสักคนขับรถวนไปวนมาในถนนเดียวกันถึง 4 รอบ คุณคงจะเข้าใจว่าเหตุใดคนจำนวนมากยึดติดกับงานที่เขาไม่ชอบ บางครั้ง คุณอาจแกล้งทำเป็นรู้ว่าที่หมายของคุณอยู่ที่ใดมากกว่า การหยุดรถและถามผู้อื่น ถ้าคุณตัดสินใจว่า คุณต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน เพื่อการไปสู่เส้นทางใหม่ คุณจะพบแหล่งข้อมูลทางอาชีพมากมายจากพวกเขา
ก่อนที่คุณจะเสียเงินสักสตางค์ ในการขอคำปรึกษาจากที่ปรึกษาอาชีพคุณควรมองหาดูให้ดีก่อนว่า มีสิ่งใดบ้างที่คุณได้มาฟรีๆ ในมหาวิทยาลัยของคุณอาจมีสมาคมศิษย์เก่า หรือศูนย์จัดหาอาชีพที่ช่วยให้คำแนะนำ การฝึกงานมีการจัดอภิปรายเป็นกลุ่มๆ และมีผู้รับให้คำปรึกษา คุณอาจไปร่วมกับเขาได้ แม้ว่าคุณอาจจะออกจากมหาวิทยาลัยมาหลายปีแล้ว องค์กรทางอาชีพอาจมีการจัดเลี้ยงอาหารค่ำหรืออาหารเช้า เพื่อให้สมาชิกได้ติดต่อกันเพื่อให้เกิดเครือข่ายในเรื่องงาน การให้คำปรึกษาและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การรวมกลุ่มของชาวยิวซึ่งให้บริการทางหารหาอาชีพ ซึ่งไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องเป็นชาวยิวจึงจะใช้บริการได้ การรวมกลุ่มของสตรีทางด้านการศึกษา ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องเป็นสตรี นอกจากนี้ยังมีการให้บริการอื้นๆ เช่น การให้คำปรึกษาทางด้านอาชีพ ซึ่งคิดค่าใช้จ่ายต่ำหรือฟรีและการรวมตัวของกลุ่ม / ชมรมต่างๆ ซึ่งชมรมพวกนี้มักให้ความช่วยเหลือฟรี
พยายามไปรวมกลุ่มกับเขา ถ้าคุโชคดี คุณอาจจะพบเครือข่ายทางอาชีพ และการสนับสนุนทางด้านกำลังใจ การได้ไปอยู่ท่ามกลางคนที่อยู่ในเรือลำเดียวกันกับคุณ อาจทำให้คุณสามารถระบายความรู้สึกต่างๆ ได้แก่ ความโกรธ ความกลัว และความอึดอัดใจออกมาได้ คุณอาจต้องกลับมารายงานความคืบหน้าต่อกลุ่มทุกๆอาทิตย์ ซึ่งจะเป็นสิ่งช่วยผลักดันคุณให้ใช้ความพยายามมากขึ้น สำหรับผู้ที่คุมน้ำหนัก และกลุ่มคนที่พยายามจะช่วยตัวเอง จงจำปรัชญานี้ไว้ "การรวมกลุ่มจะช่วยให้คุณรู้สึกว่า คุณไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว"
วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
กระชับความสัมพันธ์นั้นให้เกิดขึ้น
จาก The Book of Goals
,มีสุภาษิตบทหนึ่ง กล่าวว่า ทุกคนจะได้รับโทรศัทพ์เพียง 2 สายเท่านั้น หมายความว่า ทุกคนจะรู้จักใครสักคน ซึ่งคนนั้นต้องรู้จักใครสักคน
คุณคงไม่เคยรู้จักใครว่าจะช่วยคุณได้มากที่สุด หลายปีมาแล้ว ผมเคยทำงานกับคนไข้ชื่อ แจนเนต แมดโดรสัน ซึ่งมีความชำนาญในการผลิตอุปกรณ์ clean room หมายถึง ฟิวเตอร์กรองอากาศ และหน้ากากของช่าง และชุดเครื่องมือพิเศษ ที่ช่วยไม่ให้มีฝุ่นระหว่างการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ หรือส่วนประกอบอื่นๆ แจนเนต กำลังทำงานในบริษัทผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งธุรกิจนี้กำลังซบเซา ผมแนะนำให้เธอหางานในอุตสาหกรรมอื่นๆ และแนะนำให้เธอรู้จักสร้างเครือข่าย บ่ายวันหนึ่งขณะที่เธอไปทำผม เธอได้ปรับทุกข์กับ สเตลลา ซึ่งเป็นช่างทำผม และสเตลล่าแนะนำให้เธอรู้จักกับ ริตา วิส์ตัน ซึ่งนั่งรอเพื่อจะทำผมอยู่ข้างๆเธอ สเตลล่าได้แนะนำแจนเนตแก่ริตาว่า แจนเนตทำงานเกี่ยวกับเรื่อง high-tech เช่น เดียวกับริตา เรื่องราวของแจนเนตซึ่งเปรียบเสมือนซิลเดอเรลลา ยังไม่จบเพียงเท่านี้ บริษัทของริตา ซึ่งผลิตเลเซอร์ ไม่ได้จ้าง แจนเนต แต่ริตาได้แนะนำให้แจนเนตรู้จักคนอื่นอีกหลายต่อหลายคน และหนึ่งในนั้น ทำงานในบริษัทผลิตเลเซอร์ให้กับบริษัทผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับดวงตา ได้จ้างแจนเนต ให้ทำงานในการผลิตเลนส์สำหรับกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งมีความมั่นคงมากกว่าอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งแจนเนตมีความสุขกับงานนี้มาก
ในระหว่างการสัมมนาและอยรมในโรงงาน ต้องมีผู้ฟังอย่างน้อย 1 ถึง 2 คน ซึ่งลุกขึ้นมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสายสัมพันธ์ ในการสอนของผมที่โรงงานแห่งหนึ่ง มีชายผู้หนึ่งได้เล่าเรื่องราวในอดีตให้เราฟังว่า เดิมเขาทำงานด้านกฏหมายอยู่ แต่เขาพยายามหางานเป็นบาเทนเดอร์ ในไนท์คลับเพื่อเพิ่มรายได้เสริม วันหนึ่งขณะเขาอยู่ในลิฟต์ในบริษัทกฏหมายที่เขาทำงานอยู่เขาได้พบเพื่อนเก่าสมัยมัธยม และได้คุยกันถึงเรื่องการหางานพิเศษของเขา เพื่อนเก่าเขาได้เสนอว่า น้องชายภรรยาของเขามีไนท์คลับ ซึ่งอยู่ที่เรดิสันซึ่งอยู่ถัดจากตึกนี้ และอาจจะกำลังหาคนอยู่ และแล้วในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ชายซึ่งทำงานด้านกฏหมายก็ได้งานพิเศษเป็นบาเทนเดอร์
แบบฝึกหัดในการติดต่อกับผู้อื่น หนทางที่น่าเชื่อถือมากที่สุดที่จะนำคุณไปสู่งานที่คุณรัก คือ การใช้พลังของเครือข่ายที่คุณมีอยู่ เมื่อคุณได้รวบรวมรายชื่อของคนที่เคยติดต่อด้วยมาแล้ว คุณจะพูดกับเขาอย่างไร? บทสนทนาในแต่ละเครือข่ายแตกต่างกัน และนี่คือแนวทางพื้นฐาน
- บอกเขาอย่างย่อว่า
- คุณติดต่อเขาเพราะเหตุใด
- พื้นฐานของคุณ
- อาชีพ หรืองานที่คุณคาดหวังไว้
- คุณเคยสมัครที่ใดมาก่อน โดยวิธีใด เช่น ผ่านตัวแทนหางาน
- ถามเขาบ้าง
- เขาจะกรุณาให้รายชื่อบุคคลต่างๆที่อาจแนะนำผมได้เกี่ยวกับการหางานได้หรือไม่? ลองถามดูว่าคุณสามารถจะโทรไปหาคนเหล่านั้นได้เลยไหม? และคุณอาจขอให้เขาโทรไปแนะนำคนแก่คนๆนั้นก่อนได้หรือไม่?
- เขาจะกรุณาให้รายชื่อของคนในบริษัทเขา หรือในบริษัทอื่นที่เขาคุ้นเคย ที่คุณจะสามารถส่ง resume ไปให้ได้ และลองถามว่าคุณจะสามารถอ้างชื่อเขาได้หรือไม่? และถามว่าเขาจะกรุณาโทรไปแนะนำคุณก่อนได้หรือไม่?
- เขาพอจะทราบว่ามีการสัมมนาใดที่คุณควรจะไปร่วมหรือไม่?
- ถ้าเป็นคุณ ใครอีกบ้างที่ควรจะไปพบ
- เขาจะมองหาการรับสมัครงานจากแหล่งใดบ้าง เช่น จากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ห้องสมุด บอร์ดแจ้งข่าวสารภายใน ฯลฯ ใดบ้าง
- ถ้าเขาทำงานในบริษัทที่คุณกำลังสนใจ คุณอาจถามเขาว่า บริษัทของเขามีบอร์ดแจ้งข่าวสาร เช่น การรับสมัครงานหรือไม่? เขาจะช่วยกรุณาดูบอร์ดนี้ให้กับคุณได้หรือไม่?
- มีตัวแทนหางานใดบ้างที่เขาคิดว่าดี และตัวแทนใดที่คิดว่าควรหลีกเลี่ยง
- อย่าลืมให้สิ่งนี้กับพวกเขา
- สำเนา resume เพื่อเขาจะได้รู้วิธีที่จะติดต่อคุณต่อไป
- คำกล่าวขอบคุณ และอย่าลืมส่ง thank you note มาอีก เมื่อคุณได้งานแล้ว
- คำสัญญาว่าคุณจะช่วยเหลือเขาเมื่อมีโอกาส
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
เติมพลังให้กับตัวคุณเองบ้าง
จาก The Book of Goals
คนทีรักงานของเขาจริงๆ และผู้ที่ยังรักสิ่งอื่นนอกเวลางานคือ คนที่สามารถจัดเวลาให้กับตัวเองได้ เขาขอความช่วยเหลือเมื่อเขาต้องการและเหลือเวลาไว้ให้กับตัวเอง พวกเราทุกคนต้องการการพักผ่อนเพื่อเติมพลังสำหรับทางร่างกาย จิตใจและทางอารมณ์ ถ้าคุณหมดพลังโดยง่าย คุณจะกลายเป็นคนที่มีค่าน้อยสำหรับองค์กร สำหรับคนใกล้ชิดและตัวคุณเอง
สเตลลา จอห์นสัน เป็นผู้มีไหวพริบดีและมีความรอบรู้ เธอจบมัธยมปลาย เริ่มต้นอาชีพจากการเป็นเลขานุการในบริษัททำนิตยสารรายเดือนที่มีชื่อเสียง ต่อมาเธอได้ทำหน้าที่ตรวจสอบบทความ และในที่สุดได้เป็นผู้อำนวยการของฝ่ายวิจัย สเตลลาทำงานอย่างหนักจนไม่มีเวลาให้กับสิ่งอื่นเลย แม้แต่เวลาสำหรับคนใกล้ชิด การพักผ่อนหย่อนใจและการออกกำลังกาย เธอไม่สามารถบอกปฏิเสธกับงานใดๆได้ เธอไม่ไว้วางใจผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำโครงการสำคัญๆ เธอมีปมด้อยในเรื่องการศึกษาของเธอ การไม่มีใบปริญญาไม่ได้ทำให้เธอถดถอยทางอาชีพ เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี เธอยิ่งทำงานหนักขึ้น ๆใช้เวลาทั้งหมดให้กับงาน จนไม่มีเวลาไปเที่ยวที่ใดเลย สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายได้คือ การรับประทาน ซึ่งเธออ้วนขึ้นเหมือนลูกบัลลูน ซึ่งมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 200 ปอนด์ เธอกำลังอยู่บนเส้นทางของความหมดสภาพ
จากผลการวิจัย พบว่า ผู้ที่ได้รับความทุกข์มากที่สุดจากการทำงานหนักจนหมดสภาพ คือ พนักงานที่รับผิดชอบมากที่สุด และไม่รู้จัดการมอบหมายความรับผิดชอบให้คนอื่น การทำงานจนหมดกำลังพบได้บ่อยในอาชีพที่ให้บริการ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล คนงานในโรงพยาบาล คนที่ทำงานให้แก่สังคม ครู
แบบฝึกหัด : คนทนทุกข์จาก " การทำงานหนัก" จนหมดสภาพ หรือไม่ คุณรู้จักการทำงานหนักจนหมดสภาพดีแค่ไหน ลองถามตัวคุณเองดู
- คุณรู้สึกหมดหวังบ่อยไหม
- คุณรู้สึกยุ่งยากใจ หรือมีความขัดแย้งในสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่หรือไม่
- คุณรู้สึกหมดแรงตลอดชั่วโมงการทำงานหรืองานเลิกแล้วหรือไม่
- คุณมักรู้สึกขมขื่นในเรืองงานหรือไม่
- คุณมักรู้สึกวิตกกังวลหรือไม่
- คุณรู้สึกถูกจำกัดขอบเขตด้วยอาชีพของคุณหรือไม่
คุณจะจัดการกับการทำงานหนัก จนหมดสภาพได้อย่างไร? ต่อไปนี้คือแนวทางต่างๆที่ผมแนะนำ ถ้าคุณรู้สึกท้อถอย ทางเลือกสุดท้าย ก็คือ คุณอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนงาน หรือเปลี่ยนสายอาชีพ แต่คุณต้องลองวิธีอื่นๆก่อน
- ลองสนใจทำสิ่งอื่นให้ลืมความเครียดนี้ไป อาจฟังดูเหมือนหนีเสือปะจระเข้ แต่มันก็ใช้ได้ผล ถ้างานของคุณต้องใช้สมาธิสูง พยายามผ่อนคลายด้วยสิ่งอื่นทางกายภาพ ได้แก่ การวิ่งออกกำลังหรือการทาสีบ้านถ้าความเครียดเกิดจากการเบื่องานซึ่งไม่ได้ใช้สมอง คุณก็ต้องเพิ่มพลังให้กับสมอง โดยการอ่านหนังสือ การเรียนเพิ่มเติม หรือไปเรียนภาษาต่างประเทศ
- ลองทำอย่างอื่นที่แตกต่างจากงานที่คุณทำโดยสิ้นเชิง เมื่อสมัยที่ผมเรียนปริญญาเอกอยู่ ขณะที่ทำงานพิเศษในโรงพยาบาลทหารผ่านศึกไปด้วย ตอนนั้นผมเริ่มหมดแรง โชคดีที่ผมพบรักกับ Elkhound หญิงชาวนอร์เวย์ซึ่งไร้ที่อยู่ ผมและเธออยู่ด้วยกันมาเกือบ 15 ปี และเมื่อผมกลับบ้านแม้ว่าจะเหนื่อยสักเพียงใด เธอก็จะช่วยให้ผมลืมเรื่องงานได้
- ตัดชั่วโมงทำงานที่มากเกินไปของคุณออกไปบ้าง ทุกคนมีขอบเขตจำกัดในการที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากเราทำงานเกินขอบเขตนี้ อาจได้รับผลตอบแทนที่น้อยลง บางครั้งการทำงานที่หนักเกินไป ซึ่งพบมากในพนักงานในบริษัทกฏหมายและโรงพยาบาล การทำงานมากจนเกินไป ทำให้พวกเขาเสียเวลาในวันเด็กไป เราควรจะต้องจำกัดขอบเขตเวลาของตัวเรามากกว่าที่จะพยายามให้เป็นไปตามความคาดหวังของนาย
- แบ่งเวลาให้กับตัวเอง เช่น ให้เวลาเดินเล่นตอนเที่ยง ไปทำงานเช้าขึ้นเล็กน้อย หรือเลิกช้าลงบ้าง เพื่อให้คุณมีเวลาเพียงพอ การหาเวลาส่วนตัวให้ตัวเอง อาจหมายถึง การขอร้องคนอื่นไม่ว่าที่ทำงานหรือที่บ้านให้ช่วยเหลือคุณด้วย ซึ่งมันคุ้มค่าที่จะขอให้เขาช่วย พวกเราทุกคนต้องการเวลาสำหรับจะรับฟังความเห็นของตัวเอง
- ให้รางวัลตัวเองบ้าง ได้แก่ ดอกไม้ในโอกาสพิเศษ หรือมีวันหนึ่งที่มีเวลาว่างของตัวเอง หรือสิ่งใดที่คุณเคยชอบ
- ลองฝึกฝนเทคนิคการลดความเครียดด้วยตัวเองในยามว่าง ได้แก่ การสงบจิตใจ การหายใจลึกๆ การผ่อนคลาย
เหตุใดคุณจึงรู้สึกกลัว
จาก The Book of Goals
ไม่มีความรู้สึกใดที่จะมีผลต่อการกระทำ
และทำให้คุณไร้ซึ่งเหตุผลไปได้มากเท่าความกลัว
เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากที่จะเผชิญกับบางสิ่ง เช่นการเลือกอาชีพ การหางานหรือความพยายามจะทำงานให้ดี คนเป็นล้านๆคนทนทำงานที่เขาไม่ชอบต่อไป เพราะสิ่งที่แย่กว่าการทำงานนั้นๆ คือ การหางานใหม่ เหตุใดคนเราจึงรู้สึกกลัว เมื่อเรารู้สึกกลัวแล้วเกิดความแตกต่างอย่างไรลองพิจารณาถึงช่วงเวลาในอดีต สมัยยุคโบราณที่ทั้งชายทั้งหญิงอาศัยอยู่ในถ้ำ ใช้ระบบทหารที่มีเขี้ยวเสือเป็นอาวุธในการปกครอง มนุษย์ถ้ำเผ่าต่างๆมีปฏิกิริยาต่อเสือ 1 ใน 3 แบบต่อไปนี้ : เผ่าแรกเป็นพวกที่นับถือระบบทหารที่ใช้เขี้ยวเสือเป็นอาวุธศึ่งมีมาแต่ดั้งเดิม ชนเผ่านี้ เมื่อเจอเสือจะพอใจและกล่าวคำยินดีว่า "เจ้าแมวน่ารัก" ชนเผ่านี้สูญพันธุ์ไปหมดในระยะแรก มนุษย์สมัยเราไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกนี้ ต่อมามีอีกชนเผ่า ที่เราเรียกว่า พวกนักรบ เมื่อพวกนี้เจอเสือ จะต่อสู้กับมัน มีชนเผ่านี้อยู่เหลือมาบ้าง และท้ายสุด ก็มีชนเผ่าที่เราเรียกว่า นักบิน (ซึ่งพวกนี้ยังหลงเหลือมากในปัจจุบัน ) เมื่อเห็นเสือจะพูดว่า "เสือ แย่แล้ว" ซึ่งต่อมาพวกนี้ได้เรียนรู้ที่จะต่อสู้หรือหลบหนี
ปฏิกิริยาของมนุษย์แต่ดั้งเดิม คือ "การต่อสู้" หรือ "หลบหนี" ก็ยังคงครอบงำอารมณ์ในชีวิตของเรา เมื่อเราถูกคุกคาม อาจเหมือนกับเราเจอเสือ หรือรถบรรทุกเลี้ยวตัดหน้าเรา หรือเมื่อถูกสัมภาษณ์โดยฝ่ายบุคคล ร่างกายของเราจะตอบโต้ด้วยฮอร์โมน Adrenalin ทำให้เรารู้สึกกลัววิตกกังวล หรือโกรธมาก
ความกลัวและความวิตกกังวลดังกล่าว มีผลกระทบต่อเรา ถึงแม้ว่าเราจะมีความศิวิไลซ์มากเท่าใด เราก็ยังซ่อนความรู้สึกกลัวไว้ภายในอยู่ดี ซึ่งความกลัวดังกล่าวต่อต้านเรา สมมติว่าผมบอกคุณว่า ผมจะจ่ายให้คุณ 10 ดอลลาร์ ถ้าคุณเดินข้ามไม้กระดานที่ผมวางไว้บนพื้น ซึ่งมันกว้าง 6 นิ้ว ยาว 10 ฟุต ใครๆก็เดินได้ สามารถได้เงิน 10 ดอลลาร์ มาอย่างสบายๆ ทีนี้ถ้าผมพาดไม้กระดานอันเดิมไว้ระหว่างตึก 2 ตึก และเสนอราคาให้คุณเพิ่มเป็น 100 หรือ 1000 ดอลลาร์ ทั้งๆที่คุณเดินผ่านไม้กระดานแผ่นเดิม ระยะทางเท่าเดิม คุณจะยอมรับข้อเสนอนี้หรือไม่ ผมพนันว่าคุณคงไม่ยอมรับแน่ๆ จะเห็นได้ว่าคุณมีความกลัว คุณคงหายใจไม่ทั่วท้อง และมีอาการเข่าอ่อน ความกลัวเอาชนะความมั่นใจของคุณได้
สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นเมื่อคุณคิดที่จะเปลี่ยนอาชีพและหางาน คุณกำลังกลัวความกลัวนี้ ทำให้คุณไม่ยอมตัดสินใจลาออกจากงานที่คุณเกลียด ความกลัวบังคับคุณให้ยอมรับงานแรกที่ผ่านเข้ามา ความกลัวทำให้คุณไม่พยายามจะเปลี่ยนอาชีพ คุณจำเป็นต้องตระหนักว่าคุณกำลังจะจัดการกับสิ่งที่น่ากลัว อารมณ์ของคุณกำลังจะบั่นทอนความสามารถที่จะทำให้คุณทำอะไรอย่างมีสติและเต็มความสามารถ
ในการทำงาน
คุณไม่สามารถขจัดความกลัว ความโกรธ หรืออารมณ์อื่นๆออกไปได้หมดสิ้นเลย แต่คุณสามารถเรียนรู้ที่จะลืมมันไปชั่วขณะเมื่อคุณกำลังมีภาระกิจทีต้องทำอยู่ได้
ลองวัดความเครียดของคุณดู ความกลัวเป็นสิ่งที่ทำให้คุณเครียด และการเปลียนแปลงในเรื่องงานทำให้คุณเครียดได้มากพอๆกับนวนิยายชีวิตหนักๆและเรื่องยุ่งยากอื่นในชีวิต จากสเกลวัดความเครียดของ Thomas H. Holmes และ R.H. Rahe ได้แสดงถึงการวัดความเครียดและความสัมพันธ์ของผลกระทบหลายๆอย่าง ในชีวิตประจำวันที่ทำให้เราเครียด Holmes และ Rahe ได้ทำนายว่า ถ้าคุณมีคะแนนความเครียด รวมสำหรับช่วง 12 เดือน เกิน 300 คะแนน คุณกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยบางอย่างภายในปีหน้าซึ่งเป็นผลจากความเครียด และแน่นอนที่สุดว่า ถ้าคุณสามารถจัดการกับภาวะความเครียดนี้ได้ คุณจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตและสุขภาพของคุณเอง
พวกเราได้เคยรวบรวมสเกล ซึ่งปรากฏอยู่ด้านล่าง และได้พิมพ์เป็นตัวหนาสำหรับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับงาน โปรดสังเกตว่าลำดับของการถูกไล่ออกจากงานอยู่ใต้การเสียชีวิตของคู่สมรส หรือการหย่าร้าง การแยกทาง การถูกจำคุก การตายของคนที่สนิทสนมกับครอบครัว การบาดเจ็บ หรือความเจ็บป่วย และการแต่งงาน
การนำสเกลนี้มาใช้ โดยได้รับอนุญาตจาก Holmes, T.H. และ R.H Rahe แล้ว ซึ่งเรานำมาจากคอลัมภ์ "The social Readjustment Rating Scale" ของวารสาร "Journal of Psychosomatic Research, 11:3; 1967, Pergamon Press ltd., Oxford, England."
สเกลวัดความเครียดที่เกิดจากเหตุการณ์ต่างๆในชีวิต
ลำดับที่ | เหตุการณ์ในชีวิต | แต้ม | คะแนนของคุณ |
1 | การเสียชีวิตของคู่สมรส | 100 | _______ |
2 | การหย่าร้าง | 73 | _______ |
3 | การแยกกันอยู่กับคู่สมรส | 65 | _______ |
4 | การถูกจำคุก | 63 | _______ |
5 | การตายของคนที่สนิทสนมกับครอบครัว | 63 | _______ |
6 | การบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย | 53 | _______ |
7 | การแต่งงาน | 50 | _______ |
8 | การถูกไล่ออกจากงาน | 47 | _______ |
9 | การกลับมาคืนดีกับคู่สมรส | 45 | _______ |
10 | การเกษียณ | 45 | _______ |
11 | การเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพของสมาชิกในครอบครัว | 44 | _______ |
12 | การตั้งครรภ์ | 40 | _______ |
13 | ปัญหาทางเพศ | 39 | _______ |
14 | การมีสมาชิกใหม่ในครอบครัว | 39 | _______ |
15 | การเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ (การรวบบริษัท การล้มละลาย ฯลฯ) | 39 | _______ |
16 | การเปลียนแปลงสถานะทางการเงิน | 38 | _______ |
17 | การเสียชีวิตของเพื่อนสนิท | 37 | _______ |
18 | การเปลี่ยนสายอาชีพ | 36 | _______ |
19 | การเปลี่ยนแปลงความถี่ของการมีข้อโต้เถียงกับคู่สมรส | 35 | _______ |
20 | การจำนองหรือการกู้เงินเกินกว่า 1 ล้านบาท | 31 | _______ |
21 | การถูกยึดทรัพย์สินที่จำนองไว้ หรือเงินกู้ | 30 | _______ |
22 | การเปลี่ยนแปลงภาระความรับผิดชอบเรื่องงาน | 29 | _______ |
23 | การย้ายออกจากบ้านของบุตร | 29 | _______ |
24 | การมีปัญหากับลูกเขย หรือลูกสะไภ้ | 29 | _______ |
25 | ความสำเร็จส่วนตัว | 28 | _______ |
26 | คู่สมรสเริ่มหรือหยุดทำงาน | 26 | _______ |
27 | การเปลี่ยนแปลงสถานะความเป็นอยู่ | 25 | _______ |
28 | การทบทวนพฤติกรรมของตนเอง | 2 | _______ |
29 | การมีปัญหากับนาย | 23 | _______ |
30 | การเปลี่ยนเวลาทำงานหรือภาวะการทำงาน | 20 | _______ |
31 | การเปลี่ยนที่อยู่ | 20 | _______ |
32 | การเปลี่ยนโรงเรียน | 20 | _______ |
33 | การเปลี่ยนการพักผ่อน | 16 | _______ |
34 | การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมในโบสถ์ | 19 | _______ |
35 | การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมทางสังคม | 18 | _______ |
36 | การจำนอง หรือเงินกู้ต่ำกว่า 1 ล้านบาท | 17 | _______ |
37 | การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการนอน | 18 | _______ |
38 | การเปลี่ยนแปลงจำนวนสมาชิกในครอบครัวที่มาพบปะกัน | 15 | _______ |
39 | การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน | 15 | _______ |
40 | วันหยุด | 13 | _______ |
41 | ช่วยคริสมาสต์ | 12 | _______ |
42 | การฝ่าฝืนกฏหมายเล็กๆน้อยๆ | 11 | _______ |
รวม | _______ |
วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
การใช้เวลาทำงานนานกว่า ไม่ได้หมายความว่าจะทำงานได้ดีกว่า
จาก The Book of Goals
ส่วนใหญ่แล้วคนในยุคเรา จะมีชั่วโมงทำงานมากกว่ารถ้นพ่อแม่ของเรา เพราะว่า ภาวะซึ่งมีการปลดคนงานออก ลดขนาดกิจการ และการแข่งขันกับต่างชาติ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร จึงเป็นแรงกดดันให้คนต้องทำงานหนักมากขึ้น และใช้เวลาทำงานยาวขึ้น หนังสือ fortune ได้ทำการสำรวจความเห็นของผู้บริหารระดับ CEO พบว่า 58% ของผู้ที่ถูกสัมภาษณ์เขาคาดหวังว่าผู้บริหารในองค์กรควรจะทำงาน 50-59 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ และ 29% เห็นว่าผู้บริหารควรจะทำงาน 60 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ขึ้นไป 21% ของพวก CEO เห็นว่า พนักงานระดับผู้จัดการควรทำงาน 41-79 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ และ 53% คาดหวังว่าระดับผู้จัดการ ควรใช้เวลาทำงาน 50-59 ชั่วโมงต่ออาทิตย์
ในหนังสือ Overworked American ของ จูเลีย ชอว์ ชี้ให้เห็นว่า ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า การทำงานมากขึ้น จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น ตามความจริงแล้ว การใช้เวลาทำงานนานขึ้น อาจมีผลกระทบในทางตรงกันข้าม เมื่อคุณทำงานนานขึ้นสมาธิจะลดลงและอาจทำให้การตัดสินใจแย่ลง ข้อสรุปนี้ได้จากการสังเกตพฤติกรรมของแพทย์ฝึกงานและแพทย์เวร ซึ่งต้องทำงานติดต่อกันหลายๆชั่วโมง
ภายในองค์กรของอเมริกา การทำงานเกินเวลาดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งจำเป็นในบางอาชีพ การทำงาน 80 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ดูเหมือนจะเป็นมาตรฐานของอาชีพนั้นไปแล้ว ผมเคยทำงานให้กับองค์กรแห่งหนึ่งซึ่งนายผมมีความเห็นให้พนักงานกลับบ้านหลัง 6 โมงเย็น เขาพูดว่า "วันหนึ่งๆคุณทำงานแค่ครึ่งวันเองไม่ใช่หรือ?"
ความฝันมีหลายแบบ
จาก The Book of Goals
อนาคตเป็นของคนที่เชื่อมั่นในความสวยงามในความฝันของเขา
ความฝันสู่ความสำเร็จ อาจไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับงาน ลูกๆหรือกิจกรรมในชุมชน สามารถทำให้เรารู้สึกประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
การทำความสำเร็จให้มีแก่ตนเอง เป็นเป้าหมายอันงดงาม แต่สำหรับบางคนและบางช่วงของชีวิต การทำงานเพื่อผู้อื่นอาจเป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดความพอใจสูงสุด เช่น มารดาสามารถอยู่บ้านเพื่อดูแลบุตรได้ทั้งวัน และคนซึ่งรู้สึกว่าเขามีความสุขสูงสุดที่ได้ทำกิจกรรมเพื่อครอบครัว เพื่อชุมชน หรือด้านการศึกษา คนเหล่านี้อาจยังคงรักงานประจำของเขาอยู่ แต่เขารู้สึกยินดีที่จะทำกิจกรรมอื่นๆที่จะทำให้ชีวิตมีค่ามากขึ้น
ในการอภิปรายซึ่งจัดโดยสมาคมศิษย์เก่า University of Massachusetts ผู้ร่วมอภิปรายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการร้านอาหารได้เล่าเรื่องราวของลูกจ้างคนหนึ่ง ซึ่งเรียกน้ำตาของผู้ฟังจำนวนมาก ลูกจ้างของเขาชื่อ วัด ซูน ซึ่งเป็นผู้อพยพจากประเทศกัมพูชาและได้พบชีวิตใหม่ในสหรัฐ เขาทำงานล้างชามในร้านอาหาร เขาเลี้ยงดูบุตรทั้ง 5 คนอย่างดีที่สุด เขาสอนให้เด็กๆรู้จักฝัน ลูกสาวของเขาคนหนึ่งเป็นแพทย์ และอีกคนหนึ่งเป็นนักกฏหมาย และบุตรชายทั้งสามเติบโตเป็นแพทย์ นักกฏหมาย และนักบัญชี ทุกวันนี้เขายังคงทำงานล้างจานอยู่เหมือนเดิม มีแต่รอยยิ้มอันยิ่งใหญ่บนใบหน้า ความฝันอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นความฝันเกี่ยวกับความสำเร็จของลูกๆได้เป็นจริง
แบบฝึกหัดในการตัดสินว่าสิ่งใดเป็นสำคัญ เมื่อคุณกำลังอยู่ในอารมณ์ที่สงบ ลองถามตัวเองดูว่า
1. อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตของฉัน?
พวกเราส่วนใหญ่อาจตอบว่า คือ ครอบครัวคู่สมรสหรือคู่รัก บุตร บิดามารดา เพื่อน ทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ สุขภาพ และบางทีอาจเป็นชุมชน สังคมหรือกลุ่มทางศาสนา
2. อะไรที่ฉันได้ทำเพื่อดูแลหรือปกป้องพวกเขาบ้าง?
โดยมากแล้ว พวกเราจะมีเวลาเพียงเล็กน้อยสำหรับคนที่เราบอกว่าสำคัญที่สุดในชีวิต
3. อะไรเป็นขั้นตอนที่ฉันควรจะทำต่อไปบ้าง?
ตั้งใจที่ให้เวลาสัก 1 ชั่วโมง ในหนึ่งอาทิตย์สำหรับลูกๆแต่ละคน คราวต่อไปที่คุณไปพบเพื่อนเก่า ลองให้เขาพูดความในใจของเขาบ้าง แทนที่คุณจะเป็นฝ่ายพูดถึงสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นกับตัวคุณ ลองนัดแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและเริ่มออกกำลังกาย คุณควรเก็บเวลาไว้สำหรับสิ่งที่มีความสำคัญ
ชีวิตบางทีก็ไม่ยุติธรรมนัก
จาก The Book of Goals
เมื่อคุณอายุยังน้อย และเพิ่งเริ่มทำงาน คุณอาจรู้สึกว่าเป็นการง่ายที่ฝันถึงสิ่งต่างๆที่ยิ่งใหญ่ สนใจการทำงานและมีทัศนคติที่ดีในการเอาชนะอุปสรรคทั้งในที่ทำงานและในชีวิต แต่เมื่อคุณเผชิญกับอุปสรรคเข้าจริงๆ คุณจะรู้สึกลำบาก ดังเช่นในวัยเด็ก เมื่อคุณมีปัญหา คุณรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่มากหรือไม่ คุณจะทำงานต่อไปได้อย่างไร เมื่อชีวิตส่วนตัวของคุณถูกทำลายลง
มีคนมักถามผมว่า เขาจะทำงานต่อไปภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ผมจะตอบว่า ให้ดูตัวอย่างของสตีเฟน ฮาวคิง ซึ่งเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกว่าเขาเป็นนักฟิสิกส์ที่มีความสามารถรองจาก ไอน์สไตน์ หนังสือของเขา คือ A Brief History of Time เป็นที่รู้จักดีของผู้อ่านหลายล้านคนทั่วโลก เขาประสบความสำเร็จในขณะที่เขาต้องเผชิญกับโรคร้าย amyotrophic lateral sclerosis (ALS) ซึ่งภายหลังได้ชื่อว่า Lou Gehring\'s disease หลังที่ได้คร่าชีวิตนักเบสบอล ชื่อดัง Lou Gering
ส่วนใหญ่ผู้ที่ป่วยอย่างฮาวคิง มักจะหมดกำลังทั้งทางกายและใจ แต่สำหรับฮาวคิงแล้ว หลังจากถดถอยอยู่หลายปี เขาก็ได้ค้นพบ Theory of Everything ซึ่งทฤษฎีนี้สามารถตอบปัญหาที่นักฟิสิกส์สงสัยตั้งแต่สมัยของ Einstein จากงานเขัยนของเขา สามารถทำให้คนเป็นล้านๆ ซึ่งไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์เข้าใจหลักทางฟิสิกส์ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะต้องเผชิญกับโรคร้ายที่ไม่ยุติธรรมกับเขา แต่ฮาวคิง ก็สามารถทำได้ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ของเขา คิตตี เฟอร์กูสัน ซึ่งค้นคว้าชีวประวัติของฮาวคิง ได้นำคำพูดของเขามากล่าวว่า "ทุกคนจะต้องเป็นผู้ใหญ่พอที่จะรับรู้ว่าชีวิตไม่ยุติธรรมนัก แต่คุณจะต้องทำดีที่สุดเท่าที่คุณทำได้ในสถานการณ์นั้น"
เมื่อฮาวคิง ทราบว่าเขาจะมีโรคร้ายอยู่ แต่เขาก็ทราบว่า เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี เขาจึงคิดว่าเขาสามารถทำความก้าวหน้าให้เกิดขึ้นได้ และใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ดังจะเห็นได้จากคำพูดของเขาดังนี้ "ผมตระหนักขึ้นมาในทันทีทันใดว่ามีสิ่งต่างๆอีกมากมายที่ผมทำได้ ถึงแม้ว่าชีวิตของผมเหมือนกบแขวนไว้บนเส้นด้ายก็ตาม แต่ผมก็ประหลาดใจที่พบว่า ผมมีความสุขกับชีวิตมากกว่าเมื่อก่อนมากนัก " นอกจากนี้เขายังเชื่อว่า ความป่วยทางร่างกายของเขาช่วยให้เขาสนใจและมีใจจดจ่อกับทฤษฎีทางฟิสิกส์มากขึ้น ซึ่งเป็นการยากที่จะได้เช่นนั้น ถ้าหากเขามีกิจกรรมอื่นๆที่ต้องทำเหมือนคนอื่นๆทั่วไป
เรื่องราวอันน่าประหลาดใจของฮาวคิง ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ Robert Louis Stevenson ที่ว่า
"ถ้าหมอบอกว่า คุณอยู่ได้อีกไม่ถึงปี หรืออาจจะไม่ถึงเดือน คุณจงนำความกล้าออกมา และลองดูว่าคุณจะทำสิ่งใดได้สำเร็จในหนึ่งอาทิตย์"
เทคนิคโทรศัพท์เพื่อให้ได้แฟน
เวลาติดตาต้องใจใครสักคน คุณจะสานต่อ สัมพันธภาพกะเค้าต่อไปยังไงดี?
บุกไปหาเค้าที่บ้านเลยดีไหม (อ้าวก็คิดถึงนี่) หรือแวะไปทักเค้าที่ทำงาน ให้ตื่นเต้นเล่นก็ไม่เลว แต่ก่อนจะทำอย่างที่เล่า คุณควรโทรศัพท์ไปหาเค้าก่อนไม่ดีกว่ารึ ขืนทะเล่อทะล่าบุกไปหาถึงบ้าน หรือออฟฟิศ แหงล่ะเค้าย่อมเซอร์ไพรส์ แต่อีกใจอาจนึกตำหนิในความอุตสาหะ ที่ไม่รู้จักกาลเทศะของผู้มาเยือนก็ได้ ยิ่งถ้าไม่ได้นัดหมายกันไว้ล่วงหน้า ก็อย่าหวังว่า คนที่คุณปิ๊งไว้ จะมีเวลาเจียดมาให้ จีบ ซะให้ยากเลยหนู
ใน บันได 10 ขั้น สำหรับการโทร.หาคนที่คุณหลงใหลได้ปลื้มเป็นครั้งแรก (Top 10 : Tips For The First Phone Call) บอกว่า เวลา นี่แหละเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงที่สุด เพราะผู้มีอารยะและสมบัติผู้ดีควรไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ก่อนว่า เวลาไหนน้าถึงจะเหมาะสมที่จะโทร.ไปขายขนมจีบ หวานใจไทยแลนด์ เอ๊ย หวานใจฉันเอง ที่เล็งไว้แล้วว่าจะคว้ามาเป็นแฟนให้ได้ (ไม่ได้เป็นแฟน เผื่อเป็นกิ๊กก็ยังดีฟะ) ซึ่งช่วงเวลาปลอดภัยและคาดว่า เค้าคงไม่มีงานมีการติดพันยุ่งเหยิง หรือถ้ายังเป็นนิสิตนักศึกษาก็น่าจะปลอดจากการเรียน ได้แก่ ตอนพักทานอาหารกลางวัน กับเวลาเลิกงาน น่านล่ะเจ๋ง
แต่ถึงแม้ 2 ช่วงเวลาที่บอกไว้ว่าน่าจะปลอดโปร่งโล่งสบาย ก็อย่าคาดหมาย 100% เต็มว่า เค้าจะว่างตลอดนะ เพราะมีเหมือนกันที่บางทีคุณโทร.ไป แต่ดั๊นเป็นช่วงติดพันกับการประชุมหรืออาจสัมมะนง สัมมนาอยู่ก็ได้ เหตุนี้จึงควรทำใจไว้บ้าง แต่ช่วงเวลาที่ว่านั่นน่ะเซฟตี้สุดขีดแล้วล่ะจ้ะ
ส่วนโทร.แล้วจะหลอกล่อให้เค้าติดใจคุณจนหนึบหนับได้ หรือไม่ ลองใช้ยุทธวิธี ดังนี้
1. ขอให้กล้าโทร.ไปหาก่อนเหอะ ผลลัพธ์จะเป็นไงอย่าเพิ่งคิด
รวบรวมความกล้า แล้วควักเบอร์ โทร.ของเค้าออกมา จัดแจงกดหมายเลข แต่อย่าลืมล่ะว่าควรโทร.ช่วงปลอดภัยไว้ก่อนอย่างที่เล่าให้ฟังข้างต้น ถ้าโทร. ค่ำ ควรโทร.หลังสองทุ่ม เพื่อเลี่ยงการขัดจังหวะทานข้าวเย็นน่ะสิ แต่ต้องโทร.ก่อนสี่ทุ่มนะ เพราะเค้าอาจเข้านอนเร็วก็ได้ ถ้าน้ำเสียงทางนู้นฟังดูเหมือนยุ่งหรือวุ่นวาย ลองเปรยเป็นนัยๆ ว่า ถ้าเวลานี้ไม่เหมาะคุยแล้วจะให้โทร.ไปหาใหม่วันไหนและเวลาไหนดี ให้อีกฝ่ายเค้ากำหนดเองก็ดีเหมือนกัน จะได้ถูกกาลเทศะหน่อย เวลาคุยฉอเลาะออเซาะจะได้ออกรสออกชาติ แต่ถ้าถูกเค้าตัดรอนชนิดตัดเยื่อไม่เหลือใยว่าอย่าโทร.มาเลยน่ะดี โห...โดนอย่างงี้ ตูจบเห่ดีก่า ขี้เกียจหน้าด้านเชอะ
2. โทร.หาเค้าจากที่ที่คุณสบายใจ
ใครก็ตามที่รู้สึกสบายใจและผ่อนคลายจะแสดงความสนุกสนานเบิกบานผ่านทางน้ำเสียง ดังนั้น ถ้าคุณคว้าโทรศัพท์หมุนไปหาตอนที่ใจคุณกำลังดี๊ด๊าอยู่ละก็ เจ้าบรรยากาศที่สร้างเสริมอารมณ์ดีนี่แหละจะช่วยให้อีกฝ่ายอยากคุยโขมงโฉงเฉงด้วย แหมจะหว่านเสน่ห์ให้เค้ารักก็ควรอยู่ในมู้ดที่เกื้อให้เกิดการปิ๊งปั๊งกันซี่
3. มีน้ำเสียงเชื่อมั่น
อย่างน้อยก็น่าจะมีน้ำเสียงมั่นใจในตัวเองนิดนึงว่า คุณอยากคุยกะเค้าจริงๆ ไม่ใช่ว่าทำเสียงสั่นเครือ ประหม่าหรือหวั่นวิตกจนพูดอะไรติดขัดไปหมด ถ้าเป็นงี้ต้องปรับปรุงอย่างแรงแล้วหนูเอ๋ย โธ่ อยากจีบเค้า แล้วยังไม่กล้า ก็อย่าสะเหร่อไปจีบเลย ต้องมั่นใจสู้ตายสิจ๊ะ เอ้าชูสองนิ้วเร้ว!
4. ดึงดูดความสนใจด้วยการพูดสิ่งดีๆ ในบทสนทนาสั้นๆ
เป็นธรรมชาติของคนเพิ่งมาตีสนิทกันอยู่แล้วที่การพูดคุยคราวนั้นย่อมเป็นการคุยสั้นๆ แต่คุณสามารถสร้างคุณภาพให้การคุยจนออกรสชาติได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงที่จะคุยในเรื่องซ้ำซาก หรือเลี่ยงเรื่องน่าเบื่ออย่างเรื่องการเมืองน้ำเน่าเงียะ อีกอย่างคุยไปอย่าบ่นไป และอย่าจับเรื่องไร้สาระมาเล่าด้วยล่ะ เดี๋ยวเค้าเบื่อก่อนละซวยเลย
5. อ้างที่มาที่ไปเพื่อให้เค้าจำได้ว่ารู้จักกันได้อย่างไร
ถ้าเค้าจำไม่ได้ว่าเคยพบหรือเคยให้เบอร์โทรศัพท์ กับคุณที่ไหน ก็รื้อฟื้นอดีตซึ่งเป็นความหลังฝังใจคุณให้เค้าฟังหน่อยดี้ ไม่ใช่คุยกันได้ตั้งนานเค้ายังไม่รู้สักทีว่าคุณเป็นใคร มันเสียน้ำลายเปล่าไหมเนี่ย
6. ทำให้หัวเราะ
นี่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้ใครๆก็อยากพูดคุยกับคนอารมณ์ดีเบิกบานสำราญอุราด้วยกันทั้งนั้นเลย เอางี้ ถ้าคิดอะไรไม่ออกหรือไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้เค้าขำขันหรือหัวเราะได้ละก็ ลองใช้วิธีหยอดมุกแบบที่ดาวตลกเค้าใช้ดูสิ เหตุนี้ก่อนชวนใครสรวลเสเฮฮา คงต้องหมั่นดูตลกบ่อยๆน่ะซี แต่เอามุกที่สุภาพหน่อยนะ
7. พูดให้ถูกกาลเทศะ
การเปิดเผยถึงความชอบที่คุณมีต่ออาหารชาตินั้นชาติโน้นแล้ว ก็ปล่อยทีเด็ดชวนเค้าไปทานข้าวด้วยกันน่ะเป็นสิ่งดี แต่ไม่ควรมัดมือชกยื่นคำขาดให้เค้าไปพบให้ได้ในวันที่เค้าติดธุระหรือไม่อยาก ไปเชียวนะ การบีบคั้นใจน่ะ ไม่ให้ผลดีหรอกย่ะ รู้งี้ก็อย่าทำ
8. ชวนออกเดทกันไหม?
แต่ควรแน่ใจตัวเองก่อนว่าอยากนัดเค้าไปเที่ยวจริงอ่ะ ถ้ามั่นใจก็จงยกหูโทรศัพท์นัดเค้าเลย หากเผอิญเค้าจับได้ไล่ทันขึ้นมาว่า กำลังถูกจีบก็ช่างเซ่ รู้ก็รู้ไป รู้ก็ดีแล้ว เค้าจะได้พิจารณาเราสักที ไม่งั้นก็มองไม่ออกอยู่นั่นว่าอยากเป็นแค่เพื่อนหรือคบเป็นแฟน หวังว่าเค้าจะรับเราไว้พิจารณานะ ถ้าเค้ายังไม่มีแฟน แถมเราก็ไม่ได้เลวชาติ ก็น่าจะลงเอยด้วยดีนี่นา
9. วางหูเมื่อมั่นใจว่ามีการรับนัดแล้ว จะได้ไม่พูดมากจนเสียท่าปล่อยไก่ออกไปน่ะเซ่
อย่ารู้สึกว่า อยากให้การสนทนาดำเนินต่อไปอีกเรื่อยๆแม้เค้าตอบตกลงรับนัดแล้ว เพราะคุณยังมีเวลาอีกเหลือเฟือที่จะศึกษากัน ฉะนั้นเมื่อคุยกับเค้าทางโทรศัพท์และได้คำตอบที่ต้องการแล้วก็จงวางหูซะ การใช้ เวลานิดหน่อย ในการคุยทางโทรศัพท์ย่อมช่วยให้เรา ปล่อยโง่ น้อยลงไปด้วย จริงป่าว
10. อย่าปล่อยให้ความสัมพันธ์เหลือแค่เพื่อน
เมื่อมั่นใจแต่แรกว่าจะจีบเค้าให้ได้ งั้นตัดความ เป็นเพื่อนออกไปเลย อย่าทำเป็นกระแดะอยากเป็นแฟนแต่ปากบอกว่าเป็นเพื่อนหน่อยเลย...นั่นน่ะปล่อยให้ ดารานักร้องเค้าเป็นกันเหอะ สำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆควรตรงไปตรงมาและจริงใจสิถึงจะถูก เอ้า...มีโทรศัพท์ทั้งทีควรใช้ให้เกิดประโยชน์ ด้วยการจะจีบใครมาเป็นกิ๊กหรือเป็นแฟนก็ทำเข้าเร้ว.
วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
ความเชื่อกับความจริงเรื่องอาหาร
ข่าวสาร-สาระ สิงหาคม พ.ศ. 2546
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า อาหารชนิดไหนที่ดี มีประโยชน์กับตัวเรา อาหาร "ไขมันต่ำ" ต้องดี แน่ๆเลยใช่มั้ย บางคำถาม เหล่านี้ อาจเคยผุดพราย ขึ้นมาในหัวสมองน้อยๆ เมื่อคิดจะใส่ใจกับ สุขภาพ ความสับสนในข้อมูล ความเชื่อกับความจริง บางอย่าง เรื่องอาหาร ทำให้หน่วยงาน ด้านมาตรฐานอาหารในอังกฤษ (Food Standard Agency-FSA) ต้องออกโรง มาทลายความเชื่อผิดๆ โดยยกสิ่งที่เป็นความเชื่อขึ้นมา แล้วหักล้างด้วย "ความจริง" มีหลายหัวข้อน่าสนใจ ลองสำรวจดูซิว่า ที่เรารู้มา เป็นแค่ "ความเชื่อ" หรือ "ความจริง" เชื่อว่า "อาหารไขมันต่ำ" ต้องดีต่อสุขภาพ อันนี้เขาว่าเป็นความ เชื่อที่ผิด เพราะสิ่งที่มาแทนไขมัน ส่วนประกอบอื่นในผลิตภัณฑ์ นั้นอาจให้ผลเหมือนเดิม หรือแม้กระทั่งให้แคลอรีสูงขึ้นด้วย ซ้ำไป เชื่อว่า "อาหารแห้งมีประโยชน์ต่อสุขภาพน้อยกว่าผลไม้สด" ผิดอีกล่ะค่ะ เพราะผลไม้แห้งบางอย่าง เช่น ลูกเกด ลูกองุ่น แห้ง อินทผลัม ให้พลังงานในรูปของน้ำตาล และยังเป็นแหล่งอาหารที่ให้กากใยชั้นดีเสียอีก เชื่อว่า "อาหาร มังสวิรัติเป็นประโยชน์ ต่อสุขภาพมากกว่า" ไม่จริงหรอกค่ะ อาหาร จานโปรดของชาวมังฯบางจานน่ะมีไขมันเยอะแยะเลยเชียว ทางเลือกก็คือหาอาหารไขมันต่ำชนิดอื่น อาจรวมถึงเนื้อไก่ไม่เอาหนัง และปลาที่ปรุงโดยไม่ใช้ไขมันมาก เชื่อว่า "เกลือ" ในอาหารมีอยู่แต่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะไว้ให้เหยาะเติมรสชาติ ผิดอีกแล้ว ของจริงคือเวลาเหยาะเกลือเติมลงไปน่ะมันแค่ 10- 15 เปอร์เซ็นต์แค่นั้น ที่มีเกลืออยู่เยอะในอาหารน่ะมันมีตั้งแต่ตอนที่ปรุงอาหารต่างหาก อ้อ!แล้วปริมาณเกลือที่ พอเหมาะในแต่ละวัน ก็ไม่ควรเกิน 2 ช้อนชานะคะ.
วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
นำหลายๆส่วนมาประกอบกัน
จาก The Book of Goals
พวกเรามักแยกเรื่องงานและชีวิต ออกจากกัน ราวกับว่า มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกันและกัน
คนส่วนใหญ่มักแบ่งชีวิตออกเป็น 2 ส่วน คืองานและชีวิตส่วนที่เหลือซึ่งไม่ถูกต้อง ผมเชื่อว่างานเป็นสิ่งสำคัญมากจนเกินควรสำหรับหลายท่าน จนถึงแบ่งแยกออกมาจากชีวิต ผมมีความเชื่อว่า คุณสมบัติส่วนตัวและความฝัน ก็เป็นส่วนที่มีความสำคัญมากในตัวเรา ซึ่งเราจำเป็นต้องนำทั้งสองสิ่งนี้ไปใช้ในการทำงาน ดังนั้น ถ้าคุณรักงานของคุณ คุณจะรักชีวิตของคุณด้วย งานเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเป็นตัวเรา
ผมชอบคำพูดที่ว่า "ธุรกิจเป็นที่ที่เราได้รับเงินเดือน ที่ที่เราพบเพื่อนและที่ที่เราได้วาดฝันของเรา ตามความรู้สึกของผมแล้ว ธุรกิจ เปรียบเสมือนผ้าผืนใหญ่ ซึ่งเย็บปักสังคมทั้งหมดของเราไว้ด้วยกัน"
สลัดผัก สุขภาพ ความงาม หรืออันตราย
ปัจจุบันบรรดาสาวๆ ทั้งหลายที่รักษาสุขภาพและทรวดทรง มักจะนิยมรับประทาน "สลัดผัก" เป็นอาหารหลักแทนอาหารประเภทอื่นๆ
สลัดผัก โดยทั่วไปมักประกอบไปด้วย ผักกาดหอม แตงกวา มะเขือเทศ กะหล่ำปลี แครอท หอมหัวใหญ่ ข้าวโพด เผือก กะหล่ำดอก ถั่วแดง มันฝรั่ง ฟักทอง
ส่วนน้ำสลัดก็มีให้เลือกทั้งแบบครีม แบบใส นอกจากนี้ อาจมีไข่ต้ม ปูอัด กุ้ง หรือไก่ฉีก ร่วมด้วย
บรรดาผักทั้งหลายที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นสลัดนั้น ล้วนแต่เป็นผักที่ ให้สีสัน สวยงาม แต่สิ่งสำคัญที่อาจแฝงมากับความสวยงามเหล่านี้ คือ สารพิษ หรือยาฆ่าแมลง
ในประเทศไทย มีการใช้ยาฆ่าแมลง หรือสารกำจัดศัตรูพืช กลุ่ม ออร์กาโนฟอสเฟต กันมากที่สุด รองลงมาได้แก่ กลุ่ม ไพรีทรอยด์ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีความเป็นพิษมากน้อ ยต่างกันออกไป
สถาบันอาหารได้สุ่มตัวอย่าง ผักสลัด อาทิ แครอทหั่นฝอย กะหล่ำปลีฝอย มะเขือเทศ แตงกวา และหอมใหญ่ ที่ขายตามท้องตลาดเขตกรุงเทพฯ จำนวน 5 ตัวอย่าง เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณสารพิษตกค้างกลุ่มไพรีทรอยด์ รวม 5 ชนิด
ผลปรากฏว่า พบ สารไซเปอร์เมธรินตกค้างในมะเขือเทศ 1 ตัวอย่าง ในปริมาณ 0.3 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
แต่ปริมาณ ดังกล่าว ยังไม่เกินค่ามาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขไทย
แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจ ก่อนกินผัก ผลไม้ทุกชนิด ควรล้างทำความสะอาดเสียก่อน อาจแช่ทิ้งไว้ในน้ำสะอาด 15 นาที หรือล้างด้วยน้ำไหลจากก๊อกด้วยความแรงพอประมาณ และใช้ มือทำความสะอาดอีก 2 นาที
หรือถ้าจะให้ดีล้างด้วยน้ำด่างทับทิม 5 เกล็ดใหญ่ต่อน้ำ 4 ลิตร หรือน้ำเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 4 ลิตร หรือน้ำส้มสายชูครึ่งถ้วยต่อน้ำ 4 ลิตร
ลองเลือกดู ว่าจะสะดวกวิธีไหน...
วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
คุณสามารถได้ทุกสิ่งที่อยากได้หรือไม่
จาก The Book of Goals
หลังจากเวลาผ่านไปหลายเดือน เมื่อครอบครัวของ อีริคได้ทบทวนเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดดู พวกเขาพบว่าไม่มีใครเป็นผู้ชนะ แม้แต่อีริคเอง ถึงแม้เขาจะได้พบความตื่นเต้นเกี่ยวกับงานใหม่ แต่เขายังไม่มีความสุข เขาจึงคิดได้ว่าเงินเดือนที่ได้รับมากขึ้นและสถานะที่สูงขึ้น ไม่คุ้มค่ากับความเจ็บปวดที่เขาและครอบครัวได้รับ เขาได้ขอกลับมาทำงานที่บอสตันตามเดิม หลังจากที่สอนงานให้แก่คนงานใหม่แล้ว ทางบริษัทเข้าใจเขาดีจนแทบไม่น่าเชื่อ และแล้ว อีริคและครอบครัวจึงสามารถผ่านพ้นสถานการณ์อันเลวร้ายไปได้
เราไม่สามารถจะแก้การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้แบบ อีริคเสมอไป ดังนั้นก่อนที่คุณจะก้าวไปสู่สถานการณ์ใหม่ในชีวิต เช่น อาชีพใหม่ งานใหม่ การรับภาระงานที่มากขึ้น และการรับโครงการใหม่ที่ทำให้คุณต้องเดินทางมากขึ้น ลองใช้เวลามองดูส่วนประกอบอื่นๆในชีวิต ต้องแน่ใจว่าคุณทราบถึงผลกระทบที่ตามมาภายหลัง บางครั้งเงื่อนไขต่างๆของอาชีพนั้น หรือสภาวะทางเศรษฐกิจอาจทำให้คุณไม่สามารถปฏิเสธงานที่ได้รับมอบหมายได้ แต่คุณต้องแน่ใจว่า อย่างน้อยคุณได้ใช้เวลาไตร่ตรองและเตรียมพร้อมสำหรับผลกระทบที่จะตามมาแล้ว
วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
อย่ายอมให้คำตัดสินของคนอื่น มาเหนี่ยวรั้งคุณไว้
จาก The Book of Goals
แม้แต่ในสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศที่ยอมรับความแตกต่าง และมีการกระทำเพื่อเรียกร้องสิทธิ แต่บริษัทส่วนใหญ่ก็มักจะต้องการพนักงานที่เป็นคนขาวเป็นชายหรือกีดกันเชื้อชาติอื่น เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ที่ปรึกษาอาชีพได้ปฏิเสธทีจะเสนอลูกค้าที่มีคุณวุฒิสูง ให้เป็นผู้บริหารแก่องค์กรที่เป็นลูกค้าของเขา ด้วยเหตุผลที่ว่าชายคนนั้นมีเชื้อสายอิตาเลียน และคิดว่าชายคนนั้นไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมขององค์กรนั้น และสิ่งที่น่าเศร้าก็คือ ความคิดของที่ปรึกษาคนนั้นถูกต้องจริงๆด้วย ชายคนนั้นไม่ได้รับการต้อนรับจากสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร
ระบบการศึกษากำลังจะเผชิญกับปัญหาในอนาคต ทุกวันนี้มีโรงเรียนเพิ่มมากขึ้นๆ ตั้งแต่โรงเรียนประถมไปจนถึงมัธยม จนถึงมหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยแพทย์ ทำให้ผู้หญิง คนผิวสี นักเรียนต่างชาติ มีโอกาสได้เรียนหนังสือมากขึ้น และได้มีการขยายเครือข่ายของการศึกษาออกไป
องค์กรของผู้ใหญ่ (ยกเว้นแต่กองทัพ) ไมได้เคลื่อนไหวที่ยอมรับความแตกต่างเลย ผู้หญิงและชนส่วนน้อยก้าวหน้าช้าในองค์กร สำหรับการได้เป็นผู้บริหารระดับสูงนั้นยากมาก แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นสำหรับอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชั้นสูง
ในการทำงาน
เมื่อโกลดา แมร์ ถูกถามจากบริษัท Knesset ว่า เธอจะสามารถเป็นประธานาธิบดีของอิสราเอลได้ดีเท่ากับผู้ชายหรือไม่ เธฮตอบว่า เธอแน่ใจว่าจะไม่ทำสิ่งใดที่เลวร้ายกว่าที่ผู้ชายทำ ความเชื่อมั่นในตัวเองอันน่าประทับใจของเธอได้ช่วยเธอให้เอาชนะอุปสรรคต่างๆ มากมาย และชนะใจคนจำนวนมาก ในระหว่างที่เธอประสบความสำเร็จในอาชีพ
วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
สานฝัน
คนเราทุกคนมีความฝัน ความฝันในที่นี้มิได้หมายถึงการนอนหลับแล้วฝันถึงเรื่องอะไรต่อมิอะไร แต่หมายถึงความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนั่นเป็นนี่ อยากได้โน่นได้นี่ ความฝันเป็นพลังขับเคลื่อนให้เรามีความมุ่งมั่น มุมานะ ศึกษา ค้นคว้าเรียนรู้ รวมทั้งการแสวงหาแนวทาง การริเริ่มที่จะกระทำการต่าง ๆ ทั้งในหน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัว เพื่อบรรลุเป้าประสงค์ที่ต้องการ
การที่จะทำความฝันให้เป็นความจริงได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยทั่วไปแล้วความฝันกับความเป็นจริงมักจะต่างกันอย่างลิบลับ คนที่ฝันอยาก เป็นเศรษฐีมีเงินล้าน แต่ไม่ทำอะไรนอกจากเที่ยวขอเลขเด็ดจากพระสงฆ์บ้าง ศาลเจ้าบ้าง ต้นไม้บ้าง คนพวกนี้คงมีโอกาสบรรลุเป้าประสงค์น้อยเหลือเกิน ดังนั้นผู้ที่ต้องการเห็นความฝันกลายเป็นความจริง คงจะต้องเริ่มด้วยการพึ่งตัวเองเป็นหลัก ต้องมีความขยันขันแข็ง อดทน พยายามหาโอกาสและแนวทาง ที่จะสร้างความสำเร็จให้แก่ชีวิตและหน้าที่การงาน บางครั้งต้องกล้าตัดสินใจ ไม่กลัวความล้มเหลว ไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านไปโดยไม่พยายาม
จากการที่ผู้เขียนมีโอกาสทำงานกับเด็ก ทั้งเด็กเล็กเด็กโต จนถึงผู้ที่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ได้พบว่าเด็กรุ่นใหม่หลาย ๆ คนมีปัญหาไม่รู้จักตัวเอง
ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต ไม่มีการวางแผนสำหรับอนาคต แน่นอนทุกคนมีความฝัน แต่การจะทำความฝันให้เป็นจริงยังมักจะปล่อยเป็นเรื่องโชคชะตา
มากกว่าที่จะเอาตัวขึ้นเป็นที่ตั้ง ซึ่งไม่ต่างจากพวกที่ชอบขอหวยจากต้นไม้ หรือพระภูมิเจ้าที่เท่าใดนัก
ผู้อ่านคงเคยได้ยินคำว่าลูกบังเกิดเกล้า และเข้าใจความหมายของคำนี้แล้วว่าหมายถึงอะไร ปัจจุบันชนชั้นกลางในสังคมไทยมีจำนวนมากขึ้นอันเป็น ผลพวงของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ครอบครัวชนชั้นกลางมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น พ่อแม่มีฐานะก็อยากให้ลูกได้รับผลพวงจากการมีกำลังทรัพย์จับจ่ายใช้สอย ซื้อหาสิ่งของที่อำนวยความสะดวก สร้างความเพลิดเพลินเจริญใจให้แก่ชีวิต แต่สิ่งที่พ่อแม่ทำด้วยความหวังดีนั้น บางสิ่งบางอย่างกลับเป็นผลร้าย
ที่ร้ายที่สุดคือการให้ความรัก ความทะนุถนอมจนเกินพอดี เป็นห่วงจนเกินเหตุ ลูกโตเป็นสาวยังข้ามถนนไม่เป็น เรียนจนจบปริญญาโททำงานแล้ว
พ่อยังขับรถไปส่งตอนเช้า เย็นไปรับกลับบ้านก็มี ความรักเช่นนี้ทำให้ลูกอ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ คิดไม่เป็น พ่อแม่ให้เรียนอะไรก็เรียน จบมาแล้วพ่อแม่ฝาก
ให้ทำงานที่ไหนได้ก็ทำ ทำได้ไม่ดีเกิดเบื่อ ไม่ชอบ บอกพ่อแม่ไม่ช้าก็ได้ทำงานที่ใหม่ ทั้งชีวิตมีแต่คนคอยช่วย เด็กพวกนี้จึงขาดความมั่นใจในตนเอง
กลัวความล้มเหลว กลัวการทดสอบ กลัวความลำบาก
พ่อแม่หลายคน โดยเฉพาะพ่อแม่ที่มีฐานะดีในสังคมไทยปัจจุบัน กำลังทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว ผู้เขียนอยากให้ลองศึกษาวัฒนธรรมของประเทศตะวันตก
ซึ่งมิได้หมายความว่าวัฒนธรรมของตะวันตกดีกว่าของเรา แต่เราควรศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบ นำสิ่งที่ดีมาประยุกต์ใช้ ประเทศตะวันตกมีวัฒนธรรม
เลี้ยงลูกให้พ้นอกโดยเร็ว พ่อแม่สนับสนุนให้ลูกช่วยตัวเอง เด็กฝรั่งรู้จักทำงานบ้านช่วยพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก โตขึ้นหน่อยก็ออกไปทำงานช่วงปิดเทอมบ้าง
ทำงานไปเรียนหนังสือไปบ้าง (เรื่องนี้หลายคนอาจมีมุมมองต่างกันว่าไม่ดี เพราะลูกเมื่อสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะออกจากอ้อมอกของพ่อแม่เร็วเท่านั้น)
ในประเทศอังกฤษ นักเรียนจำนวนไม่น้อยที่หยุดพักการเรียนในช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย หรือเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว หยุดพักระหว่างกลางเพื่อไป ทำงานหาประสบการณ์ประมาณ 1 ปี ซึ่งระบบมหาวิทยาลัยของอังกฤษเปิดโอกาสให้ทำอย่างนี้ได้ โดยเฉพาะนักศึกษาที่เรียนจบปริญญาตรี บางสาขาจะบังคับให้ทำงานก่อนอย่างน้อย 2 ปี จึงจะรับเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ทั้งนี้เพราะตะวันตกเห็นความสำคัญของการสร้าง ประสบการณ์ในการทำงาน การเรียนรู้ การแสวงหาโอกาส และที่สำคัญที่สุดคือการค้นพบตนเองว่าตนเองต้องการจะทำอะไรกับชีวิตในอนาคต
การเรียนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ คนที่เรารู้จักไม่ได้เป็นผู้ที่จบปริญญาสูง ๆ ไม่ใช่แต่ในเมืองไทยเท่านั้น แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่เจริญและประชาชนพลเมืองมีการศึกษาสูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จากสถิติที่ลงพิมพ์ในนิตยสาร
Forbs พบว่าคนที่มีรายได้สูงที่สุดในโลก 400 คน กว่าหนึ่งในสี่ไม่ได้เรียนจบปริญญาอะไรทั้งสิ้น ความสำเร็จของเขาเหล่านั้นเกิดจาก
การทำงานหนัก การมีความคิดริเริ่ม กล้าตัดสินใจและแสวงหาโอกาสที่จะสร้างความฝันให้เป็นความจริง
โดยคุณ : ดวงใจ ตั้งสง่า
วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
เมื่อคุณเป็นผู้ให้คุณจะได้รับสิ่งตอบแทนกลับมาแน่นอน
จาก The Book of Goals
ถ้าคุณริเริ่มกิจกรรมอาสาสมัครในขณะที่คุณมีงานประจำอยู่ จะทำให้คุณมีอะไรทำหลังจากที่คุณเกษียณแล้ว เพราะคุณได้สร้างอาชขีพที่ 2 ให้กับตัวเองไว้แล้ว ซึ่งมันอาจจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับในยุคปัจจุบันซึ่งมีการลดจำนวนคนงานและมีการเกษียณอายุเร็วขึ้น คนไข้ของผมคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการโรงพยาบาลเล่าให้ผมฟังถึงชายคนหนึ่ง ชื่อ เฟรด บาร์นส เป็นผู้บริหารที่ใกล้เกษียณอายุ ขณะที่เขาไปเข้ารับการผ่าตัดหัวใจในโรงพยาบาล เขาได้ร่วมงานอาสาสมัครในโรงพยาบาล ได้แก่ ให้บริการน้ำดื่มหรือรองเท้าแตะ ดึงผ้าปูเตียงให้กับคนไข้ พาคนไข้ไปอ่านหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร และพยายามขอร้องไม่ให้มีการขายขนมขบเคี้ยวในโรงพยาบาล ซึ่งไม่เป็นผลสำเร็จ ตลอดเวลาเขาได้รับรู้ถึงคุณค่าที่ได้รับจากการช่วยเหลือผู้อื่น เขาตั้งปณิธานไว้ว่า เขาจะกลับมาทำงานอาสาสมัครอีก ต่อมา เฟรด ก็ได้ทำตามที่เขาตั้งไว้ เมื่อเขากลับไปทำงานแล้ว แม้ว่าเขาจะได้รับความกดดันจากธุรกิจ แต่เขาก็ได้กลับมาทำงานอาสาสมัครเป็นงานพิเศษที่โรงพยาบาลและตั้งใจว่า จะทำได้มากขึ้นเมื่อเขาเกษียณแล้ว
กิจกรรมอาสาสมัครจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น เพราะคุณจะมีความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองดีขึ้น และคุณจะพบว่า คุณทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จอห์น สุลีแวน ซึ่งเป็นนัดจัดหางานชั้นนำคนหนึ่งในบอสตัน ซึ่งมีธุรกิจและความรับผิดชอบทางครอบครัวมากมาย แต่เขาก็ยังหาเวลาว่างไปร่วมกับกลุ่มผู้ช่วยเหลือผู้ไม่มีงานทำ ผมเคยถามว่าเขาทำได้อย่างไร เขายักไหล่และพูดว่า "ใช่ ผมเหนื่อยมากเมื่อไปร่วมงานที่นั่น เมื่อผมกลับจากที่นั่นมาผมก็ยังเหนื่อยอยู่ แต่ผมรู้สึกดีขึ้น"
การบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ อาจช่วยชีวิตคุณได้ คนจำนวนมากได้พูดถึง ความสดชื่นอย่างประหลาด เมื่อเขาได้รับหลังจากได้ช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน คนแปลกหน้าที่ต้องการความช่วยเหลือ จากการศึกษาพบว่า ความสดชื่น ดังกล่าว อาจมีผลทางกายภาพได้ บุคคลที่ทำงานอาสาสมัครมักมีอัตราการเจ็บป่วยจากการอัมพฤกษ์และโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ไม่ทำงานอาสาสมัคร และผู้ที่เป็นโรคอัมพฤกษ์และโรคหัวใจอยู่แล้วจะหายได้เร็วขึ้น
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
ความสนุกเป็นเรื่องง่ายๆ
จาก The Book of Goals
เมื่อมีการแยกที่ทำงานและที่บ้านออกจากกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือการเข้าสู่วัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกว่า มีบางสิ่งต้องเลื่อนเวลาออกไป บางสิ่งต้องซ่อนเร้นหรือมีบางสิ่งที่ต้องกำจัดออกไป เรายังมีความรู้สึกว่า อะไรที่ทำให้เรารู้สึกดีแต่ไม่ทำให้เราเกิดรายได้ เป็นการเสียเวลา เป็นสิ่งที่แย่ และเป็นอันตรายสำหรับเรา เช่น การปรุงอาหารที่มีรสชาติดี
พวกเราหลายคนไม่มีความสุขกับการกินอีกต่อไป ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ได้กลายเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตแทนที่ศาสนา มาตรฐานของความดีและความชั่วถูกแทนที่ โดยมาตรฐานของความมีสุขภาพดีและความมีสุขภาพไม่ดีพวกเราเชื่อว่า สุขภาพที่ดีนั้นเกิดจากการรักษาด้วยยาสมัยใหม่ พวกเราละเลยการออกกำลังกาย ซึ่งไม่ทำให้เราเจ็บปวด แต่ไม่ทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้น และละเลยต่อกิจวัตรการกิน ซึ่งเป็นการปฏิเสธความสุขของเราเอง
ในหนังสือ Healthy Pleasure ได้ค้นพบผลกระทบด้านสุขภาพที่เกิดจากความสุขในชีวิต การกินมากเกินไปเป็นผลเสีย แต่คุณกำลังจะใช้ชีวิตตามวิถีทางของชาวกรีก Spata ถ้าคุณปฏิเสธความสุขในการกิน อาหารอร่อย การดื่มเหล้า การมีเพศสัมพันธ์ และความสุขอื่นๆ Ormstein ได้ให้ความเห็นไว้ดังนี้ "มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า ความเครียดและความกังวลเกี่ยวกับสิ่งใด รวมถึงไขมันในอาหาร สามารถทำให้ระดับคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือดของคุณสูงขึ้นได้ " ข้อสรุปของพวกเราก็คือ "ความสุขนั้น เป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณ"
รายการที่รวบรวมสิ่งที่ดีสำหรับคุณ อะไรเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณบ้าง? ตามที่ Ornstein ได้เคยเขียนไว้ว่า "ความสุขของการมีสุขภาพดี ไม่มีผลเสียข้างเคียงกับคุณแบะตอบแทนให้คุณถึง 2 อย่าง คือ ทำให้อารมณ์ดีและมีสุขภาพดีขึ้น" ความสุขใดเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณบ้าง
การสัมผัส
การสัมผัสทางกายภาพ ทำให้คุณ ได้รับผลทางวกายภาพ เด็กทารกคนไข้ขั้นโคม่าและผู้ที่มีความเจ็บปวดเรื้อรัง จะได้รับประโยชน์จากวิธีสัมผัสทางกายภาพ จากการบีบนวด การกอด นอกจากนี้ การถูกนวดยังช่วยให้สมองหลั่สารเคมี ชื่อ เอนดอร์ฟินส์ ซึ่งช่วยให้คุณรู้สึกสบายออกมา
การชมทิวทัศน์
การได้ชมทิวทัศน์ เป็นผลดีต่อคุณด้วย โดยเฉลี่ยแล้วคนไข้ในโรงพยาบาล ซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ต้นไม้จากเตียงของเขา จะใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลน้อยกว่าคนไข้อื่น 2-3 วัน คนไข้อื่นๆที่ไม่ได้เห็นวิวหรือเห็นสิ่งใดที่ช่วยเสริมสร้างกำลังใจ เช่น มองเห็นแต่กำแพงซีเมนต์
ดนตรี
ดนตรีทำให้แม้แต่สัตว์ที่ดุร้ายก็ผ่อนคลายลงได้ ตัวคุณเองก็เช่นกันจากการศึกษาที่ให้ทารกฟังเพลง ลูลาบี ของ บราห์ม ซึ่งทารกอีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้ฟังเพลง เมื่อเปรียบเทียบกัน พบว่า ทารกที่ฟังเพลงนั้นมีน้ำหนักขึ้นเร็วกว่า และออกจากโรงพยาบาลก่อนทารกที่ไม่ได้ฟังเพลง 1 อาทิตย์ ทำให้พ่อแม่ของเด็กประหยัดเงินได้หลายพันดอลลาร์
กลิ่น
กลิ่นมีผลดีต่อเราด้วยเช่นกัน เราทราบว่า Proust ว่ากลิ่นหอม ทำให้เราระลึกถึงความทรงจำที่ดีได้ กลิ่นหอมบางอย่างอาจทำให้เราแพ้ บางกลิ่นทำให้เราผ่อนคลาย จากการศึกษาคนไข้ซึ่งเป็นโรคปวดเมื่อยเรื้อรัง คนไข้จะถูกแนะนำให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ โดยให้ดมกลิ่นพีช ต่อมาคนไข้สามารถทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายได้เองจากการสูดกลิ่นพีช
อาหาร
อาหารไม่ใช่ศัตรูของเรา แน่นอนว่าอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรทสูง ทำให้ระดับ ไทรโทฟานในสมองสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกสบายใจและนอนหลับ เครื่องเทศ เช่น พริก พริกไทย ลดไขมันในเส้นเลือด และป้องกันโรคหัวใจ ช่วยบรรเทาอาการหวัด และช่วยให้ร่างกายปล่อยสาร เอนดอร์ฟีน ซึ่งทำให้เหงื่อออกและสมองผ่อนคลาย
แอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์ ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป หลอดเลือด โคโรนารี ซึ่งเป็นหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ของผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์วันละ 1-2 แก้วนั้น มีไขมันต่ำกว่าและมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ดื่มจัดหรือผู้ที่ไม่ดื่มเลย
การหัวเราะ
การหัวเราะช่วยให้เรามีสุขภาพดี และทำให้เรารู้สึกดีขึ้นด้วย ขณะที่คุณหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจจะสูงขึ้น การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ทำให้ร่างกายคุณผลิตฮอร์โมนซึ่งช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้
ฯลฯ
จากการวิจัยพบว่า ยังมีสิ่งอื่นๆ ได้แก่ สัตว์เลี้ยง เพศสัมพันธ์ การนอนกลางวัน งานอดิเรก และเพื่อนๆที่ช่วยให้ชีวิตของเราดีขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
คุณจะสำรองเวลาไว้สำหรับช่วยเหลือผู้อื่นได้หรือไม่
จาก The Book of Goals
ผมรักงานที่ผมทำมาก แต่ในระยะไม่กี่ปีมานี้ ผมพบว่า กิจกรรมอาสาสมัครที่ผมทำนั้น ทำให้ผมอิ่มใจมากกว่าการทำงาน ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1991 ผมถูกเชิญให้เข้าร่วมกลุ่มกับผู้บริหารชาวอเมริกันในการเดินทางไปสหภาพโซเวียตเก่า พวกเราได้ทำงานร่วมกับนักธุรกิจท้องถิ่น พวกเราช่วยกันจัดตั้ง mini-business school ในช่วงฤดูร้อนของปีต่อมา เราก็ได้กลับไปทำงานกันอย่างหนักอีกในโครงการเดียวกันนี้
จากการเดินทางในครั้งนั้นพวกเราได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการเริ่มต้นธุรกิจและการหาเงินทุน บางท่านในคณะเดินทางได้ช่วยเหลือด้านการจัดหาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่นๆ และช่วยให้ผูประกอบการในยุโรปตะวันออกติดต่อกับผู้ที่ทำงานด้านการตลาดและการขายทางตะวันตกได้ พวกเราหลายคนได้รับเอาความต้องการของคนพื้นเมืองที่นั่นมาเป็นของเราเอง ตัวอย่างเช่น ผมได้เคยหาเงินทุนในอเมริกา เพื่อจะซื้ออุปกรณ์การแพทย์สำหรับโรงพยาบาลเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่เราได้ทำเพื่อการกุศลสำหรับที่โน่น ผมได้รู้จักเพื่อนที่ผมจะจำไว้ตลอดชีวิตของผม ผมได้เรียนรู้มากมายเกินกว่าที่ผมจะสามารถจะถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่นได้
ยังมีงานอาสาสมัครอีกมากที่จำเป็น ลองนึกดูว่าคุณสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง เพื่อช่วยให้มุมหนึ่งของโลกดีขึ้นมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นองค์กรระดับโลก หรือการพบปะกันของคนที่อาศัยในเมือง งานช่วยเหลือผู้ไร้ที่อยู่ ลองดูว่าคุณจะช่วยได้อย่างไร แม้ว่าจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ไม่กี่ดอลลาร์ ก็สามารถทำให้เกิดสิ่งที่แตกต่างได้ สำหรับคุณและสำหรับคนที่คุณได้ช่วยเหลือเขา
ศิลปะการเตรียมการปรุง การเสิร์ฟ และการรับประทานอาหาร
เป็นศาสตร์ที่คิดค้นโดยบรรพบุรุษจากสามัญสำนึกตาม
ธรรมชาติที่ควร จากสัดส่วนของฟันกราม 24 ซี่ ที่พัฒนาให้คนแตกต่างจาก
สัตว์อื่นคือ มีส่วนสมองสามารถคิดตรึกตรอง มีสติปัญญานั้นได้พัฒนาพร้อม
กับข่าวในตระกูลพืช ที่เพาะปลูกตามบรรยากาศ 4 ฤดูกาลของฟ้า-ดิน เมื่อ
ยุคหลัง จากสภาวะอากาศบนโลกสมดุล คงที่และอุณหภูมิพอเหมาะ
ข้าวเป็นอาหารคู่กับสมองคน ข้าวจึงจัดเป็นสัดส่วนมากที่สุดเพราะสำคัญที่
สุดในเมนูอาหารของมนุษย์ โดยมีข้าว 50% ถึง 60% เท่ากับฟัน 20 ซี่ใน
32 ซี่ หรือ 5 ใน 8 ส่วน
นับพันปีมาแล้วที่มนุษย์รับประทานข้าวเป็นอาหารหลักและปัจจุบัน จวบจน
ต่อไปสู่อนาคตอีกนับพันๆ ปี ข้าวก็ยังต้องเป็นอาหารหลักเสมอ
เพราะระบบในร่างกายคนเราไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีก
ทุกเมื่อในเมนูอาหารต้องมีข้าวกล้องเป็นหลักตลอดกาล
นี่คือกฎธรรมชาติ ต่อมารับประทานพืชจำพวกถั่ว งา ถือว่าใกล้เคียงกับข้าวคือเป็นเม็ดอัดแน่น
ด้วยพลังหยางให้พลังสูงแต่ขนาดเม็ดเล็ก เราจึงจัดถั่วเป็นอาหารช่วยบำรุง
ส่วนล่างของร่างกาย จากเท้าสู่ลำตัว ต่อมารับประทานพืชทะเลสาหร่ายทะเลเป็นพืชอุดม
ด้วยแร่ธาตุจากทะเลเป็นพืชโบราณแต่กำเนิดให้ความเป็นด่างและมีธรรมชาติ
เดียวกับสภาวะลำไส้ใหญ่ของคนเราที่เป็นที่กลั่นกรองกากอาหารขั้นสุดท้าย
ก่อนถ่ายทิ้งจากร่างกายลำไส้มีจุลชีวิตเป็นพวกพยาธิคล้ายไส้เดือน คล้ายลูก
อ๊อด ลูกน้ำ ลูกกบ เป็นส่วนเดียวกับธรรมชาติในน้ำอสุจิชายหรือมดลูก ระดู
ตกขาวของสตรี อาหารประเภทสาหร่ายทะเล จะช่วยสร้างดุลให้กับร่างกาย
คนเรา ส่วนอวัยวะเพศกับลำไส้ ต่อมาเรารับประทานพืชรากที่อยู่ใต้ดินได้แก่
ขิง ข่า หัวผักกาด แครอท อาหารเหล่านี้ช่วยสร้างดุลยภาพในระบบ
ส่วนล่างลำตัวเพราะพลังจากฟ้าที่จุติในพืชรากมีสูงมากทำให้ฐานรากคนเรา
ได้รับพลังธาตุดิน หรือทำให้คนเราติดดิน ต่อมาพืชพวกแตง ฟัก ที่กลวง
ตรงกลางเหมาะสำหรับอวัยวะกลวง ลำไส้เล็ก กระเพาะต่างๆ เพราะพลัง
สมพงศ์กัน ต่อมาเรารับประทานผักพืชที่เป็นผักสวนครัวทั้งผัดหรือต้มร่วมกันเป็นต้มผัก
ย่อมให้ธาตุต่างๆ ครบวงจรเราจะเน้นหนักที่ผักสดในเขียวบ้างก็เพื่อช่วยการบำรุง
ส่วยอวัยวะปอดที่ต้องการพืชเขียว หรือโคโรฟินหรือช่วยสังเคราะห์พลังของ
ปอดเป็นพืชสมัยใหม่ซึ่งเกี่ยวโยงกับวิวัฒนาการมนุษย์จากสัตว์น้ำเป็นสัตว์
บก และเป็น สัตว์ที่มีระบบการหายใจด้วยปอด และระบายความร้อนทางผิวหนัง
ผักสดสลัดคู่กับปอด ส่วนท้ายของเมนูอาหารควรบรรจุอาหารประเภทผัก
ดองเล็กน้อย เพื่อเป็นการช่วยสร้างพลังในการย่อยสารอาหารในกระเพาะ
เพราะผักดองมีจุลชีพและการทำงานของสภาวะความเป็นด่างเพื่อ
ควบคุมสภาวะน้ำย่อยให้คงที่ รวมไปถึงเครื่องมือตอนท้ายของการรับ
ประทานมื้อหนึ่งของอาหารให้ครบสมบูรณ์คือ น้ำชาน้ำชาคือเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเป็นยาของคนจี
นนับพันปีมาแล้ว น้ำชาเป็น ด่างช่วยย่อยไขมันเป็นกรดลดความเข้มข้นของน้ำตาลในเลือด น้ำชาอุ่นให้
ความร้อนพลังงานง่ายต่อการย่อยอาหารของกระเพาะ กระเพาะจะแข็งแรง
ไม่จุกเสียด และลดมลพิษจากอาหาร ปัญหาเรื่องสิวใบหน้าจะลดลงด้วย
การรับประทานอาหารที่กฎง่ายๆ ที่ควรระลึกไว้ก็คือ ให้เริ่มรับประทานของที่
เป็นหยางก่อน แล้วต่อมาจึงเป็นหยินในที่สุด จากข้าว ถั่วพืชรากล้วนเป็นหยางเด่นเป็นใบผักต้มผัก
เป็นน้ำชาของเหลวเป็นหยิน ประกอบกับมีการปรุงอาหารด้วยปัจจัยน้ำ ไฟ
ความร้อน น้ำมัน ทำให้เราสามารถปรับดุลพลังในอาหารจากพืช
ผักดิบและ อาหารที่มีคุณค่าต่อสุขภาพและควบคู่กับอวัยวะภายในตามแบบฉบับที่ธรรมชาติ
วางแนว กำหนดนโยบายเอาไว้ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์
การเคี้ยวอาหารเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนมองข้าม ทุกมื้อ ทุกวัน
คนโบราณเปรียบปากฟันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผลิตผลในธรรมชาติได้ผ่านประตูแรกเข้าสู่
อาณาจักรของสิ่งมีชีวิตการเคี้ยวคือการคารวะต่อบรรพบุรุษของธรรมชาติ
ผู้ให้กำเนิดแห่งสรรพสิ่ง
การเคี้ยวอาหารในปากพร้อมน้ำลายให้ประโยชน์ 3 ระดับคือ
1. การเคี้ยวเป็นการช่วยย่อยโครงสร้างโมเลกุลของ
หน่วยต่างๆ ในอาหารให้เล็กและย่อยออกเป็นส่วนในแง่ของโครงสร้างคือ ทำให้เล็กลง
2.การเคี้ยวเป็นการช่วยสกัดหรือบีบคั้นสารอาหาร
ที่คลุกเคล้ากับน้ำลายให้ได้รับการเตรียมการง่าย
ต่อการดูดซึมต่อไปในกระเพาะและลำไส้ เป็นการดูดซึมก่อนเบื้องต้น
3. การเคี้ยวเป็นการถอดรหัสพลังในรูปสาร
ธรรมชาติให้ตรงตามและสะดวกง่ายต่อ
การทำงานขั้นต่อไปในลำไส้เล็กและใหญ่ ทั้งนี้เราต้องไม่ลืมว่าหลังจากการกลืนอาหารลงคอ
แล้วในกระเพาะไม ่มีอุปกรณ์เครื่องมือที่แข็งและ
มีความสามารถในการบดหรือทุบเคี้ยวหั่นใดๆ
นอกจากใช้น้ำย่อยเป็นปัจจัยหลักและการ
สั่นสะเทือนของหลอดลำไส้ที่เคลื่อนไหวเหมือน
กระแสคลื่นในทะเลเป็นพลังงานช่วยใน การย่อยเท่านั้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือและสงสารโดยการลดภาระ
การปฏิบัติหน้าที่ของระบบย่อยอาหารของเรา เราควรฝึกฝน หมั่นขยันในการ
เคี้ยวอาหารให้นาน และละเอียดกว่าเดิมมากขึ้นจนเป็นนิสัย การเคี้ยวเป็น
การป้องกันและดูแลสุขภาพร่างกายที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำ
เป็นต้องพึ่งยา หรือหมอในการรักษาโรคภัยที่อาจจะตามมาภายหลัง
การเคี้ยวจึงเป็นศิลปะการป้องกันตัวของมนุษย์เบื้องต้น
ที่เราควรอนุรักษ์และส่ง เสริมให้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่
การเสื่อมของวงการยาปรากฏออกมาเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า มีแต่ผลร้ายตาม
มาในที่สุด
โดยคุณ : คารวะบรรพบุรุษ