++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต

สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต





สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย pasu@acc.chula.ac.th กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553
สัปดาห์นี้เปลี่ยนอาร มณ์หน่อยนะครับ เพราะพอดีไปเจอบทความเรื่องหนึ่ง โดย Bronnie Ware ซึ่งเป็นนักเขียนอิสระอยู่ที่ออสเตรเลีย โดยนักเขียนผู้นี้เคยทำงานดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุย และรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่ถ้าทำได้อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นที่มักจะพบในผู้ป่วยที่กำลังใกล้เสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่ครับ
ประเด็นแรก คือ ผู้ป่วยเหล่านี้อยากจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ตนเองอยากหรือต้องการจะเป็น ไม่ใช่ดำรงชีวิตตามความต้องการหรือความคาดหวังของผู้อื่น ซึ่งพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยอยากจะเปลี่ยนแปลงมากที่สุดครับ เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยพบว่าชีวิตตนเองกำลังจะสูญเสียไป และมีโอกาสมองย้อนกลับไปในอดีตนั้น จะพบว่ามีความฝันหลายๆ อย่างที่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำหรือยังไม่บรรลุ และเมื่อใกล้จะเสียชีวิตก็จะพบว่าความฝันของตนเองนั้นจะไม่มีวันบรรลุ และส่วนใหญ่ก็มักจะมานั่งนึกเสียใจ เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้นั้น เป็นเพราะตัวเองเลือกที่จะไม่ทำเอง ตัวเองเลือกที่จะทำตามสิ่งที่ผู้อื่นขีดเส้นทางให้เดิน
ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกๆ ท่านนะครับ ที่ในช่วงชีวิตหนึ่ง ถ้ามีโอกาสและเลือกได้ก็ควรจะเด ินตามความฝันของตัวท่านเอง เพราะคนเราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเมื่อวันนั้นมาถึง เราก็คงจะไม่มีแรงที่จะเดินตามความฝันที่เราต้องการแล้ว การมีสุขภาพที่ดีจะช่วยทำให้ท่านเดินตามความฝันได้ แต่เมื่อใดก็ตาม ที่สุขภาพท่านเริ่มแย่แล้ว อิสระในการเดินตามฝันก็ท่านก็จะลดน้อยลง
ประเด็นที่สอง คือ ผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตเหล่านั้น คิดเสียใจว่าในอดีตจะไม่ได้ทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์นี้ มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยชายเกือบทุกคนเลยครับ คุณผู้ชายเหล่านี้มักจะเสียใจว่าในอดีตที่ผ่านมา ไม่ค่อยได้มีเวลาในการดูแลลูกๆ ของตนเท่าที่ควร รวมทั้งไม่ได้อยู่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากภรรยาเท่าที่ควร ผู้ป่วยที่เป็นชายเกือบทุกคนจะรู้สึกเสียดายว่าในอดีตใช้ และให้เวลากับงานมากเกินไป
ข้อสังเกตนี้ก็น่าคิดนะครับ ว่าในปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับการทำงานมากเกินไปหรือไม่ เราต้องการแสวงหารายได้ ชื่อเสียง เกียรติยศมากเกินไปหรือไม่ สุดท้ายเมื่อเราใกล้ตายเราจะสำนึกเสียใจว่าเราได้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับมาหรือไม่ การมีรายได้ที่พอเพียงอาจจะเป็นทางออกสำหรับทุกท่านนะครับ อีกทั้งการมีที่ว่างในตารางเวลาและชีวิต ที่ไม่ใช่เรื่องของการทำงานเพียงอย่างเดียว จะทำให้เรามีความสุขขึ้น และเมื่อเราใกล้เสียชีวิต จะไม่มานั่งย้อนนึกเสียใจในสิ่งที่เราพลาดไป
ประเด็นที่สาม คือ ผู้ป่วยอยาก จะกล้าที่จะแสดงอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เนื่องจากคนจำนวนมากจะปิดกั้นอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบและสันติ ทำให้สุดท้ายแต่ละคนรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองถูกเก็บกด และไม่สามารถเป็นตัวตนที่แท้จริง
ประเด็นที่สี่ คือ ผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตนั้น มักจะเสียใจที่ไม่ได้ติดต่อเพื่อนฝูงเก่าๆ เนื่องจากเรามักจะไม่ค่อยเห็นถึงคุณค่าของเพื่อนเก่าๆ จนกระทั่งใกล้เสียชีวิต คนจำนวนมากจะมัวแต่ยุ่งและวุ่นวายกับชีวิตประจำวัน จนละเลยต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง ทำให้เรามักจะไม่ค่อยให้ความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงต่างๆ จนกระทั่งใกล้จะเสียชีวิต ก็จะเริ่มนึกถึงเพื่อนฝูงขึ้นมา
ดูเหมือนว่าเมื่อคนใกล้จะเสียชีวิต เกียรติยศ เงินทอง หรือสถานะทางสังคมต่างๆ กลับดูไปจะด้อยหรือไร้ความหมายนะครับ สุดท้ายดูเหมือนว่า เรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยที่กำลังใกล้ตายนึกถึง
ประเด็นสุดท้าย ซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยเหล่านี้กลับสำนึกเสียใจว่าไม่ได้ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของตนเองมีความสุขเท่าที่ควร ผู้ป่วยหลายคนจะไม่เคยนึกถึงมาก่อนนะครับว่าตนเองสามารถที่จะเลือกที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้ คนจำนวนมากเลือกที่จะอยู่และปฏิบัติในสิ่งที่คุ้นเคย ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้คนเรามักจะหลอกตนเองว่าสิ ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมีความสุข ซึ่งจริงๆ แล้วกลับไม่ใช้
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับว่าเมื่อคนเราใกล้จะตายนั้น เรามักจะนึกย้อนกลับไปถึงอดีต และเริ่มสำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำหรือไม่ได้ทำมาในอดีต และเราจะพบว่าเมื่อเราใกล้ตายแล้ว เงินทอง ชื่อเสียง สถานะ เกียรติยศต่างๆ กลับไม่มีความหมาย สิ่งที่มีความหมายเมื่อใกล้ตาย คือ เรื่องของความรักและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งหลายครั้งกลับกลายเป็นสิ่งที่เราละเลยหรือไม่สนใจในขณะที่เรามีชีวิตอยู่
นอกจากนี้ เมื่อใกล้ตาย คนเราจะพบว่าชีวิตในอดีตที่ผ่านมานั้นเรามีสิทธิที่จะเลือก แต่เราดันเลือกในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข หรือเลือกในสิ่งที่ทำให้เราต้องมาย้อนสำนึกเสียใจ เมื่อเราใกล้ตาย ดังนั้น ในขณะที่เรายังม ีชีวิตอยู่และยังแข็งแรง เราจะต้องเลือกอย่างมีสติ เลือกอย่างฉลาด เลือกในสิ่งที่ถูก และเลือกในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนะครับ

พ.ร.บ .คุ้มครองความเสียหายฯ กับผลกระทบด้านลบต่อสังคมในระยะยาว

พ.ร.บ .คุ้มครองความเสียหายฯ กับผลกระทบด้านลบต่อสังคมในระยะยาว
โดย สุจิตรา


แรกทีเดียวผู้เขียนรู้สึกเพียงแค่ “เฉยๆ” กับ (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พศ. ... แต่ก็สังเกตเห็นว่าเริ่มมีแพทย์จำนวนมากที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับ (ร่าง) พ.ร.บ.ผู้เขียนจึงเริ่มสนใจและศึกษาในรายละเอียดของ (ร่าง) พ.ร.บ. ฉบับนี้ ซึ่งก็ทำให้ได้เห็นประเด็นที่สร้างปัญหาแก่ผู้ปฏิบัติงานเพราะมีความไม่ ชัดเจนในหลายมาตรา นี่คือความไม่ชัดเจนในมิติด้านความเข้าใจหรือด้านการปฏิบัติตาม ครั้นเมื่อได้กลับมาคิดทบทวน ได้กลับไปศึกษาใหม่ ได้เทียบเคียงกับกฎหมายอื่น ได้เทียบเคียงกับปัญหาทางสังคมอื่นๆ ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ผู้เขียนก็ยิ่งมีความไม่เห็นด้วยเป็นทับทวี

ได้มีผู้รู้หลายท่านวิพากษ์ (ร่าง) พ.ร.บ.ฉบับนี้ในแง่ที่จะก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบกับผู้ให้บริการด้านสาธารณ สุขและตัวระบบการให้บริการสาธารณสุข ซึ่งผู้เขียนคงไม่ไปวิพากษ์ในประเด็นเหล่านี้ ท่านใดที่สนใจสามารถสอบถามจากรองเลขาธิการแพทยสภา ซึ่งรองเลขาฯ สามารถที่จะแสดงให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน

ประเด็นที่ผู้เขียนสนใจและตั้งคำถามคือประเด็นผลกระทบต่อสังคมในระยะ ยาว ทั้งนี้โดยพิจารณาจากกรอบแนวคิด โมเดลการแก้ปัญหา กระบวนการยกร่างจนมาสู่ (ร่าง) พ.ร.บ.ที่ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

ใน (ร่าง) พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวได้กำหนดให้มีกองทุนเพื่อชดเชยความเสียหายจากการรับ บริการสาธารณสุขโดยไม่ต้องพิสูจน์ความรับผิด (ตามมาตรา 5 ของ (ร่าง) พ.ร.บ.ฉบับนี้) และเงินจากกองทุนก็มาจากเงินที่กำหนดให้สถานพยาบาลต่างๆ (รวมทั้งคลินิกที่ให้บริการในระดับชุมชนและร้านขายยาทุกร้าน) ต้องมาลงขันกันก่อน ทั้งจากโรงพยาบาลรัฐและเอกชนแล้ว ด้วยเหตุผลว่าสถานพยาบาลทุกแห่งเป็นผู้ให้บริการเหมือนกันและอาจมีโอกาสที่ จะเกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์

ผู้เขียนคิดว่าถ้าสังคมเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว สังคมก็ควรที่จะต้องมีกองทุนเพื่อชดเชยความเสียหายจากการใช้ถนนที่สร้าง อย่างไม่มีคุณภาพโดยไม่ต้องพิสูจน์ความรับผิด เช่น ถนนที่สร้างแล้วเกิดเป็นหลุมบ่อและทำให้ระบบช่วงล่างของรถได้รับความเสียหาย (ไม่มากก็น้อย) ถนนที่สร้างแล้วไม่ลาดเอียงตรงโค้งอย่างเพียงพอรวมทั้งไม่มีไฟถนนอย่างพอ เพียง ทำให้รถที่วิ่งผ่านโค้งนั้นๆ ในยามค่ำมืดอาจเกิดอุบัติเหตุรถตกไหล่ทางหรือแหกโค้ง รวมทั้งรถชนกันหรือชนคนข้ามถนนซึ่งก็ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อชีวิตและ ทรัพย์สิน ในส่วนเงินของกองทุนเพื่อชดเชยความเสียหายจากการใช้ถนนฯ ก็กำหนดให้บริษัทรับสร้างถนนทั้งบริษัทเล็กและใหญ่ทั่วประเทศ (รวมทั้งบริษัทต่างชาติ) การไฟฟ้าภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง (เพราะเป็นคนติดตั้งไฟที่ควรจะพอเพียงเนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญ)

การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (เพราะอาจผลิตไฟไม่เพียงพอทำให้ไฟส่องสว่างถนนไม่สว่างเพียงพอ) และบริษัทน้อยใหญ่ที่รับทำราวกั้นขอบถนน (เพราะทำให้รถเสียหาย รถบุบ ไม่มีคุณภาพอย่างในเยอรมนี และไม่สามารถป้องกันรถไม่ให้ตกลงคูข้างถนน) รวมทั้งงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของทุกคน ในรูปเงินอุดหนุนจากรัฐบาล (ซึ่งรวมทั้งภาษีจากคนที่ไม่ได้ขับรถด้วยเพราะขับไม่เป็น) ถ้าหน่วยงานหรือผู้ประกอบการใดไม่ส่งเงินเข้าร่วมสมทบก็มีความผิดอาจถูกยึด หรืออายัดทรัพย์สินเพื่อให้ชำระเงินได้

เช่นกัน สังคมก็ควรที่จะเรียกร้องให้มีกฎหมายที่กำหนดให้ต้องมีกองทุนเพื่อชดเชยความ เสียหายจากการบริโภคอาหาร เครื่องสำอาง เครื่องดื่ม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย โดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด เช่น อาหารที่ทำให้ท้องเสีย อาหารที่ไม่มีคุณค่าอาหาร อาหารที่ไม่เป็นไปตามภาพที่ปรากฏในเมนูอาหาร อาหารที่ปนเปื้อนทั้งสารฟอกขาว สารบอแรกซ์ ฯลฯ

อาหารที่ทำให้เกิดเศษอาหารติดค้างตามร่องฟันและทำให้ฟันผุ เครื่องสำอางที่ใช้แล้วหน้าหรือรักแร้ไม่ขาวดังคำโฆษณา เครื่องดื่มของหวานอัดลมที่ทำให้ฟันผุ ครีมหน้าขาวประเภท “กวนเอง” และทำให้เกิดอาการแพ้บนใบหน้า เสื้อผ้าที่ขาดรุ่ยเป็นขุยง่ายและตะเข็บแตกง่าย เสื้อสีตกและทำให้เสื้อผ้าชิ้นอื่นที่ซักร่วมกันเสียหาย เงินกองทุนก็ต้องมาจากบริษัทผู้ผลิตเสื้อผ้าทุกราย ผู้ผลิตเครื่องสำอางทุกราย และร้านอาหารทั้งเล็กใหญ่ทุกราย ทั้งผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรายใหญ่ระดับประเทศและรายเล็กประจำชุมชน รวมทั้งงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของทุกคน ในรูปเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ถ้าหน่วยงานหรือผู้ประกอบการใดไม่ส่งเงินเข้าร่วมสมทบก็มีความผิดอาจถูกยึด หรืออายัดทรัพย์สินเพื่อให้ชำระเงินได้

และเช่นกัน สังคมก็ควรที่จะเรียกร้องให้กฎหมายที่กำหนดให้ต้องมีกองทุนเพื่อชดเชยความ เสียหายจากการซื้อบ้านหรือห้องพักหรืออาคารชุด โดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด เช่น บ้านที่ทรุดอย่างมาก บ้านที่ทรุดก่อนเวลา หมู่บ้านที่น้ำท่วมขังในหน้าฝน บ้านที่ไม่ได้คุณภาพ เช่น หลังคารั่ว พื้นปาร์เก้โก่งยกลอย หมู่บ้านที่ไม่มีส่วนกลางหรูตามที่โฆษณา บ้านอาคารชุดหรือห้องแถวที่สร้างไม่เสร็จทั้งจากผู้ประกอบการที่มีปัญหาการ ขาดสภาพคล่องรวมทั้งผู้ประกอบการที่ตั้งใจจะหลอกลวงผู้ซื้อ

หมู่บ้านที่ขโมยขึ้นบ้านเพราะระบบรักษาความปลอดภัยไม่ดีพอ เงินกองทุนในกรณีนี้ก็มาจากบริษัทก่อสร้างทุกราย ทั้งรายใหญ่ระดับบิ๊กโฟร์ของประเทศ และรายย่อยระดับตำบลตามชายแดน เจ้าของอาคารชุดและนิติบุคคลที่กำลังยื่นคำขอก่อสร้างนิติบุคคลของหมู่บ้าน บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเบื้องมุงหลังคา และบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายปาร์เก้ บริษัทผู้ผลิตเสาเข็มก่อสร้าง กรมทะเบียนการค้าและกระทรวงพาณิชย์ที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบประวัติผู้ขอ ขึ้นทะเบียนการค้าแต่ไม่สามารถตรวจพบผู้ประกอบการที่มีประวัติตั้งใจหลอกลวง ผู้บริโภค รวมทั้งเงินที่มาจากงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของทุกคนในรูปเงินอุดหนุน จากรัฐบาล และเช่นกัน ถ้าหน่วยงานหรือผู้ประกอบการใดไม่ส่งเงินเข้าร่วมสมทบก็มีความผิดอาจถูกยึด หรืออายัดทรัพย์สินเพื่อให้ชำระเงินได้

แล้วกองทุนชดเชยความเสียหายจากกระบวนการยุติธรรมล่ะ?

ในปัจจุบันมีกฎหมายดังกล่าวแล้ว นั่นคือ “พ.ร.บ. ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544” แต่ตาม พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว จำเลยผู้บริสุทธิ์ในคดีอาญาซึ่งคือผู้ที่ถูกกักขังแต่ในที่สุดแล้วเป็นผู้ บริสุทธิ์ (เช่นจำเลยในคดีเชอรี่ แอน ดันแคน) จะได้รับการชดเชยก็ต่อเมื่อคดีถึงที่สิ้นสุด (คือฎีกา) ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่า 10 ถึง 20 ปี ทำไมถึงไม่ชดเชยตั้งแต่ในชั้นที่ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้นเลยโดย ไม่ต้องรอให้คดีถึงที่สิ้นสุด

ถ้าศาลฎีกากลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์แล้วจึงค่อยนำเงินคืน ในส่วนของเงินที่จ่ายตามพ.ร.บ.ฉบับนี้ก็เป็นเงินที่กระทรวงยุติธรรมต้องขอ จากงบประมาณแผ่นดินจากรัฐบาลเป็นปีต่อปี ทำไม พ.ร.บ.นี้จึงไม่กำหนดให้ตั้งเป็นกองทุนเพื่อชดเชยผู้เสียหายจากกระบวนการ ยุติธรรมโดยเก็บเงินสมทบจากสถานีตำรวจภูธรตำบลทุกตำบล สถานีตำรวจภูธรอำเภอทุกอำเภอ สถานีตำรวจในเขตนครบาลทุกแห่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากสำนักงานอัยการจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานอัยการสูงสุด จากศาลยุติธรรมชั้นต้นทั้งศาลแขวง ศาลจังหวัด ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา จากสำนักงานทนายความเอกชนทุกแห่งทั้งใหญ่เล็กในประเทศทั้งสำนักงานทนายความ ของคนไทยและที่เป็นสาขาของชาวต่างชาติ

แล้วกองทุนผู้ได้รับความเสียหายจากการศึกษา ประมาณว่า เรียนแล้วสอบตก สอบเข้าศึกษาต่อสถาบันอื่นไม่ได้ กองทุนผู้ได้รับความเสียหายจากการได้รับบริการด้านสื่อมวลชน เช่น สื่อมวลชนที่ลงข่าวและทำให้เสียชื่อเสียง ลงข่าวผิดพลาด กองทุนผู้ได้รับความเสียหายจากการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค กองทุนชดเชยความเสียหายจากการใช้บริการโทรคมนาคม กองทุนชดเชยความเสียหายจากการใช้บริการขนส่งทั้งทางบก ทางอากาศ และทางน้ำ รวมทั้งกองทุนในด้านต่างๆ อีกมากมาย

เมื่อไล่เรียงไปในแต่ละกองทุนที่อุบัติขึ้นมาแล้ว และที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา (ตามที่กล่าวในตอนต้น) สุดท้ายแล้วทุกหน่วยงานของรัฐและผู้ประกอบการเอกชนก็ต้องถูกกำหนดและบังคับ ให้ต้องร่วมจ่ายเงินสมทบกับกองทุนใดกองทุนหนึ่ง หรืออาจหลายกองทุนพร้อมๆ กัน รวมทั้งเงินงบประมาณของแผ่นดินจำนวนมหาศาลที่ต้องมาสนับสนุนกองทุนเหล่านี้ เพียงเพื่อเตรียมชดเชยความเสียหาย โดยปล่อยให้คณะกรรมการกองทุนเป็นผู้บริหาร รวมทั้งคณะอนุกรรมการที่เป็นผู้ปฏิบัติและมีอิทธิพลที่แท้จริงในแต่ละชุด

งบประมาณแผ่นดินที่ควรนำไปจัดสรรเพื่อการลงทุนของประเทศและพัฒนา ประเทศในด้านต่างๆ ซึ่งโดยปกติก็คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากอยู่แล้วก็จะต้องถูกลดทอนไปเพื่อกอง ทุนเหล่านี้ การจ่ายของกองทุนเหล่านี้ในทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าเป็นการใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้ เกิดผลผลิต (Non-productive expenditure)

ท่านผู้อ่านคิดว่าจำนวนการฟ้องร้องในเรื่องต่างๆ เหล่านี้เพื่อเรียกร้องการชดเชยจากกองทุนต่างๆ จะมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ หรือแนวโน้มจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ

ท่านผู้อ่านคิดว่าเมื่อมีกองทุนต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว เงินชดเชยรวมจากกองทุนต่างๆ ที่ต้องใช้เพื่อชดเชยตามคำเรียกร้องเหล่านี้จะมีแนวโน้มการจ่ายมากขึ้น เรื่อยๆ ในแต่ละปีหรือลดลงไปเรื่อยๆ ในแต่ละปี

ท่านผู้อ่านคิดว่า เมื่อมีกองทุนต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว สังคมในอนาคตจะวุ่นวายหรือไม่

ท่านผู้อ่านคิดว่า เมื่อมีกองทุนต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ประเทศชาติจะพัฒนาอย่างเต็มที่ได้อย่างไร

ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจคิดแย้งว่า กองทุนอื่นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งขึ้นมาเพราะมีศาลแพ่งในคดีละเมิดและ ศาลอาญาในกรณีที่เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือกรณีที่เข้าข่ายเป็นคดีอาญาอยู่ แล้ว ผู้ใช้บริการด้านต่างๆ สามารถฟ้องร้องเป็นคดีแพ่งและคดีอาญาได้

คำถามคือ แล้วทำไมจึงต้องมีกองทุนความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขในเมื่อก็ไม่ ได้ตัดสิทธิการฟ้องร้องทางคดีแพ่งและคดีอาญาอยู่แล้วเช่นกัน

โดยส่วนตัวนั้น ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับการที่ต้องนำเงินทั้งเงินภาษีประชาชนในรูปของเงินงบ ประมาณและเงินของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่อาจมีคุณภาพและไม่ได้มีส่วน ในการก่อให้เกิดผลเสียหายในการให้บริการสาธารณสุขมารวมกันและให้กลุ่มบุคคล ในนามของ “คณะกรรมการบริหารกองทุน” มาเป็นผู้ดูแลกองทุน แม้จะมีความพยายามอธิบายว่า มีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินมาคอยทำหน้าที่ตรวจสอบงบการเงินและรับรองดังความ ในมาตรา 24 แต่นั่นก็มิได้เป็นหลักประกันที่แท้จริง เพราะมิเช่นนั้นประเทศไทยคงไม่ได้อยู่ลำดับที่ 15 จากทั้งหมด 16 ประเทศจากการจัดอันดับประเทศคอร์รัปชันในเอเชียในปี 2552 โดยบริษัทปรึกษาความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและการเมือง หรือ PERC - Political and Economic Risk Consultancy Ltd. ประเทศไทยได้คะแนน 7.63 ชนะประเทศอินโดนีเซียอยู่ประเทศเดียว และเลวร้ายกว่ากัมพูชาซึ่งได้ 7.0 (ยิ่งคะแนนมาก ยิ่งคอร์รัปชันมาก)

ถ้าการลงขันกันของสถานพยาบาลต่างๆ เป็นในรูปของการซื้อประกันความเสี่ยง สถานพยาบาลนั้นๆ ไม่ต้องมาวุ่นวายกับการฟ้องร้องหรือคดีความเพราะมีผู้ดำเนินการให้ และไม่ต้องถูกรบกวนให้ต้องลงขันเพิ่มในปีต่อไปแม้ว่าจะเกิดความเสียหายจริง จากการให้บริการสาธารณสุขของสถานพยาบาลนั้นๆ การลงขันในกองทุนก็อาจจะเป็นการคุ้มค่า และการมีกองทุนชดเชยความสียหายต่างๆ ก็อาจเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่สังคม แต่จะเห็นได้ว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้มิได้ห้ามการฟ้องร้องทางแพ่งและทางอาญาต่อศาล และศาลอาจพิจารณาให้สถานพยาบาลจ่ายมากกว่าที่เงินกองทุนที่จะจ่ายให้ นั่นหมายความว่าสถานพยาบาลนั้นก็ต้องจ่ายอยู่ดี รวมทั้งการลงขันในปีต่อไปก็อาจมีการปรับให้จ่ายเงินลงขันมากขึ้น ถ้าพบว่าเกิดเหตุการณ์ความเสียหายจากสถานพยาบาลนั้น ตามความในมาตรา 21

ทำไมจึงไม่เพียงตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาตามมาตรา 5 และมาตรา 6 และถ้าคำร้องมีมูลคณะกรรมการก็มีคำสั่งการให้สถานพยาบาลนั้นๆ ที่ถูกร้องและหน่วยงานต้นสังกัดของสถานพยาบาลนั้นๆ (ในกรณีเป็นสถานพยาบาลของรัฐ) จ่ายชดเชยในเบื้องต้นให้แก่ผู้รับบริการ และรอผลการพิจารณาของศาลในที่สุด ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้สถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนที่ดีมีคุณภาพใส่ใจต่อการ ให้บริการสาธารณสุขซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของสถานพยาบาลทั้งหมดก็ไม่ต้องมีภาระใน การต้องจัดเงินมาลงขันในกองทุนดังกล่าว รวมทั้งไม่เป็นภาระแก่เงินงบประมาณแผ่นดินของประเทศซึ่งรัฐบาลควรที่จะนำ เงินดังกล่าวไปลงทุนโดยเฉพาะด้านทรัพยากรมนุษย์คือลงทุนด้านการศึกษาและการ ลงทุนในการการยกระดับจิตใจคนในสังคมเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างเอื้อ อาทร อย่างมีคุณธรรมและอย่างมีมนุษยธรรม

ถึงเวลาหรือยังที่สังคมเราจะปฏิรูปกระบวนการออกกฎหมายโดย

1. ผู้ยกร่างกฎหมายและผู้เสนอร่างกฎหมายจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วน ได้เสียในกระบวนการบังคับใช้กฎหมายเป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี ยก เว้นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงินที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินได้ตามกฎหมาย ดังกล่าวเป็นเงินของแผ่นดิน (ในกรณี (ร่าง) พ.ร.บ.ฉบับนี้ ผู้มีรายชื่อในการประชุมเพื่อยกร่างทั้งในส่วนของข้าราชการของกรมสนับสนุน บริการสุขภาพ และผู้มีรายชื่อในส่วนของตัวแทนของผู้บริโภคจะต้องไม่ดำรงตำแหน่งทั้งในคณะ กรรมการ หรือในคณะอนุกรรมการเป็นเวลา 10 ปี) ทั้งนี้เพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจในการผลักดันร่างกฎหมายฉบับนั้นๆ

2. รัฐบาลมีหน้าที่ที่จะบริหารประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าโดยผ่านการลงทุนและ การพัฒนาที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคม รัฐสภามีหน้าที่ในการกำกับทิศทางของรัฐบาล และสังคม (ที่เจริญ) มีหน้าที่ในการติดตามการดำเนินงานของทุกฝ่าย ทุกคนในสังคมควรพยายามช่วยกันด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อที่จะให้ทั้งรัฐบาล รัฐสภา และสังคมได้ทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์ ทั้งด้วยการวิพากษ์ การวิจารณ์ ให้ข้อเสนแนะ ทำการตรวจสอบ การเดินขบวนประท้วง รวมทั้งการทำสิ่งที่เรียกว่า “Social Sanction” หรืออื่นๆ

กลุ่ม คนในสังคมไม่ควรแสดงความไม่ไว้ใจในรัฐบาล หรือรัฐสภา และเชื่อว่าตนบริหารได้ดีกว่าจนนำมาสู่ความพยายามถ่ายโอนอำนาจบริหารและ ทรัพยากรเงินมาอยู่ในมือตนโดยการออกกฎหมายในรูปแบบที่จะทำให้เกิดกองทุนโดย นำเงินมาจากงบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นเงินของประชาชนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดหรือบังคับให้องค์กรอื่นต้องเข้าร่วมสมทบเงินใน กองทุนนั้นๆ และให้ “คณะกรรมการกองทุน” เป็นผู้บริหาร

3. เพื่อให้สอดคล้องกับคำว่า “ประชาธิปไตย” (ซึ่งย่อมมิใช่ “ผู้แทนราษฎรธิปไตย” หรือ “พรรคการเมืองธิปไตย” ) และเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์จากความพร้อมของเทคโนโลยีการสื่อสารของสังคมใน ปัจจุบันรวมทั้งเครือข่ายสังคมทางอินเทอร์เน็ต (ร่าง) กฎหมายที่จะเสนอเป็นพระราชบัญญัติ (ซึ่ง โดยปกติไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เพราะเรื่องที่เร่งด่วน เรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคง หรือเรื่องที่ต้องปกปิดไม่สามารถแพร่งพรายแก่สาธารณชนก่อนเวลาได้ด้วยเหตุ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน อาทิ

การลดค่าเงิน รัฐบาลจะออกเป็นพระราชกำหนดและมีผลบังคับใช้แล้วจึงจะนำเข้าสู่สภาเพื่อออกเป็น พ.ร.บ.ตามมาในภายหลัง) ควรจะต้องเผยแพร่ให้ประชาชนทราบเพื่อร่วมกันในการแสดงความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ ก่อนที่จะเข้าสู่รัฐสภา และ ได้ข้อยุติที่สังคมยอมรับร่วมกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชิงเจตนารมณ์หรือหลัก การ การนำไปปฏิบัติ ความขัดแย้งกับหลักการหรือค่านิยมที่สำคัญของประเทศ รวมทั้งความขัดแย้งในทางปฏิบัติหรือหลักการกับกฎหมายอื่นที่ถือปฏิบัติอยู่ แล้ว เพื่อมิให้เกิดปัญหาดังเช่น (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองความเสียหายฯ

สาระสำคัญของการระบบการปกครองที่ดีมิได้อยู่ที่กระบวนการใช้อำนาจว่า ใช้โดยบุคคลเดียว โดยกลุ่มบุคคลกลุ่มเดียวที่เรียกว่า “เผด็จการ” หรือโดยคนหมู่มากของสังคมที่เรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตย” สาระสำคัญของการระบบการปกครองที่ดีอยู่ที่ว่าการปกครองนั้นต้องเป็นไปเพื่อ ประโยชน์ของคนหมู่มากของสังคม

แต่ประโยชน์ของคนหมู่มากในขณะนั้น (ซึ่งในที่สุดก็ต้องตายจากไป) ก็ต้องไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมในระยะยาว ประวัติ ศาสตร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ถ้าสิ่งที่ผู้ร้ายที่ชื่อ “ระบอบเผด็จการ” ทำไปนั้นเพื่อประโยชน์ของสังคมระยะยาวแล้วก็ดูจะมีประโยชน์และคุณานุปการต่อ สังคมมากกว่าพระเอกที่ชื่อ “ระบอบประชาธิปไตย” ที่ยังประโยชน์เพียงคนหมู่มากในขณะนั้นแต่อาจทิ้งผลกรรมไว้ให้แก่สังคมใน ระยะยาวและแก่คนรุ่นหลัง

น้ำท่วมกับน้ำใจไทย

โดย สิริอัญญา

ได้บอกกล่าวเล่าเตือนเรื่องอุทกภัยหรือภัยจากน้ำท่วม ภัยจากดินถล่ม และภัยจากแผ่นดินไหวมาตลอดทั้งปีถึงวันนี้ภัยน้ำท่วมและดินถล่มได้เกิดขึ้นแล้ว คงเหลือแต่ภัยแผ่นดินไหว ซึ่งแม้ว่าจะมีการไหวเล็กๆ บ้างแล้ว แต่นั่นยังไม่ใช่ของจริง

มันเป็นเวรกรรมของประเทศไทยที่นักการเมืองไม่เคยใส่ใจในความที่จะเป็นไปในบ้านเมือง โดยเฉพาะภัยต่างๆ ที่จะบังเกิดแก่ประเทศชาติและราษฎร

ดังนั้น ถึงจะมีใครบอกกล่าวเล่าเตือนจนหูดับหูแตกอย่างไร นักการเมืองก็ไม่ใส่ใจ ยังคงตั้งหน้าโกงบ้านกินเมือง และทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงอำนาจกันอย่างไม่หยุดยั้ง

น้ำท่วมคราวนี้ว่ากันว่ามีความรุนแรงมากที่สุดเท่าที่เกิดขึ้นมาในระยะ 30 ปีมานี้ เพราะคราวนี้เป็นน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่หลายจังหวัด แต่ละจังหวัดก็ท่วมมาก จนไร่นาสาโท บ้านเรือนและทรัพย์สินราษฎรเสียหายยับเยิน

เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว นักการเมืองก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับเรื่องการโกงกิน และการทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงผลประโยชน์ มิได้ใส่ใจไยดีในความเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎรเลย

จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงติดตามสถานการณ์และพระราชทานความช่วยเหลือมาเป็นระยะๆ ในหลายพื้นที่ ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 10 ล้านบาท เพื่อให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์นำไปช่วยเหลือราษฎร จึงทำให้เกิดตื่นตัวกันเป็นครั้งใหญ่

ชาวเน็ตและชาวทวิภพได้พากันหวีดข้อความสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งทวิภพ ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และพากันเรียกร้องให้ผองไทยได้ร่วมมือกันช่วยเหลือคนไทยด้วยกันเอง

น้ำเสียง น้ำคำ ที่พร่ำบอกกันนั้นล้วนสะท้อนความสิ้นหวังและไม่หวังว่ารัฐบาลจะใส่ใจดูแลหรือนักการเมืองจะเอาใจใส่แก้ไขปัญหานี้

ดังนั้นชาวบ้านตาดำๆ จึงได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร่วมกันบริจาคทรัพย์สินเงินทองข้าวของเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติด้วยกันเป็นการจ้าละหวั่น มีการตั้งกลุ่ม ตั้งขบวน ระดมความช่วยเหลือกันอย่างกว้างขวาง

ในขณะที่ประชาชนตื่นแล้ว ภาครัฐก็ยังไม่ตื่น มิหนำซ้ำ ยังมีถ้อยคำทำให้คนไทยช้ำใจหนักขึ้นไปอีก นั่นคือการแสดงท่าทีที่จะตั้งคณะกรรมการเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยน้ำท่วม

พอข่าวเรื่องจะตั้งคณะกรรมการออกไปเท่านั้น ก็ถูกโห่ฮาป่ากันทั้งทวิภพ เพราะในแผ่นดินนี้ผู้คนเอือมระอาและไม่เคยหวังการทำงานของคณะกรรมการใดๆ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าวิธีทำงานแบบตั้งคณะกรรมการนั้นคือการปัดความรับผิดชอบและซื้อเวลา

ดังนั้นจึงโห่ฮาป่ากันดังกึกก้อง จนเสียงได้ยินไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และได้ช่วงชิงโอกาสนี้เคลื่อนไหวทางการเมืองท่ามกลางทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎรในทันที

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เขียนทวิตเตอร์ให้เครือข่ายช่วยกันขยายความว่าเป็นห่วงราษฎรที่ประสบภัยน้ำท่วม ประหนึ่งว่ามีอำนาจสูงส่งในบ้านเมือง แล้วมีน้ำใจห่วงใยประชาราษฎรที่เดือดร้อนกันเป็นอันมาก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยสนใจไยดี นอกจากจะประกาศสนับสนุนคนเสื้อแดงเพื่อให้ช่วยเอาตัวกลับมาบ้านโดยปราศจากโทษภัยใด ๆ

แล้วยังเขียนทวิตเตอร์อีกว่า ได้สั่งให้มูลนิธิในสังกัดบริจาคเงินจำนวน 5 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือภัยน้ำท่วม แต่ขณะที่ทำบทความนี้แม้เครือข่ายเดียวกันจะพยายามบอกกล่าวกับผู้คนว่ามีการบริจาคแล้ว แต่เท่าที่ทราบก็เป็นแค่การตีกิน เพราะยังไม่มีการบริจาคเลยแม้แต่บาทเดียว

นอกจากแจ้งว่าจะบริจาคเงินแล้ว ยังได้ขอความร่วมมือให้กับองค์กรปกครองท้องที่และท้องถิ่นต่างๆ ให้ร่วมมือกันช่วยเหลือราษฎร โดยระบุว่าให้ทำเหมือนกับที่เคยร่วมปฏิบัติกันมา

จนถูกฝ่ายรัฐบาลครหาว่าเป็นการหลงลืมตนว่ายังมีอำนาจเป็นรัฐบาลอยู่หรืออย่างไร? มิหนำซ้ำยังเยาะเอาอีกว่าจะให้ช่วยทุกพื้นที่หรือว่าจะช่วยเฉพาะพื้นที่ที่เลือกพรรคเพื่อไทย?

ก็เป็นลีลาประสานักการเมืองที่แสดงการทะเลาะเบาะแว้งแข่งกับน้ำตาประชาราษฎร์ที่กำลังเดือดร้อนเพราะภัยน้ำท่วม

พอถึงเทศกาลน้ำท่วมทีหนึ่งก็รณรงค์ช่วยเหลือกัน แล้วก็บอกว่าน้ำใจคนไทยไม่ทิ้งกันในยามยาก แล้วก็แสดงอาการว่าตั้งใจจะป้องกันแก้ไขภัยน้ำท่วมเหมือนที่เคยเกิดเคยทำกันมาทุกยุคทุกสมัย

โดยไม่เคยปฏิบัติให้เกิดมรรคเกิดผลใดๆ เลย จึงเกิดเหตุน้ำท่วมซ้ำซากอยู่ทุกปีดีดัก หมดภาวะน้ำท่วมเมื่อใด ภัยแล้งและการขาดแคลนน้ำก็จะตามมา และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำซากอีกเช่นเดียวกัน

ความจริงการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและการป้องกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งนั้น ถ้าทำกันอย่างจริงจังและทำเป็น ภัยนั้นก็จะบรรเทาเบาบางลงเป็นลำดับ แต่ที่ยังเกิดซ้ำซากอยู่ทุกปีดีดักเช่นนี้ก็เพราะนักการเมืองดีแต่พูด และพูดทุกครั้งที่น้ำท่วมและภัยแล้ว แต่ไม่ได้ทำอะไร นอกจากโกงและกิน

อันจะป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในยามน้ำหลากท่วมมานั้นไม่ใช่วิสัยที่จะเป็นไปได้ และการจะแก้ไขปัญหาภัยแล้งในยามเทศกาลภัยแล้งมาถึงแล้วก็ไม่ใช่วิสัยที่จะเป็นไปได้เช่นเดียวกัน

อันปัญหาน้ำท่วมและปัญหาภัยแล้งนั้นแท้จริงแล้วเป็นปัญหาเดียวกัน เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แก่กันและกัน หากไม่ป้องกันแก้ไขอย่างบูรณาการในฐานะที่เป็นปัญหาเดียวกันแล้วแยกกันป้องกันแก้ไขดังที่ดีแต่พูดนั้น จะไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้เลย อย่างมากก็ได้แต่ช่วยซับน้ำตาเวลาประสบภัยเป็นครั้งคราวเท่านั้น

เพราะไม่มีแหล่งน้ำและสายน้ำที่จะกักเก็บน้ำไว้ได้ในฤดูฝน เมื่อเทศกาลฝนมาถึง น้ำก็จะไหลหลากบ่าจากเหนือและอีสานลงมาภาคกลาง ลงมากรุงเทพฯ และท่วมพื้นที่เป็นทางมา จนเกิดความเสียหายยับเยินในแต่ละปี

เพราะไม่มีแหล่งน้ำและสายน้ำที่จะกักเก็บน้ำไว้ได้ในฤดูฝน พอสิ้นเทศกาลฝนก็ไม่มีน้ำเหลืออยู่ในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลางและกรุงเทพฯ ดังนั้นภัยแล้งจึงมาเยือน หากฝนทิ้งช่วงหรือทอดเวลาไปนานเท่าใด ภัยแล้งก็จะหนักหน่วงรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นการมีแหล่งกักเก็บน้ำและสายน้ำที่มีขีดความสามารถกักเก็บน้ำได้อย่างพอเพียง จึงเป็นเรื่องพื้นฐานของการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและปัญหาภัยแล้ง ที่ถ้าไม่ทำตรงนี้ก่อนก็จะไม่มีวันแก้ไขปัญหาได้โดยเด็ดขาด

ประเทศไทยมี 25 ลุ่มน้ำใหญ่ รวมทั้งทะเลสาบสงขลา และมีสายน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่กว่า 1,200 แห่ง ซึ่งในอดีตทั้งลุ่มน้ำและสายน้ำนอกจากกว้างใหญ่แล้วยังมีความลึกมาก ดังเช่นทะเลสาบสงขลา ลึกถึงขนาดไม้ถ่อหยั่งไม่ถึง แต่วันนี้น้ำตื้นเขินแค่หัวเข่าหรืออย่างมากก็แค่เอว

เพราะเหตุนั้นในอดีตประเทศนี้จึงอุดมสมบูรณ์ ได้ชื่อว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แต่เพราะการพัฒนาตามแนวทางอุตสาหกรรม และทอดทิ้งภาคเกษตร ตลอดจนธรรมชาติในแผ่นดิน แหล่งน้ำทั้งหลายบ้างก็ตื้นเขิน บ้างก็ถูกถม เช่นเดียวกับสายน้ำที่ถูกถมไปเป็นจำนวนมาก และที่เหลือก็ตื้นเขินอีกด้วย

มิหนำซ้ำยังมีการสร้างถนนปิดกั้นขวางทางน้ำ ทำให้น้ำขังท่วมมากและท่วมนาน เพราะทางระบายน้ำไม่พอ ซึ่งในหลายพื้นที่แม้มีพระราชดำริแล้วก็ยังเพิกเฉยกันอยู่

ดังนั้นปัญหาน้ำท่วมและปัญหาภัยแล้ง แม้มีมูลฐานอยู่ที่แหล่งน้ำและสายธาร แต่แท้จริงกลับเป็นปัญหาของนักการเมือง ที่ไม่ใส่ใจแก้ไขปัญหาต่างหาก.

เตรียมตายอย่างโสดาบัน

หลังจากฝึกมองสภาพจิตของตนเองเมื่อให้ทานและรักษาศีล
ตลอดจนเขยิบขึ้นมารักษาสัตย์และฝึกเป็นคนดูแทนการเป็นผู้เล่นได้ระยะหนึ่ง
คุณจะพบว่าตนเองกำลังหันหลังให้กับเกมกรรมอย่างช้าๆ คุณยังทำดีอยู่
แต่ความดีนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อต่อเกม ทว่าเป็นไปเพื่อหยุดเกม

คุณยังเสวยสุขในกามอยู่
แต่จะมีภาคหนึ่งที่ตระหนักว่านั่นไม่ใช่ความสุขอันเลิศลอยสักแค่ไหน
คุณยังโกรธได้ แต่จะหายเร็วและไม่เห็นประโยชน์กับการผูกใจเจ็บนานๆ
คุณยังหลงผิดหลงพลาดอยู่
แต่จะไม่มีเมฆหมอกใดมาห่อหุ้มจิตให้มืดทึบเกินกว่าจะรู้สึกตัวได้ในภายหลัง
ทั้งนี้เพราะผู้ตั้งจิตให้อยู่ในทิศทางทำคะแนนบวก
มีจุดหมายปลายทางแน่ชัดว่าเป็นไปเพื่อหยุดเล่นเกมแล้วนั้น
จะมีอนุสติอย่างหนึ่ง
เหมือนใจบอกตัวเองว่าต้องบ่ายหน้าหนีจากศูนย์กลางแรงดึงดูด
ไม่ใช่ปล่อยทอดหุ่ยให้ถูกดูดกลับไปเต็มตัวเหมือนเคยๆ

ตามกฎของเกมกรรม ผู้เที่ยงที่จะออกจากเกมกรรมได้นั้น อย่างน้อยจะต้องเห็น
'ความว่างจากเกม' เสียก่อน จึงประกันว่าไม่หลงทางออกจากเกมแน่
รู้วิธีออกจากเกมอย่างถูกต้องแน่

ความว่างจากเกมก็คือความว่างจากกฎแห่งกรรมวิบาก
ว่างจากสภาพอันถูกปรุงแต่งขึ้นด้วยกรรม ไม่มีการประชุมกันของธาตุดิน น้ำ
ไฟ ลม อากาศ ไม่มีกระทั่งสภาพการรับรู้อันเกิดจากตากระทบรูป หูกระทบเสียง

ความว่างจากการตกแต่งด้วยกรรมวิบาก ก็คือความว่างจากความไม่แน่นอน
ว่างจากอันตราย ว่างจากความเปียกปอนด้วยบาป กล่าวอีกนัยหนึ่ง
ความว่างจากการตกแต่งด้วยกรรมวิบาก ก็คือความเที่ยงแท้แน่นอน
คือความปลอดภัยถาวร คือบกอันแห้งสนิทจากบาป
ตลอดจนมีความวิเศษอยู่เหนือบุญ

ความว่างอันเป็นที่สุดของรสดังกล่าวนี้ จะสมมุติชื่อเรียกอย่างไรก็ได้
ถ้าสำหรับคนพุทธแล้ว ความว่างนี้เรียกว่า 'นิพพาน'
ผู้ที่เห็นนิพพานได้เป็นครั้งแรกเรียกว่า 'โสดาบัน'

การเป็นโสดาบันนั้น
ก็คือการเป็นผู้ปรับจิตปรับใจให้พร้อมจะเข้าสู่ภาวะโพล่งเฉียบพลันเห็นนิพพาน
และวิธีที่จะปรับจิตปรับใจดังกล่าว ก็คือการให้ทาน ถือศีล
และเปลี่ยนตนเองจากผู้เล่นเป็นคนดู ดังที่แสดงมาตามลำดับ

หลังจากเห็นนิพพานแล้ว คุณจะไม่คิดอีกเลยว่ามีตัวตนถาวรอยู่ที่ไหน
ถึงแม้คุณจะยังหลงโลภ หลงโกรธ และหลงรู้สึกว่ามีตัวคุณอยู่เดี๋ยวนี้
แต่ก็จะไม่หลงเห็นผิดว่าส่วนใดส่วนหนึ่งของกายเป็นตัวคุณ
เพราะเห็นชัดว่ามันเป็นแค่การประชุมรวมของธาตุ ๔

และคุณจะไม่เห็นกระทั่งจิตใจตัวเองเป็นตัวคุณ เพราะเห็นชัดว่าอารมณ์
ความรู้สึกนึกคิด และแม้กระทั่งการรับรู้ต่างๆ
มาด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา
พูดง่ายๆว่าสภาพธรรมอันประกอบกับจิตของคุณทั้งหลายล้วนแปรปรวนไปเรื่อยๆ
เป็นสภาพที่ไม่ซ้ำกับสภาพเดิมสักชุด

เมื่อเป็นอิสระจากการปิดบังของกายใจ
จิตคุณจึงโพล่งทะลุออกไปเห็นอะไรอีกอย่างหนึ่งที่อยู่นอกขอบเขตของกายใจ
เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์อันแตกต่างจากทุกสิ่งที่คุณเคยรับรู้
และเมื่อเห็นนิพพาน คุณเห็นด้วยสติ เห็นด้วยจิตที่ทรงอุเบกขา
ไม่ได้เห็นด้วยอาการหลงเข้าข้างตัวเอง ไม่ได้กำลังยืนอยู่ข้างกิเลส
ไม่ถูกครอบงำด้วยโมหะ ดังนั้นจึงไม่สงสัยอีกเลยว่านิพพานมีจริงไหม
และด้วยวิธีอย่างไรจึงสามารถเห็นนิพพานได้

เมื่อเห็นแบบประจักษ์ คุณจึงไม่สงสัยด้วยว่าคนอื่นเห็นได้อย่างคุณไหม
ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือใครเป็นผู้นำวิธีเห็นนิพพานมาเปิดเผย
คนนั้นย่อมเป็นผู้มีพระคุณสูงสุด ได้แก่พระศาสดาของพุทธ
ซึ่งองค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า 'โคดม'

เมื่อเป็นโสดาบันบุคคล
คุณจะยังอยู่กับลูกเมียได้เหมือนชาวบ้านชาวเรือนอื่นๆ
คุณยังดูหนังฟังเพลงได้ คุณยังไม่ต้องเลิกคบกับเพื่อนเก่า
คุณทำทุกอย่างได้ตามปกติ
สิ่งที่ผิดไปคือคุณจะไม่ยืนอยู่ข้างบาปอันเกิดจากการผิดศีลอีกเลยจนชั่วชีวิต
ซึ่งนั่นก็หมายถึงการปิดอบายตลอดกาล
เนื่องจากไม่มีเหตุสมควรให้ต้องตกต่ำลงไปรับโทษในกำเนิดนรก
กำเนิดเดรัจฉาน และกำเนิดเปรตอีกแล้ว

หากยังไม่ใช่โสดาบันบุคคล ก็ยังมีความไม่แน่นอน
ไม่ว่าจะทำบุญสั่งสมคะแนนบวกมาแค่ไหนก็ตาม เพราะปุถุชนยังมีความประมาทได้
ถูกโมหะครอบงำได้ตลอดเวลา

การเป็นโสดาบันไม่ใช่ประกันได้เฉพาะแค่ชาติหน้า ชาติถัดๆไปจนถึงนิพพาน
คุณก็จะไม่ต้องพลาดลงต่ำกว่าความเป็นมนุษย์อีกแล้ว คือต่ำที่สุดแค่มนุษย์
สูงที่สุดแค่พรหม
พ้นจากนั้นคือถึงนิพพานอันปราศจากการข้องเกี่ยวกับภพน้อยใหญ่ทั้งหลาย

หากคุณไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะทำได้
ยังไม่มีกำลังใจแก่กล้าพอจะตั้งสติดูกายใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง
ไม่ใช่ตัวตน ก็มีทางลัดง่ายๆอีกทางหนึ่ง คือเตรียมตัวตายอย่างโสดาบัน

วิธีเตรียมตัวนั้น ไม่ใช่ระหว่างมีชีวิตคุณไม่ต้องทำอะไรเลย
อย่างน้อยก็ต้องให้ทานรักษาศีลถึงระดับที่จิตใจเปิดกว้างสบายและปลอดโปร่งสะอาดสะอ้านระดับหนึ่ง
จากนั้นเชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธเจ้าว่าพระองค์รู้จักนิพพานจริง
ทราบทางไปนิพพานจริง คุณยึดศาสดาองค์เดียวเป็นสรณะ
ไม่หวังมีที่พึ่งอื่นอีก

คุณควรสำรวจอยู่เรื่อยๆ ว่าถ้าให้ตายตอนนี้
จิตจะคิดห่วงหน้าพะวงหลังถึงอะไรบ้าง ก็ฝึกพิจารณาเสีย
ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง
มีอันต้องเสื่อมสลายไปแม้ขณะที่คุณยังไม่เลิกหวงแหนอยู่นั่นเอง
ฝึกหยอดความคิดสะสมความปล่อยวางวันละเล็กวันละน้อย
อย่าดูถูกการได้คิดเล็กๆน้อยๆ เพราะเมื่อสั่งสมมากแล้ว
การได้คิดจะกลายเป็นการ 'คิดได้' แบบตกผลึกเต็มภูมิ

เมื่อปล่อยวางเล็กๆน้อยๆได้ ก็เขยิบขึ้นมาปล่อยวางอย่างใหญ่ขึ้นอีกหน่อย
อาศัยหลักความจริงที่ว่าถ้าจะเป็นพระโสดาบัน
ต้องเห็นกายใจนี้โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น
เราก็ค่อยๆฝึกดูความจริงวันละนิด เช่น เมื่อนอนเหยียดกายยาวก่อนหลับ
ให้สมมุติว่านั่นเป็นนาทีสุดท้ายของชีวิต
พอจะตายจริงก็ต้องทอดนอนอย่างนี้
และเตรียมเผชิญภาวะลมหายใจขาดสูญไปจากกายเช่นนี้

การสมมุติเช่นนั้นถ้าทำครั้งสองครั้งจะเหมือนจินตนาการเล่น ไม่เกิดผลอะไร
แต่ถ้าทำสม่ำเสมอ ก็จะเป็นการซักซ้อมอารมณ์ก่อนตายได้จริงๆ
คือเมื่อมาถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต
จะเหมือนคุณคุ้นเคยและพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่งตามที่ได้ซักซ้อมไว้แล้ว

ธรรมดาลมหายใจมีทั้งเข้าออกและขาดหายอยู่ตลอดเวลา
เวลาจะตายก็เพียงเข้าออกครั้งสุดท้ายแล้วไม่มีการเข้าอีกเลยชั่วนิรันดร์
ขอให้ถือความจริงนั้นแหละเป็นเครื่องพิจารณา
ทุกคืนคุณดูลมหายใจเตรียมตัวตายครั้งเดียวพอ คือมีสติลากลมหายใจเข้า
แล้วเห็นตามจริงว่าเราไม่ใช่เจ้าของลมหายใจเข้า
เราบังคับให้มีแต่ลมหายใจเข้าไม่ได้ เรารักษาลมหายใจเข้าไว้ตลอดไปไม่ได้

จากนั้นมีสติระบายลมหายใจออก
แล้วเห็นตามจริงว่าเราไม่ใช่เจ้าของลมหายใจออก
เราบังคับให้มีแต่ลมหายใจออกไม่ได้ เรารักษาลมหายใจออกไว้ตลอดไปไม่ได้

เอาแค่นั้นพอแล้ว เห็นลมหายใจ เห็นความจริงของลมหายใจ
ทุกคืนขอเพียงชั่วขณะเดียวที่คุณเกิดความรู้สึกว่างจากตัวตน
ความว่างชนิดนั้นจะขยายชัดขึ้นเรื่อยๆ
เป็นอิสระจากความเกาะเกี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ
กลายเป็นเชื้อเพลิงสำหรับขับเคลื่อนไปสู่ความตายอย่างโสดาบันได้เต็มพิกัด
หากคุณมีเวลาเหลืออีก ๑๐
ปีเพื่อเตรียมตัวตายด้วยวิธีดูลมหายใจคืนละหนึ่งครั้งก่อนนอน
คุณจะสะสมความว่างจากตัวตนได้ ๓,๖๕๐ ครั้ง ซึ่งก็ทรงพลังพอใช้แล้ว

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะความว่างจากอัตตาในนาทีที่จิตกำลังจะเปลี่ยนภพนั้นมีผลสำคัญใหญ่หลวง
ภาวะก่อนตายจะเป็นตัวช่วยให้รู้สึกชัดอยู่แล้วว่าเดี๋ยวต้องไปแน่
ไม่มีอะไรให้มือนี้กำได้อีก ความเด็ดเดี่ยวเฉพาะหน้าจึงเกิดขึ้น
เมื่อปราศจากความห่วงหน้าพะวงหลัง
แถมไม่รู้สึกว่าลมหายใจที่กำลังจะขาดจากกายเป็นสมบัติของเรา
จิตก็มีสิทธิ์สงบรวมลงถึงฌานด้วยอาการปล่อยวางได้ในช่วงสั้นๆ
ตรงนั้นแหละที่ภาวะแบบโสดาบันจะปรากฏ คือคุณจะเห็นนิพพานอันปราศจากนิมิต
ปราศจากรูปรอยใดๆ
หมดจากภาวะรับรู้เช่นนั้นก็จะตระหนักว่าประตูอบายปิดสนิทเด็ดขาดแล้ว
มีแต่ความสว่างโพลงทั่วตลอดแล้ว

เงื่อนไขของเกมกรรมมีอยู่นิดเดียว เพื่อจะเป็นโสดาบันได้นั้น
ชาตินี้คุณห้ามฆ่าพ่อแม่ ห้ามฆ่าพระอรหันต์
แล้วถ้าคุณเป็นพระก็ห้ามทำให้สงฆ์ในวัดแตกกัน
เพราะบาปหนักเหล่านี้จะจำกัดสิทธิ์ไม่ให้จิตเข้าถึงความผนึกแน่นเป็นฌานก่อนตาย
ซึ่งเท่ากับปิดกั้นไม่ให้มีทางเห็นนิพพานไปด้วย

จาก มีชีวิตที่คิดไม่ถึง โดย ดังตฤณ

สวมหมวกนิรภัย : plot เรื่องเล่าอุบัติเหตุที่ไม่จบด้วยความตาย! โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ

ในความตายบนท้องถนนมีเรื่องเล่า แต่เค้าโครงเรื่อง (plot) อุบัติเหตุในไทยอันเนื่องมาจากรถจักรยานยนต์เกือบทั้งหมดมักมาจากการขับขี่เร็วและไม่สวมหมวกนิรภัยทั้งนั้น แม้ทั้งสองสาเหตุจะมีกฎหมายควบคุมพฤติกรรมการขับขี่อยู่แล้วก็ตาม แต่ทว่าถึงที่สุดการไม่เคารพกฎจราจรของผู้ขับขี่ การไม่บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดของเจ้าหน้าที่รัฐ และการไม่มีระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบายมาทดแทนความคล่องตัวของรถจักรยานยนต์ ก็เรียงร้อยเหตุการณ์เหล่านั้นเข้าด้วยกันจนสังคมไทยไม่เพียงมีรถจักรยานยนต์มหาศาลถึง 16 ล้านคัน หากความตายยังทอดยาวเป็นเงาตามตัวด้วย
       
        ลำดับเหตุการณ์ของเรื่องเล่าเหล่านี้มักมี ‘จุดเริ่ม’ จากทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย ขับขี่ด้วยความเร็วแรง แซงซ้ายป่ายขวา ไม่ก็ย้อนศรหรือวิ่งบนทางเท้า ผ่านหน้าเจ้าหน้าที่รัฐไปได้โดยไม่ถูกตรวจจับ ก่อนจะพบ ‘จุดจบ’ จากการไปประสบอุบัติเหตุทั้งประสานงา คว่ำ ลื่นไถล พิการบาดเจ็บหรือกระทั่งตายเพราะไม่ได้สวมหมวกนิรภัยป้องกันการกระแทกของศีรษะ
       
        ผสานกับข้อเท็จจริงน่าเศร้าอีกส่วนหนึ่งที่พบว่าแม้ยอดจำหน่ายหมวกนิรภัยจะสูงกว่ายอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ แต่ทว่าก็เป็นการซื้อที่ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ในเชิงการป้องกันการบาดเจ็บเท่ากับป้องกันการถูก ‘จับปรับ’ จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อใดขับพ้นผ่านด่านหรือไม่มีด่านก็ไม่สวมใส่
       
       ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์จากจุดเริ่มต้นที่ไม่นิยมสวมหมวกนิรภัยที่มีประสิทธิภาพช่วยชีวิตของผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่ดำเนินเรื่อยมาจนถึงจุดจบจากการประสบอุบัติเหตุเช่นนี้ ส่งผลให้อัตราการบาดเจ็บที่ศีรษะยังคงเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตและพิการของคนไทยไม่เคยเปลี่ยน
       
       เช่นกันกับข้ออ้างของการไม่สวมหมวกนิรภัยในผู้ขับขี่ที่คงเดิมเรื่อยมาคือจะได้ไม่ร้อนอึดอัด ไม่ต้องสวมเพราะระยะทางสั้นๆ โอกาสเกิดอุบัติเหตุมีน้อย ไปจนถึงกลัวหมวกนิรภัยหายเพราะไม่มีที่เก็บหรือทิ้งไว้ที่รถระหว่างชั่วโมงทำงานหรืออยู่ในศูนย์การค้าก็ไม่ได้ ขณะที่ผู้โดยสารก็ระแวงว่าถ้าสวมหมวกนิรภัยจะทำให้ผมเสียทรง หัวสกปรกและอาจติดโรคได้ โดยเฉพาะกรณีรถจักรยานยนต์รับจ้าง
       
       การตัดสินใจไม่สวมหมวกนิรภัยจึงไม่ได้มาจากราคาแพงหรือขาดแคลนอุปกรณ์นี้ แต่คือการขาดกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการเกื้อหนุนให้ผู้คนสวมใส่หมวกนิรภัยเท่ากับจำนวนรถจักรยานยนต์บนท้องถนนที่ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ไม่เคยแม้แต่จะรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยให้ได้ทุกคนทั้งผู้ขับขี่และโดยสาร ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อจะสามารถเปลี่ยน plot เรื่องเล่าของอุบัติเหตุนี้
       
       ทั้งนี้ ภายในความเป็นไปได้ที่จะให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ทุกคนมีหมวกนิรภัยใช้ควรเริ่มต้นด้วยการสร้างจิตสำนึกความปลอดภัยและเคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัดให้แก่ผู้ขอใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ชั่วคราวที่ออกใหม่ทุกคน เพราะทุกๆ ปีจะมีผู้ขอใบอนุญาตใหม่มหาศาล
       
       ดังปีงบประมาณ 2553 ที่มีผู้ขอใบอนุญาตออกใหม่ทั้งสิ้นกว่า 8 แสนคน อนุมานว่าส่วนใหญ่เป็นเยาวชนและคนวัยทำงาน ดังนั้นถ้าทุกคนสวมหมวกนิรภัยเป็นนิสัย ยามประสบอุบัติเหตุก็อาจไม่ถึงตาย ภาพรวมความสูญเสียไทยก็จะลดลง ขณะเดียวกันก็รักษาทรัพยากรมนุษย์ไว้ได้ส่วนหนึ่งด้วย
       
       ทว่าการจะทำให้ไทยหลุดจากบัญชีรายชื่อประเทศที่ประสบความล้มเหลวในการป้องกันอุบัติเหตุจนมีผู้เสียชีวิตนับหมื่นรายต่อปี ที่มีสัดส่วนการเสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์มากถึง 7พันคน หรือได้คะแนนมาตรฐานการใช้หมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นจาก 4 เต็ม 10 ตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ก็คือการรณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100% ทั้งในส่วนของผู้ขับขี่และโดยสาร โดยวางอยู่บนกลไกการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน ประชาสังคม มากกว่างบประมาณ เพื่อผลสำเร็จระยะยาว
       
       รวมทั้งควรประยุกต์การบริหารจัดการความปลอดภัยบนท้องถนนตามแนวทางของ WHO ว่าด้วย ‘หมวกนิรภัย : คู่มือความปลอดภัยบนท้องถนนสำหรับผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติ’ (Helmets: A road safety manual for decision makers and practitioners) เพราะบทเรียนและประสบการณ์จากนานาประเทศที่ประสบความสำเร็จในการทำให้ประชาชนสวมหมวกนิรภัย การนำเสนอและบังคับใช้กฎหมายหมวกนิรภัย ไปจนถึงการกำหนดมาตรฐานการผลิตหมวกนิรภัยที่เหมาะสม จะเป็นแนวทางให้ผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติการในประเทศไทยสามารถวางแผน ออกแบบ และดำเนินโครงการด้านหมวกนิรภัยได้มีประสิทธิภาพกว่าปัจจุบันจนลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรได้
       
       ต่อไปลำดับเหตุการณ์ของเรื่องเล่าเกี่ยวกับอุบัติเหตุจะเปลี่ยน ‘จุดเริ่ม’ เป็นทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย ขับขี่ด้วยความระมัดระวังเคารพกฎจราจร ไม่วิ่งแซงซ้ายป่ายขวา ไม่ย้อนศรหรือวิ่งบนทางเท้า เจ้าหน้าที่รัฐบังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด ถึงแม้จะไปประสบอุบัติเหตุ แต่ก็มี ‘จุดจบ’ ที่ไม่ใช่พิการหรือตายเพราะได้สวมหมวกนิรภัยป้องกันการกระแทกของศีรษะไว้แล้ว
       
       จึงถึงเวลาที่สังคมไทยต้องสร้างความสัมพันธ์ของเหตุการณ์เสียใหม่ ให้ทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเรื่องเล่าเกี่ยวกับอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์มีแต่คนสวมหมวกนิรภัย เพราะหมวกนิรภัยที่ทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้ายสวมใส่จะทำให้จุดสุดสิ้นของเรื่องเล่าไม่ใช่ความตาย!
       
       มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www’thainhf.org

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กระต่ายผู้สละชีวิต

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภการถวายบริขารทุกอย่างของพ่อค้าชาวเมืองคนหนึ่งได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกระต่ายอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่งท่ามกลาง หุบเขาและแม่น้ำล้อมรอบ มีสัตว์เป็นเพื่อนกันอัก ๓ ตัว คือ ลิง สุนัขจิ้งจอก และนาก สัตว์ทั้ง ๔ เป็นสัตว์มีศีลธรรม ทุกเย็นจะมาพบกันและฟังโอวาทของกระต่ายเสมอ

ต่อมาวันหนึ่ง กระต่ายมองดูจันทร์รู้ว่าพรุ่งนี้ จะเป็นวันอุโบสถ จึงให้โอวาท ว่า " วันพรุ่งนี้ พวกเราจงพากันรักษาศีล ให้ทานเถิด เพราะมีผลบุญกุศลมาก ฉะนั้นพวกท่านจงเตรียมอาหารไว้แบ่งปันคนขอทานเถิด" สัตว์ทั้ง ๓ รับคำแล้วกลับไปยังที่อยู่ของตน

ครั้นรุ่งขึ้นมีนายพรานคนหนึ่งตกเบ็ดได้ปลาตะเพียน ๗ ตัวฝังทรายกลบไว้แล้วก็ข้ามไปทางใต้น้ำต่อไป นากออกหาอาหารได้กลิ่นปลานั้นแล้วจึงร้องขึ้น ๓ ครั้ง รู้ว่าไม่มีเจ้าของแล้วจึงคาบเอาปลาทั้ง ๗ ตัวไปยังที่อยู่ของตน นอนรักษาศีลอยู่

ฝ่ายลิงเข้าไปในป่าได้มะม่วงมาแล้วก็กลับที่อยู่ตนนอนรักษาศีลอยู่ ส่วนเจ้ากระต่ายรักษาศีลอยู่ที่อยู่ของตนไม่ได้ออกไปหาอาหารมาไว้ให้ทาน คิดที่จะสละชีวิตให้ทานว่า " ถ้ามีคนมาขออาหาร งา และข้าวสารของเราก็ไม่มี ถ้าเช่นนั้นเราจะให้เนื้อของเราแก่เขาก็แล้วกัน" คิดแล้วก็นอนรักษาศีลอยู่

ด้วยอานุภาพแห่งศีลของกระต่ายเป็นเหตุให้บรรลังก์ของเท้าวสักกะเร่าร้อน ท้าวเธอจึงลงมาพิสูจน์คุณของศีลของสัตว์ทั้ง ๔ ด้วยการแปลงร่างเป็นพราหมณ์ไปยังที่ อยู่ของนากก่อน ร้องขออาหารกับนาก นากจึงกล่าวว่า "พราหมณ์.. เรามีปลาตะเพียนอยู่ ๗ ตัว ขอเชิญท่านบริโภคเถิด" พราหมณ์รับไว้แล้วก็ไปที่อยู่ของสุนัขจิ้งจอก เอ่ยปากขออาหารอีก สุนัขจิ้งจอกก็มอบอาหารให้พร้อมกับพูดว่า "พราหมณ์.. ข้าพเจ้ามีเนื้อย่าง ๒ ไม้ เหี้ย ๑ ตัว นมส้ม ๑ หม้อ เชิญท่านบริโภคเถิด" พราหมณ์รับไว้แล้วก็ไปที่อยู่ของลิงเอ่ยปากขออาหารเช่นเคย ลิงก็มอบอาหารให้พร้อมกับพูดว่า "พราหมณ์.. มะม่วงสุก น้ำเย็น ร่มเงาไม่อันร่มรื่นขอเชิญท่านบริโภคและพักผ่อนก่อนเถิด"

พราหมณ์รับไว้แล้วก็ไปที่อยู่ของกระต่ายพร้อมร้องขอ อาหารเช่นเดิม กระต่ายดีใจจึงพูดว่า " พราหมณ์… ขอเชิญท่านก่อไฟเถิด เราไม่มีอะไรจะให้ท่าน นอกจากเนื้อของเรานี่แหละ ขอเชิญท่านบริโภคเราเถิด" ว่าแล้วก็กล่าวเป็นคาถาว่า

"กระต่ายไม่มีงา ไม่มีถั่ว ไม่มีข้าวสาร ท่านจงบริโภค เราผู้สุกด้วยไฟนี้ แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด"
ท้าวสักกะจึงเนรมิตให้มีกองไฟขึ้นแล้วบอกให้กระต่ายทราบกระต่ายลุกขึ้นจากหญ้าแพรกสลัดขนไล่สัตว์อื่น ๆ ๓ ครั้ง มีความดีใจ ไม่กลัวต่อความตาย กระโดดเข้ากองไฟไป แต่ก็ต้องแปลกใจว่าไฟทำไมเย็นยิ่งนักจึงถามพราหมณ์ดู ท้าวสักกะในร่างพราหมณ์จึงกล่าวว่า "ท่านบัณฑิต เรามิใช่พราหมณ์ดอก เราเป็นท้าวสักกะ มาเพื่อทดลองศีลของท่านเท่านั้นเอง"
กระต่ายพูดว่า "ท่านท้าวสักกะ ท่านหวังจะทดลองข้าพเจ้าเท่านั้นเองหรือ แล้วชาวโลกจะรู้ว่าข้าพเจ้าปรารถนาให้ชีวิตเป็นทานได้อย่างไรกันเล่า" ท้าวสักกะตอบว่า "คุณความดีในการเสียสละชีวิตเป็นทานของท่านครั้งนี้จะมีปรากฏตลอดไป" ว่าแล้วก็เขียนรูปกระต่ายไว้บนดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์ให้ชาวโลกได้เห็นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แล้วก็หายวับกลับเทวโลกไป สัตว์ทั้ง ๔ ตัวได้รักษาศีลจนตราบสิ้นชีวิต
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : การรักษาศีลเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน เพราะผู้มีศีลเทวดาย่อมคุ้มครอง

บีโอไอ:การบริหารจัดการน้ำ เพื่อเศรษฐกิจ และสังคมก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

โดย วรรณนิภา พิภพไชยาสิทธิ์, สุนันทา อักขระกิจ

การผลิตและการบริหารจัดการน้ำ ถือว่ามีความสำคัญยิ่งกับภาคอุตสาหกรรม จำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้าว่า การบริหารจัดการน้ำในอดีตนั้นส่วนใหญ่ภาครัฐดำเนินการ ปัจจุบันภาคเอกชนได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เนื่องจากมีความคล่องตัวมากกว่า สามารถบริหารการใช้น้ำ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับประเทศไทย ภาคเอกชนที่ดำเนินการเรื่องน้ำให้กับภาคอุตสาหกรรมคือ “บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์” ทำหน้าที่ขนส่งน้ำดิบผ่านระบบท่อไปยังภาคอุตสาหกรรมใน 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง โดยมีเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านการจัดการน้ำอย่างมีคุณค่า เพื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และสังคมอย่างยั่งยืน ปัจจุบันมี นายประพันธ์ อัศวอารี เป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่

แหล่งน้ำในภาคตะวันออก ส่วนใหญ่อยู่ในความดูแลของกรมชลประทาน เพราะฉะนั้นจะต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อให้มีการบริหารจัดการน้ำสำหรับรองรับการเจริญเติบโตในอีก 20 - 30 ปีข้างหน้า จึงจัดตั้งบริษัทเอกชนขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารจัดการน้ำอย่างมืออาชีพ และเป็นการป้องกันปัญหาในระยะยาวไม่ให้เกิดการแย่งชิงน้ำในพื้นที่

โดยท่อส่งน้ำของ อีสท์ วอเตอร์ นั้น เป็นแบบ Water Grid ที่มีการวางท่อเชื่อมโยงแหล่งน้ำจากพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา จึงสามารถส่งน้ำให้กับลูกค้าได้หลากหลายพื้นที่ และยังส่งข้ามเขตได้อีกด้วย จึงเป็นการทำงานแบบครบวงจร รวมถึงสามารถผันน้ำได้จากหลายแหล่ง มีการนำระบบบริหารจัดการน้ำมาใช้โดยการสำรวจว่าแหล่งใดมีปริมาณน้ำมากน้อย เพียงพอหรือไม่ ปริมาณฝนเป็นอย่างไร

หากพื้นที่ใดอยู่ในสภาวะน้ำน้อยจำเป็นต้องผันน้ำมาเพิ่มเติมก็ต้องดู เรื่องราคา ว่าจะต้องผันน้ำจากจุดใดเพื่อให้มีราคาต่ำสุด เพื่อให้เกิดความสมดุลและไม่ขาดแคลน ซึ่งเป็นข้อดีที่สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และการติดตามเรื่องน้ำในพื้นที่ต่างๆ นั้น ต้องดำเนินการอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลน

มีการนำ “ระบบควบคุมและประเมินผลแบบศูนย์รวม” (Supervisory Control and Data Acquisition หรือ SCADA) มาใช้ ซึ่งเป็นระบบที่นำเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ มาช่วยในการบริหารและจัดการกระบวนการต่างๆ เมื่อประกอบเข้ากับระบบการสื่อสารอันทันสมัย จะทำให้ระบบควบคุมสามารถทำงานครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ ที่ต้องการความมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพสูง เช่น ระบบการผลิตและจำหน่ายน้ำ ระบบขนส่งของเหลวและก๊าซทางท่อ ระบบสายส่งแรงสูง และระบบจำหน่ายไฟฟ้า

จึงทำให้ติดตามประสิทธิภาพการจ่ายน้ำในพื้นที่จังหวัดระยอง และจังหวัดชลบุรี ได้อย่างทั่วถึงทั้งพื้นที่ และระบบดังกล่าวยังสามารถรักษาดุลยภาพที่เหมาะสมระหว่างอุปสงค์กับอุปทาน ซึ่งเป็นการสร้างความสมดุลของการส่งน้ำให้เหมาะสมต่อความต้องการใช้น้ำดิบ ของภาคอุตสาหกรรม และการอุปโภคบริโภคได้เป็นอย่างดี

ในการดำเนินงานย่อมเกิดปัญหาและอุปสรรคขึ้น จึงมีแนวทางการแก้ไข ดังนี้ 1. ให้ความสำคัญกับเรื่องการสื่อสาร เพื่อให้ทีมงานทุกฝ่ายได้รับรู้ข่าวสารต่างๆ ตลอดเวลา เพื่อลดเรื่องความเข้าใจผิด

2. เน้นการทำงานเป็นทีม การทำงานทั้งภายในและภายนอก ทุกฝ่ายต้องสามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี เพราะหากทีมงานเข้มแข็งก็สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า และซัปพลายเออร์ ที่จะได้รับบริการที่ดีตามไปด้วย รวมทั้งการให้โอกาสกับพนักงานในระดับกลางและล่างอย่างเท่าเทียมกัน

การดำเนินธุรกิจใดๆ ก็ตาม ถ้าเรายังคิดว่าเราเป็นรายเดียว โดยไม่มีคู่แข่งจะไม่สามารถอยู่ได้นาน เพราะไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีคู่แข่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นในเมื่อเรามีโอกาสดำเนินการก่อนก็ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ต้องบริหารจัดการเรื่องต้นทุน และการบริการให้ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นจะอยู่ไม่ได้ในภาวะที่มีการแข่งขันสูง

ปัจจุบันลูกค้ารายใหญ่ของอีสท์ วอเตอร์ นอกจากการประปาส่วนภูมิภาค และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยแล้ว ในจังหวัดระยองยังมีนิคมอุตสาหกรรมเหมราช นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ส่วนที่ชลบุรี ได้แก่ บริษัท ไทยออยล์ บริษัท สหพัฒนพิบูล โรงไฟฟ้า IPP และที่ฉะเชิงเทรา คือ บริษัท โตโยต้า

เพื่อให้การดำเนินงานในด้านต่างๆ บรรลุเป้าหมาย และสร้างความเติบโตให้กับภาคอุตสาหกรรม และภาคการผลิตของประเทศ ภาครัฐและเอกชนต่างมีเป้าหมายเพื่อความสำเร็จเช่นเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ การทำงานเป็นทีม ต้องสร้างความเข้าใจให้ตรงกันโดยการสื่อสารกันตลอดเวลา หากสามารถดำเนินการได้จะทำให้เป้าหมายของแต่ละฝ่ายบรรลุผลสำเร็จตามที่ได้ ตั้งใจไว้

ส่วน เทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการบริหารจัดการนั้น มีทั้งที่เป็นของไทย และบางส่วนยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ ซึ่งเทคโนโลยีที่กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาทดสอบอยู่ในขณะนี้คือ ซอฟต์แวร์ที่จะนำมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำในแต่ละพื้นที่ เช่น ถ้าเราป้อนข้อมูลราคาค่าไฟ ณ วันนี้ ปริมาณน้ำในแหล่งนี้มีจำนวนเท่านี้ และปริมาณความต้องการใช้น้ำของผู้บริโภค จากนั้นให้ซอฟต์แวร์บริหารจัดการ หรือคำนวณออกมาว่าจะใช้สูตรใดถึงจะดีที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ หากผลการทดลองดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ จะทำให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที

ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8161 หรือที่ head@boi.go.th

สัปปะรด - ควรใช้ปุ๋ย

สัปปะรด - ควรใช้ปุ๋ย โบกาฉิ 200-300 กก./ไร่ ฉีดพ่นตามด้วย EM สูตรขยายในอัตรา EM ขยาย 1 ส่วน : น้ำ 500 ลิตร เป็นการหมักดินก่อนปลูก ทำให้ได้ผลผลิตดี

การเลี้ยงไส้เดือนในบ่อคอนกรีต

การเลี้ยงไส้เดือนในบ่อคอนกรีต การเลี้ยงไม่ยุ่งยากให้เศษผลไม้เป็นอาหาร น้ำที่ได้จากการเลี้ยงให้ฉีดพ่นต้นไม้ ปราศจากแมลงรบกวนผลผลิตมากขึ้น

จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 12 ต.ค.2553 - 14.08 น.

การพัฒนาต้องเริ่มจากการกล้าวิจารณ์ตามด้วยการกระทำ

โดย ไสว บุญมา 21 ตุลาคม 2553 13:06 น.



ณ วันนี้เป็นเวลากว่าขวบปีหลังวันที่ผมได้รับเชิญจากอาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ ให้มารับช่วงคอลัมน์ “คิดถึงเมืองไทย” อาจารย์ได้แนะนำแล้วว่าผมเป็นใคร เนื่องจากเป็นคำแนะนำสั้นๆ หรือผู้อ่านไม่มีโอกาสอ่าน หลายท่านจึงมักเห็นว่าผมไม่ใช่คนไทยและไม่ได้เสียภาษีจึงไม่มีสิทธิวิจารณ์สังคมไทย ฉะนั้น ก่อนเขียนต่อไปขอเรียนว่า ผมเป็นคนไทย มีบัตรประจำตัวประชาชนที่บ่งบอกว่าผมเป็นคนอำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก ถือหนังสือเดินทางไทย และมีหลักฐานการเสียภาษี เอกสารเหล่านี้ผมมีให้ทุกท่านตรวจสอบ

ผู้อ่านที่ต้องการทราบว่าผมเป็นใครอาจเปิดดูเว็บไซต์ www.sawaiboonma.com อันเป็นผลงานของกัลยาณมิตรคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยพบหน้าทำขึ้นมาเพื่อปันงานของผม หากท่านต้องการอ่านให้รู้ก้นบึ้งถึงกำพืดของผม กรุณาอ่านหนังสือชื่อ “จดหมายจากบ้านนา” ซึ่ง ณ วันนี้มีขายในงานสัปดาห์หนังสือที่ร้านของสำนักพิมพ์ OhMyGod ขอเรียนด้วยว่าถ้าท่านแวะไปที่นั่น ทางร้านมีหนังสือสองเล่มที่จะแถมให้แก่ผู้ซื้อหนังสือดังกล่าว หนึ่งในสองเล่มที่จะแถมชื่อ “มองเมืองไทย : จากสิบปีของการใช้หนี้แผ่นดิน” ซึ่งจะบอกว่าผมทำอะไรในช่วง 10 ปีหลังจากวันที่ผมเกษียณก่อนกำหนดเวลาจากธนาคารโลกเมื่อปี 2540

หากท่านไม่ต้องการซื้อ “จดหมายจากบ้านนา” ทว่ายังต้องการอ่าน “มองเมืองไทย” กรุณาแจ้งความจำนงไปถึงผมเร็วๆ ผมจะนำไปฝากไว้ให้ท่านที่ร้านของสำนักพิมพ์ OhMyGod ในการแจ้งความจำนง กรุณาลงชื่อจริงของท่าน ทางร้านจะได้จัดหนังสือให้ท่านถูกต้อง ขอเรียนด้วยว่า บางวันผมจะไปอยู่ที่ร้านดังกล่าวพร้อมด้วยบัตรประจำตัวประชาชนและหนังสือเดินทางไทยที่ท่านอาจตรวจสอบดูได้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม

สำหรับท่านที่ไม่ต้องการอ่าน “จดหมายจากบ้านนา” ขอเรียนว่าผมเป็นลูกชาวนาจากชายทุ่งอำเภอบ้านนา ได้รับการศึกษาจากศาลาวัดแหลมไม้ย้อย เคยเรียนครูที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี และได้ทุนฝรั่งจนกระทั่งจบปริญญาตรีถึงเอกในอเมริกา ผมทำมาหากินอยู่ในต่างประเทศรวมทั้งงานสุดท้ายในธนาคารโลกจนอายุ 53 ปีจึงเกษียณออกมาเพื่อหาทางใช้หนี้แผ่นดินไทย จากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาได้ล่วงเลยไป 12 ปีแล้ว ผมได้ทำอะไรในการใช้หนี้แผ่นดินมีรายละเอียดอยู่ใน “มองเมืองไทย”

สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาอ่านหนังสือเล่มนั้น ขอเรียนว่าเริ่มจากปี 2540 ผมได้เขียนหนังสือแล้ว 20 เล่มและในขณะนี้เขียนคอลัมน์ประจำให้แก่หนังสือพิมพ์และนิตยสารรวมกัน 7 แห่ง เงินทุกบาทที่ได้มาผมยกให้แก่กิจกรรมส่งเสริมการศึกษาของเด็กไทยเริ่มด้วยการมอบเงินให้แก่กองทุนและมูลนิธิต่างๆ จนมาตอนหลังๆ นี้ผมมอบให้แก่มูลนิธินักอ่านบ้านนาซึ่งผมก่อตั้งขึ้นมาดังมีรายละเอียดอยู่ในเว็บไซต์ที่ผมอ้างถึง

ปัจจัยที่ผมเลิกมอบเงินให้แก่กองทุนและมูลนิธิต่างๆ และก่อตั้งมูลนิธินักอ่านบ้านนามาจากความเจ็บปวดที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรีเมื่อหลายปีก่อน เรื่องเป็นดังนี้ ผมได้มอบเงิน 100,000 บาทแรกที่ผมได้รับจากงานเขียนให้แก่มหาวิทยาลัยเพื่อนำไปสมทบกับกองทุนสำหรับช่วยเหลือนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยมีอยู่แล้ว ผมมอบให้ในนามของผู้มีบุญคุณเป็นพิเศษแก่ผมสองท่านเพื่อเป็นการทดแทนคุณ ต่อมาไม่นานเงินจำนวนนั้นพร้อมกับเงินของกองทุนอีกประมาณ 2.5 ล้านบาทได้ถูกถอนไปโดยผู้บริหารอ้างว่าไม่มีส่วนรู้เห็น ผู้ไปถอนเป็นพนักงานชั่วคราวของมหาวิทยาลัยซึ่งไปถอนรวม 25 ครั้ง มหาวิทยาลัยฟ้องพนักงานคนนั้น ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ทางมหาวิทยาลัยอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าพนักงานผิด ณ วันนี้คดีอยู่ในศาลฎีกา

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา นักศึกษาที่ควรจะได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนดังกล่าวไม่ได้รับ ทนายคนหนึ่งจึงอาสาฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่อศาลปกครองแทนผม ศาลปกครองยกฟ้องด้วยเหตุผลที่ว่าผมไม่ใช่ผู้เสียหายจึงไม่มีศิษย์ฟ้อง ผมไม่เข้าใจในข้อกฎหมาย แต่แน่ใจว่าในกระบวนการนี้มีคนโกงมากกว่าหนึ่งคน ผมแปลกใจว่าเพราะอะไรผู้บริหารและสภาของมหาวิทยาลัยจึงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่ดำเนินการทางวินัยกับใครทั้งสิ้น เพียงแต่เตือนผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องบางคนว่าอาจต้องชดใช้เงินคนละ 550,000 บาท ณ วันนี้ คนเหล่านั้นได้เกษียณไปหมดแล้วยกเว้นอธิการบดี เมื่อพวกเขาตายไป มหาวิทยาลัยคงสูญเงินจำนวน 2.6 ล้านบาท

ใน “มองเมืองไทย” ผมเล่าเรื่องที่คนไทยถูกมองว่ามี “ขี้สี่อย่าง” ด้วยกัน ขี้เหล่านั้นเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการพัฒนา หนึ่งในนั้นคือ “ขี้โกง” ผมแน่ใจว่าผู้อ่านส่วนใหญ่ได้มีโอกาสรู้เห็นความเป็นคนขี้โกงของคนไทยในด้านต่างๆ ซึ่งรวมทั้งการกระทำจำพวกขับมอเตอร์ไซค์ย้อนศร การซ่อนสินค้าด้อยคุณภาพไว้ในตะกร้าของขวัญ การโกงตามมหาวิทยาลัยไปจนถึงการโกงบ้านโกงเมือง ผมมองว่าถ้าเราไม่กล้าวิจารณ์ตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่าสังคมเราขี้โกงและไม่ออกมาช่วยกันแก้ไขพร้อมกับทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมบ้าง เราไม่มีทางพัฒนาให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง

เราจะผ่านพ้นวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ไปได้

โดย อุษณีย์ เอกอุษณีษ์ 21 ตุลาคม 2553 16:09 น.



ก่อนจะเริ่มลงมือเขียนบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนมีธุระต้องโดยสารรถแท็กซี่เข้าไปในเมือง ระหว่างที่นั่งไป หูก็ฟังรายงานสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ ที่พี่น้องภาคตะวันออกเฉียงเหนือกำลังเผชิญ วันก่อนพี่น้องแถบลำตะคอง, สีคิ้ว, ด่านขุนทด ในโคราชเดือดร้อนแสนสาหัสจากวิกฤตน้ำท่วม มาเมื่อวันพุธเป็นคิวพี่น้องในจังหวัดชัยภูมิ ที่วิกฤตสุดในรอบ 30 ปีป้ายศาลากลางกว่าครึ่งจมอยู่ใต้ระดับน้ำ แถมน้ำบางส่วนจนถึงขณะนี้ก็เริ่มไหลลงมาภาคกลางแล้ว ผ่านทางพระนครศรีอยุธยาก็กำลังเป็นอีกจุดที่ได้รับผลกระทบ ใจผู้เขียนคิดว่า ครานี้เห็นทีกรุงเทพฯ จะไม่รอด ฉับพลันหูก็ได้ยินเสียงลอยมาจากใกล้ๆ

“ผมเชื่อว่า สุดท้ายกรุงเทพฯ จะไม่เป็นอะไร เชื่อเถอะ สุดท้ายเราจะผ่านพ้นเรื่องน้ำท่วมครั้งนี้ไปได้ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเรามีในหลวงที่ทรงมีพระปรีชาสามารถมาก

จนถึงขณะนี้ พ่อหลวงยังทรงตรากตรำทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหา ให้กับลูกๆ ชาวไทยทุกคน เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่พระองค์ท่านทำ เพื่อลูกๆ คือ พวกเราทั้งหลายซึ่งจะได้หมดทุกข์โศก ผมเชื่อว่า สุดท้ายเราจะผ่านวันเหล่านี้ไปได้” ชายชราวัย 70 กว่าๆ ซึ่งยึดอาชีพขับรถแท็กซี่ให้ผู้เขียนนั่งอยู่ในขณะนั้น พูดให้ผู้เขียนฟัง

จริงอย่างที่ลุงพูด ทั้งโครงการพระราชดำริที่ทรงพระราชทานให้กับรัฐบาลทุกคณะ เพื่อนำไปแก้ปัญหาให้กับประชาชน ตั้งแต่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ โครงการศึกษาพฤติกรรมการไหลของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อควบคุมปริมาณน้ำเหนือหลากให้สอดคล้องกับสภาพน้ำทะเลหนุนในช่วงฤดูฝนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โครงการแก้มลิง โครงการขุดลอกคูคลองป้องกันน้ำท่วม และอีกมากต่อมาก

นอกจากการป้องกันปัญหา เมื่อถึงคราวที่ชาวบ้านประสบเคราะห์ พระองค์ก็ทรงเป็นผู้เข้าไปซับน้ำตา พระราชทานความช่วยเหลือ และโอบอุ้มราษฎรที่เดือดร้อนอย่างต่อเนื่อง

ปีพุทธศักราช 2526 เกิดน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ จมอยู่ใต้ระดับน้ำนาน 3-5 เดือนสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างแสนสาหัส ในปีนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ่อหลวงของเรา ทรงเสด็จฯ ตรวจพื้นที่น้ำท่วมครั้งนั้นถึง 6 ครั้งด้วยกัน เป็นการเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีหมายกำหนดการล่วงหน้า

คือ วันที่ 8 ต.ค. 26, วันที่ 19 ต.ค. 26, วันที่ 27 ต.ค. 26, วันที่ 7 พ.ย. 26, วันที่ 14 พ.ย. 26 และวันที่ 24 พ.ย. 26

หรือในปีพุทธศักราช 2546 ทรงมีพระราชกระแสรับสั่ง เป็นห่วง “โครงการพัฒนาพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” โดยทรงรับสั่งว่า แก้ปัญหาน้ำท่วม ไม่ใช่แค่เป็นการระบายน้ำจากสุวรรณภูมิไม่ให้ท่วมเท่านั้น แต่ว่าพื้นที่สุวรรณภูมินั่น เป็นเส้นทางน้ำที่จะต้องไหลลงทะเลไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพมหานคร และทรงให้กรมชลประทานแก้ปัญหาช่วงที่ผ่านมา ด้วยการทำคลองขนาดที่เหมาะสม ออกด้านข้างของสุวรรณภูมิแล้วกระจายลงไปในทะเล

พระมหากรุณาธิคุณเป็นที่จดจำในใจประชาชนมากที่สุดอีกครั้ง คือ ในปีพุทธศักราช 2549 เกิดน้ำท่วมใหญ่ น้ำเหนือไหลบ่า ประจวบน้ำทะเลหนุนเกินกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาจะรับไหว แต่เป็นบุญของคนไทยเมื่อกรมชลประทานได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ผันน้ำเข้าไปในที่ดินส่วนพระองค์นับพันไร่ ที่พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย (ทุ่งมะขามหย่อง) ตำบลบ้านใหม่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พระราชดำริของพระองค์ท่าน ยังทำให้ชาวบ้านในอยุธยาส่วนใหญ่ที่เดิมหมดกำลังใจจากปัญหาน้ำท่วม และหวาดกลัวพื้นที่นาจะได้รับผลกระทบ ต่างพากันเข้าใจและเปลี่ยนใจยินยอมทางการให้ผันน้ำเข้าทุ่งที่ของตัวบ้าง ตามที่กรมชลประทานได้ตั้งเป้าหมาย ครานั้นกลายเป็นปาฏิหาริย์ที่ช่วยลดปริมาณน้ำที่ไหลมากรุงเทพฯ อย่างเห็นได้ชัด จนผ่านพ้นวิกฤตช่วงน้ำทะเลหนุนสูงครั้งนั้นไป

และกระทั่งวันนี้ ที่เกิดน้ำท่วมหนักในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พระองค์ทรงมีกระแสรับสั่งมาจากโรงพยาบาลศิริราช อันเป็นที่ประทับพระวรกายตลอดกว่า 1 ปีที่ผ่านมาว่า “ทรงเป็นห่วงโรงพยาบาลมหาราช อำเภอเมืองโคราช ที่ถูกน้ำท่วมหนักจนต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออก พร้อมทั้งทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ 10 ล้านบาทให้นำไปช่วยเหลือราษฎรที่ประสบความเดือดร้อนทันที ยังความปีติและกำลังใจให้กับ ประชาชนทั้งประเทศที่ยังต้องเผชิญกับภัยพิบัติครั้งวิปโยคในขณะนี้”

ผู้เขียนนึกถึงบทความเรื่อง “ในหลวงกับประชาชน” โดย นายถาวร ชนะภัย ที่ตีพิมพ์ลง หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2530 เรื่อง “น้ำลดหรือยัง” ยิ่งนึกถึง ยิ่งน้ำตารื้น ปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่เกิดเป็นคนไทย เป็นลูกๆ ของพ่อหลวงท่าน จึงอยากนำเรื่อง คุณถาวร ชนะภัย เล่าไว้มา ทวนให้ฟัง เพื่อเป็นกำลังใจ

.....หลายปีมาแล้วเมื่อครั้งน้ำท่วมภาคใต้ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เป็นช่วงเวลาที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยได้นำเครื่องโทรพิมพ์มาติดตั้งที่ห้องทรงงานใหม่ๆ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวาย

ข้าราชสำนักท่านหนึ่งกรุณาเล่าให้ฟังว่า.....แม้จะดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังไม่เสด็จฯ ขึ้นห้องพระบรรทม แต่ทรงคอยติดตามข่าวเรื่องอุทกภัยที่หาดใหญ่อยู่อย่างใกล้ชิดด้วยทรงห่วงใยราษฎร จึงทรงส่งคำถามผ่านเครื่องโทรพิมพ์ด้วยพระองค์เอง ถามไปทางหาดใหญ่ว่า “น้ำลดแล้วหรือยัง”

.....โดยที่ไม่ทราบว่าผู้ส่งคำถามมานั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คำตอบที่มีผ่านมาทางเครื่องโทรพิมพ์ เมื่อเวลาประมาณตีสองตีสาม มีข้อความที่ตอบด้วยความไม่พอใจว่า “ถามอะไรอยู่ได้ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว คนเขาจะหลับจะนอน” แต่ตอนท้ายของคำตอบนั้นก็ไม่ลืมที่จะบอกด้วยว่า “น้ำลดแล้ว”

“งานนมัสการองค์พระสมุทรเจดีย์ และงานกาชาด” : 28 ต.ค. - 8 พ.ย. 53 ณ บริเวณวัดพระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ

“งานนมัสการองค์พระสมุทรเจดีย์ และงานกาชาด” : 28 ต.ค. - 8 พ.ย. 53 ณ บริเวณวัดพระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ




“งานนมัสการองค์พระสมุทรเจดีย์ และงานกาชาด” : 28 ต.ค. - 8 พ.ย. 53 ณ บริเวณวัดพระสมุทรเจดีย์ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ กิจกรรมในงาน อาทิ พิธีแห่ผ้าดิน นมัสการองค์พระสมุทรเจดีย์ การออกร้านกาชาด และการจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

ม.บูรพา แนะอาจารย์ -รุ่นพี่ ปลูกฝังรุ่นน้องแยกขยะช่วยโลกร้อน

ม.บูรพา รณรงค์ความสะอาดยกใหญ่ ผลักดันทุกคนมีส่วนร่วม แนะอาจารย์และรุ่นพี่เป็นกระบอกเสียงปลูกฝัง แยกขยะ สู่รุ่นน้อง ขณะที่นิสิต ยอมรับ แยกขยะก่อนทิ้ง ยุ่งยาก แม้รับรู้ว่าช่วยลดโลกร้อน เผย ติดนิสัยมักง่ายจี้ปรับปรุงตัว ด้านบุคลากรมหา'ลัย เสนอ คณะฯ ควรมีป้ายแยกถังขยะให้ชัดเจน
ปัจจุบัน ถังขยะ มีการจำแนกออกเป็นประเภทต่างๆ อย่างชัดเจน อาทิ ถังขยะสีเขียว รองรับขยะเปียก, ถังขยะสีเหลือง รองรับขยะรีไซเคิล และถังขยะสีแดง รองรับขยะอันตราย สำหรับให้ประชาชนคัดแยกขยะก่อนทิ้ง เพื่อลดภาระในการกำจัดขยะมูลฝอย รวมทั้งยังช่วยลดสภาวะโลกร้อน
      
       อธิฐาน กิจมาพวานนท์ นิสิตชั้นปีที่ 2 ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าถังขยะสีใด แยกขยะประเภทไหน แต่ส่วนใหญ่ก่อนทิ้งขยะตนจะสังเกตดูภายในถังก่อนว่ามีขยะประเภทไหนทิ้งอยู่ ซึ่งตนก็จะทิ้งตาม เนื่องจากเห็นว่า ถังขยะของทางคณะมนุษยศาสตร์ฯ ไม่มีการแบ่งแยกขยะชัดเจนเหมือนกับคณะอื่นๆ ในมหาวิทยาลัย
      
       ด้าน “ณัฐิดา กรชวน” นิสิตชั้นปีที่ 4 ภาค วิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า ไม่ว่าจะขยะประเภทใดก็ตาม ส่วนใหญ่ตนจะทิ้งลงในถังขยะสีเขียว ทั้งสิ้น เนื่องจากสะดวกกว่าที่ต้องมาแยกก่อนทิ้ง ประกอบกับช่วงเวลาเร่งรีบ ตนจึงไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากนัก อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าหากมีการติดป้ายแยกขยะที่ชัดเจน เช่นเดียวกับถังขยะของทางสำนักหอสมุด ก็อาจทำให้นิสิตทิ้งขยะได้ถูกประเภทมากขึ้น
      
       ส่วน “เพ็ญพร ลือชา" นิสิตชั้นปีที่ 2 ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า ปกติตนจะแยกขยะก่อนทิ้งทุกครั้ง เนื่องจากทราบดีว่าจะช่วยลดภาระในการคัดแยกขยะ อีกทั้งขยะบางประเภทก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยลดสภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวถามต่อว่า คิดอย่างไรที่เพื่อนนิสิตไม่ทิ้งขยะให้ถูกประเภท นิสิตภาควิชาจิตวิทยา กล่าวว่า นิสิตอาจมองว่าการแยกขยะอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ได้มีความสำคัญหรือส่งผลกระทบต่อสภาวะโลกร้อนมากนัก แต่การทำในสิ่งที่ดี แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ไม่ควรละเลย อย่างไรก็ตาม ทางคณะฯ ควรเพิ่มจำนวนถังขยะให้มากขึ้น
      
       ด้าน“พัชรินทร์ พาหิรัญ” บรรณารักษ์ ประจำห้องสมุดคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ชั้น 3 มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า ขยะบางประเภทนั้นก็แยกทิ้งได้ยาก เช่น กล่องโฟมที่บรรจุอาหาร เมื่อมีเศษอาหารเหลืออยู่ในบรรจุภัณฑ์ ก็แยกได้ยากว่าจะทิ้งในถังใด ทางคณะจึงควรมีป้ายให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าขยะประเภทใด ควรทิ้งในถังไหนติดอยู่บริเวณใกล้เคียง ซึ่งจะช่วยให้ทิ้งขยะได้ถูกที่มากขึ้น นอกจากนี้ควรมีการรณรงค์เรื่องการแยกขยะเพิ่มขึ้น
      
       บรรณารักษ์ ประจำห้องสมุดคณะมนุษยศาสตร์ฯ กล่าวต่อว่า สำหรับด้านบุคลากรของทางคณะฯ จะมีการแยกขยะประเภทรีไซเคิล เช่น ขวดพลาสติก กระดาษอย่างชัดเจน จึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
      
       ชุติมา โกกอง อายุ 29 ปี เจ้าหน้าที่ภาควิชาสารสนเทศศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า ก่อนทิ้งขยะแต่ละครั้งตนจะสังเกตก่อนว่าภายในถังมีขยะประเภทใดอยู่แล้วจึงทิ้งตาม ส่วนที่นิสิตทิ้งขยะผิดถังอาจ เพราะยังสับสนว่าถังไหน ทิ้งขยะอะไร นอกจากนี้บริเวณด้านหลังคณะฯ ยังมีถังขยะประเภทรีไซเคิลน้อย ซึ่งทางคณะฯ ควรเพิ่มจำนวนถังขยะประเภทนี้ให้มากขึ้น เนื่องจากปริมาณขยะมีจำนวนมาก สวนทางกับจำนวนถังขยะ
      
       ขณะที่ อาจารย์พีรพัฒน์ มั่งคั่ง รองผู้อำนวยการศูนย์สังคมและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี กล่าวว่า การทิ้งขยะไม่ถูกที่ถูกทางนั้น ทำให้ยากต่อการแยกขยะ และยากต่อการนำไปแปรสภาพที่ถูกต้อง ดังนั้นการทิ้งขยะที่ถูกต้องและไม่ส่งผลต่อการทำลายสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาตินั้น คือการทิ้งขยะให้ถูกถัง ซึ่งเป็นการแยกขยะอย่างถูกวิธี
      
       “เรื่องขยะ ไม่ได้เป็นเรื่องของคณะใดคณะหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ทางมหาวิทยาลัยฯ ควรส่งเสริม และกำหนดนโยบาย เพื่อผลักดันให้นิสิตรู้จักรักษาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งปลูกฝังจิตสำนึกในกับทุกคนในมหาวิทยาลัยอาจารย์ และรุ่นพี่ ถือว่าเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญ ในการกระตุ้นในนิสิตรุ่นน้อง หันมาใส่ใจในเรื่องการแยกขยะ และดูแลสิ่งแวดล้อมภายในมหาวิทยาลัยมากขึ้น” อาจารย์พีรพัฒน์กล่าว

แจ้งประกาศตำแหน่งงานใหม่

ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการศึกษาพิเศษปฏิบัติการ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมสุขภาพจิต
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634238710222651530

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมสุขภาพจิต
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634238624741246642

3.) ชื่อตำแหน่งงาน : เศรษฐกรปฏิบัติการ(ปริญญาโท) จำนวนตำแหน่งว่าง : 0 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634238872426891398

4.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ(ปริญญาโท) จำนวนตำแหน่งว่าง : 0 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634238874513373774

5.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ (ปริญญาโท) จำนวนตำแหน่งว่าง : 0 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634238877061244682

6.) ชื่อตำแหน่งงาน : ครูพี่เลี้ยง จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634238555760770594

7.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักสังคมสงเคราะห์ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมสุขภาพจิต
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634238770862666614

8.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักรังสีการแพทย์ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมสุขภาพจิต
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634238763758564422

9.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักจิตวิทยา จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมสุขภาพจิต
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634238766050820146

10.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักกิจกรรมบำบัด จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมสุขภาพจิต
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634238769096640682

11.) ชื่อตำแหน่งงาน : เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสัญชาติและพฤติการณ์ จำนวนตำแหน่งว่าง : 2 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ สำนักบริหารบุคคล
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634238771972780234

ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ.


ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักทรัพยากรบุคคล (สสจ.นครราชสีมา) จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634237846612556250

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : ครูอัตราจ้าง จำนวนตำแหน่งว่าง : 2 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634237660735837500

3.) ชื่อตำแหน่งงาน : ครูผู้สอน จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634237826662556250

ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ.


วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นิสัยการอาบน้ำ

*การ อาบน้ำทำความสะอาดชำระล้างร่างกายไม่ว่าจะเวลาไหนๆ
ถ้าคุณรดน้ำไปที่ส่วนใหนของร่างกายก่อน แสดงว่า....* **
**
*
คุณเลือกรดน้ำที่ศรีษะเป็นลำดับแรก
* คุณเป็นคนที่มีความพยายามสู งอดทน
อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอทุกอย่างที่คุณทำจะประสบความสำเร็จอยู่เสมอๆ
เพราะคุณไม่ย่อท้อค่ออุปสรรค
แม้ว่าสิ่งที่คุณทำจะได้ผลตอบแทนไม่คุ้มเหนื่อยก็ตาม
ความรักคุณเป็นคนช่างเลือกการที่คุณจะรักใครสักคน
คนๆนั้นต้องพร้อมทุกด้านและต้องดูแลคุณได้

*
คุณเลือกรดน้ำที่ใบหน้าเป็นลำดับแรก*
คุณเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเอง กล้าได้กล้าเสีย
และทำทุกอย่างที่ใจต้องการ จนบางครั้งอาจมองดูเหมือนเห็นแก่ตัว ความรักของคุณ
เงินต้องมาก่อน เสมอ คุณจะไม่คำนึงถึงรูปร่างหน้าตา ไม่สนใจรูปร่าง
ขอเพียงคนๆนั้นมีเงินมีทอง ให้คุณอย่างที่คุณต้องการ ก็พอแล้ว

*
คุณเลือกรดน้ำที่บ่าเป็นลำดับแรก*
คุณมักใจโลเล ไม่กล้าตัดสินใจ
คิดจะทำอะไรก็ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จ ชอบงานสังคมฟุ่มเฟือย
ใช้จ่ายเงินแบบไม่คิด ความรักของคุณผ่านเข้ามาในชีวิตยาก และคุณก็เลือกมาก
กว่าจะพบคุณที่ถูกใจต้องใช้เวลานาน คิดแล้วคิดอีก

*
คุณเลือกรดน้ำที่หน้าอกเป็นลำดับแรก*
คุณเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมไม่ชอบให้ใครขัดใจ แต่จริงใจ
ชอบสิ่งของตามสมัยนิยม ไม่ชอบทำอะไรที่ยากๆ คุณไม่ชอบให้ใครมาคัดค้านความคิด
ความรักของคุณ คุณพยายามหาคนที่อดทนและความคิดไม่ขัดแย้งกับคุณ
อดทนและไม่โกรธกับคำพูดแบบขวานผ่าซากของคุณ

*
คุณเลือกรดน้ำที่รักแร้ เป็นลำดับแรก*
คุณเป็นคนคนอ่อนไหวง่าย อ่อนแอ วิตกกังวล และ มีความลับอยู่ในใจ
คิดมาก ขาดความมั่นใจ ไม่กล้าทำอะไรคนเดียว ต้องการที่พึ่งเสมอ
ดังนั้นความรักของคณ คุณจึงต้องการ คนที่เชื่อถือไว้วางใจได้ อยู่เคียงข้าง
มีความอบอุ่นเป็นผู้ใหญ่ และเป็นที่ปรึกษาให้คุณ

*
คุณเลือกรดน้ำที่ส่วนที่ลับเฉพาะเป็นลำดับแรก*
คุณเป็นคนเก็บกด เก็บตัว ไม่กล้าแสดงออก ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
ขี้อาย ความรักของคุณ ต้องรอคอยเพียงอย่างเดียว จนกว่าจะถึงเวลา
เพราะคุณรักใครชอบใคร ก็ไม่กล้าที่จะไม่เปิดเผย เอาแต่เก็บไว้ในใจ
เพราะคุณคิดว่าคนที่คนที่คุณรอคอยและรักคุณ ต้องมาหาคุณเอง

*
คุณเลือกรดน้ำส่วนอื่น ๆนอกเหนือจากที่กล่าวมาเป็นลำดับแรก*
คุณเป็นคนติดดินมากๆ ไม่ยึดมั่นกับสิ่งใดๆ
ไม่เดือดร้อนกับสรรพสิ่งรอบข้าง ใครจะวุ่นวายอย่างไร ใครจะเดืดร้อนอย่างไร
คุณก็ไม่ซีเรียส แต่เรื่องของความรัก คุณกลับต้องการความโรแมนติก ต้องการ
ความหวานแหวว ดังนั้นคุณจึงต้องการคนที่เอาอกเอาใจเก่ง ฉอเลาะ ปากหวาน
และไม่ห่างไกล

โลกนี้มีคนอยู่ 3 จำพวก

จำพวกแรก
"คนถนัดป้อนยาพิษ"
: คนเหล่านี้ชอบและมักจะทำให้ทุกคนท้อถอย
ทำลายความคิดสร้างสรรค์ของคุณ
และบอกว่ามีอะไรบ้างที่คุณทำไม่ได้

จำพวกสอง

"คนตัดหญ้า"
: คนเหล่านี้เป็นคนที่มีความตั้งใจดี
แต่คิดถึงเฉพาะตัวเอง
ซึ่งมักใส่ใจแค่ความต้องการของตน
พวกเขาตัดเฉพาะหญ้าในสนามของตนเอง
และไม่เคยทิ้งสนามของตนมาช่วยตัดหญ้าให้กับคนอื่นเลย

จำพวกสาม

"คนสร้างเสริมชีวิต"
: คนเหล่านี้เป็นคนที่ยื่นมือมาช่วยให้ชีวิตผู้อื่นมีคุณค่าขึ้น
มีกำลังใจเพิ่มขึ้นและให้แรงดลใจแก่ผู้อื่น

วอลต์ ดิสนีย์.


ฉันอาจจะเป็นคนทั้ง 3 จำพวก แต่ฉันจะพยายามอย่างยิ่งที่ก้าวผ่าน สอง จำพวกแรก และฉันจะก้าวสู้จำพวกที่สามอย่างมั่นคง

เมื่อเด็กชายอายุ 6 ขวบคนหนึ่ง เล่นเกมคอมพิวเตอร์เพื่อฝึกทักษะการสังเกตด้วยการเลือกจับคู่ภาพที่เหมือนกันจากภาพต่าง ๆ แม้จะดูง่ายแสนง่ายและไม่มีอะไรน่าสนุก แต่เด็กน้อยก็เล่นเกมนั้นอยู่ซ้ำ ๆ บ่อยครั้งไม่รู้จักเบื่อ
เมื่อพ่อถามว่า " ทำไมลูกถึงชอบเล่มเกมนี้เหลือเกิน ? "
เด็กคนนั้นตอบว่า " ก็เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์พูดชมผม "
คำชมที่ว่า คือ
" เก่งมากครับ "
" ยอดเยี่ยมมากครับ "
" ไม่เป็นไรครับ ลองเล่นใหม่ "
ทุกครั้งที่เด็กน้อยเลือกจับคู่ภาพเหมือนกันได้ถูกต้อง เมื่อนั้นจะมีคำพูดให้กำลังใจที่เด็ก น้อยต้องการนั่นเอง และนั่นอาจเป็นคำพูดสั้น ๆ ที่เค้าโหยหามานานจากคนข้างกาย ไม่เพียงแค่เด็กน้อยเท่านั้น อาจจะเป็นทั้งเพื่อน แฟน คู่รัก คนแก่เฒ่า เจ้า่นาย ลูกน้อง ใคร ๆ ก็ย่อมต้องการกำลังใจที่เรามักมองข้ามไป




" พูดกันดีดีก็ได้ ..... ไม่เห็นต้องด่า ..... เสียใจน่ะเงี่ย .... ชมบ้างได้มั๊ยย "

อยากได้คำชมและอยากมีคนให้กำลังใจ

โหย....หา....มากเลยรู้มั๊ย

ไม่ว่าใครก็ต้องการ " กำลังใจ " เพื่อยืนหยัดต่อสู้กับนานาอุปสรรค
กำลังใจอาจมองเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
แต่จริง ๆ แล้ว ความปรารถนาดีที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำ
กลับมีค่าเหลือมากมาย..
เพียงแค่ถ้อยคำสั้น ๆ ก็สร้างพลังในหัวใจของผู้ฟังได้มหาศาล

ฉันขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ....
ฉันเองก็ต้องการกำลังใจเหมือนกัน
และคุณก็ต้องการกำลังใจเช่นกัน

สิ่งเหล่านี้มาได้การอ่านหนังสือ เล่มหนึ่งของ John C. Maxwell : Encouragement CHANGES EVERYTHING Bless and Be Blessed ถ้าเราสักแต่อ่าน เก็บงำความรู้ กำลังใจ แง่คิดดี ๆ ไว้คนเดียว ฉันก็คงจะก้าวไม่พ้นคนสองจำพวกแรก

แจ้งประกาศตำแหน่งงานใหม่

ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : พนักงานการพิมพ์ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมที่ดิน
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634236965255212500





ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : อาจารย์  ภาควิชารัฐศาสตร์ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634233343844431250

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการศึกษา จำนวนตำแหน่งว่าง : 3 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยมหิดล
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634233425838806250

3.) ชื่อตำแหน่งงาน : อาจารย์ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยมหิดล
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634233424074275000

4.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักเทคนิคการแพทย์ปฏิบัติการ (ด้านโรคติดต่อนำโดยแมลง) จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมควบคุมโรค
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634233629822556250

5.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักเทคนิคการแพทย์ปฏิบัติการ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมควบคุมโรค
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634233631704431250

6.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักจัดการงานทั่วไป (ปริญญาตรี) จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634233370920212500

7.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการคอมพิวเตอร์ (ปริญญาตรี) จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634233375790525000

8.) ชื่อตำแหน่งงาน : เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634233379631775000

9.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการเงินและบัญชี จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634233387283962500

10.) ชื่อตำแหน่งงาน : บุคลากร จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634233389280056250

11.) ชื่อตำแหน่งงาน : เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634233391578025000

12.) ชื่อตำแหน่งงาน : เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634233393020681250

13.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการเงินและบัญชี จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมสุขภาพจิต
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634233544312400000



ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการตรวจสอบบัญชี จำนวนตำแหน่งว่าง : 13 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมตรวจบัญชีสหกรณ์
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634232549886695067

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : พนักงานบริหารงานทั่วไป จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมโยธาธิการและผังเมือง
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634232672262302076

3.) ชื่อตำแหน่งงาน : นิติกรปฏิบัติการ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมวิชาการเกษตร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634232743397891930

ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ.


ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : พยาบาลวิชาชีพ (โรงพยาบาลตะกั่วป่า) จำนวนตำแหน่งว่าง : 3 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634231745986361250

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักธรณีวิทยา จำนวนตำแหน่งว่าง : 3 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมทรัพยากรธรณี
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634231922328236250

ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ.


ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักเอกสารสนเทศ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634230904123392500

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : ผู้ปฏิบัติงานบริหาร จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634230919382142500

3.) ชื่อตำแหน่งงาน : ผู้ปฏิบัติงานห้องสมุด จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634230923333548750

4.) ชื่อตำแหน่งงาน : เจ้าหน้าที่สถิติ จำนวนตำแหน่งว่าง : 50 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนังานสถิติแห่งชาติ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634230976678080000

5.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการเกษตรปฏิบัติการ (ด้านปฐพี) จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมวิชาการเกษตร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634231061807298750

6.) ชื่อตำแหน่งงาน : นายช่างหล่อปฏิบัติงาน จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมศิลปากร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634230929492455000

7.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักโบราณคดีปฏิบัติการ (กลุ่มโบราณคดีใต้น้ำ) จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมศิลปากร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634230904983080000

8.) ชื่อตำแหน่งงาน : ภูมิสถาปนิกปฏิบัติการ    จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมศิลปากร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634230914176517500

9.) ชื่อตำแหน่งงาน : เจ้าหน้าที่ธุรการ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมวิชาการเกษตร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634231055186205000

ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ.



ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : ครูผู้สอน จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634227460319173750

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : นายช่างโยธา จำนวนตำแหน่งว่าง : 7 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมทางหลวงชนบท
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634227655338548750

3.) ชื่อตำแหน่งงาน : เจ้าพนักงานธุรการ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมทางหลวงชนบท
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634227656002298750

4.) ชื่อตำแหน่งงาน : พยาบาลวิชาชีพ (โรงพยาบาลตะกั่วป่า) จำนวนตำแหน่งว่าง : 2 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634227388043392500

ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ.





ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการเงินและบัญชี(สสจ.มหาสารคาม) จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไปhttp://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634205793450000000

ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ.