16 เหตุผล ที่ว่าทำไมเวียดนามกำลังแซงหน้าไทย
อ่านแล้วก็คงได้แต่แค่เสียว แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะประเทศไทยก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เริ่มออกเดินพร้อม ๆ กับญึ่ปุ่น แล้วก็ปล่อยให้ประเทศอื่น ๆ ที่เคยมาดูงานในประเทศไทยอย่างไต้หวัน เกาหลี เวียดนามและอีกสารพัดประเทศที่ล้าหลังกว่าเรา พอดูงานเสร็จก็แซงหน้าไทยไปอย่างไม่เห็นฝุ่น เพราะคนไทยมีนิสัยอนุรักษ์นิยมความคิดเห็นแบบผิด ๆ เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ระดับชนชั้นปกครองไปจนถึงระดับชาวบ้านธรรมดา ๆ นิสัยแบบนี้มันฝังรากลึกมานานจนยากจะเยียวยาแล้วล่ะ หรือคุณว่าไง
ดร.โสภณ พรโชคชัย .(1).
ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย .(2).
ตอนนี้เวียดนามกำลัง "ฮิต" ติดตลาด มีคนสนใจไปลงทุนกันมากมาย...มีเสน่ห์มากกว่าไทยด้วยซ้ำไป เวียดนามยังไม่อาจไล่ทันไทยในเร็ววันนี้หรอกครับ (ปลอบใจสักหน่อย).แต่มีศักยภาพที่จะยิ่งใหญ่เหนือไทยได้ในวันหน้า...เราควรสังวรและพิจารณาให้ดี หลายเรื่องเราควร "เอาเยี่ยงกา" มาลองดูกันครับ
1. สนามบินสะดวกกว่าไทย
อันที่จริงสนามบินหลายแห่งในประเทศไทยทันสมัยกว่าสนามบินกรุงฮานอยและนครโฮชิมินห์ แต่ที่เวียดนาม เครื่องบินจอดถึงงวงเสมอ...ไม่ต้องต่อรถโค้ชให้เสียอารมณ์แบบบ้านเรา และที่สำคัญในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า นครโฮชิมินห์จะมีสนามบินใหม่ที่ใหญ่กว่าสุวรรณภูมิของเราในขณะนี้เสียอีก
2. คนเวียดนามรักชาติ
ไม่ต้องดูอื่นไกล เขานิยมอาหารของเขาเอง..ประเภทอาหารแฟชั่น/ขยะของฝรั่งเข้าไปตีกินในประเทศเขาได้ยาก...คุณสมบัติที่ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้น (แม้ทางความคิด) กับใครเช่นนี้เชื่อว่าเหนือกว่า "เลือดไทย" ที่ทำท่าจะเจือจางลงทุกวัน
3. "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง"
คนเวียดนามที่เราเห็นแต่งตัวดูปอน ๆ นั้น...เขาชอบสะสมทอง ว่าง ๆ ก็เอามาชื่นชมเล่นเงียบ ๆ... เขาไม่ต้องการทำตัวหรูหรา…เพราะเดี๋ยวถูกเพ่งเล็ง เขามีเงินสะสมไว้มาก แต่ไม่เปิดเผย...ซื้อของก็มักใช้เงินสด ซื้อบ้านอาจมีกู้เงินบ้าง แต่ก็ยังจำกัดมาก ข้อนี้อาจทำให้ระบบการเงินของประเทศไม่หมุนเวียนมากนัก…แต่ผมก็ยังนิยมความมัธยัสถ์...มากกว่าการสุรุ่ยสุร่าย สังเกตง่าย ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือสนนราคาของอาหารเวียดนามนั้น.. หาได้ถูกกว่าไทย....มาตรฐานค่าครองชีพไม่ได้ต่ำกว่าไทยเลย...นี่แสดงว่า....เขามีแหล่งรายได้ที่ไม่เปิดเผยหรือรับ job ทำงานพิเศษต่าง ๆ..ไม่ใช่กินแต่เงินเดือนปกติ
4. คนเวียดนามชอบค้าขาย
เปิดร้านค้าขายแทบทุกหัวระแหง ในทุกท้องที่มีสินค้าครบถ้วนไม่ต้องไปเดินห้างใหญ่หรือไม่ต้องไปย่านการค้าใด...ด้วยความนิยมค้าขายโดยสายเลือดบวกกับความขยันขันแข็งเช่นนี้...โอกาสที่เวียดนามจะแซงไทยได้ คงไม่ไกลเกินเอื้อม
5. มีขอทานน้อยกว่าไทย
ในนครโฮชิมินห์ที่มีประชากรไม่แพ้กรุงเทพมหานคร...แต่แทบจะหาขอทานไม่พบ มีแต่คนอุ้มลูกจูงหลานมาขายหมากฝรั่งให้พอรำคาญเล่น คนใจอ่อนก็อุดหนุนกันไปบ้าง แต่ประเภทเป็นขอทานแท้ ๆ...แทบไม่เคยพบ ทางการเขาเอาจริง จับและกวาดต้อนไปฝึกอาชีพ....ไม่ปล่อยให้เกลื่อนถนนแบบไทยที่มีกระทั่งขอทานเขมรมาเพ่นพ่านเต็มไปหมด (น่าอนาถแท้ ๆ ประเทศไทย)
6. (แทบ) ไม่มีปัญหายาเสพติด หรือเด็กเกเร-อันธพาล
ที่เวียดนามใครขืนเสพหรือค้ายาเสพติด...มีโอกาสเกิดใหม่สูงมาก....เขาไม่ค่อยขังให้เปลืองข้าวแดงเสียด้วย…ย่านอิทธิพลค้ายาหรือขาใหญ่แบบสลัมเมืองไทย... แทบหาไม่ได้…ที่เคยมีก็ถูกรื้อไปสร้างแฟลตกันแทบหมดแล้ว
7. เศรษฐกิจ "กระดี๊กระด๊า" ดูดีไปหมด!
ทั้งนี้เพราะเติบโตปีละ 7-10% มาหลายปี ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เวียดนามก็กระอักแบบไทย...แต่ฟื้นตัวเร็วกว่าและฟื้นตัวอย่างมั่นคงกว่าไทยมาก...อนาคตของประเทศแลดูสดใส อยู่ในช่วงขาขึ้น...มีการพัฒนาสาธารณูปโภคอย่างขนานใหญ่และต่อเนื่อง
8. ให้การต้อนรับกระทั่งมหาวิทยาลัยต่างชาติ
นี่เป็นมิติที่ขอย้ำถึงการส่งเสริมการลงทุนของต่างชาติในเวียดนาม..มหาวิทยาลัยชั้นนำของต่างประเทศสามารถเข้าไปตั้งสาขาได้....ผิดกับของไทยที่กีดกันมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศ...มหาวิทยาลัยไทยหลายแห่งกลัวการออกนอกระบบ..เพียงเพราะเกรงใจอาจารย์ที่เป็นข้าราชการ...จะสูญเสียผลประโยชน์....แต่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของนักศึกษาและประเทศชาติ
9. แทบหา "บ้านว่าง" (บ้านที่สร้างเสร็จแต่ไม่มีผู้เข้าอยู่) ไม่ได้เลย
ที่อยู่อาศัยทุกระดับราคาต่างมีคนเช่าหรือซื้ออยู่อาศัย ที่ว่างมีไม่ถึง 5-10% นี่แสดงว่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจของอสังหาริมทรัพย์…แทบไม่ปรากฏให้เห็นในเวียดนามเลย
10. ระบบผ่อนบ้านมีหลักประกัน (ของไทยยังล้าหลังกว่า!)
ในเวียดนามบ้านสร้างเสร็จก็แสดงว่า....การผ่อนชำระค่าบ้านเสร็จพอดี...ซึ่งเป็นลักษณะ escrow account ที่ป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการ...นำเงินไปหมุนทางอื่นหรือนำไปซื้อรถเมอร์เซเดส....โครงการต้องนำเงินงวดของการผ่อน....มาก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ..และหากใครจะขอกู้ ....ก็ต้องติดต่อสถาบันการเงินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว....เมื่อสถาบันการเงินตกลง....สถาบันการเงินนั้น...ก็จะผ่อนชำระกับโครงการจนแล้วเสร็จแทนเราต่อไป
11. กล้าย้ายสถานที่ราชการออกนอกเมือง แล้วนำที่ดินทำเลทองมาพัฒนา
ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือหรืออื่น ๆ ในฟิลิปปินส์ถึงขนาดย้ายค่ายทหารออกไปนอกเมือง เพื่อนำที่ดินทำเลทองมาพัฒนาเพื่อประโยชน์ ของประเทศชาติ... แต่สำหรับไทย คงทำไม่ได้เพราะ "เขตทหารห้ามเข้า" (ฮา) หรือเพราะเรามัก "เจาะยาง"ด้วยการตีขลุมว่า ...ขืนเอาทรัพย์สินไปหาผลประโยชน์เชิงพาณิชย์....อาจเกิดการการฉ้อราษฎร์บังหลวง..นี่คือกระบวนการกีดกัน/ยับยั้งความเจริญของชาติอย่างแท้จริง
12. กฎหมายเวนคืนศักดิ์สิทธิ์ทางราชการ
เวียดนามสามารถย้ายชาวบ้านได้ทุกบริเวณที่ต้องการ....อาจมีอิดออดบ้าง แต่ต้องไปภายในเวลาที่รวดเร็ว ....จะมาอ้างรักถิ่นฐานอนุรักษ์เครือข่ายเพื่อนบ้านหรือรักษาจิตวิญญาณชุมชน ไม่ได้เด็ดขาด....และโดยความศักดิ์สิทธิ์นี้เอง....พื้นที่แปลงขนาดใหญ่จึงสามารถนำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที...นี่เป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้เวียดนามก้าวล้ำนำไทยที่ "ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก" เช่นทุกวันนี้
13. กฎหมายมีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
บางครั้งแม้แต่ข้าราชการยังตามไม่ทัน....แต่เป็นข้อดีอย่างยิ่งที่ทำให้กฎหมายสามารถตอบสนองสถานการณ์ใหม่ ๆของการพัฒนาประเทศ ....ไม่เหมือนไทย ที่การแก้ไขกฎหมายเพื่อชาติและประชาชนเชื่องช้าเป็นที่สุด.... เช่น เรามี พรบ.ผังเมืองตั้งแต่ 2475 แต่มีผังเมือง กทม. ฉบับแรกเมื่อปี 2535 หรืออีก 60 ปีถัดมา! เพราะชนชั้นนำของประเทศ...ไม่ต้องการให้ที่ดินของตนเสียผลประโยชน์นั่นเอง.(3).
14. ปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างจริงจัง
ท่านเชื่อหรือไม่กัปตันเครื่องบินเวียดนามแอร์ไลน์...ถูกไล่ออกเพียงเพราะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าประเทศ...มูลค่าเพียงหลักแสนบาท...โดยไม่ผ่านด่านศุลกากร ..นักฟุตบอลเวียดนาม 4 คน....ที่ไปรับสินบนในงานแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ฟิลิปปินส์เมื่อปี 2548…ขณะนี้ยังติดคุกหัวโตอยู่เลย (4).
เรื่องนี้ประเทศไทยในยุคคุณธรรมนำการเมือง.... เทียบอะไรเขาได้หรือไม่
15. การเมืองเวียดนามมีแต่ความมั่นคง ไม่มีรัฐประหาร
ผมได้รับเชิญจาก สมาคมนายธนาคารมาเลเซีย (Malaysian Investment Bankers Association) ไปพูดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เขาบอก (เชิงขอบคุณประเทศไทย) ว่า หลังรัฐประหารของไทย... มาเลเซียได้รับอานิสงส์ไปเต็ม ๆเงินลงทุนแทนที่จะมาไทย....กลับไปมาเลเซีย ...ที่เวียดนามก็เช่นกัน...นักลงทุนไปกันมากมาย.... นักลงทุนทั่วโลกแทบจะข้ามหัวประเทศไทยไปหมด...เพราะเขาไม่นิยมรัฐประหาร!
16. ข้อสุดท้ายนี้น่ากลัวที่สุดกล่าวคือ.... เวียดนามกำลังรวมตัวกัน....แต่ไทยกำลังจะแตก....
นับจากสิ้นสุดสงครามเวียดนามเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา....เวียดนามเป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้นยิ่ง ๆ ขึ้น.... คนเวียดนามโพ้นทะเล ส่งเงินกลับบ้านจำนวนมหาศาลถึง 150,000 ล้านบาท .(5).แต่ประเทศไทยของเรากลับกำลังจะแตกแยก...ภาคใต้ไม่แน่ว่า...จะต้องปล่อยให้ปกครองตนเองหรือกลายเป็นประเทศอิสระในไม่ช้าไม่นานนี้ (โอมเพี้ยง ขอให้เดาผิด)....การแตกแยกคุกรุ่นของคนในประเทศ...กลับยิ่งเพิ่มขึ้นหลังรัฐประหาร....ไทยกับเวียดนามสวนกระแสกันอย่างนี้ ....แล้วไทยจะเหลือหรือ....
ผมไม่ได้เชียร์เวียดนาม.... แต่หวั่นใจว่าไทยเราจะถอยหลัง...ก็ ได้แต่หวังว่าข้อคิด 16 ข้อนี้จะทำให้เราได้ "เสียวสันหลัง" กันเสียบ้าง ปรองดองกันเถอะครับ จำไว้ว่า "เข่นฆ่ากันทำไม… เราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งผอง ...ไทยฆ่าไทย ให้ชาติอื่นครอง วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลาน" .(6)..
หมายเหตุ
ดร.โสภณ พรโชคชัยเคยเป็นที่ปรึกษารัฐบาลเวียดนาม...ด้านการวางระบบการประเมินค่าทรัพย์สินประจำการอยู่ที่กรุงฮานอย…แต่ได้เดินทางไปศึกษาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในนครอื่นด้วย…
ดร.โสภณมีอาชีพเป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์
...ยังเป็นกรรมการที่ปรึกษาหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์...
ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย
และกรรมการสภาที่ปรึกษา Appraisal Foundation ซึ่งก่อตั้งโดยสภาคองเกรสเพื่อการควบคุมการประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกา
Email: sopon@thaiappraisal.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น