เรียน ท่านสื่อมวลชน
ขอส่งจดหมายเชิญ งานเปิดหนังสือ “ล้มให้เป็น ลุกให้ได้” เพื่อเรียนเชิญร่วมงาน ตามเอกสารแนบนะคะ
คุณเอกชัย เป็นผู้พิการที่ไม่มีแขน ไม่มีขา และฐานะยากจน แต่สามารถต่อสู้ชีวิตด้วยความเข้มแข็ง
จึงอยากนำเสนอหนังสือประวัติตัวเอง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ให้ผู้พิการ และ บุคคลปรกติที่มีจิตใจท้อแท้ ให้เกิดพลังใจ ในการต่อสู้ชีวิต ได้อย่างกล้าหาญ โดยไม่โทษโชคชะตา
ไม่เป็นภาระต่อผู้อื่น ทั้งยังมีสามารถกลับมาช่วยเหลือสังคมด้วย
ไม่สำคัญว่าชีวิตจะล้มมาแล้วกี่ครั้ง
แต่สำคัญว่าเมื่อล้มแล้วจะลุกขึ้นใหม่ได้หรือไม่เท่านั้นเอง
ขอบคุณค่ะ
-------------------------------------------
เรื่อง เรียนเชิญให้เกียรติร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ “ล้มให้เป็น ลุกให้ได้”
ผลงานของ คุณเอกชัย วรรณแก้ว
เรียน ท่านสื่อมวลชนที่เคารพรัก
ด้วยสำนักพิมพ์ดีเอ็มจีได้จัดพิมพ์หนังสือ “ล้มให้เป็น ลุกให้ได้” ผลงานของ คุณเอกชัย วรรณแก้ว ชายหนุ่มผู้ไร้แขนขา แต่ไม่เคยท้อแท้ในชีวิต ถ่ายทอดเรื่องราวการปรับเปลี่ยนปมด้อยในตนเองให้กลายเป็นปมเด่นที่แม้แต่คนมือเท้าดียังต้องอาย ครั้งหนึ่งเอกชัยเคยถูกปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือในเรื่องที่พักอาศัยเพียงเพราะเห็นเขาเป็นภาระทางสังคมที่ไม่มีใครอยากร่วมรับผิดชอบ แต่สิ่งนี้กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้ชายหนุ่มใจเกินร้อยคนนี้มุมานะต่อสู้ฟันฝ่า นำพาชีวิตตนเองเดินทางสู่ฝัน จนในที่สุด เขาก็ได้พิสูจน์คุณค่าความเป็นมนุษย์ของตนเองให้เห็นว่า คนพิการไม่ได้มีความสามารถด้อยไปกว่าใครหากมีความพยายาม หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือที่จะสร้างแรงบันดาลใจชั้นยอดให้กับทุกชีวิตที่กำลังท้อแท้หมดหวัง
ปัจจุบันเอกชัยเป็นหนึ่งในศิลปินวาดภาพสีน้ำมันที่ได้รับการยอมรับให้ร่วมแสดงภาพเขียนกับศิลปินชื่อดังหลายท่าน อีกทั้งยังเป็นหนี่งในทีมศิลปินของโครงการ Art for All ที่พร้อมทำประโยชน์เพื่อสังคมดังเช่นที่เขาคิดไว้ว่า วันหนึ่งเขาจะมุ่งมั่นให้โอกาสกับคนด้อยโอกาส เพื่อไม่ให้คนเหล่านี้ถูกสังคมทำร้ายอย่างที่เขาเคยประสบมาแล้ว
ในโอกาสนี้ สำนักพิมพ์ดีเอ็มจีขอเรียนเชิญ ท่านสื่อมวลชน ให้เกียรติร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ “ล้มให้เป็น ลุกให้ได้” โดยมี คุณเอกชัย วรรณแก้ว เจ้าของเรื่อง คุณแก้วตา ปริศวงศ์ คนเดินเรื่องรายการ ‘คนค้นฅน’ คุณวอลเตอร์ ลี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวนเจอร์เทค มาร์เก็ตติ้ง จำกัด สุดยอดคุณพ่อผู้ไม่แพ้ คุณโสภณ ฉิมจินดา ต้นแบบคนพิการไทย จากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และผู้ผลิตรายการ ‘ล้อเล่นโลก’ ทางสถานีโทรทัศน์ Thai PBS ร่วมเสวนา ดำเนินรายการโดย คุณแทนคุณ จิตต์อิสระ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ เวลา ๑๔.๐๐ ถึง ๑๖.๐๐ นาฬิกา ณ หอประชุมพุทธคยา สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี อาคารอัมรินทร์พลาซ่า ชั้น ๒๒ ถนนเพลินจิต กรุงเทพมหานคร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณสุรีรัตน์ ปานพรม หรือคุณปัทมา วัฒนาพรินทร โทร. ๐-๒๖๑๐-๒๓๖๗
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสต้อนรับท่านในวันและเวลาดังกล่าว ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
เอกชัย วรรณแก้ว
ผู้เขียนชีวิตด้วยปลายเท้า
ชายผู้มีแต่หัวกับตัว แต่ไม่เคยท้อแท้ในชีวิต
อีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่...ให้ทุกชีวิตที่ยังมีลมหายใจ!
“...ผมเคยต่อล้อต่อเถียงกับคนที่เขามอง เคยถามว่ามองทำไม เห็นผมเป็นตัวประหลาดหรืออย่างไร
แต่ก็ไม่ได้ถามด้วยความโกรธ แค่สงสัยว่าเราผิดแปลกมนุษย์มนามากเลยหรืออย่างไร
ทำไมต้องมาคอยมองเราแบบนี้ด้วย เขาก็ตอบว่า อยากรู้ว่ากินอยู่อย่างไรเท่านั้นเอง…”
ไม่สำคัญว่าชีวิตจะล้มมาแล้วกี่ครั้ง
แต่สำคัญว่าเมื่อล้มแล้วจะลุกขึ้นใหม่ได้หรือไม่เท่านั้นเอง
เอกชัย วรรณแก้ว
มนุษย์เพนกวิน ชายหนุ่มผู้ล้มทางกาย แต่ลุกขึ้นได้ด้วยใจ
อีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่...ให้ทุกชีวิตที่ยังหายใจ!
เอกชัย วรรณแก้ว เกิดในครอบครัวที่ยากจนมาก พ่อแม่เป็นชาวนา มีพี่น้อง ๕ คน เอกชัยเป็นน้องคนสุดท้อง ซึ่งเกิดมาพร้อมความพิการทางร่างกาย แต่เขาไม่เคยโทษโชคชะตา ไม่เคยโทษใคร ทว่ายอมรับและดำเนินชีวิตด้วยหัวใจที่สมบูรณ์ และไม่เคยรู้สึกว่าสิ่งที่ไม่เหมือนใคร คือปมด้อยที่จะทำให้ชีวิตเขาต้องยอมแพ้!
ในวัยเด็ก เอกชัยใช้วิธีการกลิ้งแทนการเดิน เพราะไม่มีแขน ส่วนขาก็สั้นมาก จนเรียกว่าเกือบจะไม่มี สิ่งเดียวที่ทำให้เขาใช้ชีวิตได้ คือ ลำตัว แต่เมื่อเห็นคนอื่นวิ่งและเดินได้ เอกชัยก็ลองหัดเดินบ้าง จนหน้าคว่ำหน้าหงายนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดเขาก็เรียนรู้วิธีการล้มที่ไม่ทำให้เจ็บตัว แล้วก็ค่อยๆ ลุก และเดินได้ในที่สุด
นอกจากนี้เขายังทำกิจกรรมหลายอย่างได้ ถึงขนาดที่ว่าคนปกติยังอาย เช่น พายเรือ เตะบอล ดูแลตัวเองได้ และที่เขาถนัดที่สุด คือ การวาดรูป ซึ่งฝึกฝนจากความชอบ โดยเริ่มจากการใช้เท้าหัดวาดการ์ตูนที่พวกพี่ๆ วางทิ้งไว้ ในขณะที่เขาต้องอยู่บ้านคนเดียว
เมื่อเริ่มโตขึ้น อายุประมาณ ๑๐ ขวบ เขาก็มีความคิดอยากเรียนหนังสือ แต่กลับถูกปฏิเสธจากโรงเรียนแถวบ้าน โดยให้เหตุผลว่า เขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ กลัวว่าจะเป็นภาระของคนอื่น แต่พ่อของเขาก็ยังสู้ พาไปพบกับศึกษาธิการจังหวัด ท่านบอกให้เขาลองถอดเสื้อและช่วยเหลือตัวเองด้านต่างๆ ซึ่งเขาก็ทำได้เป็นอย่างดี ในที่สุดเขาจึงได้เรียนตามโครงการ อยากเรียนต้องได้เรียน
จากการบ่มเพราะวิชาและการต่อสู้ด้วยการคิดบวก ทำให้เขาสามารถก้าวข้ามปมด้อยด้านร่างกาย เขาสามารถสอบเข้าวิทยาลัยเพาะช่างได้ด้วยความสามารถของตนเอง แม้ว่าขณะสอบจะไม่มีอุปกรณ์เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ แต่เขาก็ได้คะแนนดี และไม่เคยใช้ปมด้อยเป็นอภิสิทธิ์ใดๆ
นอกจากการต่อสู้กับความพิการทางด้านร่างกายแล้ว เขายังต้องต่อสู้กับความอัตคัดขัดสนอีกด้วย เพราะสิ่งแวดล้อมเมืองหลวงแตกต่างจากบ้านเดิมที่นครสวรรค์อย่างสิ้นเชิง เอกชัยต้องปรับตัวปรับใจเป็นอย่างมาก เขาไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ไม่มีที่อยู่ (แม้กระทั่งวัดก็ยังปฏิเสธ) เพราะกลัวเป็นภาระคนอื่น เคยเหลือเงินในกระเป๋า ๓ บาท แต่ก็ไม่ได้ไปขอใคร กลับทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เรียนต่อ ทั้งเอาโทรศัพท์ไปจำนำและทำงานทุกอย่างเพื่อส่งตัวเองเรียน โดยไม่บอกพ่อแม่เพราะกลัวท่านทั้งสองจะลำบาก
ปัจจุบันเอกชัยเป็นนักศึกษาชั้นที่ปี ๔ คณะจิตรกรรมสากล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง เป็นลูกที่มีการศึกษาสูงที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด เอกชัยมีเป้าหมายในชีวิต คือ การเปิดโรงเรียนสอนศิลปะสำหรับเด็กด้อยโอกาสโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ
ความสามารถของเอกชัย วรรณแก้ว
๑. สามารถช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันได้ทุกอย่าง
๒. มีความชำนาญด้านการวาดภาพสีน้ำมันด้วย “เท้า” หรือ “ไหล่” สีที่ชอบ คือ สีโทนเย็น โดยภาพส่วนใหญ่มักเป็นภาพที่สื่อถึงตนเอง หรือภาพที่ให้แนวคิดด้านสัจธรรม
รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ
๑. นักเรียนพิการดีเด่นจังหวัดนครสวรรค์ เนื่องในงานวันคนพิการสากลจังหวัดนครสวรรค์ ปีพุทธศักราช ๒๕๔๓ โดยคณะอนุกรรมการสาขาการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการประจำจังหวัดนครสวรรค์
๒. โล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลพิการตัวอย่าง จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
(ปีพุทธศักราช ๒๕๕๑)
๓. The Ripley’s Incredible Ambassador ๒๐๑๐ “Penguin Man” by Ripley’s Believe it or not Museum Pattaya, Thailand
๔. เกียรติบัตรเข้าร่วมกิจกรรมค่ายศิลปะเพื่อมวลมนุษย์ Art for All (ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓)
ประเด็นที่น่าสนใจ
๑. เอกชัย วรรณแก้ว เกิดมาในสภาพไม่เต็มร้อย เขาไร้แขนทั้งสองข้าง ในขณะที่ขาไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่อย่างเช่นคนปกติ แต่เขาไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา พร้อมปรับเปลี่ยนปมด้อยในตนเองให้กลายเป็นปมเด่นที่แม้แต่คนมือเท้าดียังต้องอาย เช่นเดียวกับ "นิค วูจิซิค" (Nick Vujicic) หนุ่มออสเตรเลีย วัย ๒๖ ปี ชายหนุ่มผู้พิการแขนทั้งสองข้าง มีแต่ขาสั้นๆ ข้างเดียวที่มีนิ้วโป้งโผล่ออกมาสองนิ้วเท่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้ชีวิตเดินไปตามโชคชะตา และไม่พร่ำบ่นถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับชีวิต ปัจจุบันนิคเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่โด่งดังไปทั่วโลก
๒. เอกชัย ไม่เคยมีคำว่า “พิการ” อยู่ในความรู้สึก เขามีความคิดบวกและมองโลกในแง่ดีเสมอ ซึ่งสิ่งนี้เองที่ได้ช่วยหล่อหลอมให้ชีวิตและจิตใจของเขาเข้มแข็ง ไม่ได้เห็นสภาพร่างกายของตนเองเป็นอุปสรรคในการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
๓. เอกชัย มีหัวใจเกินร้อย เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับทั้งคนปกติและคนพิการในด้านความมุมานะต่อสู้ฟันฝ่า นำพาชีวิตตนเองเดินทางสู่ฝัน โดยไม่หวั่นว่าจะมีอุปสรรคใดรออยู่เบื้องหน้า เพราะสิ่งเดียวที่เอกชัยเชื่อที่สุดว่าจะทำให้ตนเองพบกับจุดสูงสุดในชีวิตได้ก็คือ “หัวใจ” นั่นเอง
๔. ปัจจุบัน เอกชัยเป็นหนึ่งในศิลปินวาดภาพสีน้ำมันที่ได้รับการยอมรับให้ร่วมแสดงภาพเขียนกับศิลปินชื่อดังหลายท่าน อีกทั้งยังเป็นหนี่งในทีมศิลปินของโครงการ Art for All ที่พร้อมทำประโยชน์เพื่อสังคมดังเช่นที่เขาคิดไว้ว่า วันหนึ่งเขาจะมุ่งมั่นให้โอกาสกับคนด้อยโอกาส เพื่อไม่ให้คนเหล่านี้ถูกสังคมทำร้ายอย่างที่เขาเคยประสบมาแล้ว
๕. อีกทางหนึ่งที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก คือ การทำหนังสือ “ล้มให้เป็น ลุกให้ได้” ซึ่งเขาหวังว่าจะเป็นหนังสือที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจชั้นยอดให้กับทุกชีวิตที่กำลังท้อแท้หมดหวัง ปัญหามักทำให้เรามองไม่เห็นทางออกของชีวิต หนทางมักมืดมนเมื่อเราเลือกที่จะฝังตัวให้จมอยู่กับปัญหา แต่เมื่อใดก็ตามที่เราตั้งสติให้มั่นเพื่อพร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างกล้าหาญ เมื่อนั้นเราจะสามารถข้ามผ่านทุกอย่างไปได้อย่างแน่นอน
ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ “เอกชัย วรรณแก้ว” จากหนังสือ “ล้มให้เป็น ลุกให้ได้”
อุปสรรคของชีวิตในวัยเรียน
การเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ อาจไม่ได้มีผลอะไรกับจิตใจเรามากนัก แต่ก็มีผลด้านร่างกายพอสมควร เพราะเราลำบากกับการเปลี่ยนที่อยู่ ต้องทำเองทุกอย่าง ที่นอน การกินการใช้ สิ่งแวดล้อมมันไม่เหมาะกับเรา และยังมีสายตาของคนรอบข้างที่มองมาที่เรา เพราะสภาพเราอาจจะชินตาสำหรับคนที่บ้าน แต่ไม่คุ้นเคยสำหรับคนที่นี่ ซึ่งความจริงแล้วเขาก็อาจจะแค่อยากรู้อยากเห็น เราก็ชินชากับความรู้สึกของพวกเขา
ผมเคยต่อล้อต่อเถียงกับคนที่เขามอง เคยถามว่ามองทำไม เห็นผมเป็นตัวประหลาดหรืออย่างไร แต่ก็ไม่ได้ถามด้วยความโกรธ แค่สงสัยว่าเราผิดแปลกมนุษย์มนามากเลยหรืออย่างไร ทำไมต้องมาคอยมองเราแบบนี้ด้วย เขาก็ตอบว่า อยากรู้ว่ากินอยู่อย่างไรเท่านั้นเอง
ในชีวิตผมเคยพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตไปบ้างจากการที่มีร่างกายแบบนี้ บางครั้งเราอาจจะไม่ถูกเลือกเป็นส่วนหนึ่งของนักศึกษาที่จะไปทำอะไรพิเศษ ทั้งๆ ที่ฝีมือเราก็ไม่ได้น้อยกว่าเขา แต่อาจจะเพราะเราเรียนไม่ดี เกรดไม่ถึง ทำงานไม่ทันที่เขาประกวด เพราะเราต้องทำนั่นทำนี่เพื่อหาเงินซื้ออุปกรณ์
แต่ในการพลาดโอกาสสำคัญในชีวิตเราก็ไม่เคยโทษร่างกาย เพราะมันโทษใครไม่ได้ มันเกิดขึ้นแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ เราไม่ได้มองว่าเราพลาดเพราะเรามีร่างกายแบบนี้ เพียงแต่ไปมองที่สาเหตุหลักๆ คือ มองที่การกระทำของเรามากกว่า จึงอยากจะบอกทุกคนว่า ถ้ามีปัญหาอะไรเราควรย้อนกลับมามองที่ตัวเองว่าเราไม่ดีตรงไหน เราอาจสนใจกับเรื่องอื่นมากเกินไป จนทำให้งานที่ควรจะได้เวลาจากเรา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ได้แค่ ๖๐ - ๗๐ เปอร์เซ็นต์
เพราะฉะนั้น ร่างกายของเราไม่เคยเป็นอุปสรรค อยู่ที่ใจมากกว่า ครั้งหนึ่งก่อนจะขึ้นปี ๔ อาจารย์เคยถามว่า เอกชัยจะขออภิสิทธิ์พิเศษในการเรียน การสอบ ขนาดภาพ และเวลา ไหม เพราะอาจารย์มองออกว่าเราติดปัญหาตรงนี้ อาจารย์จะมองว่าเราอาจจะเสียเปรียบ แต่เราก็ไม่ยอม เราอยากให้วัดกันตรงๆ อาจารย์บอกว่า ถ้าสอบตกอาจารย์ก็ต้องให้ตกเลยนะ ผมก็ตอบตกลง ถามว่าทำไมผมถึงไม่รับในข้อเสนอนี้ นั่นเพราะผมคิดว่าเราเลือกจะเรียนเอง เพราะฉะนั้นเราต้องมีศักยภาพที่จะต้องเรียนให้ได้ อย่าไปโทษคนอื่น แต่ควรหันกลับมาดูตัวเอง
ขนาดของภาพที่วาดก็จะเท่ากับเพื่อนคนอื่นๆ เราส่งงานก็ผ่านเหมือนเพื่อน อาจจะไม่ดีเท่าเพื่อนแต่ก็ผ่านเหมือนกัน ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ทุกอย่างไม่เกี่ยวกับกายภาพของเรา
เราต้องพยายามในงานของเรามากขึ้นเป็น ๓ เท่าของคนอื่น เช่น เพื่อนเขียนโดยที่เขาสามารถเขียนได้ตลอดความสูงของเฟรม ในขณะที่เราต้องกลับเฟรมเอาหัวลงเพื่อวาดในส่วนบน เราจึงต้องใช้ความจำเยอะมาก ในเรื่องสเกลสี โทนสี เพราะภาพที่ออกมาก็ต้องเป็นเนื้อเดียวกัน และถ้าอาจารย์ให้เวลาวาด ๑ สัปดาห์ก่อนส่ง เราก็ต้องเร่งมากกว่าคนอื่น ถ้าเขาทำ ๒ วัน เราก็คงต้องทำ ๕ วัน ต้องค่อยๆ เก็บงานเรื่อยๆ
ล้มแล้วต้องลุกให้ได้
ตอนที่ท้อหนักสุดๆ เคยถามตัวเองว่า เรามาทำอะไร ทำไมเราต้องมานอนอยู่ในซอกเล็กๆ แบบนี้ คันก็คัน ยุงก็กัด เหงาก็เหงาเพราะนอนคนเดียว เรื่องกลัวก็มีบ้าง เรามาทำอะไร ทั้งๆ ที่อยู่บ้านเราก็มีแม่ทำกับข้าวให้กิน แล้วไปเล่นกับเพื่อน ชีวิตสบายมาตลอด
แต่แล้วก็คิดได้ว่า ถ้าเรากลับบ้าน คำสบประมาทที่เคยได้ยินมาอย่างคำที่เคยมีคนบอกกับพ่อแม่ว่า “ส่งลูกไปเรียนทำไม เรียนไปก็คงไม่จบหรอก จะเรียนไปทำไม” เรามักจะเอาคำสบประมาทมาเป็นกำลังใจในชีวิต คนข้างบ้านมักจะถามพ่อแม่ว่า ส่งไปเรียนทำไมเปลืองเงินทองเปล่าๆ เรียนแค่มัธยม ๓ ก็สูงพอแล้ว จบมาก็ไม่รู้จะทำงานอะไร
เราจึงได้คิดว่า ลองอีกนิดหนึ่งแล้วกัน มันคงไม่ตายหรอก ระยะท้อของเรานานเป็นปี แต่พอล้มแล้วก็ลุกขึ้นได้จากความคิดของตัวเอง แล้วก็เริ่มทำงานอย่างเดิม จะไปอยู่กับเพื่อนก็ช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้อยู่แล้ว
ให้กำลังใจคนที่ท้อแท้ในชีวิต
สำหรับคนที่มีโอกาสแต่ใช้โอกาสของตัวเองไม่เต็มที่ ผมมองว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนโอกาสมาแล้วแต่ไม่ไขว่คว้า ไม่อดทน ไม่รับผิดชอบ แต่ละคนก็มีภูมิต้านทานต่างกัน บางคนไม่เคยเจอความลำบาก พอเจอแล้วทำอะไรไม่ถูก แต่อย่างผมคือผมเคยลำบากมาก่อน เคยเจอหนักกว่านี้เหนื่อยกว่านี้มาแล้ว ความลำบากในวันนี้มันจะเป็นเหมือนภูมิต้านทาน ถ้าจะเปรียบเทียบก็คล้ายกับว่า เราเคยกินข้าวกับน้ำปลา แล้ววันหนึ่งต้องมากินข้าวกับน้ำปลาอีก เราก็เฉยๆ เพราะเราเคยกินมาแล้ว คนไม่เคยก็คงกินไม่ได้
คนที่ท้อแท้ในวันนี้ ควรคิดว่า สิ่งที่เจอวันนี้มันจะเป็นเกราะให้เราในวันหน้า ผมกล้าการันตีว่า ถ้าคนจนพลิกมารวยแล้วกลับไปจนอีกก็คงอยู่ได้ไม่เป็นไร แต่คนรวยให้กลับไปจนเขาจะทำใจไม่ได้ ทำอะไรไม่เป็นเลย นกที่อยู่ในกรงตลอดแล้วถูกปล่อยออกไปนอกกรงก็คงอยู่ได้มานานเพราะหากินเองไม่เป็น
แต่ผมเป็นตั้งแต่เกิด ผมพร้อมทำใจง่ายกว่า แต่คนที่เพิ่งมาเจอปัจจุบันอาจจะทำใจไม่ได้ ผมอยากให้ลองมองคนที่ด้อยกว่า ต่ำว่า สมมติเรามีขาข้างเดียว ขอให้มองคนที่เขาไม่มีขาเลย เขายังอยู่ได้เลย แล้วทำไมเราจะอยู่ไม่ได้ ช่วงแรกมันก็ต้องเสียอกเสียใจ แต่เราต้องอยู่ให้ได้ เราเหลือขาอีกข้างนึงทำไมเราต้องกลัวด้วย หรือคนที่เคยมองเห็นแล้ววันหนึ่งกลับมองไม่เห็น ขอให้คิดว่า อย่างน้อยหูเราก็ยังได้ยิน เราฟังได้ เราไม่ได้สูญเสียทุกอย่าง ควรคิดว่าเราจะสามารถทำประโยชน์อะไรได้อีกต่างหาก
With best regards,
Pattama Vattanaparinton (Pan)
Media Relations Supervisor
DC Consultants and Marketing Communications Ltd
Amarin Plaza, Level 22, 496-502 Ploenchit Road, Lumpini, Pathumwan, Bangkok 10330
Direct Line: (662) 610 2377 Mobile: (668) 9403 9931 Tel: (662) 610 2364-5 Fax: (662) 610 2345-6
http://www.dcconsultants.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น