++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กาเมสุมิจฉาจาร (ประพฤติผิดในกาม)

คำว่า กาม ในคำว่า กาเมสุมิจฉาจาร ได้แก่ เมถุนสมาจาร 2 อย่าง คือ สทารสันโดษ ความพอใจเฉพาะคู่ครองของตน และปรทารคมนะ การละเมิดคู่ครองคนอื่น ส่วนความผิดที่จัดเป็นกาเมสุมิจฉาจาร ได้แก่ ความผิดที่เกิดขึ้นเพราะนอกใจคู่ครองของตน และละเมิดคู่ครองของคนอื่น
เจตนาที่ล่วงละเมิดในฐานะที่ตนไม่ควรละเมิด อันเป็นไปทางกายทวาร โดยประสงค์อสัทธรรม ชื่อว่า กาเมสุมิจฉาจาร
กรณีศึกษาในเรื่องของกรรมกาเมสุมิจฉาจาร
กรณีศึกษาที่ 1 (วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2547) ชายคนหนึ่งมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปในทางเพศหญิง เคยเดินสายประกวดความสวย เคยเป็นหมอนวดและนั่งร่วมโต๊ะกับแขก นอกจากนี้ยังได้ไปปรึกษาหมอเพื่อเตรียมตัวจะผ่าตัดแปลงเพศ แต่เมื่อเขามีโอกาสปฏิบัติธรรมและได้รับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับ การแปลงเพศ ประกอบกับมีผลการปฏิบัติธรรมที่ดี ทำให้รู้สำนึกกลัวบาปในการแปลงเพศ จึงได้ตั้งใจปฏิบัติธรรมพร้อมกับสั่งสมบุญทุกบุญเรื่อยมา
สาเหตุที่ชายผู้นี้มีอาการเบี่ยงเบนทางเพศและคิดอยากแปลงเพศ เพราะกรรมเจ้าชู้ในอดีตหลายๆ ชาติมาส่งผล ส่วนที่เกิดมาสวยหน้าตาพอดูได้ เพราะกรรมในอดีตชาติเวลาทำบุญมักอธิษฐานว่า "ชาติหน้าขอให้สวย" ประกอบกับจริตในชาตินี้ที่ชอบรักสวยรักงาม แต่งตัว ทาหน้า เขียนคิ้วทาปาก ทำให้หน้าตาพอดูได้

กรณีศึกษาที่ 2 (วันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2547) หญิงคนหนึ่งเคยอยู่ในวงจรเกี่ยวกับการขายบริการเป็นเวลา 25 ปี และเคยตกเลือด ต้องผ่าตัดมดลูกและผ่าที่ท้องหลายครั้ง นอกจากนี้ยังเป็นโรคภูมิแพ้ หายใจไม่ออก ทรมานมาก
สาเหตุที่หญิงผู้นี้ต้องมาอยู่ในวงจรเกี่ยวกับการขายบริการเป็นเวลา 25 ปี เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดเป็นผู้ชายอยู่ในวัยหนุ่ม ได้ไปคบคนพาล และผิดศีลโดยเฉพาะข้อ 3 จนในที่สุดก็ไปเป็นนักเลงคุมซ่องโสเภณี ส่วนที่เคยตกเลือด ต้องถูกผ่าตัดมดลูก และผ่าตัดที่ท้องหลายครั้ง อีกทั้งยังเป็นโรคภูมิแพ้ หายใจไม่ออก เพราะกรรมในอดีตชาติที่เกิดเป็นผู้ชายมีนิสัยเจ้าชู้ ทำผิดศีลข้อ 3 และกรรมในอดีตชาติที่เคยเกิดเป็นโสเภณี ได้ทำแท้ง ประกอบกับกรรมในอดีตชาติที่เกิดเป็นนักเลงคุมซ่อง ได้บังคับโสเภณีให้ขายบริการ ด้วยวิธีการบีบคอให้เขาหายใจไม่ออก

กรณีศึกษาที่ 3 (วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548) หญิงคนหนึ่งมีรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณดี มีบุคลิกลักษณะคล้ายผู้ชาย ตอนเด็กๆ ชอบเล่นกับเด็กผู้ชาย เพราะไม่มีความรู้สึกอยากเล่นเหมือนเด็กผู้หญิง แต่ก็ไม่ชอบและจะโกรธมากถ้าใครเรียกหรือนินทาว่า "เป็นทอม" และมักจะมีผู้หญิงมาชอบเธอ ซึ่งเธอก็พยายามหาสาเหตุว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่ครอบครัวก็อบอุ่น และพ่อแม่ก็สอนให้รู้จักสวดมนต์ โดยเริ่มจากการว่าจ้างและสอนให้ทำความดี ทำให้ตัวเธอและพี่น้องทุกคนมีธรรมะติดตัวอยู่ลึกๆ
สาเหตุที่หญิงผู้นี้มีความรู้สึกครึ่งหญิงค่อนชาย เพราะกรรมเจ้าชู้ในอดีตหลายๆ ชาติ ทั้งตอนที่เกิดเป็นหญิงและเป็นชายตามมาส่งผล แต่ตอนเป็นชายมีนิสัยเจ้าชู้มากกว่า จึงมารวมส่งผลในชาตินี้ และที่มีผู้หญิงมาชอบ เพราะกรรมในอดีตชาติที่เกิดเป็นชาย เวลาทำบุญมักอธิษฐานว่า "ขอให้สาวๆ มาหลงรัก หลงใหล"

กรณีศึกษาที่ 4 (วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2546) ชายคนหนึ่งเกิดมาในครอบครัวที่มีอันจะกินไม่ต้องทำมาหากิน และมีอัธยาศัยดี ชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลืองานบุญงานกุศล แต่กลับชอบผู้ชายด้วยกัน ภายหลังเสียชีวิตด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
สาเหตุที่ชายผู้นี้ชอบผู้ชายด้วยกัน เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดเป็นผู้ชายมีนิสัยเจ้าชู้ มีภรรยามาก โดยหลอกลวงให้ผู้หญิงตายใจ เมื่อได้แล้วก็ทิ้งไป

กรณีศึกษาที่ 5 (วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2546) ชายคนหนึ่งมีชีวิตลำบาก เคยบวชเป็นสามเณร และอยู่ในเพศบรรพชิตจนอายุ 28 ปี จึงลาสิกขา หลังจากนั้นก็มีภรรยา 2 คน
เมื่อมีลูกก็ได้ทำตัวเป็นต้นแบบที่ดีให้กับลูกๆ จะไปวัดทุกวันพระ และนำลูกๆ สวดมนต์ทำวัตรเช้าและทำวัตรเย็นทุกวัน ไม่ดื่มเหล้า แต่จะสูบบุหรี่ ในช่วงวัยกลางคนเขาทำบาปมาก เพราะต้องฆ่าสัตว์ หาเลี้ยงชีวิต แต่ในช่วงปลายชีวิตก็ได้พยายามรักษาศีล 5 เป็นประจำ และถือศีล 8 ในวันพระ ภายหลังล้มป่วยด้วยโรคชราและตรวจพบว่ามีอาการคล้ายจะเป็นโรคมะเร็งต่อมลูก หมาก จึงทำการรักษาและในที่สุดก็เสียชีวิต
สาเหตุที่ชายผู้นี้มีอาการคล้ายเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก คือ อักเสบที่บริเวณต่อมลูกหมาก เพราะกรรมในอดีตชาติที่มีนิสัยเจ้าชู้ รวมกับกรรมเจ้าชู้ในปัจจุบัน ประกอบกับอยู่ในวัยชรา อายุ 88 ปี

มุสาวาท (พูดเท็จ)
คำว่า มุสา แปลว่า เท็จ เจตนาทำให้พูดเท็จ ชื่อว่า มุสาวาท ได้แก่ อกุศลเจตนาที่ก่อให้เกิดความพยายามทางกายและทางวาจาของคนโกง โดยมุ่งจะหลอกลวงคนอื่นให้เสียประโยชน์

กรณีศึกษาในเรื่องของกรรมมุสาวาท

กรณีศึกษาที่ 1 (วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2547) ชายคนหนึ่งเป็นคนที่ฉลาด เรียนเก่งมาก เป็น คนรักเรียน เอาจริงเอาจัง จบมัธยมโดยใช้เวลาเรียนเพียง 3 ปี สามารถสอบเทียบได้ถึงหกชั้น เขาเป็นปลัดอำเภอได้ไม่นานก็ลาออก และเข้ารับราชการครู แต่ก็ชอบดื่มเหล้าเป็นประจำ ต่อมาเมื่ออายุมากขึ้น หน้าที่การงานก้าวหน้าขึ้น นิสัยการดื่มจึงเบาบางลง และเลิกราไปในที่สุด เขาไม่เคยเอ่ยถึงวัด ไม่เคยเอ่ยถึงพระเลย เพราะไม่ชอบ แต่พอช่วงหลังก็เริ่มสนใจในเรื่องของศาสนาบ้าง เพราะได้รับฟังคำแนะนำและฟังธรรมะจากพระรูปหนึ่ง ทำให้รู้สึกเลื่อมใสศรัทธา จึงทุ่มเทศึกษาปฏิบัติอย่างจริงจังตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และได้ร่วมกันก่อตั้งวัดที่อยู่ใกล้บ้านจนสำเร็จ จึงทำให้เขาได้ทำบุญตักบาตรทุกวัน ต่อมาชายผู้นี้เริ่มมีอาการหลงลืมและย้ำคิดย้ำทำ เช่น ลืมสิ่งของบ่อย การช่วยเหลือตัวเองเริ่มมีปัญหามากขึ้น เช่น เอาแปรงสีฟันมาหวีผม ซดน้ำพริกแทนต้มจืด ซึ่งหมอบอกว่าเป็นโรคสมองฝ่อ โดยจะฝ่อลงเรื่อยๆ สิ้นสภาพเร็วกว่าปกติ
สาเหตุที่ชายผู้นี้เป็นโรคสมองฝ่อ เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดเป็นพ่อค้า ได้โกหกหรือบรรยายสินค้าเกินจริง บางทีของถูกก็บอกว่าแพง เพื่อต้องการขายสินค้า

กรณีศึกษาที่ 2 (วันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547) ชายคนหนึ่งเกิดในครอบครัวชาวนา มีชีวิตที่ยากลำบากมาตั้งแต่เด็ก ต้องไปเป็นเด็กวัด ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ก็เป็นคนที่มีปัญญาประกอบกับมีความทรงจำที่ดี ใช้วิธีเรียนแบบครูพักลักจำจึงสามารถอ่านออกเขียนได้ทั้งภาษาไทยและภาษา อังกฤษ ในวัยหนุ่มดื่มเหล้าและเล่นการพนัน แต่มาเลิกได้เมื่อมีลูก เพราะกลัวจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีของลูก อีกทั้งยังได้เข้าวัดปฏิบัติธรรมและมีผลการปฏิบัติธรรมที่ดี แต่ภายหลังความจำเริ่มเสื่อมลง มีอาการหลงลืมมากขึ้น และเกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตก ทำให้เป็นอัมพาต
สาเหตุที่ชายผู้นี้ความจำเสื่อม เกิดเส้นโลหิตในสมองแตกและเป็นอัมพาต เพราะกรรมในอดีตชาติเคยติดการพนันมาก จึงมักจะโกหกหรือไปหลอกขายของปลอม เพื่อเอาเงินมาเล่นการพนัน และมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเป็นเจ้ามือ มีคนมาเล่นด้วย แต่คนนั้นเล่นเสียแล้วไม่ยอมให้เงิน จึงชวนเพื่อนไปซ้อมจนคนนั้นเป็นอัมพาต

กรณีศึกษาที่ 3 (วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2546) ชายคนหนึ่งชอบเล่นไพ่ จึงไม่ได้รับความไว้วางใจจากพ่อ สมบัติที่พ่อยกให้จึงใส่ชื่อภรรยาของเขาแทน เพราะกลัวว่าเขาจะเอาไปขายเพื่อเล่นไพ่ ตอนหลังเขาติดการพนันจนเป็นหนี้แบบดินพอกหางหมู มีคนมาขู่ก็กลัวมาก จึงขอร้องภรรยาให้ช่วยใช้หนี้ให้ ภรรยาก็ใช้ให้แต่มีข้อแม้ว่าต้องบวช เขาก็ยอมบวชจนกระทั่งรับกฐินแล้วจึงลาสิกขา แต่เมื่อลาสิกขาได้ แค่ 3 เดือน ก็เริ่มคบกับพวกเล่นไพ่อีก ทั้งๆ ที่เคยสาบานต่อหน้าพระประธานเมื่อตอนบวชว่า จะเลิกเล่นไพ่ ภายหลังเขามีอาการนอนชัก อุจจาระราด อาการเหมือนคนใกล้ตาย ตัวเขียวคล้ำๆ แล้วก็เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ
สาเหตุที่ชายผู้นี้ตายด้วยอาการชัก อุจจาระราด โดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะกรรมในปัจจุบันที่ผิดคำสาบานกับพระประธานว่าจะเลิกเล่นไพ่ในช่วงบวช รวมกับกรรมปาณาติบาตทั้งในอดีตและปัจจุบัน

กรณีศึกษาที่ 4 (วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2548) หญิงคนหนึ่งเป็นคนใจบุญ ชอบทำบุญ สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ใส่บาตรพระทุกวัน เป็นกรรมการวัดใกล้บ้าน เป็นโยมอุปัฏฐากส่งปิ่นโตถวาย พระเป็นประจำและได้ปฏิบัติธรรมจนมีผลการปฏิบัติธรรมที่ดี แต่ปัจจุบันกลับเป็นโรคขี้ลืม
สาเหตุที่หญิงผู้นี้เป็นโรคขี้ลืม เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดเป็นนักธุรกิจ ได้โกหกในเรื่องทำธุรกิจ และกรรมในปัจจุบันที่โกหก ประกอบกับอายุที่มากขึ้น

กรณีศึกษาที่ 5 (วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2548) หญิงคนหนึ่งต้องรับภาระดูแลลูกถึง 8 คนหลังจากที่สามีเสียชีวิตแล้ว ต่อมาเธอล้มป่วยเริ่มพูดไม่ได้ แขนและขาขวาใช้งานไม่ได้ คุณหมอบอกว่าเป็นโรคสมองฝ่อและอาการก็ทรุดหนักมากขึ้นจนเสียชีวิตในที่สุด
สาเหตุที่หญิงผู้นี้เป็นโรคสมองฝ่อ เพราะกรรมในอดีตชาติมีอาชีพค้าขาย จึงมักจะโกหกลูกค้าเป็นประจำ ส่วนที่พูดไม่ได้ แขนและขาขวาใช้งานไม่ได้ เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดในสังคมเกษตรกรรม ได้เลี้ยงหมูไว้ขายให้เขาฆ่าเป็นจำนวนมาก และจับหมูมัดขามัดปากเพื่อส่งขาย

ปิสุณาวาจา (พูดส่อเสียด)
เจตนาของผู้มีจิตเศร้าหมองพยายามกระทำหรือพูด เพื่อต้องการให้คนอื่นมารักตนหรือเพื่อต้องการทำลายให้คนอื่นเกิดความแตกแยก ชื่อว่า ปิสุณาวาจา

กรณีศึกษาในเรื่องของกรรมปิสุณาวาจา
กรณีศึกษาที่ 1 (วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2546) หญิงคนหนึ่งมีความเชื่อมั่นในเรื่องบุญมาก จึงตั้งใจสร้างบุญและทำหน้าที่ กัลยาณมิตรให้กับทุกคน แต่เธอก็มีโรคประจำตัว คือ โรคคันและลมพิษ ซึ่งสร้างความรำคาญให้กับเธอมาก
สาเหตุที่หญิงผู้นี้เป็นโรคคันและลมพิษ เพราะวจีกรรมในอดีตชาติที่เกิดเป็นผู้หญิง ชอบพูดทำร้ายจิตใจคนอื่น และถ้าใครพูดไม่ถูกใจก็จะพูดย้อนไปให้เขาเจ็บใจ ประกอบกับในปัจจุบันที่ชอบอั้นปัสสาวะและอุจจาระ

กรณีศึกษาที่ 2 (วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2548) หญิงคนหนึ่งอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีพ่อแม่ญาติพี่น้องเข้าใจและให้การสนับสนุนในการมาช่วยงานพระพุทธศาสนา ซึ่งเธอก็ได้ทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้กับหมู่ญาติตลอดมา แต่เธอมีจุดด้อย คือ เป็นฝ้าที่ใบหน้า
สาเหตุที่หญิงผู้นี้เป็นฝ้าที่ใบหน้า เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดเป็นทหารมักชอบพูดให้เขาเสียหน้า โดยการคัดค้านในที่ประชุม ทำให้บุคคลที่เสนอความเห็นรู้สึกเสียหน้า

กรณีศึกษาที่ 3 (วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2547) หญิงคนหนึ่งมีชีวิตที่ลำบากตั้งแต่เล็กจนโต และเป็นโรคหัวใจรั่ว ต้องถูกผ่าตัดหลายครั้ง แต่เมื่อเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลก็ได้ทำสมาธิไปด้วย ทำให้อาการดีขึ้นจนหมอแปลกใจ หลังจากนั้นจึงเข้าวัดปฏิบัติธรรมเรื่อยมา
สาเหตุที่หญิงผู้นี้เป็นโรคหัวใจ เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดในสังคมเกษตรกรรม ใช้วัวควายทำงานหนักเกินกำลัง และกรรมในอดีตชาติที่ชอบพูดให้คนเจ็บใจเป็นประจำ ส่วนสาเหตุที่ทำให้ต้องถูกผ่าตัดหลายครั้ง เพราะกรรมในอดีตชาติที่ฆ่าสัตว์ทำอาหาร

กรณีศึกษาที่ 4 (วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2547) ชายคนหนึ่งกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก พี่สาวจึงพาไปฝากไว้ที่โรงเจ ซึ่งเจ้าสำนักที่นั้นก็ได้ส่งให้เรียน แต่ว่าเรียนเท่าไรก็ไม่สามารถอ่านและเขียนหนังสือได้ ภายหลังจึงเลิกเรียน และไปทำธุรกิจส่วนตัวหลายอย่าง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จทุกอย่าง จึงได้ไปเป็นคนเชียร์แขกที่โรงแรมม่านรูด แต่ก็ถูกตำรวจจับดำเนินคดี ทำให้เมื่อรอดพ้นจากคดีได้จึงเลิกอาชีพนี้
สาเหตุที่ชายผู้นี้ไม่สามารถอ่านและเขียนหนังสือได้ ทั้งที่มีโอกาสเล่าเรียน เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดเป็นคนเรียนเก่ง จึงมักจะพูดดูถูกเพื่อนที่เรียนด้วยกันว่า "โง่" ทำให้เพื่อนได้รับความอับอายเป็นประจำ

กรณีศึกษาที่ 5 (วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2546) ชายคนหนึ่งเคยบวชเรียน ภายหลังลาสิกขามา เข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยจนจบ แล้วมาเป็นทนายที่ซื่อสัตย์ ฐานะจึงค่อนข้างจะยากจน เลี้ยงดูลูกและครอบครัวด้วยความสุขตามอัตภาพ ในบั้นปลายของชีวิตเขาตายด้วยโรคมะเร็งในปาก
สาเหตุที่ชายผู้นี้ตายด้วยโรคมะเร็งในปาก เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดเป็นกุลบุตรในตระกูลที่มีฐานะปานกลาง แต่มีนิสัยมักโกรธจะชอบเถียงและด่าพ่อแม่ และถ้าใครที่พูดทำให้ไม่พอใจก็จะด่าตั้งแต่ตัวเขาจนถึงบรรพบุรุษของเขา ประกอบกับกรรมในปัจจุบันที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์ด่าว่าพระเถระผู้ใหญ่ ตั้งแต่ยังบวชอยู่ และกรรมดื่มสุรา ดูดยาเส้นตามสมัยนิยม

ผรุสวาจา (พูดคำหยาบ)
เจตนาแผ่ไปเผาผลาญจิตของผู้ฟัง ชื่อว่า ผรุสวาจา เจตนาเป็นเหตุประทุษร้าย ก่อให้เกิดความพยายามทางกายและทางวาจา อันเป็นเหตุทำลายไมตรีของผู้อื่น ชื่อว่า ผรุสวาจา อีกอย่างหนึ่ง เจตนาในการพูดเพื่อมุ่งทำลายจิตใจของผู้ฟัง ชื่อว่า ผรุสวาจา

กรณีศึกษาในเรื่องของกรรมผรุสวาจา
กรณีศึกษาที่ 1 (วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2547) หญิงคนหนึ่งเป็นคนอารมณ์ร้อน ขี้โมโห และมีสุขภาพไม่ดี มีโรคประจำตัว คือ โรคความดันและมีอาการคันทั้งตัวที่เกิดจากการให้ยาผิดของลูกน้องหมอ ซึ่งอาการคันนี้ภายหลังได้กลายเป็นแผลพุพอง มีลักษณะคล้ายถูกน้ำร้อนลวก ทำให้ปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว
สาเหตุที่หญิงผู้นี้มีสุขภาพไม่ดีเป็นโรคความดันและมีอาการคันจนกลายเป็นแผล พุพอง เพราะกรรมในอดีตชาติเวลาโกรธมักจะด่าว่าให้เจ็บใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง ส่วนสาเหตุที่ทำให้ปวดแสบปวดร้อนคล้ายน้ำร้อนลวก เพราะกรรมในอดีตชาติเคยต้มสัตว์ทั้งเป็น เพื่อความอร่อยในการทำอาหาร

กรณีศึกษาที่ 2 (วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2548) หญิงคนหนึ่งมีสามีชอบดื่มเหล้า จนบางครั้งเธอกับลูกต้องช่วยกันเชือดคอไก่ เพื่อทำกับแกล้ม และต้องเก็บ กวาด ล้าง ทำความสะอาด กระทั่งค่อนรุ่งกว่าจะได้นอน จึงทำให้ไม่แข็งแรง หัวใจโต และปวดหูมากตลอดเวลาจนนอนไม่หลับ
สาเหตุที่หญิงผู้นี้มีสุขภาพไม่แข็งแรง หัวใจโต เพราะกรรมในอดีตชาติได้ฆ่าสัตว์ทำอาหาร ประกอบกับกรรมในปัจจุบันก็ได้ฆ่าสัตว์ทำอาหาร ส่วนที่ปวดหูและนอนไม่หลับ เพราะกรรมในอดีตชาติชอบด่าว่าด้วยคำหยาบ ประกอบกับกรรมในอดีตชาติที่ตบบ้องหูของหลาน

กรณีศึกษาที่ 3 (วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2547) หญิงคนหนึ่งเริ่มล้มป่วยด้วยอาการเป็นไข้ เจ็บตามเนื้อตามตัว เมื่อเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล หมอก็หาสาเหตุของโรคไม่ได้ จึงต้องตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อหาสาเหตุของโรค แล้วสรุปว่าเป็นเส้นเลือดอักเสบ ช่วงนั้นใบหน้าเริ่มบวมและเป็นหนักขึ้นทุกวัน คุณพ่อของเธอจึงไปหาหลวงปู่ องค์หนึ่ง ทำให้อาการดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่หายต้องกินยาตลอด ถ้าไม่กินจะเป็นไข้ เหนื่อย ตัวร้อน แล้วอยู่ๆ ร่างกายเกิดอาการผิดปกติ มารู้ภายหลังว่า ยาที่หมอให้กินตอนช่วงป่วยหนักนั้น มีฮอร์โมนเพศชายอยู่ด้วย เพราะร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นผู้ชาย ใบหน้าใหญ่ขึ้น คางค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ตาค่อยๆ ลึกลง จนกลายเป็นใบหน้าเหมือนลิง มีกล้ามขึ้น ตัวใหญ่ขึ้น จึงต้องเข้าโรงพยาบาลอีก
ช่วงแรกคุณหมอมาตรวจก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร ต่อมาคุณหมออีกคนมาตรวจจึงรู้ว่าเป็นโรคตับอักเสบ จึงให้ยาได้ถูกโรค อาการก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ร่างกายก็เปลี่ยนอีก คราวนี้มีใบหน้าเป็นเหมือนกะเทย ใครเห็นก็นึกว่าเป็นผู้ชายที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง ต่อมาเธอได้ไปขอให้หมอผ่าตัดทำศัลยกรรมใบหน้าใหม่ โดยตัดชิ้นเนื้อบริเวณไหล่ด้านหลังมาใส่ที่บริเวณแก้มด้านซ้าย เพื่อให้ดูเป็นผู้หญิงขึ้น ซึ่งใช้เวลาผ่าตัดถึง 8 ชั่วโมง ออกจากห้องผ่าตัดด้วยสภาพที่ยับเยิน และอีก 3 เดือนก็ต้องไปผ่าด้านขวาอีก
สาเหตุที่หญิงผู้นี้ป่วยเรื้อรังและมีใบหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นลักษณะต่างๆ เพราะกรรมในอดีตชาติที่เกิดเป็นหญิงเคยผิดหวังในความรักจึงไปบวชชี ซึ่งวัดที่ไปบวชมีแม่ชีอาศัยอยู่จำนวนมาก ทำให้ทะเลาะกับแม่ชีอื่นอย่างรุนแรงและได้ด่าแม่ชีที่ทะเลาะกัน โดยด่าคนแรกว่า "อีหน้าลิง" ด่าคนที่สองว่า "อีกะเทย" ด่าคนที่สามว่า "อีหน้าปูด" และมักด่ากระทบกระเทียบทั้งต่อหน้าและลับหลังอยู่เสมอๆ

กรณีศึกษาที่ 4 (วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2546) หญิงคนหนึ่งถูกพ่อแม่ปลูกฝังเรื่องกฎแห่งกรรมตั้งแต่ยังเด็ก จึงเชื่อมั่นในผลบุญอย่างมาก ได้ทำบุญทุกบุญอย่างต่อเนื่องและชักชวนคนอื่นให้มาสั่งสมบุญด้วย นอกจากนี้ยังมีผลการปฏิบัติธรรมที่ดี แต่ก็มีชีวิตที่ลำบากและต้องทำงานหนักจนเหน็ดเหนื่อยมาก ภายหลังรู้สึกปวดหัวตัวร้อน แก้มข้างซ้ายไม่มีความรู้สึก ปากเบี้ยวไปด้านขวา ก็พยายามอธิษฐานจิตให้หาย ประกอบกับการรักษาแผนปัจจุบันด้วย ปรากฏว่าภายใน 1 เดือน อาการต่างๆ ก็หายไป ต่อมาอาการดังกล่าวก็กลับมาอีก แต่ครั้งนี้สลับกันจากแก้มซ้ายเป็นแก้มขวา จากปากเบี้ยวข้างขวาเป็นข้างซ้าย
สาเหตุที่หญิงผู้นี้ปากเบี้ยว เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดเป็นหญิงสาวในตระกูลที่มีฐานะและเป็นที่รักของ บิดามารดา จึงถูกตามใจมาก ทำให้ค่อนข้างจะเอาแต่ใจตัวเอง เวลาพ่อแม่สั่งสอนก็มักจะเถียงพ่อเถียงแม่ หรือบางครั้งถ้าพี่เลี้ยงพูดแนะนำเวลาทำไม่ถูก ก็โกรธและตบหน้า ตบปากเขาบ้าง ส่วนสาเหตุที่ต้องทำงานหนักจนเหน็ดเหนื่อยมาก เพราะกรรมในอดีตชาติเวลาพ่อแม่ชักชวนให้ทำทาน ก็เถียงว่า "ไม่จริงหรอก คนให้ทานมีแต่จะยากจน คนที่ตั้งใจทำงานต่างหากถึงจะรวย"

กรณีศึกษาที่ 5 (วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2548) หญิงคนหนึ่งเป็นคนฝีปากกล้า ชอบด่าคน โดยไม่เลือกหน้า ต่อมามีอาการแผลเน่าทั้งตัว ซึ่งลามมาจากภายในร่างกายและในที่สุดก็เสียชีวิต
สาเหตุที่หญิงผู้นี้ก่อนตายเป็นแผลเน่าทั้งตัว เพราะกรรมในปัจจุบันที่เป็นคนฝีปากกล้า ชอบด่าคนโดยไม่เลือกหน้า

สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ)
เจตนาเป็นเหตุกล่าวถ้อยคำที่หาประโยชน์มิได้ คือ กำจัดทางแห่งประโยชน์สุขที่บุคคลจะได้รับชื่อว่า สัมผัปปลาปะ

กรณีศึกษาในเรื่องของกรรมสัมผัปปลาปะ
กรณีศึกษาที่ 1 (วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2545) สามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูก 3 คน ซึ่งลูก 3 คนนั้นมีพัฒนาการพูดช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน เวลาจะพูดยากมากจนเกือบไม่พูดเลยทั้ง 3 คน แต่ทั้งสามพี่น้อง ไม่ได้มีอาการเหมือนคนเป็นใบ้ หูหนวก เพราะหูพอได้ยินเสียง แต่มีปัญหาการพูด ซึ่งแพทย์บอกไม่ได้ว่าเพราะเหตุใด
สาเหตุที่เด็กทั้ง 3 คน มีพัฒนาการพูดช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน และสามีภรรยาคู่นี้ต้องมีลูกแบบนี้ เพราะกรรมในอดีตชาติเด็กทั้ง 3 คน เคยเกิดเป็นพี่น้องกัน โดยมีพ่อแม่ในชาตินี้เป็นผู้ให้กำเนิดในชาตินั้นด้วย ในชาตินั้นทั้ง 3 คนพูดได้ตามปกติ แต่มีนิสัยชอบสนุกคะนองปาก ไปล้อเลียนเด็กใบ้แถวบ้านคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เมื่อถูกล้อ เพื่อนก็ไม่สบายใจ แม่ของเพื่อนก็ไม่สบายใจ ก็เกิดต่อว่าต่อขานกัน แต่แม่ของเด็ก 3 คนนี้ก็ปกป้องลูก เด็ก 3 คนนี้เมื่อได้รับการปกป้องจากผู้ปกครองก็ได้ใจ พอโตขึ้นก็ไปเข้าวัดฟังธรรม ได้ฟังธรรมจากหลวงตารูปหนึ่ง ท่านมีความคิดแล่นเร็วแต่ปากพูดไม่ทัน จึงดูเหมือนติดอ่าง ก็ไปล้อเลียนท่าน

กรณีศึกษาที่ 2 (วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2546) ชายคนหนึ่งเกิดมาในครอบครัวที่เคร่งครัดในลัทธิหนึ่งที่แยกออกมาจากพุทธ นิกาย จึงทำให้เขาต้องไปเข้าร่วมกิจกรรมของลัทธินี้ตั้งแต่เด็ก แต่ในใจของเขาก็ยังไม่มีความเชื่อหรือความศรัทธาเลย เมื่อโตขึ้นได้มาศึกษาเรื่องสมาธิจากประเทศต่างๆ รวมทั้งที่เมืองไทยด้วย ทำให้มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรมและมีผลการปฏิบัติธรรมที่ดี เมื่อพบกับคำตอบที่ค้างอยู่ในใจตนเองมาตลอดได้ จึงเกิดความศรัทธาและมีความเข้าใจที่ถูกต้องมากขึ้น แต่เขาก็เป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนัง เป็นผื่นแดงและคัน ต้องไปหาหมอเป็นประจำ
สาเหตุที่ชายผู้นี้เป็นโรคผิวหนังผื่นแดงคัน เพราะกรรมในอดีตชาติเป็นคนที่ซน มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และชอบล้อเพื่อนเล่น ทำให้คนที่ถูกล้อเกิดความขัดเคืองใจ และเคยแกล้งเพื่อนโดยเอาหญ้าคันไปแกล้งโรยใส่เพื่อนด้วยความคะนอง ประกอบกับในปัจจุบันที่ชอบอั้นปัสสาวะและอุจจาระเป็นเวลานาน

กรณีศึกษาที่ 3 (วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2547) หญิงคนหนึ่งเป็นคนรักสวยรักงาม สนุกสนาน มีเพื่อนมาก จิตใจดี ชอบทำบุญแบบสังคมสงเคราะห์ทั่วไป แต่มีจุดอ่อนคือ วจีกรรมและรังเกียจสัตว์เล็ก เช่น ยุง แมลงสาบ เป็นต้น ต่อมาพบว่าเป็นมะเร็งที่หน้าอกและได้ลามไปที่ผิวหนัง ทำให้เกิดแผลหลายแห่ง เลือด น้ำเหลืองไหลเยิ้ม แต่รักษาหายด้วยสมุนไพรภายใน 2 เดือน แผลจึงแห้ง แต่ก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
สาเหตุที่หญิงผู้นี้เป็นมะเร็งที่อก เพราะกรรมกาเมฯ ในอดีตชาติ และที่มะเร็งลุกลามไปที่ผิวหนัง เพราะกรรมในอดีตชาติที่พูดนินทาว่าร้ายหรือพูดเหน็บแนมทำให้คนเจ็บใจ

กรณีศึกษาที่ 4 (วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546) ชายคนหนึ่งเป็นโรคสะเก็ดเงิน ในตอนแรกจะเป็นที่บริเวณศีรษะและท้ายทอย ต่อมาก็ลามไปทั้งตัว มีอาการคัน เป็นผื่นบวมแดง บนแผลมีสะเก็ดเคลือบอยู่และจะหลุดร่อนเวลาถูกเสียดสีจากเสื้อผ้า ในตอนแรกที่ไปรักษา ทำให้อาการดีขึ้น แต่ภายหลังก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ซึ่งโรคนี้คุณแม่ของเขาก็เป็นเช่นกัน แต่จะเป็นน้อยกว่า โดยมีอาการเป็นๆ หายๆ
สาเหตุที่ชายผู้นี้และคุณแม่เป็นโรคสะเก็ดเงิน เพราะกรรมในอดีตชาติทั้งสองได้เกิดเป็นแม่ลูกกันในตระกูลที่มีฐานะปานกลาง โดยชายผู้นี้มักมีอคติกับพระและชอบพูดจาติเตียนพระและผู้อื่นให้เสียหาย หรือบางครั้งก็มักจะนินทาว่าร้ายทำให้ผู้อื่นเสียหายลับหลังเป็นประจำและคุณ แม่ของเขาก็มีใจยินดีในสิ่งที่ลูกทำ

กรณีศึกษาที่ 5 (วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2548) หญิงคนหนึ่งเป็นคนพูดติดอ่างตั้งแต่เด็กและบ่อยครั้งที่พูดไม่ออก ก็ต้องใช้มือตบปากตัวเอง หรือบางครั้งต้องขึ้นไปบนโต๊ะแล้วกระโดดลงมา จึงจะพูดคำนั้นออกมาได้ บางครั้งพี่ๆ ก็จะช่วยตบปากก่อนที่เธอจะตบเอง ซึ่งอาการนี้มาดีขึ้นและค่อยๆ หายไปเมื่อตอนเรียนมัธยม
สาเหตุที่หญิงผู้นี้เป็นโรคติดอ่าง เพราะกรรมในอดีตชาติเธอมีเพื่อนที่พูดติดอ่างอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน หญิงผู้นี้จึงชอบล้อเลียนแกล้งเพื่อนโดยไม่มีเจตนา แค่ต้องการสนุกสนาน แต่ทำให้เพื่อนอับอาย

อภิชฌา (เพ่งเล็งอยากได้ของของผู้อื่น)

เจตนาเป็นเหตุละโมบ ในเมื่อเห็นสิ่งของของผู้อื่นแล้วเพ่งเล็ง โดยน้อมเข้ามาหาตนว่า "ทำอย่างไร ของนี้จะพึงเป็นของเรา" ชื่อว่า อภิชฌา

กรณีศึกษาในเรื่องของกรรมอภิชฌา
กรณีศึกษาที่ 1 (วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546) ชายคนหนึ่งเป็นคนดีและเก่ง เรียนจบด้านนิติศาสตร์และบัญชี ได้ทำงานในสำนักงานเลขาธิการสหประชาชาติ ภายหลังเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่ปอด ทั้งๆ ที่ไม่ดื่มเหล้าและไม่สูบบุหรี่
สาเหตุที่ชายผู้นี้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่ปอดและอายุสั้น เพราะกรรมในอดีตชาติเกิดในสังคมเกษตรกรรมและมีไร่นาเป็นจำนวนมาก เมื่อพ่อแม่ตาย เขาต้องการจะฮุบมรดกทั้งหมดเป็นของตนเอง จึงฆ่าน้องสาวของตัวเองตาย โดยการเอายาสลบปิดปาก ปิดจมูกให้หายใจไม่ออก จนกระทั่งน้องสาวตาย แต่เมื่อสามีและลูกชายของน้องสาวรู้ จึงตั้งใจจะมาฆ่าล้างแค้น แต่ชายผู้นี้รู้ทันจึงส่งคนไปฆ่าก่อน

กรณีศึกษาที่ 2 (วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2547) หญิงคนหนึ่งเป็นคนอดทน มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยคดโกงใคร และสอนให้ลูกๆ อดทนและให้มีความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งตัวเธอเองก็นั่งสมาธิก่อนนอนเสมอ และก็ทำบุญทุกบุญตามกำลัง ภายหลังเธอประสบอุบัติเหตุทางน้ำและเสียชีวิตลงในที่สุด
สาเหตุที่หญิงผู้นี้ต้องประสบอุบัติเหตุทางน้ำจนเสียชีวิต เพราะกรรมในอดีตชาติได้ฆ่าเพื่อนเพราะผลประโยชน์และต้องการฮุบสมบัติ

กรณีศึกษาที่ 3 (วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2547) หญิงคนหนึ่งมีอาการป่วยตั้งแต่อายุ 17 ปี เป็นๆ หายๆ และมีอาการปวดตามข้อนิ้ว สลับไปสลับมาเกือบทุกนิ้ว แล้วก็หายเอง ไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอก็ระบุไม่ได้ว่าเป็นโรคอะไร จนเมื่ออายุ 22 ปี ก็มาตรวจพบว่าเป็นโรคเอสแอลอี(SLE) หรือภูมิแพ้ตนเอง โดยมีอาการไตอักเสบแบบเฉียบพลันและระบมทั้งตัว โดยเฉพาะช่วงท้องจนถึงปลายเท้าจะบวมมาก จึงเข้ารักษาตัวโดยตลอด จนกระทั่งปัจจุบันสามารถควบคุมโรคได้และไม่แสดงอาการ แต่หมอก็ยังให้ยามาทาน เพื่อรักษาโรคนี้ไปตลอดชีวิต
สาเหตุที่หญิงผู้นี้เป็นโรค SLE เพราะกรรมในอดีตชาติเกิดเป็นธิดาเศรษฐี เมื่อพ่อตายแล้วก็ยึดสมบัติทั้งหมด โดยไม่แบ่งให้น้องเลย และกรรมที่ปลอมปนข้าวเปลือกหรือพันธุ์พืชด้วยของไม่ดี ส่วนที่เป็นไตวายเฉียบพลัน เพราะกรรมในอดีตชาติที่เกิดเป็นลูกเศรษฐีได้ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหด ซึ่งถ้าใครไม่มีเงินมาใช้คืนก็จะยึดไร่นาสาโท ถ้าไม่มีไร่นาสาโทก็จะยึดลูกภรรยาของเขามาเป็นทาส

กรณีศึกษาที่ 4 (วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2548) ชายคนหนึ่งมีที่ดินที่ได้รับมรดกมาจากพ่อแม่ ซึ่งเป็นที่ดินมีสวนมะพร้าว ภายหลังเมื่อพื้นที่แถบนั้นเริ่มเจริญขึ้นก็เลยทำให้ที่ดินของเขาไม่มี ทางออกสู่ถนนสาธารณะ จึงรู้สึกกดดันว่ามีที่ดินตาบอด ทำประโยชน์อะไรไม่ได้ ซึ่งต่อมาเขาก็ฟ้องร้องเพื่อขอเปิดทางกับที่ดินข้างเคียง แต่ก็แพ้คดี จึงเสียใจและเสียกำลังใจมาก
สาเหตุที่ชายผู้นี้มีที่ดินตาบอดและหาทางออกไม่ได้ เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดเป็นเศรษฐี ได้ซื้อที่ดินปิดทางออกเพื่อหวังจะซื้อที่ดินตาบอดนั้นในราคาถูก และกรรมที่มักจะแบ่งที่ดินตาบอดให้แก่พี่น้อง ส่วนตัวเองเก็บเอาแต่ที่ดินดีๆ ไว้

กรณีศึกษาที่ 5 (วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2548) หญิงคนหนึ่งเป็นคนน่ารัก ขยันขันแข็ง มีนิสัยประหยัดอดออม และรักความเจริญก้าวหน้า ได้เดินทางไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ต่อมาได้หายตัวไปจากบ้านอย่างลึกลับ โดยไม่มีใครทราบว่าไปไหน ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบศพเธอและสันนิษฐานว่าถูกฆาตกรรม
สาเหตุที่หญิงผู้นี้ถูกฆาตกรรม เพราะกรรมในอดีตชาติที่เกิดเป็นผู้ชาย ได้ลงทุนทำการค้ากับเพื่อน ต่อมาเกิดขัดแย้งกัน เพราะความโลภจึงได้วางแผนฆ่าเพื่อนเพื่อจะฮุบกิจการทั้งหมด

พยาบาท (จองเวร)
เจตนาเป็นเหตุปองร้าย คือ การคิดกระทำให้ผู้อื่นประสบความพินาศ ชื่อว่า พยาบาท หมายความว่า ความคิดปองร้ายของผู้มุ่งจะทำร้ายชีวิตของสัตว์อื่น ตั้งแต่มดและยุงไปจนถึงมนุษย์ว่า "ขอให้สัตว์เหล่านี้จงพินาศ จงวิบัติ ทำอย่างไรหนอ สัตว์เหล่านี้ พึงพินาศ พึงวิบัติ ไม่พึงเจริญรุ่งเรือง ไม่พึงมีชีวิตอยู่ได้นาน" ซึ่งความพยาบาทนั้น นอกจากจะทำลายประโยชน์สุขของผู้อื่นแล้ว ยังทำลายตัวเองอีกด้วย

กรณีศึกษาในเรื่องของกรรมพยาบาท

กรณีศึกษาที่ 1 (วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2547) หญิงคนหนึ่งเป็นคนสมถะ ฉลาด มีระเบียบ รักสะอาด มีเมตตา ใจดี ไม่ค่อยช่างพูดช่างคุย แต่เป็นภรรยาน้อยของสามี และมักถูกภรรยาของลูกชายคนที่ 2 ของภรรยาหลวงยุยงให้ทุกคนเกลียดและด่าว่าเธอ บางครั้งถึงกับทำร้ายร่างกาย ซึ่งเธอก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร สามีก็ได้แต่เอายาแก้ช้ำในมารักษาให้ ซึ่งสามีไม่สามารถห้ามภรรยาหลวงกับลูกๆ ได้ ต่อมาภรรยาหลวงขู่ให้สามีทิ้งเธอแล้วไปอยู่ด้วยกัน แต่สามีไม่ไป ภรรยาหลวงจึงทิ้งสามีไปและขนเงินไปหมด
สาเหตุที่หญิงผู้นี้ถูกภรรยาหลวงและลูกๆ ทำร้ายแล้วเอาเงินไป เพราะกรรมในอดีตชาติเธอเกิดเป็นภรรยาน้อย ได้ไปยุยงให้สามีทิ้งภรรยาหลวง เพื่อให้มาอยู่กับตนเองได้สำเร็จ ทำให้ภรรยาหลวงในชาตินั้นผูกอาฆาต และในชาติปัจจุบันนี้ภรรยาหลวงในชาตินั้นได้กลับมาเกิดเป็นภรรยาของลูกชายคน ที่ 2 ของภรรยาหลวง จึงได้ยุยงให้ทุกคนเกลียดและทำร้ายเธอ

กรณีศึกษาที่ 2 (วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2547) หญิงคนหนึ่งเคยฆ่าคนตายเมื่อตอนอายุประมาณ 16-17 ปี โดยมีสาเหตุมาจากที่แฟนของเธอมีคนใหม่และพามาเหยียดหยาม ทำให้เธอเกิดโทสะไปขโมยปืนพี่ชายซึ่งเป็นตำรวจไปยิงเขาจนตาย จึงถูกจับและถูกขังอยู่หลายปี ลำบากมาก จนกระทั่งต่อมาได้รับอภัยโทษ
สาเหตุที่หญิงผู้นี้ต้องฆ่าคนตาย เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดเป็นผู้ชายได้ทิ้งภรรยาไป ภรรยาจึงเกิดความอาฆาตแค้นตามมาฆ่าสามี ทำให้สามีในชาตินั้นผูกอาฆาต จึงได้กลับมาเกิดเป็นหญิงผู้นี้และได้มาฆ่าแฟนตาย ซึ่งแฟนในชาตินี้ก็คือภรรยาในชาตินั้น

กรณีศึกษาที่ 3 (วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2545) ชายคนหนึ่งมีโรงฆ่าสัตว์เล็กๆ ที่ช่วยกันทำกับลูกน้องเป็นอาชีพตลอดชีวิต โดยไม่คิดจะเปลี่ยนอาชีพ ภายหลังเขาได้เสียชีวิต
สาเหตุที่ชายผู้นี้ต้องมาประกอบอาชีพฆ่าสัตว์และเห็นว่าอาชีพนี้ดี เป็นทางมาแห่งทรัพย์ เพราะกรรมในอดีตชาติเขาได้ผูกพยาบาทพวกข้าศึกที่ยกทัพมาปล้นประเทศและฆ่า หมู่ญาติของเขาตายหมด ส่วนตัวเขาหนีเอาตัวรอดมาได้ ประกอบกับกรรมในอดีตชาติที่เวลาทำบุญ มักจะไม่ได้อธิษฐานให้ล้อมกรอบเอาไว้

กรณีศึกษาที่ 4 (วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2548) หญิงคนหนึ่งเป็นโรคกระดูกพรุนและถูกผ่าตัดหลายครั้ง เช่น ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ 2 ครั้ง ผ่าตัดช่องท้อง 3 ครั้ง เมื่ออากาศหนาวจะปวดกระดูกตามตัวมาก เวลาเดินจึงต้องใช้ไม้เท้าช่วย นอกจากนี้ยังมีก้อนเนื้องอกที่เยื่อหุ้มสมองประมาณ 1 เซนติเมตร แต่ไม่ได้ผ่าตัด
สาเหตุที่หญิงผู้นี้เป็นไทรอยด์ เพราะกรรมในอดีตชาติเวลาที่โกรธ มักจะไม่ค่อยให้อภัย ส่วนที่ต้องถูกผ่าตัดช่องท้อง เพราะกรรมในอดีตชาติที่ฆ่าสัตว์ทำอาหาร ส่วนที่เป็นเนื้องอกที่เนื้อเยื่อหุ้มสมอง เพราะกรรมในอดีตชาติเวลาฆ่าสัตว์มักจะทุบตีที่หัว และที่ปวดหลัง ปวดเข่ามากและกระดูกสันหลังทรุด เพราะกรรมในอดีตชาติที่ใช้แรงงานสัตว์ให้แบกของหนักจนลากไม่ค่อยไหว

กรณีศึกษาที่ 5 (วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2546) ชายคนหนึ่งถูกคู่อริยิงที่ไขสันหลัง ทำให้เส้นไขมันขาดและเป็นอัมพาตครึ่งตัวท่อนล่าง
สาเหตุที่ชายผู้นี้ถูกยิงที่ไขสันหลัง ทำให้เป็นอัมพาตครึ่งตัวท่อนล่าง เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดเป็นพ่อค้า ได้ร่วมลงทุนกับเพื่อน ต่อมาเกิดทะเลาะกับเพื่อนเรื่องผลประโยชน์ จึงแยกมาทำการค้าแข่งกัน แต่ด้วยความแค้น เขาจึงส่งคนไปทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายจนพิการ ทำให้เพื่อนในชาตินั้นผูกอาฆาต จึงได้กลับมาเกิดเป็นคู่อริและได้มายิงเขา จนทำให้เขาเป็นอัมพาตครึ่งตัว

มิจฉาทิฏฐิ (มีความเห็นผิด)
เจตนาเป็นเหตุให้เห็นผิด เพราะไม่มีการถือเอาตามความเป็นจริง คัดค้านข้อประพฤติปฏิบัติของสัตบุรุษทั้งหมด โดยนัยเป็นต้นว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ

กรณีศึกษาในเรื่องของกรรมมิจฉาทิฏฐิ
กรณีศึกษาที่ 1 (วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2547) หญิงคนหนึ่งมีชีวิตครอบครัวในวัยเด็กลำบากมาก ซึ่งหลายครั้งจะต้องออกไปยืมเงินจากคนข้างบ้านหรือเพื่อนคุณพ่อ มาใช้จ่ายในครอบครัว พี่น้องของเธอทุกคนต้องทำงานเสริมเพื่อหารายได้ เช่น พับถุงกระดาษขาย ทอเสื่อ มัดแฝก เลี้ยงหมู จนกระทั่งจบการศึกษาด้วยกันทุกคนและมีชีวิตที่ดีขึ้น
สาเหตุที่หญิงผู้นี้มีชีวิตครอบครัวในวัยเด็กลำบากมาก เพราะกรรมในอดีตชาติเกิดในตระกูลทำมาค้าขายที่เริ่มจากไม่มีอะไรเลย แต่ขยันหมั่นเพียรและเก็บหอมรอมริบจนสามารถตั้งตัวได้ จึงไม่เชื่อเรื่องผลของกรรม ทำให้ไม่เชื่อว่าทำบุญแล้วรวย แต่เชื่อว่าต้องขยันจึงจะรวย ต่อมาค้าขายขาดทุนประสบความทุกข์ จึงได้ทำตามคำแนะนำของเพื่อนกัลยาณมิตรที่มาชวนสร้างบุญ ทำให้ได้สร้างบุญมาตลอดและชีวิตก็เริ่มดีขึ้นในภายหลัง

กรณีศึกษาที่ 2 (วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2547) หญิงคนหนึ่งเคยเป็นร่างทรง เพราะได้รับคำแนะนำ จากหมอดูว่า ถ้าเป็นร่างทรงแล้วจะหายป่วย จึงยอมให้ลงทรง แต่เนื่องจากอาย จึงยอมลงให้เฉพาะหมู่ญาติและคนที่จำเป็น แต่เมื่อคุณแม่ของเธอป่วยเป็นอัมพาต ก็ได้ขอให้องค์เทพที่มาลงทรงช่วยรักษาคุณแม่ โดยสัญญาว่าจะลงทรงให้กับทุกคนที่มาหา จึงทำให้คุณแม่ของเธอกลับมาเดินได้ แต่ไม่ปกติเหมือนเดิม และจะเป็นๆ หายๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งเสียชีวิต เมื่อคุณพ่อคุณแม่เสียชีวิตไปแล้ว ก็ไม่ได้มานั่งลงทรง แต่ขอใช้วิธีทำบุญ ปฏิบัติธรรมช่วยสร้างบารมีให้แทน
สาเหตุที่หญิงผู้นี้ต้องมานับถือทรงเจ้า เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเป็นคนเชื่อเรื่องทรงเจ้าเข้าผี เมื่อนับถือไปนานๆ ตนเองก็เลยกลายเป็นร่างทรง แต่ต่อมาก็เลิกนับถือทรงเจ้าเข้าผี และได้เปลี่ยนมานับถือพระรัตนตรัยแทน

กรณีศึกษาที่ 3 (วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2547) ชายคนหนึ่งเกิดที่นิวยอร์ก ในสมัยวัยรุ่นเคยเป็นทหารร่วมรบในสงครามเวียดนาม จึงทำให้ได้มีโอกาสศึกษาพระพุทธศาสนา เมื่อกลับไปอเมริกา มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก โทรศัพท์มาหาและเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาได้ถูกต้อง และขู่ให้ไปหา เขาจึงตัดสินใจไปที่บ้านของผู้หญิงคนนั้น เมื่อไปแล้วกับพบความแปลกๆ จนน่ากลัว จากนั้นเธอก็เข้ามาจับแขนเขาด้วยแรงที่มหาศาล เขากลัวมากจึงรีบหนีออกมา แล้วไปหลบที่บ้านของผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่โทรเข้ามาหาและบอกว่า "พระเจ้าจะคุ้มครอง" จึงทำให้เขารอดจากการขู่บังคับของผู้หญิงคนแรก และทำให้เขาศรัทธาในพระเจ้าและเป็นจุดหักเหที่ทำให้เขามาเป็นบาทหลวง
ต่อมาเขารู้สึกผิดหวังกับการกระทำบางอย่างของกรรมการโบสถ์ จึงเริ่มหันมาศึกษาคำสอนในทางพระพุทธศาสนา และเกิดความศรัทธาในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างมาก ถึงขนาดนำเอาคำสอนของพระพุทธองค์ไปสอนในโบสถ์ โดยสอนให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ๆ แต่ก็ถูกต่อต้านจากกรรมการโบสถ์รุ่นเก่า
สาเหตุที่ชายผู้นี้ต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ จนทำให้ต้องไปเป็นบาทหลวง แล้วเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา และพลัดไปเกิดในต่างประเทศ อยู่ในครอบครัวที่นับถือศาสนาอื่น เพราะกรรมในอดีตชาติที่เคยบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา แต่ได้สึกออกไปมีครอบครัว จึงทำให้บางคนในวัดพูดดูถูกดูแคลน เมื่อเขาทราบจึงโกรธและน้อยใจ ได้ปฏิญาณว่าจะไม่กลับมาวัดอีก ต่อมามีเพื่อนชักจูงไปศึกษาลัทธิอื่นที่นับถือพวกเทพ จึงไปศึกษาอยู่ระยะหนึ่ง พอรู้ว่าไม่ใช่ทางที่ถูกต้องจึงออกมาและได้พบกัลยาณมิตรชักชวนให้กลับมา นับถือพระพุทธศาสนาอีก ในที่สุดก็ตัดสินใจกลับเข้ามาบวชอีกครั้งตอนบั้นปลายชีวิต และสามารถบวชได้ตลอดชีวิต

กรณีศึกษาที่ 4 (วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2546) ชายคนหนึ่งมีชีวิตลำบากมาก ต้องทำงานหนัก ตั้งแต่เด็ก เรียนหนังสือได้แค่ชั้น ป.4 ต่อมาเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อทำงานกับพี่ชาย จึงสามารถเก็บหอมรอบริบและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ จนสามารถตั้งโรงงานเป็นของตัวเองได้
สาเหตุที่ชายผู้นี้มีชีวิตที่ลำบากตั้งแต่เด็ก เพราะกรรมในอดีตชาติเคยเกิดเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาก จึงมีทิฏฐิมานะมากและไม่เชื่อว่าทำบุญแล้วจะรวย แต่เชื่อว่าคนจะรวยอยู่ที่ความขยันและความสามารถของตนเอง ภายหลังได้เจอกัลยาณมิตรอธิบายเรื่องความเป็นจริงของชีวิตที่เกิดมา ทำให้เขาเกิดศรัทธาได้มาสร้างบุญในพระพุทธศาสนาอย่างเต็มกำลัง

กรณีศึกษาที่ 5 (วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2547) หญิงคนหนึ่งนับถือความเชื่ออื่นที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนา แต่เธอก็ไม่ค่อยได้ไปร่วมทำพิธีทางความเชื่อนั้น แต่กลับชอบไปร่วมกิจกรรมของศาสนาที่เน้นความสุขและให้ความรักต่อมนุษย์และ สรรพสัตว์ จนกระทั่งได้มาฝึกสมาธิ ทำให้เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น
สาเหตุที่หญิงผู้นี้ต้องไปนับถือความเชื่ออื่นและไม่ได้เกิดในพระพุทธศาสนา เพราะกรรมในอดีตชาติเคยนับถือพระพุทธศาสนา แต่ภายหลังได้เปลี่ยนไปนับถือความเชื่ออื่นเป็นเวลานาน แต่ด้วยบุญที่ทำไว้ในพระพุทธศาสนาจึงทำให้ได้กลับมาสร้างบุญในพระพุทธศาสนา อีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น