++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551

รักษาโรคด้วยลมปราณ ใช้พลังปรับร่างกายเพื่อ ความสมดุล


อโรคยา...ปรมา ลาภา "ความไม่เป็นโรค เป็นลาภ อันประเสริฐ" หมายถึงว่า หากผู้ใดที่ไม่ มีอาการ เจ็บป่วยไข้ ถือว่าได้ลาภที่ใหญ่หลวง ซึ่งมนุษย์ในโลกใบนี้ หามีใคร ที่หลุดพ้นไปไม่... แม้แต่พระพุทธองค์ ที่ถือว่าประเสริฐสุดแห่งมนุษย์แล้ว... ก็ยังต้องเผชิญกับ "โรคยา" อย่างไรก็แล้วแต่ เมื่อหลีกกันไม่พ้น ในชีวิตนี้ หากว่ามี การบำบัด รักษาให้หายจาก "โรคยา" ได้ในบางครั้งคราว ก็ถือว่า...มีโชค (เช่นกัน) เช่นนี้ จึงมีเรื่องฮือฮา เมื่อ นายบุญช่วย ปิ่น รัตน์ ป่วยเป็นอัมพาตนานกว่า 10 ปี เข้าไปบำบัดที่วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ด้วยวิธีการผนึกลมปราณ... ... และก็เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่น่าเชื่อ ในตอนที่เข้ามาบำบัดนั้น ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันมา แต่พอผ่านไปแล้วอย่างปาฏิหาริย์ นายบุญ ช่วย ปิ่นรัตน์ ก็บุญช่วยจริงๆ... ทิ้งไม้เท้าแล้วเดินปร๋อขึ้นรถกลับบ้านได้เอง...มันเป็นเรื่องที่น่าพิศวง

O O O

ด้วยข่าวที่ออกมาเช่นนี้ เลยดังกันไปใหญ่ ผู้ลองของอีกรายคือ คุณวิภาพร ปิยกุละวัฒน์ ป่วยเป็นอัมพาตเนื่อง จาก เส้นโลหิตในสมองตีบ ต้องเข้าผ่าตัดที่ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่พอออกมามีอาการเป็นอัมพาต ต่อมาเมื่อ ผ่านการเข้าบำบัดแล้วก็พอที่จะเดินได้บ้างนิดหน่อยแบบโขยกเขยก แล้วก็มา เจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อคนรับใช้ปล่อยให้สุนัข อัลเซเชียนวิ่งชนหกล้ม จากนั้น คุณวิภาพร ก็เดินไม่ได้เลย จะไปไหนก็ต้องใช้รถเข็น หรือว่าหามไป ความป่วยและทุกข์ระทมนี้ เกิดขึ้นกับเธอนานมากว่า 3 ปี เมื่อได้รับข่าวที่แพร่สะพัด ก็เลยมาหาหมอที่ วัดไผ่ล้อม... ...ผ่านการบำบัดแบบผนึกลมปราณ เพียงครั้งแรก ก็สามารถ ที่จะกระดึ๊บและลุกยืนเอง ได้แล้ว

(งานนี้ต้องผ่านการปรับลมปราณอีกหลายครั้ง จึงจะ เป็นปกติ)

O O O

ตามข่าวที่เป็นข่าว "เหนือฟ้า ใต้บาดาล" จึงตามไปดู เข้าไปที่ ศาลากลางนํ้าวัดไผ่ล้อม เจอหมอลมปราณกำลัง บำบัดให้กับ นายกสมาคมนักวิทยุและ โทรทัศน์แห่งประเทศไทยฯ "วีระ ลิมปะพันธุ์" ซึ่งในช่วงนั้น หมอกำลังร่ายผนึกพลังลมปราณ โดยมีนายกนั่งอยู่ตรงหน้าแรกๆ ก็ตัวแข็งทื่อ ต่อมาร่างกายปวกเปียก แขนอ่อนฮวบ... ...แล้วหมอก็ใช้นิ้วมือสกัดแตะจุดที่ช่วงระหว่างอกกับไหล่ ร่างของนายกสะดุ้งเฮือก หลับตาพริ้มสักพักหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินไปเดินมาอย่างคล่องตัว... นายกวิทยุฯบอกหลังจากผ่านการบำบัดแล้วว่า...รู้สึกตัวเบาดี ก่อนหน้านั้น มีอาการปวด เมื่อยตามตัวเช่นกัน พอมาผ่านการบำบัดแล้วมันหายไปยังไงก็ไม่รู้...หรือว่าอุปาทาน แต่ก็ไม่ใช่ มันหายจริง เป็น คำยืนยัน (ป่วยไม่หนัก พักเดียวก็หายและอย่างปลิดทิ้ง)

O O O

กับหมอพลังลม ปราณ...เขาได้เล่าถึง ความเป็นมาว่า ชื่อจริงคือ ระพิน บัวทอง แต่ใครๆเรียกว่า "หมอแสวง" เดิมเป็นคน จังหวัดกาญจนบุรี แล้วเดินทางขึ้นไปประกอบ อาชีพคนกลางคืนที่ จังหวัดเชียงใหม่ คือเปิดผับ ต่อมามีลูกคนมีฐานะจากจีน ได้เข้ามาเที่ยวแล้ว เกิดเจ็บ ป่วยกะทันหัน เขาจึงพาเธอไปที่บ้านพัก เพื่อให้พักผ่อนอยู่หลายวัน จนกระทั่งเตี่ยและแม่เขา เดินทาง จากเมืองยูนนานมารับตัวกลับ ด้วยที่เข้าใจกันในความมีเมตตา เตี่ยกับแม่ของสตรีท่านนั้นจึงเชิญไปที่บ้านของเขา เมื่อพักอยู่ที่เมืองจีน ได้เข้า ศึกษาวิชาการบำบัดโรคด้วยลมปราณ อันเป็นศาสตร์ของ ตระกูลแซ่ลิ้ม ใช้เวลาในการศึกษาและทดลองนานถึง 2 ปี จึงสำเร็จแล้วกลับมาเมืองไทย

O O O

การบำบัดตามศาสตร์นั้น หมอแสวง บอกว่า มนุษย์เรานั้นมีพลังแม่เหล็ก ในตัวอันเกิดจากธาตุทั้ง 4 คือ ดิน นํ้า ลม ไฟ ที่มีอยู่ในตัวได้ สร้างพลังอิเล็กตรอน นิวเคลียสและไอออนที่อยู่ในความสมดุล แต่ในวิถีชีวิตนั้นมีการใช้พลังเหล่านี้ไปโดยไม่รู้ตัว หากพลังที่สูญเสียไปเท่าๆ กันหรือมีเพิ่มขึ้นมาเท่ากันก็ไม่เกิดสิ่งใด แต่ถ้าหากว่าไม่สมดุลก็จะเกิดอาการเจ็บป่วย ซึ่งแต่ละโรคก็แล้วแต่สถานภาพ... ...เพื่อที่จะให้อาการป่วยต่างๆนั้นหายก็คือเพิ่มพลังที่ขาดไปให้เกิดความสมดุล หรือว่าขจัดในส่วนที่เกินออกเพื่อให้เกิดความ สมดุล... ศาสตร์นี้มีหลักการเพียงง่ายๆ แต่ก่อนที่จะมาเป็นผู้บำบัดให้ผู้อื่นได้นั้น หมอต้องผนึกและเรียกพลังลม ปราณมากพอสมควรจึงจะฉมัง

O O O

ในการบำบัด หมอแสวงจะไม่รับค่าครู แต่อย่างใด คือ "ฟรี" แต่ถ้าหากว่า ท่านใดมีจิตเป็นกุศลก็ให้ใส่กล่อง เพื่อเป็นเงินทุนในการ สร้างเมรุวัดไผ่ล้อม ที่เขาตั้งปณิธานเช่นนี้ เนื่องจากว่าก่อน ที่เขา จะจบการศึกษากับศาสตร์นี้ ได้ตั้งจิตแน่วแน่ว่า จะทำเพื่อการกุศลและ ก็เกิดนิมิตว่าได้พบกับพระภิกษุ ที่มีพลังบารมีท่านหนึ่งที่จะร่วมกิจกันได้... ...แล้วพอกลับมาเมืองไทยก็ได้เดินทางหาพระภิกษุรูปนั้น จนมาพบ แบบอยู่จังหวัดใกล้เคียงกับ บ้านเกิด ก็เลยต้องตกลงยอมเป็นศิษย์ หลวงปู่พูล อัตตรักโข เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม... ซึ่งจะประกอบศาสตร์กิจนี้ช่วงระยะหนึ่งแล้วในเดือนหน้าก็จะเดินทางต่อไปที่ประเทศญี่ปุ่น ด้วยว่ามีคนคอยที่จะให้บำบัดที่นั่น... ...งานนี้ถือว่าเป็นการบอกบุญ...สนหรือไม่ ก็แล้วแต่!!

"ก้อง กังฟู"

คิดแบบดิจิตอล Digital Thinking


โดย เภสัชกรประชาสรรณ์ แสนภักดี M.P.H. CMU
ผู้จัดการศูนย์ฝึกอบรมภูมิปัญญาสู่สากล


การคิดในแบบดิจิตอล
เป็นการคิดแบบ ใหม่ที่จะทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากกรอบความคิแบบเดิมๆ โดยเฉพาะวันนี้
หากเรามีความ คิด แต่การกระทำเราอาจจะไปไม่ทันความคิด แต่หากเรา ผสานดิจิตอล กับ
สมองของเราเข้าด้วยกัน วันนั้น การกระทำกับความคิดมันจะ วิ่งทันกัน
สิ่งแรกที่ต้องกล่าวถึงก็คือ การคิด การใช้ความคิด มีหลายคนไม่ค่อยคิด
เท่าไร รอทำตาม ความคิดคนอื่นอย่างเดียวกลุ่มนี้ไม่ต้อง ไปชวนให้คิดแบบดิจิติล
แต่สำหรับคนที่พัฒนาความคิดขึ้นไปอีกขั้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
การคิดแบบดิจิตอล หมายถึงการคิดแบบเป็นระบบ การมาประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว
การ แสดงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารข้อมูลได้รวดเร็ว
ดังนั้นหากเราต้องการให้ความคิดเป็นแบบดิจิตอล สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ
เรา ต้องพัฒนาหรือภาษาคอมพิวเตอร์ เรียกว่า upgrade สมอง
ให้มีความทันสมัยเป็นปัจจุบัน ใครยังมีสมองเป็นแบบ 486Dx อยู่ ก็ต้องปรับให้เป็น
Pentium แล้วหละ วิธีการ upgrade สมองก็ทำได้โดย การเพิ่ม software ใหม่ๆ ที่ช่วย
upgrade เช่น การอ่านหนังสือ การเรียนรู้ การเข้าร่วม อบรม ร่วมประชุม วิชาการ
เมื่อ upgrade สมองแล้ว ก็ต้องมีการนำข้อมูลออกมาใช้กับชีวิต จริง real life
ด้วยการฝึกการใช้สมอง หรือเทียบได้กับ การฝึก ประมวลผล
ตามความต้องการของผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ นั่นเอง หลักการทำ งานของคอมพิวเตอร์
เขาจะจำลองความต้องการของผู้ใช้ ว่าผู้ใช้น่าจะต้องการทำงานด้านใดบ้าง เช่น บางคน
พิมพ์งาน บางคนทำตาราง คำนวณ บางคนทำงานศิลปะ แต่งภาพ บางคนทำฐานข้อมูล
ดังนั้นสมองของเราเอง หากจะเป็นแบบดิจิตอล และเทียบเท่า คอมพิวเตอร์
ก็ จะต้องมีการฝึกสร้าง ภาพ scenario ในด้านต่างๆ อย่างคิดด้านเดียว
อย่าทำงานอย่างเดียว ต้องให้มีความหลากหลาย (diversity)
เพราะ สมองของคนเรามีหน้าที่หลายอย่าง หากส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ใช้งานเลย หรือ
หยุดการทำงานไปนาน ก็เสื่อมได้ เมื่อเสื่อมแล้วก็ยากที่จะ upgrade
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างกลุ่มที่ไม่ใช้สมองในการทำงาน เช่น
กลุ่มที่สมองเป็นเครื่องรุ่น ครับผม และรุ่นมือกุมหว่างขา
(ผู้เขียนหมายถึง ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่คอยเอาใจเจ้านาย หรือผู้ใหญ่) กลุ่มนี้
ไม่ต้องคิดอะไร รอฟังคำสั่งอย่างเดียว กลุ่มนี้สมองจะตายตอนอายุประมาณ 40 ปี และ
จะเกิดเครื่อง hang คือเกิดความรู้สึกถามหาคุณค่าของตัวเอง ตอนอายุเยอะๆ
ตลอดเวลาทำตามคนอื่นคิด แต่ไม่มีโอกาสทำตามความคิด ของตัวเองเลย
การคิดแบบดิจิตอล จะได้เปรียบคนคิดแบบเดิม (classic thinking)
ตรงที่การคิดแบบดิจิตอล จะคิดเชื่อมโยง เป็นเครือข่าย เช่น คอมพิวเตอร์ เครือข่าย
สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันและกันได้ เรียกว่า เป็น แบบพึ่งกัน
(Interdependent ) ซึ่งเราต้องการ
เป็นอย่างมากที่คนในสังคมจะมีการคิดเป็นแบบพึ่งกัน
บทสรุปของเรื่องนี้ อยู่ที่วันนี้ท่านพร้อมหรือยังที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีคิด
ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า วิธีคิด ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนความคิด
แต่ผู้เขียนบอกว่าเปลี่ยนวิธีคิด อาจจะคิดเรื่องเดิม เรื่องเก่า แต่คิดด้วยวิธีใหม่
แต่สิ่งที่มีความสำคัญคือ ต้อง คิดดี คิแต่สิ่งที่เป็นกุศล
ไม่คิดในสิ่งที่บ้านเมืองและสังคมจะเดือดร้อน


ชวนสร้างสุข ด้วยรอยยิ้ม


เดี๋ยวนี้หันไปทางไหน เห็นแต่คนหน้ามุ่ย กะว่าเศรษฐกิจ ในครัวเรือนจะกระเตื้อง สักหน่อย แต่กลับไม่เป็นงั้นแฮะ ว่าแล้ว บรรยากาศแบบ นี้มันชวนให้อมยิ้ม หรือมีความสุขที่ไหนเล่า แต่ถึงแม้พวกเรา จะโดนเคราะห์ซ้ำ กรรมซัดแค่ไหน ให้ ท่องในใจไว้เหอะว่า จงมีน้ำอด น้ำทน ต่อสิ่งแวดล้อมที่ ไม่โสภาสถาพร ไว้บ่อยๆ ก็ดี คิดซะว่า อุปสรรคจะทำให้ชีวิตเราเข้มแข็งขึ้น เดี๋ยวลูกฮึดก็จะตามมาติดๆ ส่งผลให้ สมองโล่งปลอด โปร่งคิดหาทางทำมาหากินได้ ไหลลื่นเองแหละ ที่ฝอยมาทั้งหมด อันที่จริง อยากชวนสร้างสุขด้วยรอยยิ้ม ตามที่กรมสุขภาพจิตตีปี๊บ อยากเห็นชาวประชามีสุขภาพดีทั้งกายและใจ ส่วนประโยชน์ของการยิ้มก็มีเยอะแยะ เช่น เคยได้ยินคำว่า "ยิ้มได้เมื่อภัยมา" ไหมล่ะ หากใครยิ้มได้เมื่อภัยมาเมื่อไหร่ แสดงว่า รอยยิ้มนั้นแสดงถึงความกล้าหาญชาญชัย แต่ไม่ใช่บ้าบิ่น หรือบ้าบอคอแตกนะ แถมมีความมั่นใจว่า ตัวเองมีพลังที่จะเอาชนะ อุปสรรคได้อย่างแน่นอน ส่วน วิธีกระตุ้นให้ยิ้ม อย่างง่ายๆ ได้แก่

• ทำตัวให้สนุกสนาน บอกแบบนี้ใครก็แย้งได้ว่า พูดง่ายแต่ทำยาก ก็แน่สิจ๊ะ ถ้าทำง่ายก็ไม่พูดให้เสียเวลาหรอก แล้วรู้อีกด้วยว่า มนุษย์ ทุกคนล้วนเกิดมาอยากมีชีวิต สนุกสนานทั้งนั้นแหละ เพียงแต่พอชักโตและได้เวลาหางานทำ ชีวิตชักไม่สนุกแล้วสิ เพราะความรับผิดชอบตามมาเป็นพรวนนี่หว่า ดังนั้นวิธีแก้อย่างง่ายๆก็คือ หางานที่ชอบทำ หรือไม่ก็หางานอดิเรกทำ เช่นถ้าปลูกต้นไม้แล้วมีความสุข ก็รีบทำเลย

• เตือนตัวเองให้ยิ้มบ่อยๆ เช่น ตั้งใจไว้เลยว่า จะยิ้มทุกครั้งเมื่อตื่นนอน ยิ้มทุกครั้งเมื่อพบหน้าคนรัก ยิ้มทุกครั้งเมื่อก้าวเท้าออกจากบ้าน หรือยิ้มตอบทุกคนที่ยิ้มให้ เป็นต้น เมื่อสนับสนุนให้ยิ้มแล้ว ก็อยากเสนอ วิธีลดความเครียด ควบคู่กันไป จะได้ไม่ชักปืน ยิงใครให้หวาดเสียว

ใน Tip for Reducing Stress สลัดความเครียดให้ หายไปจากใจ ทำได้ เช่น

1. มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ โดยเฉพาะถ้ายังไม่มีงานทำตอนนี้ ก็ฉวยจังหวะที่ยังว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ไปสมัครเรียน สายอาชีพซ้อมมือก่อนก็ได้ เช่นไปเรียนเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ ไปเรียนเสริมสวย หรือเรียนกะเป็นไกด์ เพราะมองว่าอนาคตการท่องเที่ยวน่าจะบูม งั้นลงมือสักที

2. ยอมรับเถอะว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนทุกอย่างให้ได้ดังใจไปหมด จะได้ไม่เสียใจ หรือเสียดายมากไง หากวันนี้เราดันแพ้ขึ้นมา ให้คิดซะว่า วันหน้ายังมีทางชนะ

3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และทานอาหารที่ชอบ ไว้ก่อน เกิดมาชาตินึงจะอด อยากปากแห้งไปทำไม ว่าแต่อย่าสวาปามจนอ้วนเป็นใช้ได้ รักนะเนี่ย ถึงเตือนกันหยั่งงี้.

คนสมถะ

หมอจีนแก้ปัญหาทางเพศใช้รักษาสมดุลหยินหยาง


เรื่องเพศ เป็นส่วนประกอบสำคัญส่วนหนึ่งในชีวิตมนุษย์ ปัญหาทางเพศจึงมีผลต่อสุขภาพจิตส่วนบุคคลและความสัมพันธ์ในชีวิตคู่สมรส ซึ่งนับวันปัญหานี้จะเพิ่มสูงขึ้น ศูนย์พลังชายสำรองที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ให้ความรู้ คำปรึกษา และพัฒนางานด้านสุขภาพทางเพศ ระบุว่า ปัญหาทางเพศเป็นปัญหาที่มีมาเนิ่นนานแล้ว และมนุษย์ได้พยายามคิดค้นหาทางแก้ โดยแต่ละชาติก็มียาบำรุงทางเพศในแบบฉบับของตน เพราะคนเราเมื่ออายุมากขึ้น พลังชายสำรองจะลดลงไป ทางการแพทย์จีนระบุว่า ในผู้ชายที่เริ่มมี อายุ 30 ปี พลังหยินจะเริ่มลดลง และจะลดลงเหลือเพียง ครึ่งหนึ่งเมื่อมีอายุ 40 ปี และลดลงจนแทบจะหมดไปเมื่อมีอายุ 60 ปี ดังนั้น พลังหยินจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งกับพลังชาย และพบว่าผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 60-70 ปี มีอัตราการเกิดปัญหาสมรรถภาพทางเพศถึง 73% นพ.ธรรมฤทธิ์ แพทย์วิวัฒน์ แพทย์ผู้ชำนาญด้านแพทย์แผนไทย-จีน กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ต้องการใช้ยาบำรุงทางเพศมีสองกลุ่มคือ กลุ่มผู้ต้องการยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศ และกลุ่มผู้ต้องการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ แต่ยาที่ขายในท้องตลาดส่วนใหญ่จะเป็นยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นอารมณ์ทางเพศ ทำให้ผู้กินยาเกิดอาการคึกคัก และต้องการร่วมเพศ ซึ่งตัวยาเหล่านี้จะไปกระตุ้นฮอร์โมนเพศที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่ตามธรรมชาติแล้วให้มีมากขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยรักษาอาการป่วยของผู้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ดังนั้น การกินยากระตุ้นทางเพศเข้าไป จะทำให้ผู้ป่วยที่เครียดอยู่แล้วยิ่งเครียดมากขึ้น เพราะจะมีความต้องการทางเพศมากขึ้น แต่ร่างกายไม่ตอบสนอง ตามหลักการใช้ยาบำรุงของจีนคือ บำรุงพลัง บำรุงเลือด บำรุงหยิน บำรุงหยาง โดยผู้ป่วยที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย ยาที่ใช้บำรุงทางเพศส่วนใหญ่จัดอยู่ในยาบำรุงหยาง ซึ่งมีทั้งในพืชและสัตว์ คนที่มีอาการขาดธาตุหยางคือ หน้าซีดขาวหรือเหลือง แขนขาเย็น อวัยวะเพศไม่แข็งตัว หลั่งเร็ว ปวดหลัง ปวดหัวเข่า ปัสสาวะถี่ ส่วนผู้หญิงจะมีอาการมดลูกเย็นไม่ตั้งครรภ์ ในทางการแพทย์จีนแนะว่า ถ้าหากผู้ป่วยมีความต้องการทางเพศลดลงเมื่อใด ไม่ควรตกอกตกใจ อาการเหล่านี้สามารถรักษาได้ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด และควรทำงานอดิเรกเพื่อผ่อนคลาย ตำราจีนยังได้เตือนผู้ที่ต้องการใช้ยาบำรุงพลังเพศด้วยว่า ต้อง รู้จักเลือกใช้ยาให้ถูกต้องตามโรคดังนี้ 1. อย่ากินอาหารหรือยาบำรุงทุกวัน 2. ระหว่างที่มีประจำเดือน สตรีไม่ควรใช้ยาบำรุง ถ้าต้องการใช้ควรใช้ก่อนหรือหลังมีประจำเดือน อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ 3. เนื่องจากยาบำรุงกำลังมีผลกระทบ ต่อการขับถ่ายปัสสาวะและเหงื่อมาก ผู้ที่เป็นหวัดหรือมีอาการท้องผูก ท้องร่วง และเหงื่อออกมากเกินไป ไม่ควรกินเด็ดขาด 4. ขนาดของอาหาร หรือยาบำรุงควรแตกต่างกันตามรูปร่างและอายุของผู้กิน ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดควรให้แพทย์วัดชีพจร และตรวจสุขภาพร่างกายก่อนกินยาบำรุงใดๆ.

เป้าหมายคุณชัดเจนขนาดไหน



โดย เภสัชกรประชาสรรณ์ แสนภักดี M.P.H. CMU
ผู้จัดการ ศูนย์ฝึกอบรมภูมิปัญญาสู่สากล (Glocalization Training Center)


ในยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่มีความสำคัญคือ
เรื่องของการกำหนดจุดสิ้นสุดของการเปลี่ยนแปลง หรืออาจจะเรียก ว่า เป้าหมาย
เพราะการเปลี่ยนแปลง มีจุดเริ่มต้น และจุดที่จะก้าวไป เปรียบได้กับ การปาลูกดอก
ไปยังเป้าหมายที่ตั้งไว้ หากวันนี้ เรายัง กำหนดเป้าหมายไม่ชัดเจน แล้ว
เราจะปาลูกดอกไปยังทิศทางใดเล่า
บทความตอนนี้ผู้เขียนปรารถนาให้ท่านผู้อ่านเป็นคนที่ทำงาน
หรือกิจการใดก็ตามด้วยการกำหนดเป้าหมายเสมอ ยิ่งเป็นหน่วยงาน ราชการต่างๆ
ที่กำลังพัฒนาองค์กร ผู้เขียนขอเรียกร้องให้ช่วยกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนสักหน่อย
เพราะ เคยไป สอบถามพูดคุยกับหับเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน ว่ากำลังพัฒนา HA ISO
หรือแม้แต่ P.S.O. ไปทำไม หลายคนยังตอบว่า เพื่อให้สอด คล้องกับนโยบาย
หรือบางคนอาจจะบอกว่า เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับประโยชน์สูงสุด
เป้าหมายที่ผู้เขียนกล่าวถึงนี้ ต้องเป็นเป้าหมายที่มีความทาย
เป็นเป้าหมายที่ไม่ เล็กเกินไป หรือใหญ่เกินไป ที่สำคัญต้องเป็นสิ่ง
ที่มีความเป็นไปได้ (possible) บรรลุได้ในชาตินี้
อย่าพยายามตั้งเป้าหมายแบบข้ามชาติ คือไปบรรลุชาติหน้า
ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งอยู่ที่ การยึดมั่นในเป้าหมาย ต้องมั่นคง
มั่นใจในเป้าหมายที่ตนเองกำหนด ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย ตาม กระแสธารของสังคม
(ฝรั่งเรียกว่า go with the flow) มีหลายคนค้นหาเป้าหมายแห่งชีวิตต้องชีวิตตนเอง
จำไว้เสมอว่า คนเราไม่ได้ มีอายุยืนยาวพอที่จะไปค้นหาเป้าหมาย ที่หลากหลาย
แต่ชีวิตคนเราก็ไม่ได้สั้นเกินกว่าที่จะทำบางอย่างเพื่อการบรรลุเป้าหมายบาง
ประการให้ได้
เป้าหมายที่ตั้งควรจะมีทั้งเป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะกลาง
และเป้าหมายระยะยาว และเมื่อบรรลุเป้าหมายแต่ละขั้นที่ตั้งไว้
ก็ต้องไม่ไปหลงกับความสำเร็จให้มากเกินไป
ควรจะทบทวนและเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อจะได้รู้จักตนเองให้มากขึ้น
ยุทธศาสตร์ คือ หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของการบรรลุเป้าหมาย
ดังนั้นคนที่จะประสบความสำเร็จ จะต้องเป็นผู้ที่มีความคิดเรื่องของ ยุทธศาสตร์
เรียกว่า มี Strategic Thinking (ใครสนใจเรื่องนี้ก็หาหนังสือ ของท่าน
ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ มาอ่านได้) เราจะต้องหาวิธีการที่ดีที่สุด
สำหรับการเดินไปสู่เป้าหมาย แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะสร้างยุทธศาสตร์
ทางเลือกเอาไว้ด้วย เรียกว่ามีอะไหล่ ให้กับชีวิต
อ่านมาถึงตรงนี้
ผู้เขียนไม่กล่าวอะไรยาวไปกว่านี้เพราะจะเสียเวลาผู้อ่านในการค้นหาเป้าหมาย
ฝากไว้นิดเดียวว่า หากค้นพบเป้าหมายแล้ว อย่าลืมเขียนมันออกมาในสมุดบันทึกของท่าน
กันการลืมและเป็นการประกาศให้โลกรับรู้ว่าเราก็คนๆ หนึ่งที่ ไม่ได้ทำไร่เลื่อนลอย


กินปลาเอาไว้ป้องกันหัวใจวายเบรกหัวใจไม่ให้เต้นรัวเป็นตีกลอง




ศึกษาวิจัยพบคุณของการกินปลามีอยู่อนันต์ ช่วยให้รอดพ้นจากอาการหัวใจวายอย่างกะทันหันได้ เพราะยิ่งกินปลาแต่ละอาทิตย์ได้มากขึ้น ก็จะช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจต่ำลง ห่างเหินโอกาสที่หัวใจจะเต้นระส่ำผิดปกติ อันทำให้เกิดเป็นลมปัจจุบัน หัวใจวายลงกะทันหัน ทั้งนี้เป็นผลของการศึกษาวิจัยของ ดร.ยีน ดัลลองเกวิลล์ กับคณะ แห่งสถาบันปาสเตอร์อันมีชื่อเสียง ของฝรั่งเศส โดยได้ทำกับผู้ชายสูงอายุ วัยระหว่าง 50-59 ปี ซึ่งแต่ละคนไม่เคยมีประวัติของโรคหัวใจ จำนวนเกือบ 10,000 คน รายงานผลการศึกษาในวารสารการแพทย์ "โรคทางเดินโลหิต" กล่าวว่า ผู้ที่กินปลามากขึ้นแต่ละอาทิตย์ จะมีอัตราการเต้นของหัวใจช้าลง กล่าวได้ว่า การบริโภคปลาเป็นคุณ ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจลงได้ ถึงแม้จะได้คำนึงถึงปัจจัยอื่นที่มีต่ออัตราการเต้นของหัวใจเช่นกัน อย่างเช่น การสูบบุหรี่ อายุ และการออกกำลังด้วยแล้ว กับยังมีส่วนให้ความดันโลหิตลด ไขมันเลวโดนกดต่ำลง ในขณะที่ระดับไขมันดีกลับเพิ่มขึ้น ดร.ยีนได้บอกเสริมว่า การค้นพบหนนี้ นับว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ ด้วยเหตุว่าผู้ที่เป็นลมปัจจุบัน หัวใจวายโดยกะทันหัน มักจะเป็นคนที่ไม่เคยมีประวัติของโรคหลอดเลือดหัวใจมาก่อนมากที่สุดด้วย.

นวดผ่อนคลายสําหรับหญิงตั้งครรภ์



ความสวยความงามเป็นสิ่ง ที่ต้องบำรุงปรุงแต่งอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ ก็ไม่ควร เว้นวรรคการเสริมสวยเสียเลย เพราะสตรีขณะตั้งครรภ์นั้น เกิดการเปลี่ยนแปลง ไปทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะผิวหนังเกิดการขยายตัว ทำให้ต้องประสบกับ ปัญหาริ้วรอยแตกลาย และผิวหยาบกร้าน คลาแร็งส์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้นำ ทางด้านผลิตภัณฑ์ดูแลปรนนิบัติผิวมากว่า 50 ปี จึงตระหนักถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่ สุดของชีวิตการตั้งครรภ์ ว่าเป็นความมหัศจรรย์ของเพศหญิง และเป็นช่วงเวลาที่บอบบางช่วงหนึ่งของชีวิต จึงได้คิดค้นเทคนิคการนวดต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสรีระแห่งความเป็นแม่ เทคนิคการนวดหน้าและตัวใหม่ล่าสุด สำหรับหญิงตั้งครรภ์จากคลาแร็งส์ เป็นการคิดค้นระหว่างผู้เชี่ยวชาญของคลาแร็งส์ และทีมกุมารแพทย์ของฝรั่งเศส โดยการนวด สำหรับหญิงตั้งครรภ์ช่วง 3-6 เดือน และ 6-9 เดือน จะช่วยให้ได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ เพราะช่วง 3-6 เดือนของการตั้งครรภ์ ร่างกายจะผลิตสารเอสโตรเจนเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวพรรณ ผม และร่างกายเปลี่ยนแปลง เกิดการผลิตเม็ดสีผิวเมลานินมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้เกิดริ้วรอยดำคล้ำเป็นวงสีน้ำตาลบริเวณรอบดวงตา แก้ม หน้าผาก แผ่นอก และเกิดริ้วรอยแตกลาย เนื่องจากการขยายตัวของผิวหนัง ส่วนช่วงตั้งครรภ์ 6-9 เดือน ถ้าต้องยืนนานๆทำให้ร่างกายต้องรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น อาจมีผลทำให้ เส้นเลือดฝอยแตก หรือเกิดเส้นเลือดขอดได้ และมีอาการบวมน้ำ ซึ่งมักเกิดขึ้นที่บริเวณขาและเท้า รวมทั้งการตึงของกล้ามเนื้อ จึงมีวิธีการนวดและบำรุงผิวเพื่อปกป้องริ้วรอยแตกลาย ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและเนียนกระชับ ลดอาการบวมตึง และความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ทั้งนี้การนวดในหญิงตั้งครรภ์จะเป็นการนวดที่เน้นการไหลเวียนของเลือดและต่อมน้ำเหลือง สำหรับวิธีการนวดและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้นั้น จะทำให้กล้ามเนื้อของผู้ที่ตั้งครรภ์ผ่อนคลาย และผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง แต่ไม่มีผลกระทบต่อเด็ก เพราะเป็นการนวดเฉพาะผิวด้านบน ไม่ได้นวดหนักลงไปถึงกล้ามเนื้อ สำหรับผู้ตั้งครรภ์ที่ไม่มีเวลาเข้าสถานเสริมความงาม สามารถนวดดูแลผิวพรรณได้ด้วยตนเอง ด้วยการทาน้ำมันที่ใช้นวด หรือโลชั่นบริเวณหน้าอก แล้วลูบไล้จากบริเวณเนินอกขึ้นไปบนลำคอ พร้อมกับใช้นิ้วหยิกผิวเบาๆ เพื่อให้ผิวเกิดความยืดหยุ่น ส่วนการนวดเท้า เมื่อทาโลชั่นแล้ว ให้งอเท้าและยกสูงขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ลูบไล้จากบริเวณปลายเท้าขึ้นมาที่บริเวณต้นขา วิธีนี้จะช่วยลดอาการบวมน้ำที่เท้า และอาการตึงของขา นอกจากนี้ ยังมีวิธีง่ายๆที่ทำให้ผู้ตั้งครรภ์รู้สึกผ่อนคลายคือ การสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เป็นประจำทุกวัน.

เพื่อน ...รัก อย่าลืม


ในบางครั้งที่คุณเบื่อ และเซ็งกับชีวิต เคยไหมที่คุณต้องการใครสักคนมาเป็นเพื่อนคุย ขอเน้นนะ เพื่อนคุย ไม่ใช่ แฟน คุณต้องการคนที่เข้าใจ รับฟัง หรือให้คำแนะนำ หรือในบางครั้งคุณต้องการเพียง คุย เรืองไร้สาราะเบาสมอง และในบางครั้งคุณอาจคิดว่าคุณพบเขาแล้ว และคุณก็มอบความจริงใจ มิตรภาพ ความเป็นเพื่อนให้กับเขา แต่แล้ว คุณก็ต้องผิดหวักกับ เพื่อน ที่มองคุณเป็นเพียงตัวตลก มองคุณเป็นเพียงเครื่องคั่นเวลา

น่าเศร้านะ จะมีใครรู้บ้างไหมหนอ คำว่าเพื่อน มีความหมายลึกซึ้งแค่ไหน จะมีใครรู้ไหมว่า มิตรภาพแห่งความเป็นเพื่อนที่รักกัน มันยั่งยืน และมั่นงยิ่งกว่า ความรัก ที่คุณกำลังแสวงหามันเสียอีก แต่ก็อีกนั่นแหละ มนุษย์เรา เมื่อมีความรัก ก็มักจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว จะคิดว่าในโลกนี้มีเพียง คุณ และ เขา เพียง 2 คน จะสร้างวิมานส่วนตัวเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อน ของคุณ ยังเป็นกำลังใจให้คุณ เขาจะสุข เมื่อคุณสุข เขาจะทุกข์ เมื่อคุณทุกข์ และพร้อมที่จะซับน้ำตาให้เพื่อนยามเพื่อนเสียใจเสมอ ไม่ว่าคุณ จะมี รัก มากมาย สักเพียงใด ขอเพียงคุณอย่าลืมว่า คุณยังมี "เพื่อน"



Story by : แม่หญิงเรณูนวล
Date : 10 May 2004

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551

อาหารกับโรคหัวใจ


เมื่อสองอาทิตย์ก่อนได้ พูดถึงเรื่องความอ้วนกับโรคหัวใจ และได้ อธิบายโดยคร่าวๆ ชนิดของโรคหัวใจไว้ 8 ชนิด ซึ่ง 7 ชนิดนั้นไม่เกี่ยวกับความอ้วนเลย แต่ชนิดสุดท้ายคือ โรคหัวใจซึ่งเกิดจากความผิดปกติ ด้านโภชนาการนั้น มีส่วนเกี่ยวกับความอ้วน ได้ตั้งใจไว้ว่าจะพูดถึงโรคหัวใจชนิดนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่บังเอิญมีปัญหาด่วน ซึ่งท่าน ผู้อ่านถามมามากเกี่ยวกับน้ำอาร์.โอ. ต้องรีบตอบ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อาทิตย์นี้จึงขออนุญาตพูดถึงเรื่องโรคหัวใจ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติด้านโภชนาการ

ในหนังสือคู่มือการแพทย์ของ AMA สหรัฐอเมริกาได้ระบุไว้แน่นอนว่า ความอ้วนเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของโรคหัวใจ และโรคหัวใจเกี่ยวแก่ความอ้วน มีสาเหตุย้อนหลังไปถึงการเป็นเบาหวาน การที่มีความดันโลหิตสูง และการที่มีคอเลสเทอรอลในเลือดสูง ได้เคยอธิบายไว้ในไทยรัฐของเราแล้วนะครับว่า คอเลสเทอรอลนั้นมีอยู่ในไขมันแทบ ทุกชนิด แต่ไม่ได้หมายความว่าไขมันทุกอย่างจะมีคอเลสเทอรอลที่เป็นอันตรายต่อหัวใจทุกตัว เราแบ่งไขมันออกเป็นไขมันปานกลาง (LDL) และไขมันเลว (VLDL) ไขมันเลว (VLDL) นั้นส่วนมากเป็นไขมันจากเนื้อสัตว์ กะทิ น้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันปาล์ม น้ำมันพวกนี้แหละที่เมื่อสะสมใน ร่างกายมากๆเข้า นอกจากจะทำให้น้ำหนักมากแล้ว ก็ยังเป็นอันตรายต่อหัวใจด้วย ที่เส้นเลือดหัวใจอุดตันก็เพราะไขมันพวกนี้ ที่ร่างกายอ่อนเพลียไม่มีแรง บางคนข้อต่ออักเสบเดินไม่ได้ บางคนน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงลิบ ความดันโลหิตสูง จนเส้นเลือดแตก นี่ก็เพราะไขมันเลว ซึ่งมีคอเลสเทอรอลรวมอยู่ด้วยนั่นเอง การศึกษาเรื่องอันตรายของคอเลสเทอรอลจากไขมันเลวนี้ทำกันมาเกือบ 20 ปีแล้ว แรกทีเดียววงการแพทย์ไม่ค่อยมีใครเชื่อว่าเรื่องของ อาหารหรือโภชนาการจะเป็น สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ แต่เมื่อมีส่วนเกี่ยวข้องของผู้ที่มีน้ำหนักมาก กับการเป็นโรคหัวใจมากขึ้น วงการแพทย์ก็เริ่ม มาสนใจและค้นคว้าเรื่องอาหารและโรคหัวใจ มีแพทย์เห็นด้วยหลายคน และในที่สุดก็มีการ เรียกร้องให้สมาคมโรคหัวใจของอเมริกาออกมา แถลงและให้คำแนะนำเรื่องอาหารที่ถูกต้องแก่ ประชาชน เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ความนิยมเรื่อง เนื้อนมไข่และฟาสต์ฟู้ด (แฮมเบอร์เกอร์ ฮอทดอก ไอศกรีม เค้ก ช็อกโกแลต และน้ำ อัดลม) กำลังได้ รับความนิยม สูงสุดในอเมริกา ก็ต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า เวลาทางการหรือราชการ จะออกกฎหรือแนะนำอะไร ออกมาสำหรับประชาชน นั้น เขาต้องนึกถึงพ่อค้าหรือกลุ่มเศรษฐีเสียก่อน ว่าจะถูกต่อว่าหรือคัดค้านอะไรบ้าง ฉะนั้นคำแนะนำของสมาคมโรคหัวใจเกี่ยวกับอาหารไขมันนั้น จึงออกมาอย่างเกรงใจ พ่อค้าเหลือเกินว่า "ไม่ควรกินอาหารไขมันเกิน 30% ของอาหารทั้งหมด และจะต้องจำกัดคอเลสทอรอลไม่ให้เกิน 300 มก." ถ้ากินอาหารตามคำแนะนำของสมาคมโรคหัวใจของอเมริกาตามนี้ ก็หมายความว่า หนึ่งในสามของอาหารของคุณก็อุดมไปด้วย เนื้อ นม ไข่ ลองนึกถึงภาพก้อนสเต็กเกือบครึ่งกิโล ที่เขาใส่ถาดไม้ ควันฉุยมาตั้งตรงหน้า ที่เรียกกันว่า JUICY STEAK

แล้วพอจะนึกออกไหมครับ ก่อนจะคว้ามีดกับ ส้อมมาตัดชิ้นเนื้อ ได้นั้น คุณอเมริกัน คนนั้นแกต้องกลืนน้ำลายเข้า ไปกี่สิบเอื๊อกกันแน่ ก็เกิดเคสคน ไข้ที่น่าสนใจคนหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นเรื่องโด่งดังทั่วประเทศ คนไข้คนนี้ เป็นพระสอนศาสนา ชื่อ โรเบิต รอแยล อายุ 53 ปี เกิดมีอาการปวดหัวใจอย่างรุนแรง ไปหาแพทย์ โรคหัวใจ ตรวจพบว่า เส้นเลือดกล้ามเนื้อหัวใจเส้นหนึ่งอุดตันถึง 37% แพทย์แนะนำให้เขาคุมอาหารตามสูตรของ สมาคมโรคหัวใจ ให้กินเนื้อ นม ไข่ น้อยลง และให้ออกกำลังกาย อีกสามเดือนต่อมา เขากลับไปหาแพทย์อีก ปรากฏว่าคอเลสเทอรอล ลดลงจาก 390 มก./เดซิลิตร ลงมาเหลือ 360 มก. ซึ่งถึงแม้ จะลดลงได้ 30 มก. แต่ปริมาณคอเลสเทอรอลก็ยังสูงอย่างน่ากลัวอันตรายเช่นเดิม พระองค์นั้นยังคงควบคุมอาหารตามแบบเดิม คือลดไขมันลงเหลือไม่เกิน 30% อีกหนึ่งปี ให้หลัง โรเบิต รอแยล รู้สึกเจ็บหัวใจอย่างรุนแรงอีก เขาจึงกลับไปหาแพทย์ เมื่อตรวจคราวนี้ ปรากฏว่าเส้นเลือดหัวใจอุดตันถึง 77% แม้ว่าเทคนิคการผ่าตัดหัวใจจะพอมีหวังอยู่บ้าง แต่รอแยลก็ยังไม่กล้าเสี่ยง เขาคิดว่ารอความตาย และ ปฏิบัติตัวเรื่องอาหารอย่างเคร่งครัด กว่าเดิมคงจะช่วยได้บ้าง ในขณะเดียวกันก็มีการประกาศว่าได้คิดค้นยาสำหรับแก้ไขคอเลสเทอรอลได้ จากการใช้ กับสัตว์ทดลองปรากฏ ว่า ลดคอเลสเทอรอลได้ผลดีพอสมควร นายแพทย์เดวิด แบลงเกนฮอร์น แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์ เซาท์เทิน แคลิฟอร์เนีย จึงได้ทดลองลดคอเลสเทอรอลแก่ คนไข้โรคหัวใจ และใช้การควบคุมอาหารตามคำ แนะนำของสมาคมโรคหัวใจ คือจำกัดไขมันลง เหลือ 30% พร้อมกันไปด้วย ผลปรากฏว่าในจำนวนคนไข้โรคหัวใจทั้งหมด เมื่อได้รับยาลดคอเลสเทอรอลแล้ว ปรากฏว่า มีเพียง 16% ที่อาการอุดตันของเส้นเลือดในหัวใจลดลง อีก 44% ไม่ได้ผล คือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และอีก 40% กลับมีอาการเลวกว่าเดิม ต่อมาอีก 3 ปี ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ก็ได้ ทดลองให้ยาลดคอเลสเทอรอลแก่คนไข้ โรคหัวใจอีกกลุ่มหนึ่ง โดยให้ยาเป็นเวลาถึงสองปีครึ่ง ผล ก็เป็นเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัย แพทย์แคลิฟอร์เนีย คือ คนไข้ส่วนมากมีอาการหนักลง ที่เป็นเช่นนี้พิสูจน์อะไรให้เห็น พิสูจน์ได้ สองอย่าง 1. การที่สมาคมโรคหัวใจ ให้ลดอาหารไขมันเหลือเพียง 30% นั้น ไม่ได้ช่วยอะไรสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจเลย และ 2. ยาลดคอเลสเทอรอลนั้นไม่ได้ช่วยคนไข้หัวใจเลยอีกเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นจะมีทางแก้อย่างไร สมัยนี้การผ่าตัดหัวใจคนไข้มีโอกาสดีขึ้น และปลอดภัย ขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่การผ่าตัดหัวใจก็มีข้อเสี่ยง มากมายด้วย ทางออกอย่างอื่นมีหรือไม่ นายแพทย์ดีน ออร์นิช มีคำตอบ ดีน ออร์นิช มีสูตรการรักษาโรคหัวใจด้วย วิธีง่ายๆคือ เน้นที่การปฏิบัติตัวเรื่อง คุมอาหารและออกกำลังกาย เขาไม่เรียกวิธีการของเขาว่า "รักษาโรค หัวใจ" แต่เขาใช้คำว่า "ปรับฟื้นหัวใจให้กลับ คืนดี" (REVERSING HEART DISEASE) หลักการเรื่องอาหารของดีน ออร์นิช ดูเหมือนจะปฏิบัติได้ง่ายมาก คือ เขาจำกัดไขมัน ให้เหลือเพียง 10% เท่านั้น ลดคอเลสเทอรอลให้เหลือเพียง 5 มก. ไข่ให้กินได้เฉพาะไข่ขาว อาหารเนื้อสัตว์ทุกชนิดไม่ให้กินเลย รายละเอียดเกี่ยวแก่การรักษาโรคหัวใจของดีน ออร์นิช ยังมีอีกมากมาย รวมทั้งการ ออกกำลังกายด้วย

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2551

บันทึกรัก ฯ - 38 นาทีกับการเปิดหัวใจเธอ

ช่วงเย็น เขา SMS ไปหาเธอ บอกว่าเมื่อวานเห็น SMS ของเธอแล้วไม่ค่อยกล้าโทรไปคุยด้วย ตอนนี้คงดีขึ้นแล้วนะทั้งกายและใจ

ตอนทุ่มกว่าๆ เธอก็รีบโทรมาหาเขา เขากำลังกินข้าวอยู่ เธอเลยวางสาย แต่พอตอนทุ่มครึ่ง เธอก็โทรมาหาเขาอีก โทร 2 รอบ ไม่ได้ยินเสียง จนรอบที่ 3 จึงคุยโทรศัพท์ได้ยินเสียงกันได้

เธอพาลูกๆไปเล่นที่บ้านของจิ๋มเพื่อนรักของเธอ เมื่อคืนวาน เธอคิดมาก คิดสารพัด รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวที่กักตัวเขาไว้เป็นของเธอ ทั้งๆที่เขาน่าที่จะมีโอกาสได้ไปพบกับผู้หญิงคนอื่นที่ดีกว่าเธอ เป็นโสดและไม่มีภาระ มีลูกติดแบบเธอ

เขายืนฟังในมุมมืดนอกบ้าน ปล่อยให้เธอระบายความรู้สึกออกมา

วันวาน เธอพิมพ์ SMS หาเขา พิมพ์ไปร้องไห้ไปเหมือนกัน เขาฟังแล้วสะท้านใจเหมือนกัน มีรัก ก็มีทุกข์ไปด้วย เพราะเธอก็ตั้งความคาดหวังไว้สูงเช่นกัน อยากที่จะพาเขาไปทำบุญ เพื่อที่เขาจะได้พบสิ่งที่ดี มีงานทำไม่น้อยหน้าเพื่อนคนอื่นๆที่มีการงานมั่นคง

เธอเผยความรู้สึก ถ้าเขาไม่มีเธอจะดีไหม จะได้ไม่ต้องลำบากใจ อยากจะพาสาวคนไหนไปเที่ยว ไปไหนมาไหนด้วย คงทำได้อย่างสะดวก ส่วนตัวเธอก็อยากจะไปไหนมาไหนกับเขาเช่นกัน ถ้าเธอโสด ไม่มีภาระติดตัวแบบนี้ ย่อมไปได้แน่ๆ แต่ความจริง เธอไปไม่ได้

....เขาฟังแล้ว เฉยๆ จึงบอกเธอไปว่า ลองคิดถึงด้านที่ดีๆที่ผ่านมา มีอะไรดีเกิดขึ้นตั้งเยอะ ทำไมไม่คิดล่ะ คิดแต่ด้านลบ ก็รู้สึกแย่ ร้องไห้เสียใจแบบนี้สิ

เขานึกถึงสิ่งที่ดีๆที่เกิดขึ้นจากเธอ ทำให้มองสิ่งที่ไม่สมหวังเป็นเรื่องเล็ก เรื่องที่ว่า ผิดนัด ไปทำบุญไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้ ก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน เพราะในเรื่องการทำบุญที่ผ่านมา เขาก็พึ่งมีโอกาสได้มาทำกับเธอ ทั้งๆที่พระท่านบอกไว้ตั้ง 3 เดือนที่ผ่านมาแล้ว แต่เขาก็พึ่งมาทำ

ถึงเขาไม่ได้มาพบเธอ ไม่ได้รักเธอเหมือนทุกวันนี้ เขาก็คงไม่ไปรักใคร จีบใคร ไม่พยายามไปเสาะแสวงหาใครๆ คงจะอยู่เป็นโสด อยู่เฉยๆไปเรื่อยๆ เพราะความรักที่ผ่านมา ผิดหวัง ไม่ได้ดังใจ ถูกทิ้ง ถูกหักอก ผ่านความผิดหวังจนด้านชาเรื่องความรักไปแล้ว ถ้าไม่ได้มาเจอเธอ เขาก็เฉยๆ คงไม่ได้ไปพบสาวคนใหม่แต่อย่างไร

บางทีนี่คงเป็นโชคชะตาของเขาและเธอกระมัง ที่ได้มาเจอกัน...

..แต่ที่ผ่านมา เขาได้พาเธอไปสัมผัสกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอไม่เคยได้พบ ทำความฝันของเธอที่คนอื่นไม่ช่วย ให้เป็นจริงขึ้นมา แน่นอนว่า ชีวิตได้พบสิ่งใหม่เมื่อเขาก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอ แต่อดีตที่ผ่านมา ย่อมผ่านเข้ามาในความคิด หลอกหลอนตัวเธออยู่บ้าง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป สิ่งเก่าๆ ย่อมจะบรรเทาเบาบางลง

เธอสงสัยและถามเพื่อนจิ๋มของเธอว่า เข้าใจตัวเขาไหม ทำไมถึงเลือกเธอ ไม่ไปรักคนอื่นที่เพียบพร้อมกว่า โสดกว่า ไม่มีลูกติด เพื่อนเธอตอบว่า คงเพราะรักมั้ง

แต่เขาอยากจะบอกเธอว่า เพราะการที่คนสองคนเอาหัวใจมาผูกกันต่างหากล่ะ

ที่เธอคิดมากๆ แบบนี้ เขารู้สึกชินเสียแล้ว เพราะเธอก็เคยคิด และรู้สึกแบบนี้มาก่อน เหมือนกับคนที่ไหวเอน ดังนั้น เขาคงจะเป็นเสาหลักที่มั่นคงให้เธอยึดไว้เวลาที่ไหวเอนจวนจะล้มให้ยืนหยัดต่อไปได้อีกครั้ง....


บันทึกรักฯ SMS- เสาหลักความรักที่มั่นคง

คุณสัญญานะคุณจะเป็นเสาหลักความรักที่มั่นคงจะผูกตัวและหัวใจไว้กับฉันตลอดไป

บันทึกรักฯ SMS- ขอโทษนะทื่คิดมาก


ขอโทษนะทื่คิดมากคงเป็นเพราะฉันห่วงคุณกังวลและทำให้กังว ลถึงความรู้สึกของคุณว่าคงผิดหวังเสียใจเหตุผลก็คงจะไม่มีอะไรนอกจากรักเพิ่ มขึ้น

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2551

บันทึกรักฯ SMS จากเธอ....ขอโทษนะกับการเป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่อง


ขอโทษนะกับการเป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่อง ฉันว่าคุณคาดหวังไว้กับเสาร์อาทิตย์นี้พอควร แต่ติดที่ฉัน ฉันทำให้เสียใจ ทุกข์และเศร้า คุณอยู่ของคุณดีๆแล้ว แต่พอมีฉัน มันก็เปลี่ยนไปใช่มั้ย ถ้าไม่มีฉันในชีวิตคุณล่ะ ฉันละอายแก่ใจตัวเอง ฉันอยากให้เวลาที่เสียไปเป็นเรารักกัน และอยู่ด้วยกันตลอดไป


บันทึกรัก ฯ - น้ำเสียงสดชื่นยามเย็น


เธอโทรมาหาตอนเย็น บอกว่าโทรไปคุยกับพี่หน่อย เด็กรักป่าแล้ว
เรื่องทำผ้าป่าหนังสือ

ทางพี่หน่อย ก็บอกว่า โอเค เดี๋ยวจะเขียนโครงการแล้วส่งให้เลย


เธอบอกเขาว่า รู้สึกพูดง่ายดี ง่ายกว่ามะเดี่ยวที่ดูจะพยายามผัดวันไปเรื่อยๆ



เธอคุยกับพี่หน่อยตั้งนาน ดูโครงการแล้ว น่าจะเข้าที
เธอเล่าให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงสดชื่น ยาวเหยียด
แต่เขากลับไม่ค่อยได้พูดกับเธอมากนัก
เพราะชักจะปวดท้อง
จนเธอบอก งั้นก็ไปทำธุระให้เรียบร้อย
แล้วเธอก็วางสายไป

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2551

บันทึกรักฯ SMS - ตั้งใจจะพาเธอเข้า กทม.


ตั้งใจจะพาเธอเข้า กทม.
จะพาไปทำบุญ ปล่อยนกร่วมกัน และดูดวงชะตา แก้ไขดวงชะตา
แต่พอตอนสายๆวันศุกร์ โทรไปถามเธอ


เธอบอกว่า ไปวันนี้ไม่ได้ เพราะลูกชายของเธอไม่สบายพร้อมกันหลายคน


ทั้งภูมิแพ้ และท้องเสีย
เขาได้แต่ถอนหายใจ



คงต้องได้แต่รอ...


มานึกดูแล้ว เธอมีลูกชายต้องดูแล
.... นี่ดูเหมือนเขาพยายามไปแย่งเวลาจากแม่ขอลูกมาซะแล้ว


เธอคงจะเพลียน่าดูล่ะ


วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2551

บันทึกรัก ฯ SMS - นอนซะนะคนดีของฉัน


เหนื่อยมากมั้ย งั้นก็พักผ่อนซะนะ วันนี้ฉันคุยกับมะเดี่ยวแล้ว เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลังค่ะ สงสารจังเลย นอนซะนะคนดีของฉัน




บันทึกรัก ฯ SMS - นอนซะนะคนดีของฉัน


เหนื่อยมากมั้ย งั้นก็พักผ่อนซะนะ วันนี้ฉันคุยกับมะเดี่ยวแล้ว เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลังค่ะ สงสารจังเลย นอนซะนะคนดีของฉัน




บันทึกรักฯ SMS - อย่าลืมเสื้อกันหนาวนะที่รัก


อย่าลืมเสื้อกันหนาวนะที่รัก เดินทางปลอดภัยน๊า.


วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2551

บันทึกรักฯ - ไปปล่อยปลาไหล และเธอมาย้ายโรงเรียนให้ลูก


วันจันทร์ เธอไปหาซื้อปลาไหลมาเตรียมไว้ให้เขาตั้งแต่เช้า
ช่วงสายๆ เธอไปทำเรื่องแจ้งย้ายให้ลูกชาย จะได้ไปเรียนหนังสืออยู่บุรีรัมย์กับแม่ (กับเธอ)


5 โมงเช้า เขาไปหาเธอที่สารคาม เธอรออยู่พร้อมกับลูกชายที่หลัง บขส.อยู่แล้ว
จากนั้นก็ขับมอเตอร์ไซต์ซิ่งไปปล่อยปลาไหลที่แก่งเลิงจาน
อ่านคำแผ่เมตตา และเธอบอกให้กล่าวว่า ให้ชีวิตพวกเจ้าแล้ว ก็ขอชีวิตให้แก่ผู้ปล่อยด้วย


จากแก่งเลิงจาน เธอก็ขับเข้ามาเติมน้ำมันรถในตัวเมือง
ก่อนที่จะพาไปหากินส้มตำ ไก่ย่างหลังสวนสุขภาพ
กินเสร็จ ก็พากันมาพักผ่อนหย่อนใจที่สวนสุขภาพ เพราะมีสนามเด็กเล่น มีเครื่องเล่น ให้ลูกชายของเธอได้เล่นสนุก ปีนป่ายออกแรงอย่างเพลิดเพลิน


ลูกของเธอ ก็ติดเขาซะอีก สนิทสนม คุ้นเคย
จนถึงบ่าย 2 โมง เธอก็กลับไปขนกระเป๋า สมบัติ ของเล่น ของลูกชาย ออกมาที่ บขส.
คุณแม่ของเธอมาส่งที่ บขส.
15.30 น. เธอกับลูกชาย พากันขึ้นรถกลับบุรีรัมย์



บันทึกรักฯ - เรื่องหนึ่งที่เธอกังวล


เรื่องหนึ่งที่เธอกังวล
วันเสาร์ อาทิตย์หน้า เขาจะพาเธอเข้า กทม.
เธอจะถือโอกาสไปพบน้องสาว เอาเอกสารต่างๆไปให้
และจะถือโอกาส พาเขาไปทำบุญที่วัด

ส่วนเขาก็อยากจะพาเธอไปพบกับพระสงฆ์ องค์ที่เคยตรวจดวงชะตาให้
เขาอยากจะให้พระท่าน ดูดวงชะตา และกรรมเก่าของเธอ
จะมีวิธีทำบุญแก้ไขกรรม อย่างไร
เพื่อที่ชีวิตจะได้พบกับความสุขมากขึ้น


เธอกังวล หวั่นเกรงไม่อยากไป
กลัวพระท่านจะทักว่า เขาและเธอไม่ใช่คู่กัน
ไม่เหมาะสมกัน
อยู่ด้วยกันไม่ได้
ซึ่งพระท่านเคยทักเขาว่า
"ไม่ว่าเขาจะทำดีอย่างไร เธอก็ไม่เห็นความดีนั้นหรอก"


เธอหวาดหวั่น กลัว


เขาบอกเธอว่า เมื่อ 3 เดือนก่อน ความคิดของเขาและเธอ ก็เป็นไปในทำนองที่พระท่านทัก..
..แต่ตอนนี้ ต่างจากวันนั้น...
...แถมยังได้ทำบุญร่วมกันหลายสิ่ง
.ความคิดหลายอย่าง เปลี่ยนไปจากวันนั้น...
การที่มีโอกาสไปพบท่าน ....
ท่านจะได้มองเห็นกรรมของเธอ และแนะนำแนวทางการแก้ไขที่ถูกต้อง


การที่รู้ก่อน และแก้ไขก่อน ย่อมดีกว่ามารู้อะไรเลย และปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น...
... โดยที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรก่อนเกิดเหตุนั้นได้....
เมื่อทำสิ่งที่ดี ก็น่าจะส่งผลที่ดีเพิ่มขึ้น..
ทุกสิ่งก็น่าจะมีทางแก้ไข อย่างน้อยก็ผ่อนหนักให้เป็นเบาขึ้น


วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2551

บันทึกรักฯ SMS - อยู่ด้วยกันก็คงจะดี


อยู่ด้วยกันก็คงจะดี จะได้เตรียมของให้แล้วไปทำด้วยกัน


บันทึกรักฯ SMS - จะโทรปลุกพอดีเลย




จะโทรปลุกพอดีเลย 12 องค์นะที่รัก น่ารักแบบนี้จะหอม 1 ฟอด แต่คุณอย่าลืมขอให้พระสวดกรวดน้ำนะ บอกท่านว่าจะอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร


วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551

บันทึกรักฯ - เมื่อเธอพาเขาไปทำบุญอุทิศส่วนกุศล แก้กรรม


ตอนเช้า เธอโทรไปปลุกเขา ให้เขาไปทำบุญใส่บาตรพระ
แต่เขากลับติดพันภาระกิจที่บ้าน เลยพลาดที่จะใส่บาตรยามเช้า

เธอรีบไปหาซื้อของที่ตลาดแต่เช้า ทั้งปลาดุก ปลาหมอ อย่างละ 12 ตัว แต่ไม่มีปลาไหล และนก เจอแต่นกหงษ์หยกที่ขายตัวละ 90 บาท ถ้าซื้อมาทำบุญ 12 ตัว คนทำบุญคงทุกข์หนักกว่าเดิม

นอกจากนั้น ยังปรึกษาเรื่องการทำบุญกับพ่อแม่ของเธอ ซึ่งได้รับคำแนะนำว่า ค่อยๆทำแต่ละอย่างก็ได้ แล้วแม่ของเธอยังช่วยหาสิ่งของที่จะทำบุญมาให้เธอด้วย เพราะนึกว่า เธอจะทำบุญให้ตัวเอง แต่ที่จริง เธอเตรียมข้าวของให้เขาไปทำบุญ

เขามาถึงสารคามตอน 4 โมงเช้า หลังจากไปเลือก ส.ว. แล้ว รอเธอกว่าครึ่งชั่วโมง เธอจึงขับมอเตอร์ไซต์ออกมา พาเขาไปปล่อยปลาที่แก่งเลิงจาน และกล่าวแผ่เมตตาให้ทานชีวิต จากนั้นไปซื้อธูป เทียน แผ่นทอง ผ้าสามสี และไปทำบุญที่หลักเมือง มหาสารคาม เสี่ยงเซียมซีได้ใบที่ 26 ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงเอาใบเซียมซีไว้ที่หลักเมือง และไปซื้อน้ำมันพืชมาเติม

เสร็จพิธีทำบุญ เธอก็แวะซื้อกาแฟ และไมโลดิบให้เขาทาน และเธอขับรถไปเลือก ส.ว. ก่อนจะพาไปหาทานส้มตำ แกงหน่อไม้ ไก่ย่าง ที่ร้านมีปิ้งปลาดุก เธอบอกว่า เมื่อทำบุญให้ชีวิตปลาดุก ปลาหมอไปแล้ว ก็ไม่ควรจะทานปลาที่ให้ชีวิตไปแล้วอีกเลย

ตอนบ่ายว่าจะไปดูปลาไหลที่ตลาดบ้านดินดำ ริมแม่น้ำชี แต่ปลายังไม่มีมาขาย เธอและเขาเลยไปแวะที่สวนสาธารณะเลิงน้ำจั้น รับลม อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ก่อนที่จะส่งเขาขึ้นรถกลับบ้านตอน 4 โมงเย็น

บันทึกรักฯ SMS - เพราะฉันห่วงคนที่ฉันรัก


ดูหนังหนาวจังคิดถึงคุณจัง นอนห่มผ้าด้วยน้า รีบนอนซะจะได้ตื่นเช้าใส่บาตร พรุ่งนี้จะไปหาปลาไหลให้นะที่รัก คุณอดทนและทำอะไรหลาย ๆอย่างเพื่อฉันเพราะรัก และฉันทำให้และอยากให้คุณทำเพื่อตัวคุณเพราะฉันห่วงคนที่ฉันรัก


บันทึกรักฯ SMS - ลองไปดูที่ตลาด




ปลาไหลกับนกไม่มี คุณลองไปดูที่ตลาด กส.หน่อยนะ


วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2551

บันทึกรักฯ - กว่าจะกลับถึงบ้านสารคาม

วันนี้ เธอตั้งใจจะกลับบ้านที่สารคาม เมื่อวันศุกร์ เมื่อวาน เธอลางานไปช่วยอาจารย์ท่านหนึ่ง ทำผลงานวิชาการ ทั้งวัน เหนื่อย กินกาแฟ จนเธอนอนไม่หลับ

วันนี้ช่วงเช้า เธอก็ซักผ้า กะว่าจะขึ้นรถกลับสารคามตอนสายๆ แต่เอาเข้าจริง เธอขึ้นรถเที่ยวบ่าย 3 โมงครึ่ง เพราะต้องพาเพื่อนจิ๋มไปฝากครรภ์...เอ้า ท้องจนได้ นึกว่าจิ๋มและสามี จะเลิกรากัน

แต่ไปๆมาๆก็มีลูกด้วยกันจนได้ ดีจะได้ไม่ต้องเลิกกัน

เธอขึ้นรถเที่ยวบ่าย 3 โมงครึ่ง ไม่มีที่นั่ง เลยต้องยืน แถมยืนตรงพัดลมอีกด้วย ท่าทางจะเหนื่อยน่าดู แต่มีคนลงที่ใกล้ๆ เลยมีที่นั่งให้เธอได้นั่ง

ช่วงที่เธอเดินทาง เขาก็ไปค้นเจอ กระดาษที่จดคำแนะนำวิธีแก้ไขกรรมของเขา ซึ่งพระสงฆ์ท่านหนึ่งได้ดูดวงชะตาและแนะนำไว้ตั้งเกือบ 3 เดือนแล้ว เขาจึงพิมพ์ข้อความส่ง SMS ให้เธอรู้

เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านตอนเย็น ช่วงดึก เขาและเธอโทรคุยกัน เธอบอกจะช่วยไปหาซื้อของต่างๆเตรียมไว้ให้เขามาทำบุญในวันพรุ่งนี้