++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

หลับสบายด้วยกลิ่นหอมของมะลิ

นักวิจัยเมืองลุงแซมเขาทดสอบ ผลกระทบ ของกลิ่นกับ การนอนหลับ
โดยเปรียบเทียบ ระหว่างกลิ่นแจสมิน หรือมะลิ กับกลิ่นลาเวนเดอร์
ปรากฏว่าคนที่เข้าร่วมทดสอบ 20 รายนั้น กลุ่มที่สูดกลิ่นมะลิบอกว่า
กลิ่นหอมของดอกมะลิช่วยให้หลับได้ เร็ว และรู้สึกสดชื่นที่สุด
เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ผลที่ออกมาอย่างนี้ นักวิจัยก็เลยคาดว่า
กลิ่นดังกล่าวได้ส่งผลให้รู้สึกสงบที่บริเวณ ระบบประสาทส่วนกลาง
จึงทำให้ผู้เข้าร่วมทดลอง หลับสบายไปตามๆ กัน ก็ลองกันดูนะคะ
อยากลองหลับสบายแบบคนอื่นเขาบ้าง ก็จุดเทียนหอมกลิ่นมะลิไว้
ที่โต๊ะข้างเตียงสักช่วงไม่กี่นาทีก่อนนอน
จะได้รู้ว่าหลับลึกหลับสบายนั้นเป็นอย่างไร.

สงสัยแม่อยู่ใกล้สถานที่เผาศพคลอดทารกเกิดไม่สมประกอบ

ผู้หญิงมีครรภ์ไม่ควรจะอยู่พักอาศัยในที่ใกล้เคียงกับสถานที่เผาศพ
หรือสถานที่เผากำจัดขยะ เพราะถูกพบในการศึกษาค้นคว้าว่า
มีโอกาสสูงกว่าปกติอาจจะคลอดลูกที่ไม่สมประกอบออกมาได้
นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลของอังกฤษ
ได้พบในการศึกษาวิเคราะห์ การคลอดบุตร
ในแถบภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ จำนวนเกือบ 245,000 ราย ได้เจอว่า
มีทารกที่เกิดมาไม่สมประกอบ เป็นทารกที่คลอดออกมา กระดูกสันหลังมีรอยโป่ง
เพราะเยื่อหรือไขสันหลังยื่นออกมาถึง 17 เปอร์เซ็นต์
และที่มีหัวใจไม่สมประกอบมากถึง 12 เปอร์เซ็นต์
นักวิจัยเปิดเผยรายละเอียดว่า "เราพบว่าทารกที่คลอดออกมา
มีกระดูกสันหลังมีรอยโป่ง และที่มีหัวใจไม่สมประกอบ
มีส่วนเกี่ยวพันกับการอยู่ใกล้กับสถานที่เผาศพ หรือสถานที่ เผากำจัดขยะ"
และได้ระบุในรายงานการศึกษาว่า เชื่อว่าสารเคมีไดออกซินที่เป็นอันตราย
อาจเป็นสารตัวการ นักวิทยาศาสตร์ได้เรียกร้องให้มีการศึกษาเพิ่มเติม
เนื่องจากยังไม่อาจปักใจเชื่อในเหตุและผล ที่แน่นอนได้ กล่าวว่า
"ควรจะมีการศึกษาถึงระดับของมลพิษที่แท้จริง และหาข้อมูลที่มีคุณภาพ
ระดับสูง เพิ่มเติมให้มากขึ้นอีก".

เวทีนโยบาย:จราจร-จลาจล

เวทีนโยบาย:จราจร-จลาจล
โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ


หนึ่งดัชนีชี้วัดความต่างระหว่างประเทศพัฒนากำลังพัฒนาคือการจราจรที่เข้า
ข่ายจลาจลในเมืองหลวงและหัวเมืองใหญ่
ด้วยส่วนใหญ่ในประเทศกำลังพัฒนาจักมุ่งแต่ตัดถนนหนทางใหม่ๆ
โดยไม่คำนึงถึงการเชื่อมโยงโครงข่ายขนส่งสาธารณะอย่างเป็นระบบรองรับการขยาย
ตัวของประชากร

ทั้งนี้ เนื่องมาจากกระบวนการกำหนดนโยบายคมนาคมค่อนข้างขาดการศึกษาและทบทวนระบบขน
ส่งสาธารณะแบบองค์รวม รวมถึงที่สำคัญการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
โดยเฉพาะผู้มีรายได้ต่ำถึงปานกลางที่เป็นลูกค้าหลัก
ดังกรณีโครงการเช่ารถโดยสารปรับอากาศใช้ก๊าซธรรมชาติ (CNG)
เป็นเชื้อเพลิง พร้อมอุปกรณ์และซ่อมแซมบำรุงรักษา จำนวน 4,000 คัน
ระยะเวลา 10 ปี ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
ที่กว่าประชาชนจะเข้าถึงข่าวสารข้อมูลก็ต่อเมื่อสื่อมวลชน นักวิชาการ
และนักการเมืองทักท้วงถึงความไม่ชอบมาพากลทั้งก่อนและหลัง TOR ปรากฏ

มากกว่านั้นการเข้ามามีส่วนร่วมเสนอแนะปรับปรุงพัฒนาระบบขนส่งมวลชน
ของประชาชนก็ยังตีบตันอยู่มากจากการกำหนดช่องทางไว้แค่อินเทอร์เน็ตและเวที
ประชุมที่คนจนเมืองไม่มีโอกาสเข้าถึงด้วยวิถีชีวิตปากกันตีนถีบไม่อนุญาต

ทางตรงข้าม
ขสมก.รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคมที่ยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
และมีประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณว่าด้วยความรับผิดชอบต่อผู้ใช้บริการและ
ประชาชนเป็นของตนเองก็ต้องสร้างความไว้วางใจและเชื่อมั่นแก่ปวงชนด้วยการ
บริหารจัดการองค์กรบนหลักธรรมาภิบาลโปร่งใสไร้คอร์รัปชัน
ชี้แจงเหตุผลกับประชาชนตรงไปตรงมาว่าถ้าเช่ารถเมล์ NGV 4,000
คันแล้วจะมอบความสะดวกสบาย รวดเร็ว ปลอดภัย
แก่ประชาชนอย่างเสมอภาคได้จริงแค่ไหน

ด้วยความประทับใจในบริการของ ขสมก.
ใช่แค่ได้โดยสารรถใหม่ปรับอากาศ สะอาด ปราศจากกลิ่นเหม็นอับชื้น
ควันเหม็นดำ เสียงดัง หรือกระทั่งประหยัดค่าบริการ 1 เที่ยว 12
บาทตลอดสาย 1 วัน 30 บาทขึ้นได้ทุกคัน ตั๋วเดือน 800 บาท
และพิเศษตั๋วนักเรียน 600 บาท เท่านั้น
ทว่าความรวดเร็วปลอดภัยยังเป็นหัวใจหลักสำหรับคนเมืองที่ต้องคำนวณเวลาเดิน
ทางทำงานหรือเรียนได้ด้วย

การจัดการเดินรถอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลในชั่วโมงเร่งด่วนโดย
ผู้ใช้บริการไม่ต้องยัดเยียดเบียดเสียดเป็นปลากระป๋องกรณีมีรถ
และไม่ต้องรอแบบไม่มีกำหนดแน่นอนจนเลยเวลาเรียนหรือเข้างานกรณีไม่มีรถจึงจำ
เป็นยิ่งกว่าการได้รถใหม่มาแต่ไม่อาจรองรับความต้องการของประชาชน

โดยจะทำเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อปรับโครงข่ายเส้นทางรถโดยสารประจำทางใน
พื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ
และปริมณฑลโดยคำนึงถึงจุดเชื่อมต่อหรือจุดเปลี่ยนรถโดยสารประจำทาง
ส่งเสริมเชื่อมโยงโครงข่ายกับระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
โดยเฉพาะระบบรถไฟฟ้า และการเดินทางด้วยรถสาธารณะในตรอกซอกซอย เช่น
มอเตอร์ไซค์รับจ้างด้วย ตลอดจนแก้ไขจุดที่ผู้โดยสารขึ้น-ลงจำนวนมาก
(Loading points)
และจุดที่มีปัญหาจราจรติดขัดมากจนการเดินรถโดยสารไม่สามารถทำเวลาได้ตาม
ตารางเดินรถถึงจะปล่อยออกจากท่าตรงเวลา
เพราะเวลาเป็นเงินเป็นทองสำหรับคนกรุง

ทั้งนี้ สถิติสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)
แสดงว่าขนาดเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล
ความเร็วเฉลี่ยการเดินทางในช่วงเวลาเร่งด่วนทั้งเช้า 06.00-09.00
น./ขาเข้าเมือง และเย็น 16.00-19.00 น./ขาออกเมือง
บนถนนสายหลักในกรุงเทพฯ เดือนกรกฎาคม 2551 คือ 19.4 และ 23.4 ก.ม./ชม.
ตามลำดับ ดังการจราจรที่จลาจลในช่วงเช้าและเย็นบนถนนพหลโยธิน-ถนนพญาไท
ที่ใช้ความเร็วเฉลี่ยได้แค่ 19.2 และ 12.8 ก.ม./ชม.
ถนนศรีนครินทร์-ถนนเพชรบุรี ความเร็วเฉลี่ย 17.9 และ 28.4 ก.ม./ชม.
ถนนสุขุมวิท-ถนนพระราม 1 ความเร็วเฉลี่ย 14.5 และ 20.5 ก.ม./ชม.
ถนนพระราม 4 ความเร็วเฉลี่ย 16.1 และ 15.9 ก.ม./ชม. และถนนลาดพร้าว 14.1
และ 13.9 ก.ม./ชม.

ดังนั้น การเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะที่จอดรับ-ส่งผู้โดยสารตลอดเส้นทางจะทำความ
เร็วกว่าได้อย่างไร ขณะในความเหมือนแต่ต่างของขนส่งมวลชนระบบราง
'รถไฟฟ้าใต้ดิน-บนดิน' ที่ถึงจะจอดทุกป้ายก็ยังใช้เวลาน้อยกว่านัก
คนกรุงจึงนิยมมากแม้นราคาจะแพงกว่าทว่าก็เร็วและปลอดภัยกว่า
ไม่เกิดปรากฏการณ์พลาดนัดตอกบัตรไม่ทัน หรือประสบอุบัติเหตุรถชนบดทับขยี้

กล่าว ถึงที่สุด
คุณภาพชีวิตคนกรุงที่จะได้เดินทางรวดเร็วสะดวกสบายกว่าเก่าไม่ได้ขึ้นกับการ
มีรถเมล์ใหม่มากเท่ากับปรับการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนเสียใหม่ให้มี
ประสิทธิผลบนหลักคิดการบริการเดินรถเชิงคุณภาพ (Performance-based)
โดยเฉพาะ ขสมก.ที่ถือเป็นเส้นเลือดหลักของคนปลายอ้อปลายแขมที่จะต้องผสมผสานอย่าง
เชื่อมโยงลงตัวกับขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่น

ด้วยเหตุนี้
ถึงแม้นมีรถเมล์ที่ดีขึ้นและค่าโดยสารถูกลงจนปลดภาระรัฐบาลที่ต้องอุด
หนุนกว่า 9,000 ล้านบาท/ปี
ประหยัดเงินตราต่างประเทศจากการนำเข้าน้ำมันดีเซลที่ต้องนำมาใช้กับรถโดยสาร
ขสมก. 4,791.25 ล้านบาท/ปี หรือ 47,912.5 ล้านบาทตลอดอายุสัญญา 10 ปี
หรือกระทั่งเปลื้องหนี้สิน 67,325 ล้านบาท ขาดทุน 6,000 ล้านบาท/ปี
ดอกเบี้ย 3,000 ล้านบาท/ปี ของ
ขสมก.ได้จริงดังโฆษณาชวนเชื่อในสมุดปกขาวของพรรคภูมิใจไทย
ทว่าท้ายสุดคุณภาพชีวิตคนกรุงก็คงเดิมด้วยเริ่มที่ความต้องการอยู่รอดของ
ขสมก.มากกว่าความพึงพอใจในการให้บริการที่มีประสิทธิภาพของมวลชน

สภาพ 'จราจรจลาจล'
ในช่วงเวลาเร่งด่วนจึงซ้ำซากเหตุปัจจัยชั่วนาตาปีเพราะปัญหาแท้จริงของ
ประชาชนจากการขาดแคลนรถไม่ได้รับการแก้ไขแบบบูรณาการ
ยังคิดแยกส่วนเพิ่ม-ลดรถบางสายบางเวลา
แทนที่จะมองภาพรวมแล้วออกแบบการบริหารจัดการอย่างสอดคล้องพอเพียงกับความ
ต้องการของผู้โดยสารและความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจการเงิน
ตลอดจนข้อจำกัดผังเมืองเมืองกรุงเอง

เส้นทาง 145 สายภายใต้ตัวแปรขยายถนนไม่ได้ การยกระดับการบริการ
ขสมก. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน (Competitiveness)
กับขนส่งมวลชนระบบรางที่กำลังก่อสร้างและกุมยึดใจประชาชนนอกจากต้องเชื่อม
โยงเส้นทางรถโดยสารเข้ากับระบบรางแล้ว ยังต้องจัดตั้งระบบประชาสัมพันธ์
(Traveler Information System)
ศึกษาพัฒนาระบบสารสนเทศทั้งแก่ผู้บริหารเพื่อการบริหารจัดการเดินรถ เช่น
MIS และ GPS และระบบการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ผู้ใช้บริการแบบ Real-Time
นอกเหนือจากเส้นทางเดินรถและตารางเวลา
ไม่เช่นนั้นจะประดุจเดียวกับสถานการณ์โทรคมนาคมที่มุ่งสร้างโครงข่ายมากกว่า
ข้อมูลข่าวสารความรู้จนรังสรรค์สังคมฐานความรู้ไม่ได้

สมการพัฒนา
ขสมก.จึงไม่เพียงต้องตั้งมั่นบนความปรารถนาของผู้ใช้บริการเท่านั้น
ทว่าต้องดึงกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันเพื่อพัฒนาระบบขนส่ง
สาธารณะยั่งยืนเมืองน่าอยู่ อย่างน้อยๆ ก็ต้องสามารถลดค่าใช้จ่าย เวลา
พื้นที่ถนน พลังงาน ควันพิษ และอุบัติเหตุราว 4,000 ครั้ง/ปีของรถโดยสาร
ให้ได้

ไม่เท่านั้น ระบบขนส่งสาธารณะยั่งยืน (Sustainable public
transport system)
ที่หันมาใช้พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียวยังสอดรับกับสภาวะโลกร้อน
เศรษฐกิจขาลง และความต้องการของประชาชนที่ถือว่ารถโดยสารสาธารณะเป็นการเดินทางปลอดภัยสูง
สุด (Safest mode) ด้วย

ทว่ากว่าจะทำเช่นนั้นได้
สภาวะจลาจลของกระทรวงที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะต้องกลับมามั่นคง
บนผลประโยชน์ของประชาชนเสียก่อน เอกภาพจึงจะเกิด

การ ควบคุมนโยบายสาธารณะด้านคมนาคมโดยผู้ใช้บริการจึงเป็นหนึ่งกระบวนการพิทักษ์
สิทธิผู้บริโภคภาคประชาชน (People-participated consumer protect)
ไม่ให้ถูกละเมิดโดยอำนาจรัฐและกลุ่มทุนธุรกิจการเมืองที่มีอาณัติอิทธิพล
เหนือการตัดสินใจเชิงนโยบายเรื่อยมา ด้วยถ้อยคำสวยหรูว่า
'ถึงเวลาแล้วที่คนกรุงเทพฯ จะมีรถเมล์ที่ดีขึ้นและค่าโดยสารที่ถูกลง'
นั้นรัดร้อยกับปัจจัยด้านงบประมาณมหาศาล การขาดทุนระยะยาว
การคอร์รัปชันเชิงนโยบาย จนถึงสภาพจราจรจลาจล

ภาค รัฐจึงต้องเปิดกว้างให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบาย
สาธารณะด้านคมนาคม ด้วยแท้จริงแล้วพวกเขาคือคำตอบที่ถูกต้องของโจทย์
'จราจรจลาจล' เพราะรู้ซึ้งถึงวิกฤตดีด้วยเป็นผู้เยียดเบียดเสียดในชั่วโมงเร่งด่วนอยู่ทุก
เมื่อเชื่อวัน.

มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000073469

หากยังเห็นผิด ก็หาทางออกไม่ได้ สับสนไปหมด

หากยังเห็นผิด ก็หาทางออกไม่ได้ สับสนไปหมด
โดย ดร.ป.เพชรอริยะ


หากท่านทั้งหลายอ่าน
สภาพการณ์ที่แท้จริงของเมืองไทยไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง
ก็ไม่สามารถนำไปสู่การแก้ไขการเมืองไทยให้ลุล่วงไปได้
จะกลายเป็นการโกหกประชาชนอย่างซ้ำซาก รวมทั้งการเสียทรัพย์ เสียพลังงาน
เสี่ยงภัย เสียเวลา และที่ร้ายกาจที่สุดจะนำไปสู่ความหายนะ
เพราะความเห็นผิดว่าเป็นประชาธิปไตย ดังทัศนคติของตัวแทนผู้ปกครอง

ข่าวเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่หอประชุมศรีบูรพา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มธ. ปาฐกถานำเรื่อง
"พัฒนาการของรัฐชาติกับความขัดแย้งภายในของชาวสยาม" ใจความย่อได้แนะนำ
"ให้เปิดพื้นที่การเมืองภาคประชาชนให้มากขึ้นกว่าเดิม
และหยุดใช้ความขัดแย้งมาเป็นเครื่องมือในการรวมศูนย์อำนาจ"

ผู้เขียนมองจากสภาพความเป็นจริง
สภาวะของการเมืองไทยที่มันดำรงอยู่จริงๆ มันไม่ได้เป็นประชาธิปไตย
แต่สภาพความเป็นจริงมันเป็นเผด็จการโดยเนื้อหาที่ซ่อนอยู่ ผู้ปกครองก็รู้
แต่กลบเกลื่อนไว้ ด้วยองค์ความรู้ไม่พอที่จะคิดแก้ไข
แท้จริงแนวคิดของอาจารย์เสกสรรค์ ก็แสดงชัดอยู่แล้วว่า
การเปิดพื้นที่การเมืองภาคประชาชนให้มากขึ้นกว่าเดิม
ทั้งความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเอง
และประชาชนตกเป็นแนวร่วม มันเป็นปัญหาของระบอบเผด็จการรูปแบบใดแบบหนึ่ง
ส่วนในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ก็ไม่ต้องมาพูดกันแบบนี้แล้ว

นายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวว่า "การ รัฐประหารในปี 2549
ไม่ได้ถอยหลังชั่วคราวเพื่อก้าวสู่ประชาธิปไตยแต่อย่างใด ภายในระยะเวลา 3
ปีครึ่ง การเมืองถอยหลังแบบต่อเนื่อง กล่าวได้ว่า 70
ปีประชาธิปไตยไทยทำให้เกิดการเมืองที่ไม่สมดุล ไม่มีพลวัต
มีแต่คำถามว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ ยุบสภาเมื่อไหร่
เมื่อการเมืองไม่ลงตัวจึงเป็นอุปสรรคต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
ไทยจึงอยู่ในสภาวะวิกฤตที่ไม่สามารถแก้ได้
ทุกฝ่ายต้องช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรจะก้าวผ่านไปโดยไม่เกิดความขัดแย้งจนนำไปสู่ความรุนแรง"

แท้จริงการรัฐประหารทุกครั้ง นับแต่ 2475 เป็นต้นมา
จนถึงครั้งล่าสุด รวม 14 ครั้ง ได้เปลี่ยนแปลงคณะผู้ปกครองเท่านั้นเอง
แต่โดยเนื้อหายังคงเดิม คือยังคงรักษาเผด็จการไว้เช่นเดิม
ทำไม่ถึงได้กล่างอย่างนั้น เพราะผู้ปกครองเห็นผิดเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญ
คือระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ลงท้ายด้วยรัฐประหารทุกครั้งไป หากประเทศไทย
เป็นประชาธิปไตยโดยเนื้อหาแท้จริงแล้ว รัฐประหารจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
อย่างเช่น อเมริกา อินเดีย ซึ่งมีกองกำลังทหารที่เข้มแข็งมาก
แต่ก็ไม่เคยทำรัฐประหารเลยสักครั้งเดียว
เพราะอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงเป็นของปวงชนจริงๆ
ประชาชนมีจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของประเทศ เค้าจึงรู้สึกเป็นเกียรติ
และมีความรับผิดชอบสูงมากในการไปเลือกตัวแทนของเขา
การเลือกตั้งในประเทศอินเดีย ไม่รู้จักกับการซื้อสิทธิขายเสียง

ความเห็นของ นายจาตุรนต์ โดยเนื้อหาได้บ่งบอกชัดอยู่ในตัวแล้วว่า
ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย หากว่า นายจาตุรนต์ พูดว่า 70 ปี
ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย ก็จะพูดสอดคล้องกับความเป็นจริง
แล้วก็จะได้ร่วมมือกันแก้ไข ความเป็นเอกภาพในชาติ ก็จะเกิดขึ้น

นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า "10
ปีที่ผ่านมาเป็นการเมืองภายใต้ยุค "พาณิชยาธิปไตย"
เป็นประชาธิปไตยที่มุ่งกำไรสูงสุด มีพ่อค้าพาณิชย์ นักธุรกิจ
หลั่งไหลเข้าสู่วงการทางการเมือง
คนพวกนี้ส่วนหนึ่งเข้ามาแล้วยังรู้สึกตัวเป็นนักธุรกิจ
ใช้กลไกรัฐเอื้อประโยชน์ตัวเองและมุ่งกำไรสูงสุด
ทำให้การคอร์รัปชันเพิ่มขึ้นจากเดิม 3-5% เป็น 20%
มีการเรียกเก็บเบี้ยบ้ายรายทาง มีค่านิยมใหม่เกิดขึ้นว่า
"โกงได้แต่ขอให้มีผลงาน"
ตรงนี้ทำให้ประชาธิปไตยไม่น่าไว้วางใจและไม่มีประสิทธิภาพ
หากไม่ระงับยับยั้งก็คงแย่"

ผู้เขียนเห็นว่า
ถ้าการเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตยถูกต้องอย่างแท้จริงแล้ว
ใครจะเข้ามาเป็นนักการเมืองก็ได้หมด มีเสรีภาพ
สมัครอิสระไม่ต้องสังกัดพรรค และไม่ต้องไปจดทะเบียนพรรคกับกลไกรัฐใดๆ
เข้าสู่การเมืองเพื่อสร้างสรรค์ ให้ประโยชน์กับประเทศชาติ
แต่การที่เราได้เห็นนักการเมืองทุกพรรค เข้ามาโกงกิน
ฉ้อราษฎร์บังหลวงชนิดปล้นแผ่นดิน ดังที่เป็นมาและกำลังเป็นอยู่นี้
แท้จริงเป็นระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ สาระที่ นายบัญญัติ พูดมานั้น
ได้สะท้อนให้เห็นสภาพของการปกครองแบบเผด็จการที่ซ่อนรูปอยู่
ดุจปลวกกินบ้าน หากว่าท่านพูดความจริงก็จะพูดว่า
เผด็จการไม่น่าไว้วางใจและไม่มีประสิทธิภาพ หากไม่ยับยั้งก็คงแย่
ทุกฝ่ายก็จะได้ร่วมมือกันแก้ไข สร้างสรรค์การเมืองใหม่
สู่การเมืองการปกครองโดยธรรม

ศ.ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กล่าวว่า "การคอร์รัปชันถือว่าเป็นตัวหนึ่งที่ทำลายประชาธิปไตย
แต่ตัวการสำคัญที่ทำลายการเมืองอย่างแท้จริง คือ การรัฐประหาร
การแก้ปัญหาทางการเมืองโดยการใช้รัฐประหารนั้นถือเป็นข้ออ้างเท่านั้น"

ศ.ผาสุก ท่านจะไม่ชำนาญเรื่องการเมือง
ดังที่ท่านได้แสดงความเห็นมานั้นท่านเข้าใจผิดแท้จริง
ระบอบประชาธิปไตยปรามปรามหรือทำลายคอร์รัปชัน
ดังเช่นในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายเพราะด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างแท้จริง
การคอร์รัปชัน เป็นผลของระบอบเผด็จการ
และรัฐประหารเกิดจากสภาพการเมืองที่แท้จริงเป็นเผด็จการ
ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น ไม่อยากเห็นการคอร์รัปชัน ก็ต้องปฏิเสธ
ระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ ไม่อยากเห็นการทำรัฐประหาร
เราก็ต้องร่วมมือกันล้มเลิกระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ
หรือโดยกฎหมายลงให้ได้

ในอดีตสภาพที่แท้จริงของประเทศไทยยังไม่เป็นระบอบประชาธิปไตย
การทำรัฐประหารเพื่อเปลี่ยนการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
เป็นเพียงเปลี่ยนคณะผู้ปกครองและรูปแบบการปกครองเท่านั้น
การที่เรามีรัฐธรรมนูญ (กฎหมาย) ก็ดี เรามีรูปการปกครองคือระบบรัฐสภาก็ดี
มีการเลือกตั้ง มีการสรรหา มีสภาผู้แทนราษฎร มีวุฒิสภา
และเรามีรัฐบาลก็ดี เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ
รูปแบบการปกครองเท่านั้น อย่าไปหลงว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
เหตุการณ์ในอดีต คณะผู้ปกครองอยู่ๆ ก็บัญญัติ คำว่า "ระบอบประชาธิปไตย"
ขึ้นมาลอยๆ เป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ ฉบับ ที่ 5 พ.ศ. 2492 ในหมวด 1
บททั่วไป ในมาตรา 2

มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เกิดขึ้นด้วยอำนาจรัฐในยุคจอมเผด็จการโดย
จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายรัฐมนตรี

เป็น จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนสุดๆ โมเมสุดๆ เห็นผิดที่สุด
ร้ายกาจที่สุด เป็นเล่ห์กลเผด็จการเพื่อครอบงำ
สร้างความชอบธรรมของคณะเผด็จการในยุคนั้น
และต่อมาก็ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 8 พ. ศ. 2511 ใน มาตรา 2
ประเทศไทยมี การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในยุคจอมเผด็จการ จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี

ผู้ปกครองรุ่นต่อๆ มาต่างก็บัญญัติไว้ในรัฐธรรม ฉบับ พ.ศ. 2517,
2519, 2521, 2534, 2540, 2550 โดยทำตามๆ สืบเนื่องกันมาอย่างโง่เขลา
เบาปัญญา เป็นทายาทอสูร โดยมิได้ฉุกคิดกันเลยแม้แต่นิดเดียว
สร้างความหายนะให้กับชาติอย่างไม่รู้จักจบสิ้นยาวนานถึง 77 ปีแล้ว

ความเห็นผิดดังกล่าว คือการสร้างรัฐธรรมนูญ
เพื่อที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตย ไม่มีประเทศไหนในโลกเขาทำกัน
การสร้างระบอบประชาธิปไตยด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ร้อยครั้งพันฉบับ
ก็ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นมาในประเทศ
ดังนั้นปัญญาชนทั้งหลายนำไปตรองดูเถิด แล้วก็อย่างแดกดัน อย่าโกรธ
อย่าพาลกัน อย่าทำร้ายกัน ขอให้สู้กันด้วยสันติ ด้วยปัญญาจริงๆ
ขอให้มีความตั้งใจกันจริงๆ
ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของชาติร่วมกัน

ท่านทั้งหลายโปรดเข้าใจว่าสรรพสิ่งย่อมมี เนื้อหากับรูปแบบ
เนื้อหาต้องมาก่อนรูปแบบเสมอไป ความเห็นย่อมมาก่อนความคิด
ความคิดย่อมมาก่อนการพูดและการกระทำ เช่น เราคิดวางแผนสร้างเครื่องบิน
สร้างตึก ฯลฯ เมื่อทำเสร็จแล้วรูปแบบจึงมาทีหลัง ก็เช่นเดียวกัน
การสร้างระบอบฯ หรือหลักการปกครอง
ก็คือการนำเนื้อหาสาระสำคัญจากความเป็นมาของชาติจากลักษณะพิเศษของชาติ
อันเป็นแก่นแท้ของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และธรรม
ที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ร่วมกัน เช่น หลักเสรีภาพบริบูรณ์
หลักความเสมอภาค หลักภราดรภาพ หลักเอกภาพ หลักดุลยภาพ หลักนิติธรรม
เป็นต้น อันเป็นเหตุให้เกิดความยุติธรรมต่อปวงชนในชาติ

การสถาปนาระบอบ คือการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมขึ้นมาก่อน
สำหรับประเทศไทยแล้วมีเพียง
พระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่แห่งองค์พระมหากษัตริย์ เท่านั้น

ผู้เขียนเห็นว่า ความเห็นผิดของคณะผู้ปกครอง
และระบอบการเมืองปัจจุบัน
เป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงต่อพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่
ที่จะดำเนินการสืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7
ที่พระองค์ทรงวางแผนการสถาปนาการปกครองโดยธรรม ค้างคาไว้

ดังนี้แล้ว พวกเราพสกนิกรทั้งหลาย ผู้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ ช่วยกันส่งเสียงเรียกร้อง ผลักดันด้วยปัญญาอย่างสันติ
"ทรงพระเจริญ สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม" "ทรงพระเจริญ
สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม" "ทรงพระเจริญ สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม"
เปล่งเสียงก้องทั่วทั้งแผ่นดิน การเปลี่ยนไปสู่การเมืองใหม่โดยธรรม
ก็จะเกิดขึ้นได้อย่างสันติสู่การสร้างสรรค์ชาติอย่างยิ่งใหญ่ต่อไป
นำไปตรองดูด้วยปัญญาเถิด

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000073410

การตั้งบริษัทลูกของ ร.ฟ.ท. : จุดเริ่มต้นแห่งการแปรรูป

การตั้งบริษัทลูกของ ร.ฟ.ท. : จุดเริ่มต้นแห่งการแปรรูป
โดย สามารถ มังสัง 29 มิถุนายน 2552 15:27 น.
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา สหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทย
ได้ทำการประท้วงรัฐบาลด้วยการหยุดเดินรถร้อยกว่าขบวน
และเป็นเหตุให้ผู้โดยสารนับแสนคนได้รับความเดือดร้อน ทั้งการรถไฟฯ
เองก็ได้รับความเสียหายจากการสูญเสียรายได้ประมาณ 5 ล้านบาท

แต่อย่างไรก็ตาม การประท้วงดังกล่าวได้ยุติลงในวันรุ่งขึ้น คือ
วันที่ 24 มิถุนายน หลังจากที่ได้มีการเจรจากับพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
และได้คำตอบว่า จะมีการทบทวนมติ ครม.เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ตามที่สหภาพฯ
ร้องขอ

อะไรคือเหตุให้สหภาพฯ ประท้วงมติ ครม.ดังกล่าว
และถ้าปล่อยให้รัฐบาลดำเนินการโดยไม่มีการทบทวน
จะมีผลกระทบในส่วนของพนักการการรถไฟฯ และประชาชนโดยรวมอย่างไร?

ในประเด็นแรกที่ว่า
อะไรคือเหตุให้พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยทำการประท้วงเข้าใจได้ไม่ยาก
เพียงแต่นำรายละเอียดของมติ ครม.วันที่ 3 มิถุนายน 2552 มาศึกษา
และทำการเปรียบเทียบกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในรัฐวิสาหกิจอื่น เช่น ปตท.
เป็นต้น

มติ ครม.ในส่วนที่เป็นที่มาของความขัดแย้ง
และก่อให้เกิดการประท้วงในข้อต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. เห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ
(กนร.) ครั้งที่ 1/2552 เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552

2. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)
ดำเนินการตามที่ กนร.
เสนอเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูทางการเงินของ
ร.ฟ.ท.ดังนี้

2.1 ให้ปรับโครงสร้างการบริหารจัดการของ
ร.ฟ.ท.โดยการจัดตั้งบริษัทเดินรถ และบริษัทบริหารทรัพย์สินแยกจาก
ร.ฟ.ท.โดยให้ ร.ฟ.ท.ดำเนินการดังนี้

(1) จัดตั้งบริษัทลูก 2 บริษัท คือบริษัทเดินรถ
และบริษัทบริหารทรัพย์สินที่ ร.ฟ.ท.ถือหุ้นร้อยละ 100 ภายใน 30 วัน
นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการ
ทั้งนี้ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดทุนจดทะเบียนเริ่มต้นที่เหมาะสม

(2) พิจารณาแบ่งแยกภารกิจสินทรัพย์ และหนี้สินระหว่าง
ร.ฟ.ท.กับบริษัทลูกทั้ง 2 บริษัท รวมทั้งกำหนดกิจกรรมระหว่างกัน
และราคาให้เหมาะสม และเสนอให้ กนร.หรือคณะรัฐมนตรีเห็นชอบอีกครั้งภายใน
150 วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการ

2.2 ให้ภาครัฐรับภาระการลงทุนโครงสร้างขั้นพื้นฐานในอนาคตของ
ร.ฟ.ท.โดยให้กระทรวงการคลัง
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงบประมาณร่วมพิจารณาการรับภาระการลงทุนโครงสร้างขั้นพื้นฐานของ
ร.ฟ.ท.

2.3 ให้กระทรวงการคลัง
และสำนักงบประมาณร่วมพิจารณาในการแก้ไขภาระหนี้สินของ
ร.ฟ.ท.โดยใช้รายได้ของ ร.ฟ.ท.และบริษัทลูกจ่ายคืนเงินต้น
และดอกเบี้ยที่กระทรวงการคลังช่วยเหลือ

2.4 ให้คณะกรรมการ ร.ฟ.ท.พิจารณาเสนอกรอบอัตรากำลัง กับยุทธศาสตร์
และแผนงานของ ร.ฟ.ท.ให้กระทรวงการคลังพิจารณาเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีทบทวนมติ
ครม.เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ที่กำหนดให้
ร.ฟ.ท.งดรับพนักงานใหม่ที่เกี่ยวกับการเดินรถ
และตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิพิเศษแต่ต้องไม่เกินร้อยละ 5
ของพนักงานที่เกษียณอายุ

2.5 ให้ ร.ฟ.ท.เร่งรัดเสนอแผนการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในกิจการของ
ร.ฟ.ท.และบริษัทลูกภายใน 180 วัน
นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการ

2.6 นอกจากนี้ที่ประชุมได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมดังนี้

(1) เห็นควรให้บริษัทบริหารทรัพย์สินทำหน้าที่จัดหาเอกชนเพื่อพัฒนา
และบริหารที่ดินของ ร.ฟ.ท.โดยบริษัทจะทำหน้าที่บริหารสัญญาเช่า
(Management Agency) เท่านั้น
และขอให้บริษัทระงับการพัฒนาไปสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
(Real Estate Developer) อย่างเต็มรูปแบบในระยะที่ 2

(2) เห็นด้วยให้ ร.ฟ.ท.นำเสนอประมาณการทางการเงินที่
ร.ฟ.ท.จะใช้ในการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการของ
ร.ฟ.ท.พร้อมกับโครงสร้างองค์การของบริษัทลูกทั้ง 2 แห่งเพิ่มเติม
เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป

(3) ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความชัดเจนของความรับผิดชอบในส่วนของการลงทุนระบบ
อาณัติสัญญาณ ว่าเป็นหน้าที่ของ
ร.ฟ.ท.ที่ภาครัฐจะต้องเป็นผู้รับภาระหรือบริษัทเดินรถเป็นผู้รับภาระ
เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี

ทั้งหมดที่ยกมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมติ ครม.เมื่อวันที่ 3
มิถุนายน 2552 และน่าจะเป็นส่วนที่เป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสหภาพแรงงานการรถไฟฯ
กับรัฐบาลมากที่สุด
ทั้งนี้น่าจะอนุมานโดยอาศัยปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้

1. การจัดตั้งบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจที่ผ่านมา เช่น ปตท. เป็นต้น
จะจบลงด้วยการแปรรูป
นำหุ้นส่วนหนึ่งออกขายให้เอกชนเข้ามาถือโดยผ่านทางตลาดหลักทรัพย์ฯ

ดังนั้นเมื่อ ร.ฟ.ท.ได้เดินเส้นทางเดียวกับ
ปตท.จึงไม่มีเหตุห้ามมิให้พนักงาน ร.ฟ.ท.เข้าใจว่า
ร.ฟ.ท.กำลังเป็นไปในทิศทางเดียวกับรัฐวิสาหกิจอื่นที่เริ่มต้นด้วยการตั้ง
บริษัทลูก และจบลงด้วยการแปรรูป

2. ความเข้าใจของพนักงาน
ร.ฟ.ท.ใช่ว่าจะเกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอยไร้เหตุผล
หรือเนื่องมาจากความกลัวการสูญเสียความเป็นรัฐวิสาหกิจเมื่อมีเอกชนเข้ามามี
บทบาทในองค์กรด้วยการถือหุ้น
หรือรับภาระในการบริหารกิจการขององค์กรในรูปของการได้รับสัมปทาน

แต่เกิดจากข้อความบางตอนในมติ
ครม.เองที่ส่อเค้าว่าจะต้องเดินไปสู่ทิศทางการแปรรูปในที่สุด
จะเห็นได้ในข้อ 2.2
ที่ว่าให้ภาครัฐรับภาระการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานซึ่งหมายถึงรางและอุปกรณ์
ที่เกี่ยวกับการเดินรถ
รวมไปถึงสถานีอันเป็นการเปิดช่องให้เอกชนเข้ามาลงทุนสัมปทานเดินรถโดยลงทุน
ตัวรถ ในทำนองเดียวกับรถไฟฟ้าของ รฟม.

นอกจากนี้ ในข้อ 2.6 (1)
ก็ค่อนข้างจะส่อเค้าว่าเป็นการเปิดช่องให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในกิจการของ
บริษัทลูกที่ ร.ฟ.ท.ตั้งขึ้นแน่นอน

3. นอกจากการเปิดช่องให้เอกชนเข้ามามีส่วนบริหารจัดการในกิจการแล้ว
ยังมีประเด็นที่ทำให้พนักงานมองเห็นการสูญเสียประโยชน์
และอำนาจการต่อรองจากการที่มติ ครม.เห็นชอบให้มีการลดจำนวนพนักงานลง
ในส่วนของ ร.ฟ.ท.และเปิดทางให้บริษัทลูกมีบทบาทเพิ่มขึ้นซึ่งหมายถึงว่าถ้าเอกชนเข้ามา
มีส่วนในการจัดการมากขึ้นเท่าใด กำลังของพนักงานก็อ่อนลงมากเท่านั้น

ส่วนประเด็นว่า ถ้าปล่อยให้กิจการของ ร.ฟ.ท.เป็นไปตามมติ
ครม.และสุดท้ายจบลงด้วยการแปรรูป
ประชาชนโดยรวมได้รับผลกระทบอะไรหรือไม่นั้น
มองเห็นได้ชัดเจนและทันทีก็คือ
ราคาค่าโดยสารและบริการบรรทุกสิ่งของน่าจะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน
เพราะเอกชนทำธุรกิจจะต้องมุ่งแสวงหากำไร

ถ้าต้องแบกรับราคาเพิ่มก็พอจะรับได้หากคุณภาพของการให้บริการดีขึ้น
กว่าเดิม แต่ใครจะรับประกันในเรื่องนี้
เพราะการที่เอกชนเข้ามาดำเนินการก็มิได้หมายความว่าจะทำให้คุณภาพการให้
บริการดีขึ้น ขอให้ดูรถร่วม ขสมก.เป็นตัวอย่าง
ราคาแพงขึ้นแต่คุณภาพก็แตกต่างไปจากรถของ ขสมก.เอง

ด้วยเหตุนี้ ถ้ารถไฟฯ
ไปอยู่ในมือของเอกชนภายใต้การดูแลของกระทรวงคมนาคมที่มักจะมีนักการเมือง
เข้ามาแสวงหาประโยชน์ในทุกยุคทุกสมัย ใครจะรับประกันได้ว่าจะดีขึ้น

ดัง นั้น จึงขอฝากไปถึงรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีว่า
การตั้งบริษัทลูกของ ร.ฟ.ท.วันนี้ยังไม่มีการแปรรูป
แต่กล้ารับประกันหรือไม่ว่าวันหน้าจะไม่มีการแปรรูปเหมือน ปตท.


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000073433

ยางก้อนถ้วยอีกทางเลือกของชาวสวนยาง

ยางก้อนถ้วยอีกทางเลือกของชาวสวนยาง

อุตสาหกรรม "ยาง" ในขณะนี้มีการ เปลี่ยน แปลงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยใน
ช่วงปีที่ผ่านมา ไทยมีการส่งออก ผลิตภัณฑ์ ยางพารา 2.8 แสนตันคิดเป็น
มูลค่า 54,300 ล้านบาท ขณะที่ส่งออก ยางดิบ ยางแทง น้ำยางข้น และอื่นๆ
2.35 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 74,600 ล้านบาท อย่างไรก็ตามถึงแม้จะ
มีการส่งออก ทั้งผลิตภัณฑ์และยางดิบปีหนึ่งจำนวน หลายร้อยล้านบาท
"เรายังต้องทำการ พัฒนา ในเรื่องของสายพันธุ์ รวมไปถึง
การพัฒนาเทคนิคการกรีดน้ำยาง" เพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่มากขึ้น
อย่างประเทศมาเลเซีย ขณะนี้เขาเริ่มใช้เทคนิคกรีดยางด้วยการ เจาะ อัดแก๊ส
ซึ่งทำให้ได้ น้ำยางที่มีความสะอาด แถมยังได้ปริมาณน้ำยางมากขึ้น
แต่ใช้แรงงานน้อยลง ที่สำคัญยืดอายุ การใช้งานของต้นยางพาราได้ถึง 50 ปี
จากเดิมที่ได้เพียง 25 ปีซึ่งหากไทยเราจะใช้เทคนิค นั้นบ้าง
ก็ต้องมีการตกลงกัน เพราะว่าประเทศดังกล่าว
เขาได้ทำการจดลิขสิทธิ์เอาไว้แล้ว การผลิตยางก้อนถ้วย (Cuplump)
จึงน่าจะเป็นอีกทางเลือกของชาวสวนยาง ในบ้านเรา นายประสาท เกศวพิทักษ์
ผู้อำนวย การสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร เผยในเรื่องนี้ว่า
"ยางก้อนถ้วยเป็นการ แปรรูปยาง แบบใหม่ ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่
ต้องการของ โรงงานอุตสาหกรรม ที่แต่ เดิมจะรับซื้อขี้ยางเพื่อมา
ผลิตยางแท่ง แต่เมื่อทางกรมมีการส่งเสริม ให้ชาวสวน ทำยางก้อนถ้วย
ซึ่งมีจุดเด่นคือสะอาด มีสิ่งเจือปนน้อยมาก ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าว
มีผลทำให้ต้นทุนการผลิตยางแท่งลดลง" ด้วยเหตุนี้ นายเนวิน ชิดชอบ
รมช.กระทรวงเกษตรฯ จึงได้ให้กรมไปดูความพร้อม
อีกทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถผลิตยางดังกล่าวได้
เพื่อเร่งเปิดตลาดในจังหวัดสงขลา
และสุราษฎร์ธานีเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีเพียงตลาดนครศรีธรรมราชที่เดียวเท่านั้น
สำหรับวิธีการผลิต จะต้องเตรียมกรดฟอร์มิกเจือจาง ทำได้โดยใช้น้ำกรด 10
ส่วนผสมน้ำ 90 ส่วน โดยการผลิต สามารถทำได้ 2 วิธีคือ วิธีที่ 1
หยอดกรดแล้วปล่อยให้จับตัว ตามธรรมชาติ ซึ่งจะใช้เวลา 2 วัน

เริ่มแรกให้กรีดยางเพื่อเตรียมน้ำเลี้ยงเซรุ่มหยอดน้ำ กรดเจือจางประมาณ
12-15 ซีซี/ต้น ลงในถ้วยที่มีน้ำเลี้ยงเซรุ่ม ลอกขี้ยางเส้นออกแล้วกรีด
อีกครั้ง อย่าให้ขี้ยางที่กรีดตกลงไปในถ้วย กรีดไปจนครบแปลง
แล้วกลับมาแคะ ยางก้อน ที่จับตัวขึ้นเสียบกับลวด หนวดแมว
ที่เกี่ยวถ้วยยาง เริ่มกรีดใหม่ เหมือนครั้งแรกจนครบแปลง กลับมาเก็บ
ยางก้อนที่เสียบไว้ครั้งแรก ใส่กระสอบปุ๋ย หรือถุงตาข่ายไนลอน
แล้วนำมาผึ่งเกลี่ย บนแคร่ ในร่มเพื่อไม่ให้ก้อนยางติดกัน รอจำหน่าย
ส่วนยางที่กรีดไว้ ปล่อยให้ จับตัวเป็นก้อนถ้วย รอมาเก็บในวันกรีด ถัดไป
วิธีที่ 2 หยอดน้ำกรดแล้วคน โดยเริ่มแรกลอกขี้ยางเส้นออกจาก
หน้ากรีดเก็บใส่ภาชนะ เช็ดถ้วยยาง ให้สะอาดก่อนรองน้ำยาง กรีดยาง
ตามปกติจนครบทั้งแปลง เมื่อน้ำยาง หยุดไหล หยอดน้ำกรด 12-15 ซีซี/ต้น
แล้วคนให้เข้ากัน ปล่อยให้น้ำยางจับตัว ในถ้วย
เสร็จแล้วแคะยางเกี่ยวเสียบ ไว้ที่ลวด 1 วัน หลังจากนั้นจึงเก็บใส่ถุง
ตาข่ายไนลอน แล้วนำมาผึ่งเกลี่ยบนแคร่ ในร่ม เพื่อไม่ให้ก้อนยางติดกัน
รอจำหน่าย วิธีนี้เหมาะจะใช้ในฤดูฝนหรือในพื้นที่มีฝนตกชุก
ซึ่งจะใช้เวลาและแรงงาน มากกว่าวิธีแรก แต่มีข้อดีคือ น้ำยางจับตัวภายใน
1 ชม.หลังคนเสร็จ.

เพ็ญพิชญา เตียว

ชักชวนให้หัวเราะรักษาเบาหวานกดน้ำตาลในเลือดไว้ไม่ให้สูงได้

ชักชวนให้หัวเราะรักษาเบาหวานกดน้ำตาลในเลือดไว้ไม่ให้สูงได้

พิสูจน์ให้ได้เห็นคุณของการหัวเราะให้เห็นกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อศึกษาพบว่า
ชั่วแต่ ได้หัวเราะ สนุกสนานหลังอาหาร สามารถช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ของผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ให้ขึ้นสูงได้ ซึ่งอาจจะมีการนำไปใช้ประโยชน์
ในการรักษา โรคอันทรมานชาวโลกเป็นจำนวนมากต่อไป
คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยซึคุบาของญี่ปุ่น
ได้พบด้วยความประหลาดใจในการศึกษาวิจัยว่า คนไข้โรคเบาหวานแบบที่ 2
ซึ่งเป็นโรคเบาหวานแบบที่เป็นกับคนตามชาติต่างๆ เป็นอันมาก
หากได้ชมรายการตลก
ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหารแทบจะไม่ขึ้นสูงเลยแม้แต่กับคน แข็งแรง
สมบูรณ์เป็นปกติดีด้วย ดร.เคอิโก ฮายาชิ ผู้เป็นหัวหน้าคณะวิจัยกล่าวว่า
ผู้ป่วยเบาหวาน มักจะต้องวิตกกังวลกับการ ควบคุมอาหาร ออกกำลัง
และคอยระวังรักษาระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือดให้พอดีและก็ ทราบกันดีว่า
ความเครียดทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้ "หากว่าการมีอารมณ์เบิกบานจากการ
หัวเราะสนุกสนาน ช่วยให้ระดับน้ำตาลลดต่ำลงได้ ทั้งคนไข้และหมอต่าง
ก็ต้องคำนึงเห็น ความสำคัญของการช่วยยกสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตขึ้น
เราจึงควรมาหัวเราะกันให้มากขึ้น"
โรคเบาหวานเป็นโรคที่บั่นทอนสุขภาพของผู้คนอย่างกว้างขวาง
และยังเป็นช่องทางให้กับโรค แทรกต่างๆ อย่างเช่น โรคตับ
โรคหัวใจและโรคตาได้อีกด้วย
เคยมีการศึกษาวิจัยให้เห็นถึงคุณของการหัวเราะ
ช่วยต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บต่างๆมาก่อน มากมาย รวมทั้งยังได้พบว่า
ยังช่วยให้ความดันโลหิตต่ำและให้มีการหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน
ซึ่งทำให้รู้สึกเป็นสุขสดชื่น เลือดลมเดินดี บำรุงหัวใจ ระบบประสาท
และระบบภูมิคุ้มโรคด้วย.

สาธารณสุข เผยวัยรุ่นไทยตั้งท้องปีละกว่า 1 แสนคน

สาธารณสุข เผยวัยรุ่นไทยตั้งท้องปีละกว่า 1 แสนคน

from MOPH-Hot news by เว็บไซต์แนวหน้า

ที่ กระทรวงสาธารณสุข นนทบุรี นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์โสภณ เมฆธน รองอธิบดีกรมอนามัย
ศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์ธีรวัฒน์ กุลทนันท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์
ศิริราชพยาบาล และศาสตราจารย์นายแพทย์ธราธิป โคละทัต คณะแพทยศาสตร์
ศิริราชพยาบาล ร่วมกันแถลงข่าว การประชุมวิชาการ
"การสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายสุขภาพมารดาและทารก
เพื่อการดูแลภาวะคลอดก่อนกำหนด" นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวว่า
สุขภาวะอนามัยแม่และเด็กเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
จากการสำรวจเด็กไทยพบว่ามีแนวโน้มพัฒนาการลดลง จากในปี 2547
เด็กเล็กมีพัฒนาการสมวัยร้อยละ 71 ลดเหลือร้อยละ 67 ในปี 2550
ส่วนเด็กวัยเรียนมีค่าเฉลี่ยด้านสติปัญญาหรือไอคิวร้อยละ 88 จุด
ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานคือ 90 จุด นอกจากนี้
ยังพบปัจจัยที่ส่งผลต่อพัฒนาการเด็กทั้งด้านแม่และลูก
ที่สำคัญและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นคือ
มีแม่วัยรุ่นตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 ปีถึงร้อยละ 11 - 20
สูงกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนด แต่ละปีพบประมาณ 160,000 คน
การใส่ใจดูแลเด็กในครรภ์มีน้อยกว่าหญิงทั่วไป
ทำให้ประเทศไทยประสบปัญหาเด็กน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่า 2,500
กรัมประมาณร้อยละ 8 ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการคลอดก่อนกำหนด
และมีเด็กขาดออกซิเจนระหว่างคลอดร้อยละ 3 ต่อปี นอกจากนี้
อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนยังต่ำเพียงร้อยละ 25
ซึ่งล้วนเป็นปัญหาที่บั่นทอนคุณภาพเด็กไทยที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน
นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวต่อว่า เพื่อพัฒนาคุณภาพแม่และเด็กไทย
ให้เด็กมีพัฒนาการสมวัย สนองพระปณิธานของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
สยามมกุฎราชกุมาร ในปี 2552-2556
กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาแม่และเด็กไทยระยะ 5 ปี
เน้นมาตรการสังคมสร้างเด็กฉลาด เร่งรัด 3 เรื่องคือ
1.สตรีเมื่อตั้งครรภ์ให้ฝากครรภ์ทันที 2.หญิงหลังคลอดให้ลูกกินนมแม่ 6
เดือน 3.เล่าหรืออ่านนิทานให้ลูกฟังทุกวัน โดยมีอสม.เป็นแกนนำ
และพัฒนาระบบบริการให้ได้มาตรฐานโรงพยาบาลสายใยรักแห่งครอบครัว
ดูแลตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์จนถึงหลังคลอดและการเลี้ยงดูเด็ก
ขณะนี้มีโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการแล้ว 896 แห่ง ผ่านการประเมินระดับทอง
212 แห่ง 4.สนับสนุนการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้
และสมรรถนะของบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข และ 5.ประชาสัมพันธ์
สร้างกระแสสังคม
ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในการส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็ก
ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า
แต่ละปีไทยมีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 800,000 คน
โดยมีเด็กน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อยกว่า 2,500 กรัมร้อยละ 8 หรือ 64,000 คน
ในจำนวนนี้เป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด 40,000 คน
ที่เหลือเป็นเด็กที่มีปัญหาเจริญเติบโตในครรภ์ชะงักงันแต่ครรภ์ครบกำหนด
ซึ่งเด็กที่คลอดก่อนกำหนด จะมีภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูง
และต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากอวัยวะสำคัญของร่างกายยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ โดยเฉพาะปอด
ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและออกซิเจน
ต้องให้อาหารทางหลอดเลือดหรือทางสายยาง มีโอกาสติดเชื้อในกระแสเลือดสูง
และอาจมีปัญหาพัฒนาการล่าช้าหรือจอประสาทตาเสื่อมตามมา นายแพทย์โสภณ
กล่าวต่อว่า ในการแก้ไขปัญหาเด็กคลอดก่อนกำหนด ในวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2552
กรมอนามัยจะจัดประชุมวิชาการบุคลากรทางการแพทย์
เรื่องการสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายสุขภาพมารดาและทารก
เพื่อการดูแลภาวการณ์คลอดก่อนกำหนด ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กทม.
เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ
ได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการดูแลหญิงตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยง
และการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด ตั้งเป้าหมายปี 2552
ลดจำนวนทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม ให้ไม่เกินร้อยละ 7
และทารกแรกเกิดขาดออกซิเจนน้อยกว่าร้อยละ 3
ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดประชุมระดมสมองกุมารแพทย์และสูติแพทย์
เพื่อแก้ปัญหาเด็กน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม ได้ผลสรุปแก้ไข 3
เรื่องได้แก่ แม่วัยรุ่น โภชนาการหญิงตั้งครรภ์
และการฝากครรภ์ที่มีคุณภาพ ด้านนายแพทย์ธีรวัฒน์ กุลทนันท์
คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า การประชุมวิชาการครั้งนี้
อยู่ในโครงการเครือข่ายสุขภาพมารดาและทารก
เพื่อครอบครัวของเด็กและเยาวชนไทย ในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 โดยในวันที่ 1
กรกฎาคม 2552 เวลา 14.00 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์
พระวรชายาฯ จะเสด็จทรงเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม
พร้อมประทานโล่เชิดชูเกียรติและรางวัลบุคลากรทางการแพทย์ดีเด่น 4 รางวัล
ได้แก่ กุมารแพทย์ดีเด่น สูติแพทย์ดีเด่น พยาบาลดีเด่น
และวิชาชีพดีเด่นด้านสูติกรรม
รางวัลโครงการดูแลสตรีตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยงและทารกคลอดก่อนกำหนด จำนวน 6
รางวัล และประทานตู้อบทารกชนิดเคลื่อนย้าย แก่โรงพยาบาลลำพูน นอกจากนี้
ยังมีการปาฐกถาพิเศษเรื่อง "อสม./อสส.
ช่วยป้องกันภาวะคลอดก่อนกำหนดได้อย่างไร" โดย นายแพทย์สมยศ ดีรัศมี
อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ การอภิปราย
เสวนาทางวิชาการในหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ
การขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาเครือข่ายสุขภาพสำหรับสตรีตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยง
และทารกแรกเกิด ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการพัฒนาระบบดูแลสตรีตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยงและทารก
แรกเกิด ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น...วิกฤตของประเทศ เป็นต้น
และการแสดงนิทรรศการผลการดำเนินงานเครือข่ายสุขภาพมารดาและทารก

สธ.ชี้นิโคติลเจล ผิดกฎหมาย ยังไม่ได้รับอนุญาตจากอย.

สธ.ชี้นิโคติลเจล ผิดกฎหมาย ยังไม่ได้รับอนุญาตจากอย.

from MOPH-Hot news by ASTV ผู้จัดการออนไลน์

สธ. เผย "นิโคตินเจล"ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย. หากมีจำหน่าย
ถือเป็นยาผิดกฎหมาย ย้ำ!
หากมีการนำไปใช้เพื่อการเลิกบุหรี่ต้องมีการพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพและ
ความปลอดภัย ต้องรอการพิจารณาเพื่อขึ้นทะเบียนตำรับยาจาก อย. ก่อน
ระบุนิโคตินเจลไม่มีส่วนผสมใบยาสูบ เอาผิดตามพ.ร.บ.ยาสูบไม่ได้
เข้าข่ายเป็นยา ผลิต-นำเข้าต้องขออนุญาต ลักลอบจำหน่ายระวางโทษ
จำคุกไม่เกิน 5 ปี -ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท
พ่วงผิดพ.ร.บ.ศุลกากรโทษปรับเงิน4เท่าราคาของ -จำคุกไม่เกิน 10 ปี
หรือทั้งจำทั้งปรับ วันนี้ (29 มิ.ย.) นายวิทยา แก้วภราดัย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
กล่าวถึงผลิตภัณฑ์ชนิดที่มีส่วนประกอบของสารนิโคตินและโฆษณาว่าเป็นบุหรี่
แปลงร่าง ซึ่งมีรูปแบบผลิตภัณฑ์จะเป็นเจล ใช้ทามือแล้วถู
เพื่อให้สารนิโคตินซึมเข้าสู่ร่างกายภายใน 30 วินาที
ทำให้เกิดอันตรายได้เช่นเดียวกับบุหรี่ว่า ขณะนี้นิโคตินเจล
ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียน
หากมีการนำไปใช้เพื่อการเลิกบุหรี่ต้องมีการพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพและ
ความปลอดภัย ซึ่งต้องรอการพิจารณาเพื่อขึ้นทะเบียนตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและ
ยา (อย.) ก่อน เนื่องจากหากหลงเชื่อซื้อมาใช้อาจไม่ได้รับประโยชน์
เพราะไม่ทราบว่าร่างกายจะได้รับนิโคตินในปริมาณเท่าใด ทำให้เสียเงินฟรี
นายวิทยา กล่าวต่อว่า
การใช้ยานิโคตินทดแทนที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่ามีประโยชน์และมี
ประสิทธิภาพสูงในการเลิกสูบบุหรี่ ในต่างประเทศมีอยู่ 6 แบบ ได้แก่
หมากฝรั่งเคี้ยวนิโคติน แผ่นปิดผิวหนังนิโคติน นิโคตินชนิดสูบพ่นทางปาก
นิโคตินชนินสเปรย์พ่นจมูก ยาอม-นิโคติน และนิโคตินชนิดเม็ดอมใต้ลิ้น
เท่านั้น แต่สำหรับในประเทศไทยได้มีการขึ้นทะเบียนไว้เพียง 3 รูปแบบ คือ
หมากฝรั่งเคี้ยวนิโคติน แผ่นปิดผิวหนังนิโคติน และยาอมนิโคติน
ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
โดยจะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
ซึ่งรายใดตั้งใจจะเลิกบุหรี่ นอกจากใช้นิโคตินทดแทนที่กล่าวแล้ว
ยังสามารถปรึกษาสายด่วนควิทไลน์ หมายเลข 1600 ได้ ด้านนพ.พิพัฒน์
ยิ่งเสรี เลขาธิการ อย. กล่าวว่า
การใช้ยานิโคตินทดแทนอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่สำคัญได้ เช่น
ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น หัวใจเต้นแรง
ทำให้แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้หายช้า
จึงมีข้อห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติทางหัวใจและหลอดเลือด หัวใจวาย
หัวใจเต้นผิดปกติ โรคความดันโลหิตสูง และผู้เป็นโรคแผลในทางเดินอาหาร
และยังมีอาการข้างเคียงอื่นอีก เช่น ทำให้มึนงง ปวดศีรษะ คลื่นไส้
อาเจียน มีผลต่อการได้ยิน และการมองเห็นด้วย
หากผู้บริโภคท่านใดพบการจำหน่ายบุหรี่ในลักษณะนิโคตินเจล
สามารถแจ้งร้องเรียนมาได้ที่ สายด่วน อย. โทร. 1556 ตลอด 24 ชั่วโมง
นพ.สมาน ฟูตระกูล โฆษกกรมควบคุมโรค
และผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องร้องเรียนบุหรี่และสุรา กล่าวว่า
บุหรี่แปลงร่างหรือนิโคตินเจล ไม่มีส่วนผสมของใบยาสูบ
จึงไม่เข้าข่ายเป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบ
ตามนิยามของพ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบพ.ศ.2535
ทำให้ไม่สามารถใช้พ.ร.บ.ฉบับนี้ในการควบคุมการผลิต การนำเข้า
การโฆษณาและการจำหน่ายได้ แต่เนื่องจากการติดสารนิโคตินถือว่าเป็นโรค
สารนิโคตินในบุหรี่แปลงร่าง จึงถือเป็นยาตามพ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ดังนั้น
หากจะมีผลิต ขาย หรือนำเข้า
จะต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) นพ.สมาน
กล่าวต่อว่า ขณะนี้ไม่สามารถนำผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เข้ามาในประเทศไทยเนื่องจากยังไม่ได้รับ
ใบอนุญาตจากอย. ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 1
หมื่นบาท อีกั้ง ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา หากมีการผลิต ขาย
หรือนำเข้าต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5
พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้
หากจะมีการวางจำหน่ายก็เป็นการลักลอบนำเข้า
ซึ่งมีความผิดตามพ.ร.บ.ศุลกากรพ.ศ.2469 มาตรา 27
ที่ห้ามไม่ให้ผู้ใดนำหรือพาของที่ยังมิได้เสียค่าภาษีหรือของต้องห้าม
หรือที่ยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในประเทศ ฝ่าฝืนปรับเป็นเงิน
4 เท่าราคาของ หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปีหรือทั้งปรับทั้งจำ
"บุหรี่ชนิดนี้ยังไม่สามารถนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยได้
เนื่องจากอย.ยังไม่อนุญาต
การวางจำหน่ายที่ถูกต้องตามกฎหมายจึงไม่สามารถกระทำได้
หากพบว่ามีการวางจำหน่ายก็เป็นการลักลอบนำเข้า ถือเป็นสินค้าเถื่อน
และถ้าจะมีการผลิต นำเข้า ขาย โฆษณาจะต้องขออนุญาตก่อนทุกขั้นตอน
ส่วนมาตรการควบคุมที่ต้องดำเนินการต่อไป คือ
ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ อย. กรมควบคุมโรค
และกรมศุลกากร เพื่อควบคุมป้องกันผลิตภัณฑ์บุหรี่เจลหรือบุหรี่แปลงร่างนี้"นพ.สมานกล่าว

แนะกินน้ำมันปลาคุมจังหวะหัวใจป้องกันเต้นระรัวจนเกิดวางวาย

ถ้าหากกลัวโรคหัวใจเฉียบพลันและต้องการป้องกันเอาไว้
ควรจะกินปลาที่มีน้ำมันอย่างปลาซัลมอนหรือทูน่าเป็นประจำ อาทิตย์ ละสัก 2
ครั้ง เพราะมีการค้นคว้าศึกษาพบหลักฐานว่า น้ำมันโอเมกา-3
ที่มีอยู่ในปลาเหล่านี้ สามารถช่วยหยุดยั้งอาการหัวใจเต้นผิดปกติ
ซึ่งไปทำให้เกิดโรคหัวใจเฉียบพลัน
คณะนักวิจัยของโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดอันมีชื่อเสียงของสหรัฐฯ
ได้พบในการศึกษาวิจัยกับหนูและได้รู้ชัดว่า น้ำมันในปลาพวกนี้
ช่วยป้องกันรักษาหัวใจได้
เพราะได้เห็นจากการนำเซลล์หัวใจของลูกหนูในท้องแม่
มาตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์พบว่าเซลล์เหล่านั้นได้กระจุกตัวกันแน่น
รวมตัวเต้นได้พร้อมกันอย่างเป็นจังหวะ แบบเดียวกับหัวใจจริงๆ
เมื่อตรวจพิจารณาเซลล์แต่ละตัวได้พบว่า
มีสารประกอบในตัวรวมกันอยู่หลายชนิด รวมทั้งน้ำมันโอเมกา-3
ซึ่งเชื่อว่าช่วยให้หัวใจไม่เต้นผิดจังหวะ
เนื่องจากมันไปช่วยกำจัดกระแสของโซเดียมและแคลเซียมในหัวใจ ที่ล้นเกินออก
เพราะประจุไฟฟ้าที่สูงเกินอาจเป็นชนวนทำให้หัวใจเต้นรวน
คณะนักวิจัยได้รายงานผลการวิจัยอยู่ในวารสารของแพทย์สมาคมอเมริกันว่า
"จากการทดลองกับสัตว์
แสดงว่ากรดไขมันจากปลาได้ซึมอยู่ตามเยื่อหุ้มเซลล์หัวใจ
และสามารถกันหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งมีอันตรายถึงแก่ ชีวิตได้".

สาวไม่ตั้งใจท้อง รู้ตัวก็สายเกินเหตุจากคุมกำเนิดไม่ถูกวิธี

งานวิจัยในฝรั่งเศสพบว่าแม้ผู้หญิงจะใช้การคุมกำเนิดป้องกันการตั้งครรภ์
แต่หลายรายเป็นวิธี ที่ไม่เหมาะกับตัวเอง บางรายลืมกินยาคุม
จึงทำให้ตั้งท้องโดยไม่ได้วางแผนมาก่อน

ดร.นาตาลี บาจอส และคณะจากโรงพยาบาล เดอ บีแซตร์ ในปารีส
สำรวจผู้หญิงเกือบ 3 พันคนทั่วฝรั่งเศส พบว่า ผู้หญิง 1,034
รายตั้งท้องโดยไม่ได้คาดหมายมาก่อน ครึ่งหนึ่งตัดสินใจทำแท้ง
และในจำนวนนี้ 65 เปอร์เซ็นต์มีการคุมกำเนิด โดย 21 เปอร์เซ็นต์ใช้ยาคุม
21 เปอร์เซ็นต์ใช้วิธี "ตามธรรมชาติ" 12 เปอร์เซ็นต์ใช้ถุงยางอนามัย
และอีก 9 เปอร์เซ็นต์ ใส่ห่วงอนามัย
ผลสำรวจพบว่าส่วนใหญ่ผู้หญิงตั้งท้องเพราะเลือกวิธีการคุมกำเนิดที่ไม่เหมาะสม
ตัวอย่างเช่น 60 เปอร์เซ็นต์ของคนที่เลือกกินยาคุมนั้นท้องเพราะลืมกินยา
1 ใน 3 ของคน ที่ใส่ห่วงอนามัยนั้นพบปัญหาห่วงหลุด
และเกือบครึ่งหนึ่งของคนที่ใช้ถุงยางพบปัญหา ถุงยางรั่วหรือหลุด
ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าทำไมการคุมกำเนิด ที่ตนเลือกใช้นั้นถึงไม่ได้ผล
"สิ่งที่งานวิจัยครั้งนี้บอกอย่างชัดแจ้งก็คือ
บ่อยครั้งที่มีการเลือกวิธีคุมกำเนิด
ที่ไม่เข้ากันทั้งวิธีใช้และความจำเป็น" ดร.บาจอสกล่าวและชี้ว่า
อย่างเรื่องยาคุมที่มองว่า
ได้ประสิทธิภาพที่สุดนั้นก็ไม่ได้เหมาะกับผู้หญิงทุกคน
เช่นคนที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์
เป็นประจำหรือคนที่วิถีชีวิตไม่เอื้อให้กินยาคุม เป็นต้น.

มูลหมีแพนดามีประโยชน์นำมาวิจัยทำพลังงานไฟฟ้า

นักวิทยาศาสตร์ ญี่ปุ่นใกล้จะเป็นเศรษฐีแบบเหม็นๆ ในอีกไม่นานนี้
จากผลงาน การคิดค้น นำเอาอึของหมีแพนดามาเป็นวัตถุดิบพลังงานไฟฟ้าได้
ฟูมิอาคิ ทากูชิ ศาสตราจารย์เกียรติคุณแห่งมหาวิทยาลัยคิตาซาโตะ
ในโตเกียว เริ่มทดลองโครงการนำมูลแพนดา มาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าเมื่อ 5
ปีที่แล้ว โดยขอมูลหมีแพนดาจาก สวนสัตว์อูเอโนะมาทำวิจัย
เนื่องจากเขาสังเกตว่าการที่แพนดา สามารถกินใบไผ
่และย่อยสลายหน่อไผ่ที่เหนียวได้นั้น แสดงว่าต้องมีแบคทีเรียชนิดพิเศษ
อยู่ในท้องของสัตว์ชนิดนี้แน่นอน ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ
เขาจึงได้คัดเลือกแบคทีเรีย 5 ชนิดจากที่พบในมูลแพนดาราว 270 ชนิด
มาผสมขยะสดประมาณ 70-100 กก. เป็นเวลา 17 สัปดาห์
แบคทีเรียที่นำมาผสมก็มีขนาดเพียง ไม่กี่กรัมแต่ก็สามารถย่อยสลายขยะลงได้
ผลลัพธ์ที่ได้จากการย่อยสลายครั้งนั้นก็คือได้เป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์
และเหลือขยะอยู่แค่ 3 กก. จากผลที่ได้ทำให้เขาคิดต่อไปว่า
ต้องพัฒนาขึ้นไปอีกเพื่อให้ได้ก๊าซไฮโดรเจน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดต่อไป
และจะได้ผลิตพลังงานไฟฟ้าในอนาคต โดยเฉลี่ยแล้วขยะสดผสมมูลแพนดา 1 กก.
สามารถผลิตก๊าซไฮโดรเจนได้ประมาณ 100 ลิตร.

ฟังเพลง LMG03-สอดรู้สอดเห็น by แหลม มอริสัน กรุ๊ป

ฟังเพลง LMG03-สอดรู้สอดเห็น by แหลม มอริสัน กรุ๊ป



เพลงเร็วๆ มันส์ๆ เนื้อหาตรงไปตรงมา ขับร้องโดย BLACK BAMBOO
จาก แหลม มอริสัน กรุ๊ป อัลบั้ม LMG - forever king ออกมาเมื่อ ปี พ.ศ.2539

"พวกสอดรู้ ก็ยังคงมีให้เห็นเรื่อยกันทั่วไป
พวกสอดรู้ ก็ยังคงมีคนแบบนี้ให้เห็นกันมากมาย"

Michael Jackson & Slash

Michael Jackson & Slash 1995 MTV Video Awards.


จูบเย้ยจันทร์-เทวัญ ทรัพย์แสนยากร

จูบเย้ยจันทร์-เทวัญ ทรัพย์แสนยากร

เพลงบรรเลงของเทวัญ ทรัพย์แสนยากร ฟังสบายๆ รื่นรมย์ทุกลีลา กับเพลงอมตะที่มีค่าแก่การฟังตลอดกาล

เพลงบรรเลง, เทวัญ ทรัพย์แสนยากร

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ใช้เยี่ยวล้างมลพิษควันไอเสียรถสำหรับรถบรรทุกเครื่องยนต์ดีเซล

นักวิทยาศาสตร์เมืองนาฬิกาเพิ่งค้นพบของสำคัญ ที่สามารถดับกลิ่นควันไอเสียของเครื่องรถยนต์ดีเซลลงได้อย่างชะงัด ปรากฏว่ามันเป็นเยี่ยวคนนี่เอง
นักวิจัยของสถาบันปอล เชอร์เรอร์ ที่สวิตเซอร์แลนด์ ได้แจ้งว่า ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์กำจัดก๊าซพิษในไอเสียสำหรับ เครื่องยนต์ดีเซล โดยใช้สารยูเรีย อันเป็นสารประกอบอินทรีย์ อย่างหนึ่ง เป็นผลึกสีขาว มีในปัสสาวะได้สำเร็จ
เครื่องยนต์ดีเซลจะปล่อยควันไอเสียซึ่งเป็นก๊าซไนโตรเจน ออกไซด์ออกมา และมีพิษไปขับดันชั้นของก๊าซโอโซนในบรรยากาศให้ร่นสูงขึ้นไปอีก โดยที่จนป่านนี้ ยังไม่มีอุปกรณ์กำจัดมันลงได้
นายโอลิเวอร์ โครเชอร์ หัวหน้าของคณะนักวิจัยเล่าว่า เราใช้วิธีพ่นน้ำยายูเรีย ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีอันตรายและใช้ในการทำปุ๋ย เข้าไปสลายออกไซด์เหล่านั้นลง เราจะพ่นน้ำยาเป็นฟองฝอยเข้าไปในท่อไอเสีย มันจะเข้าไปแยกสลายให้เป็นแอมโมเนีย และเมื่อมันผสมกับออกไซด์ ก็จะกลายเป็นก๊าซไนโตรเจนกับน้ำ
เขายังกล่าวว่า เราเชื่อว่าจะสามารถนำเทคโนโลยีนี้ออกสู่ตลาดได้ในอีกไม่ช้านี้ ภายในเวลาไม่เกินปีครึ่ง เพราะบริษัทผู้สร้างรถบรรทุกกำลังอยากได้อยู่.

อย่าประมาทในอกุศลธรรม

     ธรรมชาติของเราที่ผ่านมา เรามักนึกมักคิดไปตามอำนาจของกิเลส ก็กิเลสมันอยู่กับเรามานานแสนนานแล้ว การที่จะพรากตัวพรากใจออกจากกิเลสจึงมิใช่เรื่องง่าย ๆ เลย แต่เราก็อาจทำได้นะ แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรามองข้ามไป เช่น การฝืนเอาชนะใจตนเองในเรื่องไม่เป็นเรื่องต่าง ๆ เรื่องฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เรื่องสุรุ่ยสุร่าย เรื่องการกินอยู่ การหลับการนอน เมื่อหัวถึงหมอน ตื่นนอนขึ้นมา สติอยู่ที่ไหน ใจเป็นอย่างไร เราเคยฝืนความเคยชินพวกนั้นมากน้อยแค่ไหน ความเกียจคร้านต่าง ๆ ที่มี นอกจากรู้ว่ามีแล้ว ได้พยายามฝืน อดทน ขยันขันแข็ง ตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนหรือไม่

     พระพุทธองค์ไม่สรรเสริญคนเกียจคร้าน ทรงสอนให้คนขยัน อุฎฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร เป็นต้น ธรรมเหล่านี้เป็นของที่จะใช้ฟาดฟันห้ำหั่นกิเลสให้ดับดิ้นสิ้นไป มิใช่เพียงรู้ ดูอกุศลในใจเฉยๆ นั่นย่อมเท่ากับเป็นการยอมรับกิเลส ยอมรับอกุศลโดยดุษฎี กิเลสย่อมไม่ลับดับหายไปไหน หากวันใดที่มันได้ช่องมีเชื้อต่อเข้าไป กิเลสอันนอนเนื่องเป็นอนุสัยเหล่านั้นก็จะกลับประทุขึ้นมาอีกครั้ง และต่อไปๆ ไม่มีหยุด เพราะเหตุมิเห็นต้นตอแห่งทุกข์และดับเหตุแห่งทุกข์นั้นได้ ดังธรรมที่ท่านพระอัสสชิ แสดงแก่ท่านอุปติสสะ หรือพระสารีบุตรสมัยยังครองฆราวาสวิสัยให้ได้ดวงตาเห็นธรรมว่า "ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเหตุและความดับไปแห่งเหตุแห่งธรรมนั้น" จงสาวหาเหตุให้เจอ อย่านิ่งเฉย อย่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกับอกุศล กับกิเลส กับความหลงเหล่านั้น

     อย่าคิดว่า มันเกิดได้เดี๋ยวมันก็ดับได้ อย่าเอาแต่ปลอบใจตัวเองด้วยความคิดเหล่านี้ แม้ว่ามันจะดูประเสริฐเลิศเลอเพียงใด มันก็มิใช่ธรรมที่เกิดขึ้นจากใจเราจริง ๆ มันเป็นธรรมสัญญา จากการบ่มเพาะปลูกฝังความคิดมา อยู่ใต้จิตสำนึกของเรา จงละเสีย อันว่าการละกิเลสนั้น เราเอาธรรมจากผู้อื่นมาละกิเลสในใจเรามิได้ ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน จงมีสติ จงอ่านตัวเองให้ออก ให้รอบรู้ในมายาแห่งจิต รอบรู้ในกองสังขารคือความปรุงแต่งทั้งปวง จงรู้ทันความหลอกลวง จงทำความเข้าใจให้มาก จงดับอกุศลเสีย อย่าเอาแต่เฝ้ามอง จงอย่าไว้ใจกิเลส จงฝืนความเคยชินเหล่านั้น จงตระหนักว่า บัดนี้เราเอาชนะใจตนเองได้กี่เรื่องแล้ว เรื่องกิน เรื่องเสพ เราฝืนได้สักกี่เรื่องแล้ว

     จงดับในสมัยอันควรดับ จงเจริญในสมัยอันควรเจริญ จงสังเกตสภาวธรรมที่อยู่ตรงหน้าตามความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา สติที่ต่อเนื่องจะทำให้ท่านเห็นธรรม สภาวธรรมอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เราหลงอะไร เราติดอะไร ตามดูให้ทันตั้งแต่มันเริ่มก่อตัวก่อสุขก่อทุกข์ขึ้นมา ด้วยสติที่ต่อเนื่องเป็นสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จนเป็นผู้ที่สามารถอยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ได้อย่างแท้จริง คือไม่อิน แล้วก็ไม่เอา ไม่เอาคือ อกุศลมันเกิดเราไม่เอา มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ จำไว้ว่า จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอกเป็นทุกข์ จงหาให้เจอว่า จิตส่งออกนอกนั้นเป็นอย่างไร หลงส่งจิตออกนอกไปยึดมั่นถือมั่นได้อย่างไร ให้ทันตั้งแต่เสี้ยววินาทีแรกที่หลงเลยทีเดียว ให้ทันจริง ๆ ให้ได้นะ ขอให้โชคดี...

เตือนดูพัฒนาการลูกช่วง1-2ปี ชี้เด็กแฝด-คลอดก่อนกำหนด เสี่ยงสมองพิการ

เตือนดูพัฒนาการลูกช่วง1-2ปี ชี้เด็กแฝด-คลอดก่อนกำหนด เสี่ยงสมองพิการ


ราชวิทยาลัย เตือนเด็กคลอดก่อนกำหนด เด็กแฝด
กลุ่มเสี่ยงสูงภาวะสมองพิการ แนะพ่อแม่สังเกตพัฒนาการลูกช่วงวัยเด็ก1-2ปี
หากเคลื่อนไหวผิดปกติ ไม่ลุกนั่ง ไม่เดิน รีบพบแพทย์

รศ.พญ.กมลทิพย์ หาญผดุงกิจ
อุปนายกราชวิทยาลัยเวชศาสตร์ฟื้นฟูแห่งประเทศไทย กล่าวว่า
ในผู้ป่วยกลุ่มสมองพิการที่มีภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งทำให้มีผลต่อการเคลื่อน
ไหวของร่างกายมีสาเหตุมาจากการเกิดภาวะที่สมองมีรอยโรคไม่ว่าจะเป็นการขาด
ออกซิเจนระหว่างการคลอด หรือการเกิดโรคทางสมอง อาทิ โรคไข้สมองอักเสบ
ฯลฯในช่วงที่สมองยังไม่พัฒนาการเต็มที่คือไม่ถึงอายุ 8 ปี
ผู้ปกครองจึงควรเฝ้าสังเกตพัฒนาการของลูกในช่วงวัยเด็กอย่างใกล้ชิด
หากไม่ลุกนั่ง ไม่เดิน
หรือมีความผิดปกติในการเคลื่อนไหวต่างจากพัฒนาการตามวัยเด็กประมาณ1-2
ปีที่ควรจะเป็น ควรรีบพบแพทย์

"ยิ่งคลอดก่อนกำหนดมากเท่าใด
โอกาสเสี่ยงที่เด็กจะมีภาวะสมองพิการจะมีมากขึ้นเท่านั้น
เช่นเดียวกับกลุ่มที่มีภาวะมีบุตรยาก มักจะถูกกระตุ้นให้ไข่ตกมากกว่าปกติ
ทำให้คลอดลูกแฝด และมักจะคลอดก่อนกำหนด ก็มีโอกาสเสี่ยงเช่นกัน
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า
เด็กที่คลอดก่อนกำหนดทุกรายหรือกลุ่มมีบุตรยากทุกรายจะมีบุตรที่มีภาวะสมอง
พิการดังกล่าว เพียงแต่ปัจจัยเหล่านี้ทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูงขึ้น
ขณะเดียวกันเด็กที่มีภาวะสมองพิการจะมีผลต่อความสามารถในการเคลื่อนไหว
ซึ่งบางรายเท่านั้นที่มีระดับสติปัญญาอ่อนร่วมด้วย"รศ.พญ.กมลทิพย์ กล่าว

รศ.พญ.กมลทิพย์ กล่าวต่อว่า
สำหรับอุบัติการณ์ของภาวะสมองพิการทำให้มีภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งประมาณ
2.4 รายของเด็กอายุ 3-10 ปีจำนวนพันราย
ในจำนวนนี้สาเหตุของการสมองพิการจากการคลอดมีประมาณ
1%ต่อทารกพันรายที่คลอดมีชีพ 86%
ของผู้ป่วยภาวะสมองพิการทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งส่วนล่างและเป็นทั้งสองข้าง
ภาวะทางสมองดังกล่าวทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อแล้วแต่จุด
หากหดเกร็งในท่อนขาก็ทำให้การเดินผิดปกติ เดินเขย่งตลอดชีวิต

"วิธีการรักษามีทั้งการทานยา และฉีด
แพทย์จะเป็นผู้เลือกว่าผู้ป่วยเหมาะกับอาการของโรคใด
ส่วนใหญ่ใช้หลายแนวทางร่วมกัน เช่น
ในรายที่มีอาการหดเกร็งกล้ามเนื้อมากอาจให้ยาทาน
หรือในรายที่เด็กจะให้ยาฉีด ซึ่งยาฉีดที่ใช้รักษาเดิมมีการใช้ สารฟีนอล
ซึ่งเป็นกลุ่มแอลกอฮอล์ วิธีการฉีดยุ่งยาก
เนื่องจากต้องปักเข็มเข้าเนื้อเพื่อหาจุดจึงค่อยฉีดยา
ซึ่งหากเป็นเด็กเล็กจะยุ่งยากมาก
ในระยะหลังวงการแพทย์มีการใช้สารโบทูลินั่มท็อกซินมาฉีดเพื่อให้กล้ามเนื้อ
คลายการหดเกร็ง โดยมีฤทธิ์ยาประมาณ 3 เดือน"รศ.พญ.กมลทิพย์ กล่าว

รศ. พญ.กมลทิพย์ กล่าวด้วยว่า
การรักษาด้วยสารโบทูลินั่มท็อกซินปัจจุบันเป็นวิธีที่ได้ผลดี
โดยเฉพาะในเด็กเล็ก แต่ต้องควบคู่ไปกับการทำกายภาพบำบัดด้วย
โดยการฉีดสารดังกล่าวจะคำนวณตามน้ำหนักของผู้ป่วย คือ 5-20
หน่วยต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หากเด็กน้ำหนัก 20
กิโลกรัมจะต้องใช้ยาประมาณ 200 หน่วยหรือประมาณ 2 ขวด
ซึ่งยาที่ใช้รักษาอยู่ในปัจจุบันนี้มีทั้งมาจาก สหรัฐอเมริกา อังกฤษ
ประมาณหมื่นกว่าบาทต่อขวด และทราบมาว่า
ล่าสุดมีบริษัทยาจากประเทศเกาหลีนำเข้าสารดังกล่าวที่มีคุณภาพเท่ากัน
แต่ราคาถูกกว่าประมาณ 30% ซึ่งเป็นโอกาสดีที่ผู้ป่วยจะเข้าถึงยามากขึ้น

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000072605

จะปฏิรูปกิจการรถไฟอย่างไร?

โดย สิริอัญญา
เมื่อไม่ต้องการและไม่ยินยอมให้มีการแปรรูปการรถไฟแห่งประเทศไทยในลักษณะ
ฉ้อฉลปล้นชาติแล้ว
จะยินดียอมรับสภาพของกิจการรถไฟและผลขาดทุนมหาศาลต่อไปหรือ?
ก็ต้องตอบว่าไม่ต้องการและไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน

กิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยต้องปฏิรูปแน่นอนเพราะปล่อยให้เป็น
แหล่งทำมาหากินของขบวนการโกงชาติโกงแผ่นดินเหมือนที่ผ่านๆ
มาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เฉพาะการนำเงินภาษีของประชาชนร่วม 70,000 ล้านบาท
และอีกประมาณ 20,000
ล้านบาทเพื่อเป็นเงินชดเชยการเกษียณก็หนักหนาสาหัสและไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน
มากพออยู่แล้ว

จะปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทยกันอย่างไร?
นี่คือปัญหาใหญ่ที่วางอยู่เฉพาะหน้า
ทั้งของรัฐบาลและของประชาชนชาวไทยทั้งปวง

เรา ต้องปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เป็นหลักของการคมนาคมทางบก
แทนที่จะให้ใช้รถยนต์เป็นหลักในการคมนาคมทางบกเหมือนที่ผ่านๆ มา 50
กว่าปีแล้ว เพราะเท่าที่เป็นอยู่นี้ก็ได้นำความหายนะมาสู่ประเทศชาติ
กระทั่งกำลังก้าวไปสู่ความเป็นทาสกันทั้งประเทศ
ซึ่งจะต้องรีบเร่งหยุดมันให้ทันท่วงที

เพราะรายจ่ายสูงสุดของประเทศไทยในวันนี้คือค่านำเข้าน้ำมันซึ่งมี
จำนวนมากกว่ามูลค่าส่งออกผลิตผลทางการเกษตรทั้งประเทศจำนวนมาก
หากเป็นกิจการหรือเป็นเรื่องของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งก็ต้องกล่าวได้ว่ามี
แต่เจ๊งกับเจ๊ง

และในจำนวนรายจ่ายที่สูงที่สุดนี้
ปรากฏว่าเป็นรายจ่ายค่าน้ำมันที่ใช้กับการขนส่งทางรถยนต์
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าหายนะของประเทศมีต้นเหตุมาจากการใช้รถยนต์เป็นหลักใน
การขนส่งทางบก ยังไม่รวมถึงผลที่เกิดขึ้นที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องก่อหนี้ยืมสินเพื่อ
ซื้อรถยนต์ จนเป็นหนี้กันตลอดชีวิต

เหตุการณ์ แบบนี้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5
ทรงชี้ให้เห็นมานานแล้ว
และทรงคิดอ่านป้องกันคนไทยลูกหลานของพระองค์ท่านไว้แล้ว
โดยมีพระบรมราโชบายกำหนดให้ใช้รถไฟเป็นหลักในการคมนาคมทางบก
และได้ทำอย่างเป็นล่ำเป็นสันตลอดรัชกาล

แต่ไอ้ลูกหลานจัญไรบางกลุ่มได้ล้มพระบรมราโชบายของพระองค์ท่านเสีย
ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1
แล้วผลักดันให้รถยนต์เป็นหลักในการคมนาคมทางบก
จนบ้านเมืองฉิบหายวายวอดดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ดังนั้นจึงต้องล้มเลิกยุทธศาสตร์รถยนต์ของพวกนักเรียนนอกหัวขี้ข้า
แล้วหันกลับไปอัญเชิญเอาพระบรมราโชบายของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5
นี้มาทำกันอย่างจริงจัง
คือขับเคลื่อนให้รถไฟเป็นหลักของการคมนาคมทางบกโดยเร็วที่สุดก่อนที่จะสาย
เกินการและเกินแก้
และต้องถือว่าเป็นวาระสำคัญแห่งชาติที่ต้องเอาจริงเอาจังและทำให้สำเร็จจง
ได้

ขั้นตอนในการปฏิรูปเป็นอย่างไรกันเล่า?

ขั้นแรก รัฐบาลต้องกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ
ปรับยุทธศาสตร์การคมนาคมใหม่ให้ใช้รถไฟเป็นหลักของการคมนาคมทางบก
หยุดรายจ่ายค่าพลังงานไม่ให้เพิ่มขึ้นและค่อยๆ จำกัดให้ลดลงเป็นลำดับๆ ไป
เพื่อการนี้ต้องทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทยปลอดจากการครอบงำแทรกแซงของขบวน
การโกงชาติของเหล่าเหลือบการเมืองทั้งหลาย
และใช้ผู้บริหารมืออาชีพที่ปรีชาสามารถและเป็นคนดีเข้ามาขับเคลื่อน
ยุทธศาสตร์รถไฟ โดยให้ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
ซึ่งจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับของนายกรัฐมนตรีคอยติดตามกำกับดูแล

ขั้นที่สอง จำแนกกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยออกเป็น 3 ส่วน คือ
ส่วนการบริหารราง สถานี และไฟสัญญาณ ส่วนธุรกิจการเดินรถ
และส่วนบริหารจัดการทรัพย์สินรถไฟ
แต่ละส่วนล้วนต้องจัดหาคนดีมีฝีมือเข้ามาเป็นคณะกรรมการบริหาร
ให้มีอำนาจหน้าที่ที่เหมาะสมแก่ภารกิจ

ส่วนการบริหารราง สถานี และไฟสัญญาณ
ให้ปรับระบบรางเป็นระบบมาตรฐาน หรือสแตนดาร์ตเกตทั่วประเทศ
ปรับสถานีขนาดใหญ่ให้เป็นศูนย์การพาณิชย์ของพื้นที่ด้วย
และก่อสร้างระบบรางให้ทั่วถึงทั้งประเทศ ทุกภาค รวมทั้งรถไฟสายวงแหวน

ให้แยกสถานีขนส่งคนกับการขนส่งสินค้า
และสถานีจอดรถท่องเที่ยวหรือรถโรงแรมไว้เป็นการต่างหาก
ทุกสถานีขนส่งสินค้าต้องจัดให้มีคลังสินค้า ระบบการขนส่งสินค้า
ที่เป็นแบบตู้คอนเทนเนอร์ ถือหลัก 2-4 ตู้คอนเทนเนอร์รถไฟ เท่ากับ 1
ตู้คอนเทนเนอร์เรือ และมีเครื่องมือการขนยกที่ทันสมัย

ในส่วนนี้รัฐจะลงทุนเอง หรือจะใช้การระดมเงินกู้จากประชาชน
หรือจะให้ต่างชาติมาลงทุนก็ทำได้ทั้งนั้นไม่เป็นปัญหาใดๆ

ส่วนการเดินรถ ต้องยอมรับให้มีการแข่งขันการเดินรถโดยเสรี
เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนทำการเดินรถได้ด้วย
โดยทั้งส่วนการเดินรถและส่วนที่ให้เอกชนเดินรถต้องจ่ายค่าเช่าราง
หรือค่าใช้รางให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทยในอัตราเท่ากัน
ยิ่งมีการเดินรถมากเท่าใด
ยิ่งเป็นการเพิ่มพูนรายได้ให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทยมากเท่านั้น

จะต้องเพิ่มประเภทการเดินรถให้ครบถ้วน คือ มีทั้งการเดินรถโดยสาร
มีทั้งการเดินรถขนส่งสินค้าเกษตร การเดินรถขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม
การเดินรถท่องเที่ยว และการเดินรถโรงแรม
ตามแบบอย่างที่กรมรถไฟปักกิ่งประเทศจีนเขาทำสำเร็จมาแล้ว

การเดินรถแต่ละประเภท ส่วนการเดินรถจะเดินเองทุกประเภทก็ได้
และต้องเปิดให้ภาคเอกชนเช่าราง เช่าที่จอด
ในการเดินรถทุกประเภทอย่างเสมอภาคกัน

ส่วนบริหารจัดการทรัพย์สิน ซึ่งมีสองชนิด คือที่ดินสองข้างทางรถไฟ
กับที่ดินส่วนที่มีไว้สำหรับหาประโยชน์บำรุงเลี้ยงรถไฟ
ตามพระบรมราโชบายของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5
จะต้องบริหารจัดการให้ได้ประโยชน์สูงสุด
โดยคณะผู้บริหารมืออาชีพและเป็นคนดี

ที่ดินสองข้างทางรถไฟให้บริหารจัดการแบบเดียวกับที่กระทรวงป่าไม้ของ
จีนบริหารจัดการปลูกต้นไม้สองข้างทาง
คือปลูกไม้ใหญ่สำหรับใช้เนื้อไม้ในอนาคต
ปลูกไม้ผลสำหรับเป็นรายได้ของท้องถิ่น
ซึ่งให้เอกชนหรือท้องถิ่นเป็นผู้ปลูกแล้วแบ่งรายได้ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย
หรือบางที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็ปลูกไม้ดอก
ไม้สวยงามเพื่อให้เกิดการส่งเสริมและเป็นทรัพยากรท่องเที่ยวของชาติเพิ่ม
ขึ้น พื้นที่ใดมีขนาดกว้างใหญ่และอยู่ในถิ่นเจริญ
ก็ให้ทำแผนใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าที่สุด
ไม่ปล่อยให้ทิ้งร้างเหมือนอย่างที่เป็นอยู่

ที่ดินส่วนที่หาประโยชน์นั้นมีสองชนิด คือ

ชนิดแรก เป็นที่สำหรับพัฒนาเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีราคาและมูลค่ามหาศาล
ดังตัวอย่างเช่นที่ดินจตุจักรหรือลาดพร้าว
แค่ไม่กี่ไร่ก็สามารถก่อให้เกิดรายได้หลายหมื่นล้านบาท
หากจัดการได้ดีทั้ง 50,000 ไร่
ผลประโยชน์รายได้ส่วนนี้ก็พอเพียงที่จะทำให้คนไทยโดยสารรถไฟฟรีทั่วประเทศ
หรือสามารถชำระหนี้การลงทุนให้หมดหนี้ได้โดยไวที่สุด

ชนิดที่สอง เป็นที่ดินที่เป็นแหล่งทรัพยากร
ไม่ว่าแร่ธาตุหรือหินสำหรับใช้ทำรางรถไฟ ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5
ทรงสำรวจและจัดวางไว้ให้เสร็จสิ้นแล้ว
ต้องนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการรถไฟแห่งประเทศไทยอย่างเต็มที่
ไม่ใช่เอาไปให้เอกชนเช่าแล้วถูกโกงถูกยึดไปดังที่เกิดขึ้นในขณะนี้
ถ้าทำเช่นนี้หินสำหรับทำรางรถไฟก็เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่แล้ว
ไม่ต้องซื้อหาให้สิ้นเปลืองและเพิ่มการลงทุน
และยังมีทรัพยากรที่เกี่ยวเนื่องอีกมากหลาย
อันจะพึงได้ประโยชน์แก่การรถไฟแห่งประเทศไทยมหาศาลด้วย

การ แบ่งส่วนบริหารจัดการการรถไฟแห่งประเทศไทยดังกล่าวคือการปฏิรูปการรถไฟแห่ง
ประเทศไทย เป็นคนละเรื่องกับการแยกสลายโอนกิจการและทรัพย์สินออกไปให้บริษัทซึ่งมี
อนาคตคือการเพิ่มทุนและนำหุ้นออกขายในตลาดหุ้นเหมือนกับ ปตท.

การปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทยตามยุทธศาสตร์รถไฟดังพรรณนามานี้คือ
ทางเอกสายเดียวที่จะพิทักษ์รักษาและฟื้นฟูบูรณะกิจการรถไฟอันเป็นพระราชมรดก
ให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูและเป็นส่วนหนึ่งในการกอบกู้บ้านเมืองให้พ้นจากวิกฤต
และหายนะจากการจ่ายค่าพลังงานน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งได้ด้วย

ยุทธศาสตร์รถไฟจะเชื่อมและยึดโยงผืนแผ่นดินแห่งมาตุภูมิของเราให้
เป็นหนึ่งเดียว อาณาประชาราษฎรสามารถเข้าถึงบริการอย่างถ้วนทั่ว
ในอัตราค่าโดยสารและบริการที่ถูกและเป็นธรรม
นี่คือยุทธศาสตร์หนึ่งในการฟื้นฟูประเทศชาติของเรา

รถไฟ ไปถึงไหน ความเจริญรุ่งเรืองย่อมไปถึงนั่น
ความรุ่งเรืองไปถึงไหน ความสงบสุขย่อมไปถึงนั่น
ขอผองเราจงมาร่วมกันสืบสานพระบรมราโชบายแห่งพระปิยมหาราชเจ้าให้อำนวย
ประโยชน์สุขแก่เพื่อนผองพี่น้องไทยและลูกหลานในอนาคตเถิด.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000073008


ใช้ระบบการปกครองของกระทรวงมหาดไทยมาใช้กับการรถไฟครับ
๑. ตั้งเป็นกระทรวงขนส่ง ให้มีสี่กรมหลักคือ กรมรถไฟ กรมรถถนน
กรมขนส่งทางเรือและกรมขนส่งทางอากาศ
๒. กรมรถไฟให้ตั้งเป็น จังหวัดรถไฟ
ในเขตจังหวัดแบบเดียวกับของกระทรวงมหาดไทย
และมีสายการบังคับเช่นเดดียวกันด้วยเช่น ผู้ว่าราชการรถไฟจังหวัด อำเภอ
และตำบล ก็ เรียกว่า ผู้บังคับการสถานีตำบลรถไฟ......
๓. วางเป้าหมายให้ทุกจังหวัดมีรถไฟครบทึกจังหวัดในปี พ.ศ. 2570
๔. ตั้งกรมรถด่วนความเร็วสูง (รคร.) โดยให้มี อธิบดี กำกับผู้ว่าราชการ
และให้วางเส้นทางให้ครอบคลุมเมืองสำคัญ คือ
ก. มักกะสัน - ระยอง -จันทบุรี
ข. หาดใหญ่ - พังงา - (ภูเก็ต) - พุนพิน ( เกาะสมุย) - นครปฐม -
นครสวรรค์ - พิษณุโลก - ลำปาง - เชียงราย
ค. นครสววรค์ - ชัยภูมิ - โคราช - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร- อุดร - หนองคาย
ถ้า ไม่คิดเรื่องรางให้จริง ๆ จัง ๆ เราจะแบกค่าน้ำมันไม่ไหว
และจะทำให้การส่ง ออกในอนาคตไม่สามารถแข่งขันราคากับต่างประเทศได้เพราะ
ต้นทุนในอุตสาหกรรมทุกชนิดต้องพึ่งพาน้ำมัน
และการพัฒนาระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลง จากแท่นใลพัดหนึ่งพันแท่น
วงาจากหน้าปัตตานี มาถึง เพชรบุรี ในทะเลอ่าวไทย

การขนส่งที่ต้องพึ่งพาทางรถยนต์ที่ต้องใช้น่ำมันจะทำให้การส่งออกของไทยพบกับจุดจบอย่างน่าเวทนา
เพราะ นักการเมืองมองไม่เห็นการณ์ไกล
นักการเมืองที่ปราชญ์เปรื่งต้องมองเห็นอนาคตในขณะที่ คนทั่วไปมองไม่เห็น
และสามารถพูดให้ประชาชนมองเห็นได้
การขนส่งทางอากาศจะมีต้นทุนที่สูงขึ้นมาก
ถ้า ประเทศจีนจะเป็นลูกค้าหลักในอีก สามสิบปีข้างหน้า ดังนั้น
การสร้างทางพิเศษ ในรูปแบบพิเศษต้องลงมือเดี๋ยวนี้
ถ้าเราจะมีระบบรางมาส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้าขายในอนาคต
เราต้องลงมือทำเดี่ยวนี้
โดยการเชื่อมต่อราง รคร. จากเชียงราย หรือ จาก หนองคาย
สามารภถไปถึงหาดใหญ่ได้และเข้าไปในจีนไกลถึงเมืองกวางตุ้งได้ เหมือน รถไฟ
ทีจีวี จาก เบลเยี่ยมไป ภาคใต้ของฝรั่งเศส และสามารถขนรถยนต์จาก กทม.
ไปถึง สิงคโปร์ได้
เมื่อเชื่อมต่อ กทม. ถึง เมืองกวางตุ้งก้เท่ากับเชื่อมต่อได้ทั่วทั้งประเทศจีน
นัก ท่องเที่ยวก็จะใช้รถ ด่วน รคร. มากกว่าเครื่องบิน
และเราสามารถขนสินค้าส่วออกไปจีนได้
และจีนสามารถส่งสินค้าไปสิงคโปร์ผ่านไทยได้ และ
เราสามารถเก็บค่าผ่านแดนในอัตรา พิเศษ ซึ่งดีกว่า ศูนย์
ท่านสามารถ อีเมล์มาปรึกษาได้ ครับ
thaivacationland7@yahoo.com
jack

รำลึกถึงกีตาร์เทพกับ "แม้เราจะไม่พบกัน" ของคาราวาน/ต่อพงษ์

ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเรามีเรื่องราวของ "พุ่มพวง ดวงจันทร์"
ที่แม้จะเสียชีวิตไปนานแล้ว
แต่เรื่องของคนเป็นทำให้การตายของเธอราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันนี้
เอง

ผมนั่งรื้อเทปเก่าๆ ในยุคเดียวกัน
ก็ไปเจอเอาอัลบั้มชุดหนึ่งที่คนที่ทำก็เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน
เพียงแต่การเสียชีวิตของเขาไม่ดังเท่าพุ่มพวง
เช่นเดียวกับความสำเร็จของเขาก็ไม่มากเท่าพุ่มพวง
แต่ความสำเร็จทางการตลาดไม่ใช่เครื่องยืนยันคุณค่าของเขา เพราะ
บุคคลผู้นี้เคยได้รับฉายาว่า "กีตาร์เทพ" มาแล้ว

ครับ..เผลอแพล็บเดียวก็ครบ 12 ปี การจากไปของ ชัคกี้ ธัญรัตน์
มือกีตาร์คนเก่งคนหนึ่งของเมืองไทยไปแล้ว

ผู้ชายร่างสูงหัวฟูที่มองระยะ 50 เมตรจะดูคล้ายๆ
พวกมือกีตาร์แอลเอร็อกจากยุค 80
ขณะที่ลีลาการเล่นเปิดตัวของเขาก็ดุเด็ดเผ็ดมันอย่างเหลือเชื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทเพลงที่ผมว่าเป็นมาสเตอร์พีซของเขาเลยก็คือ เพลง
"โลงศพ" งานเก่าๆ ของพี่หรั่ง ร็อคเคสตร้าจากชุดเทคโนโลยี
กีตาร์ของชัคกี้นั้นเด่นขนาดที่ทำให้คอลัมนิสต์ดนตรีในตอนนั้นเรียกเขาว่า
กีตาร์เทพกันละครับ

ความจริงช่วงนั้นกีตาร์ฝีมือดีในเมืองไทยมีอยู่หลายคนไม่ว่าจะเป็น
แหลม มอริสัน, วง VIP, กิตติ กาญจนสถิตย์ (กิตติ กีตาร์ปืน) วงคาไลโดสโคป
แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครที่จะสามารถผลิตงานร็อกไทยๆ
ให้ร็อกยืนได้อย่างแข็งแรง
ส่วนใหญ่จะยังวนเวียนกับการเล่นเพลงฝรั่งในยุคแคมป์จีไอ
ที่สำคัญคนร็อกเหล่านี้ทำได้แค่เหมือนต้นฉบับ(เว้นแต่คาไลโดสโคปที่มีชุดเม
ดเลย์ที่นำเพลงบีทเทิ้ลส์ เดอะ โปลิส และ ร็อด สจ็วร์ต ออกมา)

ผมจำได้ว่างานชุดเทคโนโลยี
นี่แหล่ะครับที่ทำให้คนบ้าร็อกตอนนั้นเชื่อว่าคนไทยร็อกด้วยภาษาไทยได้จริง
และโครงสร้างของเพลงที่ชัคกี้ทำไว้ตอนนั้นต้องบอกว่าเจ๋ง
เราได้ยินการจิ้มสายแบบเอ็ดดี้ แวนฮาเลน จากบทเพลงที่ชื่อ "เพลง"
แต่ที่ผมว่าสุดๆ ก็ขอยืนยันว่าเป็น
"โลงศพ"...ซึ่งเป็นโคตรแห่งความลงตัวของร็อกไทยเลยละครับ
อัลบั้มนั้นจึงเป็นการเปิดศักราชใหม่ของร็อคไทยจนทำให้มี โซดา ดิโอฬาร
โปรเจคท์ ไมโคร ฯลฯ ขึ้นมา


ยุคนั้นชื่อของชัคกี้ก็เลยเป็นความหวัง
เมื่อครั้งที่ชัคกี้ออกจากวงร็อคเคสตร้า
จริงๆแกแค่เข้าไปเล่นในห้องอัดให้ ไม่ได้อยู่ในวงนี้จริงๆ
และออกอัลบั้มเดี่ยวที่ชื่อว่า "ศรัทธา" แฟนๆ
เลยคาดหวังว่าจะได้ฟังกีตาร์ที่ดุเดือดลูกโซโล่โคตรยากและริฟฟ์มันส์ๆ
แต่เอาเข้าจริง ทั้งอัลบั้มไม่ได้มีสิ่งที่เราคิดว่าควรจะมีเลย...

จำได้ว่าเคยนึกด่าแกรมมี่ในหมู่เพื่อนเสียเยอะ
เพราะคิดว่าแกรมมี่มาทำให้กีตาร์เทพมัวหมอง
แต่สุดท้ายก็ได้แต่นึกขอโทษในใจ
เพราะไปเจอบทสัมภาษณ์ของคุณชัคกี้ถึงงานชุดศรัทธาไว้ในหนังสือวัยหวาน

"แต่จะบอกว่าตัวผมเองเป็นคนที่ชอบงานที่ทำแล้ว คือเรียบๆ
แต่มีคุณค่า ไม่ต้องเป็นเพลงที่ยากจนฟังแล้วเกร็ง
คือมีเนื้อหาสาระแต่ไม่ซีเรียสน่ะนะ" ชัคกี้กล่าว

เพราะมันเรียบไม่โชว์อะไรเลย งานมันก็เลยน่าผิดหวัง
โดยเฉพาะน้ำเสียงของเขามันค่อนข้างจะหลุดกรอบของนักร้องที่ควรจะเป็นไปเยอะ
แต่กระนั้นแววเห็นความเจ๋งเขากลับไปอยู่ในเพลง ฮิโรชิมา งานของคาราวาน
ซี่แกโซโล่เม็ดเล็กๆ กลิ่นอายบลูส์
แต่เป็นบลูส์ที่ลึกลับเจ็บปวดเข้ากับเพลงดีเหลือใจ และอีกเพลงคือ
"แม้เราจะไม่พบกัน" ก็เจ๋งสุดๆ เลย

ชัคกี้มาคัมแบ็กอีกครั้งกับงานที่มีชื่อว่า "พาฝัน" ของวง Blue
Planet ในเมษายน 2533 (จำได้ถนัดเพราะออกไปซื้อในวันเกิดผมเอง อิอิ)
งานนี้แหล่ะครับคอกีตาร์ได้ร้องฮ้อ เพราะทุกเม็ด ทุกริฟฟ์
ไปจนกระทั่งทุกท่อนที่เป็นเพลงบัลลาด
มันเต็มอิ่มสมกับที่เราคาดหวังจากความเป็นเทพของเขา
เอาว่าถ้าตอนนั้นคุณกำลังทึ่งกับ สตีฟ ไว ที่กำลังร้อนเต็มที่กับ เดวิด
ลีร็อธ แบนด์ หรือ กำลังถูกตรึงด้วยความเร็วมหานรกของ อิงวี่ เจ
มาล์มสทีน กับ วงไรซิ่งฟอร์ซของเขา
คุณก็จะต้องทึ่งกับชัคกี้และฝีมือเด็ดขาดในงานชิ้นนี้เช่นกัน
โดยเฉพาะแทร็กที่ชื่อว่า "มั่นใจ"

แต่ก็แปลกอีก เพราะงานไม่ประสบความสำเร็จในวงกว้าง ทั้งๆ
ที่ตอนนั้นวงอย่างไฮร็อคก็ดัง พิสุทธิ์ ก็ไปได้ดี
ถ้าจำไม่ผิดหินเหล็กไฟก็เริ่มมา แต่กระนั้นมันก็ทำให้คนฟังกลุ่มเล็กๆ
ตั้งความหวังกับผลงานชิ้นต่อไปของเขาอย่างยิ่ง

จำได้ว่าเคยคุยกับเพื่อนว่า ทำไมอัลบั้มมันส์ๆ อย่างนี้มีแค่ 9
เพลง เหมือนว่ามันยังอยากฟังต่อ แต่ก็ดันจบเสียแล้ว เพื่อนยังบอกว่า
สงสัยเฮียบุ๋มหรือชัคกี้ของเราจะกั๊กฝีมือไว้อีกในอัลบั้มหน้า...

เราหัวเราะกันในวันนั้น แล้วก็คอย แล้วก็หวัง
แต่ก็ไม่มีงานอะไรจากมือกีตาร์คนนี้ มันรอคอยนานขนาดว่า
รสนิยมของการฟังเพลงของผมเปลี่ยนจากเฮฟวี่ เมตัล ไปเดธเมตัล ไปพาวเวอร์
ไปฮิปฮอป ยันแจ๊ซและคลาสสิก แต่ก็ไม่ยักมีงานของแกออกมา

จะมีก็แต่ข่าวที่บอกว่า ชัคกี้ ธัญรัตน์
เสียชีวิตด้วยอาการไตวายเฉียบพลัน เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2540
หลังจากนั้นมีการจัดคอนเสิร์ตรำลึกถึงชัคกี้อีก 2
ครั้งพร้อมกับการรีมาสเตอร์งานของ Blue Planet อีกครั้ง

น่าเศร้าที่เมื่อตอนเขามีชีวิตอยู่
เขาเหมือนกับสิ่งที่ถูกลืมในสังคมดนตรีไทย
แต่พอเขาตายแล้วผมเห็นมีกระทู้ในเนตที่ว่าด้วยชัคกี้เยอะแยะไปหมด
แต่ลักษณะแบบนี้ก็มักจะเกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่กับศิลปินที่เป็น
"ศิลปินแท้ๆ" นะครับ

วันนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึงกีตาร์เทพผู้นี้ขอนำเพลงที่ผมว่าเผ็ดสุดๆของชัค
กี้ "แม้เราจะไม่พบกัน" ของวงคาราวาน
http://www.imeem.com/people/4P_UgC/music/NpYnIcfz/caravan-mae-rao-ja-mai-phob-gun/
กันดีกว่า

แล้วจะรู้ว่าฝีมือที่ชัคกี้แกทิ้งไว้ในโลกนี้ มันน่าโหยหาขนาดไหนครับ


http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000072416
------


เมื่อต้นปี 51 มีคอนเสิร์ทรำลึกถึงพี่บุ๋มที่หอประชุมเอยูเอค่ะ
แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร
อาจจะเป็นเพราะผู้จัดอ่อนประสบการณ์
หรือฝ่ายพีอาร์ไม่มีการแจ้งสื่ออื่น ๆ ก็ไม่แน่ใจ
และ่งานก็ล้มเหลวขาดทุนอย่างไม่เป็นท่า
แต่ผู้ชมคอนเสิร์ททุกคนต่างก็ดื่มด่ำกับอรรถรสทางดนตรี
ที่วงแบลคเฮด และศิลปินทั้งหลายได้จัดสรรให้
ขอแสดงความชื่นชมให้กับผู้จัดงานนั้น
รวมไปถึงแบลคเฮด พี่มัส(เดอะมัส) พี่โอ้(โอฬาร)
(พี่หมูพีค) พี่หมูคาไล พี่ป้อบลูแพลนเนท วงเดอะแลมป์
และอีกหลายท่านที่ต้องขออภัย ที่ไม่ได้เอ่ยนาม
ที่ช่วยให้มีงานดี ๆ แบบนี้ให้เราได้ดูกัน
สุราสิวะดี
------
ฟังเพลง "แม้เราจะไม่พบกัน" ครั้งแรก ก็ชอบอย่างจับใจ กับน้ำเสียง นุ่ม
ๆ ในแบบฉบับเพื่อชีวิตของน้าหงา และเนื้อหาที่กินใจ ที่สำคัญ ลูกโซโล
ที่ทำให้รู้สึกว่าโลกตอนนั้นมันหยุดหมุน

ณ ตอนนี้เมื่อมองย้อนไปตอนนั้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
ฝีมื่อด้านกีต้าร์เท่าหางอึ่ง (พึ่งรู้ตอนนี้ว่ามันไม่มีหางด้วยซ้ำ)
ทริ๊ก เทคนิค ต่าง ๆ ไม่มีเลย
ให้นึกขำว่าอาจหาญมากนะที่เผลอไปลองแกะเพลงนี้
และคิดว่าจะโซโลเพลงนี้ให้ได้

จริงอย่างว่าครับ ตอนนั้นผมรู้จักไฮร็อค(เป็นแฟนไฮร็อคครับ) รู้จัก
เจี๊ยบ และอีกหลายวงในยุคนั้น แต่ผมยักไม่รู้จัก คนโซโล่ เพลง
"แม้เราจะไม่พบกัน"
ออกด้วย

------

เคยฟังตอนโซโล อิโทร ให้เพลง ฮิโรชิมา กับวงคาราวาน

ที่หอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์ (ฟรีคอนเสิร์ต)

ทั้งกระฮึ่ม กึกก้อง แผดเสียง โหยหวน กรีดลึก บาดใจ

บอกได้ว่า ซู้ดหยอด
อ่ะ
-----

ใช่เลย ในสมัยนั้นคนที่กำลังหัดกีตาร์อยู่มีไอดอลดีๆเยอะแยะ
ขนาดไม่มีอินเตอร์เนตให้โหลดก็ยังอุตส่าห์นั่งแกะจากเทปกันได้
ถึงแม้ชุดนึงจะมีแค่สิบเพลงอย่างมากแต่กว่าจะแกะรายละเอียดได้หมดนี่เล่นเอา
เหงื่อตก พอผ่านยุคนั้นไปแล้ว ผมรู้สึกว่าเพลงมันไม่น่าฟังเลย
นานน้านจะมีมือกีตาร์ช้างเผือกโผล่มาซักคนและก็อยู่กันไม่ค่อยจะรอดเพราะ
เงื่อนไขทางการค้าเป็นหลัก ที่เห็นตอนนี้ก็มีแจ๊ค
ธรรมรัตน์ที่ค่อนข้างโดดเด่นเป็น Joe Satriani เมืองไทย
อยากให้อยู่ให้รอดนานๆจะได้มีผลงานให้รุ่นหลังๆได้แกะได้แคะกันบ้าง
hide

มนุษย์โชคดีกินเท่าไหร่ไม่มีอ้วนสงสัยไฟธาตุแรงกล้ากว่าธรรมดา

นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยลีดส์ในอังกฤษ เปิดเผยว่า
ได้พบคนที่ไม่กลัวอ้วนเข้าแล้ว ในการศึกษากับอาสาสมัครจำนวน 200 คน
บางคนสามารถกินจุกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนขึ้นแต่ อย่างใด
บางคนกินมากถึงเทียบเท่ากับได้พลังงานสูงวันละ 3,000 แคลอรี
ก็ไม่มีอาการผิดปกติ แต่อย่างใด หากเป็นคนอื่นก็ต้องอ้วนขึ้นแล้ว
พวกเขาสงสัยว่า บุคคลพวกนั้น อาจมีองค์ประกอบทางพันธุกรรม
ที่ช่วยให้การเผาผลาญ อาหารภายในร่างกายให้เป็นพลังงาน
และเนื้อหนังมีกำลังสูงเหนือกว่าคนปกติทั่วไป จึงไม่เกิด อ้วนขึ้น
คงมีน้ำหนักตัวเท่าเดิมไว้ได้.

ฟังเพลง ล่องลอย-LMG by แหลม มอริสัน กรุ๊ป

ฟังเพลง ล่องลอย-LMG by แหลม มอริสัน กรุ๊ป



เพลงซึ้งๆ ความหมายดีๆ ให้ข้อคิดบางอย่าง เพลงนี้ขับร้องโดย ประเสริฐ สิทธิพงษ์ เสียงกีตาร์ของพี่แหลม ก็น่าสนใจเช่นกัน
จาก แหลม มอริสัน กรุ๊ป อัลบั้ม LMG - forever king ออกมาเมื่อ ปี พ.ศ.2539

"อยากบอกใครให้รู้ เหตุใดใจดวงนี้ จึงล่องลอย"

พบหนทางรักษาโรคเบาหวานครั้งแรก ใช้เซลล์ของม้ามฉีดให้ผลิตอินซูลิน

วงการแพทย์พากันตื่นเต้น เมื่อพบวี่แวววิธีการรักษาโรคเบาหวานแบบที่หนึ่ง
ซึ่งต้องได้รับการ ฉีดอินซูลินให้อยู่เป็นประจำ ได้เป็นครั้งแรก
นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯได้พบหนทางวิธีการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 1
ซึ่งเกิดจากระบบภูมิ คุ้มโรคไปทำลายเซลล์ของตับอ่อน
จนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน อันจำเป็นแก่ร่างกาย
สกัดพลังงานจากกลูโคสได้
ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการฉีดอินซูลินแทนอยู่เป็นประจำ รักษาระดับ
สมดุลของน้ำตาลในเลือดไว้ ไม่เช่นนั้นอาจจะถึงกับเสียชีวิต
ในปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยอาการนี้ ทั่วโลกอยู่มากมายถึง 194 ล้านคน

นักวิจัยของโรงพยาบาลกลางแมสซาชู-เสตต์ กล่าวว่า
ได้พบหนทางจากการทดลองกับหนู ทดลองที่ถูกทำให้เป็นโรคเบาหวานแบบเดียวกัน
แล้วนำเอาเซลล์ของม้ามจากเพื่อนหนูปกติมา
ฉีดรักษาให้ตามที่เคยได้รู้มาจากการวิจัยหนก่อนว่า
เซลล์ของม้ามชนิดหนึ่งมีสรรพคุณยับยั้ง ระบบภูมิคุ้มโรค
ไม่ให้ก่อโรคขึ้นได้ และปรากฏผลว่าหนูตัวที่เป็นโรคกลับมีอาการดีขึ้น
จนร่างกายของมันกลับผลิตอินซูลินได้เองตามปกติ.

บอกเคล็ดลับป้องกันเมารถมีข้อปฏิบัติตัวอย่างง่ายหลายวิธี

บอกเคล็ดลับป้องกันเมารถมีข้อปฏิบัติตัวอย่างง่ายหลายวิธี

แพทย์โสตศอนาสิกวิทยา แนะนำวิธีป้องกัน หรือบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ
เมื่อเดินทางไปเหนือล่องใต้ ด้วยการปฏิบัติอย่างง่ายๆ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญของสมาคมแพทย์โสตศอนาสิกวิทยาของสหรัฐฯ
ได้แนะผู้ที่เมารถ เมาเรือ ได้ง่ายๆว่า
ก่อนอื่นให้เลือกนั่งในยานตรงตำแหน่ง
ที่สายตามองเห็นความเคลื่อนไหวอย่างเดียวกับที่ร่างกาย
และประสาทสัมผัสภายในช่องหูรู้สึก
ถ้าหากนั่งในรถยนต์ก็ควรเลือกนั่งข้างหน้า และมองออกไปไกลๆ
ถ้าหากนั่งเรือก็ควรมองดูไกลๆ ไปที่ขอบฟ้า และหากนั่งเครื่องบิน
ควรเลือกนั่งที่นั่งริมหน้าต่าง

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือ

@ ไม่ควรนั่งที่นั่งที่หันหน้าไปข้างท้าย และอ่านหนังสือขณะเดินทาง

@ ปรับทุกข์กับเพื่อนผู้โดยสารคนที่มีหัวอกเดียวกัน
ยามที่ตนเองก็รู้สึกไม่ค่อยดีอยู่แล้ว

@ ไม่ควรกินอาหารที่มีรสจัด มีความมัน หรือกลิ่นแรง ก่อนและระหว่างการเดินทาง.

แปลงคนโชคร้ายให้กลับโชคดี ได้ขึ้นกับความคิดตัวเอง เป็นส่วนใหญ่

แปลงคนโชคร้ายให้กลับโชคดี ได้ขึ้นกับความคิดตัวเอง เป็นส่วนใหญ่

นักจิตวิทยาเจ้าตำรับเรื่องของการมีโชคลาภ เปิดเผยตำราว่า
หากอยากเป็นคนโชคดี ก็ควรจะหัดฝึกตนให้เป็นคนมองโลกในแง่ดี
แล้วจึงจะมีโชคดีสมปรารถนา

นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยเฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ แห่งอังกฤษ
ผู้เพียรพยายามศึกษาวิจัยเรื่อง ของการมีโชคเพื่อจะค้นคว้าให้รู้ถึงว่า
เหตุใดบางคนถึงโชคดีหรือบางคนกลับ เคราะห์ร้ายชั่วนาตาปี
มาเป็นเวลานานถึง 8 ปี ได้เปิดตำราเรื่องของการมีโชคให้ฟังว่า
ไม่ใช่อยู่ที่สติปัญญาหรืออยู่ที่จิตใจ
หากแต่อยู่ที่การมองชีวิตของแต่ละคนเป็นใหญ่ และเสริมว่า
จริงอยู่คนเราไม่อาจจะบังคับทุกสิ่งได้ "แต่มันก็ขึ้นอยู่ที่วิธีการคิด
และการกระทำของเราเองอยู่มากเหมือนกัน"

เขาได้แนะนำหลักการปฏิบัติตนให้เป็นคนมีโชคที่ได้ค้นพบเอาไว้ว่า

# ผู้ที่มีโชค มักจะเป็นผู้ที่สร้างความฝันของตนเองให้เป็นความจริงขึ้นได้อยู่เสมอ

# ฝึกให้โอกาสที่จะเกิดสิ่งดีกับตนให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น
ด้วยการคิดสร้างขึ้น การสังเกตและการกระทำกับโอกาสครั้งต่างๆ

# ควรฟัง "ความรู้สึกคึก" และเชื่อในความรู้สึกสังหรณ์ที่มีต่อคน
หรือสถานการณ์อันใดอันหนึ่งของตนเองไว้บ้าง

# เผชิญหน้ากับโชคร้ายเข้าไว้ และลองเทียบเคียงดูว่า
ถึงคราวร้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร หรือไม่ก็พินิจ พิจารณาว่า
ควรจะแก้ไขปัญหานั้นอย่างไรดี

ดร.ริชาร์ด ไวส์แมน นักจิตวิทยาเจ้าตำรับ ได้เคยเปิด
"โรงเรียนของคนมีโชค" เพื่อเป็นการศึกษาวิจัย
ทดสอบดูว่าจะสามารถฝึกอบรมตามหลักการที่ค้นพบ
แปลงให้คนโชคร้ายกลายเป็นคนโชคดีขึ้น ได้สำเร็จหรือไม่
ได้มีผู้เข้ารับการอบรมประมาณ 70 คน เขาได้ประเมินผลเองว่า เชื่อว่า
ทำให้ลูกศิษย์เปลี่ยนเป็นคนโชคดีได้สำเร็จไปประมาณ 80%
และคนเหล่านั้นก็ยังคงมีโชคอยู่เมื่อจบออกจากโรงเรียนไปแล้ว.

มหัศจรรย์สมุนไพรไทยต้านโรคคนเมือง..อยู่หมัด

From: ปลา ทะเล
Date: 2009/6/28
Subject: มหัศจรรย์สมุนไพรไทยต้านโรคคนเมือง..อยู่หมัด


คนสมัยนี้เป็นอะไรนิดหน่อยก็ชอบกินยา แถมยังเชื่อผิดๆว่า
อยากมีสุขภาพดีชีวิตยืนยาว ต้องโด๊ปอาหารเสริม และวิตามินเยอะๆ

เจ้าแม่วงการอาหารเมืองไทย "คุณหรีด-รพีพรรณ เหลืองอร่ามรัตน์"
ยืนยันจากประสบการณ์ทั้งชีวิตว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรจะมหัศจรรย์เท่ากับสมุนไพรไทย...เชื่อคุณหรีด!!
ทั้งราคาถูก ปลูก เองก็ง่าย และเป็นยาสามัญประจำบ้าน
ที่ต้านโรคภัยได้สารพัดนึก.

โรคมะเร็ง

ถือ เป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยสูงเป็นอันดับสาม รองจากโรคหัวใจ
และอุบัติเหตุ เกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์,
ความบกพร่องทางพันธุกรรม, สิ่งแวดล้อม, อาหาร รวมถึงความเครียด และการใช้
ชีวิตเร่งรีบของคนเมือง "มะเร็ง" กลัวสมุนไพรไทย อยู่หลายตัวค่ะ
เพราะมีสารอาหารต้านโรคร้ายได้น่าทึ่ง ใครอยากห่างไกลมะเร็ง แนะนำให้ทาน
กระเทียม และผักจำพวกหอม ซึ่งอุดมด้วยซัลเฟอร์
ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต้านทานมะเร็งโดยธรรมชาติ ขณะที่
ผักจำพวกกะหล่ำปลี มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้
และช่วยต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วน ขมิ้นขาวและขมิ้นชัน
นอกจากจะมีสรรพคุณขับลมในลำไส้แล้ว ยังมีสารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ด้วย
สำหรับสาวๆควรทาน ผลไม้จำพวกส้ม เป็นประจำ เพราะช่วยล้างสารก่อมะเร็ง
และยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม

แพทย์ทางเลือกยังได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของ มะรุม สมุนไพรไทยแท้ๆ
ว่ากันว่า หากทานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
โดยคนเฒ่าคนแก่นิยมกินมะรุมช่วงต้นฤดูหนาว
เพราะเป็นช่วงที่ฝักมะรุมหาได้ง่าย
วิธีทานมีทั้งการนำช่อดอกมะรุมไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก หรือนำยอดมะรุม,
ใบอ่อน, ช่อดอก และฝักอ่อนมาลวก หรือต้มให้สุก จิ้มทานกับน้ำพริก
หรือจะใช้ยอดอ่อนและช่อดอกทำแกงส้ม ก็อร่อยดี มีประโยชน์
ยังมีการวิจัยด้วยว่า คนที่ทำคีโมรักษามะเร็งควรดื่มน้ำมะรุม
ช่วยลดอาการแพ้รังสีได้ดี.

โรคเบาหวาน

คน อ้วน คือกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน อาการบ่งชี้ ได้แก่
มีปริมาณกลูโคสในเลือดสูง เนื่องจากความผิดปกติในการทำงานของอินซูลิน,
ปัสสาวะบ่อย, กระหายน้ำรุนแรง, น้ำหนักลด, อ่อนเพลีย,
อยากอาหารมากกว่าปกติ, ติดเชื้อง่าย,
มีอาการแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคไต และมีปัญหาทางสายตา
การรักษาโรคเบาหวานอย่างได้ผล ต้องทำควบคู่กับการวางแผนทางโภชนาการค่ะ
โดยสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ต้านเบาหวาน มีอาทิ มะแว้งเครือ และมะแว้งต้น
ช่วย รักษาโรคเบาหวาน, บำรุงเลือด และขับปัสสาวะ รวมทั้งรักษาโรคไต
ฟักทอง ช่วยป้องกันมะเร็งในปอด, ป้องกันเบาหวาน และคุมน้ำตาลในเลือด
ตำลึง มีสรรพคุณเป็นยาดับพิษภายในร่างกาย, ลดอาการไข้
และเป็นยาระบายอ่อนๆ ผลดิบของตำลึงนำมาปรุงเป็นอาหารช่วยรักษาเบาหวานได้
ผักบุ้ง ไม่ได้ทำให้ตาหวานอย่างเดียว แต่ยังบำรุงกระดูก,
ลดไข้และแก้เบาหวาน ส่วน มะระขี้นก เชื่อว่าช่วยบำรุงน้ำดี,
แก้โรคตับอักเสบ และป้องกันโรคเบาหวาน แม้แต่ มะรุม
ก็มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวานด้วยเช่นกัน.

โรคอ้วน

คน อ้วนมีความเสี่ยงเป็นโรคสารพัด ทั้งเบา-หวาน, มะเร็ง,
ความดันโลหิตสูง, หัวใจ และโรคข้ออักเสบ
การลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุดสำหรับคนอ้วน คือ ต้องทำค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากจะจำกัดปริมาณอาหาร, หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
และออกกำลังกายสม่ำเสมอแล้ว การ
เลือกทานสมุนไพรเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกาย
ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์พิชิตโรคอ้วน ควรทาน แมงลัก
เพื่อช่วยดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้ขับถ่ายสะดวก
และลดน้ำหนักได้หลายกิโล ส่วน กระเจี๊ยบมอญ ลดความดันโลหิต,
รักษาโรคกระเพาะ และเป็นยาระบายชั้นดี แตงโม เป็นยาระบายอ่อนๆ
น้ำแตงโมปั่นยังช่วยล้างลำไส้และกระเพาะอาหาร มะละกอ
ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ เป็นยาระบาย และ มะม่วงสุก
ระบายของเสียภายในได้ดี ช่วยแก้อ่อนเพลีย.

โรคเครียด

ความเครียดถือเป็นตัวการให้เกิดโรคร้ายนับไม่ถ้วน
ยิ่งภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ บอกได้คำเดียวว่า ใครไม่เครียดก็บ้าแล้ว!!
สมุนไพรไทยที่ช่วยลดความเครียดและทำให้ นอนหลับสบาย คือ สายบัว
ช่วยลดอาการเกร็งของลำไส้ และกระเพาะ ลดความ เครียดทางสมอง กะหล่ำปลี
ช่วยลดความเครียด มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้ ขี้เหล็ก แก้นิ่วในไต
ทำลายเชื้อมะเร็ง เป็นยานอนหลับชั้นดี ใบบัวบก แก้ร้อนใน ทำให้ความจำดี
ช่วยลดความเครียด ฟ้าทะลายโจร แก้อาการปวดหัวแบบไม่มีสาเหตุ มะนาวมะกรูด
ช่วยให้ นอนหลับ บรรเทาอาการอาหารไม่ ย่อย และ พริก ไทย
ทำให้สมองปลอดโปร่ง ช่วยลดเครียดได้ผลดี..

โรคภูมิแพ้

เป็น โรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินไปต่อสารก่อภูมิแพ้
ซึ่งคนปกติอาจไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น คนที่เป็นโรคภูมิแพ้
มีทั้งแพ้ฝุ่น, ตัวไรฝุ่น, เชื้อราในอากาศ, อาหาร, ขนสัตว์, เกสรดอกไม้
อาการมีได้หลายแบบ ตั้งแต่น้ำมูกไหล, จาม, โพรงจมูกอักเสบ,
เยื่อบุตาอักเสบ, หลอดลมอักเสบ, หอบหืด และเกิดผื่นคันที่ผิวหนัง
การต่อสู้กับโรคภูมิแพ้ จะต้องเพิ่มภูมิคุ้นกันให้ร่างกาย
โดยสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณด้านนี้ ต้องยกให้ กะหล่ำดอก
บำรุงภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และป้องกันโรคมะเร็งเต้านม ขณะที่ ขึ้นฉ่าย
มีสรรพคุณช่วยให้เจริญอาหาร, เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย,
บำรุงไตให้แข็งแรง ถ้านำมาปั่นกับแครอท ผสมน้ำส้มดื่มทุกเช้า
จะช่วยให้สุขภาพดีเหลือเชื่อ.

งานแห่งชีวิต "สอ เสถบุตร" กับ 4 ทศวรรษ "ดิกชันนารีไทย"

งานแห่งชีวิต "สอ เสถบุตร" กับ 4 ทศวรรษ "ดิกชันนารีไทย"

"สอ เสถบุตร" เห็นชื่อนี้แล้วหลายคนคงคิ้วชนกัน
ยิ่งถ้าเป็นเยาวชนรุ่นใหม่ด้วยแล้วคงต้องส่ายหัว แต่หารู้ไม่ว่าผลงานที่
สอ เสถบุตร ฝากทิ้งไว้กับคนรุ่นหลังนั้น
เปรียบได้กับคำภีร์ของนักภาษาชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง ที่ต้องเคยผ่านตา
ผ่านมือใครหลายๆ คนมาแล้วนั่นก็คือ "พจนานุกรม ไทย-อังกฤษ/อังกฤษ-ไทย"

กว่า 4 ทศวรรษที่ดิกชันนารีเล่มแรกของประเทศไทยเกิดขึ้น
จากการกลั่นกรองผ่านอัจฉริยภาพทางภาษา ของ สอ เสถบุตร
ที่ต้องใช้ความพยายามและผ่านอุปสรรคมาอย่างยาวนาน
เพื่อที่คำภีร์ด้านภาษาอังกฤษนี้จะได้ผ่านตานักเรียน
นักศึกษามาหลายยุคหลายสมัย
แต่จะมีกี่คนที่ทราบว่าดิกชันนารีที่ถูกยกให้เป็นเล่มแรกของสยามนั้น สอ
เสถบุตร เขียนขึ้นระหว่างการถูกจองจำในฐานะนักโทษการเมือง

สอ เสถบุตร
ถึงขนาด "ศ.คร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช" กล่าวในหนังสือ "ลิขิตชีวิต สอ
เสถบุตร" ไว้ตอนหนึ่งว่า "ข้าพเจ้า
ไม่เชื่อว่าการติดคุกจะทำให้คนซึ่งมีความรู้ทางภาษาอังกฤษกลายเป็นผู้ทำ
ปทานุกรมที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ทุกคนไป ด้วยเหตุผลแต่เพียงว่า
เพราะเขามีเวลาว่างมากกว่าคนอื่น ข้าพเจ้าเห็นว่าในสภาพการณ์ดังกล่าว
มีคนจำนวนไม่น้อยที่มักใช้เวลาว่างหมดไปด้วยการสงสารตนเอง
หรือนั่งรอคอยโชคชะตาพ้นผ่านไป สอ เสถบุตร
เป็นนักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่ามนุษย์อาจบังคับชะตาชีวิตของเขาเองได้ด้วยการ
ไตร่ตรองหาเหตุผล และวางกรอบแห่งชีวิตไว้เสมอ"

** คำภีร์ภาษาอันทรงค่า
"กนิษฐะวิริยา ต.สุวรรณ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีมา
พลับบลิชชิง จำกัด
ซึ่งได้รับโอนลิขสิทธิ์จากไทยวัฒนาพานิชในการผลิตและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้
เดียวมามากว่า 40 ปี บอกว่า ดิกชันนารี ของ สอ เสถบุตร
ถือเป็นสิ่งที่มีค่าต่อระบบการศึกษาและสังคมไทย
ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการค้นคว้าหาความรู้ซึ่งทางสำนักพิมพ์ได้ทำการปรับ
ปรุงมาโดยตลอด สำหรับปัจจุบันลูกค้าหลัก คือ นักเรียน นักศึกษา
ซึ่งสิ่งที่ได้รับจากทั้งผู้ปกครอง
และครูผู้สอนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ดิกชันนารีของ สอ เสถบุตร
ยังเป็นดิกชันนารีที่ได้รับการไว้วางใจมากที่สุด
ถึงแม้ทุกวันนี้จะมีคู่แข่งเกิดขึ้นมากมาย แต่รากฐาน
ต้นตำรับของดิกชันนารีทั้งหมดก็มาจาก สอ เสถบุตร นั่นเอง
ซึ่งยอดขายทางการตลาดก็เป็นตัวชี้วัดหลักถึงความนิยมได้


เพ็ญแข คุณาเจริญ
"ดิกชันนารี สอ เสถบุตร
มีจุดเด่นอยู่ที่รูปแบบการออกเสียงของคำศัพท์ เพราะคุณสอ
เป็นนักเรียนนอกสมัยก่อน ไม่ใช่นักเรียนนอกอย่างสมัยนี้
ที่บางคนพูดไม่ชัดทั้งภาษาไทยและอังกฤษ
คุณสอมีความรู้ที่ลึกซึ่งในหลักไวยากรณ์
รายละเอียดของการใช้จึงมีสอดแทรกอยู่ในทุกคำศัพท์ ทั้งนี้ยังมีคำตรงข้าม
คำใกล้เคียง หน้าที่ของคำ
และตัวอย่างประโยคเพื่อความถูกต้องในการนำไปใช้อีกด้วย"กนิษฐะวิริยา
กล่าวถึงดิกชันนารีเล่มสำคัญ

** ปรับสู่ยุคใหม่ "ดิกชันนารี สอ เสถบุตร"
ด้านแนวทางการพัฒนา ปรับปรุงดิกชันนารีนั้น
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ใครก็จะทำกันได้
สำนักพิมพ์พรีมาจึงได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านภาษาทั้งจากคณะอักษรศาสตร์
จุฬาฯ และราชบัณฑิตยสถานมาเป็นคณะทำงาน...

"เพ็ญแข คุณาเจริญ" ผู้ทรงคุณวุฒิจากราชบัณฑิตยสถาน
ในฐานะผู้ปรุงแต่งดิกชันนารีคนสำคัญ ให้ข้อมูลว่า ดิกชันนารีของ สอ
เสถบุตร มีหลายรูปแบบซึ่งฉบับเต็มหรือที่เรียกว่าฉบับห้องสมุด
นั้นจะมีการรวบรวมคำศัพท์
และตัวอย่างประโยคไว้อย่างละเอียดที่สุดเล่มเดียวของประเทศก็ว่าได้
โดยเฉพาะดิกชันนารี ฉบับห้องสมุด ซึ่งมีขนาดใหญ่ก็มีการปรับปรุงเช่นกัน
แต่เป็นเพียงการเพิ่มคำศัพท์เล็กน้อย

สำหรับฉบับนักเรียน นักศึกษา นั้นได้มีการปรับรูปแบบให้เล็กลง
ง่ายต่อการพกพา ราคาไม่สูงมากนัก ที่สำคัญคือมีความทันสมัยของคำศัพท์ โดย
การปรับเปลี่ยนก็จะมีการตัดคำศัพท์ที่เป็นชื่อเฉพาะ ชื่อคน สถานที่ต่างๆ
ตลอดจนคำตายที่ไม่ค่อยใช้ในปัจจุบันออก แล้วเพิ่มคำศัพท์ที่สมัยใหม่กว่า
3,000 คำ โดยเน้นที่ศัพท์คอมพิวเตอร์ ศัพท์เศรษฐศาสตร์การเงิน การธนาคาร
และสำนวนภาษาต่างประเทศที่ใช้บ่อย อย่างไรก็แล้วแต่ดิกชันนารีเล่มเก่าๆ
ก็สามารถเก็บไว้ได้ เพราะศัพท์บางคำในเล่มใหม่ๆ อาจจะไม่มีก็ได้

ดิกชินนารีฉบับปรับปรุงล่าสุดสำหรับนักเรียน นักศึกษา
"ตอนนี้ ดิกชันนารีถือเป็นเครื่องมือทางการศึกษาอย่างหนึ่ง
แต่เนื่องจากความสะดวกสบายในปัจจุบันทำให้นักเรียน
นักศึกษานิยมใช้ดิกชันนารีอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ที่ง่ายต่อการใช้
ไม่ต้องมานั่งเปิดหา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
เพียงแต่เสียดายเพราะการได้เปิดหาคำศัพท์ด้วยตนเองนั้นจะช่วยในการซึมซับ
ความจำต่อศัพท์นั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้น
โรงเรียนเองก็น่าจะส่งเสริมให้เด็กใช้ดิกชันนารี โดยเฉพาะของ สอ เสถบุตร
ที่ให้รายละเอียดที่มากกว่าการหาคำศัพท์
จนในบางครั้งสามารถกลายเป็นหนังสืออ่านเล่นได้
เพราะจะสอดแทรกวัฒนธรรมด้านภาษาเข้าไปด้วย
โดยการสร้างดิกชันนารีขึ้นมาสักเล่มไม่ใช่เรื่องง่ายจึงควรหันกลับมาใช้
ประโยชน์ให้สมกับที่มีการสร้างขึ้นมาเช่นกัน" เพ็ญแข อธิบาย

** ความประณีตการใช้ภาษา เรื่องน่าห่วงเด็กไทย
ถึงตรงนี้นอกจากปัญหาการใช้ดิกชันนารีของนักเรียน นักศึกษาแล้ว
สิ่งที่น่าห่วงอีกอย่างคือการใช้ภาษาไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย
หรือภาษาต่างประเทศ ซึ่ง เพ็ญแข มองว่า
ภาษามีวิวิวัฒนาการในตัวเองที่จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
และเด็กเองก็มักจะเปลี่ยนได้เร็ว เพราะเขาจะไม่ค่อยยึดติดอยู่กับของเดิม
แต่การเปลี่ยนแปลงในทุกสังคมก็ต้องมี 2 แรงที่ยื้อกัน คือ ของเดิม
ที่เป็นมาตรฐาน และ ของใหม่ ที่ต้องพัฒนาคู่กันไปเรื่อยๆ

"ที่ น่าสังเกต คือ ณ ตอนนี้คนไทยไม่ปราณีตกับการใช้ภาษา
ถึงแม้เด็กจะใช้ภาษาสมัยใหม่อยู่เป็นประจำแต่ก็ไม่มีความปราณีตของการใช้
อย่างการพูดไม่เต็มประโยค การใช้คำควบกล้ำที่ยังมีปัญหา
ถึงจะไม่ผิดแต่ก็เป็นการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน ทำให้ดูไม่สุภาพ
จึงอยากให้มีการพยายามใช้ภาษาอย่างประณีตขึ้นเพื่อผลดีแก่ผู้พูดเอง"
ผู้ทรงคุณวุฒิราชบัณฑิตฯ ฝากทิ้งท้าย


ตามรอยชีวิต "สอ เสถบุตร"
"สอ เสถบุตร" เกิดวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446
เป็นบุตรชายคนโตในตระกูล "เศรษฐบุตร" บิดาชื่อ นายสวัสดิ์ มารดาชื่อ
นางเกษร มีน้องชาย 2 คน การศึกษาจบ ม.8 จาก ร.ร.สวนกุหลาบวิทยาลัย
และได้รับทุนคิงสกอลาชิพ (ทุนเล่าเรียนหลวง) ไปศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษ
จนสำเร็จปริญญาตรีเกียรตินิยม สาขาธรณีวิทยากับวิศวกรรมศาสตร์
จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ก่อนกลับมารับบรรดาศักดิ์เป็น "รองเสวกเอก
หลวงมหาสิทธิโวหาร" ด้วยวัยเพียง 26 ปี ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมบัญชีกลาง
ต่อมาได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นปลัดกรมองคมนตรี
สังกัดกรมราชเลขาธิการในราชสำนัก

ต่อมาในปี พ.ศ.2476 ถูกจับในคดีกบฏบวรเดช จนถูกถอดบรรดาศักดิ์
และศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ที่ บางขวาง, เกาะตะรุเตา และ เกาะเต่า
ซึ่งระหว่างที่ถูกจองจำในฐานะนักโทษการเมืองถึง 11 ปี (พ.ศ.2476-2487)
นั้นกลับเป็นช่วงเวลาในการถือกำเนิดขึ้นของ "งานแห่งชีวิต"
นั่นคือปทานุกรม (พจนานุกรมอังกฤษเป็นไทย)
ที่ได้รับความนิยมจนถูกยกย่องทั่วประเทศให้เป็นพจนานุกรมเล่มแรกและยิ่งใหญ่
ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา ซึ่ง สอ เสถบุตร
เองแอบลักลอบส่งต้นฉบับออกมาตีพิมพ์นอกเรือนจำผ่านทางมารดาที่เดินทางเข้ามา
เยี่ยม

หลังจากได้รับอิสรภาพได้เข้าสู่แวดวงสื่อสารมวลชนโดยเป็นบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ "สามัคคีสาร" รับตำแหน่งผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ "ศรีกรุง"
"สยามราษฎร์" เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษชื่อ "ลิเบอร์ตี้" กับ
"ลีดเดอร์" จนเข้าสู่ถนนการเมืองร่วมกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
พร้อมจัดตั้งพรรคการเมือง ชื่อ "ก้าวหน้า" ต่อมาได้รับเลือกเป็น
ส.ส.ธนบุรี เขต 1 ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร
ในรัฐบาล พ.ต.ควง อภัยวงศ์ และโอนมาสังกัดพรรคประชาธิปัตย์

เส้นกราฟชีวิตเดินทางมาจนถึง วันที่ 9 กันยายน พ.ศ.2513 สอ
เสถบุตร ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ที่
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รวมอายุได้ 67 ปี 7 เดือน 1 วัน


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000071935

ขอขอบคุณ คุณูปการที่ท่านได้ทำไว้ให้กับคนรุ่นหลังครับ
เนยังไม่ตาย
--
น่าจะจัดทำตัวอย่างประวัติชีวิตของคนทำคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง(ต.ย.
ท่านสอ) vs ประวัติชีวิตของคนกินบ้านกินเมือง(ต.ย.นายรักเกียรติ)เพื่อให้คนรุ่นหลังได้
ศึกษาด้วยนะครับ
คณะเรา
--
ใช้ดิชฯ ของท่านมาตลอด ระลึกถึงเสมอค่ะ
น้อยหน่อย
--
พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
ผมล่ะกลุ้ม
--
พจนานุกรมอังกฤษ-ไทยของ สอ เสถบุตร ดีที่สุดแล้วครับ
ได้ดีเพราะผลงานของท่าน
Win
--
ชีวิตผมเรียนจนจบด็อกเตอร์ ได้ดิกชันนารีของคุณ สอ เสถบุตร
นี่แหละ ที่ทำให้ผมพัฒนาการทางภาษาอังกฤษ ได้ดีมาก โดยเฉพาะการออกเสียง
ถ้าไม่ชัว เิปิดดิกของสอ เอาไปพูด ฝรั่งฟังรู้เรื่องทุกทีไป
นักเรียนอเมริกัน
--
.สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา..
ด้วยความสำนึกในบุญคุณ.
เฒ่า LA
--
ตัวตายไปแล้ว แต่คุณความดียังไม่เลือนหาย ผมทราบซึ้งในคุณงามความดีของท่านจริงๆ
AJ
--
คนเก่ง อยู่ที่ไหนก็เก่ง

ขอบคุณท่านมากค่ะ ทุกวันนี้ก็ยังใช้พจนานุกรม สอ เสถบุตรอยู่เลย
ปอ
--
แล้ววันนี้เราทิ้งอะไรดีๆ ให้แผ่นดิน ให้พี่น้องของเราแล้วหรือยัง ???
ไม่อายกันบ้างหรือ ???
now

บีโอไอ:ทำไมสิงคโปร์แก้ไขปัญหาคอร์รัปชันเป็นผลสำเร็จ?

บีโอไอ:ทำไมสิงคโปร์แก้ไขปัญหาคอร์รัปชันเป็นผลสำเร็จ?
โดย ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์


ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าในบรรดาประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้นั้น ในส่วนดัชนีคอร์รัปชันแล้ว
สิงคโปร์อยู่ในอันดับบ๊วยมาโดยตลอด
ตรงกันข้ามกับประเทศไทยที่มักอยู่ในอันดับต้นๆ หากไม่เร่งแก้ไขแล้ว
อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ประเทศไทยอาจจะครองแชมป์ก็เป็นไปได้ ดังนั้น
ประเด็นสำคัญ คือ
สิงคโปร์มีเคล็ดลับอย่างไรที่สามารถรักษาอันดับบ๊วยในด้านนี้มาโดยตลอด

จากรายงานการศึกษาล่าสุดของสถาบัน Political and Economic Risk
Consultancy (PERC) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ฮ่องกง
ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อต้นเดือนเมษายน 2552
โดยสำรวจความคิดเห็นของนักธุรกิจระดับผู้บริหารทั้งของบริษัทในท้องถิ่นและ
บริษัทต่างชาติประมาณ 1,750 คน โดยจัดอันดับคอร์รัปชัน 16 ประเทศ
จำแนกเป็น 14 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศภายนอกภูมิภาคอีก 2
ประเทศ คือ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา

ผลการสำรวจพบว่าอินโดนีเซียครองแชมป์อันดับ 1 โดยได้รับคะแนน 8.32
ส่วนประเทศ
ไทยได้รับตำแหน่งรองแชมป์ คือ 7.63 คะแนน ส่วนกัมพูชาอันดับ 3
ได้รับ 7.25 คะแนน อินเดียอันดับ 4 ได้รับ 7.21 คะแนน และเวียดนามอันดับ
5 ได้รับ 7.11 คะแนน

สำหรับอันดับ 6 ถึงอันดับที่ 12 เรียงตามลำดับ คือ ฟิลิปปินส์ 7.0
คะแนน มาเลเซีย 6.70 คะแนน ไต้หวัน 6.47 คะแนน จีน 6.16 คะแนน มาเก๊า
5.84 คะแนน เกาหลีใต้ 4.64 คะแนน และญี่ปุ่น 3.99 คะแนน

ส่วนประเทศที่ครองอันดับบ๊วย ซึ่งแสดงว่ามีความใสสะอาดระดับสูงสุด
คือ สิงคโปร์ 1.01 คะแนน สำหรับรองบ๊วยอันดับ 2 - 4 คือ ฮ่องกง 1.89
คะแนน ออสเตรเลีย 2.40 คะแนน และสหรัฐฯ 2.89 คะแนน

จากระบบราชการที่มีประสิทธิภาพและใสสะอาด
ทำให้กลายเป็นจุดขายสำคัญของสิงคโปร์
ส่งผลให้พัฒนาตนเองอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ นายลีเซียนหลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์
ได้เคยกล่าวปราศรัยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2547
ภายหลังรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า "In a region where corruption is
everywhere, we have a clean and meritocratic system." หรือ
"ในภูมิภาค(เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
ซึ่งปัญหาคอร์รัปชันแพร่ระบาดอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่เรา (สิงคโปร์)
กลับมีระบบ (ราชการ) ที่ใสสะอาดและมีคุณธรรม"

จากความใสสะอาดระบบราชการของสิงคโปร์
ทำให้ได้รับการยกย่องไปทั่วโลก เป็นต้นว่า หนังสือพิมพ์ Jakarta Post
ของอินโดนีเซีย ได้ตีพิมพ์บทความในหัวข้อข่าว "Singapore Courts Win
Trust, Jakarta Courts Win Bribes" หรือ "ศาลสิงคโปร์ชนะความเชื่อถือ
ขณะที่ศาลกรุงจาการ์ต้าชนะสินบน"
โดยกล่าวถึงการสัมภาษณ์ความคิดเห็นของบริษัทอินโดนีเซียซึ่งแพ้คดีความใน
สิงคโปร์และอินโดนีเซีย โดยกรณีแพ้คดีแพ่งในสิงคโปร์แล้ว
จะมีทัศนะว่าผู้พิพากษาสิงคโปร์นั้นเป็นคนโง่
แต่เมื่อแพ้คดีในอินโดนีเซียแล้ว กลับมีทัศนะในทางตรงกันข้าม
จะมีความคิดเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามน่าจะมีการติดสินบนผู้พิพากษาอย่างแน่นอน

อีกตัวอย่างหนึ่งที่หยิบยกขึ้น คือ
การซื้อเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศสิงคโปร์
ซึ่งมีการแข่งขันระหว่างบริษัทจำหน่ายเครื่องบินซึ่งเป็นไปอย่างเข้มข้นมาก
ทั้งๆ ที่สิงคโปร์ซื้อเครื่องบินเพียงแค่ไม่กี่ลำ
สร้างความแปลกใจให้แก่คนทั่วไปเป็นอย่างมาก

เหตุผลสำคัญที่บริษัทต่างๆ
ให้ความสนใจขายเครื่องบินแก่สิงคโปร์เป็นอย่างมาก
เนื่องจากกองทัพอากาศแห่งนี้ได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติว่า
ฝ่ายจัดซื้อมีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่คอร์รัปชัน
และปฏิบัติงานศึกษาเกี่ยวกับสมรรถนะของเครื่องบินแบบมืออาชีพ

ผู้ขายเครื่องบินของบริษัทฝรั่งเศสได้เคยกล่าวว่าสิงคโปร์นับเป็น
ลูกค้าอ้างอิงคนสำคัญ เปรียบเสมือนกับเป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพ
แสดงว่าเครื่องบินแบบนั้นๆ ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน
ไม่ใช่เป็นเครื่องบินมีสมรรถนะไม่ได้เรื่อง
แต่ตัดสินใจซื้อเพราะหวังอามิสสินจ้าง ดังนั้น
หากสามารถจำหน่ายเครื่องบินแก่กองทัพอากาศสิงคโปร์ได้แล้ว
จะทำให้กองทัพอากาศของประเทศอื่นๆ
ให้ความสนใจที่จะซื้อเครื่องบินแบบนั้นๆ ตามไปด้วย

ความจริงแล้ว เมื่อประมาณ 50 ปีมาแล้ว
สิงคโปร์มีคอร์รัปชันจำนวนมากพอๆ กับประเทศไทย หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
เนื่องจากภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อปี 2488
อัตราเงินเฟ้อในสิงคโปร์เพิ่มสูงขึ้นมาก
ขณะที่เงินเดือนข้าราชการไม่เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น
ในช่วงนั้นแม้แต่ผู้ป่วยในโรงพยาบาลซึ่งต้องการเพียงแค่ดื่มน้ำร้อน
ก็จำเป็นต้องติดสินบน ในรูปแบบที่สิงคโปร์เรียกในคำพูดว่า "เงินกาแฟ"
(Coffee Money) แก่บรรดาบุคลากรของโรงพยาบาล มิฉะนั้น
จะไม่บริการน้ำร้อนมาให้ดื่ม

เมื่อนายลีกวนยูเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์
ได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะปราบปรามคอร์รัปชันอย่างจริงจัง
โดยได้ดำเนินการในรูปแบบต่างๆ อย่างเข้มงวด
ทำให้สถานการณ์ปรับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ประการแรก ผู้นำประเทศ รวมถึงคณะรัฐมนตรี
ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่คอร์รัปชันเสียเอง มิฉะนั้น
ข้าราชการและประชาชนทั่วไปจะหัวเราะเยาะและไม่เชื่อถือกับมาตรการปราบปราม
คอร์รัปชัน โดยเขาเคยกล่าวปราศรัยเมื่อปี 2522
ว่าประเทศสิงคโปร์จะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อบรรดารัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูง
ต้องไม่คอร์รัปชัน ทั้งนี้ จากรัฐบาลที่ดำเนินการอย่างจริงจัง
ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อถือ
และกระตือรือร้นในการส่งเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายคอร์รัปชันให้แก่
รัฐบาล

นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี
ก็ได้เคยกล่าวให้ทัศนะเปรียบเทียบกับไทยและสิงคโปร์ในประเด็นนี้เมื่อเดือน
ธันวาคม 2544 ว่ากรณีของประเทศไทย
"ผมแปลกใจที่ไม่มีการตรวจสอบบ้านของคนใหญ่คนโตที่หรูหรา มีที่หลายสิบไร่
มีที่จอดรถได้ 18 - 20 คัน ซึ่งมองไม่ออกเลยว่ามีมาได้อย่างไร
ไปได้เงินทองมากมายมาจากไหน ...
สังคมของสิงคโปร์ที่พ้นภาวะคอรัปชั่นได้เพราะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคน
ไม่กิน รวมถึงข้าราชการด้วย เขาใช้วิธีกำจัดออกไป"

ประการที่สอง มอบอำนาจอย่างเต็มที่ให้แก่หน่วยงาน Corrupt
Practices Investigation Bureau (CPIB) ซึ่งขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี
มีอำนาจที่จะสอบสวนการกระทำผิดอย่างจริงจัง
สามารถเรียกบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาให้ปากคำ ไม่ว่าบุคคลนั้นๆ
จะมีตำแหน่งใหญ่โตเพียงใดก็ตาม และดำเนินการสอบสวนอย่างรวดเร็ว
ไม่ดำเนินการสอบสวนแบบชักช้า หรือแบบลูบหน้าปะจมูกเป็นมวยล้มต้มคนดู

อนึ่ง นอกจากดำเนินคดีภายหลังคอร์รัปชันเกิดขึ้นแล้ว
หน่วยงานแห่งนี้ยังมีอำนาจในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาคอร์รัปชันที่ต้นเหตุ
ตามกฎหมายป้องกันคอร์รัปชัน Prevention of Corruption Act (POCA)
กล่าวคือ หน่วยราชการบางแห่ง เช่น หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง
หน่วยงานศุลกากร กรมสรรพากร หน่วยงานตำรวจจราจร ฯลฯ
เดิมมีปัญหาคอร์รัปชันเป็นอย่างมาก
และสาเหตุของปัญหาอยู่ที่ขั้นตอนและระบบการทำงาน

ดังนั้น หน่วยงาน CPIB ได้เข้าไปตรวจสอบกระบวนการทำงาน
รวมถึงตรวจสอบระยะเวลาการอนุมัติอนุญาตต่างๆ
เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานเสียใหม่ให้มีโอกาสเกิดคอร์รัปชันลดลง
นับว่าเป็นมาตรการป้องกันไม่ให้ปัญหาคอร์รัปชันเกิดขึ้นที่ต้นเหตุอย่างได้
ผล

ประการที่สาม ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย
โดยกำหนดว่าการที่ข้าราชการที่ร่ำรวยผิดปกติ หรือมิฉะนั้น
ก็มีวิถีชีวิตใช้จ่ายเงินจำนวนมากเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ที่ได้รับแล้ว
เป็นต้นว่า มีเงินเดือนเพียงแค่นิดเดียว ไม่ได้เกิดมาร่ำรวย
แต่กลับขับรถยนต์หรูหราราคาแพงมาทำงาน อาศัยอยู่ในบ้านราคาหลายสิบล้านบาท
ถือว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญในการพิสูจน์ว่าบุคคลนั้นๆ
ประพฤติมิชอบในการปฏิบัติราชการ
พนักงานสอบสวนไม่ต้องไปหาหลักฐานใบเสร็จให้เหนื่อยยาก ดังนั้น
เว้นแต่ข้าราชการคนนั้นๆ สามารถอธิบายถึงแหล่งที่มาของเงินดังกล่าวแล้ว
จะถูกดำเนินคดี ส่วนบรรดาทรัพย์สินดังกล่าวจะถูกริบเป็นของทางราชการด้วย

ประการที่สี่ กำหนดโทษระดับสูง โดยกฎหมายกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 5
ปี ปรับไม่เกิน 100,000 เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 2.5 ล้านบาท
รวมถึงต้องจ่ายค่าปรับเท่ากับเงินสินบนที่ได้รับ ยิ่งไปกว่านั้น
หากคอร์รัปชันเกี่ยวข้องกับสัญญาของรัฐบาลหรือเป็นสมาชิกรัฐสภาแล้ว
โทษจำคุกเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 7 ปี

ประการที่ห้า
ขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการให้พอเพียงต่อการดำรงชีพและอยู่ระดับใกล้เคียง
กับเงินเดือนในภาคเอกชน เนื่องจากข้าราชการบางคนนั้น
แม้จะมีทัศนคติที่ดีไม่ต้องการคอร์รัปชัน แต่อาจจะถูกสถานการณ์บีบบังคับ

ประการที่หก
รณรงค์ประชาชนให้ตระหนักว่าคอร์รัปชันเป็นเชื้อโรคร้ายที่บั่นทอนการพัฒนาประเทศผ่านสื่อต่างๆ

อย่างไรก็ตาม
เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในอดีตว่ากระทบต่อ
ประเทศสิงคโปร์มากน้อยเพียงใด หน่วยงาน CPIB
ได้เปิดพิพิธภัณฑ์คอร์รัปชันขึ้นที่สำนักงานใหญ่เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้
เยี่ยมชม โดยกำหนดลูกค้าเป้าหมายเป็นเด็กนักเรียนสิงคโปร์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ของประเทศ
ที่เกิดภายหลังรัฐบาลปราบปรามคอร์รัปชันแล้ว
ส่วนใหญ่จึงไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านคอร์รัปชันมาก่อน
ต้องมาทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ว่าในอดีตคอร์รัปชันเป็นไปอย่างไร
รวมถึงลูกค้าเป้าหมายเป็นบรรดาข้าราชการต่างประเทศที่เดินทางมาดูงานเพื่อ
ต้องการเรียนรู้ถึงเคล็ดลับความสำเร็จในการปราบปรามคอร์รัปชันของสิงคโปร์
ด้วย

พิพิธภัณฑ์ ได้แสดงคดีดังคดีเด่นให้ประชาชนได้รับทราบ โดยเฉพาะ
"เกียรติประวัติ" บุคคลสำคัญหลายคน เป็นต้นว่า คดีที่นาย Teh Cheang Wan
ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาประเทศ ซึ่งได้ฆ่าตัวตายเมื่อปี
2529 ขณะอยู่ระหว่างถูกสอบสวนคดีคอร์รัปชันโดยหน่วยงาน CPIB
รวมถึงนิทรรศการเกี่ยวกับคดีของนาย Wee Toon Boon
อดีตรัฐมนตรีของสิงคโปร์
ที่ถูกพิพากษาว่ากระทำผิดในด้านคอร์รัปชันเมื่อปี 2518
ซึ่งถูกพิพากษาให้จำคุก 4 ปี 6 เดือน ซึ่งต่อมาเขาอุทธรณ์
จึงได้ลดโทษจำคุกลงเหลือ 3 ปี

ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8161 หรือที่ head@boi.go.th

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000073000

อ่านแล้วคันมากเลยครับ สำหรับประเทศนี้
มันเป็นประเทศที่ว่าตัวผู้นำที่โกงทั้งหลายจะหา Safe Haven ที่ไหนไม่ได้
ก็มาใช้ที่นี่สิ ซิงกาโปโตก นี่แหละ สวรรค์ของพวกเอ็ง
ผม บอกได้ว่าผู้นำอาเซียน ทุกประเทศครับ เอาเงินไปฝากไว้ที่นี่แหละ
ลองดูอดีตผู้นำเอ็มแห่งประเทศข้างใต้เรานี่แหละ
ด่าประเทศเพื่อนบ้านมันอย่างสาดเสียเทเสีย จะปิดประเทศบ้าง
จะบล็อคการส่งน้ำเข้าประเทศนี้บ้าง สุดท้ายแล้ว ทำอะไรได้บ้างครับ ไม่ได้
ก็เพราะตัวเองเอาเงินไปไว้ในนั้นเพียบ (เพื่อลูกหลาน)
ประเทศออ ที่เป็นเกาะก็พอกัน อดีตผู้นำที่ครองตำแหน่งยาวนาน ก่อนตาย
เรียกให้ ลีผู้พ่อไปนั่งเฝ้าศพ เพื่อจัดสรรมรดกให้บรรดาลูกๆหลานๆของตัว
ทำไมนายอดีตผู้นำลีถึงต้องไปเฝ้าเล่า
ก็เพราะเงินทั้งหลายอยู่ในประเทศมันนี่แหละ
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่คุณทอ ถึงต้องขายหุ้นให้ประเทศนี้
เพราะมันเป็นอุโมงค์ส่งเงินให้ตัวเองไปทำอะไรได้ตั้งเยอะในหลากหลายประเทศ
ก็คือเตรียมการไว้ก่อนตั้งนานแล้ว ตามหลักเก็บไข่ไว้ในตะกร้าหลายๆใบ
ดังนั้น หากยึดเงินในเมืองไทยหมด ก็ไม่กระเทือนหรอกครับเพราะ Safe Haven
มันอยู่ที่นั่นแหละ ยังมีอีกเยอะ
สรุป ก็คือตอนนี้ประเทศนี้ แ--งเป็นสวรรค์ที่ฟอกเงินครับ
ไม่ต้องไปไกลถึงสวิสแล้ว ดังนั้นการที่มันบอกว่าไม่คอรรับชั่น
ก็สำหรับข้าราชการระดับเล็กๆเท่านั้นแหละ ตัวใหญ่ๆ
อย่างน้อยก็คือรู้เห็นเป็นใจกับบรรดาผู้นำประเทศทั้งหลายที่จะมาเก็บเงินไว้
ในประเทศนี้ ผมถือว่าเป็นผู้สมคบคิดการคอรับชั่นระดับโลกเลยครับ
พ่อของลูกสองคน

--
แน่ใจหรือ ? ว่าสำเร็จเกินกว่าร้อยละ 90 ฟันธง ! ไม่จริง มั้ง !
ทุกวันนี้ คอรัปชั่นในทุกมุมของโลก ก็ยังคงอยู่ มากบ้างน้อยบ้าง
เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว แต่ที่แน่ๆ นี่ไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง แต่
มนุษย์เองต่างหาก ที่เป็นต้นตอของปัญหา ในบางประเทศ นั้น
มีมุมมองในการจ่ายหรือรับผลตอบแทน ต่างกัน ! นี่ต่างหากที่เป็นตัววัดว่า
ที่ใหน คอรัปชั่นเบ่งบาน หรือ ไม่อย่างไร ?
คำถามที่อยากจะถามนักว่าขอบเขตของคำจำกัดความ คอรัปชั่น ในประเทศไทย นั้น
แตกต่างกว้างขวางคลอบคลุมมากน้อยเพียงใด ? เมื่อเทียบกับ สิงคโปร์ หรือ
ประเทศ อื่นๆ แต่ที่แน่ๆ นั้น สิงคโปร์ เองนั้น ใช่แน่นอน เขาสามารถ
จำกัดวงของการ เรียกรับ หรือ จ่าย ผลตอบแทน ผลประโยชน์
ได้อมากและสามารถควบคุมได้ ในระดับหนึ่ง ! ทั้งด้วยมาตรการ จูงใจ และ
กฏหมายที่คลอบคลุม ชัดเจน รวมไปถึง การบังคับใช้กฏหมายที่ ทรงประสิทธิภาพ
! เมื่อเปรียบเทียบกับ ประเทศไทย ! ดังนั้น
ควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกัน
ทั้งในเชิงปริมาณและ คุณภาพ ! ด้วย ความแตกต่าง กันอย่างสิ้นเชิง ทั้ง
ในเชิงกายภาพ อาทิ อาณาเขตแดน จำนวนประชากร
มาตรฐานและระดับการศึกษาของประชากร ฯลฯ และนี่ยังไม่รวมถึงเชิงระบบและ
วัฒธรรมจารีตประเพณี ยิ่งห่างไกลและแตกต่างกันอย่างยิ่ง !
เห็นด้วยไม่เห็นต่างหรอกจากสิ่งที่ผู้เขียนนั้นอ้างถึงและชี้ประเด็นมา
แต่ทว่าเพื่อความเป็นธรรมในระบบและในสังคมไทยนั้น มุมมองและข้อจำกัดต่างๆ
ที่ผู้เขียน ผู้วิจารณ์ นั้น มิได้นำมาเปรียบเทียบ เชิงวิเคราะห์
แต่อย่างใด ! หาก จะเอากันแค่ อ่านกันเพลินๆ ให้เห็นภาพ ลางๆ
ล่ะก็ได้แน่นอน แต่เกรงว่า ภาพที่เกิดกับผู้อ่านนั้น จะผิดเพี้ยน
หลุดโลกไปไกลเกินจริง และเกิดเป็น มโนภาพ สมมุติ
ตามจินตนาการของผู้วิจารณ์ และห่างไกลจากสภาพที่แท้จริง
ในระบบของสังคมไทยจากอดีตสู่ปัจจุบัน !
Ho@yahoo.com

-- ผมว่าบทความนี้มันไม่เห็นจะผิดเพี้ยนตรงไหนกับสภาพความเป็นจริง
ปัญหาคอรับชันนั้นเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงนักสำหรับประเทศไทย
กับอัตราค่าใช้จ่ายคอรัปชันให้นักการเมืองในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ ทั้ง
ระบบไฟฟ้า ระบบโทรศัพท์ ระบบขนส่งมวลชน ฯลฯ
ที่พวกผู้รับเหมาผู้ประมูลที่ต้องจ่ายกันอยู่ที่ 15%-25%
จากงบการลงทุนต่อปีเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน
เงินที่สูญเสียไปกับค่าคอรับชันต่อปี (หลายพันหลายหมื่นล้าน)
ไปอยู่ที่นักการเมืองบางพวกที่เจียดเงินจำนวนน้อยของเงินคอรับชันที่ได้มา
ไปซื้อเสียงในช่วงการเลือกตั้งเพื่อที่จะได้ถูกเลือกกลับเข้ามาใหม่
เงินคอรัปชันเหล่านี้ถ้าถูกนำมาใช้ในระบบเศรษฐกิจคงสามารถสร้างมูลค่าเพ่ิม
ในระบบเศรษฐกิจประเทศไทยได้มากทีเดียว
น่า เสียดายที่มีคนบางพวกที่ได้ประโยชน์ตรงนี้
และน่าเสียใจยิ่งกว่าที่คนไทยหลายคนคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่
หรือว่าเรื่องแบบนี้เกิดกับทุกที่ทั่วโลก
อยากให้คนเหล่านั้นได้มีโอกาสเปิดโลกไปสัมผัสกับประเทศหลายๆประเทศที่เค้า
จัดการกับปัญหาคอรับชันได้ดี จะได้ออกมาจากกะลาใบเล็กบ้าง
ผู้รับเหมา NC
--
ขอตั้งข้อสังเกตอย่างหนึ่งนะครับ
ผมรู้สึกว่า ในสิงคโปร์
ทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายทุนของเขา เป็นพวกเดียวกันหมด
ประเทศเขาเล็ก คนก็น้อย
ผู้ทรงอำนาจ และทรงอิทธิพล จึงมีน้อย และเป็นพวกเดียวกันหมด
เลยไม่รู้จะโกงกันไปทำไม ก็พวกเดียวกันทั้งนั้นนี่

ผิดกับพี่ไทย
พวกข้าราชการก็กลุ่มหนึ่ง
พวกนักธุรกิจก็กลุ่มหนึ่ง
พวกนักการเมืองก็กลุ่มหนึ่ง
พวกนักวิชาการก็กลุ่มหนึ่ง
พวกแรงงานก็กลุ่มหนึ่ง
พวกNGOก็กลุ่มหนึ่ง
พวกทหารก็กลุ่มหนึ่ง
ฯลฯ
อนึ่ง เนื่องจากทรัพยากร (ทุน อำนาจ) มีจำกัด
ปุถุชนผู้มีกิเลสจึงแก่งแย่งกัน
hofds
--
ต้องแก้ที่กระบวนการยุติธรรมจึงจะตรงประเด็น
เพิ่มโทษสถานหนัก รวดเร็วในการตัดสินคดี
บางเรื่องคดีเกิดขึ้น 6-7 ปี ชั้นต้นเพิ่งตัดสินคดี
คนลืมหมดแล้ว..เลยไม่สำนึกเป็นบทเรียน
กว่าอุทธรณ์...ฎีกา...มันยักย้ายถ่ายเทเงินทอง ทรัพย์สินให้ลูกหลาน
และคนใกล้ชิดหมดแล้ว...ไม่เหลือให้ยึดคืน
คนเลยไม่กลัวการทำผิด
................
ฉะนั้นการตัดสินคดีทุจริต
ต้องรวดเร็ว..ทันที...มีประสิทธิภาพ
ปปช.ของเรา...อืดยิ่งกว่าเรือเกลือ
ต้องผ่าตัดกระบวนการดำเนินคดีทุจริต
ให้รวดเร็ว..เห็นผลทันที...โทษหนัก
อย่าให้เรื่องจางหายไปจากความจำ
จึงจะมีผลในทางจิตวิทยา...เกิดสำนึก...
กลัวการทำชั่ว...ติดคุกทันที
...............................
การพิจารณาคดีทุจริตที่ล่าช้า
คือความล้มเหลวในการปราบคนโกง

ไม่มีใครที่ไม่กลัวติดคุก
คนไทยรักชาติ

หนุ่มพิการระยองเลี้ยงดูแม่วัยชราได้รับยกย่อง"คนดีศรีตำบล"

หนุ่มพิการระยองเลี้ยงดูแม่วัยชราได้รับยกย่อง"คนดีศรีตำบล"

ระยอง-หนุ่มพิการยอดกตัญญูเก็บของ เก่าขาย
หาเงินเลี้ยงแม่บังเกิดเกล้าวัยชรา จนได้รับการยกย่อง
เป็นบุคคลพิการตัวอย่าง จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย
และเป็น"คนดีศรีตำบล"

นายเขียน ถึกเจริญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)แม่น้ำคู้
เปิดเผยถึงหนุ่มพิการยอดกตัญญูคนนี้ว่า มีชื่อจริงคือนายสัญญา หรือ ตุ้ม
นาคำ พูดไม่ได้ตั้งแต่เกิด ปัจจุบันอายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 110 หมู่ 2
บ้านหนองมะปริง ต.แม่น้ำคู้ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ได้เลี้ยงดูนางบุญ
เกิดหริ่ม หญิงชราวัย 74 ปี ผู้เป็นแม่ ด้วยการเก็บของเก่าขาย
ซึ่งในแต่ละวันจะให้แม่นั่งรถเข็นออกจากบ้านตั้งแต่เช้า
พอแสงตะวันส่องทางเห็น จะเข็นรถไปตามถนนข้างอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล
บ้านหนองมะปริง ผ่านไร่มันสำปะหลัง ไร่สับปะรด สวนยาง ฯลฯ
เพื่อตระเวนเก็บขวดพลาสติก กระป๋องน้ำอัดลม เศษกระดาษ ตากแดด ตากลม
ซึ่งแล้วแต่โชคจะอำนวยว่าจะมีขวดน้ำพลาสติก กระป๋องน้ำอัดลม และเศษกระดาษ
เท่าที่จะหามาได้ในแต่ละวัน

สิ่งของที่เก็บมาได้ จะนำใส่กระสอบปุ๋ย เพื่อรอให้รถมารับซื้อ
ซึ่งเงินที่ได้นำมาซื้ออาหารกินกันระหว่างสองแม่ลูก บางวันหาขวดน้ำไม่ได้
ได้แต่กระป๋องน้ำอัดลมและเศษกระดาษเพียงเล็กน้อยก็ต้องซื้อไข่ไก่
หรือปลากระป๋องมากินกัน และเมื่อแม่ต้องล้มป่วยเป็นประจำ
หนุ่มพิการจะพาแม่นั่งรถเข็น เข็นไปตามถนนจนถึงโรงพยาบาลปลวกแดง
ระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร เพื่อให้หมอดูแลรักษาแม่
ซึ่งมีชาวบ้านหนองมะปริงพบเห็นนายตุ้ม คนพิการมานานนับ 10 ปี
เกิดความสงสารและเห็นใจ บางคนเก็บขวดน้ำ เศษกระดาษไว้ให้

นายเขียน กล่าวต่อไปว่า ในวันพระ
นายตุ้มจะพาแม่นั่งรถเข็นไปทำบุญที่วัด ช่วยงานวัด
และในวันสำคัญของหมู่บ้านก็ร่วมกับชาวบ้านพัฒนาหมู่บ้าน
ถางหญ้าสองข้างถนน หรือมีงานประเพณีก็ไปช่วยยกโต๊ะ เก้าอี้
ทำความสะอาดศาลาวัด นอกจากจะหาเลี้ยงแม่วัยชราแล้ว
ยังช่วยเหลือสังคมมาตลอด จนเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวบ้าน

ด้านนายชญาณเกียรติ ชมพูพาน ปลัด อบต.แม่น้ำคู้ และนางนัช บุญชู
เจ้าหน้าที่สวัสดิการสังคม อบต.แม่น้ำคู้กล่าวว่า ทาง
อบต.เสนอข้อมูลและประวัติบุคคลพิการถึงคณะกรรมการสภาสังคมสงเคราะห์แห่ง
ประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ซึ่งทางคณะกรรมการฯ
ได้พิจารณายกย่องให้เป็นบุคคลพิการตัวอย่าง ประจำปี 2551 พร้อมมอบโล่
ส่วนทางคณะผู้บริหาร อบต.แม่น้ำคู้
และเจ้าหน้าที่พร้อมชาวบ้านร่วมกันจัดงานเลี้ยงฉลองเพื่อเชิดชูเกียรติ
"คนดีศรีตำบลแม่น้ำคู้" พร้อมจัดทำป้ายเชิดชูเกียรติไว้หน้าสำนักงาน
อบต.แม่น้ำคู้

ด้านนางบุญ เกิดหริ่ม ผู้เป็นแม่ของนายตุ้มกล่าวด้วยน้ำตาว่า
ความสงสารลูกที่เกิดมาเป็นคนพิการ และต้องหาเลี้ยงตนเอง
ทั้งที่ลูกพูดไม่ได้ ต้องยืมรถเข็นชาวบ้านพาตนนั่งไปเก็บของเก่าทุกวัน
ตากแดด ตากลม ไปกับลูกทุกวัน จะหยุดก็ไม่ได้
ถ้าหยุดก็ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ทางนายก
อบต.ก็ให้ความช่วยเหลือให้เงินคนพิการเดือนละ 500 บาท
ส่วนตนได้รับเงินผู้สูงอายุเดือนละ 500 บาทเช่นกัน
อยากวิงวอนผู้มีน้ำใจช่วยสนับสนุนรถเข็นเพื่อหาเลี้ยงชีพไปวันๆ
เพราะรถเข็นของตนใช้งานมานานจนใช้การไม่ได้ ต้องยืมรถเข็นชาวบ้าน
ทั้งนี้ผู้ที่ต้องการช่วยเหลือสามารถติดต่อนายเขียน ถึกเจริญ นายก
อบต.แม่น้ำคู้ เบอร์โทร 086-8208666 หรือ นายชญาณเกียรติ ชมพูพาน ปลัด
อบต.แม่น้ำคู้ เบอร์โทร 081-6643741


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000072799