ธรรมชาติของเราที่ผ่านมา เรามักนึกมักคิดไปตามอำนาจของกิเลส ก็กิเลสมันอยู่กับเรามานานแสนนานแล้ว การที่จะพรากตัวพรากใจออกจากกิเลสจึงมิใช่เรื่องง่าย ๆ เลย แต่เราก็อาจทำได้นะ แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรามองข้ามไป เช่น การฝืนเอาชนะใจตนเองในเรื่องไม่เป็นเรื่องต่าง ๆ เรื่องฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เรื่องสุรุ่ยสุร่าย เรื่องการกินอยู่ การหลับการนอน เมื่อหัวถึงหมอน ตื่นนอนขึ้นมา สติอยู่ที่ไหน ใจเป็นอย่างไร เราเคยฝืนความเคยชินพวกนั้นมากน้อยแค่ไหน ความเกียจคร้านต่าง ๆ ที่มี นอกจากรู้ว่ามีแล้ว ได้พยายามฝืน อดทน ขยันขันแข็ง ตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนหรือไม่
พระพุทธองค์ไม่สรรเสริญคนเกียจคร้าน ทรงสอนให้คนขยัน อุฎฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร เป็นต้น ธรรมเหล่านี้เป็นของที่จะใช้ฟาดฟันห้ำหั่นกิเลสให้ดับดิ้นสิ้นไป มิใช่เพียงรู้ ดูอกุศลในใจเฉยๆ นั่นย่อมเท่ากับเป็นการยอมรับกิเลส ยอมรับอกุศลโดยดุษฎี กิเลสย่อมไม่ลับดับหายไปไหน หากวันใดที่มันได้ช่องมีเชื้อต่อเข้าไป กิเลสอันนอนเนื่องเป็นอนุสัยเหล่านั้นก็จะกลับประทุขึ้นมาอีกครั้ง และต่อไปๆ ไม่มีหยุด เพราะเหตุมิเห็นต้นตอแห่งทุกข์และดับเหตุแห่งทุกข์นั้นได้ ดังธรรมที่ท่านพระอัสสชิ แสดงแก่ท่านอุปติสสะ หรือพระสารีบุตรสมัยยังครองฆราวาสวิสัยให้ได้ดวงตาเห็นธรรมว่า "ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเหตุและความดับไปแห่งเหตุแห่งธรรมนั้น" จงสาวหาเหตุให้เจอ อย่านิ่งเฉย อย่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกับอกุศล กับกิเลส กับความหลงเหล่านั้น
อย่าคิดว่า มันเกิดได้เดี๋ยวมันก็ดับได้ อย่าเอาแต่ปลอบใจตัวเองด้วยความคิดเหล่านี้ แม้ว่ามันจะดูประเสริฐเลิศเลอเพียงใด มันก็มิใช่ธรรมที่เกิดขึ้นจากใจเราจริง ๆ มันเป็นธรรมสัญญา จากการบ่มเพาะปลูกฝังความคิดมา อยู่ใต้จิตสำนึกของเรา จงละเสีย อันว่าการละกิเลสนั้น เราเอาธรรมจากผู้อื่นมาละกิเลสในใจเรามิได้ ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน จงมีสติ จงอ่านตัวเองให้ออก ให้รอบรู้ในมายาแห่งจิต รอบรู้ในกองสังขารคือความปรุงแต่งทั้งปวง จงรู้ทันความหลอกลวง จงทำความเข้าใจให้มาก จงดับอกุศลเสีย อย่าเอาแต่เฝ้ามอง จงอย่าไว้ใจกิเลส จงฝืนความเคยชินเหล่านั้น จงตระหนักว่า บัดนี้เราเอาชนะใจตนเองได้กี่เรื่องแล้ว เรื่องกิน เรื่องเสพ เราฝืนได้สักกี่เรื่องแล้ว
จงดับในสมัยอันควรดับ จงเจริญในสมัยอันควรเจริญ จงสังเกตสภาวธรรมที่อยู่ตรงหน้าตามความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา สติที่ต่อเนื่องจะทำให้ท่านเห็นธรรม สภาวธรรมอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เราหลงอะไร เราติดอะไร ตามดูให้ทันตั้งแต่มันเริ่มก่อตัวก่อสุขก่อทุกข์ขึ้นมา ด้วยสติที่ต่อเนื่องเป็นสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จนเป็นผู้ที่สามารถอยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ได้อย่างแท้จริง คือไม่อิน แล้วก็ไม่เอา ไม่เอาคือ อกุศลมันเกิดเราไม่เอา มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ จำไว้ว่า จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอกเป็นทุกข์ จงหาให้เจอว่า จิตส่งออกนอกนั้นเป็นอย่างไร หลงส่งจิตออกนอกไปยึดมั่นถือมั่นได้อย่างไร ให้ทันตั้งแต่เสี้ยววินาทีแรกที่หลงเลยทีเดียว ให้ทันจริง ๆ ให้ได้นะ ขอให้โชคดี...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น