++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

9 กฎเหล็กที่คนประสบความสำเร็จไม่เคยแหก


1. ไม่เปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับผู้อื่นและไม่ตัดสินผู้อื่น
เลิกการใช้ชีวิตของคนอื่น คุณต้องเชื่อมั่นในจุดมุ่งหมายของชีวิตตัวเองและมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

2. ไม่แสดงความรู้สึกที่คุณมี แต่แสดงออกถึงความรู้สึกที่คุณต้องการจะรู้สึก
คุณอาจรู้สึกผิดหวังมากมายจากความผิดพลาดและความล้มเหลวที่เกิดขึ้น แต่ควรมองโลกในแง่บวกและเชื่อว่าตัวเองสามารถพัฒนาสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองรู้สึกดีที่จะลุกขึ้นสู้ทุกครั้งที่ล้ม

3. ปล่อยวางเรื่องในอดีตเพื่อจำกัดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตในปัจจุบัน
คุณควรรู้จักให้อภัยตัวเองและผู้อื่นจากความผิดพลาดและความล้มเหลวต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีตด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง เพื่อไม่ให้มันมาทำร้ายตัวเองในปัจจุบัน การให้อภัยคือก้าวแรกของความก้าวหน้าในปัจจุบัน

4. คุณไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นขอความช่วยเหลือที่จำเป็นจากคนที่ใช่
คนที่ประสบความสำเร็จมักมีความสามารถในการโน้มน้าวใจผู้อื่นสูง สามารถช่วยให้คนอื่นได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการแล้วคุณเองก็สามารถได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการด้วย

5. ไม่อิจฉาผู้อื่น
เป็นความจริงที่หลายคนพูดว่า “ทุกแสงระยิบระยับนั้นไม่ใช่เพชรเสมอไป” เมื่อคุณเห็นคนอื่นมีหรือเป็นในสิ่งที่คุณต้องการแล้วอย่าไปอิจฉา คุณไม่รู้หรอกว่าพวกเขาต้องแลกมันมาด้วยอะไรบ้าง ตั้งหน้าตั้งตามุ่งมั่นทำในสิ่งที่คุณต้องการก็พอแล้ว

6. ไม่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
คนที่ประสบความสำเร็จจะระมัดระวังและรักษาคำพูดเป็นอย่างมาก เขาจะไม่พูดในสิ่งที่ไม่จำเป็น เรียนรู้ที่จะพูดให้น้อยลงแล้วฟังให้มากขึ้นอยู่เสมอ

7. คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตนอก Comfort Zone
ทำในสิ่งที่คุณไม่คุ้นเคยให้เป็นนิสัย การฝึกใช้ชีวิตนอก Comfort Zone อยู่เสมอจะช่วยทำลายกำแพงความสามารถของตัวเองทุกวันเป็นประตูในการพัฒนาตัวเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

8. สิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับตัวคุณไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับคุณ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือการมีความเชื่อมั่นในตัวเอง อย่าไปใส่ใจกับสิ่งที่คนอื่นพูด หนักแน่นในสิ่งที่คุณรู้และคุณเชื่อมั่น

9. ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งราคาแพง อย่าคาดหวังมันจากคนที่ราคาถูก
คนที่ประสบความสำเร็จมักผ่านการเรียนรู้บทเรียนนี้ด้วยราคาแสนแพง อย่าคาดหวังศีลธรรมและความซื่อตรงมากเกินไปจากคนทั่วไป เมื่อคุณเรียนรู้บทเรียนนี้ได้เร็วแค่ไหนคุณยิ่งประสบความสำเร็จได้มากขึ้นเท่านั้น


หกอย่างที่ไม่ควรทำ :-

หกอย่างที่ไม่ควรทำ :-
หิวแล้วไม่ยอมทาน
หิวน้ำไม่ยอมดื่ม
ง่วงแล้วไม่ยอมนอน
เหนื่อยแล้วไม่ยอมพัก
ไม่สบายไม่ยอมรักษา
แก่แล้วค่อยคิดเสียใจ

เป็นความผิดของเราเอง... ?

เป็นความผิดของเราเอง... ?

ท่ามกลางฝนที่กำลังเทกระหน่ำ รถคันหนึ่งจอดหน้าร้านอาหารตามสั่ง คนหนึ่งกางร่ม เดินลงมาสั่งข้าวกล่อง 5 กล่อง แล้วอึ้ง เมื่อเห็นคนทำกับข้าวที่ยืนอยู่หน้ากระทะ คนที่พึ่งสั่งข้าว บอกว่า ไม่เอาแล้ว หันหลังกางร่ม วิ่งขึ้นรถ แล่นจากไป

"มีเรื่องอะไรเหรอ"
"เพื่อนเก่า ที่เลิกคบกัน ได้ 10 ปีแล้ว"
"เรื่องมันคงร้ายแรงสิ ถึงขั้นเลิกคบ"
"ตอนงานศพ เพื่อนที่เสียจากอุบัติเหตุ มางานสวดศพ เพื่อนเจอกัน แซวกันจนเกินเลย บอกว่า ใครรักเพื่อนมากกว่ากัน ทำแบบนี้ คือ ความรักเพื่อน พูดกันแรงขึ้น ก็เลยโกรธกันตั้งแต่นั้น"

"แล้วไม่ปรับความเข้าใจกันเหรอ เพื่อนกันนะ"
"เป็นความผิดของเราเอง"

เรื่องเล็กๆ รอยด่างระหว่างมิตรภาพ ต่างฝ่ายต่างคิด แล้วก็เลิกคบกันไป....

"ก็นอนกอดความผิดกันต่อไปละกัน คนแก่เนี่ย พูดยากจังว่ะ สู้พวกเด็กๆไม่ได้ ทะเลาะกัน เคลียร์ใจกัน ก็หาย ไม่เห็นต้องมากเรื่อง"

จริงของมันแฮะ....

10 ความคิดเหมือนยาพิษที่คอยทำร้ายชีวิตคุณ


1.คิดว่าอนาคตของตัวคุณขึ้นอยู่กับอดีตและประสบการณ์ที่ผ่านมา
การมาจากครัวที่มีฐานะยากลำบาก หรือความผิดพลาดและความล้มเหลวที่คุณเคยทำไว้ ไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าอนาคตของคุณต้องแย่ตามอดีตไปด้วย สิ่งเดียวที่จะทำให้อนาคตของคุณแย่คือ การที่คุณตราหน้าตัวเองว่า “คุณมีชีวิตที่ล้มเหลว” เพราะอดีตที่เลวร้าย

2.คิดกังวลอยู่กับอนาคตโดยไม่คิดเตรียมพร้อม
การไปสู่อนาคตมีอยู่ 2 วิธีคือ ควบคุมชะตาชีวิตของตัวเอง โดยตั้งเป้าหมายที่คุณต้องการในอนาคตแล้วเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้ หรือ ปล่อยชีวิตของคุณไปตามยะถากรรม แล้วได้แต่เครียดและกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น โดยไม่คิดเตรียมพร้อม

3.คิดและพยายามพิสูจน์ว่าตัวเองถูกเสมอ
คุณเคยมีความเชื่อว่าบางอย่าง “ถูกต้อง” จนเมื่อเวลาผ่านไป คุณพบว่ามัน “ไม่ถูกต้อง” หรือเปล่าครับ เช่น เรื่องซานตาคลอส ขนาดตัวคุณเองยังมีความเชื่อต่างกัน ในเวลาที่ต่างกัน ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนเชื่อในสิ่งที่คุณคิด เพราะทุกคุณมีสิทธ์ที่จะคิดและเชื่อในสิ่งที่แตกต่างกัน

4.คิดว่าโลกมีเฉพาะสีขาว หรือดำ ไม่มีสีเทา
ชีวิตจริงไม่เหมือนกับ ข้อสอบปรนัยในวัยเด็ก ที่คุณสามารถเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดได้ เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงเป็นเรื่องอยากมาที่จะบอกว่า อะไรถูกหรือผิด เพราะขึ้นอยู่กับความเชื่อและประสบการณ์ของแต่ละคน ดังนั้นคุณควรให้ความสำคัญว่าอะไรที่เวิร์คกับตัวคุณก็พอแล้ว

5.คิดว่าเงิน คือที่มาของความสุขทั้งหมด
เงินเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดเรื่องหนึ่งครับ แต่ “การมีความสำเร็จ” ไม่ได้แปลว่าชีวิตของคุณจะมี “ความสุข” แต่คนที่ “ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่” คือคนที่สามรถใช้ชีวิตที่ตัวเองต้องการอย่างมีความสุขได้ ในขณะที่สามารถหาเงินที่เพียงพอต่อความต้องการของตัวเองได้ต่างหาก

6.คิดกังวลว่าคนอื่นจะคิดถึงตัวคุณอย่างไร
คนส่วนใหญ่ยุ่งอยู่กับการสนใจเรื่องของตัวเอง มากกว่าสนใจคนอื่นอยุ่แล้ว

คุณเองก็เป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นเลิกเสียเวลา กังวลว่าใครเขาคิดยังไงกับตัวคุณ “เป็นตัวของตัวเอง” และมีความสุขในสิ่งที่คุณมีและสิ่งที่คุณเป็น

7.คิดว่าตัวคุณเป็นศูนย์กลางของโลก
คุณต้องการให้ผู้คนรอบข้าง เชื่อในสิ่งที่คุณคิด และทำในสิ่งที่คุณต้องการ

8.คิดและคาดหวังจากผู้อื่นอยู่เสมอ
เป็นความเสี่ยงที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ในการฝากความหวังไว้กับผู้อื่น ถึงแม้สิ่งที่คุณหวังนั้นดูสมเหตุสมผลในมุมมองของคุณ

9.คิดว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้
คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใครได้ นอกเสียจากว่าเขาจะเลือกที่จะ “เปลี่ยนแปลงตัวเอง” ไม่ว่าคุณจะ “สร้างแรงบันดาลใจ” หรือ “ผลักดันเขา” มากแค่ไหน ซึ่งเป็นบทเรียนที่ผมแลกมาด้วยเวลาที่ยาวนานและความยากลำบาก

10.คิดไม่ตกว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด คุณควบคุมเหตุการณ์ภายนอกไม่ได้
ไม่ว่าคุณจะพยายามแค่ไหน คุณไม่สามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน “โลกภายนอก” ได้ ไม่ว่าจะเป็น ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง รถจะติด หรือเศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่สิ่งที่คุณสามารถควบคุมได้อย่าง 100% คือ “โลกภายใน” ของคุณ ว่าคุณจะให้ความหมายอย่างไรและจะทำอะไร กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกภายนอก

คุณรู้แล้วว่าคุณกำลังดื่มความคิดที่เป็นยาพิษอะไรที่ทำให้ชีวิตเป็นทุกข์ คุณสามารถมีความสุขได้ง่ายๆ เพียงแค่หยุดดื่มมันเท่านั้นเองครับ

6 ความคิดด้านลบ ที่กำลังกัดกินความสุขของคุณ


1.คิดโยนความผิดให้คนอื่นเสมอ
พวกเราส่วนใหญ่เมื่อเกิดความไม่พอใจกับอะไรก็ตามในชีวิต เราจะมีความเคยชินกับการกล่าวโทษหรือบ่นสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว เพื่อน, เจ้านาย, แฟน, ดินฟ้าอากาศ หรืออะไรก็ตามที่เราสามารถโยนความผิดให้ได้ เราแทบจะไม่เคยต้องการพิจารณาถึงสาเหตุที่แท้จริงเพื่อที่จะลงมือทำให้ชีวิตเราดีขึ้นเลย ซึ่งสาเหตุหลักที่ว่านั้นก็คือตัวของเราเอง หากคุณต้องการมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ คุณจะต้องรับผิดชอบอย่าง 100% กับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคุ

2.คิดว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้
คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้ นอกจากเขาจะยอมเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง

กว่าผมจะเข้าใจความจริงในข้อนี้ ผมต้องแลกมาด้วย เวลา เงิน และน้ำตา เพราะไม่ว่าคุณจะพยายามแค่ไหน ถ้าเขาไม่ต้องการเปลี่ยน เขาก็จะไม่เปลี่ยน ถ้าคุณไม่ชอบในสิ่งที่เขาเป็น และคุณพยายามอย่างเต็มที่แล้ว คุณก็มีอยู่แค่ 2 ทางเลือกคือ เลือกที่จะยังใช้เวลากับเขาอยู่ หรือเลือกที่จะเดินจากไป แต่คุณไม่สามารถหนีความจริงที่ว่า คุณไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงใครได้ นอกจากเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

3.คิดฝากความคาดหวังของตัวเองไว้กับผู้อื่น
ศัตรูตัวฉกาจของการมีความสุข คือการที่คุณฝากความหวังไว้ที่คนอื่น ถึงแม้จะเป็นความหวังเล็กๆ น้อยๆ หรือสมเหตุสมผลแล้วก็ตาม เช่น การที่คุณมอบความรักและความหวังดีให้กับใครสักคน แล้วหวังให้เขามอบสิ่งเดียวกันกลับคืน การที่คุณฝากความหวังไว้ที่ผู้อื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจำเป็นต้องทำตามในสิ่งที่คุณคาดหวัง ตัวคุณเองก็ไม่ได้ชอบทำในสิ่งที่คนอื่นคาดหวังเช่นกัน

4.คิดกังวลว่าคนอื่นจะคิดถึงตัวคุณอย่างไร
“คนส่วนใหญ่ยุ่งอยู่กับการสนใจเรื่องของตัวเอง มากกว่าสนใจคนอื่น” คุณเองก็เป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นเลิกเสียเวลา กังวลว่าใครเขาคิดยังไงกับตัวคุณ ทั้ง ทรงผม การแต่งตัว รวมถึงการแสดงออก คุณควรเป็นตัวของตัวเอง มีความสุขในสิ่งที่คุณมีและสิ่งที่คุณเป็น

5.คิดว่าโลกนี้มีเฉพาะขาวหรือดำ ถูกหรือผิด
ชีวิตจริงไม่เหมือนกับ ข้อสอบปรนัยในวัยเด็ก ที่คุณสามารถเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตได้ เมื่อโตขึ้น คุณเริ่มพบความจริงอยู่บ่อยครั้งว่า คำตอบที่คุณเคยถูก แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลายเป็นคำตอบที่ผิด หรือคำตอบที่ถูกของคนกลุ่มหนึ่ง บ่อยครั้งก็เป็นคำตอบที่ผิดของคนอีกกลุ่มหนึ่ง ทุกคนมองว่าบางอย่างถูกต้องเพียงเพราะตรงกับความคิด ความรู้สึกและวิธีที่เขามองโลกของเขาเท่านั้นเอง

6.คิดว่าเงินเพียงอย่างเดียวจะทำให้คุณมีความสุข
เป็นความจริงที่ง่า เงินเป็นเรื่องจำเป็น และสำคัญ แต่การมีเงินและประสบความสำเร็จก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะมีความสุข คนรวยและประสบความสำเร็จหลายคนมีความสุข แต่ถ้าคุณสังเกตให้ดี คุณจะพบคนรวยอีกหลายคนที่ไม่มีความสุขในชีวิตเช่นกัน ดังนั้นอย่าฝากความหวังที่จะมีความสุขในชีวิตไว้กับการมีเงินมากๆ ครับ เพราะจุดเริ่มต้นของความสุข คือ “ตัวคุณ” นั่นเอง ส่วน “เงิน” เป็นเพียงเครื่องขยาย ที่ช่วยทำให้ความสุขที่มีมันมากขึ้นเท่านั้นเอง

10 ข้อคิดดีๆ ในช่วงวิกฤตชีวิต


1. คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิตผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายมาแล้วทั้งนั้น
เราคงไม่มี iPhone, iPod, iPad ใช้ จนทำให้บริษัท Apple กลายเป็นบริษัทที่มีเงินสดมากที่สุดในโลก ถ้าหาก Steve Jobs ไม่เคยโดนไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองใช้เวลากว่าสิบปีสร้างมากับมือ หรือ เราคงไม่มีหนังสือ Harry Poter ให้อ่าน จนคนติดกันงอมแงม จนทำให้ผู้เขียนกลายเป็นผู้หญิงที่รวยที่สุดบนเกาะอังกฤษ ถ้า J.K. Rolling ไม่ได้เลิกกับสามี และต้องเลี้ยงลูกโดยลำพังในขณะที่ถังแตก คนที่ประสบความสำเร็จล้นต้องผ่านช่วงเลวร้ายมาด้วยกันทั้งนั้น คุณก็เช่นกัน

2. อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
คุณต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่า ไม่มีใครสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ ฝนตก น้ำท่วม เศรษฐกิจตกต่ำ บริษัทที่คุณทำงานอยู่ต้องปิดตัว หรือแม้กระทั่งคนที่คนรักหันไปให้ความสนใจคนอื่น

3. ทางเดียวที่จะเกิดปัญหา คือเมื่อตัวคุณเองคิดว่ามันคือปัญหา
ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย จนกว่าคุณจะให้ความหมายกับสิ่งเหล่านั้น

คุณไม่สามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ แต่คุณสามารถควบคุมตัวคุณเองได้ว่าคุณจะให้ความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร

4. คุณไม่ใช่เหยื่อ เลิกทำตัวเป็น “นางเอก” หรือ “พระเอก” ผู้เคราะห์ร้าย
คนที่บอกตัวเองว่า “เพราะชีวิตไม่มีทางเลือก” เป็นคนที่กำลังหลอกตัวเอง เพื่อปลอบใจว่าตัวเองคือผู้เคราะห์ร้าย คือเหยื่อผู้น่าสงสารของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัว ปรับความเข้าใจกับตัวเองซะใหม่ว่า “คุณไม่ใช่เหยื่อ” เพราะ “คุณมีทางเลือกเสมอ” เช่น ถ้าคุณไม่ชอบงานที่ทำอยู่ คุณก็สามารถเลือกที่จะเปลี่ยนสายงาน หรือหางานใหม่ได้ แทนที่จะทนทำงานที่เดิมแล้วบ่นไปวันๆ ยืดอกยอมรับความจริงว่า ชีวิตที่คุณเป็นอยู่ทุกวันนี้เกิดจากผลของทางที่คุณเลือกมาทั้งชีวิต

5. คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆรอบตัวได้ จนกว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนเพื่อคุณโดยอัตโนมัติ

ยังคงเป็นความจริงที่คุณไม่มีทางเปลี่ยนสิ่งรอบข้างได้ แต่สิ่งเดียวที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้คือตัวคุณเอง เช่น ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้เงินเดือนคุณไม่ขึ้น แทนที่คุณจะบ่น และด่าทอ ทั้งเศรษฐกิจและบริษัทที่คุณทำงานก็ไม่เกิดประโยชน์ เอาเวลามาพัฒนาตัวเองให้มีทักษะที่เป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น แล้วคุณจะพบโอกาสดีๆ จนพบช่องทางในการทำธุรกิจของตัวเองก็ได้

6. ความล้มเหลวเป็นแค่เรื่องชั่วคราว แต่มันเป็นโอกาสที่คุณจะได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองไปชั่วชีวิต
คนที่ประสบความสำเร็จ คือคนที่ผ่านความล้มเหลวมามากกว่าคนอื่น

Thomas Edison พูดเสมอกับทุกครั้งที่ล้มเหลวในการทดลองผลิตหลอดไฟว่า “ผมไม่ได้ล้มเหลวในการผลิตหลอดไฟ แต่ผมค้นพบทางใหม่อีกหนึ่งทางที่มันไม่เวิร์ค” ถ้า Edison ไม่สามารถก้าวข้ามความล้มเหลวเป็นพันครั้งได้ ทุกวันนี้เราอาจยังต้องใช้ตะเกียงอยู่ก็ได้

7. การที่คุณไม่ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ มันอาจหมายความว่ามีสิ่งที่ดีกว่ารอคุณอยู่
อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่คุณลองมองย้อนไปในอดีตดูคุณอาจพบว่า ตัวเองโชคดีที่ถูกแฟนคนแรกทิ้ง ถึงได้พบคนที่ใช่ในปัจจุบัน หรือเพราะถูกไล่ออกจากบริษัทที่แล้ว ถึงทำให้คุณทำธุรกิจเป็นของตัวเองจนประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้

8. อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
จะมีประโยชน์อะไรในการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วใช้มันทำลายขวัญและกำลังใจตัวเอง แต่ถ้าคุณจะเปรียบเทียบก็ควรใช้มันเป็นพลังผลักดันให้คุณพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

9. ไม่มีคำว่า “เป็นไปไม่ได้”
“ถ้าคุณเชื่อว่าคุณทำได้คุณจะทำได้ แต่ถ้าคุณเชื่อว่าคุณทำไม่ได้ คุณก็จะทำไม่ได้” ดังนั้นลบคำว่า “เป็นไปไม่ได้” ออกจากพจนานุกรมของคุณ

10. มีความสุขในจุดที่ยืน
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน คุณจะพบความสุขอยู่ใกล้ๆ ประกายของแสงอาทิตย์สวยๆตอนพ้นขอบฟ้า เพลงโปรดเพราะๆ ที่ความหมายจับใจ หรือรอยยิ้มบนใบหน้าของคนที่คุณรัก คุณจะพบความสุขมากมายอยู่รอบตัวที่พร้อมจะให้เก็บเกี่ยว หากคุณมองหา

ยังมีสิ่งดีๆ รอคุณอยู่อีกมาก ขอเพียงยังคงมีลมหายใจอยู่ คุณยังสามารถสร้างสิ่งที่ดีและสร้างความสุขให้กับตัวเองและผู้คนรอบข้างอีกมากครับ

5 วิธีมองหาคนที่ใช่



1. คนที่ทำให้คุณยิ้มได้
“รอยยิ้ม” เป็นพิสูจน์ที่สำคัญมากในการมีความสัมพันธ์ที่ดี เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า คุณมีความสุขแค่ไหนเมื่อมีเขาอยู่ใกล้ๆ

2. คนที่ทำให้คุณมีโฟกัส
จะมีประโยชน์อะไรที่จะใช้ชีวิตที่เหลือโดยการละทิ้งความฝันที่คุณมี

ทุกคนมี “ความฝัน” และ “เป้าหมายในชีวิต” ของตัวเอง ดังนั้นคนที่คุณจะร่วมชีวิตด้วยควรจะเป็นคนที่เข้าใจ และพร้อมที่จะสนับสนุนให้คุณทำ ความฝันของคุณให้เป็นจริง และคุณก็พร้อมที่จะสนับสนุนให้เขา ทำความฝันของเขาให้เป็นจริงเช่นกัน

3. คนที่คอยสนับสนุนความคิดของคุณ
ในระหว่างทางของการใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่ว่าคุณหรือเขาจะมีความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย หนังที่อยากดู อาหารที่อยากกิน หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไป การสนับสนุนความคิดของกันและกันในการทดลองสิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน มีความสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับชีวิตคู่

4. คนที่เอาใจใส่ในตัวคุณ
ความใส่ใจคือ ส่วนสำคัญสำหรับชีวิตคู่ การรู้จัก “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” แทบจะเป็นเครื่องชีวัดได้เลยว่า คุณและเขาจะอยู่ร่วมชีวิตกันได้ยาวนานแค่ไหน

5. คนที่เชื่อใจและพร้อมจะให้อภัยคุณเสมอ
ถ้าคุณยังไม่เคยผิดพลาด อาจหมายความว่า คุณยังไม่เคยทำอะไรที่สำคัญในชีวิต

ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ ทั้งคุณและเขาจะต้องสร้างความผิดพลาดอีกมากมาย ดังนั้นทั้งคุณและเขาต้องเข้าใจความจริงในข้อนี้ แล้วพร้อมที่จะเชื่อใจ และให้อภัย กันและกันเสมอ

กาใช้ชีวิตคนเดียวก็สามารถมีความสุขได้ แต่หากคุณพบคนที่ใช่ คุณไม่เพียงมีความสุขแต่คุณจะรู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ของชีวิตได้เลยทีเดียว

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 119 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - หนึ่งในใจไทยทั่วหล้า





รายการรักพ่อ119 หนึ่งในใจไทยทั่วหล้า

พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน กำเนิดป่ารอยต่อ, โปรตีนแห่งขุนเขา, ช่วงในหลวงในดวงใจ 21,ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว, กลเม็ดเคล็ดลับกับการพึ่งตนเอง

http://www.youtube.com/watch?v=uvvkTvPTK34


มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

5 เหตุผลที่คุณไม่ควรมีงานประจำอย่างเดียว


1. คุณจะมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น
ไม่มีใครสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างสม่ำเสมอเท่ากันในแต่ละช่วงเวลาของการทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หากสัปดาห์ไหนที่คุณมีศักภาพและความสามารถมากขึ้นแล้วคุณเอามันไปไว้ที่ไหน ทุกวันนี้หลายคนปล่อยศักยภาพและพลังงานที่มีประโยชน์ทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย ทำไมคุณไม่ใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการหารายได้เพิ่มขึ้นหรือทำสิ่งที่คุณต้องการในระยะยาวของชีวิต การทำงานนอกเวลาเพิ่มขึ้นช่วยพัฒนาตัวคุณในการเป็นผู้ประกอบการเช่น ด้วยคุณภาพงานเท่าเดิมคุณสามารถพัฒนาใช้เวลาลดลง หรือคุณสามารถพัฒนาปริมาณงานเพิ่มขึนหรือคุณภาพสูงขึ้นในเวลาที่เท่าเดิม

2. คุณจะมีโอกาสเรียนรู้มากขึ้น
งานประจำที่คุณทำอยู่อาจมอบโอกาสในการเรียนรู้หรือเข้ารับการฝึกอบรมเฉพาะทางบ้างตามที่บริษัทต้องการ แต่การทำงานนอกเวลาเพิ่มเติมจะพลักดันให้คุณใช้เวลาว่างของคุณให้เกิดประโยชน์จากการเรียนรู้ที่จะพัฒนาความรู้และความสามารถด้วยตัวเองทั้งแนวลึกและแนวก้างเพิ่มขึ้นอยู่เสมอ ช่วยให้คุณมีโอกาสค้นพบศักยภาพที่แท้จริงและความชอบที่แท้จริง (passion) ของตัวเองได้มากขึ้น

3. คุณจะมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น
การทำงานนอกเวลาเพิ่มขึ้นทำให้คุณมีโอกาสสัมผัสโจทย์หรือปัญหาที่หลากหลายในเวลาเดียวกันพลักดันให้คุณค้นหาวิธีที่ต่างๆในการแก้ไขปัญหาจากการเรียนรู้ การลองผิดลองถูก จนทำให้เกิดประสบการณ์และความคิดสร้างมากมาย

4. คุณจะสารพัดประโยชน์
การทำงานนอกเวลาเพิ่มขึ้นทำให้คุณไม่ยึดติดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากจนเกินไป ช่วยลดความเบื่อหน่อยจากงานประจำช่วยให้คุณมีกระบวนความคิดที่ยืดหยุ่นและความหลากหลายของประสบการณ์ เปรียบเสมือนคลังสมบัติล้ำค่าที่คุณมีติดตัว เป็นสมบัติมหัศจรรย์ที่คุณยิ่งใช้มากขึ้นคุณยิ่งมีมากขึ้น

5. คุณจะลดความกังวล
การคิดถึงเรื่องงานในขณะที่คุณไม่ได้ทำงานมาจากสองสาเหตุคือ คุณรักงานนั้นจริงๆ หรือคุณกังวลเรื่องงานนั้นมากจนเกินไป เมื่อการทำงานนอกเวลาช่วยคุณให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เรียนรู้เพิ่มขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น และสารพัดประโยชน์เพิ่มขึ้น จะช่วยให้คุณมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นทั้งในเรื่องการทำงานและชีวิตส่วนตัว ทำให้คุณลดความกังวลในเรื่องต่างๆ ของชีวิต

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

โลกการศึกษาวันนี้



เคยมีการจัดประชุมวิชาการเพื่อพัฒนาการศึกษาในประเทศไทย โดยองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการอยู่หลายครั้ง ด้วยการเชิญผู้นำทางความคิดในการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ จากมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่มีชื่อเสียงได้รับการยอมรับ มานำเสนออยู่หลายครั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

ไม่เคยมีใครเก็บตัวเลขงบประมาณที่จ่ายไปในแต่ละครั้งว่าหมดไปเท่าไร คุ้มกับการลงทุนหรือได้นำประโยชน์มาปรับปรุงงานการศึกษาอะไรให้เกิดผลเป็นรูปธรรมบ้างในแต่ละครั้ง

รู้แต่ว่าเม็ดเงินในการจัดงานนั้นบางงานสูงเกิน 30 ล้าน จัดตามศูนย์การประชุมขนาดใหญ่หรือโรงแรมหรู แต่หมดไปกับการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ที่ให้บริษัทพรรคพวกรับเหมาเอาไปทำแบบมีเงินทอน งานจบแล้วจบเลย ไม่มีอะไรเหลือให้สืบสานประเทืองปัญญาเอาไปพัฒนาได้เลย

ดีว่าขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการอยู่ในช่วงมีรัฐมนตรีรักษาการ รายการผลาญงบเพื่อเอาเงินทอน ในลักษณะเอาเด็ก เอาการศึกษามาบังหน้าจึงไม่คึกคัก กระนั้นก็ยังมีหลุดมาให้เห็นอยู่บ้างเช่นกัน

จำได้ว่า สมาคมเครือข่ายการพัฒนาวิชาชีพอาจารย์และองค์กรระดับอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย เคยเชิญนักวิชาการจากทั่วโลกมาแนะทางออกเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยอย่างยั่งยืน

เล่นลงลึกไปถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานที่โยงเข้าหาการยกระดับมาตรฐานการสอนในอุดมศึกษา เล่าผ่านประสบการณ์จากงานวิจัยและผลการปฏิบัติงานมาสะท้อนให้เห็นการสร้างแรงกระตุ้นแก่นักเรียนเกิดการพัฒนากระบวนการเรียนรู้และการมีอาจารย์ผู้สอนมีส่วนร่วม

การกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้และค้นคว้าด้วยตนเอง ภายใต้การแนะนำของครูผู้สอน เพื่อพัฒนาทั้งร่างกาย ความคิด อารมณ์และจิตวิญญาณ ภายใต้บรรยากาศการเรียนรู้อย่างมีความสุข

ซึ่งนักวิชาการที่ได้มาประชุมได้ชี้ให้เห็นตรงกันว่า การศึกษาในโลกปัจจุบันไม่ได้มุ่งหวังให้นักเรียนสร้างการแข่งขันซึ่งกันและกันเพื่อเป็นที่ 1 แต่จะเน้นให้นักเรียนได้มีการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ใหม่ๆ ด้วยวิธีการใหม่ๆ โดยใช้เทคโนโลยีที่เกิดจากแรงผลักของครูผู้สอนเป็นสำคัญ

มิใช่เกิดจากแรงผลักของนักการเมือง ที่หมุนเข้ามาช่วงสั้น ๆ แล้ว ก็ไปแบบไม่ต้องรับผิดชอบ ประชุมกันไปก็เท่านั้น

คอลัมน์ เลาะเลียบคลองผดุงฯ
ตุลย์ ณ ราชดำเนิน tulacom@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

5 สถานที่ 'ต้องห้าม' ใช้สมาร์ทโฟน!


1. บนเตียงหลังตื่นนอน เพราะกล้ามเนื้อตาต้องการกระตุ้นด้วยแดดอ่อนๆ มากกว่าแสงจากจอ LED
2. บนโต๊ะทานข้าวกับเพื่อนฝูง อย่าให้จอสี่เหลี่ยมเล็กๆ มาขัดจังหวะการปฏิสัมพันธ์กับคนตรงหน้าที่นานๆ เจอกันทีเลย
3. บนโต๊ะประชุม ลูกค้าหรือเจ้านายอาจไม่ไว้ใจคุณอีก เพราะขาด "กาลเทศะ" แบบคาหนังคาเขา
4. เมื่ออยู่หลังพวงมาลัย การแชตขณะขับขี่เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของอุบัติเหตุในเมือง
5. ในส้วม นั่งนานๆ อาจเกิดเหน็บชาและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามมาได้

4 กับดักความจริงที่คนเก่งและคนฉลาดหลงลืม


1. ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมชาติ
คนที่เก่งและฉลาดมากมักจะยึดติดกับความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) ทั้งกับตัวเองและผู้คนรอบข้าง คุณมักจะอารมณ์เสียกับทุกคนในทุกเรื่องเมื่อไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คิดไว้ทั้งกับเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว เพื่อนฝูงหรือแม้กระทั่งคนอื่นในที่สาธารณะเช่น ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าหรือระบบขนส่งมวลชน ทำให้คุณกลายเป็นคนขี้หงุดหงิดและไม่มีความสุขตลอดทั้งวันโดยไม่รู้ตัว คุณลืมความจริงที่ว่าไม่มีใครที่ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน ลืมแม้กระทั่งตัวตนในอดีตก่อนที่คุณจะเก่งและประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ให้โอกาสคนอื่นและตัวเองได้หยุดพักความสมบูรณ์แบบบ้างแล้วคุณจะพบศักยภาพที่แท้จริงและความสุขอีกมากมายในชีวิต

2. คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใครได้นอกจากเขาจะยอมเปลี่ยนด้วยตัวเอง
คนที่เก่งและฉลาดเมื่อรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตคือความสมบูรณ์แบบ คุณต้องการให้ผู้คนรอบข้างสมบูรณ์แบบด้วย คุณสร้างกฏมากมายเพื่อให้ทุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งความคิด ความเชื่อและการกระทำเหมือนคุณ คุณจะยอมรับไม่ได้กับความคิดเห็นที่แตกต่าง ยอมรับไม่ได้กับความเป็นตัวตนของคนอื่น คุณจะรู้สึกผิดหวังหากคนอื่นไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อทำให้คุณมีความสุข คุณทำให้ชีวิตตัวเองและคนรอบข้างเต็มไปด้วยความเครียดสูงที่ต้องคอยเปลี่ยนแปลงคนอื่นอยู่ตลอดเวลาจนกว่าคุณจะยอมรับความจริงของความแตกต่างว่า การเดินทางที่ดีที่สุดจากจุด A ไปถึงจุด B ไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นทางที่คุณคิดเสมอไป คนอื่นสามารถใช้เส้นทางคุณเป็นข้อมูลแล้วเลือกทางเดินของตัวเองก็ช่วยให้เขาถึงปลายทางได้เช่นกันแม้เวลาที่ใช้อาจแตกต่างไปบ้างแต่ประสบการณ์ ความสุขและความภูมิใจที่ได้รับจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

3. การแสดงความขอบคุณและชื่นชมผู้อื่นเป็นเรื่องสำคัญ
คนที่เก่งและประสบความสำเร็จอย่างสูงบ่อยครั้งลืมความสำเร็จของคนอื่น “คนรอบตัวคุณจำไม่ได้หรอกครับว่าคุณทำอะไรให้เขา แต่เขาจำได้ว่าคุณทำให้เขารู้สึกเช่นไร” คุณลองคิดถึงความสุขและความรู้สึกที่คุณได้รับเมื่อมีคนแสดงความยินดีและชื่นชมในสิ่งที่คุณคิดหรือทำ มันเป็นช่วงเวลาที่พิเศษของคุณเลยใช่ไหมครับ คนอื่นก็จะรู้สึกเหมือนคุณเช่นกันหากคุณให้ความสำคัญในการแสดงความขอบคุณและชื่นชมคนรอบข้างสำหรับสิ่งที่พวกเขาคิดและทำด้วยความจริงใจ เป็นการเติมพลังให้กับพวกเขาในการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นอยู่เสมอและรู้สึกประทับในตัวคุณมิรู้ลืม

4. การประสบความสำเร็จอย่างสูงและมีเงินมากไม่ได้เป็นเครื่องหมายประกันว่าคุณจะมีความสุข
การประสบความสำเร็จในชีวิตจากการเป็นนักเรียนเกียรตินิยม การเป็นพนักงานดีเด่น การเป็นนักธุรกิจดีเด่นและเป็นเศรษฐีพันล้านไม่ได้เป็นการรับประกันว่าชีวิตคุณจะมีความสุข เพราะการประสบความสำเร็จเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง (Science) ส่วนการมีความสุขและรู้สึกเติมเต็มในชีวิตเป็นศิลป์ (Art) ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถหาซื้อหรือแลกได้ด้วยเงิน แต่คุณสามารถจะพัฒนาทั้งความสามารถในการประสบความสำเร็จและมีความสุขไปพร้อมกันได้ โดยเฉพาะการมีความสุขคุณสามารถทำให้ตัวเองมีความสุขตั้งแต่วันนี้ซึ่งยังไม่ประสบความสำเร็จได้ เพื่อเป็นพลังช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้นและมีความสุขเพิ่มมากยิ่งขึ้นในวันที่คุณประสบความสำเร็จ

ความฉลาดและเก่งในการประสบความสำเร็จเพียงด้านเดียวไม่ได้ช่วยให้คุณพบความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของชีวิต ลองสำรวจตัวคุณเองจาก 4 ความจริงที่คนฉลาดหลงลืมแล้วพัฒนาความสามารถในการสร้างความสุขให้กับตัวเองและคนรอบข้างไปพร้อมๆ กันดีกว่า

"20 ข้อที่แม่ควรสอนลูกชาย"



1.ฝึกเล่นกีฬา เพราะ กีฬาสอนให้รู้จักการชนะอย่างมีเกียรติ แพ้อย่างสง่างาม เชื่อฟังกติกา ทำงานเป็นทีม การแบ่งเวลา การขอเวลานอกเพื่อหาวิธีแก้เมื่อเจออุปสรรค

2.เวลาฉี่ให้ระวัง เพราะคนอื่นต้องมาทำความสะอาดที่เลอะ

3.หัดเก็บเงินตั้งแต่เล็ก เพราะวันหนึ่งลูกจะต้องใช้

4.ให้แม่สอนลูกให้รู้วิธีล้างจาน ทำอาหาร ซักผ้า รีดผ้า ดูดฝุ่น กวาดบ้าน ถูบ้าน เอาหล่ะ เราไปทำกันเลย

5.อย่ารังแกคน อย่าเป็นคนเริ่มทำร้ายผู้อื่น แต่ถ้ามีใครมาแกล้ง ก็ต้องป้องกันตัวเอง

6.การศึกษาและความรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครขโมยไปจากเราได้

7.จงเข้มแข็งและอ่อนโยนในคราวเดียวกัน

8.จงมั่นใจในตัวเองทุกครั้งที่ต้องปรากฏตัว

9.ผู้หญิงทำได้ทุกอย่างที่ผู้ชายทำ รวมถึงการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และ การตื่นขึ้นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกตอนตี 3 ดังนั้นจึงควรให้ความนับถือภรรยาเพื่อความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว

10."ครับผม" "ได้ครับ" จงพูดไว้ให้ติดปาก

11.เหตุผลที่เรียกว่า"ของลับ" ก็เพราะว่ามันไม่ควรโชว์ จงอย่าเกามันในที่สาธารณะ

12.เพื่อนเป็นสิ่งที่มีอิทธิพล จงเป็นผู้นำที่ดีแล้วผู้อื่นจะคล้อยตาม

13.ฝึกการเป็นผู้นำที่อบอุ่นและเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น

14.การเป็นคนจิดใจดี ดีกว่า การเป็นคนที่ถูกต้องเสมอ

15.จงฝึกเป็นคนมีอารมณ์ขัน จะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง

16.จงเลือกคนมาเป็นภรรยาอย่างตรึกตรอง

17.การให้ดอกไม้ภรรยาแบบไม่มีเหตุผล เป็นความคิดที่ดีเสมอ

18.เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว จงอย่าคาดหวังว่าลูกจะได้สิ่งใดจากภรรยา ถ้าลูกไม่สามารถให้สิ่งนั้นกับเธอ

19.ปฏิบัติต่อผู้หญิงทุกคนด้วยความสุภาพ โดยเฉพาะกับภรรยา ไม่เช่นนั้นลูกจะรู้สึกโดดเดี่ยวตลอดไป

20.และอย่าลืมที่จะโทรศัพท์หาแม่บ่อยๆ เพราะว่าแม่คิดถึงลูกตลอดเวลา

เครดิต Learning petals

8 หลักพิจรณาคุณค่าของตัวเองและคนที่คุณสนใจร่วมงานด้วย


1. ความสามารถในการสื่อสารกับตัวเอง
“ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มีความหมายจนกว่าคุณจะให้ความหมายสิ่งเหล่านั้น” การให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆ หรือการสื่อสารกับตัวเองเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในการประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิต คนที่มีค่าสูงจะมีความซื่อสัตย์และยุติธรรมต่อตัวเอง เขามักสามารถให้ความหายต่อสิ่งต่างๆ กับสิ่งที่เกิดในชีวิตและสามารถสื่อสารกับตัวเองไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองเพื่อทำให้เขาประสบความสำเร็จและมีความสุขได้อย่างสม่ำเสมอ

2. ความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่น
“คุณให้ความหมายกับผู้อื่นในแบบที่คุณเป็น” การสื่อสารของคุณต่อผู้อื่นสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อและตัวตนที่แท้จริงของคุณ ลองสังเกตุดูตัวเองว่าคุณแสดงออกอย่างไรกับคนแปลกหน้า แสดงออกอย่างไรกับคนใกล้ชิด คนที่มีค่าสูงจะให้เกียรติผู้อื่นเสมอไม่ว่าระดับความสัมพันธ์จะเป็นอย่างไร เขาเข้าใจและเคารพในความแตกต่างของผู้คน

3. ความปรารถนาอย่างแรงกล้าและกำลังใจ
“แชมเปี้ยนเกิดจากความมุ่งมั่นและพยายามมากกว่าความสามารถที่คุณมี” คนที่มีค่าสูงจะมีความชัดเจนในความต้องการของตัวเอง มีความมุ่งมั่น ความพลายามและมีขวัญกำลังใจสูงเพื่อทำสิ่งที่เขาต้องการให้สำเร็จ เมื่อเกิดความความผิดหวังหรือความล้มเหลวเขายอมรับผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วสามารถเรียกคืนความเชื่อมั่นในตัวเองเพื่อเรียนรู้และพัฒนาสิ่งต่างๆให้ดีขึ้นอยู่เสมอ

4. ความกล้าหาญ
คนที่มีค่าสูงจะมีความกล้าหาญอยู่เสมอ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคยกลัวสิ่งใดแต่เขาสามารถใช้ความกลัวเป็นพลังที่มีประโยช์ในการก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆเพื่อทำสิ่งที่ตัวเองต้องการให้สำเร็จ เขากล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเองที่เป็นประโยชน์อย่างมีเหตุมีผลและเป็นระบบถึงแม้จะเป็นความคิดเห็นที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่

5. การให้ความร่วมมือและช่วยเหลือผู้อื่น
คนที่มีค่าสูงเข้าใจถึงการให้ความสำคัญของคุณค่าในการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนอยู่เสมอ แม้ไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่แต่มันสามารถให้คุณค่าทางจิตใจอย่างมากต่อผู้รับและรู้สึกเติมเต็มให้กับตัวเขาเองในฐานะผู้ให้

6. ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่นและการให้อภัย
คนที่มีค่าสูงเข้าใจความจริงว่าทุกคนทำผิดพลาดกันได้ ไม่มีประโยชน์อะไรในการใช้ทั้งชีวิตแบกความไม่พอใจและความเกลียดชังไว้กับตัวเอง เขาสามารถให้อภัยทั้งตัวเองและผู้อื่น ให้โอกาสเรียนรู้ที่จะพัฒนาสิ่งต่างๆให้ดีขึ้นร่วมกัน

7. ประสิทธิภาพในการจัดลำดับความสำคัญ
ในโลกปัจจุบันที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนของบทบาทต่างๆในการใช้ชีวิต คุณต้องเป็นผู้ให้บริการที่ดีของลูกค้า เป็นผู้นำที่ดีของลูกน้อง เป็นคู่ชีวิตที่ดีของคนที่คุณรัก เป็นพ่อแม่ที่ดีของลูก เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนๆ และเป็นคนที่ดีของสังคมในขณะเดียวกัน คนที่มีค่าสูงจะมีความสามารถในการสร้างสมดุลย์ของชีวิตอย่างมาก เขาจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยมและใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่าในการใช้ชีวิตในแบบที่เขาต้องการอย่างมีความสุข

8. ความยืดหยุ่นและเปิดรับการเปลี่ยนแปลง
คนที่มีค่าสูงเข้าใจดีว่าเขาไม่สามารถควบคุมความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นภายนอกได้ แต่เขาสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในและสิ่งที่เขารู้สึกได้ 100% เสมอ เขาค้นหาจุดมุ่งหมายของชีวิตแลัวโฟกัสมุ่งมั่นและทุ่มเทความพยายามทำตามตุดมุ่งหมายนั้น โดยสามารถใช้ชีวิตที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้กับทุกความเปลี่ยนแปลงแต่เขายังเดินมุ่งหน้าสู่จุดมุ่งหมายเดิมอย่างไม่ย่อท้อ

บทเรียนชีวิต มนุษย์เงินเดือน


ชีวิตฉันตอนนี้ คิดว่าน่าจะ Level Up เข้าสู้การเป็นมนุษย์เงินเดือนขั้น 2 แล้ว แต่ก็ไม่รู้หรอกว่ามันมีกี่ขั้น เพียงแต่ว่า ใช้ความคิด ตัวเองในการคิดแยกแยะว่า มันผ่านช่วงชีวิตมนุษย์เงินเดือนแบบเดิมๆ มาแล้วมันเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ นั้นแหละ แสดงว่าเราได้ข้ามขั้นมาแล้ว ทั้งที่จริงๆ มันอาจจะอยู่กับที่ก็ได้ใครจะไปรู้ ฉันก็แค่อุปโลก มันขึ้นเองก็เท่านั้นเองแหละ
ด้วยชีวิตนี้ ได้เปลี่ยนงาน จากเดิมเข้างาน 9 โมง ออก 6 โมง ชิวๆ ทำงานไม่ต้องคิดอะไำรมากมาย แผนงานไม่ต้องชัดเจนมากนัก แต่สำหรับที่ใหม่ เข้างานเช้าขึ้น เริ่ม 8.30 แต่เลิก 6 โมงเหมือนเดิม ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไร เพียงแต่ฉันต้องเดินทางไกลกว่าเดิม เพราะเมื่อก่อนไปหาที่พักใกล้ที่ทำงาน ส่วนเรื่องงาน ก็ต้องชัดเจนว่าแต่ละวันจะทำอะไร ทุกอย่างต้องเปะๆ ฉันก็ถือว่านี่แหละเป็นอีกขั้นของการเป็นมนุษย์เงินเดือนแล้ว แต่ที่ใหม่ก็ยอมรับว่าฉันทำงาน ถึงจะหนัก จะเครียต แต่ก็ดีใจ เพราะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่อยากเรียนรู้มากมาย ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน ก็ยังยิ้มได้.. (ในใจนะ เพราะยิ้มออกมาจริงๆ คงยาก 555) คงเป็นเพราะ การซื้อใจแหละมั๊ง เพราะโดยส่วนตัวฉัน จะทำงานให้ใคร คนๆนั้น หรือ หัวหน้า ต้องซื้อใจฉันให้ได้เสียก่อน ส่วนตัวฉันเองเชื่อมาตลอดว่า การจะให้ใครทำงานให้ ถ้าเราซื้อใจเขาไม่ได้ ทำไมเขาจะต้องทำงานให้เรา และเรื่องนี้เอง ที่หัวหน้าเคยสอนฉันว่า
การจะให้คนอื่นทำงานให้นั้น มีเหตุผลที่เขาจะทำให้เราเพียง 3 ข้อเท่านั้น
1. เขาทำงานให้เพราะความเสน่หา มิตรภาพ หรือเพราะรัก
2. เขาทำงานให้เพราะมีผลประโยชน์ได้เสียกับเรา
3. เขาทำงานให้เพราะตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือ เพราะคำสั่ง
และฉันก็เชื่อว่าจริง เพราะสำหรับตัวฉันเอง จะทำงานให้ใครก็คงไม่พ้น 3 ข้อนี้อยู่ดี เพียงแต่ว่า ทำงานให้แล้ว คุณภาพดีไม่ดี นั้นอีกเรื่อง แต่ถ้าทำหรือไม่ทำ ก็คงเป็นไปตามเหตุผลทั้ง 3 ข้อนี้แหละ
ทุกครั้งที่เบื่อจากการทำงาน มักทำให้ฉันคิดว่า ทำไมชีวิตมัน ต้องมาวนลูป แบบนี้วะ เมื่อไหร่จะหลุดลูปแบบนี้ออกไปซะที จริงๆ แล้วไอ้การทำงาน รูทีน เนี่ยมันก็แสนจะน่าเบื่อนะ บางครั้งเราเจอพี่บางคนก็เกิดคำถามว่า เขาทำงานแบบนี้มาเป็นสิบๆ ปีแล้วจริงเหรอ ทนทำไปได้ไงวะ ไม่เบื่อหรอ ฉันเชื่อว่าหลายคนก็คงเจอ ประเด็นนี้คิดว่า มีหลายปัจจัยนะ เรื่องของ Gen น่าจะมีส่วน เท่าที่เคยศึกษามา เขาบอกว่า คน Gen X หรือ Baby Boom เนี่ยมักจะไม่ค่อยเปลี่ยนงาน จะทำงานเดิมๆ ซ้ำๆ สิบปีก็ทำได้่ ผิดกับพวก Gen Y ที่เบื่องานง่ายๆ ถ้าเห็นงานน่าเบื่อ ไม่ท้าทายก็คิดจะย้ายออก หรือไปหางานใหม่เอาได้ง่ายๆ
ไอ้ชีวิต รูตีน ..เอ้ย … รูทีน …เอ้ย… ถูกแล้ว! รูทีน เนี่ย มันมาจาก ภาษาอังกฤษที่ว่า Routine ซึ่งจริงๆแล้วไอ้ รูทีนเนี่ย มันก็คลอบคลุมไปถึงชีวิตประจำวันในทุกๆ ส่วนเลยหละ เรามักจะใช้แค่ งานรูทีน คือ งานที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน ซ้ำๆเดิมๆ เช่น ทำบันทึกการประชุมทุกครั้ง การทำรายงานยอดขายทุกสัปดาห์ ฯลฯ แต่จริงๆ แล้วชีวิตเรา มันก็ถูกกำหนดมาให้เป็น รูทีนอยู่แล้ว เช่น วันนึงต้องกินข้าว 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ตื่นเช้าต้องแปรงฟัน อาบน้ำ ตกเย็นก็ อาบน้ำ อย่างงี้เป็นต้น มนุษย์เราเหมือนถูกออกแบบมาให้เป็นอย่างนี้อยู่แ้ล้ว ดังนั้นไอ้รูทีน เนี่ยมันคงไม่ผิดอะไรหรอก มันคงจะอยู่ที่ มุมมองของเราต่างหาก อยู่ที่ทัศนคติของเราต่างหาก ว่าจะมองมัน หรือ ใช้ชีวิืตกับมันยังไง ให้มันไม่ซ้ำซาก ไม่น่าเบื่อ ซึ่งเรื่องพวกนี้ เราก็ทำมันอยู่เพียงแต่ว่า เราไม่เห็นเท่านั้นเอง อย่างการกินข้าวเป็นรูทีน เช้า กลางว้น เย็น เราก็แก้ไขมันด้วยการ หาอะไรกินแปลกๆ ใหม่ๆ ไม่ซ้ำเดิม ถามว่าทุกวันนี้ ถ้าเลือกได้เราอยากกินของเดิมๆ ทั้งสามมื้อเหรอ ก็คงไม่ อย่างงี้เป็นต้น ถ้าเราสามารถทำให้งานที่น่าเบื่อๆ สนุกขึ้นมาได้ ก็คงจะดี แต่ประเด็นก็คือ เราจะมองยังไงนั้นแหละ 55 5

สุดท้ายแล้ว ฉันก็คิดว่า ชีวิตเรามันก็ควรจะมีจุดมุ่งหมายด้วยกันทั้งนั้น ว่าอนาคตแล้ว ปลายทางชีวิต เราอยากจะเป็นแบบไหน หาเป้าหมายให้เจอแล้ว ก็ค่อยๆ เดินตามทางไปให้ถึง พอดีฉันไม่ได้เป็นสาวกศาสดาจ๊อบอ่านะ ที่จะต้องคิดว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพราะพรุ่งนี้จะตายแล้ว เนี่ย แต่สำหรับฉัน มันย่อมมีวันพรุ่งนี้เสมอ ทำวันนี้ให้ดี ถ้ายังไม่ดี ก็ยังมีพรุ่งนี้ให้แก้ตัว ..
พอดีว่าไปเจอ บทเรียนมนุษย์เงินเดือนใน Google ก็เอามาแชร์ให้อ่านกัน ถือว่าเป็นประสบการณ์จากรุ่นพี่ มนุษย์เงินเดือนดี
เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน
ไม่ว่าจะเป็นอดีตมนุษย์เงินเดือนหรือมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ ในปัจจุบัน มักจะรู้สึกเสียดายกับชีวิตการทำงานที่ผ่านมาเนื่องจากช่วงแรกๆ ของการทำงานไม่ค่อยตั้งใจและทุ่มเทมากนัก เนื่องจากตอนนั้นคิดว่าทำงานแลกกับเงิน ได้เงินน้อยก็ทำน้อย ที่ไหนให้มากก็ขยันขึ้นมาหน่อย คิดอย่างเดียวว่าถ้าขยันทำงาน เจ้านายจะติดใจและใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เหนื่อยอยู่คนเดียว มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อทำงานไปตั้งนานไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเสียที เด็กรุ่นใหม่ๆ ที่พึ่งเข้ามาแซงหน้าไปเสียแล้ว ที่สำคัญชีวิตช่วงแรกที่ทำงานมักจะเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าทำงานเหนื่อยกว่าตอนเรียน ดังนั้น วัยนี้คนทำงานบางคนก็เริ่มเที่ยว ดื่ม กิน ใช้ชีวิตเปลืองมาก เลิกงานเสร็จเที่ยวต่อจนดึกจนดื่น เผลอๆ บางวันใส่ชุดเดิมมาทำงาน (เพราะยังไม่ได้กลับบ้าน) แล้วจะทำงานดีได้อย่างไร กายและใจมาทำงานเพียงครึ่งเดียว เพื่อนบางคนก็มัวแต่ทำงานเพื่อค้นหาตัวเองว่างานที่กำลังทำอยู่นั้นใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่ บางคนก็ทำงานเพื่อรอโอกาสหางาน ใหม่ สุดท้ายชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆ แทนที่จะมีเส้นการเรียนรู้ที่สูงชันกลับกลายเป็นเส้นการเรียนรู้ที่แบนราบ อายุงานผ่านไป แต่อายุใจที่มีต่องานยังอยู่เท่าเดิม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะตั้งใจและขยันทำงานตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาทำงาน และจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่รับผิดชอบ และจะลดหรืองดการเที่ยวและดื่มให้น้อยลง เพราะตอนนี้ผลกรรมเริ่มสนองให้เห็นแล้วว่าการใช้ชีวิตแบบประมาทนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกายระยะยาว
เสียดายที่แต่งงานเร็วไปหน่อย
มนุษย์เงินเดือนเงินหลายคนเสียโอกาสในความก้าวหน้าในอาชีพไปเพราะรีบเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วเกินไป คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว หาเงินได้เองแล้ว ปกครองและดูแลตัวเองได้แล้ว ก็ริคิดที่จะไปเอาคนอื่นมาดูแลเพิ่มเติม (ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้ดูแลพ่อแม่ที่ส่งเสียให้เรียนมาจนจบ) เมื่อชีวิตแต่งงานเข้ามาเร็วชีวิตครอบครัวเข้ามาเร็ว ปัญหาประจำตำแหน่งชีวิตคู่ก็เข้ามาเร็ว ทั้งๆ ที่อายุงานและประสบการณ์ชีวิตในหน้าที่การงานยังน้อยอยู่ ทำให้ปัญหาครอบครัวเริ่มมาเป็นตัวถ่วงในเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ เพราะไหนจะต้องให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น เวลาที่ทุ่มเทกับงานก็น้อยลง ถ้าใครยังทุ่มเทกับงานมากอยู่อีกก็จะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เงินเก็บที่ยังไม่เต็มที่ก็ต้องควักออกมาใช้ เพราะมีลูกทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน คิดง่ายๆ ว่าในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อนเราที่ยังไม่แต่งงานเขามีเวลาทุ่มเทกับการทำงานเพื่อปีนป่ายขึ้นไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จ ในขณะที่เราต้องปีนป่ายเหมือนกับเขา แต่เราต้องกระเตงคู่สามีหรือภรรยาและลูกไปด้วย นึกดูเอาเองก็แล้วกันนะครับว่าใครจะปีนไปได้สูงและไกลกว่ากัน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานก่อนสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งมาบ้างแล้วจึงคิดจะแต่งงาน อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเก็บมาบ้างแล้ว หรืออาจจะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานที่เพียงพอต่อการหางานใหม่ที่มีตำแหน่งที่สูงกว่าก่อนจึงจะแต่งงาน และการที่เรามีเวลาทำงานผ่านไปสักระยะหนึ่งก็น่าจะมีเวลาในการคบหาหรือดูใจกับที่เราจะเลือกมาเป็นคู่ได้ดีขึ้น
เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ ความเสียดายข้อนี้เชื่อว่าเกินครึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่มีความรู้สึกแบบนี้ เพราะตอนเข้ามาทำงานแรกๆ เกือบทุกคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาศึกษาต่อ รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อนและรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป เช่น งานยุ่งไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน (เหตุผลเดิม คือ รอให้งานเข้าที่แล้วค่อยเรียน) ไม่มีเงินค่าเทอม ขี้เกียจอ่านหนังสือ สอบไม่ได้ (เพราะไม่ตั้งใจ) ใจอยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย เลือกที่เรียนมากเกินไป บางคนลองไปเรียนแล้วแต่ไปไม่รอดเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่าถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้นระดับนี้ ป่านนี้คงจะประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง เลยเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป มาถึงตอนนี้ก็แก่เกินเรียนแล้ว ยิ่งออกมาทำธุรกิจส่วนตัวถึงแม้เวลาจะมีมากขึ้น แต่กำลังใจมีน้อยลง แรงใจมีน้อยลง และไม่รู้จะเรียนไปทำไม เพราะงานธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูงๆ ก็ได้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ สักปีสองปี จะยอมอดทนไปสักระยะหนึ่ง และจะเรียนให้จบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว
เสียดายที่มัวแต่ทะเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า ปัญหาเพื่อนร่วมงาน บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก วันๆ เสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดกับมันบ่อยแทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองเลย ตอนนั้นลืมไปว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้ คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนผิด ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหา คนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว ปัญหาคนเก่าหายไป แต่….ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนนที่เราไม่ต้องไปสนใจกับมันให้มากนัก แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่ไกลหรือไม่ เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่ ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้ เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้ เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น

เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปีๆ ละครั้งสองครั้ง ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย เช่น เงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ฯลฯ แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนัก เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้งการเรียนรู้ (Learn) การทำงาน (Perform) และการพัฒนาปรับปรุงงาน (Improve) แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิต เพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต ชีวิตกำลังรุ่ง แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นาน เพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์ ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น
เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ “ เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดี “ เป็นคำพูดที่ได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆ แต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย เพราะไม่ได้จบ (เมือง) นอก และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้วเพราะมีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงานและจะเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ
เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆ จนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละ พูดง่ายๆ คืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วันๆ ก็ตื่นขึ้นมาไปทำงานเสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปีบางคนเป็นสิบปี มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร จะทำอะไร จะต้องได้อะไร และแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้าง อย่างไร
เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป คนบางคนไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย แต่ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย ตอนที่ทำงานอยู่รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขององค์กรที่ไม่ยอมเปลี่ยนงานไปไหนเลย แต่พอชีวิตการทำงานผ่านเลยไปก็รู้สึกเสียใจและเสียดายเหมือนกันที่ชีวิตการทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียว สังคมเดียว คนบางคนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไปช่วงเวลาที่กำลังรุ่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน พอจังหวะชีวิตผ่านไปก็คิดจะเปลี่ยนงาน ก็ทำได้ยากแล้ว เพราะเงินเดือนสูง อายุงานเยอะ แต่ตำแหน่งต่ำ ไปสมัครตำแหน่งที่สูงเกินไปเขาก็ไม่รับ สมัครในตำแหน่งที่เท่าเดิมก็แก่กว่าคนอื่นๆ (แถมเงินเดือนสูงอีกต่างหาก) ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะเปลี่ยนงานในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อปรับเพดานบินให้เหมาะสมกับอายุตัวและอายุงาน โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะต้องอยู่กับองค์กรใด องค์กรหนึ่งนานจนเกินไป
ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรจะเชื่อและเอาแบบอย่าง แต่ก็ไม่อยากให้มนุษย์เงินเดือนมองข้ามคำว่า “ เสียดาย “ ของมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ หรืออดีตมนุษย์เงินเดือนไป อย่างน้อยก็น่าจะนำไปเป็นคำถามตัวเองว่าเราอยากรู้สึกเสียดายในเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมือนรุ่นพี่ๆ หรือไม่ ถ้าไม่เราควรจะทำอย่างไรตั้งแต่วันนี้

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 118 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - ในหลวงของแผ่นดิน




รายการรักพ่อ118 ในหลวงของแผ่นดิน

พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน ห้องเรียนธรรมชาติ, ช่วงในหลวงในดวงใจ 20, ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว
http://www.youtube.com/watch?v=PFtJjFs8vTY


มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

10 กลยุทธ์ซื้อใจมนุษย์เงินเดือน



หากเป็นผู้อ่าน “บิสิเนสไทย” มาตั้งแต่ยุคบุกเบิก ผมเชื่อว่าผู้อ่านน่าจะคุ้นเคยกับการเขียนเรื่องของ “คน” ที่ผมหยิบยกมาเล่าอยู่เสมอๆ เพราะในยุคที่เศรษฐกิจ เดินหน้าด้วยนวัตกรรมอย่างทุกวันนี้ อะไรจะสำคัญกว่า “คน” คงไม่มีแน่ๆ
แต่ปัญหาเรื่องคน ก็ยังเป็นปัญหาน่าปวดหัวอันดับหนึ่งในทุกบริษัท โดยเฉพาะ “คนรุ่นใหม่” ที่บริษัทสรรหามาเพื่อหวังเป็นกำลังสำคัญในอนาคต แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว พนักงานใหม่เหล่านี้กลับไม่ค่อยทุ่มเท หรือไม่ก็ทำงานอยู่ไม่นานแล้วก็กระโดดไปสู่งานใหม่กันง่ายๆ

เป็นโจทย์ให้เราต้องมาคิดว่าอะไรเป็นตัวกำหนดมุมมองและทัศนคติของพนักงานใหม่เหล่านี้ ซึ่งจากการวิจัยพนักงานใหม่ ได้คำตอบว่าจะชอบบริษัทของเราไหม หรือจะทุ่มเททำงานใหม่ ขึ้นอยู่กับความรู้สึกครั้งแรกเป็นหลักครับ

พนักงาน 1 คนที่เข้าสู่องค์กรภายใน 1 ปีจะจงรักภักดีต่อบริษัท จะกระตือรือร้น หรือจะลาออกเร็วๆ หรือไม่นั้น จากการวิจัยพบว่าพนักงานที่เข้ามาในบริษัทจะถูกสัมภาษณ์สั้น ๆ 10-20 นาที ซึ่งเป็น First Impression เป็นความรู้สึกฝังอยู่ในใจในครั้งแรกที่รู้สึกต่อบริษัท

เขา จะทำที่บริษัทนี้ได้ดีแค่ไหน ทุ่มเทแค่ไหน หรือจะอยู่นานหรือไม่ ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้อยู่ที่เรื่องผลตอบแทนหรือสวัสดิการเป็นหลัก แต่เป็นสภาพแวดล้อมที่ได้ซึมซับจากการสัมภาษณ์ รวมถึงการให้ความสำคัญกับตัวเขาว่ามีคุณค่าแค่ไหน

หาก งานที่มี ตำแหน่งที่ได้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกผูกพัน หรือรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของ ก็จะทำให้เขามองเห็นอนาคต เห็นเป้าหมายของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น เรื่องอื่น ทั้งเงินเดือน สวัสดิการ ก็กลายเป็นเรื่องรอง

ผมรวบรวมมุมมองของพนักงานต่อบริษัทเอาไว้คร่าวๆ สำหรับผู้อ่านทุกท่านในวันนี้ 10 ข้อครับ
1. บริษัทนี้ คือบริษัทที่เราต้องทำงานด้วยจริงหรือไม่ ซึ่งความรู้สึกนี้เกิดจากข้อมูลหลายๆ ด้าน ทั้งจากในใจตัวเอง จากความรู้สึกที่ถูกสัมภาษณ์ จากข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ จากเว็บไซต์ จากความรู้สึกของพ่อแม่ และเพื่อน ถ้ามีการพูดว่าบริษัทนี้ดี ความรู้สึกของเราจะรู้สึกว่าคิดถูกต้องแล้ว
2. คนที่จะสมัครงานต้องคิดว่าเมื่อเข้าไปแล้วมีเวทีให้เขาหรือไม่ บ่อยครั้งที่พนักงานลาออกไม่ใช่เพราะไม่มีความสามารถหรือบริษัทไม่ดี แต่คือรู้สึกว่าไม่มีเวทีให้เขาได้โอกาสแสดงความสามารถ
3. เมื่อเข้าไปทำงานแล้ว สิ่งที่เรียนมา หรือความสามารถของเราใช้ได้ถูกทางหรือไม่ เพราะยิ่งตรงสายที่เรียนมา หรือตรงกับสิ่งที่รักและชอบก็ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
4. บริษัทนี้มีโอกาสที่จะเติบโตหรือไม่ และการเติบโตนั้นทำให้เรามีโอกาสเรียนรู้มากขึ้นหรือไม่ รวมทั้งมีโอกาสเจริญก้าวหน้าหรือไม่ หากเราต้องการเติบโตไปพร้อมๆ กับบริษัท
5. เมื่อทำงานแล้ว บริษัทมีความมั่นคงหรือไม่ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพราะทุกคนต่างก็ต้องการความมั่นใจด้วยกันทั้งนั้น
6. เงินเดือนเพียงพอหรือไม่ สวัสดิการเพียงพอหรือไม่ ซึ่งอย่างน้อยต้องเพียงพอกับความจำเป็นขั้นพื้นฐาน
7. ถ้าเราทำงานไปแล้วจะวัดผลเราด้วยวิธีไหน ยุติธรรมต่อเราหรือไม่ หรือมี KPI หรือไม่ ซึ่งจะทำให้วัดผลได้ชัดเจนกว่า
8. การเดินทางมาทำงานที่บริษัทมีความสะดวกหรือไม่
9. เมื่อมาทำงานแล้ว ใครอยู่แผนกไหน เจ้านายเราเป็นใคร และเริ่มคิดว่าเจ้านายจะมีโอกาสเข้าใจเราหรือไม่
10. เพื่อนร่วมงานในแผนกต่างๆ แต่ละแผนกใหญ่แค่ไหน เรามีโอกาสอยู่ร่วมกับเขาได้หรือไม่
ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานของมนุษย์เงิน เดือน ซึ่งบริษัทต้องไม่ปฏิเสธที่จะให้ความคิดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ พัฒนาคนให้กับบริษัท เพื่อให้คนรุ่นใหม่เกิดความกระตือรือร้น เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วม เกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันได้
ในความเป็นจริงแล้ว บริษัทเลือกพนักงาน และพนักงานก็เลือกบริษัทด้วย ในเมื่อบริษัทมีความคาดหวังต่อพนักงาน เขาก็ย่อมมีความคาดหวังต่อบริษัทเหมือนกัน ซึ่งถ้าทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันได้ โอกาสแห่งความสำเร็จร่วมกันก็คงอยู่ไม่ไกลนัก
ที่มา : เว็บไซต์ pattanakit

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

สติยิ่งมากยิ่งดี




สติ แปลกันโดยทั่วไปว่า ความระลึกได้ นึกได้ ความจริงการระลึกได้เป็นเพียงหน้าที่หนึ่งและหน้าที่แรกของสติเท่านั้น

สติในความหมายที่เต็มหมายถึง ความระมัดระวัง ความตื่นตัวเต็มที่ (หมายถึงจิตตื่นตัวนะครับ อย่าคิดมาก) ภาวะที่พร้อมเสมอในการคอยรับรู้สิ่งต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง

ในแง่จริยธรรม สติเปรียบได้กับนายยามที่คอยดูคนเดินเข้า-เดินออก คอยห้ามคนที่ไม่ควรเข้าไม่ให้เข้า คนที่ไม่ควรออกไม่ให้ออก นึกถึงบทบาทของอาบังที่เฝ้าบริษัทห้างร้าน หรือธนาคาร สำนักงานใหญ่ๆ สักแห่งจะเข้าใจดี

สติ จึงเป็นความไม่ประมาท ความยับยั้งชั่งใจตนเองมิให้เผลอทำความผิดความชั่ว พูดอีกนัยหนึ่ง สตินอกจากจะทำหน้าที่ระลึกนึกได้ หรือจำเรื่องที่ล่วงมาแล้วได้ ยังทำหน้าที่คอยยับยั้งใจมิให้ทำชั่ว และเตือนคนให้กระทำความดีด้วย

ปัจฉิมพุทธโอวาทที่ตรัสว่า "อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์คนอื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด" นั้น ถ้าแปลง่ายๆ ให้ฟังรู้ทันทีก็คือ "พวกเธอจงอย่าประมาท" หรือ "พวกเธอจงมีสติอยู่เสมอ" นั้นเอง

คนมีสติกำกับตัวอยู่เสมอ นับว่าเป็น "ผู้ตื่น" คนที่ตื่นอยู่ด้วยการมีสติอยู่กับตัวทั่วพร้อมทุก อิริยาบถ กิเลส (โลภ โกรธ หลง) ยากจะมีอิทธิพลเหนือจิตใจได้

เจ้าของบ้านที่ตื่นอยู่ โอกาสที่ขโมยจะขึ้นบ้านไปขโมยสิ่งของในบ้าน ย่อมยากจะเกิดขึ้น ทั้งหลายแหล่มีแต่ประเภทนอนกรนคร็อกฟี้ๆ นั่นแหละที่เป็นที่ "หวานคอแร้ง" ของบรรดานักย่องเบา ฉันใดก็ฉันนั้นแหละครับ

พระท่านว่า ธรรมะข้ออื่นๆ ต้องมีพอเหมาะพอดี จึงจะอำนวยประโยชน์ ถ้ามีมากเกินพอดี อาจให้โทษได้เช่น ศรัทธามากไป ทำให้เชื่องมงายไม่ลืมหูลืมตา โดนต้ม โดนตุ๋นได้ง่าย ปัญญามากเกินไปทำให้หัวแข็ง ยึดมั่นในตัวเองสูง ไม่ยอมเชื่อใคร สมาธิมากเกินไป ทำให้ติดสุข เพราะเวลาจิตมีสมาธิ ร่างกายจะขับสารชื่อ "เอ็นดอร์ฟีน" ออกมาทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า "เสพติดทางใจ" กลายเป็นคนเกียจคร้านเฉื่อยชาได้

แต่สติยิ่งมีมากเท่าไรยิ่งดี มีแต่คุณ ไม่มีโทษ ฉะนั้น เรามาสร้างสติกำกับทุกขณะจิตเถิด จะได้สมกับที่เป็นชาว "พุทธ" ผู้ตื่นเสมอ มีสติตื่นตัวตลอดเวลา กษณะประชาหลับใหล ชีวิตเราที่เกิดมา ไม่ไร้ค่าแต่อย่างใด

ฟ้าสางเมื่อใกล้ค่ำ/เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ข่าวสดออนไลน์, 3 กุมภาพันธ์ 2557


คุณค่าเศษไส้เทียน




หลายคนเมื่อผ่านการทำงานมาทั้งวัน พอหลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูร่างกายจิตใจที่อ่อนล้าให้มีเรี่ยวแรงอีกครั้ง ผู้เขียนมักจะอาศัยเวลาแดดล่มอากาศเย็นสบายยามค่ำได้สวดมนต์ไหว้พระ อย่างน้อยก็ได้ทำให้ใจตัวเองสงบลง และอาจได้คิดอะไรบางอย่างที่ผ่านเข้ามา

วันนี้ขณะที่กำลังนั่งจุดเทียนเล่มน้อยที่เหลือค้างจากคืนที่ผ่านมา เหลือเนื้อเทียนอยู่ไม่มาก จำเป็นต้องต่อเทียนเล่มใหม่ มือก็ล้วงเทียนจากถุงมาต่อเทียนที่ฐานเชิงเทียนด้วยการลนไฟที่ก้น

แต่แล้วก็เห็นที่ก้นเทียนมีเศษไส้เทียนที่ทำจากด้ายสีขาวพันกันยื่นยาวออกมา แสดงให้เห็นถึงความไม่รับผิดชอบของผู้ผลิตที่ไม่ตัดแต่งก้นเทียนให้เรียบร้อย ใจที่มีอคติจึงพยายามจับผิดเพิ่มอีก โดยการมองหาเทียนเล่มอื่นภายในถุงว่า มีเศษไส้เทียนมากน้อยเพียงใด

แน่นอนว่า เทียนหลายเล่มยังมีเศษไส้เทียนดังคาดไว้ ทำให้อารมณ์เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาตามความฟุ้งซ่านที่เก็บสะสมมาทั้งวัน

แต่พออารมณ์เริ่มสงบลง ความคิดดีๆ ก็พลอยปรากฏตัว เพราะด้ายสีขาวที่ก้นเทียนนั้น ช่วยทำให้ไฟติดและช่วยลนให้ก้นเทียนละลายเร็วขึ้น พอวางลงไปกับเชิงเทียนเลยง่ายกว่าเดิม

ไม่เท่านั้น ความคิดดีๆ ยังคงทำงานต่อ เพราะหลายสิ่งที่เราพบเห็นในแต่ละวันล้วนซ้ำๆ เดิมๆ ตั้งแต่เกิดจนหลับตาลง กลายเป็นความเคยชินที่เชื่อมั่นว่า ทุกวันเราก็คงจะเป็นอย่างนั้น แต่พอวันหนึ่งพบว่า สิ่งที่คิดไม่เป็นไปอย่างนั้น

ความหงุดหงิด ความเครียด ความเศร้าก็จะเริ่มเข้าควบคุมใจเราทันทีทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง จนสามารถแสดงอาการที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติทั้งทางสีหน้า พูดจาไม่ไพเราะ หรือรุนแรงสุดก็ทำร้ายกันและกัน

ทั้งหมดมาจากการที่เรามองหลายสิ่งด้วยใจที่แตกต่างกันไป ถ้าเราลองทำใจให้เป็นปกติแล้วมองจะพบว่า โลกนี้ตามที่เป็นจริง หรือลองพิสูจน์ผ่านการเอามือของตัวเราเอง ข้างหนึ่งจุ่มน้ำร้อน อีกข้างจุ่มน้ำเย็น แล้วเอามือทั้งสองออกมาแล้วจุ่มไปในน้ำปกติ มือข้างหนึ่งจะให้ความรู้สึกเย็น และอีกข้างหนึ่งให้ความรู้สึกว่าอุ่น

แต่ถ้าถามว่าเราร้อนหรือเย็นกันแน่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเราเป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่คนอื่นที่จะมาบอกเราได้ว่ามือนั้นควรรู้สึกอย่างไร?

ถ้าใจของเราจึงเป็นตัวเลือกทุกอย่างไม่ใช่มีใครอื่นมาเลือกให้ จะทุกข์หรือสุข จะดีหรือชั่ว เรานั้นก็เลือกได้เอง ฉะนั้น เราควรระวังใจตัวเองให้ดี ไม่ให้โดนหลอกด้วยราคะ โทสะ โมหะ มีสติ พิจารณาทุกอย่างให้ละเอียดก่อนลงมือทำ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจต่อการตัดสินใจในภายหลัง แต่ถ้าเราเลือกทำสิ่งใดไปแล้วทำให้รู้สึกไม่ดีตามมา ก็อย่าทำสิ่งนั้นอีก

เพราะวังวนของความทุกข์หรือความสุข มักเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ คือ "จิตใจ" สุดท้ายตอนจบก็คงไม่พ้นจากใจเราเช่นเดิม เหมือนไฟที่จุดเทียนแล้วก็ดับที่เทียนนั่นเอง

โดย คุณจักรกริช
สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ วัดสระเกศ
หน้าต่างศาสนา, ข่าวสดออนไลน์, 22 มี.ค.2557

ความรัก 2 แบบ




มนุษย์อยากมีความรัก หลายคนพยายามขวนขวายหาความรักกันตั้งแต่เล็กๆ จนเติบใหญ่ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ใช่ความรักบ้าง ไม่ใช่บ้าง

บางคนพอได้มาแล้วก็ไม่รู้จักฟูมฟักให้ความรักเติบโตผลิดอกสวยงามให้ชื่นชม กลับปล่อยให้แห้งแล้งเฉาตายไป หรือบางคนก็คร่ำครวญว่าหาความรักไม่ได้ ไม่มีความรัก เป็นด้วยเขาไม่รู้จักตัวตนของความรัก ไม่รู้จักคุณค่าของความรัก มารู้จักความรักกันบ้างดีกว่า ความรักแบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ คือ...

พวกแรก ความรักแบบพิศวาส (Erotic Love) เป็นความรักแบบหนุ่ม-สาวรักกัน มีความพิศวาส มีความต้องการทางเพศ มีความปิ๊ง กระสัน อยากสัมผัส อยากเป็นเจ้าของ รู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ความรักมา มีอารมณ์ฟูฟ่องตอนแรกพบและถูกตาแบบปิ๊งกัน เป็นเพราะมีการหลั่งสารฟีโรโมนในสมอง ทำให้เกิดความกำหนัด อยากใกล้ชิด หัวใจฟูฟ่อง มีความสุขสุดๆ

ความรักแบบนี้ทางจิตวิเคราะห์เรียกว่า Romantic Love เป็นรักแบบหวานแหววชนิดโลกนี้เป็นสีชมพูที่ใครๆ ก็อยากได้ แต่อยู่ไม่นาน เป็นรักแบบเด็กๆ วัยรุ่น เกิดง่ายดับง่าย เกิดใหม่ก็ได้ แต่มักจะแฝงความเจ็บปวดเอาไว้ในระหว่างรักกัน เพราะหวงแหน ระแวงกัน และจะเจ็บปวดมากขึ้น เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งเลิกรักไปก่อน เกิดอาการอกหัก รักเป็นพิษ

พวกที่สอง ความรักแบบเมตตา (Non–Erotic Love) เป็นความรักเพื่อนมนุษย์ที่ไม่ต้องการมีเซ็กซ์ ไม่มีความพิศวาส ไม่มีปิ๊งกัน ไม่ครอบครองกัน ไม่หวงแหน เป็นความรักที่พัฒนาขึ้นมาสูงกว่ารักแบบแรก เพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในโลกได้อย่างมีสันติสุข

เช่น ความรักระหว่างเพื่อนมนุษย์ ความรักของพ่อ-แม่ ลูก เพื่อน คนร่วมโลก ร่วมสังคม ซึ่งจะมีความปรารถนาดีต่อกันเป็นพื้นฐาน

รักแบบนี้ทางจิตวิเคราะห์เรียกว่า Anaclitic Love เป็นความรักที่มีวุฒิภาวะ รู้จักการให้มากกว่าการรับ มีความเป็นผู้ใหญ่สูงกว่าแบบแรก

ความรักของหนุ่ม-สาว มักเริ่มต้นจากแบบที่ 1 ต่อๆ ไปถ้าพัฒนาเป็นแบบที่ 2 ได้ก็จะทำให้ครองรักกันได้ยาวนาน อยู่กันยืด ส่วนการมีเซ็กซ์นั้นก็จะลดน้อยลง แต่สามารถมีได้มีบุตรธิดาต่อไป และมีความรักเอื้ออาทรสืบทอดไปถึงบุตรธิดาได้

ความรักแบบที่ 2 นี้เป็นความรักที่ครองโลกจริงๆ และสร้างสรรค์มาก แต่คนไม่ค่อยสนใจ มุ่งหาแต่รักแบบพิศวาส ทำให้ผิดหวังและไม่อยากรักมนุษย์คนอื่นๆ ด้วย โลกจึงแลดูแห้งแล้ง

เมื่อรู้ว่าความรักมี 2 แบบแล้ว คนที่คิดว่าตัวเองไม่มีความรักหรือหาความรักไม่ได้คงเปลี่ยนใจ แล้วเราสามารถมีความรักได้ทุกคน และควรจะชื่นชมกับความรักเหล่านั้นด้วย

ลองค้นหาตัวเองซิว่า ขณะนี้เรามีความรักแบบไหนอยู่ในตัวเราบ้าง จงชื่นชมกับความรักเหล่านั้นเถิด แม้รักแบบแรกจะกลายเป็นแบบที่ 2 ไปแล้วก็ไม่เสียหายเลย จงชื่นชมกับมันให้มากขึ้นดีกว่า แล้วความรักจะทำให้คุณรักชีวิตตัวเองได้มากขึ้น รู้สึกมีค่ามากขึ้น ความสุขจะหลั่งไหลมาหาคุณทุกวัน
===================
โดย ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ
คอลัมน์ โลกและชีวิต/แนวหน้าออนไลน์

นานาจิตตัง




เทียบความลึกของมหาสมุทรกับความสูงของตึกชื่อดังและภูเขา คนเรามีความต้องการที่ไม่เคยสิ้นสุด ทั้งๆ ที่พอรู้ว่าเมื่อได้มาแล้วจะเกิดปัญหาก็ยังอยากได้ ตึกสูงระฟ้า เป็นสิ่งหนึ่งผมยากจะเข้าใจว่า ทำไมถึงแข่งกันสร้างนักหนา

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือเมื่อ 60 ปีที่แล้ว "ตึกเอ็มไพร์สเตต" ของสหรัฐอเมริกาที่สูงแค่ 300 กว่าเมตร ครองตำแหน่งตึกสูงที่สุดมานาน จากนั้นก็ถูกแซงหน้าโดยตึกในประเทศตัวเองบ้าง หรือโดยไต้หวันบ้าง ล่าสุดก็เป็นตึกของดูไบที่สูงกว่า

แล้วตึกของดูไบก็กำลังร่วงลงเมื่อถูกเบียดด้วยตึกในซาอุฯ ที่สร้างเป็นหอนาฬิกา แต่ยังไม่ทันไรก็มีอีกตึกที่กำลังจะขึ้นที่ซาอุฯ เหมือนกันที่สูงกว่า คือด้วยความสูง 1 ก.ม. ผมเชื่อว่าแม้แต่ผู้สร้างเองก็หาเหตุผลดีๆ มาอธิบายไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงต้องการสร้างมัน? เหตุผลดีๆ นะครับ ไม่ใช่เหตุผลที่ว่าอยากดัง

ซึ่งก็คงคล้ายๆ กับ Chinese Dream ในวันนี้ อะไรคือสิ่งที่คนจีนทั่วไปต้องการในวันนี้ คำตอบคือความรวย แต่วิธีง่ายๆ ที่จะแสดงความรวยของคนจีนวันนี้คืออะไร? คำตอบคือรถเก๋งส่วนตัว

วันนี้จีนมีประชากร 1,300 ล้านคน มากที่สุดในโลก ส่วนรถในจีนซึ่งมีอยู่ 137 ล้านคัน ก็คงมากที่สุดในโลกเช่นกัน ในปีที่แล้ว (2013) ยอดขายรถในจีนคือ 21.9 ล้านคัน แซงหน้าสหรัฐ ซึ่งมียอดขายแค่ 15 ล้านคัน รถในจีนในยี่ห้อและรุ่นต่างๆ รวมได้ 600 กว่ารุ่นในปีที่แล้ว ส่วนสหรัฐมีแค่ 300 รุ่นเศษๆ เท่านั้น

ขณะเดียวกัน คนจีนต้องพบจุดจบเสียชีวิตบนท้องถนนสูงถึง 275,000 กว่าคน/ปี ส่วนคนอเมริกันตายเพราะรถยนต์แค่ 35,000 คนเท่านั้น และแม้ว่าจะคิดเป็นสัดส่วนกับจำนวนประชากร คนจีนก็มียอดคนเสียชีวิตสูงเอามากๆ

มีคนคิดกันเล่นๆ ล่วงหน้าว่า วันนี้คนอเมริกัน 3 คนจะมีรถ 2 คัน ส่วนจีนในวันนี้ 10 คน จึงจะมีรถแค่ 1 คัน ฉะนั้น จะเกิดอะไรขึ้นหากคนจีนจะมีรถกันมากกว่านี้ หรือใกล้เคียงคนอเมริกัน

เพราะดูคนจีนมีทัศนะในเรื่องรถที่น่ากลัวมาก คือคิดว่ารถคือสิ่งโชว์สถานะสังคมของตน ต้องมีให้ได้ ไม่มีถือว่าเป็นคนที่ไม่ประสบผลสำเร็จในชีวิต และแม้ว่ารัฐบาลจีนจะพยายามจำกัดจำนวนรถ ด้วยการหาทางให้คนซื้อยากขึ้น และซื้อแล้วก็วิ่งทุกวันไม่ได้ (ด้วยการดูป้ายทะเบียน)

วิธีนี้เลยยิ่งกลายเป็นเรื่องเข้าไปอีก เพราะเมื่อคันนี้ (ป้ายทะเบียนนี้) ขับไม่ได้ทุกวัน ก็ต้องหาคันที่สองให้ได้ จะได้เอามาขับสลับกัน? คิดกันได้อย่างไง ทั้งรัฐบาลและชาวบ้าน นี่ไงถึงเรียกว่า Chinese Dream

อินไซด์ต่างประเทศ/วิจักขณ์ ชิตรัตน์
ข่าวสดออนไลน์, 30 มี.ค.2557

คนทุกคนล้วนเกิดมาไม่สมบูรณ์แบบ


คนทุกคนล้วนเกิดมาไม่สมบูรณ์แบบ
ต่างก็มีข้อบกพร่องบางประการในชีวิตของตนเอง
ธรรมชาติต้องการให้เรามองเห็นสภาวะธรรมนั้น
เพื่อเรียนรู้ที่จะยอมรับและทำความเข้าใจในกฎแห่งกรรม

ใช้พื้นที่ของความไม่สมบูรณ์แบบที่มีอยู่
เพื่อฝึกฝนที่จะรักตนเองอย่างไม่มีเงื่อนไข
และพัฒนาข้อบกพร่องเหล่านั้นให้ดีขึ้นด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง
เราจำเป็นต้องเกิดมาอย่างบกพร่องก็เพื่อเรียนรู้้สิ่งเหล่านี้

เช่นนั้นแล้ว ..
จงเลิกเพ่งโทษไปที่ความบกพร่องในชีวิตของตน
เลิกใช้ชีวิตราวกับสิ่งเหล่านั้นเป็นปมด้อยที่ร้ายกาจ
ใช้ชีวิตเหมือนคนโง่ที่มองเห็นเพียงสิ่งที่ขาดในชีวิต

จนลืมมองความจริงไปว่า ..
ไม่ว่าใครในโลกก็ล้วนมีความบกพร่องไม่ต่างจากเราด้วย
แต่เขาเหล่านั้นก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขได้

จงพิจารณากลับมาที่ตนเองด้วยปัญญาว่า
ตกลงที่เราเป็นทุกข์มากมายนั้น
เป็นเพราะความบกพร่องในชีวิตที่มีอยู่
หรือตัวเราเองไม่ฉลาดรับมือกับมันกันแน่

ڪے

•♥τнänκ чöü♡•♥ #นาราธัม

ความรักความเข้าใจ




คนที่มีเสน่ห์คือคนที่พยายามเข้าใจผู้อื่น
ไม่ใช่ให้ผู้อื่นพยายามเข้าใจตน
ความเข้าใจสำคัญกว่าความรัก
ความรักที่ปราศจากความเข้าใจ
ทำให้อึดอัดและขัดแย้ง
ส่วนความเข้าใจแม้จะไม่มีความรัก
ก็ยังทำให้ปลอดโปร่งแจ่มใส
ถ้าทั้งรักและเข้าใจก็จะยิ่งดี
ความเข้าใจทุกอย่างย่อมให้อภัยได้ทุกอย่าง
การให้อภัยเป็นทางที่จำเป็นอย่างหนึ่ง
ในมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม
ทำให้อยู่กันเป็นสุขไม่จองเวรกัน

ڪے

ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 117 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - องค์ภูมิพล





รายการรักพ่อ117 องค์ภูมิพล

พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน คืนกล้วยไม้สู่ไพรพฤกษ์ , ต่อลมหายใจ รองเท้านารี ราชินีกล้วยไม้, คุยกับ ณุ บูรพากับ 4 เพลงพิเศษ - ฟิฟทีนมูฟ, ฝนหลวง, บูรพา, ม ม้า มมิตร,, ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว
http://www.youtube.com/watch?v=uTnjAjhjsDM


มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

"เมื่อทำความรู้จักกับใครคนหนึ่ง


"เมื่อทำความรู้จักกับใครคนหนึ่ง
ให้ตั้งการ์ดไว้เลยว่าตัวตนของคนๆ นั้น
สร้างขึ้นจากกรรมขาวและกรรมดำ˛°./•
ถ้าใครสามารถทำแต่กรรมขาวอย่างเดียว
ไม่ต้องทำกรรมดำเลย
ก็คงไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
หลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์แล้ว
เมื่อคิดได้อย่างนี้.¸¸¸.
คุณจะได้ไม่ตั้งความคาดหวังในคนๆ หนึ่งไว้สูงจนเกินจริง
และที่สำคัญคือจะได้ไม่ต้องหลงภาพฝันที่วาดขึ้นเอง
หลงหัวปักหัวปำเอง แล้วผิดหวังช้ำใจเอง"

ڪے

- รักแท้มีจริง -
•♥τнänκ чöü♡•♥#KDungtrin

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

สาระจาก Farmer Info - วิธีทำความสะอาดไต



- การปลูกโสนอัฟริกัน เป็นปุ๋ยพืชสดก่อนปลูกพืชหลัก จะช่วยปรับดินเค็มให้ดีขึ้น การแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำร้อน 10 นาที + น้ำกรด 30 นาที จะงอกได้ 95%
- เราสามารถใช้มีดผ่าไข่ต้มให้สวยได้ เพียงนำมีดไปผ่านน้ำร้อนให้มีดร้อนก่อน แล้วนำมาผ่าไข่ต้ม เท่านี้เราก็จะได้ไข่ต้มสวยงาม น่ารับประทาน
- การทำอาหารปลาดุก เร่งการเจริญเติบโต ป้องกันโรค และช่วยทำให้ปลามีรสชาตอร่อย ไม่เหม็นคาว ศึกษาวิธีการทำได้ที่ www.rakbankerd.com
- เมื่อกล้วยน้ำว้าจากสวนสุกงอมจนกิน หรือขายผลผลิตไม่ทัน แนะให้นำมาทำขนมกล้วยสูตรโบราณแสนอร่อย ติดตามสูตรเด็ดได้ที่ www.rakbankerd.com
- วิธีทำความสะอาดไต ให้ไตแข็งแรงแบบง่ายๆ เพียงใช้ผักชีหั่นซอย + น้ำต้ม 10 นาที หรือปั่น แล้วคั้นสดๆ ดื่มทุกเช้า ไตสุขภาพดีจะเป็นของคุณแน่นอน

สาระจาก Farmer Info - สูตรผิวหน้าเนียมนุ่ม



- เพลี้ย-หนอน-แมลงถั่วฝักยาวตายเกลี้ยงด้วยสูตรฝักคูณแก่ทุบ 5 ฝัก + EM 50cc + กากน้ำตาล 50 cc + น้ำปัสสาวะเล็กน้อย หมัก 7 วัน ใช้ 100cc/น้ำ20 ลิตร
- รับสมัครผู้เข้าอบรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงาม 14-15 พ.ค.2557 ณ ตึกจุฬาภรณ์ กรมประมง และ ศพช.สมุทรสาคร สอบถามรายละเอียด โทร. 0-2579-4496
- สศข.6 เกาะติดผลไม้ภาคตะวันออก เพื่อเป็นข้อมูลใช้วางแผนบริหาร จัดการผลไม้ คาด ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกองให้ผลผลิตทะลุ 7.7 แสนตัน
- ปลาส้มสองพี่น้องมั่งมี ของดีหนองหลวงเวียงชัย ผู้ที่สนใจการทำปลาส้ม สามารถทำได้ด้วยตนเองที่บ้าน ศึกษาวิธีทำ คลิ๊ก www.rakbankerd.com
- ผิวหน้าเนียมนุ่ม ผุดผ่อง เพียงล้างหน้า ซับให้แห้ง ใช้สำลีชุบน้ำนมเช็ดทั่วใบหน้า / ลำคอ ทิ้งไว้ 2-3 นาที นวดเบาๆ แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด

สาระจาก Farmer Info - แก้ทอดปลาติดกระทะ



- แก้ปัญหาทอดปลาติดกระทะ ใช้เกลือป่น คั่วในกระทะด้วยไฟอ่อนๆ จนเป็นสีเหลือง 5-10 นาที ตักเกลือออก เช็ดกระทะให้แห้ง ใส่น้ำมันทอดปลาปกติ
- ดีท็อกซ์ลำไส้ บำรุงผิวพรรณด้วยน้ำหมักจากมะเฟืองเปรี้ยว 3 กก. + น้ำผึ้ง 1 ลิตร +น้ำ 1ลิตร หมัก 6 เดือน เปิดฝาคนทุก 7 วัน ดื่ม 2 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอนทุกคืน
- นำยอดอ่อนต้นสะตอเบา สับแล้วผสมกับอาหารให้ไก่ อัตราส่วน 0.5 : 1.50 กก. ให้ไก่ไข่กินเช้า - เย็น  อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ไก่จะออกไข่ฟองใหญ่ขึ้น
- ทุกภูมิภาคฝนฟ้าคะนอง ควรหลีกเลี่ยงการปล่อยให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในที่โล่งแจ้ง ขณะฝนฟ้าคะนอง อาจเกิดฟ้าผ่า อันตรายต่อสัตว์และผู้เลี้ยง
- อ.ส.ค. เตรียมแผนเจาะตลาดส่งออกนมพร้อมดื่มในใต้หวัน เนื่องจากมีนักธุรกิจ / ตัวแทนจำหน่ายสนใจนำเข้าผลิตภัณฑ์นม ไทย- เดนมาร์กไปจัดจำหน่าย

สาระจาก Farmer Info - ปรุงพริกแกงเผ็ด




- เมื่อปลาดุกพร้อมผสมพันธุ์ ให้แยกออกมา แล้วอดอาหาร 15 วัน ก่อนฉีดออร์โมน จะรีดไข่ / น้ำเชื้อได้ง่าย เพราะไขมันที่ผนังท้องปลาดุกจะหายไป
- กรมประมง เตือนผู้ระกอบการเรือประมง 22 จังหวัดชายฝั่งทะเล ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย ตั้งแต่บัดนี้ - 31 พ.ค.นี้
- กรมส่งเสริมฯ แนะชาวสวนลำไย ควรหมั่นตัดแต่งช่อดอก / ปลิดผลในช่อที่ติดลูกดก เพื่อลดการแย่งอาหาร -  เพิ่มคุณภาพผลผลิต - ไม่ถูกกดราคา
- หากปลาเค็มมีรสจัด ให้ละลายเกลือ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำสะอาด แช่ปลาเค็มไว้ 30 นาที นำขึ้นตากแดด 1 แดด ความเค็มจะลดลงและเก็บไว้ได้นาน
- เคล็ดวิธีที่คนไทยโบราณใช้ปรุงพริกแกงเผ็ด ให้มีกลิ่นหอม น่ากิน คือ การใส่รากผักชีสะอาด 3-4 รากลงไปเป็นส่วนผสมลำดับสุดท้ายด้วยทุกครั้ง

วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

ในสายลมมีเรื่องราวมากมาย...


ในสายลมมีเรื่องราวมากมาย...
บางสายลม พัดพาเรื่องเก่ามาโลมลูบกายให้หนาวสั่นหวั่นไหว บางคนไม่ยอมปล่อยให้มันผ่านไป กลับขังตัวเองไว้ในห้องหับพิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำ ราวกับกลัวว่า สายลมใหม่จะพัดพาเรื่องเก่านั้นให้ปลิวหายไป...

อดีตนั้นมีค่า แต่ไม่ควรเอามาล่ามขาไว้ จนทำให้ก้าวไปข้างหน้าไม่ได้...

เช่นเดียวกัน หากริเปิดพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวสำหรับเก็บเรื่องเก่า จงกำหนดเวลาเปิดปิดให้ดี- - อย่าปล่อยให้อดีตแต่หนหลัง มาบดบังทางข้างหน้า จนเดินต่อไปไม่ไหว!

ڪے

•♥τнänκ чöü♡•♥- #ปะการัง -

เมื่อใดที่รักตัวเองน้อยลง เมื่อนั้นจึงจะรักผู้อื่นได้มากขึ้น


เมื่อใดที่รักตัวเองน้อยลง เมื่อนั้นจึงจะรักผู้อื่นได้มากขึ้น
--------------------------------------: อาจารย์ศุภวรรณ กรีน
<
>
สิ่งที่แน่นอนของชีวิตมนุษย์คือ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ดังที่ชาวพุทธมักพูดว่า ทุกอย่างเป็นอนิจจัง โดยเฉพาะความรู้สึกของคนเรา ยิ่งเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก วันนี้อาจจะรู้สึกมั่นใจเหลือเกินว่าสิ่งที่เราตัดสินใจทำลงไปนั้นถูกต้องล้านเปอร์เซนต์ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป มีเหตุการณ์ที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนเกิดขึ้น กลับไม่แน่ใจในการกระทำของตนเองเสียแล้ว โดยเฉพาะการแต่งงานซึ่งเป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต ไม่ว่าเราจะแต่งงานด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ และหากมีลูกด้วยกันแล้ว เราไม่สามารถย้อนเข็มนาฬิกากลับได้อีกต่อไป ไม่สามารถเอาคู่ครองและครอบครัวของเรากลับคืนให้ใครได้ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือ การดูแลครอบครัวของเราให้เจริญงอกงามด้วยความรัก ความอบอุ่น พยายามสร้างสิ่งสวยงามให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อถึงยามแก่เฒ่าแล้ว สิ่งมีค่าที่สุดสำหรับชีวิตของเราคือ เหตุการณ์อันเนื่องกับความทรงจำในอดีตเท่านั้นที่จะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้ชีวิตมีชีวาขึ้นมาได้ หากชีวิตครอบครัวของเราเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่มีแต่ความสุขแล้วละก็ เราในฐานะที่เป็นพ่อหรือแม่ก็สามารถภูมิใจในตนเองได้ว่า เราเป็นผู้สร้างสิ่งงดงามเหล่านั้นขึ้นมา แต่หากรูปการณ์เป็นไปในทางตรงกันข้ามแล้ว ชีวิตในยามแก่เฒ่าของเราย่อมเต็มไปด้วยความเสียใจ ขมขื่น รู้สึกสำนึกผิด และสิ่งที่มักจะพูดกับตนเองคือ ถ้าหากสามารถย้อนเข็มนาฬิกาได้แล้วละก็ จะทำทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราได้ทำไป ซึ่งแน่นอน เราไม่สามารถย้อนเข็มนาฬิกาได้อีกแล้ว

ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ตื่นเต้น หรือเจ็บปวด เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน มันเปลี่ยนแปลง จากสุขก็กลายเป็นทุกข์ และกลายเป็นสุขและทุกข์อีก จากความตื่นเต้น ก็กลายเป็นความเบื่อหน่าย แล้วก็ตื่นเต้นเบื่อหน่ายอีก อยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่เป็นภาพรวมที่ผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมากเท่านั้นจึงจะดูออก เป็นความรู้ที่มากับอายุ ยิ่งมีอายุมากขึ้น ก็จะยิ่งดูออกว่าชีวิตมันก็แค่นี้เอง
-
-
-
ฉะนั้น การจะทำให้ชีวิตคู่ประสบความสำเร็จมากขึ้นนั้น เจ้าของชีวิตจะต้องรู้จักอดทนเมื่อถูกมรสุมชีวิตพัดกระหน่ำ ต้องพยายามแก้ปัญหาด้วยความอดทนและเห็นแก่ตัวน้อยที่สุด ต้องรู้ว่าเหตุการณ์ที่เจ็บปวดเหล่านั้นจะไม่อยู่เช่นนั้นตลอดไป มันจะเปลี่ยนแปลง และดีขึ้นได้ หากให้เวลากับมัน จึงไม่ควรตีโพยตีพายหรือตัดช่องน้อยแต่พอตัว หลบหนีปัญหาโดยเอาตัวเองให้รอดก่อน ใครที่ทำเช่นนี้ ย่อมไม่ได้สร้างสิ่งงดงามในชีวิตให้ตนเองได้ชื่นชมในยามแก่เฒ่า นอกจากนั้น หากมีเหตุการณ์ที่นำความสุข ตื่นเต้น หวือหวา เดินผ่านหน้าบ้านของเราแล้ว ก็ต้องรู้เช่นกันว่า เหตุการณ์นั้นจะไม่อยู่ยงคงกระพัน มันจะต้องหายไป จึงไม่ควรพาใจตนเองเข้าไปกอดรัดอย่างเต็มที่ราวกับว่ามันจะอยู่อย่างถาวร เพราะเมื่อมันผ่านไปแล้ว เราจะได้ไม่เจ็บปวดและโหยหา แต่จะทำให้เราฉลาดขึ้น เพราะนี่คือชีวิต ไม่มีอะไรคงทนถาวรสักสิ่งเดียว ลูกเล็กๆ ที่เคยน่ารัก ไร้เดียงสา ว่านอนสอนง่ายนั้น สักวันหนึ่ง ความไร้เดียงสาเหล่านั้นต้องหมดไป ในที่สุด เขาต้องแต่งงาน ออกจากบ้านและสร้างรังใหม่ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือ ยอมรับทุกอย่างที่มาปะทะเราด้วยจิตใจที่หนักแน่น ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ ต้องพยายามเข้าใจกฎสากลของธรรมชาติอันคือ ความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง

ڪے

•♥τнänκ чöü♡•http://www.supawangreen.in.th/

ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น


ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น
ทำให้เกิดความกระวนกระวายฟุ้งซ่าน
ความอยากรู้อยากเห็นที่มาของความฟุ้งซ่านในตน
ทำให้ความกระวนกระวายฟุ้งซ่านระงับลง

แต่ละความอยาก เป็นต้นเหตุของทุกข์
ทว่าความอยากรู้เรื่องจิตใจตนเอง
ก่อทุกข์เพียงน้อยในระยะสั้น
แล้วสร้างสุขมากมายในระยะยาว
นั่นเพราะเมื่อรู้กลไกการทำงานของจิต
ย่อมเห็นการการแล่นออกไปไขว่คว้าเรื่องนอกจิต
ว่าเป็นของรกอารมณ์เหมือนหลงเข้าป่า
กับทั้งพบว่า การรู้เข้ามาในจิต
เป็นไปเพื่อความปลอดโปร่งเหมือนเจอทางออกจากป่า

อยากเข้าป่า จะเจอทางเข้าป่า และหลงติดอยู่ในป่า
อยากออกจากป่า ไม่แน่ว่าจะเจอทางออก
และไม่แน่ว่าจะออกมาสำเร็จ
ผู้รู้อยู่ภายใน ไม่ส่งแส่ออกนอกเท่านั้น
พึงเบาใจว่า ตนพบทางออกแล้ว

ڪے

•♥τнänκ чöü♡• K.#Dungtrin

"ทำไมนะคนเราถึงโหยหาที่จะมีความรัก"




นอกจากความเรียกร้องของสัญชาตญาณทางเพศแล้ว คนหนุ่มสาวหลายคนกำลังโหยหาความรัก เพราะไปสำคัญว่าความรักนี่แหละจะช่วยผลักไสให้ความเหงาและความโดดเดี่ยวที่ตนกำลังเผชิญอยู่ห่างออกไปได้ ทั้งที่มีหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย กลับเหงาและโดดเดี่ยวมากขึ้นเมื่อมีความรัก พร้อมทั้งวิตกกังวลและว้าวุ่นใจเพราะคนที่รัก

เมื่อเราปรารถนาให้ใครสักคนมาอยู่ข้างกายหรือเป็นคู่รัก เราไม่มีทางรู้เลยว่าเหตุการณ์ต่อไปในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” เพราะความรักมีอีกชื่อหนึ่งว่า “กามตัณหา” ซึ่งคือกิเลสอันเจือด้วย ราคะ เฝ้าแต่เรียกร้องต่างๆนานาให้ตอบสนองกันและกันอย่างไม่สิ้นสุด ดังนั้นเมื่อเรากำลังเหงาและว้าเหว่จากการไขว่คว้าหาความรักอยู่ล่ะก็ โปรดตระหนักรู้ว่า #เราทุกข์เพราะ_ความเหงาเท่านั้นเอง มันไม่ได้เลวร้ายอะไรเท่าไหร่เลย ความเหงาเป็นเพียงคลื่นความคิดที่ผ่านเข้ามาเยี่ยมเยือนใจเราและก็ผ่านออกไป ขอให้การตระหนักรู้นี้อาบรดจิตใจของเราอยู่บ่อยๆ

ڪے

Thk U.#แค่รู้_ก็ไม่หลงทางรัก < #Dungtrin

นิสัยด่วนสรุปของเราเองนี่แหละที่ทำให้ต้องผิดหวัง


นิสัยด่วนสรุปของเราเองนี่แหละที่ทำให้ต้องผิดหวัง การเชื่อมั่นสิ่งใดเร็วเกินไป มั่นใจกับสิ่งใดมากเกินควร ปักใจเชื่อจนแน่น ถอนไม่ขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนละเลยความไม่แน่นอนในอนาคตที่พร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา ความเปลี่ยนแปลง ความรู้ใหม่ สิ่งที่เรายังไม่รู้แล้วเพิ่งได้รู้ และอื่นๆ อีกมากมาย
อย่าได้รีบมั่นใจกับสิ่งใดหรือความคิดตัวเองจนเกินไปนัก เผื่อที่ว่างให้กับความไม่มั่นใจไว้บ้าง ชีวิตที่ผ่านมาก็บอกกับเราอยู่เสมอมิใช่หรือว่า เรามักเข้าใจผิดอยู่เรื่อยๆ

มั่นใจให้น้อยลง อาจจะทุกข์ใจน้อยลง รวมถึงถกเถียง ทะเลาะเบาะแว้งน้อยลงด้วยเช่นกัน ใช่หรือไม่ว่า ความมั่นใจที่ล้นเกิน บางครั้งเกิดจากการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง และมองโลกในมุมตัวเองเพียงแคบๆ เท่านั้น

ڪے

#Roundfinger

หน้าตาไม่ใช่โอกาสทางความรัก


หน้าตาไม่ใช่โอกาสทางความรัก
แต่เป็นโอกาสทางความหลง
เพราะหน้าตาเหมือนแม่เหล็กดึงดูดใจให้ติด
แต่ไม่ได้ประกันว่าที่ติดนั้น
เป็นการเสพติดสุขหรือเสพติดทุกข์กันแน่

นิสัยใจคอก็ไม่ใช่โอกาสทางความรัก
แต่เป็นโอกาสทางความสุข
เพราะนิสัยใจคอไม่ใช่แม่เหล็กที่ดึงดูดได้ทันที
ต้องใช้เวลาในการเห็นน้ำใจและวิธีคิดกันนานๆ
จึงจะรู้ว่าคนคนหนึ่งเหมือนบ้านอบอุ่นหรือคุกอันตราย

ความมีแก่ใจเกื้อกูลกันและกันคือโอกาสทางความรัก
พระพุทธเจ้าตรัสว่าต่อให้อดีตเคยอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา
แต่ถ้าไม่เกื้อกูลกันและกันในชีวิตนี้ ความรักก็เกิดขึ้นไม่ได้
แล้วถึงแม้รักแต่กลับไม่ซื่อต่อกัน ความรักก็อยู่ไม่ได้นาน
ความรู้สึกอ่อนหวานและอยากอยู่ด้วยกันนานๆ
เกิดขึ้นจากการร่วมมือกัน ไม่ใช่การพยายามตบมือข้างเดียว
ด้วยเหตุนี้ ความรักฉันหญิงชายจึงไม่ใช่ธรรมชาติสาธารณะ
เป็นเรื่องเฉพาะคู่ เฉพาะตัว กะเกณฑ์เอาอย่างใจไม่ได้
เป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ยาก พบยาก
และรักษาให้อยู่ยืนตลอดรอดฝั่งได้ยาก

ڪے

#Dungtrin

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 116 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - พ่อของแผ่นดิน





รายการรักพ่อ116 พ่อของแผ่นดิน

พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน หมอหลวง หมอของปวงชน, ฝืนป่าแห่งลุ่มแม่น้ำภาชี, ช่วงในหลวงในดวงใจ 19, ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว,

http://www.youtube.com/watch?v=c35IuC09UHE


มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

ความสุข ... อาจมาจากการกลับไปหาสิ่งเล็กๆที่เรามี


ความสุข ...
อาจมาจากการกลับไปหาสิ่งเล็กๆที่เรามี
-------------------------------
เคยมีคนพูดถึงเรื่องการใช้ชีวิตเอาไว้ว่า
"ไม่ว่าช่วงตรงกลางของเราจะโลดโผนโจนทะยานสักแค่ไหน
จุดเริ่มต้น...และลงท้าย ก็คือคำว่า “ครอบครัว” อยู่ดี"

สำหรับฉันเอง
ในวันที่รู้ซึ้งถึงความจริงข้อนี้
ก็คือวันที่ฉันล้มป่วย

............................................................................

เมื่อเกือบ 7-8 ปีที่แล้ว
เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตฉันโดนโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้าอย่างหนัก
เรียกได้ว่า ถ้ารายการแฟนพันธุ์แท้มีจัดแข่งใน Topic โรคกระเพาะอาหาร
ฉันสามารถเป็นหนึ่งในผู้สมัครเข้าแข่งขันได้เลยล่ะ
วันนั้น...ขณะที่ฉันกำลังยืนปวดท้อง
และพะอืดพะอมคล้ายจะอาเจียนอยู่
เวลาผ่านไปไม่รู้ตัว
รู้สึกว่า โลกของตัวเองดับมืดลงอย่างกะทันหัน
หมอบอกในภายหลังว่า คืออาการช็อก
เพราะความปวดท้องอย่างรุนแรง

นานเท่าไหร่ไม่รู้....ที่หมดสติไป
พอรู้สึกตัวอีกครั้ง
ก็พบว่าตัวเองนอนเหยียดยาวอยู่ที่พื้น หัวอยู่บนตักแม่
และได้ยินเสียง “ ปู...ลูกแม่ ปู...ลูกแม่ ทำใจดีๆไว้นะลูก ”
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยู่ข้างๆ หู
พร้อมกับลมหายใจที่มีกลิ่นยาหม่อง ยาดม อยู่ใกล้ๆ
วันนั้น...มีฉันและแม่อยู่กันตามลำพังสองคนในบ้าน

สิ่งนี้หรือเปล่า...?
ที่เขาเรียกกันว่า ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

มันเป็นความรัก ความห่วงใย ความปรารถนาดี
ที่ไม่เคยคาดหวังอะไรให้ตัวเองเลย
แล้วฉันก็ได้เข้าใจ ได้สัมผัสถึง...จากแม่...
ซึ่งเป็นคนในครอบครัว
ในวันที่ร่างกายชำรุดแต่หัวใจกลับเปิดกว้างมากกว่าเก่า

นานแล้วสินะ
ที่เราคิดว่าความสุขใหญ่ๆ เช่น การมีตำแหน่งหน้าที่การงานดีๆ
มีเงินเดือนสูงๆ มีเพื่อนฝูงห้อมล้อมรักใคร่
พรั่งพร้อมด้วยวัตถุ มีบ้านสวย มีรถหรูไว้ใช้
คือสิ่งที่ควรค่าแก่การทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตเพื่อดิ้นรนไขว่คว้า

ลองเปลี่ยน...แล้วเจียดเวลาย้อนกลับไปหาความสุขเล็กๆ
ที่เราเคยมีและไม่เคยจากไปไหนดูบ้างสิ
บางทีเราอาจได้พบกับวิถีทางชีวิตที่อ่อนโยนขึ้น
เพราะการตั้งค่าความสำคัญให้กับสิ่งต่างๆจะเปลี่ยนไป
ที่สำคัญ- - เราคงเหนื่อยกันน้อยลง
และยิ้มให้กับชีวิตได้มากกว่าเดิม

ڪے

Thk U.#ปูปรุง

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

NOAH โนอาห์ มหาวิบัติวันล้างโลก



เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับคำว่า "โนอาห์" ในระยะเวลาสั้นๆ ผมจำเป็นต้องหันไปหาที่พึ่งซึ่งใช้เป็นประจำ นั่นคือ พจนานุกรมภาษาอังกฤษและวัฒนธรรม ในพจนานุกรมเล่มดังกล่าวได้อธิบายความหมายของคำว่า Noah ไว้ดังนี้...

"ในไบเบิ้ล ผู้ชายคนหนึ่งถูกเลือกโดยพระเจ้า ให้เป็นผู้สร้างเรือขนาดใหญ่ (Ark) เรือที่เขาสร้างขึ้นมานั้น ก็เพื่อให้ครอบครัวของเขาและสัตว์ต่างๆ ใช้เป็นที่อาศัย และให้รอดชีวิตจากภัยน้ำท่วมโลก โดยสัตว์ชนิดละ 2 ตัว ถูกเลือกให้ลงไปบนเรือ เรื่องราวและบทเพลงเกี่ยวกับเรือของโนอาห์ มักเกี่ยวข้องกับการเลือกสัตว์ที่จะได้ลงเรือ รวมถึงการมาที่เรือทีละคู่"

ในหนังเรื่อง Noah ก็ได้นำเสนอเรื่องราวสอดคล้องกับข้อความที่ยกมาข้างบน โดยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโนอาห์ (แสดงโดย รัสเซล โครว์) ผู้มีภารกิจหลักคือ การสร้างเรือยักษ์ให้เหล่าสัตว์โลกได้พักพิง และรอดพ้นจากภัยพิบัติน้ำท่วมโลก

บนเรือของโนอาห์ จึงมีทั้งครอบครัวของโนอาห์และสัตว์ ที่ถูกทำให้หลับในขณะที่เรือลอยไปตามกระแสน้ำ แต่เรื่องราวใน Noah ไม่ได้มีอยู่เพียงเท่านี้ ภารกิจอันยิ่งใหญ่ของโนอาห์ ไม่ได้มีแค่ช่วยชีวิตเหล่าสัตว์ แต่ยังรวมถึงการกำหนดชะตาชีวิตของคนในครอบครัว ให้ทุกคนอยู่บนเรือและมีชีวิตจนเหลือถึงคนสุดท้าย

เมื่อถึงคนสุดท้าย คนคนนั้นจะกลายเป็นมนุษย์คนสุดท้ายบนโลก นั่นหมายความว่า เมื่อคนคนนี้ตายไป ย่อมไม่มีมนุษย์บนโลกนี้อีกต่อไป กล่าวง่ายๆ ได้อีกอย่างว่า ภารกิจของโนอาห์ก็คือการรักษาชีวิตสัตว์ และการกำจัดมนุษย์ให้หมดไปจากโลกใบนี้

ในตอนแรก มนุษย์รายสุดท้ายที่จะหลงเหลืออยู่คือลูกชายคนเล็ก แต่ปรากฏว่า ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งโนอาห์เคยช่วยชีวิตไว้จะให้กำเนิดทารก ซึ่งก็คือหลานของโนอาห์

โนอาห์ตัดสินใจว่า ถ้าหากเด็กที่เกิดมาเป็นผู้ชาย เขาก็จะมีชีวิต ในฐานะมนุษย์รายสุดท้าย แต่ถ้าหากเป็นผู้หญิง จำเป็นต้องฆ่าทิ้ง

ฉากสำคัญที่สุดในหนัง คือฉากคลอดลูก ซึ่งคนดูต้องติดตามและเอาใจช่วยยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ให้โนอาห์ปฏิบัติภารกิจสำเร็จ

เมื่อมองที่โนอาห์ ด้านหนึ่ง เขาคือผู้ช่วยเหลือสัตว์โลก แต่อีกด้านหนึ่ง เขาต้องมีหน้าที่คอยกำจัดมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นมา ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเป็นใคร

ถ้าหากโนอาห์ยึดถือการทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด เขาจะกลายเป็นคนที่ทำงานสำเร็จตามที่เขาเชื่อว่า พระเจ้าประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น แต่ในขณะเดียวกัน เขาจะกลายเป็นปู่ผู้โหดเหี้ยมผู้สังหารทารก ซึ่งเป็นหลานของตัวเอง

ฉากดังกล่าวไม่เพียงแต่มีความสำคัญในแง่ประเด็นเนื้อหา แต่ยังถือว่าสำคัญที่สุดในแง่ความเป็นหนังที่ต้องการสร้างอารมณ์สะเทือนใจ ซึ่งต้องยอมรับว่าผู้กำกับฯ สามารถทำได้ยอดเยี่ยม โดยเชื่อว่าคนดูคงต้องนั่งนิ่ง และอาจถึงขั้นต้องกลั้นน้ำตา เมื่อเข้าสู่เหตุการณ์สำคัญ

หนังอาจจะราบเรียบ ช้า และน่าเบื่อ เป็นบางช่วง แต่เมื่อถึงเวลาที่จะเป็นช่วงสำคัญที่ต้องทำให้ถึงจุดสูงสุดทางอารมณ์ ผู้กำกับฯ ก็ทำได้และทำได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างที่บอกไป

อีกอย่างที่ต้องกล่าวถึง และน่าจะเป็นจุดขายของหนัง ก็คืองานสร้างพิเศษซึ่งอยู่ในระดับมหาสเปเชี่ยลเอฟเฟ็กต์ คนดูผู้สนใจและชื่นชอบงานด้านนี้ รับรองว่ามีให้ดูให้ชมกันอย่างเต็มอิ่ม
******************
คอลัมน์ หนังเด่น/กฤษดา
ข่าวสดออนไลน์, 18 เม.ย.2557

ผู้น้อยไม่พึงอวยพรผู้ใหญ่

“เวลารดน้ำสงกรานต์ผู้ใหญ่ เขาไม่ให้อวยพรผู้ใหญ่ ถ้างั้นเราควรพูดอะไรครับ บางคนสอนว่าให้รดเฉย ๆ ไม่น่าจะถูกต้องนะครับ ดูเงียบไปหน่อย”

...กมลชัย วชิรปาณี

ตอบ...

ผู้น้อยไม่พึงอวยพรผู้ใหญ่ แต่อาจขอพรจากผู้ใหญ่เหนือขึ้นไปอีกชั้นให้มาอวยพรผู้ใหญ่นั้น ๆ ได้ เช่น แทนที่จะพูดว่า “ขอให้คุณตาคุณยายจงอายุมั่นขวัญยืน” ควรพูดว่า “ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองรักษาคุณตาคุณยายให้...”

แล้วตบท้ายว่า “พร้อมกันนี้ ผม (หนู) ขอพรคุณตาคุณยายด้วย” ผู้ใหญ่จะแบมือรับน้ำ แล้วพรมศีรษะผู้น้อยพอเป็นพิธี ปากอาจให้ศีลให้พรตามความสนิท

ผมเคยคลานตามแถวคนเป็นร้อย เข้าไปรดน้ำสงกรานต์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านอายุเกือบ 90 ปีแล้ว ถ้าอวยพรตอบทุกคนคงเหนื่อยแย่ ท่านจึงแค่พยักหน้าแล้วยิ้ม ก็เห็นจะพอ.

ดร.วิษณุ เครืองาม/จันทร์สนุกศุกร์สนาน
เดลินิวส์ออนไลน์, วันศุกร์ 18 เมษายน 2557

รัฏฐาธิปัตย์ คืออะไรหรือ

“ทุกวันนี้พูดกันมากเรื่องรัฏฐาธิปัตย์ คนโน้นก็จะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ คนนี้ก็จะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ คืออะไรหรือคะ”

...โพยม บุญประกาศกิจ

ตอบ...

นี่เป็นศัพท์รัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มาจากภาษาอังกฤษว่า Sovereign (โซเวอเรน) แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน เรามาเรียกให้ไพเราะว่า รัฏฐาธิปัตย์

รัฏฐ แปลว่าประเทศหรือรัฐ สนธิกับอธิปัตย์แปลว่าผู้เป็นใหญ่ อำนาจของรัฏฐาธิปัตย์ครอบคลุมถึงการเป็นเจ้าของประเทศ การออกกฎหมาย การจัดระเบียบการปกครอง และการชี้เป็นชี้ตายในเรื่องต่าง ๆ

ถ้าเป็นสมัยโบราณเช่นยุคพระเจ้าเฮนรี่ของอังกฤษ พระเจ้าหลุยส์ของฝรั่งเศส สมเด็จพระนเรศวรของไทย หรือแม้แต่รัชกาลที่ 5-6-7 พระมหากษัตริย์ย่อมเป็นรัฏฐาธิปัตย์

เหมือนอย่างที่รัชกาลที่ 1 ทรงพระราชนิพนธ์ว่า “อันพระนครทั้งหลาย ก็เหมือนกับกายสังขาร กษัตริย์คือจิตวิญญาณ เป็นประธานแก่ร่างและอินทรีย์” เราจึงเรียกว่า ราชาธิปัตย์หรือราชาธิปไตย

เมื่อเปลี่ยนการปกครองให้ประชาชนเป็นใหญ่ เป็นเจ้าของประเทศ (เจ้าของอำนาจอธิปไตย) เราก็ถือว่าประชาชนเป็นรัฏฐาธิปัตย์จึงเรียกว่าประชาธิปัตย์หรือประชาธิปไตย โดยอาจให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเป็น “ผู้แทนของรัฏฐาธิปัตย์”

แต่ถ้ามีการยึดอำนาจจนสำเร็จและได้อำนาจอธิปไตย ทางทฤษฎีถือว่าหัวหน้าคณะยึดอำนาจไม่ว่าจะเป็นคณะปฏิวัติ ปฏิรูป ปฏิสังขรณ์ ย่อมเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เพราะเขาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ก็ชนะแล้วนี่ ส่วนจะให้องค์กรใดเป็นผู้แทนก็แล้วแต่

ขอบอกก่อนว่า เรื่องรัฏฐาธิปัตย์นั้นเขาไม่เอามาพูดกันเล่น ๆ หรอกครับ วันนี้คุณโพยมกับผมยังถือหุ้นเป็นรัฏฐาธิปัตย์อยู่ครับ และถือเท่า ๆ กับคนอื่นทุกสีทุกค่ายด้วย แต่อาจถูกริบหุ้น หรือถูกหมู่ใดคณะใดปั่นหุ้น จนได้กำไรไปก่อนก็ได้

ดร.วิษณุ เครืองาม/จันทร์สนุกศุกร์สนาน
เดลินิวส์ออนไลน์, ศุกร์ที่ 18 เมษายน 2557

แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร...

แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร...
ชนะเป็นมาร

ในการแข่งขันย่อมมีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ แต่เพื่อไม่ให้คนที่แพ้ต้องเสียใจจนเกินไป ก็เลยมีสำนวนปลอบใจว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร หมายถึง การยอมแพ้ทําให้เรื่องสงบ การไม่ยอมแพ้ทําให้เรื่องไม่สงบ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ในสังคมก็ยังพบผู้ที่อยากจะเป็นมารกันอยู่เสมอ วันนี้จึงนำเรื่องของมาร มาแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักกันสักนิด

มาร ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ หมายถึง เทวดาจําพวกหนึ่ง มีใจบาปหยาบช้าคอยกีดกันไม่ให้ทําบุญ หรือหมายถึง ยักษ์; ผู้ฆ่า; ผู้ทำลาย ในพระพุทธศาสนาหมายถึง ผู้กีดกันบุญกุศล มี ๕ อย่าง เรียกว่า เบญจพิธมาร คือ ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร โดยปริยายหมายถึงผู้ที่เป็นอุปสรรคขัดขวาง

เมื่อคำว่า มาร มีความหมายในทางลบแล้ว หากไปประกอบคำอื่นก็จะมีความหมายในทางลบด้วย เช่น มาราธิราช หมายถึง พญามาร, มารคอหอย หมายถึง ผู้ที่ขัดผลประโยชน์ที่ผู้อื่นจะพึงมีพึงได้

มารผจญ หมายถึง มารยกทัพมารบ, มารที่ยกทัพมาขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้า; โดยปริยายหมายความว่า ขัดขวางไม่ให้สําเร็จประโยชน์

มารสังคม หมายถึง ผู้ที่เป็นภัยต่อสังคม มารหัวขน หมายถึง ลูกที่อยู่ในท้องซึ่งยังไม่ปรากฏว่าใครเป็นพ่อ หรือไม่มีใครรับว่าเป็นพ่อ

แต่ก็ใช่ว่าจะเลวร้ายไปเสียทั้งหมด คำว่า มาร บางครั้งก็มีความหมายในทางที่ดีได้เช่นกัน เช่น มารชิ หรือ มารชิต หมายถึง ผู้ชนะมาร คือ พระพุทธเจ้า

มารวิชัย หมายถึง ชื่อพระพุทธรูปปางหนึ่ง อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางควํ่าลงที่พระชานุ นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงที่พื้นธรณีในคราวที่พระองค์ทรงเอาชนะมารได้ ว่า พระปางมารวิชัย, พระปางชนะมาร หรือ พระปางสะดุ้งมาร ก็เรียก

รู้อย่างนี้แล้วก็ใช้วิจารณญาณกันเองนะคะ ว่าอยากจะเป็นพระ หรือว่าอยากจะเป็นมาร.

จินดารัตน์ โพธิ์นอก/องค์ความรู้ภาษาไทย
เดลินิวส์ออนไลน์, พุธที่ 16 กันยายน 2552

ทฤษฎีสมคบคิด หรือ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด

“ที่เรียกว่า ทฤษฎีสมคบคิด หรือ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด ดังที่นำมาใช้กล่าวหาในทางการเมืองอยู่ในขณะนี้ หมายถึงอะไร”

...ชื่ออ่านไม่ออก

ตอบ...

เป็นทฤษฎีทางอาญาเพื่อหาตัวผู้กระทำความผิด การกระทำบางอย่าง เช่น ฆ่าคน ลักทรัพย์ ข่มขืนกระทำชำเรา อาจกระทำโดยคน ๆ เดียว หรือไม่ก็กลุ่มเดียว เสร็จแล้วเสร็จเลย จบแล้วจบกัน เรียกว่า การกระทำความผิดเดี่ยว

แต่บางครั้งก็มีการวางแผนโยน รับ ส่งต่อ ขยายผลเป็นช่วง ๆ แบบแบ่งงานกันทำ เรียกว่า สมรู้ร่วมคิดกัน (conspiracy) คล้าย ๆ แก๊งเดียวกัน

ตำรวจจะได้รับการฝึกอบรมในเรื่องนี้มาอย่างดี เพื่อกวาดล้างให้ได้แบบถอนรากถอนโคน ถ้าเจ้าหน้าที่ไปหลงทางว่า เป็นการกระทำความผิดเดี่ยว ก็จะจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ประเดี๋ยวก็จะโผล่มาทำผิดใหม่อีก

เหตุการณ์ทางการเมืองขณะนี้ ใครมีอะไรก็ขุดเอามาสร้างวาทกรรม บริภาษด่าทอ กล่าวหา จ้วงจาบกันยกใหญ่ มันถึงจบยาก ฝ่ายหนึ่งเช่น นปช.กล่าวหาว่าฝ่ายตรงข้ามมีการรวมหัวแบ่งงานกันทำตามทฤษฎีสมคบคิด เพื่อโค่นล้มรัฐบาล กรุยทางหานายกฯ คนใหม่

เช่น พอ กกต.ว่าอย่างนี้ ป.ป.ช.ก็จะรับลูก ว่าแล้วก็มีคนไปฟ้องศาลโน้นศาลนี้ ทาง ส.ว.ก็ออกมายื่นถอดถอน องค์กรกลางก็รีบรับลูกปุ๊บปั๊บ “ราวกับสมรู้ร่วมคิดกัน” เดี๋ยวก็คงส่งต่อให้ทหาร ทำนองว่าโลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ

อีกฝ่ายก็ตอบโต้ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการปกติ และตามเวรกรรม ถึงคราวเข้าก็มาประจวบกันเองได้ เวรกรรมยุคออนไลน์สมัยนี้ เร็วเหมือนติดเทอร์โบ ไม่ต้องสมรู้ร่วมคิดหรอก เพราะ “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” “อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่” คนทำผิดย่อม “เคราะห์ซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น” ต่างคนต่างคิดก็ประดังเข้ามาพร้อม ๆ กันได้โดยไม่ต้องนัดแนะ

ฝ่ายตรงข้ามสิมีการสมรู้ร่วมคิดกัน เช่น พอคนทางไกลเริ่มปรารภ รัฐบาลก็ออกมารับลูก ดีเอสไอรีบบรรจุเป็นคดีพิเศษทันควัน พรรคเพื่อไทยก็ออกมาขยายผล นปช.ก็ขึ้นเวทีประโคมทันที นักวิชาการคนโน้นคนนี้ ก็ดาหน้าออกมาอธิบาย เหมือนว่าแยกกันทำ แต่ร่วมกันตีด้วยจุดประสงค์เดียวกัน ทีอย่างนี้ทำไมไม่มองว่าสมคบคิดกันบ้าง

ก็ว่ากันไปนะครับ ท่ามกลางความเซ็ง รำคาญ เบื่อหน่าย อึดอัด กลัดกลุ้ม และกังวลในชะตากรรมของบ้านเมือง สำหรับคนที่ไม่ได้ไปสมรู้ร่วมคิดกับใคร มีอะไรที่พอจะเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้บ้างก็นึกเสียว่า ทำวิกฤติให้เป็นโอกาส เหมือนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแห่งชีวิตก็แล้วกัน ได้เรียนได้รู้อะไรแปลก ๆ

ดร.วิษณุ เครืองาม/จันทร์สนุกศุกร์สนาน
เดลินิวส์ออนไลน์, ศุกร์ที่ 18 เมษายน 2557

ชื่อเล่นในวงการฟุตบอล



ตอนที่เซอร์จิโอ อเกโร่ กองหน้าทีมชาติอาร์เจนตินา ย้ายไปอยู่กับแมนฯ ซิตี้ในปี 2011 นักข่าวอังกฤษหลายคนเขียนเรื่องเกี่ยวกับชื่อเล่นของเขา

เขามีชื่อเล่นว่า "กุน" ซึ่งมาจากตัวการ์ตูนญี่ปุ่น "กุมกุม" แต่ว่าเพี้ยนเป็น "กุน" บางคนบอกว่านี่เป็นชื่อเล่นที่สร้างสรรค์ ไม่เหมือนชื่อเล่นที่น่าเบื่อหน่ายในแบบใช้ตัวย่อ หรือมีเค้าโครงของชื่อจริงที่ใช้กันเกร่อ

เช่น เจที (จอห์น เทอร์รี่), เอเจ (แอนดี้ จอห์นสัน หรืออดัม จอห์นสัน), อาร์วีพี (โรบิน ฟาน เพอร์ซี่), สตีวี่ จี (สตีเว่น เจอร์ราร์ด), แม็กก้า (สตีฟ แม็กมานามาน หรือสตีฟ แม็กมาน), รูน (เวย์น รูนีย์) ฯลฯ

หลุยส์ ซัวเรซ กับดาเนียล สเตอร์ริดจ์ 2 กองหน้าของลิเวอร์พูลได้รับฉายาว่า "เอสเอเอส" (เอสกับเอส) ซึ่งน่าเบื่อเช่นกัน "ซูเปอร์มาริโอ" เป็นหนึ่งในฉายาของนักฟุตบอลที่ใช้กันเกร่อจนเชย

นักข่าวคนหนึ่งบอกผมว่า เคยถามมาริโอ ยูรอฟสกี้ นักเตะของเมืองทอง ยูไนเต็ด ว่ารู้หรือเปล่าว่าคนไทยเรียกยูว่า "ซูเปอร์มาริโอ" ยูรอฟสกี้บอกว่ารู้ แต่ไม่ชอบ เพราะน่าเบื่อ แถวบ้านเขามาริโอคนไหนทำอะไรเก่ง จะได้รับฉายาว่า "ซูเปอร์มาริโอ"

ชื่อเล่นของนักฟุตบอลที่น่าสนใจ ที่สื่อมวลชนตั้งให้มีมากมาย สจ๊วร์ต เพียร์ซ อดีตนักเตะทีมชาติอังกฤษได้รับฉายาว่า "โรคจิต" เพราะลีลาการเล่นที่ดุดัน

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีมคาร์ดิฟฟ์ มีฉายาว่า "เพชฌฆาตหน้าทารก" ตอนที่ยังเป็นนักเตะของแมนฯ ยู เพราะเล่นตำแหน่งกองหน้า และหน้าอ่อนกว่าวัยมาก

เนมันย่า วิดิช กองหลังแมนฯ ยู ชาวเซอร์เบียมีฉายาว่า "เซอร์บิเนเตอร์" ซึ่งเป็นคำผสมระหว่างเซอร์เบียกับเทอร์มิเนเตอร์ (คนเหล็ก)

เกิร์ด มุลเลอร์ อดีตกองหน้าทีมชาติเยอรมนีได้รับฉายาว่า "เครื่องบินทิ้งระเบิด" แต่ชื่อเล่นที่คนไทยตั้งให้นักฟุตบอลต่างชาติน่าสนใจกว่าเยอะ

"หมูพลิ้ว" (รูนีย์) ทำให้เห็นภาพของนักฟุตบอลตัวกลมๆ ที่คล่องแคล่ว

"เจิด" (เจอร์ราร์ด) บ่งบอกถึงนักเตะที่มีบุคลิกเชยๆ

"เมพ" (ลิโอเนล เมสซี่) มาจากคำว่า "เมสซี่" บวก "เทพ" แต่ไม่ได้รับความนิยม

กองเชียร์ลิเวอร์พูล เรียกซัวเรซว่า "จอบเทพ" เพราะฟันหน้าเหมือนจอบ แต่เล่นเก่งมาก ส่วนคนที่ไม่ชอบเรียกเขาว่า "จอมกัด"

ฉายา "อย่างเป็นทางการ" ของซัวเรซ คือ กระต่าย เพราะเขาว่องไว และมีฟันหน้าเหมือนกระต่าย (แต่บางคนเรียกฟันดาบ)

เดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมแมนฯ ยู ได้รับฉายาจากแฟนผีในเมืองไทยด้วยคำที่ตีพิมพ์ไม่ได้ ซึ่งออกเสียงคล้ายกับ "มอยส์" และแปลเป็นภาษาสุภาพว่า "ขนเพชร" คำสุภาพของ "ขนเพชร" ในภาษาอังกฤษ คือ pubic hair

ถ้ามีใครไปบอกมอยส์ว่า คนไทยเรียกยูว่า "Diamond Hair" (ขนเพชร) เขาอาจภูมิใจโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

คอลัมน์ หลับตามอง/พิศณุ นิลกลัด
ข่าวสดออนไลน์, 19 เมษายน 2557

"6 ทศวรรษ ทีวีไทย" ลาก่อนอนาล็อก



เดือนเม.ย.นี้ถือว่าเป็นเดือนแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการทีวีไทย โดยเปลี่ยนจากระบบอนาล็อก ที่ใช้มานานถึง 59 ปี มาเป็นระบบดิจิตอล

หากย้อนประวัติศาสตร์ของทีวีไทย เริ่มขึ้นเมื่อปี 2498 หรือเกือบๆ 6 ทศวรรษ โดยออกอากาศครั้งแรกที่ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม หรือโมเดิร์นไนน์ทีวี ในทุกวันนี้

จนกระทั่งในปี 2510 จึงมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยเปลี่ยนจากระบบ 525 เส้นเป็น 625 เส้น และในปีเดียวกันนั้นเองก็ได้เปลี่ยนจากทีวีขาวดำมาเป็นทีวีสี แต่ก็ยังเป็นระบบอนาล็อก

นับตั้งแต่นั้นมาวงการทีวีไทยแทบไม่เคยมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใดๆ อีกเลย อาจจะอนุโลมกรณีหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ที่มีการผลักดันให้เกิดทีวีสาธารณะ หรือไอทีวี ที่แปรสภาพมาเป็นไทยพีบีเอสในปัจจุบันเท่านั้น

ในการเปิดประมูลครั้งนี้ ทำให้ฟรีทีวีจากเดิมแค่ 3-5-7-9-11 และไทยพีบีเอส เพิ่มขึ้นเป็น 24 ช่อง โดยแยกเป็นช่องเด็ก ช่องข่าว ช่องวาไรตี้ความคมชัดปกติ และวาไรตี้ความคมชัดสูง

นั่นแปลว่าไม่เพียงแต่ผู้บริโภคจะได้ชมทีวีที่มีภาพและเสียง คมชัดขึ้นเท่านั้น การที่มีช่องรายการเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าตัวทำให้ลดการผูกขาด มีการแข่งขันมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวช่วงนี้เป็นเพียงการทดลองออกอากาศเพียงแค่ 4 จังหวัด กรุงเทพฯ ปริมณฑล เชียงใหม่ โคราช สงขลา และจะค่อยๆ ขยายออกไปเต็มรูปแบบภายใน 4 ปี ซึ่งไม่รู้ว่ายังต้องพบอุปสรรคอะไรบ้าง

แม้แต่สหรัฐอเมริกาเองถือว่าเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยี กว่าจะเปลี่ยนผ่านจากระบบอนาล็อก มาเป็นดิจิตอล ต้องเลื่อนกำหนดเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2006 ออกไปอีก 3 ปีมาเสร็จสมบูรณ์จริงๆ ในปี 2009

ต้องเตรียมทั้งด้านเทคนิคที่เป็นของใหม่ เรื่องเงินอุดหนุน ในการเปลี่ยนระบบและการสื่อสารกับประชาชน เรื่องหลังสำคัญมาก

บ้านเราแค่ช่วงเริ่มทดลองออกอากาศ คนดูเริ่มสับสนไม่รู้ว่าช่องไหนเป็นช่องไหน กว่าจะถึงการเปลี่ยนผ่านสมบูรณ์แบบจริงๆ ยังไม่รู้ว่าจะเจออุปสรรคอะไรบ้าง ในฐานะผู้บริโภคก็ต้องเตรียมทำใจ

แต่ก็ถือได้ว่าครั้งนี้เป็นการพลิกโฉมครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ทีวีไทย แต่ไม่ใช่เปลี่ยนแค่เทคนิค หรือจำนวนช่องเพิ่มขึ้นเท่านั้น ควรทำให้เนื้อหามีคุณภาพมากขึ้นด้วย
***********************
คอลัมน์ เมืองไทย25น./ทวี มีเงิน
ข่าวสดออนไลน์, 19 เม.ย.2557

ตั้งใจทำ



จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว เป็นคำที่คุ้นใจชาวพุทธเป็นส่วนมาก ด้วยหลักการในพระพุทธศาสนาก็รับรองชัดเจนว่า อานุภาพแห่งจิตนี้มีมากเพียงไร ทุกสิ่งที่ทำ ทุกคำที่พูดก็ล้วนมีผลมาจากจิตใจที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง

แต่ลักษณะของจิตใจปุถุชนนี้ไม่แน่นอน เพราะโดยปกติจิตใจที่ไม่มีสมาธิ จะดิ้นรน กวัดแกว่ง บังคับยาก ห้ามยาก ไม่สามารถจะตั้งอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้นาน มักตกไปในอารมณ์ที่ตนรักใคร่เป็นพื้น

เมื่อลักษณะจิตใจไม่แน่นอน ผลที่มุ่งหวังก็ไม่แน่นอน มนุษย์ที่หวังความสำเร็จจึงต้องสนใจในเรื่องของการฝึกจิต ทำจิตให้มีสมาธิหรือแน่แน่วในแนวหมาย เหมือนเป็นการปรับโฟกัสของเลนส์กล้องถ่ายรูป หากปรับไม่ถูกเป้าหมายภาพก็จะไม่ชัด ไม่สวย

เหมือนกันกับความฝันของมนุษย์ ถ้าการปรับเลนส์ใจไม่นิ่งพอก็จะเห็นเป้าหมายไม่ชัดเจน ส่งผลต่อการก้าวไปในธรรม คือยากแก่การพัฒนาให้ถึงจุดหมาย หรือสำเร็จเป็นมรรคผลได้

จิตตะ เป็นหนึ่งในอิทธิบาท 4 แปลเข้าใจง่ายๆ คือ ตั้งใจ จดจ่อ หรือเอาใจใส่ ในสิ่งที่กำลังทำกำลังดำเนินการอยู่

ยกตัวอย่าง เช่น นักเรียนนักศึกษาอยู่ในวัยแสวงวิชาการ อันเป็นพื้นฐานสู่การทำงานต่อไป หากไม่เอาใจใส่ คือสักแต่ว่าเรียน วิชาการที่ควรจะได้ ทักษะที่ควรจะมี ก็ไม่ได้และไม่มี ส่งให้ผลการเรียนย่ำแย่ และอาจศึกษาไม่จบครบหลักสูตร ไม่ถึงฝั่งฝันแห่งการศึกษา เสียเวลา เสียเงินเปล่าๆ

แต่ในทางตรงกันข้าม หากมีจิตตะ คือเอาใจใส่ จดจ่อ โฟกัสอยู่ในการศึกษาทุกช่วงเวลา ตั้งแต่ก่อนเรียน ขณะเรียน และหลังเรียน สิ่งที่ครูอาจารย์ถ่ายทอดก็ไม่สูญหาย แต่จะสถิตอยู่ในความทรงจำของศิษย์ที่เอาใจใส่ และเป็นความหวังแก่อนุชนคนรุ่นต่อๆ ไป

ในการได้ศึกษาเล่าเรียนจากบรรพชนที่เอาใจใส่ในการศึกษา ความผิดพลาดตกหล่นทางวิชาการก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ที่เกิดขึ้นก็เพราะศิษย์จากรุ่นสู่รุ่นขาดการเอาใจใส่ในการเล่าเรียน แม้ในวงการศึกษาพระปริยัติธรรมก็เช่นเดียวกัน ถ้าขาดการศึกษาอย่างเอาใจใส่ ในที่สุดก็ไร้คนสืบทอดสิ่งที่ถูกต้อง และนำไปสู่ความเสื่อมสูญแห่งศาสนาได้เหมือนกัน

คฤหัสถ์ญาติโยมที่รักจะสร้างเนื้อสร้างตัว ในมั่นคงเป็นปึกแผ่น นอกจากจะมีความพึงพอใจและเพียรพยายามในวิชาชีพแล้ว ต้องเอาใจใส่ในรายละเอียดด้วย

เช่น ความรู้ใหม่ๆ จิตวิทยา และสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปด้วย จะสามารถปรับตัวได้ ปรับใจเป็น และชัดเจนในเป้าหมายของตนเองจนก้าวไปถึงเส้นชัยได้ โดยอาศัยธรรมะคือ จิตตะ ที่แปลว่า ตั้งใจทำ
********************************
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9)
เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร
ธรรมะวันหยุด, ข่าวสดออนไลน์, 19 เม.ย.2557

พลังประนีประนอม



ระยะนี้เป็นช่วงเลือกตั้งผู้นำของหลายประเทศ และทุกแห่งล้วนน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งนายกฯ ของอินเดีย อินโดนีเซีย อียิปต์ และโดยเฉพาะอัฟกานิสถาน

อินเดียนั้นเป็นประเทศที่มีประชากรสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก อินโดนีเซียอยู่ที่อันดับ 4 ทั้งสองประเทศถือเป็นยักษ์ของเอเชีย เป็นประเทศที่น่าลงทุนอันดับต้นๆ เช่นกัน

แต่ในวันนี้ทั้งสองถูกสหรัฐจัดอันดับ ว่าเป็นประเทศที่มีความ "เปราะบาง" มากเช่นกัน เพราะเป็นประเทศที่มีเป้าหมายทางเศรษฐกิจสูง แต่กลับต้องพึ่งเงินทุนต่างชาติมากเกินไป

กลุ่มประเทศ "เปราะบาง" เช่นนี้มีอยู่ 5 ประเทศคือ ตุรกี อินเดีย อินโดนีเซีย บราซิล และแอฟริกาใต้ หรือ Fragile Five ทั้งสองแห่งไม่ว่าใครเข้ามาบริหาร จะต้องเหนื่อยหนักแน่นอน

ส่วนที่อียิปต์ การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนพ.ค.นี้น่าสนใจ เพราะว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว คนอียิปต์ขับไล่ประธานาธิบดีที่ครองอำนาจมาเกือบ 30 ปีออกไปได้ แล้วก็ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว แต่อยู่แค่ปีเศษก็โดนโค่นออกด้วยกองทัพ

และวันนี้ ผู้นำกองทัพที่ว่าก็ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้นำคนต่อไป ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า นายพลผู้นี้จะชนะการเลือกตั้งค่อนข้างแน่นอน แต่คนที่เชื่อว่าเขาจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ กลับมีน้อยมาก

เพราะว่าในช่วงที่ยึดอำนาจจากปลายปีที่แล้ว อียิปต์ถูกหลายชาติบอยคอตทางเศรษฐกิจ งบประมาณของประเทศหดตัว คนว่างงานสูง และประเทศอยู่ได้ด้วยเงินช่วยเหลือราว 16 พันล้านเหรียญสหรัฐ ที่ได้มาจากบางประเทศในตะวันออกกลางที่ร่ำรวย แต่เงิน 16 พันล้านจะพอกับคน 80 ล้านคนไปได้นานสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลต้องทุ่มเงินมหาศาลไปที่การทหาร

สหรัฐฯซึ่งต้องการอียิปต์เป็นเพื่อนในภูมิภาค และคอยช่วยต่อต้านการก่อการร้าย ก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรดี ซึ่งไม่ต่างจากอิสราเอลที่อยากเห็นอียิปต์แบบที่ผ่านมา คืออียิปต์ที่มีพรมแดนสงบสุขกับอิสราเอล ตั้งแต่ปี 1979

แต่ที่น่าสนใจมากสุดคงเป็นการเลือกตั้งที่อัฟกานิสถาน (5 เม.ย.) แม้ว่ายังไม่รู้ผลการเลือกตั้ง แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ การก่อการร้ายจะเพิ่มขึ้นขนาดไหน? ปัญหาทุจริตที่กระจายไปทั่วหัวระแหง ปัญหาเศรษฐกิจ สาธารณูปโภค การศึกษา ฯลฯ

ทุกอย่างดูเป็นปัญหาไปหมดสำหรับประเทศนี้ ค่าใช้จ่ายของประเทศก็มาจากเงินช่วยเหลือเกือบทั้งสิ้น แบมือขอเงินใครก็ต้องตามใจคนให้เงินเป็นธรรมดา

แต่วันนี้คนที่ดูแลอยู่เสมอมาก็ชักเหนื่อยและท้อ กองกำลังนาโต้ที่ดูแลคุ้มครองชีวิตผู้คน ก็จะถอนตัวในเวลาไม่นานนี้แล้ว ชีวิตคนอัฟกานิสถาน ก็ต้องฝากไว้กับทหาร 250,000 คน และตำรวจอีกราวไม่ถึง 30,000 คนเท่านั้น

อาจไม่มากไม่น้อยสำหรับประชากร 30 ล้านคน แต่ภัยจากกลุ่มตาลิบันที่หัวรุนแรง คงทำให้ประเทศยังยากจนที่สุดไปอีกนาน

การที่ทุกคนจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการนั้น ไม่มีอยู่ในโลกของความเป็นจริง การประนีประนอม ยอมได้และยอมเสียต่างหาก ที่จะทำให้เกิดพลังในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง

อินไซด์ต่างประเทศ/วิจักขณ์ ชิตรัตน์
ข่าวสดออนไลน์, 20 เมษายน 2557

พระพุทธเจ้าได้ทรงชนะ

"พระพุทธเจ้าได้ทรงชนะ คือทรงชนะพระหฤทัยของพระองค์แล้ว ด้วยพระบารมีคือความดี ที่ทรงสร้างมาจนบริบูรณ์ ใครมีเรื่องจะต้องผจญใจก็ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ทรงพิชิตมารดังกล่าวนี้เถิด จะสามารถชนะใจตนเอง และจะเอาชนะเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ แต่ขอให้ระลึกถึงด้วยความตั้งใจจริงจนเกิดความสงบ แล้วจักเห็นหนทางชนะขึ้นเองอย่างน่าอัศจรรย์..."

ธรรมโอวาท สมเด็จพระญาณสังวร...
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

พิจารณาก่อนลงมือทำ



ในการทำงานทุกชนิด มีถูกมีผิดเป็นธรรมดา อาจถูกต้อง แต่ผิดใจก็ไม่ใช่น้อย

เบื้องต้นสำหรับหลักใจคนทำงานก็คือ ผิด ถูก เป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ควรพิจารณาคือถูก ผิดอย่างไร ซึ่งอาจจะใช้คำว่า ประเมินผลเพื่อทบทวนการปฏิบัติ ว่าถูกตรงกับเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้นหรือไม่

วิมังสา คือ การพิจารณาอย่างละเอียดและรอบคอบ เป็นหนึ่งในธรรมะ 4 ข้อ ที่เรียกว่า อิทธิบาท เป็นคุณสมบัติของผู้ที่จะประสบความสำเร็จในทุกกิจการที่ดำริริเริ่ม ตั้งแต่งานเล็กน้อยกระทั่งเป็นงานด้านการพัฒนาระดับจิตใจ

วิมังสา เหมือนดวงตาที่คอยตรวจตราดูความเรียบร้อย เช่น เจ้าหน้าที่ผู้รักษาความปลอดภัย เมื่อเข้าเวรเข้ายาม ก็จะคอยเดินสำรวจสถานที่ที่รับผิดชอบ เพื่อมองหาสิ่งผิดปกติ ที่อาจจะเกิดมีขึ้น เป็นการป้องกันภัยให้แก่บุคคลและสถานที่นั้นๆ เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดมีขึ้น

ในการศึกษาและการทำงานตามปกติ ก็เป็นไปในลักษณะนี้ คือนอกจากพอใจ แข็งใจ และตั้งใจทำแล้ว ก็ต้องมีความเข้าใจทำ คือพิจารณาโดยรอบคอบด้วย โดยคำนึงถึงผลได้ ผลเสีย ความคุ้มค่า ความเสี่ยง ประกอบการตัดสินใจ โดยมีแบบประเมินผล หรือการประเมินผลที่เป็นระบบ ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยสติปัญญามาบริหารจัดการ

จะสังเกตว่าหน่วยงานใหญ่ เมื่อทำการใหญ่ๆ แต่ละครั้ง ก็จะตั้งทีมสำรวจความเป็นไปได้ และเกาะติดการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด แม้เมื่องานนั้นผ่านพ้นไปแล้ว ก็ยังต้องมีการทบทวนหลังการปฏิบัติ เพื่อเก็บเป็นข้อมูลไว้สำหรับการดำเนินงานในคราวต่อไป

สิ่งที่ผิดพลาดบกพร่อง ก็จะอยู่ในฐานะเป็นบทเรียน หรือประสบการณ์ที่ดี รวมไปถึงการฝึกจิตอบรมใจ ก็ต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ในแง่ของปริยัติให้ถูกต้องก่อน แล้วลงมือปฏิบัติตามขั้นตอน ด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสานี้

การปฏิบัติพระกรรมฐานทั่วไปจึงต้องมีการสอบอารมณ์จากอาจารย์กรรมฐานผู้เป็นกัลยาณมิตร เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติว่าถูกตรงตามทิศทางแห่งพระกรรมฐานแล้วหรือยัง

เมื่อผู้ปฏิบัติปรับอารมณ์ได้ถูกต้องแล้ว ก็ย่อมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งการเจริญพระกรรมฐานทุกประเภท ทั้งนี้ก็เกิดจากการพิจารณาตรวจสอบจิตใจอย่างใกล้ชิด โดยมีสติสัมปชัญญะสนับสนุน

ขอเป็นกำลังใจไว้ในโอกาสนี้ว่า ก่อนตัดสินใจลงมือปฏิบัติงานใดๆ ให้ใคร่ครวญก่อน แม้นจะผิดพลาดบกพร่องประการใด ก็พิจารณาว่าเป็นประสบการณ์ อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าเข้าใจทำ

พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9)
เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร
ธรรมะวันหยุด ข่าวสดออนไลน์ (20 เม.ย.2557)

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

คนเราจะรู้สึกว่าอ่อนแอเฉพาะเวลาที่ร้องไห้


คนเราจะรู้สึกว่าอ่อนแอเฉพาะเวลาที่ร้องไห้
แท้จริงแล้ว อ่อนไหวให้กับอารมณ์
ไม่ว่าอารมณ์ใด หรือกิเลสตัวไหนก็คืออ่อนแอทั้งนั้น

ความรักแบบที่ปล่อยให้ใจอ่อนไหวตามราคะ
อารมณ์หวาน ซึ่งเป็นกิเลสตัวหนึ่ง
ทำให้ใจเราเข้มแข็ง หรือคนรักเราเข้มแข็งไม่ได้
เพราะว่าถ้าเราหลงยึดว่าอะไรคือความสุข
แล้วก็หวังอยากได้สิ่งนั้น ต้องพึ่งสิ่งเหล่านั้น
พึ่งพาใจตนเองไม่ได้ ย่อมแปลว่าเราอ่อนแอ

เราจะเห็นโทษของมันชัดตอนเราต้องจากสิ่งที่รัก ที่หลงยึด

ความรักที่ก้าวหน้า
ต้องช่วยนำให้ใจตื่นรู้จากความหลง

แม้ความหวานจะหายไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความรักน้อยลง
มันทำให้ความหลงลดลง แปรเปลี่ยนเป็นความรักที่บริสุทธิ์แบบที่ไม่ก่อให้เกิดทุกข์ต่อเราและคนที่เรารักมากขึ้นต่างหาก

ڪے

Thk U.#เหตุเกิดจากความรัก

รักส่วนรัก ยึดส่วนยึด



คนเราทุกข์เพราะยึด เพราะอยากได้ ไม่ใช่ทุกข์เพราะรัก

หลายคนอาจสับสนว่าตนเองรัก หรือเพียงอยากเป็นเจ้าของใคร อยากมีความสุขเท่านั้นกันแน่

คนส่วนใหญ่ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว ก็หมายความว่า
เธอต้องเป็นของฉัน ห้ามมองคนอื่น

ตกลงว่าฉันรักเธอ เธอต้องรักฉัน
ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว ก็มีความเป็นเจ้าของครอบครองด้วย
หลายครั้งเราก็ลืมไปว่า ความรักเกิดจากความเต็มใจ พอใจ แทนที่เราจะสร้างเหตุให้ตนน่ารัก กลับพยายามบังคับเอาดื้อ ๆ
ตอนโกรธ หึง หงุดหงิด โวยวาย ไม่น่ารักเลย

#บางคนก็ว่าอีกฝ่ายทำตัวไม่ดีก่อน
#ตกลงว่าเลยเป็นความสัมพันธ์ต่างตอบแทน
#ถ้าเธอดีกับฉัน_ฉันจะดีกับเธอ
#ถ้าเธอร้ายกับฉัน_ฉันจะร้ายกับเธอ
#ความรักอยู่ตรงไหน?

ใจที่เข้าใจธรรมะ เห็นตามจริงว่าแท้จริงแล้วสิ่งต่าง ๆ ครอบครองไม่ได้ จะไม่ติดพันธนาการของความสัมพันธ์ หลงอุปาทานความเข้าใจผิดไปเอง

ความทุกข์ทุกอย่างของเรา เกิดจากความยึดว่าเป็นเรา เป็นของเราทั้งนั้น

ڪے

Thk U.#เหตุเกิดจากความรัก

คนเก่งไม่ใช่มาจาก พันธุกรรม หรอก


คนเก่งไม่ใช่มาจาก พันธุกรรม หรอก แต่อยู่ที่การฝึกขัดเกลาสมองต่างหาก วันนี้ เกร็ดความรู้ มี 5 วิธีคิดอย่างคนเก่งมาฝากกัน...
1. มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน ทำตัวให้สดชื่นมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาได้อย่างอยู่มือ
2. มีศรัทธาในตัวเอง จงเชื่อมั่นในความเก่งของคุณ อยากให้ใคร ๆ เขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน
3. ขอท้าคว้าฝัน ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัว จะเป็นแรง ผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้
4. ค้นหาบุคคลต้นแบบ ใครก็ได้ที่คุณชื่นชมเพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม ศึกษาแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา แล้วอาจนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตได้บ้าง
5. เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส คนที่มีรอยยิ้มระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง ให้ใคร ๆ อยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจา ติดต่องานก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ
นอกจากนี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยังสร้างความเบิกบานและคลายทุกข์ แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นดีอีกด้วย

» รู้ทัน...กลไกการปกป้องตัวเอง




ระยะห่างระหว่างชีวิตในเมืองใหญ่ ผู้คนมากหน้าหลายตาอยู่ใกล้กัน เพียงชั่วประตูห้อง แต่ละห้องขังใครบางคนไว้อย่างโดดเดี่ยว

...เพียงแค่แผ่นพาร์ทิชั่น ก็ขังแต่ละคนไว้ในคอกของการทำงาน

...แม้เพียงยืนเคียงแทบหัวไหล่ชนกัน แต่ช่องว่างเพียงไม่กี่นิ้ว ก็ขังงานในหน้าที่ที่วิ่งมาบนสายพานในโรงงาน อย่างที่ไม่อนุญาตให้ใครคนนั้น ได้มีคนข้าง ๆ เป็นเพื่อน

...ถนนหนทาง ช่องว่างเพียงน้อยนิด ก็ขังแต่ละคนไว้ในรถยนต์ส่วนตัวอย่างมิดชิด

...บนพาหนะสาธารณะอย่างรถเมล์ รถไฟฟ้า ยิ่งหนักหนากว่า ใครหลายคนอยู่ชิดติดกัน มีเพียงเนื้อผ้าบางเบาที่กั้นกันไว้ หรืออาจจะเบียดชิดจนเนื้อหนังสัมผัสกัน ก็เป็นได้

การอยู่ร่วมหลอมหลวมของผู้คน ทำให้เราบอกไม่ได้ชัดถึงความใกล้-ไกลกัน... ที่ใกล้อาจห่างไกลในความสัมพันธ์ที่ไกลห่าง

บางทีกลับรู้สึกใกล้ชิด ด้วยโฉมหน้าใหม่ของการสื่อสาร ที่เปิดให้ใครต่อใครเข้ามาล่วงรู้ความเป็นส่วนตัวทุกกระเบียดนิ้ว แต่ไม่แน่ใจว่านั่นคือความใกล้ชิดหรือไม่

:::::::::::::::::::

ความใกล้-ไกล ระหว่างมนุษย์ทุกคน มีผลทั้งต่อสัมพันธภาพ และจิตใจ ความรู้สึกนึกคิดเรา ควรใกล้ชิด หรือห่างเหิน วางระยะกับคนรอบตัวเราสักแค่ไหนดี

เชื่อหรือไม่ว่า ทุกชีวิตล้วนมีระยะห่างระหว่างชีวิตที่ตัวเองจะรู้สึกปลอดภัย และปลอดโปร่งด้วยกันทั้งนั้น

- มนุษย์เราอนุญาตหรือยอมให้เฉพาะคนในครอบครัว สัตว์เลี้ยง เพื่อนสนิท คนรัก เข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับเราได้ถึง 45 เซ็นติเมตร หรือระยะน้อยกว่านั้น...ถือเป็นระยะประชิด หรือเอื้อมมือไปถึงเลยก็ว่าได้ จึงต้องเป็นคนที่ไว้วางใจ

- ส่วนถ้าเป็นแค่คนรู้จัก เพื่อนที่ยังไม่สนิท มนุษย์เราก็จะยอมให้เข้าใกล้ได้ ในระยะ 1.5 เมตร ถึง 45 เซ็นติเมตร จะเห็นว่า นี่คือระยะที่คนปกติจะทักทายกัน จับมือ สวัสดี หรือโค้งคำนับ

- สำหรับการติดต่อกันอย่างค่อนข้างเป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นการประชุม เจรจาธุรกิจ สัมภาษณ์งาน เราก็จะมีระยะให้คนที่เราต้องติดต่อด้วย เข้าใกล้ได้ในช่วง 1.5 เมตร ถึง 3.7 เมตร ฉะนั้นในวงประชุมที่ต้องนั่งกันน้อยกว่าระยะ 1.5 เมตร ก็จะรู้สึกอึดอัดได้

- สุดท้าย ระยะห่างตั้งแต่ 3.7 เมตร ขึ้นไป เป็นระยะสำหรับการปรากฎตัวในที่สาธารณะไม่ว่าจะเป็นการพูดในที่สาธารณะ บรรยาย แถลงข่าว

::::::::::::::::::

นี่เป็นหมุดหมาย ระยะใกล้ – ไกล ที่เขามีการศึกษากันว่า มนุษย์เรามีระยะห่างระหว่างตัวเรากับคนอื่นแค่ไหน ในทางกายภาพ เพื่อปกป้องตัวเองจากคนอื่น

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความซับซ้อนของมนุษย์ ทำให้เรามี`กลไกลปกป้องตัวเอง´มากมายอย่างนึกไม่ถึง

นักจิตวิทยาศึกษาการทำงานของสมอง ส่วนที่เรียกว่า “ลิมบิก” (Limbic) สมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก จะมีการสั่งการที่เป็นการกลไกลการปกป้องตัวเอง และแสดงออกมาด้วยการใช้ท่าทางอย่างที่เราเอง ก็ไม่ทันได้รู้ตัว

Ex 1 : เมื่อคุยกับคนแปลกหน้าที่เรายังไม่ไว้วางใจนัก จะมีการยกมือขึ้น อาจจะอยู่ในท่ากอดอก หรือถือสิ่งของอย่างแก้วเครื่องดื่ม ไว้บริเวณอก หรือถือเอกสารหนังสือ ไว้ในระดับอก

ท่าทางเช่นนี้จะทำให้เรารู้สึกปลอดภัยขึ้น มีท่อนแขนหรือสิ่งของคอยกำบัง

Ex 2 : ระหว่างที่นั่งสนทนาพูดคุยอยู่กับใคร หากมีเรื่องที่เราไม่สบายใจในสิ่งที่กำลังได้ยิน เราจะปิดเปลือกตาลงช้า ๆ หรือยกมือขึ้นลูบ หรือสัมผัสตัวเองส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย อาจจะเป็นมือ แขน

นั่นเป็นการแสดงออกถึงการปลอบโยนตัวเอง ในสิ่งที่กำลังไม่สบายใจ หรือไม่ต้องการรับรู้ในสิ่งที่กำลังได้ยิน

::::::::::::::::::

นี่เป็นอีกหนึ่งกลไกลทางธรรมชาติในการปกป้องตัวเองทางกายภาพ ที่ละเอียดอ่อน จนเราไม่รู้สึกตัว แต่มนุษย์เราก็ยังมีความพยายามในการปกป้องตัวเองในแบบอื่นอีก

มีการวิจัยว่า ในวงประชุม ยิ่งประชุมไอคิว ไอเดีย ในการคิดสร้างสรรค์งาน อาจหดหาย นั่นเป็นเพราะในที่ประชุมหลาย ๆ แห่ง กลายเป็นเวทีสำแดงตัวตน ต่างคนต่างนำเสนอความคิดเห็น ที่เอาตัวเองเข้าไปผูกโยง

หากความคิดอ่าน ถูกปฏิเสธ ก็จะรู้สึกว่า ตัวตนของตัวเองถูกปฏิเสธไปด้วย

การประชุมติดตามงาน ก็ยิ่งต้อง`ปกป้องตัวเอง´มากขึ้น ด้วยการยกเหตุปัจจัยต่าง ๆ นานา ที่เป็นเหตุให้งานไม่เป็นไปตามแผน

การที่ผู้คนเผชิญหน้ากันในวงประชุม จึงอาจเป็นทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันทางความรู้สึกได้

น้อยครั้ง ที่จะเห็นว่า การพบปะกันในที่ประชุม จะเป็นการสร้างบรรยากาศ ความรู้สึกแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจ ยอมรับ เคารพในกันและกันอย่างแท้จริง เพื่อเปิดพื้นที่ให้ต่างคนได้แสดงตัวตน และยอมรับความอ่อนด้อย ผิดพลาด จุดอ่อนของกันและกัน

หากว่า...การประชุมยังไม่สามารถดำเนินไปบนวิถีทางแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจ ยอมรับกันและกัน และฟังกันอย่างลึกซึ้ง การประชุมก็อาจทำให้กระบวนการทำงานถดถอย

คนจำนวนไม่น้อย จึงรู้สึกว่า การประชุมทำให้เสียเวลา ไม่เกิดประโยชน์ และน่าเบื่อ
ไม่ว่าจะเป็นการประชุม การติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างบุคคล

::::::::::::::::

• บทสรุป

การที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับใครสักคน เป็นสิ่งที่ทำให้กลไกลทางธรรมชาติในโหมดปกป้องตัวเองตื่นตัว และพร้อมจะทำหน้าที่

หากเราไม่ทันรู้สึกตัว ก็อาจทำให้กลไกลปกป้องตัวเอง ทำงานมากเกินไป จนอาจกลายเป็นการข่มขู่ คุกคาม ผู้อื่นอย่างลืมตัว อาจจะแค่ท่าที ท่าทางเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงคำพูด และอาจจะเป็นการกระทำบางอย่าง

ความขัดแย้งอึดอัดขัดใจระหว่างกัน... บางทีเกิดจากการที่เราปล่อยให้กลไกลปกป้องตัวเองทำงานมากเกินไปก็เป็นได้

ไม่มีอะไรจะแก้ไขได้ดีเท่ากับการมี`สติ´ คอยตรวจสอบการรู้ตัวของตัวเองอยู่เสมอ ๆ ยิ่งการรู้ตัวได้ละเอียดเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เรารู้ทัน รู้กระทั่งว่า คำพูดของใครบางคน ที่ไม่เห็นด้วยกับเรา ทำให้เราสั่นไหว สั่นคลอนความเชื่อมั่น

แค่รู้ให้ทัน ก็จะหยุดความคิดปรุงแต่งที่จะทับถมตัวเอง หรือคิดหาทางตอบโต้ด้วยการพูด หรือกระทำบางอย่างเพื่อปกป้องตัวเอง

แค่รู้สึกในใจ “อ๋อ ! นี่ฉันกำลังหวั่นไหว หวาดหวั่น ที่เขาไม่เห็นด้วยกันฉันสินะ”

นี่คือการรู้ทันตัวเองแล้ว และอดยิ้มให้ตัวเองไม่ได้ว่า นี่ไงเราพอมี`สติ´ รู้ทันความรู้สึกตัวเองบ้างแล้ว

ในขณะที่มี`สติ´ รู้ทันความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็อาจจะนำไปสู่การเห็นใจ และเข้าใจกลไกการปกป้องตัวเองของคนอื่นที่เราสัมพันธ์ด้วยก็ได้

และนี่จะนำมาซึ่งการลดความขัดแย้ง ไม่ว่าเราจะมีระยะห่างระหว่างกันมากน้อยแค่ไหนก็ตาม

::::::::::::::::::

Credit : นงลักษณ์ สุขใจเจริญกิจ | คอลัมน์บทความพุทธิกา