++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Why do we love the king? ทำไมพวกเราถึงรักในหลวง


....แม้จะต่างกันในบางมุมของความรัก
แต่สิ่งที่เหมือนคือ เรารู้สึกรัก...
หากคุณรู้สึกรักแล้ว.....
คุณอาจจะมีคำถามต่อไปว่า .....

“รักแล้วต้องทำยังไง”...

รายการในหลวงในดวงใจ ภาค 2 ภาษา  (อังกฤษ-ไทย) ในตอน
Why do we love the king?
 ทำไมพวกเราถึงรักในหลวง

เพลิน เพลินกับการบอกเล่าด้วยความสุข สนุกสนาน สบายๆ แถมความรู้ คำศัพท์ใหม่ๆอีกด้วย
หนึ่งในความตั้งใจที่จะบอกเล่าให้ชาวต่างประเทศได้รับรู้....

อีกหนึ่งความตั้งใจจาก "กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ"



วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

VDO พาเี่ที่ยวบึงพลาญชัย ร้อยเอ็ด แบบขำขำ น่ารักๆ 24 ธ.ค.2555

        รายการพิเศษ จากกลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ แนะนำแหล่งท่องเที่ยว อย่างบึงพลาญชัย โดย คุณธิดา วงศ์สมุทร เมื่อ 24 ธันวาคม 2555



     นำมาฝากให้ชมกัน ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ครับ

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เปิดปูมวิถีการตักบาตร ทำอย่างไรได้บุญ…เต็มร้อย




การตักบาตร คือ การถวายอาหารแด่พระภิกษุสามเณร รูปเดียวหรือหลายรูป จะปฏิบัติเป็นประจำหรือเป็นครั้งคราวก็ได้

วัตถุประสงค์ของการตักบาตร นอกจากจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการให้ทาน เพื่อบูชาคุณแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์เฉพาะดังนี้

1. ธำรงส่งเสริมและสืบทอดพระพุทธศาสนา
2. ส่งเสริมและบำรุงพระภิกษุสามเณร ผู้ทรงศีล ทรงธรรม
3. ส่งเสริมคุณความดีของผู้ปฏิบัติ ทั้งผู้ตักบาตรและพระภิกษุสามเณรผู้รับบิณฑบาตร

การตักบาตรจึงเป็นประเพณีที่พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติ เพราะเป็นการให้กำลังแก่พระภิกษุสามเณร ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน ประพฤติปฎิบัติธรรมตามพระธรรมวินัย และสั่งสอนประชาชน เป็นการสืบต่อพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรสืบไป ทั้งนี้จะเป็นผลดีแก่ผู้ปฏิบัติด้วย เพราะทำให้เป็นผู้มีใจบุญกุศลและเป็นการส่งเสริมผุ้ทรงคุณธรรม

ประวัติการทำบุญตักบาตร
การทำบุญตักบาตรนี้ มีมาแต่ครั้งพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ทรงผนวชใหม่ๆ ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงประทับที่สวนมะม่วง พระองค์เสด็จบิณฑบาตผ่านกรุงราชคฤห์ เมืองหลวงของแคว้นมคธ ชาวเมืองเห็นพระมาบิณฑบาต ก็ชวนกันนำอาหารมาตักบาตรเป็นครั้งแรก นับแต่นั้นมา การตักบาตรจึงถือเป็นประเพณีมาจนบัดนี้ และเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ควงไม้เกด มีพ่อค้า 2 คน นำข้าวสัตตุก้อน สัตตุผง ซึ่งเป็นเสบียงสำหรับเดินทางเข้าไปถวาย พระพุทธองค์ทรงรับไว้ด้วยบาตร นี่ก็เป็นที่มาของการตักบาตรทางพระพุทธศาสนาด้วยประการหนึ่ง

บาตรเป็นภาชนะจำเป็นของพระภิกษุจะขาดเสียมิได้ นับเข้าในจำนวนบริขารอย่างหนึ่งในบริขาร 8 ตามปกติพระจะไปอยู่ที่ใด ต้องมีบาตรประจำตัวไปด้วย และการออกบิณฑบาตก็ออกในเวลาเช้า ตามแบบอย่างที่พระพุทธเจ้าองค์ ทรงบำเพ็ญเป็นพุทธกิจประจำวัน โดยปกติ พระภิกษุสามเณร จะเดินเรียงลำดับอาวุโสไปบิณฑบาตตามละแวกบ้าน เมื่อถึงหมู่บ้านที่ชาวบ้านกำลังรออยู่ ก็จะยืนเรียงเป็นแถว แต่ในกรุงเทพฯ หรือในบางจังหวัด พระภิกษุสามเณรมักไปตามลำพัง ไม่ได้เดินเรียงแถว ทั้งนี้เพราะพระภิกษุสามเณรในกรุงเทพฯ มีเป็นจำนวนมาก จึงไม่สะดวกที่จะเดินเรียงแถวกันไป และผู้ที่จะนำอาหารมาตักบาตรได้ไม่ครบทุกรูป

เมื่อพระภิกษุสามเณร ต้องออกบิณฑบาตตอนเช้าทุกวัน ชาวบ้านก็ตักบาตรทุกวัน แต่บางคนตักบาตรเฉพาะในรอบวันเกิดประจำปี และมักจะตักบาตรพระจำนวนเท่าอายุ หรือเกินกว่าอายุ ถ้าเป็นวันสำคัญทางศาสนา ก็มักจะพากันไปทำบุญตักบาตรที่วัด แต่บางคราวเช่นในเทศกาลปีใหม่ และตรุษสงกรานต์ จะมีการชุมนุมตามที่ที่กำหนดไว้ เช่น สนามหลวง พุทธมณฑล ในโรงเรียน ในสถาบัน หรือ ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง แล้วแต่จะนัดหมายกัน นอกจากนี้ยังมีการตักบาตรที่มีชื่อเฉพาะอีก เช่น ตักบาตรเทโว ตักบาตรข้าวสาร ตักบาตรดอกไม้ธูปเทียน เป็นต้น

วิธีปฏิบัติในการตักบาตร
โดยปกติพระภิกษุสามเณร จะเดินเรียงลำดับอาวุโส ไปบิณฑบาตตามละแวกบ้าน เมื่อถึงหมู่บ้านที่ชาวบ้านกำลังรออยู่ ก็จะยืนเรียงเป็นแถว แต่ในกรุงเทพฯ หรือในบางจังหวัด พระภิกษุสามเณรมักไปตามลำพัง ไม่ได้เดินเรียงแถว ทั้งนี้เพราะพระภิกษุสามเณรในกรุงเทพฯ มีเป็นจำนวนมาก จึงไม่สะดวกที่จะเดินเรียงแถวกันไป และผู้ที่จะนำอาหารมาตักบาตรได้ไม่ครบทุกรูป

การตักบาตรเป็นสังฆทาน คือการถวายโดยไม่เจาะจง จึงควรตั้งใจว่าจะทำบุญตักบาตร แก่พระภิกษุสงฆ์สามเณรในพระพุทธศาสนา โดยไม่เจาะจงว่าเป็นรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อพระภิกษุสามเณรรูปใดผ่านมา ก็ตั้งใจตักบาตรแก่พระภิกษุสามเณรรูปนั้นและรูปอื่นๆ ไปตามลำดับโดยปฏิบัติดังต่อไปนี้

1. จัดเตรียมอาหารที่สะอาด ถูกสุขลักษณะใส่ภาชนะเรียบร้อย มากหรือน้อยตามความต้องการ
2. นำอาหารที่เตรียมไว้ไปคอยตักบาตร ก่อนที่จะตักบาตรควรตั้งจิตถวายด้วยศรัทธา และความเคารพ ตั้งความปรารถนา เพื่อทำกิเลสให้ลดน้อยลงจนถึงหมดสิ้นไป
3. ขณะที่ตักบาตร ควรอยู่ในอาการสำรวมและเคารพ
4. เมื่อตักบาตรเสร็จแล้ว ควรแสดงความเคารพด้วยการไหว้
5. หลังจากตักบาตร ควรอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ หรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล

คำอธิษฐาน ในการตักบาตรจะใช้ภาษาบาลี หรือภาษาไทยหรือใช้ทั้งสองภาษาก็ได้ ดังนี้
“สุทินนัง วะตะเม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง โหตุ” ถอดความว่า “ทานของเราให้แล้วด้วยดี ขอจิตข้านี้จงสิ้นอาสวกิเลสเทอญ”

คำกรวดน้ำ แบบย่อ “อิทัง เม ญาตินัง โหตุ “ ถอดความว่า “ขอส่วนแห่งบุญกุศล จงสัมฤทธิ์ผลแก่ญาติข้าดั่งตั้งใจ “

ที่มา : ข้อมูลข่าว สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ

กฎแห่งกรรม : ขูดรีดขูดเนื้อ













มีพุทธศาสนสุภาษิตกล่าวไว้ว่า “ปจฺฉา ตปฺปติ ทุกฺกฏํ” แปลว่า ความชั่วย่อมเผาผลาญในภายหลัง
     
       เพราะขึ้นชื่อว่าความชั่วนั้น เมื่อทำแล้ว ย่อมต้องให้ผลชั่วตอบแทนแก่ผู้ทำแน่นอน อย่าคิดว่าทำกรรมชั่วเล็กๆน้อยๆเลย เพราะถ้าทำบ่อยๆ ก็จะสั่งสมมากขึ้นได้ และเมื่อนั้นกรรมชั่วก็จะได้โอกาสสนองแก่ผู้กระทำให้ประสบภัยพิบัติเคราะห์ กรรมนานาประการ เพราะฉะนั้นจงอย่าเข้าใจว่ากรรมชั่วนั้นไม่ให้ผล ทำแล้วก็แล้วกันไป กรรมชั่วจะต้องให้ผลแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่งในภายหลัง
     
       ดังเรื่องราวของครูวันชัย ครูใหญ่โรงเรียนแห่งหนึ่งในโคราช ที่ต้องรับผลแห่งการกระทำชั่วของตัวเอง
     
       วันชัยจัดอยู่ในฐานะมีอันจะกิน เพราะพ่อแม่ทิ้งสมบัติไว้ให้จำนวนหนึ่ง ดังนั้น นอกเหนือจากอาชีพเป็นครูสอนหนังสือแล้ว เขายังทำมาหากินด้วยการปล่อยเงินกู้ให้กับชาวบ้านด้วย ถือเป็นอาชีพที่ทำรายได้ดีทีเดียว เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับในแต่ละเดือนนั้น มากกว่าเงินเดือนครูเกือบสองเท่า
     
       ทำให้วันชัยมีเงินจับจ่ายใช้สอยอย่างคล่องมือ และเข้าสังคมกับคนรวยๆได้อย่างสบาย ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจแต่งงานกับ “โสภา” สาวคนรักที่ทำงานบัญชีในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเธอก็ได้เข้ามาช่วยสามีทำบัญชีกู้ยืมเงิน
     
       ไม่นานทั้งสองก็มีทายาทคนโตเป็นเด็กผู้ชายอ้วนจ้ำม่ำ กินจุ วันชัยเห็นว่าเมื่อมีลูก ก็มีค่าใช้จ่ายตามมามาก ประกอบกับภรรยาก็ต้องออกจากงานมาเลี้ยงลูก ความรับผิดชอบทั้งหมดจึงตกอยู่กับเขาเพียงผู้เดียว
     
       วันหนึ่งวันชัยนำเอกสารการกู้ยืมทั้งหมดมานั่งดูในห้องรับแขก แล้วก็พูดคุยกับ “โสภา” ผู้เป็นภรรยา ว่า
     
       “ช่วงนี้ดอกเบี้ยจากเงินกู้ลดลง เพราะคนไม่ค่อยมากู้ ถ้าหากคนที่กู้ชุดนี้ใช้ต้นใช้ดอกหมด เราก็จะแย่ เพราะลูกโตขึ้นทุกวัน ค่าใช้จ่ายในบ้านก็เยอะขึ้น”
     
       “ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงบ้างก็ได้นี่คุณ อย่างการไปกินอาหารนอกบ้าน หรือซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆที่ซื้อให้ตัวเอง ให้ฉัน ให้ลูกทุกเดือนจนเต็มตู้ไปหมด แล้วก็เล่นกอล์ฟ เข้าสังคมกับคนรวยๆน่ะ ลดลงหน่อยก็พอช่วยได้”
     
       วันชัยได้ยินภรรยาเสนอเช่นนั้น ก็รู้สึกไม่พอใจ
     
       “โอ๊ย..จะลดได้ไง พวกนี้เป็นหน้าตาศักดิ์ศรีของผม ไม่งั้นคนเขาจะนินทาว่า สงสัยครูวันชัยย่ำแย่ คงหมดเงินแล้วล่ะซิ...ไม่ได้ๆ เดี๋ยวจะไม่มีใครมากู้เงินเรา”
     
       โสภาได้ยินสามีพูดดังนั้น เธอก็เงียบไป ขณะที่วันชัยก็นั่งมองเอกสารเงินกู้ เริ่มครุ่นคิดถึงวิธีที่จะหาเงินมาให้ได้มากขึ้น แล้วในที่สุดเขาก็มองเห็นช่องทาง
     
       “ผมรู้แล้วว่าทำยังไง ที่จะได้เงินมากขึ้น” แล้วเขาก็อธิบายให้ภรรยาฟังถึงวิธีการที่ตัวเองคิดขึ้นมา
     
       โสภาฟังแล้วไม่เห็นด้วยกับสามี เพราะเธอเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จึงเตือนสติสามีว่า
     
       “ฉันว่าอย่าทำเลย มันไม่ดีหรอกแล้วฉันก็ไม่อยากทำด้วย เพราะมันบาป”
     
       “โอ๊ย..มันจะบาปตรงไหนกัน ฉันไม่ได้ไปฆ่าใครสักหน่อย เธอนี่โง่ไปได้ ถ้าเธอกลัวบาปมากนัก ก็ไม่ต้องทำ ฉันจะทำเอง”
     
       แล้ววันชัยก็ลุกขึ้นหอบเอกสารทั้งหมดไปที่โต๊ะทำงาน เขาค่อยๆเลือกเอกสารที่ต้องการแยกออกมาไว้กองหนึ่ง จากนั้นก็ลงมือปรับเปลี่ยนแก้ไขบางสิ่งบางอย่างจนเสร็จทั้งหมด วันชัยตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะเก็บเอกสารใส่ลิ้นชัก
     
       เช้าวันรุ่งขึ้น นายเด่น พ่อค้าขายผักในตลาด ได้มาที่บ้านครูวันชัย
     
       “สวัสดีครับครู ผมเอาดอกเบี้ยงวดแรกมาจ่าย นี่ครับ 275 บาท”
     
       “คุณกู้ผมไป 8,500 บาท ดอกเบี้ย 5% ต่อเดือน มันก็ต้อง 425 บาท”
     
       “อะไรกันครู ผมกู้ไปแค่ 5,500 บาทเท่านั้นนะครับ”
     
       “แน่ใจนะ”
     
       “แน่ซิครับ”
     
       วันชัยจึงเดินไปหยิบเอกสารกู้ยืมมายื่นให้ดู “เอ้า..ดูซะ นี่ไง เงินกู้ 8,500 บาท วันที่คุณมากู้น่ะ คุณรีบร้อนมาก แล้วดูเบลอๆชอบกล เหมือนคนคิดหนัก ผมบอกให้นับเงิน คุณก็บอกไม่เป็นไร แล้วก็รีบไป”
     
       เด่นนั่งทบทวนเหตุการณ์ที่ครูวันชัยบอก แต่เขาก็ยังยืนยันว่ากู้ไปเพียง 5,000 บาท วันชัยจึงย้ำว่า
     
       “คุณก็ลงลายมือไว้เป็นหลักฐานกู้ยืมแล้วนี่ ถ้าไม่ใช่ 8,500 บาท คุณจะเซ็นทำไม ผมเป็นครู ไม่เคยโกงใคร คุณเคยได้ยินว่าผมโกงใครรึเปล่า ไปถามคนที่ตลาดดูก็ได้ มีคนกู้ผมหลายคน เพราะถ้าผมโกงใคร คุณคงไม่มาขอกู้ผมหรอก ใช่มั้ย”
     
       คำพูดของวันชัย ทำให้เด่นนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วก็บอกว่า
     
       “ไม่เป็นไรครับครู ผมจะจ่ายดอกเบี้ยให้ตามที่ครูบอก เอาเป็นว่าผมผิดเองก็แล้วกัน” เด่นพูดจบก็ควักเงินเพิ่มให้กับวันชัย แล้วเดินจากไป
     
       วันชัยยิ้มด้วยความดีใจที่วิธีการของเขาเป็นผลสำเร็จ และไม่ใช่เพียงนายเด่น พ่อค้าผักเท่านั้นที่มีปัญหาเช่นนี้ คนอื่นๆอีกนับสิบคนก็เป็นเหมือนกัน และทุกคนก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะไม่มีใครอยากเป็นคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล
       
       ด้วยกลโกงในการแก้ไขปรับเปลี่ยนตัวเลขเงินกู้อย่างแนบเนียน ทำให้วันชัยเริ่มมีรายได้เป็นกอบเป็นกำเข้ามาเหมือนเดิม และเขาก็ใช้วิธีการนี้กับคนใหม่ๆที่หลงมากู้เงิน และหากเขารู้ว่าคนไหนที่อ่านหนังสือไม่ออก เขาก็จะทำสัญญาฉบับพิเศษด้วยการยึดที่ยึดบ้าน หากไม่ใช้เงินต้นคืนตามกำหนด ซึ่งมีหลายรายที่ต้องสูญเสียที่ดินไป
     
       วันชัยมีความสุขได้ไม่นาน กรรมก็ติดจรวดมาถึงบ้าน ช่วงนั้นเป็นปลายฝนต้นหนาว แต่อากาศกลับหนาวๆร้อนๆผิดปกติ วันชัยรู้สึกคันทั่วร่างกาย และจามอยู่ตลอด หมอบอกว่าเขาเป็นโรคภูมิแพ้ จึงให้ยากินและยาทา แต่อาการไม่ทุเลาลงเลย ตรงข้ามกลับเป็นหนักกว่าเก่า
     
       ทั่วตัวของวันชัยเต็มไปด้วยรอยผื่นคัน เขาเกาๆๆๆจนเลือกออกซิบๆ แต่ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน คันจนกระทั่งบางครั้งต้องใช้ฝาจุกน้ำอัดลมมาช่วยเกา ซึ่งก็ยิ่งทำให้ทั่วร่างเต็มไปด้วยแผลถลอก เลือดไหลซึม อยู่ตลอดเวลา
     
       แม้ภรรยาจะพาไปหาหมอหลายแห่ง ใครบอกว่าหมอคนไหนเก่งก็พาสามีไป ทั้งกินยาและทายาหลายขนาน หมดเงินค่ารักษาไปมากมาย แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย เนื้อตัวของวันชัยตกอยู่ในสภาพเน่าเฟะจากเลือดและน้ำเหลืองที่ไหลออกมาจาก แผลที่เกา และติดเชื้อ จนกระทั่งต้องส่งโรงพยาบาล
     
       วันชัยใช้เวลารักษาตัวในโรงพยาบาลราว 2 สัปดาห์ก็สิ้นใจ เพราะติดเชื้ออย่างหนักจากแผลถลอก ซึ่งเขาไม่ยอมหยุดเกา เพราะรู้สึกว่าคันจนทนไม่ได้ หากได้เกาก็จะรู้สึกดีขึ้นบ้าง แม้กระทั่งนาทีสุดท้ายก่อนตายเขาก็ยังเกาไม่หยุด และตายในสภาพที่มือยังเกาหน้าอก ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดทรมาน
     
       ในงานศพของวันชัย มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เหตุที่เขาเป็นเช่นนี้ เพราะกรรมที่เกิดจากการขูดรีดขูดเนื้อคนอื่น ทำให้ต้องมาขูดรีดขูดเนื้อตัวเองจนกระทั่งตาย
     
       ขณะเดียวกัน โสภากับลูกซึ่งมีส่วนในการใช้เงินบาปที่ได้มาจากการคดโกงขูดรีดคนอื่น ก็ต้องพลอยรับกรรม ตกระกำลำบากในที่สุด
     
       ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่มีประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่ง กรรม เขียนเล่ามาเป็นธรรมทานในการเตือนสติแก่เพื่อนร่วมโลกให้ตระหนักถึงบาปบุญ คุณโทษ และตั้งอยู่ในความดีงามตลอดไป
     
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 144 ธันวาคม 2555 โดย บัว บุษรา)

รักษาใจให้ดีที่สุด รักษาความคิดที่จะเกิดขึ้นในใจให้ดีที่สุด






อย่าให้เป็นความคิดที่จะนำให้ทำบาปอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น มีสติอย่าให้ความคิดไม่ดีเกิดได้ในจิตใจ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้พูดไม่ดีได้ สามารถป้องกันไม่ให้ทำไม่ดีได้ และการไม่พูดไม่ดีก็ตาม การไม่ทำไม่ดีก็ตาม เป็นคุณสมบัติวุดวิเศษของความเป็นมนุษย์

ดังนั้น การรักษาใจให้งดงามด้วยความคิดที่งดงาม จึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่งของเราท่านทั้งหลายผู้เกิดแล้วเป็นมนุษย์ด้วยอำนาจของบุญ เพราะการรักษาใจให้งดงาม มีความคิดที่งดงาม ก็เท่ากับเป็นการควบคุมกายวาจาให้งดงามด้วย

ใคร่ขอให้เข้าใจความหมายของคำงดงาม ที่นำมาใช้ในที่นี้ ว่ามิได้มีความหมายธรรมดาๆ เหมือนความสวยงาม อะไรทำนองนั้น แต่มีความหมายที่ลึก กว้าง มิใช่งดงามธรรมดา

ซึ่งความถูกต้องเป็นเช่นนั้น ใจที่พ้นจากความคิดที่จะนำให้เกิดบาปอกุศล คือเกิดการพูดชั่วทำชั่ว ต้องเป็นใจที่งามพิเศษอย่างแท้จริง ควรที่ผู้ใฝ่ดีมีปัญญาทั้งหลายจะพากันพยายามรักษาใจของตนให้มีความงามนั้น เพื่อได้เป็นผู้งามพร้อมในวันหนึ่ง ได้มีตนเป็นที่พึ่งที่แท้จริง ที่ไม่มีที่พึ่งอื่นใดเปรียบได้

: แสงส่องใจ มาฆบูชา พ.ศ. ๒๕๔๕
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13039

บริหารกาย เพิ่มคอเลสเตอรอลให้สูง ร้ายกลายเป็นดี by นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล




นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล dr.banchob@balavi.com http://www.balavi.com

บริหารกาย เพิ่มคอเลสเตอรอลให้สูง ร้ายกลายเป็นดี

ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องคนเราถูกหลอกให้ลดคอเลสเตอรอลโดยไม่จำเป็นมาแล้ว
ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน เที่ยวนี้ขอกลับมาเล่าใหม่ ดังนี้ครับ :

คุณเคยคิดไหมว่า ทำไมจู่ๆ "ภาวะ"
คอเลสเตอรอลสูงซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเลยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว กลับกลายเป็น
"โรค" ซึ่งสร้างความกลัว ความวิตกกังวลให้กับคนนับสิบล้านทั่วโลก?

ความกลัวคือความทุกข์ประการหนึ่ง เป็นสิ่งที่บั่นทอนความสุขของผู้คน
แต่ความกลัวก็เป็นสิ่งที่บันดาลความสุขให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ
คนขายยายังไงเล่า

การสร้างความกลัวดังกล่าวให้รายได้กับบริษัทยาทั่วโลกมากกว่า 25,000
ล้านดอลลาร์ต่อปี

คอเลสเตอรอลเป็นสารองค์ประกอบที่จำเป็นตัวหนึ่งในร่างกายของเรา
เราใช้มันสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ สร้างฮอร์โมนเพศ
สร้างฮอร์โมนคอร์ติโซลเพื่อช่วยระบบร่างกายแบกรับความเครียด

ต่อมามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงว่า
ระดับคอเลสเตอรอลสูงในเลือดมีความสัมพันธ์ต่อโรคหัวใจหลอดเลือด
แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า
คอเลสเตอรอลที่ระดับเท่าไหร่จึงจะเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้

และมีประชากรจำนวนกี่คนที่จะเสี่ยงต่อเรื่องนี้จริงๆ



นายเฮนรี แกดสเดน ซึ่งเป็นประธานบริษัทเมิร์ก
ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจยาซึ่งกำลังจะเกษียณอายุ
ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารฟอร์จูนว่า
"บริษัทยาถูกจำกัดศักยภาพไว้ให้อยู่เฉพาะกับผู้เจ็บป่วยเท่านั้น
แท้จริงแล้วบริษัทเมิร์กควรทำแบบบริษัทขายหมากฝรั่ง
คือผลิตยาขายให้กับคนสุขภาพดี ให้บริษัทสามารถขายยาให้แก่ทุกๆ คน"

แปลฝรั่งพูดไทยให้คนไทยฟังก็คือ นายแกดสเดนคิดว่า
ถ้าเขามัวแต่ขายยาลดคอเลสเตอรอลให้กับผู้ป่วยจริงๆ คือพวกโรคหัวใจ
เขาก็จะรวยช้า จำเป็นอยู่เองที่เขาจะต้องทำให้คนปกติที่ไม่ป่วย
แต่เข้าใจว่าตัวเองป่วย และหันมากินยาลดไขมันของเขา เขาจะได้รวยเร็วขึ้น

คิดได้ดังนั้นแล้ว นายเฮนรี แกดสเดน ก็จัดการทำ "ใต้โต๊ะ"
กับคณะผู้เชี่ยวชาญชุดหนึ่งในสหรัฐซึ่งมีหน้าที่กำหนดค่ามาตรฐานของคอเลสเตอรอลในเลือด
ให้ปรับค่าปกติของคอเลสเตอรอลจากเดิมที่ 250 ม.ก./ด.ล. มาเป็น 200
ม.ก./ด.ล. งานนี้ประชุมกันในปลายปี ค.ศ.2001

ผลก็คือ หลังการประชุมในคืนนั้นคนทั่วโลกนอนหลับไป
ครั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็พบว่ามีประชากรหลายสิบล้านคนทั่วโลก
ซึ่งเมื่อวานนี้ยังเป็นคนปกติอยู่ แต่นอนหลับไปคืนเดียว
ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนกลายเป็นผู้ป่วยไปเสียแล้ว

ด้วยเหตุนี้ยาสแตตินซึ่งครอบคลุมชาวอเมริกัน 13 ล้านคน ในปี ค.ศ.1990
จึงเพิ่มกลุ่มประชากรที่ต้องบริโภคยาเป็น 36 ล้านคน
ภายในชั่วข้ามคืนเดียวตามกำหนดของหลักเกณฑ์ใหม่โดยคณะผู้เชี่ยวชาญ
(ด้านการใช้ยา) ในปีดังกล่าว

ซึ่งต่อมามีความจริงที่พบว่า คณะผู้เชี่ยวชาญคณะนี้มี 14 คน มี 5 คน
ที่มีความสัมพันธ์ด้านการเงินกับผู้ผลิตสแตติน 8 ใน 9
ของคนคณะนี้รับจ้างบรรยาย เป็นที่ปรึกษา หรือทำวิจัยให้บริษัทยายักษ์ใหญ่
มีผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งรับเงินจากบริษัทถึง 10 บริษัทด้วยกัน

ความเชื่อมโยงเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของสาธารณะ
จนมีองค์กรสื่อในอเมริกานำมาเปิดโปง และเกิดวิวาทะครั้งใหญ่

ใครที่สนใจเรื่องนี้ไปหาอ่านได้ในหนังสือ "อุบายขายโรค"
พิมพ์โดยสำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน เป็นบรรณาธิการ



คุณเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหมที่ตกอยู่ในฐานะ นักบริโภคยาลดไขมัน

คงจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้หมอเคยชี้ว่าคุณเป็นโรคคอเลสเตอรอลสูงเมื่อระดับเกิน
250 ม.ก./ด.ล. แต่ต่อมาไม่นานกลับไปหาหมอคนเดิม ทีนี้ท่านบอกคุณว่า
"มีงานวิจัยใหม่แล้วว่าคอเลสเตอรอลที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 200 ม.ก./ด.ล.
เพราะคนที่ระดับคอเลสเตอรอลระหว่าง 200-250 ม.ก./ด.ล.
ก็มีสิทธิตายด้วยหัวใจหลอดเลือดอีกตั้งเยอะ
เห็นท่าจะจำเป็นจ่ายยาลดคอเลสเตอรอลให้คุณละนะ ไหนๆ
คุณก็เบิกค่ารักษาพยาบาลได้อยู่แล้ว" ดังนั้น คุณก็ยอมรับอย่างน่าชื่น

แต่คุณรู้ไหมว่า ยาลดไขมันเหล่านี้เข้าไปทำหน้าที่อย่างไรในร่างกาย
ทำไมจู่ๆ คนมีนิสัยแย่ๆ ในการกินอาหารจนคอเลสเตอรอลสูง
ครั้นหันมากินยาลดไขมันแต่ยังคงดำเนินชีวิตแย่ๆ ต่อไป
แล้วคอเลสเตอรอลในเลือดก็ลดลงได้

ตามหลักฟิสิกส์แล้ว สสารย่อมไม่สูญสลายไปไหน แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่า
ไขมันที่คุณกินเข้าไปอย่างตามใจปาก มันหายไปไหนหมด

คำตอบก็คือ ยาลดไขมันไปทำหน้าที่เพิ่มปุ่มรับ (receptor) บนเซลล์ตับ
ให้ตับเก็บรับคอเลสเตอรอลจากกระแสเลือด แล้วไปซุกอยู่ในเซลล์ตับนั่นเอง

ผลก็คือการหลอกลวงว่า ในเลือดของเราหลังกินยาแล้วหลอดเลือดสะอาด
แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการกลบเกลื่อนหลักฐานของนิสัยบริโภคนิยมที่เหลวไหล
เหมือนการกวาดเอาขยะไปซุกอยู่ใต้พรมนั่นเอง

พูดง่ายๆ ว่าไขมันเหล่านั้นย้ายที่อยู่ไปซุกอยู่ในตับ

จึงพบความจริงว่าใครก็ตามกินยาลดไขมันไป 3-5 ปี
ขอท้าพิสูจน์ให้ไปตรวจอัลตราซาวด์ตับได้เลย
จะพบผู้คนจำนวนมากที่กลายเป็นโรคไขมันพอกตับไปแล้ว

แถมปัจจุบันนี้คนที่กินยาจนคอเลสเตอรอลต่ำมากแล้ว หมอยังไม่ยอมเลิกจ่ายยา
แต่บอกผู้ป่วยว่า "คุณต้องกินยาตลอดชีวิต"

เรื่องของคอเลสเตอรอลจึงมีเรื่องราวซ่อนเงื่อนทางธุรกิจอยู่มากมาย
และผู้บริโภคก็ตกเป็นเหยื่อของการแพทย์พาณิชย์
นี่คือประเด็นที่หนึ่งที่จะชี้ให้เห็นในวันนี้



ส่วนประเด็นที่สองก็คือ คอเลสเตอรอลสูงแท้ที่จริงไม่สำคัญเท่ากับว่า
เป็นคอเลสเตอรอลชนิดไหนที่สูง และชนิดไหนที่ต่ำ
เราทราบมาจากสัปดาห์ที่แล้วว่า HDL-Chol เป็นคอเลสเตอรอลชนิดดี
เราต้องการให้มันสูง ส่วน LDL-Chol เป็นไขมันชนิดไม่ดี
เราต้องการให้มันต่ำ ดังนั้น การตรวจพบว่าคอเลสเตอรอลรวม (Total Chol)
สูงแล้วมัวนั่งปริวิตกนั้น เป็นเรื่องไม่สมควร ต้องดูว่าเป็นชนิดไหน

ในที่นี้ขอแนะนำตัวเลขสัดส่วนของคอเลสเตอรอล
เพื่อใช้คำนวณว่าสภาพไขมันในเลือดดีหรือไม่ดีกันแน่
มีสัดส่วนของไขมันอยู่สองค่าที่ควรรู้จัก กล่าวคือ :

1) Total Chol หารด้วย HDL-Chol จะให้ดีต้องไม่สูงกว่า 4.6

2) LDL-Chol หารด้วย HDL-Chol จะให้ดีต้องไม่สูงกว่า 3

นั่นหมายความว่า ถ้าคุณพบว่า Total-Chol ของคุณสูง แต่ถ้าคุณมีค่า
HDL-Chol สูง เมื่อหารกันแล้วก็อาจจะต่ำกว่า 4.6 แปลว่า
การสูงของคอเลสเตอรอลรวมของคุณนั้น ที่แท้แล้วมาจากการสูงของไขมันที่ดี

หรืออีกนัยหนึ่ง ดูว่าไขมันที่เลวกับไขมันที่ดี ต่างกันไม่เกินสามเท่า
แปลว่าสัดส่วนของไขมันในตัวคุณนั้น อยู่ในสภาพเยี่ยมยอด
เราจะพบกรณีเช่นนี้ในผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ในคนที่กินผักได้รับเบต้าแคโรทีนเหลือเฟือ หรือคนที่กินข้าวกล้อง
ถั่วต่างๆ มีวิตามินอีเหลือเฟือ

ยกตัวอย่างผู้รักสุขภาพรายหนึ่ง เป็นคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปั่นจักรยาน
ว่ายน้ำ เล่นเวต ภาพลักษณ์ของไขมันในเลือดเป็น :

T-Chol 231 ม.ก./ด.ล. Trigly 91 ม.ก./ด.ล.

HDL-Chol 54 ม../ด.ล. LDL-Chol 160 ม.ก./ด.ล.

มองดูเผินๆ คนนี้มีคอเลสเตอรอลสูง และค่า LDL-Chol ก็สูงกว่าปกติ (<150 p="p">ม.ก./ด.ล.) แต่ถ้าหาสัดส่วนไขมันจะเห็นว่า

T-Chol 231 หารด้วย HDL-Chol 54 = 4.28

LDL-Chol 160 หารด้วย HDL-Chol 54 = 2.96

ถือว่าสุขภาพดี

ตัวอย่างครูโยคะรายหนึ่ง รูปร่างดี หน้าตาสะสวย เธอมีภาพลักษณ์ไขมันในเลือดดังนี้ :

T-Chol 234 H ม.ก./ด.ล. Trigly 60 ม.ก./ด.ล.

HDL-Chol 85 ม.ก./ด.ล. LDL-Chol 137 ม.ก./ด.ล.

เนื่องจากเธอถูกตรวจด้วยเครื่องอัตโนมัติในโรงพยาบาลมันก็จะตีตัว H
บอกมาในเลือด แปลว่าไขมันเลือดสูงแล้วนะ ทำให้เธอไม่สบายใจ
อยู่มาวันหนึ่งเธอได้พบกับผม แล้วเอาตัวเลขมาดูกัน ถ้าดูสัดส่วนจะพบว่า :

T-Chol 234 หารด้วย HDL-Chol 85 = 2.75

LDL-Chol 137 หารด้วย HDL-Chol 85 = 1.61

ถือว่าสุขภาพดีอย่างเยี่ยมยอดเพราะผลจากการฝึกโยคะสม่ำเสมอของเธอนั่นเอง
เสียดายที่ว่าระบบตรวจสุขภาพในโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ใช้เครื่องตรวจไม่มีโอกาสพบแพทย์เลย
ปัญหาจึงเกิดขึ้นเนืองๆ

10 ข้อ .. เพื่อชีวิตที่มีความสุข






1. เราต้องคิดก่อนว่า ไม่มีชายหรือหญิงคนไหนมีค่าพอที่คุณจะต้องเสียน้ำตาให้ ส่วนคนที่มีค่าพอนั้น เขาย่อมจะไม่มีวันทำให้คุณร้องไห้เพราะเขาเป็นอันขาด (ยก เว้นเรื่องที่ทะเลาะกันไร้สาระนะคะ)


2. ถ้าวันหนึ่งคุณเกิดรักใครสักคน คุณควรให้เขาอยู่รอบตัวคุณ แทนที่คุณจะนำเข้ามาใส่ไว้ในใจ เพราะไม่วันใดก็ วันหนึ่งหัวใจสามารถแตกสลายได้ แต่ถ้าคุณให้เขาอยู่รอบตัวคุณ เขาก็จะอยู่กับคุณอย่างนั้นตลอดไป


3. ทุกคนได้ยินสิ่งที่คุณพูด เพื่อนรอบตัวคุณก็ได้ยินสิ่งที่คุณพูด แต่เพื่อนแท้เท่านั้นแหละที่จะคอยรับฟังว่าตอนนี้คุณรู้สึกยังไง


4. ถ้าเพื่อนของคุณพร้อมใจกันกระโดดลงจากสะพาน คุณไม่จำเป็นต้องกระโดดตาม แต่คุณควรจะอยู่ที่ก้นเหวเพื่อรอที่จะรับพวกเขา


5. อย่าทำหน้าบึ้งตลอดเวลา เพราะจะทำให้คุณขาดเสน่ห์และพลาดโอกาสที่จะได้รู้ว่ายังมีคนอีกมากชื่นชมในร้อยยิ้มของคุณ



6. ถ้าคุณมัวแต่ตัดสินผู้อื่นว่าเป็นยังไง คุณก็จะไม่มีเวลาพอที่จะรักและเข้าใจพวกเขา


7. ควรจะเป็นคนที่มีจิตใจดี และมองโลกใจแง่ดี เพราะทุกคนที่คุณเห็นอาจจะกำลังประสบปัญหาที่หนักหนากว่าที่คุณเผชิญอยู่ก็ได้


8. คุณอาจจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีชอบใครสักคน หรือไม่กี่ชั่วโมงนึกรักใครสักคน อาจจะใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวรักใครสักคน แต่อาจจะต้องใช้เวลาชั่วชีวิตของ คุณเพื่อที่จะลืมใครสักคน


9. คุณต้องไม่ยึดติดคิดซะว่าเมื่อวานเป็นแค่อดีต พรุ่งนี้เป็นแค่ปริศนา ส่วนวันนี้คือของขวัญ เราถึงเรียกว่าปัจจุบันว่าของขวัญ (Present) สู้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดี กว่านะ


10. เต้นให้สนุกสุดเหวี่ยงเหมือนไม่มีใครจ้องมองเราอยู่ และรักโดยที่ไม่กลัวว่าจะเจ็บปวด


มันคงไม่ยากถ้าเราจะเปิดใจรับกับทุกสิ่ง อยู่กับปัจจุบันอย่าจมอยู่กับอดีตที่เราไม่สามารถเข้าไปแก้ไขอะไรได้ คงไม่มีใครดีถูกใจเราไปซะหมด แต่เราต้องมอง ด้านดีที่เขามี และและอย่ารักใครโดยที่ไม่รักตัวเอง เพราะถ้าคุณไม่รักตัวเอง ก็คงไม่สามารถที่พูดได้เต็มปากว่าคุณรักใคร เชื่อเถอะว่าถ้าคุณรู้จักที่จะรักตัวเอง คนอื่นที่คุณ รักเขา เขาก็จะเห็นค่าของคุณเอง...

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

....หัวใจของท่านติช กวาง ดึ๊ก ไม่ได้มอดไหม้ไปกับกองเพลิงปัจจุบันเก็บไว้ในสถูปทองคำ วัดเทียนมู่ เมืองเว้


....หัวใจของท่านติช กวาง ดึ๊ก
ไม่ได้มอดไหม้ไปกับกองเพลิงปัจจุบันเก็บไว้ในสถูปทองคำ วัดเทียนมู่
เมืองเว้


*หลวงพ่อติช กวาง ดึ๊ก พระโพธิสัตว์ที่ต่อสู้เพื่อพระพุทธศาสนาด้วยชีวิต*
ที่มา : *http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3338*
****
 ภาพเหล่านี้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ช่างภาพคือ มัลคอล์ม บราวน์
ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์
*หลวงพ่อติช กวาง ดึ๊ก พระโพธิสัตว์ที่ต่อสู้เพื่อพระพุทธศาสนาด้วยชีวิต
ในวันที่ ๘ พ.ค. ๒๕๐๖***
 *ความดีของท่านยังคงอยู่ ....... ชื่อท่าน เป็นอมตะตราบเท่านาน ........
อยู่คู่ชาวพุทธ ผู้ใฝ่ในชีวิตอันปกติสุข *
*Heart**....หัวใจของท่านติช กวาง ดึ๊ก ไม่ได้มอดไหม้ไปกับกองเพลิง
ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในสถูปทองคำ ที่วัดเทียนมู่* เมืองเว้
ประเทศเวียดนาม.........ผู้ส่งเมล์นี้มาให้อ่าน
ไม่มีเจตนาเป็นอื่น  มีเพียงเจตนา
…ขอเชิญชวนท่านชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย......... ได้ร่วมลงนาม
ต่อต้านการทำลายพุทธสถาน Mess Aynak
ในประเทศอัฟกานิสถาน.....ผ่านอินเตอรเน็ตข้างล่างนี้
เพียงกรอก…
1.     …ชื่อ นามสกุล และ …
2.     .ใส่รหัส   code 1000
3.     copy คัดลอกข้อความด้านข้างซ้ายมือทั้งหมด post วาง ใส่ชื่อ นามสกุล
ของท่าน ท้ายสุดด้านล่างจ้า  ……….ขัอมูลจะส่งตรงถึง องค์กรยูเนสโก UNESCO
****
  Note to forward to your friends:  แล้วร่วม ส่งต่อให้เพือนๆ
ได้มีโอกาสที่ดี ได้ร่วมลงนามจ้า

Hi!

I just signed the petition "Save our Past-Ask UNESCO to include Mess Aynak
on the list of endangered sites" on Change.org.

It's important. Will you sign it too? Here's the link:

http://www.change.org/petitions/save-our-past-ask-unesco-to-include-mess-aynak-on-the-list-of-endangered-sites

Thanks!

I am Natyakul   Tht….To….  All  my pure loves
*....นี้คือโอกาสที่ดี ที่สุดในชีวิตของท่าน
ที่จะได้ช่วยกันรักษาพุทธสถานเอาไว้ รูปปั้นแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พุทธสถานที่ได้ถูกสร้างโดยท่านชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย*
*ที่มีศัรธาในพระพุทธศาสนา ที่ได้เคยอาศัยในประเทศอัฟกานิสถาน*
...ชาวไทยก่วา 95 % ท่านเขียนว่านับถือพระพุทธศาสนา *
ถึงเวลาแล้วที่จะแสดงตนปกป้องรักษา**พุทธสถาน มาร่วมกันแสดงพลัง  เพื่อรักษา
ทำนุบำรุง พระพุทธศาสนา ให้คงอยู่เป็นวัตถุถาวร*
*ชีวิตของมนุษย์ยุคนี้ 120 ปี หรือมากก่วา อาจน้อยก่วา
แต่วัตถุถาวรของพระพุทธศาสนาจะคงอยู่นานหลายพันปีเพื่อยืนยันให้สังคมมนุษย์รุ่นต่อๆไปได้เห็น
เกิดความรู้ เกิดศรัทธา มีความมั่นใจ ว่าพระพุทธเจ้า
พระพุทธศาสนาเคยมีอยู่จริง จะได้กระทำตามคำสอนของพระพุทธองค์
เกิดประโยชน์กับสังคมมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายตราบนานเท่านาน*
*........ผลบุญนี้จะส่งให้ท่านได้รับการปกป้องคุ้มครองที่ดีที่สุด
ถูกต้องเป็นธรรม แม้จะเคยถูกเอาเปรียบก็สามารถแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูกต้อง
ให้เกิดความเป็นธรรมกับตัวท่านและสังคมมนุษย์ ......
ที่ถูกต้องอยู่แล้วจะประสบความสำเร็จอย่างไม่คาดฝัน
แล้วทุกอย่างจะถูกจัดเตรียมเพื่อท่านเสมอ ด้วยพลังพุทธานุภาพ.....***
*......ขอเชิญท่านทั้งหลายมาพิสูจน์ สัมผัสด้วยตัวท่านเองจ้า* *...**^___^**...
* Natyakul

=================================================================
 v  ที่มา * **หลวงพ่อติช กวาง ดึ๊ก** **ได้**ต่อสู้เพื่อพระพุทธศาสนาด้วยชีวิต
* :  *http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3338*
 ภาพเหล่านี้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ช่างภาพคือ มัลคอล์ม บราวน์
ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์**
สมัยที่ประเทศเวียดนามใต้มีประธานาธิบดี คือ นาย *โง ดินห์ เดียม*
ช่วงนั้นพระพุทธศาสนาในเวียดนามใต้ถูกทำลายเป็นอย่างมาก
เนื่องจากโง ดินห์ เดียม มาจากครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัด พี่ชายของเดียม คือ*โง
เดียม ถึก* เป็นสังฆราชคริสเตียนนิกายโรมันคาทอลิกในเวียดนามใต้ และน้องชาย คือ
*โง ดิน นูห์** *เป็นหัวหน้าตำรวจลับผู้มัวเมาในอำนาจ
ชอบกดขี่ข่มเหงประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ
 รัฐบาลของเดียมได้ออกนโยบายบังคับให้ประชาชนหันมานับถือศาสนาคริสต์
พอถึงวันวิสาขบูชาที่ ๘ พฤษภาคม ปี ๒๕๐๖ โง ดินห์ ถึก
ซึ่งเป็นสังฆราชคริสเตียน
สั่งให้ประชาชนทุกบ้านชักธงรูปไม้กางเขนของศาสนาของคริสเตียนโรมันคาทอลิกขึ้น
และออกคำสั่งห้ามชาวพุทธชักธงธรรมจักร
ถ้าพุทธศาสนิกชนในเมืองเว้ชักธงทางพุทธศาสนาขึ้น
เจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะนำธงลงจากเสา
แล้วนำไปเผาทิ้ง
เมื่อชาวพุทธจัดงานวันวิสาขาบูชา รัฐบาลได้ส่งตำรวจบุกเข้าไปก่อกวน จนทำให้ผู้หญิง
๑ คนกับเด็กตายไป ๘ คน
เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวพุทธในประเทศเวียดนามโกรธและออกมาเดินขบวนประท้วงเป็นจำนวนมาก
พอบาทหลวงโรมันคาทอลิกรู้เรื่อง
จึงโทรเลขด่วนไปยัง โง เดียม ถึก ที่วาติกัน โง เดียม ถึก
จึงโทรเลขสั่งให้ปราบปรามแบบ "มิชชั่น" (ปราบปรามอย่างรุนแรงขั้นเด็ดขาด)
กับพุทธศาสนิกชนในฐานะศัตรูพระเจ้า
 เจ้าหน้าที่ตำรวจคริสเตียน ได้ขับรถบรรทุกชนฝ่าเข้าไปกลางขบวน
อันมีพระภิกษุสงฆ์และแม่ชีซึ่งอยู่แถวหน้า ถูกรถทับตาย ๗๐ รูป พุทธศาสนิกชนตาย
๓๐ คน และบาดเจ็บจำนวนพันกว่าคน *รัฐบาลเดียมกล่าวหาว่า** **
มีคอมมิวนิสต์แทรกซึมปลอมตัวเป็นพระในศาสนาพุทธ** **
จึงทำการปราบปรามชาวพุทธหนักขึ้น** *พระสงฆ์ถูกฆ่ามรณภาพมากมาย
วัดทางพุทธศาสนาถูกเผาทำลาย นอกจากนี้แล้วยังออกกฎห้ามสร้างพระพุทธรูปบูชา
ให้นำรูปพระเยซูมาตั้งแทน ใครทำหายหรือทำลายจะได้รับโทษสถานหนัก
เมื่อมีการอบรมข้าราชการ ต้องให้บาทหลวงมาทำการอบรมข้าราชการด้วย
มีนโยบายเปลี่ยนคำสอนของพุทธศาสนาและพระไตรปิฏก
เป็นต้น
*ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้สักหน่อยนะครับ*

สมัยที่เกิดเหตุการณ์นี้นั้น อยู่ในช่วงสงครามเย็น (Cold war)ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์
โดยสหภาพโซเวียต และจีน
และฝ่ายประชาธิปไตย โดยสหรัฐอเมริกา
กำลังขับเคี่ยวทำสงครามกันอยู่ ผ่าน "สงครามตัวแทน"

เวียดนามในสมัยนั้น ก็เป็นสมรภูมิหนึ่ง ในสงครามตัวแทนนี้
โดยการถูกแบ่งเป็น ๒ ประเทศ

เวียดนามเหนือ ก็เป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ เช่นเดียวกับลาว และกัมพูชา
โดยการนำของ "โฮจิมินห์" ที่ทุกท่านน่าจะรู้จักกันดี

ส่วนเวียดนามใต้ ก็เป็นฝ่ายประชาธิปไตย
โดยการควบคุมของสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับประเทศไทยในสมัยนั้น
ที่สหรัฐอเมริกามีอำนาจกำหนดนโยบายได้อย่างเต็มที่
 และให้การสนับสนุนต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก

เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นในเวียดนามใต้ครับ
และส่งผลให้ชาวเวียดนามใต้ ไม่พอใจการปกครองเผด็จการของ โง ดินห์ เดียม
ซึ่งส่งผลให้นายโง ดินห์ เดียม ถูกรัฐประหารโดยการสนับสนุนของ US
และเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน

สงครามยังดำเนินมาอีกหลายปี
จนสุดท้าย เวียดนามเหนือ ซึ่งเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ ได้รับชัยชนะ
ความพ่ายแพ้ก็ตกเป็นของทางเวียดนามใต้ US และพันธมิตร
(ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย)

ปัจจัยที่เวียดนามเหนือชนะ ก็มีอยู่หลายประการ
สงครามนี้ดำเนินอยู่ในเวียดนาม ซึ่งฝ่ายเจ้าบ้าน คือเวียดนามเหนือ
ได้เปรียบในด้านภูมิประเทศ เนื่องจากรบในพื้นที่ของตัวเอง
อาศัยความชำนาญในภูมิประเทศ เอาชนะฝ่าย US และพันธมิตร
 ก็เป็นปัจจัยประการหนึ่ง

และทาง US เอง ก็เริ่มถอนตัวจากเวียดนามใต้ เนื่องจากความไม่คุ้มค่า
เนื่องจากสถานการณ์เป็นรองฝ่ายเวียดนามเหนือ
 ประกอบกับการทำสงครามยืดเยื้อนาน ๆ
ก็ย่อมทำให้เศรษฐกิจของ US เกิดปัญหาขัดข้องต่าง ๆ ไปด้วย
 พลเมืองอเมริกันก็เริ่มไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามนี้
ก็เป็นปัจจัยอีกประการหนึ่ง

สุดท้าย US ก็ยอมทำสนธิสัญญาสันติภาพ ในปี ๒๕๑๖
 ให้กองทัพถอนกำลังออกจากเวียดนาม
และเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้
ก็รวมเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ประเทศเดียว มาจนปัจจุบันครับ
ป.ล. พอดีผมได้อ่านข้อมูลประกอบเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เพิ่มเติม
ก็เลยมาปรับปรุงแก้ไขให้ข้อมูลสมบูรณ์ขึ้นสักหน่อย
 ผมคิดว่าที่พิมพ์ ๆ มา ก็น่าจะจบเพียงเท่านี้แหละครับ
วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๖ พระภิกษุในพุทธศาสนา นามว่า *ติช กวาง
ดึ๊ก** (**Thích
Qu**ả**ng Đ**ứ**c**)* อายุ ๗๓ ปี จากวัดเทียนมู่ ทนเห็นความทารุณโหดร้าย
ในการใช้อำนาจรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธต่อไปไม่ไหว จึง
ได้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะหยุดเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ตั้งใจมอบชีวิตแก่พระพุทธศาสนา
จุดประสงค์ท่านต้องการให้รัฐบาลหยุดปราบปรามชาวพุทธ
มอบความเท่าเทียมต่อประชาชนที่ต่างศาสนา

ท่านได้เขียนจดหมายถึง รัฐบาล โง ดินห์ เดียม ในการเสียสละตนเองครั้งนี้ว่า
๑. เพื่อป้องกันพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาดั้งเดิมของประเทศชาติ
๒. ขอเตือนการกระทำที่บีบคั้น และฆ่าพระภิกษุ แม่ชี และคนทั่วไปในประเทศ
๓. ขอร้องให้ท่านมอบอิสรภาพให้แก่ผู้นำชาวพุทธทั้งหลาย
ในคณะกรรมการป้องกันพระพุทธศาสนา
พระภิกษุ แม่ชี และพุทธศาสนิกชนที่ถูกจับขังอยู่ในขณะนี้
๔. ให้ยุติสถานการณ์เลวร้าย และเลิกจับพระภิกษุ แม่ชี และพุทธศาสนิกชนอีก
๕.
ให้เลิกองค์การคณะสงฆ์รวมทั้งบุคคลที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาหลอกลวงปิดบังความจริงเป็นเหตุให้ประชาชนโง่เขลา
หลัง จากได้เขียนข้อเรียกร้องเสร็จ ท่านก็ได้เข้าสู่ขบวนพุทธศาสนิกชนประมาณ ๑,๐๐๐
คนด้วยความสงบ ไปสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พระภิกษุ สามเณร แม่ชี
และพุทธศาสนิกชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ขับรถพุ่งชนเสียชีวิตในวันที่
๘ พ.ค. ๒๕๐๖ ที่ผ่านมา จากนั้นขบวนชาวพุทธศาสนิกชนก็ เดินต่อไปอย่างสงบ
โดยมีรถนำพระภิกษุติช กวาง ดึ๊ก ไปยังกลางเมืองหลวง พระภิกษุผู้เสียสละวัย ๗๓
ปีได้ก้าวลงจากรถ ไปนั่งขัดสมาธิกลางวงเวียนซึ่งมีพุทธบริษัทแวดล้อมเป็นวงใหญ่

บริเวณแยกไซ่ง่อน หลวงพ่อทิจ กวาง ดึ๊ก นั่งขัดสมาธิ สำรวมจิต
 มี ผู้หยิบถังน้ำมันเบนซิน ๕ แกลลอนออกมาจากรถคันนั้น แล้วเอาน้ำมันราดบนพระภิกษุ
ติช กวาง ดึ๊ก จนหมด ต่อจากนั้นท่านติช กวาง
ดึ๊กก็หยิบไม้ขีดไฟมาจุดไฟเผาร่างตนเอง
ไฟลุกโชติช่วงท่วมร่างของพระภิกษุผู้เสียสละ ขณะ ที่ไฟลุกท่วมร่างอยู่
ปรากฏว่าพระภิกษุวัย ๗๓ ยังคงนั่งนิ่งด้วยสมาธิจิตอันแน่วแน่ไม่ไหวติง
ไม่แสดงอาการทุกขเวทนาในสังขารแต่อย่างใดเลย
เปลวไฟอันร้อนระอุได้เผาจีวรและผิวหนังไหม้เกรียมอยู่ประมาณ
๑๐ นาที ร่างของท่านที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้น ก็หงายหลังอย่างเงียบสงบ

นี่คือพระ ภิกษุในพระพุทธศาสนาที่ได้เสียสละชีวิตเพื่อพิทักษ์พุทธศาสนา
นับเป็นรูปแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
การพลีชีพของท่านนั้น นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามคำประกาศในนามพุทธศาสนิกชน
ที่จะสละชีวิตรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นจากการกลั่นแกล้งบีบคั้น
และปราบปรามจากรัฐบาล
โง ดินห์ เดียมแล้ว ยังแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวมั่นคงของพุทธศาสนิกชนด้วย

สรีระของท่านถูกห่อหุ้มด้วยธงธรรมจักร พุทธบริษัทจำนวน ๑,๐๐๐ คน
พากันอัญเชิญสรีระของท่านไปไว้ ณ เจดีย์วัดซาลอย ในเมืองเว้ *ร่าง** **ท่านติช
กวาง ดึ๊ก** **ได้มีการนำไปทำพิธีใหม่** **
แต่หัวใจที่ได้จากศพของท่านไม่ไหม้เป็นเถ้าถ่าน** **
พุทธศาสนิกชนในเวียดนามยกย่องให้ท่านเป็นพระโพธิสัตว์*

*หัวใจของท่านติช กวาง ดึ๊ก** **ไม่ได้มอดไหม้ไปกับกองเพลิง**
**ปัจจุบันเก็บไว้ในสถูปทองคำ** **วัดเทียนมู่** **เมืองเว้***

หลังจากเหตุการณ์ที่ท่านติช กวาง ดึ๊ก อุทิศชีวิตเผาตนเองแล้ว รัฐบาล โง ดินห์
เดียม ประกาศว่าจะทำตามข้อเรียกร้องในจดหมายของท่านติช กวาง ดึ๊ก
แต่นั่นก็เป็นเพียงคำพูดที่กลับกลอก
หาความจริงใด ๆ ไม่ได้
เพราะสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิกเร่งใช้อำนาจผ่านตำรวจในสังกัด
ทำการฆ่าและทำร้ายพระภิกษุ และพุทธบริษัทรุนแรงหนักขึ้นไปอีก

- วัดกลายเป็นที่ต้องห้ามของการทำศาสนพิธี
โดยมีลวดหนามและสิ่งกีดขวางปิดกั้นตามถนนในเมืองใหญ่ ๆ
- พระภิกษุหรือผู้ใส่ชุดขาว คือผู้สวมเครื่องแบบของผู้ทำลายความมั่นคงของรัฐบาล
- พระภิกษุสงฆ์โกนศีรษะโล้นห่มผ้ากาสาวพัสตร์
คือเป้าหมายของตำรวจเวียดนามที่เป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิก
- ภาพของพระสงฆ์ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ยิง จนกระทั่งมรณภาพบนบาทวิถี
กลายเป็นภาพที่ประชาชนเห็นเป็นปกติ

หลังจากที่เกิดเหตุการณ์พระ ภิกษุอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนานั้น
ทำให้นายทหารที่เป็นพุทธศาสนิกชน ซึ่งเป็นนายทหารส่วนใหญ่ของกองทัพ
ไม่พอใจและเสียใจต่อการกระทำของรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง
ทหารเวียดนามทั้งกรมผูกผ้าสีเหลืองที่คอ
เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการสนับสนุนพระพุทธศาสนา
โดยแถลงว่า *"**
พวกเขาไว้ทุกข์ให้พระภิกษุที่เผาตนเองเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา"**
*และ ประกาศว่าพวกเขาพร้อมที่จะรบ
และพร้อมที่จะตายเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา
และแจกจ่ายแถลงการณ์ข่าวการอุทิศชีวิตของพระติช
กวาง ดึ๊ก ไปยังสาธารณชน พร้อมเปิดเผยการกระทำอันไม่ถูกต้องของรัฐบาล
แต่ถูกตำรวจคริสเตียนของ โง เดียม ถึก สั่งเก็บเอกสารทั้งหมด
แต่ก็ยังมีภาพที่หลุดออกไปสู่สายตาประชาโลกได้
ขณะที่คนทั่วไปต่างพากันตกตะลึงกับภาพการเผาตนเองของท่านติช
กวาง ดึ๊ก ก็มีการถ่ายทอดข่าวว่า*มาดามนูห์*
น้องสะใภ้ของเดียมได้กล่าวประโยคที่ทำร้ายจิตใจชาวพุทธว่า
*“**ให้พระพวกนั้นเผาตัวเองไป
ฉันจะปรบมือให้**” *และเรียกเหตุการณ์นั้นว่า *บาบีคิวโชว์*

*วันที่ ๑** **พฤศจิกายน** **๒๕๐๖** **คณะทหารกลุ่มหนึ่งนำโดยนายพลเดือง
วันมินห์** **ที่ปรึกษาทางทหารของเดียม** **ร่วมกับนายพลเหงียนคาห์น** **
นำกำลังเข้าทำการยึดอำนาจจากประธานาธิบดีเดียม* โง ดินห์ เดียมและโง ดิน นูห์
ถูกสังหารโดยพลขับในรถเกราะระหว่างเดินทางหลบหนี โง เดียม
ถึกและครอบครัวเดียมได้หนีไปอยู่อเมริกาและเสียชีวิตที่นั่น
*ผลกรรมไม่ดี ........ของคนที่พยายามทำลายพระพุทธศาสนา ได้รับผลกรรมไม่ดี
ในปจัจุบันชาติ ในยุคกลาง พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นเช่นนี้***
  มีผู้ลงคลิปวีดีโอหลวงพ่อติช กวาง ดึ๊ก เผาตนเองในเว็บไซต์ยูทูบ
บางคนเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์จริง แต่บางท่านก็แย้งว่า
น่าจะมีการถ่ายทำวีดีโอนี้ขึ้นมาทีหลัง แต่อย่างไรก็ดี
ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในการปกป้องพระพุทธศาสนา
ไม่ห่วงแม้กระทั่งชีวิตของของท่าน
ทำให้พุทธศาสนิกชนหลายท่านอนุโมทนาในกุศลครั้งนี้ค่ะ
 ที่มา : http://www.photoontour9.com/outbound...6/xvn06_25.htm
 http://www.thaijustice.com/webboard....b=0&id=1753260



 ใจดวงนี้ของผู้ส่ง ไร้สิ้นความริษยา มีเพียงความปราถนาดีเท่านั้นจ้า.


...^___^... ผู้ส่งต่อรักทุกชีวิตนะตัวเอง ...^__^...


Natyakul    Thaumthanan
Drafts women Auto Cad operator .

Power Line Engineering - Qatar W.L. L.
Po box: 47270 IBN Mahmound Area, Fujaa Street. Doha Qatar

......อาชีพที่ดีที่สุดในโลก...^___^



เป็นบทความที่น่าสนใจดีครับ

น้ำหยดเล็ก ๆ มันทำให้เกิดผืนป่า ป่าย่อย ๆ มันช่วยฟอกอากาศให้สดชื่น

อากาศเพียงน้อยนิดทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต

ชีวิตมนุษย์พักพิงอยู่บนผืนแผ่นดิน หรือแม้แต่จุลินทรีย์ที่ดูไร้ค่า

มันยังช่วยย่อยสลายสิ่งต่าง ๆให้เกิดสมดุล

เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันหรอกนะว่าสิ่งไหนมันสำคัญที่สุดในโลกนี้

แต่ว่าถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป

โลกใบนี้มันก็จะไม่เป็นโลกอีกต่อไป

แล้วมันจะมีอาชีพไหนไหมละที่ดีที่สุดหรือสำคัญที่สุด

มันอยู่ที่ตัวเราจะมองจะตัดสินใจต่างหาก

อย่าตัดสินใจอะไรเพียงเพราะบรรทัดฐานของสังคมจนเกินไป

เราเก่งในสิ่งที่เราเป็น

แม้ว่าหน้าที่นั้นมันจะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยต้อยต่ำเพียงใดก็ตาม

อย่าไปดูถูกใครหรือดูถูกอาชีพใด ๆ เพียงเพราะเราคิดว่าเขา "โง่" หรือต้อยต่ำ

ในโลกนี้ไม่เคยมีคนโง่ ทุกคนล้วนแต่เป็นคน "อัจฉริยะ"

เพราะถ้าเราไป "ตัดสินปลาโดยใช้ความสามารถในการปีนต้นไม้

ทั้งชีวิตมันก็จะคิดว่ามันโง่"

"ใจเราเป็นเช่นไร โลกเราก็จะเป็นเช่นนั้น

ถ้าใจเราแคบโลกของเรามันก็แคบ  ถ้าใจเรากว้างโลกของเรามันก็กว้าง

และถ้าใจเราสว่างต่อให้โลกมืดซักแค่ไหนก็จะยังคงเห็นทางไปเสมอ

อย่าไปดูถูกใคร อย่าไปดูถูกอาชีพใด

เพราะถ้าขาดใครไป โลกนี้มันก็คงไม่น่าอยู่อีกต่อไป

ในโลกนี้ไม่เคยมีคนที่ "ไร้ค่า"

มีเพียงแค่คนที่ "เห็น" หรือ "ไม่เห็น" คุณค่าในตนเอง

จดหมายข่าว GotoKnow ครั้งที่ 1 ประจำเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555

สวัสดีค่ะ สมาชิก GotoKnow ทุกท่าน

ในจดหมายข่าวฉบับนี้ทีมงานขอนำเสนอข่าวที่น่าสนใจจาก GotoKnow ดังนี้ค่ะ

# รางวัล สรอ. ขอความรู้ - เชิญร่วมประกวดคลิปวีดิโอ รูปถ่าย หรือ เขียนเรื่อง "ความรักของพ่อ" ลุ้นรับเงินสด 2,500 บาท 2 รางวัล หมดเขต 15 ธค. นี้ค่ะ (http://www.gotoknow.org/blogs/posts/510627)

# ข่าวประชาสัมพันธ์จากศูนย์เรียนรู้ สสส. และ ภาคี สสส. #

- เชิญเข้าร่วมประชุมวิชาการ "SHA Conference & Sharing" 19 -21 ธค. นี้ ณ โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค อ่านรายละเอียดที่http://www.gotoknow.org/blogs/posts/504536

- เชิญร่วมมหกรรม KM เบาหวาน 25-27 ธค. นี้ ณ ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ อ่านรายละเอียดที่ http://www.gotoknow.org/blogs/posts/505753

- ส่งบทคัดย่องานประชุมนานาชาติด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ครั้งที่ 21 โดย สสส. ได้ตั้งแต่บัดนี้ - 20 ธค. 55 http://www.gotoknow.org/classified/ads/3319

- สสส. ย้ายสำนักงานไปอยู่ที่ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ เลขที่ 99 ซอยงามดูพลี แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ http://www.thaihealth.or.th/about/announcement/31204

ขอบคุณค่ะ

GotoKnow - คนทำงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้

พรหมวิหาร กับการวางใจไว้ให้ถูกที่ ให้สวยงาม




การใช้พรหมวิหารธรรม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในที่นี้ย่อมเหมาะสมยิ่ง ผู้ได้รับกรรมถึงเป็นถึงตาย หรือได้รับความทรมานบาดเจ็บมากน้อยหนักเบา สูญเสียต่างๆ ก็ตาม ในฐานะผู้ดูเราต้องปลงใจลงว่า นั่นเขาได้รับผลแห่งกรรมที่เขาเองต้องเคยทำมาแล้ว

ส่วนผู้ทำกรรม ก่อความทุกข์ความทรมานเสียชีวิตเสียเลือดเนื้อ หรือทรัพย์สินเงินทองแก่ผู้อื่นนั้น ในฐานะผู้ดูเราต้องพยายามคิดให้พอเข้าใจว่า เขาตามกันมาเพื่อทวงหนี้กรรม จิตใจของทั้งสองฝ่ายทุกข์ร้อนด้วยกัน ไม่มีฝ่ายใดเป็นสุขได้เลย

เราต้องไม่เข้าไปร่วมความร้อนรนนั้นด้วย ถ้าเราไปมองผู้ทำกรรมอย่างโกรธแค้นเกลียดชังในความร้ายกาจโหดเหี้ยมอำมหิตของเขา เราก็จะทำร้ายตนเอง ไม่ใช่ใครที่ไหนทำ พึงใช้เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในคู่กรณีทั้งสองฝ่าย เมตตาที่เขาต้องทุกข์ด้วยกัน

เราทำบุญกุศลใดไว้ ก็ตั้งความกรุณาอุทิศให้ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเขาทั้งสองฝ่าย ให้ตัวของเขาด้วย เพื่อให้พอมีความสงบเย็นแม้เท่าที่กำลังจิตของเราสามารถช่วยได้ ขณะเดียวกันมีมุทิตายินดีกับตัวเองกับใครทั้งหลายอื่น ที่ไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นคู่กรณี

ไม่ต้องมีจิตใจที่เร่าร้อนทนทุกข์ทรมาน และมีอุเบกขาคือ พยายามวางใจเป็นกลาง ไม่เอียงไปเมตตากรุณาฝ่ายหนึ่งจนทำให้คิดไม่ดีในอีกฝ่ายหนึ่ง ให้ใจตั้งอยู่ในเมตตาทั้งสองฝ่าย

ที่สำคัญการวางใจนี้ต้องให้เป็นไปอย่างจริงใจ เมตตาอย่างจริงใจ กรุณาอย่างจริงใจอุเบกขาอย่างจริงใจ นั่นแหละจึงจะเป็นกรรมดีที่สมบูรณ์จริง อันจักให้ผลดีได้จริง

: ธรรมเพื่อความสวัสดี
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก









http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5357

หลงตน..หลงคน..หลงอำนาจ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)







ผู้มีโมหะมาก คือ มีความหลงมาก มีความรู้สึกที่ไม่ถูก ไม่ชอบ ไม่ควร ในตน ในคน ในอำนาจ

ผู้หลงตน เป็นคนมีโมหะ มีความรู้สึกที่ไม่ถูก ไม่ชอบ ไม่ควรในตนเอง คนหลงตนจะมีความรู้สึกว่าตนเป็นผู้มีความดี ความสามารถ ความพิเศษเหนือใครทั้งหลายเกินความจริง เป็นความรู้สึกในตนที่ไม่ถูก ไม่ชอบ ไม่ควร

เมื่อมีความรู้สึกอันเป็นโมหะ ความหลง ราคะ หรือโลภะและโทสะก็จะเกิดตามมาได้โดยไม่ยาก เมื่อหลงตนว่า ดีวิเศษเหนือคนทั้งหลาย ความโลภให้ได้มาซึ่งสิ่งอันสมควรแก่ความดี ความดีวิเศษของตน ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ความโกรธด้วยไม่ต้องการให้ความดี ความวิเศษนั้นถูกเปรียบถูกลบล้าง ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

ผู้หลงคน จะมีความรู้สึกว่าคนนั้น คนนี้ที่ตนหลง มีความสำคัญมีความดีวิเศษเหนือคนอื่น เกิดความมุ่งหวังเกี่ยวกับความสำคัญ ความดีความวิเศษของคนนั้นคนนี้ ความมุ่งหวังนั้นเป็นโลภะและเมื่อมีความหวังก็มีได้ทั้งสมหวังและความผิดหวังเป็นธรรมดา ความผิดหวังนั้นเป็นโทสะ

ผู้หลงอำนาจ เป็นผู้มีโมหะมีความรู้สึกที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควร ในอำนาจที่ตนมี ผู้หลงอำนาจจะมีความรู้สึกว่า อำนาจที่ตนมีอยู่นั้นยิ่งใหญ่ เหนืออำนาจทั้งหลายเกินความจริง เป็นความรู้สึกที่ไม่ถูก ไม่ชอบ ไม่ควร

ผู้หลงอำนาจของตนว่ายิ่งใหญ่เหนืออำนาจทั้งหลาย ย่อมเกิดความเห่อเหิมทะเยอทะยานในการใช้อำนาจนั้น ให้เกิดผลเสริมอำนาจของตนให้ยิ่งขึ้น ความรู้สึกนี้จัดเป็นโลภะ และแม้ไม่เป็นไปดังความเหิมเห่อทะเยอทะยาน ความผิดหวังนั้นจักเป็นโทสะ


: ผู้เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8752

คุณค่าของกาลเวลา







      อจฺเจนฺติ อโรหรตฺตา ชีวิตํ อุปฺรุชฺชติ กุณฺฑที ทมิโวทกํ ติฯ
     
      กาลเวลาเป็นของมิใช่จะให้ประโยชน์แก่โลกทั่วไปเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้มีปัญญาสนใจในธรรมปฏิบัติ รีบเร่งฝึกหัดใจของตนๆ ให้ทันกับกาลเวลาอีกด้วย แท้จริงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ ต้องขึ้นอยู่กับกาลเวลาทั้งนั้น เช่น ดินฟ้าอากาศ ฤดู ปี เดือน ต้นไม้ ผลไม้ และธุระการงานที่สัตว์โลกทำอยู่ แม้แต่ความเกิด ความแก่ และความตาย ถึงแม้สิ่งเหล่านั้นจะเป็นอยู่ตามหน้าที่ของเขาก็ตาม แต่ต้องอยู่กับกาลเวลา ถ้าหากกาลเวลาไม่ปรากฏแล้ว สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ก็จะไม่ปรากฏเลย จะมีแต่สูญเรื่อยไปเท่านั้น
     
      กาลเวลาได้ทำประโยชน์ให้แก่ชาวโลกนี้มิใช่น้อย ชาวกสิกรก็ต้องอาศัยวัสสานฤดู ปลูกพืชพันธุ์ในไร่นาของตนๆ เมื่อฝนไม่ตกก็พากันเฝ้าบ่นว่าเมื่อไรหนอพระพิรุณจะประทานน้ำฝนมาให้ ใจก็ละห้อย ตาก็จับจ้องดูท้องฟ้า เมื่อฝนตกลงมาให้ต่างก็พากันชื่นใจระเริงด้วยความเบิกบาน แม้ที่สุดแต่ต้นไม้ซึ่งเป็นของหาวิญญาณมิได้ ก็อดที่จะแสดงความดีใจด้วยอาการสดชื่นไม่ได้ ต่างก็พากันผลิดอกออกประชันขันแข่งกัน ชาวกสิกรตื่นดึกลุกเช้าเฝ้าแต่จะประกอบการงานของตนๆ ตากแดด กรำฝน ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเย็นร้อนอนาทร
     
      ชาวพ่อค้าวาณิชนักธุรกิจ ก็คอยหาโอกาสแต่ฤดูแล้ง เพื่อสะดวกแก่การคมนาคมและขนส่ง เมื่อแล้งแล้วต่างก็พากันจัดแจงเตรียมสินค้าไม่ว่าทางน้ำและทางบก
     
      ฝ่ายอุบาสกอุบาสิกาผู้มีศรัทธาตั้งมั่นในบุญกุศล ก็พากันมีจิตจดจ่อเฉพาะเช่นเดียวกันว่า เมื่อไรหนอจะถึงวันมาฆะ-วิสาขะ-อาสาฬหะ เวียนเทียนประทักษิณนอบ น้อมต่อพระรัตนตรัย เมื่อไรหนอจะถึงวันเข้าพรรษา-ออกพรรษา-เทโวโรหนะตักบาตรประจำปี
     
      วันทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เนื่องด้วยกาลเวลา ทั้งนั้น และเป็นวันสำคัญของชาวพุทธเสียด้วย เมื่อถึงวันเวลาเช่นนั้นเข้าแล้ว ชาวพุทธทั้งหลายไม่ว่าหญิงชายน้อยใหญ่ แม้จะฐานะเช่นไร อยู่กินกันเช่นไรก็ตาม จำต้องสละหน้าที่การงานของตน เข้าวัดทำบุญตักบาตร อย่างน้อยวันหนึ่ง หากคนใดไม่ได้เข้าวัดทำบุญสังสรรค์กับมิตรในวันดังกล่าวแล้ว ถือว่าเป็นคนอาภัพ
     
      ส่วนนักภาวนาเจริญสติปัฏฐาน ย่อมพิจารณาเห็นอายุสังขารของตนเป็นของน้อยนิดเดียว เปรียบเหมือนกับน้ำตกอยู่บนใบบัว เมื่อถูกแสงแดดแล้วพลันที่จะเหือด แห้งอย่างไม่ปรากฏ แล้วก็เกิดความสลดสังเวช ปลงปัญญาสู่พระไตรลักษณญาณ
     
      กาลเวลาจึงว่าเป็นของดีมีประโยชน์แก่คนทุกๆ ชั้นในโลกนี้และโลกหน้า ดังพุทธภาษิตที่ได้ยกขึ้นไว้ในเบื้องต้นนั้นว่า
     
      อจฺเจนฺติ อโรหรตฺตา ชีวิตํ อุปฺรุชฺชติ กุณฺฑที ทมิโวทกํ
      แปลว่า โอ้ชีวิตเป็นของน้อย ย่อมรุกร่นเข้าไปหาความตายทุกที เหมือนกับน้ำในรอยโค เมื่อถูกแสงพระอาทิตย์แล้ว ก็มีแต่จะแห้งไปทุกวันฉะนั้นฯ
     
      โดยอธิบายว่า ชีวิตอายุของเรา ถึงแม้ว่าจะมีอายุอยู่ได้ตั้งร้อยปี ก็นับว่าเป็นของน้อยกว่าสัตว์จำพวกอื่นๆ เช่นเต่าและปลาในทะเลเป็นต้น ซึ่งเขาเหล่านั้นมีอายุตัวละมากๆ เป็นร้อยๆ ปี ตั๊กแตน แมลงวัน เขามีอายุเพียง ๗-๑๐ วันเขาก็ถือว่าเขามีอายุโขอยู่แล้ว แต่มนุษย์เราเห็น ว่าเขามีอายุน้อยเดียว
     
      ผู้มีอัปมาทธรรมเป็นเครื่องอยู่ เมื่อมาเพ่งพิจารณาถึงอายุของน้อย พลันหมดสิ้นไปๆใกล้ต่อความตายเข้ามาทุกที กิจหน้าที่การงานของตนที่ประกอบอยู่จะไม่ทันสำเร็จ ถึงไม่ตายก็ทุพพลภาพเพราะความแก่ แล้วก็ได้ขวนขวายประกอบกิจหน้าที่ของตนเพื่อให้สำเร็จโดยเร็วพลัน กาลเวลาจึงอุปมาเหมือนกับนายผู้ควบคุมกรรมกรให้ทำงานแข่งกับเวลา ฉะนั้นฯ
     
      ทาน การสละวัตถุสิ่งของของตนที่มีอยู่ให้แก่บุคคลอื่น นอกจากผู้ให้จะได้ความอิ่มใจ เพราะความดีของตน แล้ว ผู้รับยังได้บริโภคใช้สอยวัตถุสิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์แก่ตนอีกด้วย นับว่าไม่มีเสียผลทั้งสองฝ่าย แต่กาลเวลาที่สละทิ้งชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายแล้วไม่เป็นผลแก่ทั้งสองฝ่าย คือกาลเวลาก็หมดไป ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เสื่อมสูญไป ยังเหลือแต่ความคร่ำคร่าเหี่ยวแห้งระทมทุกข์ อันใครๆไม่พึงปรารถนาทั้งนั้น นอกจากบัณฑิตผู้ฉลาดในอุบาย น้อมนำเอาความเสื่อมสิ้นไปแห่งชีวิตนั้นเข้ามาพิจารณา ให้เห็นสภาพสังขารเป็นของไม่เที่ยง จนให้เกิดปัญญาสลดสังเวช อันเป็นเหตุจะให้เบื่อหน่าย คลายเสียจากความยึดมั่นในสังขารทั้งปวง
     
      ฉะนั้น ทาน การสละให้ปันสิ่งของของตนที่หามาได้ในทางที่ชอบให้แก่ผู้อื่น ในเมื่อกาลเวลากำลังคร่าเอาชีวิตของเราไปอยู่ จึงเป็นของควรทำเพื่อชดใช้ชีวิตที่หมดไปนั้นให้ได้ทุน (คือบุญ)กลับคืนมา
     
      การรักษาศีล ก็เป็นทานอันหนึ่ง เรียกว่า อภัยทาน นอกจากจะเป็นการจาคะสละความชั่วของตนแล้ว ยังเป็นการให้อภัยแก่สัตว์ที่เราจะต้องฆ่า และสิ่งของที่เราจะต้องขโมยเขาเป็นต้นอีกด้วย นี้ก็เป็นการทำความดี เพื่อชดใช้ชีวิตของเราที่กาลเวลาคร่าไปอีกด้วย
     
      ผู้กระทำชั่วพระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้มีหนี้ติดตัว ผู้มีหนี้ติดตัวย่อมได้รับความทุกข์เดือดร้อน ฉะนั้น บาปกรรมชั่วเป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ แต่ผู้ใดทำลงไปแล้วแม้คนอื่นทั้งโลกเขาจะไม่เห็นก็ตาม แต่ความชั่วที่ตนกระทำลงไป แล้วนั่นแล เป็นเจ้าของมาทวงเอาหนี้ (คือความเดือดร้อน ภายหลัง) อยู่เสมอ ยิ่งซ้ำร้ายกว่าหนี้ที่มีเจ้าของเสียอีก
     
      เป็นที่น่าเสียดาย บางคนผู้ประมาทแล้วด้วยยศด้วยลาภก็ตาม ไม่ได้นึกคิดถึงชีวิตอัตภาพของตน กลัวอย่างเดียวแต่กาลเวลาจะผ่านพ้นไป แล้วตัวของเขาเองจะไม่ได้ทำความชั่ว ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของดีแล้ว เช่น สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ฯลฯ เป็นต้น นำเอาชีวิตของตนที่ยังเหลืออยู่นั้น ไปทุ่มเทลงในหลุมแห่งอบายมุขหมดบุญกรรมนำส่งมาให้ได้ดิบได้ดี มีสมบัติอัครฐานอย่างมโหฬาร เตรียมพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างไม่ขัดสน แต่เห็นความพร้อมมูลเหล่านั้นเป็นเรื่องความทุกข์ไป สู้ความชั่วอบายมุขไม่ได้

ที่มา  http://www.kammatan.com/board/index.php?PHPSESSID=94b835eb2af09c95f684e27893d965df&topic=1368.0

ความน่ากลัวของสังสารวัฏ




บางครั้งในหมู่คนที่มีความสุขสบายในชีวิต เกิดความขี้เกียจเจริญสติ

บางครั้งในหมู่คนที่มีความสุขสบายในชีวิต พรั่งพร้อมด้วย ทรัพย์สินเงินทอง รูปร่างหน้าตา และสติปัญญา ครั้งแรกๆ ก็สนใจ ใคร่รู้ในการปฏิบัติธรรม แต่เมื่อปฏิบัติไปสักระยะหนึ่ง สมใจอยากแล้ว บางครั้งก็ละเลย เบื่อและเกียจคร้าน ในการปฏิบัติ ขอให้ท่านฉุกคิดขึ้นมาว่า

โลกมีสิ่งที่ไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจ มากมาย

เรามีสิ่งที่เราเกลียด เช่น แมลงสาบ หนูสกปรก หมาขี้เรื้อน ....

"ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่า เราไม่ต้องไปเกิดเป็นสิ่งเหล่านั้น"
เว้นเรื่องชาตินี้ ชาติหน้าไปเสีย บางครั้งเราพบเห็น คนที่ประสบอุบัติเหตุ หน้าตาเละ เสียโฉม ตาบอด พิกลพิการ หรือบางคนยากจนค่นแค้น พ่อแม่หรือลูกเมียสร้างหนี้สินภาระไว้ให้มากมายมหาศาล บางคนพลั้งพลาด ถูกหลอกลวง เจ็บแค้นเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส

......"ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่า เราไม่ต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์เหล่านั้น"

เว้นเรื่อง ไกลตัวที่ยังไม่มีไม่เกิด มาดูสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่เช่น ...บ้านอันแสนอบอุ่น ...ครอบครัวที่เรามีอยู่ ...เครื่องใช้อำนวยความสะดวกสบายและบันเทิงทั้งหลายทั้งปวง ...คอมพ์ตัวโปรดที่ใช้เล่นเน็ต หรือแม้แต่ลมหายใจแห่งชีวิตของเรา เมื่อวันใดวันหนึ่งมาถึง สิ่งเหล่านี้ก็ต้องพลัดพรากจากเราไป หรือเราเองนี่แหละที่ต้องพลัดพรากจากมันไป

......"ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่า ความพลัดพรากใดๆ จะไม่เกิดขึ้น"

เว้นเรื่องชีวิต มนุษย์ ไปเสีย ด้วยจิตที่มีกำลังบุญอย่างใหญ่ หรือตั้งมั่นในฌานสมาบัติอันแก่กล้า มีความมั่นใจในอนาคตของตน ที่เห็นสุขคติและความสุข รออยู่เบื้องหน้า แต่ด้วยพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ได้ทรงสอนไว้แล้วว่า แม้แต่เทวดา หรือ พรหม ใดๆ ก็มีความเสื่อมและต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนี้ ไม่พ้นไปได้

นี่ไม่ใช่การคิดหรือเห็นโลกในแง่ร้าย แต่นี่คือความจริงของโลกที่เรามิอาจปฏิเสธ เราอาจจะพยายามหลีกเลี่ยง ไม่คิดถึง ไม่พูดไม่นึก พร้อมทั้งสร้างสิ่งที่จะสามารถรักษาสิ่งที่ดีดี เหล่านี้ไว้ให้มี นานที่สุด แต่ความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเราพยายามจะหลีกเลี่ยงไม่นึกถึงนั้น ก็ยังคงเป็นความจริงอย่างที่สุด ที่เรามิอาจหลีกเลี่ยง

เป็นโชคอันมหาศาลอย่างที่สุดที่มี มหาบุรุษผู้เจนโลก ผู้หยั่งรู้แล้วซึ่งความเป็นไปทั้งปวง มาช่วยเหลือเรา ให้พ้นจากวงจรแห่งความไม่แน่นอน จากความมีความเป็น แล้วเราจะเสียเวลา และประมาทอยู่ทำไม???


"ในทางโลก เขาแข่งกันมี
แต่ทางธรรม เรามุ่งที่ความไม่มี"









ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=60908&sid=edde2034afc581b2632ad1f7c3eb419c

จดหมายข่าว GotoKnow ครั้งที่ 2 ประจำเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555




สวัสดีค่ะ สมาชิก GotoKnow ทุกท่าน

ในจดหมายข่าวฉบับนี้ทีมงานขอนำเสนอข่าวที่น่าสนใจจาก GotoKnow ดังนี้ค่ะ

# เชิญร่วมกิจกรรมออนไลน์ลุ้นรับรางวัล #

- ชวน SHA 55 ถอดบทเรียนก่อนเข้าร่วมงาน 19-21 ธค. นี้ (http://www.gotoknow.org/posts/512332)
- New Year New You: ชวนเขียนสิ่งที่อยากทำ 10 อย่างเพื่อการปรับปรุงพัฒนาตนเองในปีใหม่ปีนี้ (http://www.gotoknow.org/posts/512358)
- ถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านบล็อกกับรางวัลสุดคะนึง (GotoKnow Writer of the Month) (http://www.gotoknow.org/posts/486853)

# อัพเดตกันหน่อย #

- ผู้ได้รับรางวัลสุดคะนึง พฤศจิกายน 2555 ได้แก่ คุณอักขณิช ศรีดารัตน์ มากกว่า 300 บันทึกคุณภาพ กับ 1 ปีใน GotoKnow (http://www.gotoknow.org/profiles/users/akkhanich)
- ดาวน์โหลดคำถามที่พบบ่อยในการใช้ GotoKnow (http://www.gotoknow.org/posts/512354)
- ดาวน์โหลด GotoKnow Express สำหรับ Google Chrome บันทึกเร็ว เก็บง่าย ไม่ต้องจำ (http://www.gotoknow.org/blogs/posts/503939)
- สถิติ GotoKnow ล่าสุด
  - เว็บไซต์อันดับที่ 29 ของประเทศ
  - สมาชิกกว่า 180,000 คน
  - บันทึกกว่า 500,000 รายการ
  - ไฟล์กว่า 790,000 รายการ
  - ความเห็นกว่า 2,600,000 รายการ

ขอบคุณค่ะ

GotoKnow - คนทำงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สู่บูรณาการงานกับชีวิต
สนุบสนุนโดย ศูนย์เรียนรู้ สำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) http://thaihealthcenter.org/

ไฟ 11 กอง




อันว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ และเทวดา
ได้ถูกไฟ 11 กอง เผาอยู่เสมอ
เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์นานาประการ 11 กอง คือ

1.ราคะ ความกำหนัดชอบใจ อยากได้กามคุณ 5 มีรูปเป็นต้น

2.ไฟโทสะ คือ ความโกรธ มีความไม่พอใจเป็นลักษณะ

3.ไฟโมหะ ได้แก่ ความลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง
โผฎฐัพพะ ลังเล ใจฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์

4. ชาติ คือ ไฟแห่งความเกิดอันเป็นทุกข์

5. ชรา คือ ไฟแห่งความแก่อันเป็นทุกข์

6. มรณธ คือ ไฟแห่งความตายอันเป็นทุกข์

7. โสกะ คือ ไฟแห่งความเศร้าโศก

8. ปริเทวะ คือ ไฟบ่นเพ้อร่ำไร รำพัน

9. ทุกขัง คือ ไฟแห่งความทุกข์ลำบากกายใจ

10.โทมนัส คือ ไฟแห่งความเสียใจ

11.อุปายโส คือ ไฟแห่งความคับแค้นใจ

ไฟทั้ง 11 กองนี้แหละเผาลนสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ให้ต้องพากันงมงาย เวียนว่ายตายเกิด ได้รับทุกข์ต่างๆ


: หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
: วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่

คัดลอกจาก:
http://www.baanjomyut.com/10000sword/homily/09.html

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการทำถั่วฝักยาวให้ตรงและกรอบนาน


เทคนิคการทำถั่วฝักยาวให้ตรงและกรอบนาน เพียงแช่ถั่วในน้ำละลายสารส้มนาน 10 นาที นำขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ แล้วห่อด้วยกระดาษ ก่อนนำเข้าตู้เย็น
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 5 ธค 2555

ดาวโหลด "สู่จุดจบ"ของชาติไทย? (The Coming Collapse of Thailand)


"สู่จุดจบ"ของชาติไทย? (The Coming Collapse of Thailand) หนังสือที่ถูกทักษิณยึด เก็บออกจากแผงหมด ไม่มีวางขาย
แจกมาให้อ่านฟรี โดย ดร. ไสว บุญมา อดีตนักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ประจำธนาคารโลก
http://www.mediafire.com/?7r8v52ggq7g5d72

การปลูกตะไคร้หอมรอบแปลงผัก


การปลูกตะไคร้หอมรอบแปลงผักและตัดใบออก 1 ซม ตีใบให้เกิดกลิ่นช่วงเย็นทุกวัน คือ เทคนิคในการป้องกันแมลงเข้าทำลายพืชผักได้เป็นอย่างดี
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 8 ธค 2555

กำจัดเห็บ-หมัดให้สุนัขหรือแมว


กำจัดเห็บ-หมัดให้สุนัขหรือแมว ใช้น้ำส้มควันไม้ 1ส่วน ผสมแชมพูอาบน้ำสัตว์ 2 ส่วน แล้วนำไปอาบให้สุนัข แมว ใช้ต่อเนื่อง เห็บ หมัดจะหายไป
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 8 ธค 2555

สูตรเด็ด อาหารเสริมปลา


สูตรเด็ด อาหารเสริมปลา ใช้ข้อไก่สด 50 กก. รำละเอียด 5 กก. เกลือ 1 กก. คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่เครื่องบดแล้วให้ปลาโตกินวันละ 2 มื้อ
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 9 ธค 2555

ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ ภายใน 10 วัน


ปั่นมะระขี้นก (เอาเมล็ดออก) 3 ลูก+คึ่นฉ่าย 1 ต้น ดื่ม 1 แก้วก่อนทานอาหารเช้าเป็นประจำ ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ ภายใน 10 วัน
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 9 ธค 2555

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กรณีปกคู่สร้างคู่สม กับการโปรยหัวหนังสือ ถ้าเจอ "พ่อ" ทีไหน ฉันจะถ่มน้ำลายรดทีนั่น



       กลายเป็นกระแส ลบ ทันที สำหรับหน้าปกใหม่ ของ "คู่สร้าง คู่สม " ดังภาพ  กับการโปรยหัว  " ถ้าเจอ "พ่อ" ทีไหน ฉันจะถ่มน้ำลายรดทีนั่น"

     ชาวเฟสบุค ที่เห็นภาพปก ก็ต้องสะดุดกับข้อความนี้ แล้วโพสประนาม ถามหาความรับผิดชอบทันที โดยที่ยังไม่ได้เปิดอ่านเนื้อหาในเล่ม คงเนื่องมาจากกระแส  นสพ.มติชน กับบทอาเศียรวาท

     ลองมาอ่าน ข้อความ จากคนที่เิปิดอ่าน เนื้อหาในเล่มนี้ดูบ้าง




        Tiamö Nunä คือ เป็นคำพูดของนักร้องดัง อเดล ( Adele) ที่คู่สร้างคู่สม ลงรายละเอียดของเธอนะค่ะ (เธอไม่ค่อยชอบพ่อเธอเท่าไร เพราะว่าทิ้งเธอไปตั้งแต่เธอยังเล็ก แต่กลับมาหาเธอตอนเธอมีชื่อเสียง แล้วก็เอาไปให้สำภาษณ์เกี่ยวกับตัวเธอกับนักข่าว แบบว่าเอาชื่อเสียงของเธอไปหากิน อะไรทำนองนี้นะค่ะ) นาว่าไม่น่าจะเป็นประเด็นนะค่ะ เพราะในหนังสือคู่สร้างคู่สม ก็ลงบทความเกี่ยวกับในหลวง มาหลายสัปดาห์แล้ว อย่างเล่มนี้ก็ลง ต้นมะม่วงที่ในหลวงไปปลูกที่ ปากีสถาน ตัวคุณดำรงเองเท่าที่ทราบประวัติ ก็เทิดทูนสถาบันนะค่ะ ตัวหนังสือหน้าปก ก็ไม่ได้เป็นสีแดงแจ๋ แบบที่เห็นนี่นะค่ะ ตัวหนังสือ คู่สร้างคู่สม เล่มนี้เป็นสีเหลือง-ส้มค่ะ(แต่ละสัปดาห์จะลงสีไม่เหมือนกัน) คำว่าต้นมะม่วงในหลวง ก็เป็นสีเหลือง-ส้มค่ะ ไม่ได้เป็นสีแดงแจ๋ แบบที่ถ่ายลงมาแบบนี้เลย นาว่าอย่าเอามาเป็นประเด็นเลยค่ะ เดี๋ยวจะเหมือนกรณี ทราย เจริญปุระ (เข้าใจค่ะว่า รักในหลวง นาก็รัก และเทิดทูน) แต่กรณีนี้ นาว่า เขาไม่ได้ จงใจนะค่ะ (ความเห็นส่วนตัวค่ะ) คือในรายละเอียด เขาโค๊ด คำพูดนี้ในเล่มอีกครั้ง แล้วก็ถามว่า "อะไรที่ทำให้เธอโกรธถึงกล้ากล่าวประโยคนี้ออกมา...หลายคนอาจข้องใจ" แล้วเขาก็เล่ารายละเอียดค่ะ ดังที่นาพิมพ์บอกไป..
18 นาทีที่แล้ว

       Tiamö Nunä แต่ก็ต้องขอติง คู่สร้าง คู่สม ว่า สำหรับเดือนมหามงคลแบบนี้ คู่สร้างคู่สม ไม่น่าจะโปรย หัว แบบนี้เลย มันขัดต่อความรู้สึกของคนไทยที่รักพ่อหลวงค่ะ

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เหตุใดเรารักในหลวง - รู้ได้ยังไงว่ารัก -“รักแล้วต้องทำยังไง”






คุณเคยนึกสงสัยกับคำถามที่ว่า "เหตุใดเรารักในหลวง" หรือไม่

    สำหรับตัวฉันเองแล้ว กลับมีคำถามมากมายเกี่ยวกับผู้ที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมา ถ้าคำถามนี้ออกจากชาวต่างชาติ อาจจะไม่ใช่เรื่องหน้าแปลกเท่าใดนัก เพราะเขาเหล่านั้นอาจจะไม่เคยพบเห็น พบเจอ หรือเข้าใจถึงความเป็นมาเป็นไปของความรักนี้ แต่หากมาจากคนที่อาศัยอยู่ภายใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ท่านอยากให้ ฉันอยากให้ทุกคนลองย้อนกลับมามองที่ตนเองว่า เหตุใด เราจึงตั้งคำถามนี้ขึ้นมา บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินคำถามว่า ทำไมเราถึงรักผู้หญิงคนนั้น ผู้ชายคนนู้น หลายครั้งที่คำตอบที่เราได้รับคือ "ไม่มีเหตุผล" นั่นแปลว่า "ความรัก" ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเหตุผล หากแต่เรามีเพียงความรู้สึกที่เรียกว่า "รัก"
"ความรู้สึก" เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากข้างใน ไม่สามารถมีใครมาบังคับเราได้ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในรูปแบบหนึ่งซึ่งเกิดจากจิตสำนึก หรือภายใต้จิตสำนึกของเราเอง

แล้วความรู้สึกที่เรียกว่า “รัก” เป็นใช่ไร เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรารักแล้ว
     เพียงแค่คุณมองสิ่งรอบตัวคุณเอง ว่า มีคนไหนรอบข้างคุณ ที่คุณสามารถบอกว่า รัก ได้จริงๆหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ที่มีต่อพ่อแม่ ความรักที่มีต่อญาติพี่น้อง ความรักที่มีต่อเพื่อน ความรักที่มีต่อคนรัก หรือจะรักในตัวศิลปิน แม้จะต่างกันในบางมุมของความรัก แต่สิ่งที่เหมือนคือ เรารู้สึกรัก หากคุณรู้สึกรักแล้ว คุณอาจจะมีคำถามต่อไปว่า

“รักแล้วต้องทำยังไง”
     คำตอบนี้มีอยู่รอบตัวคุณเช่นกัน คุณอยากทำอะไรให้คนที่คุณรักเช่น คุณรักพ่อแม่ คุณอยากให้ท่านสบาย มีอาหารการกิน ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คุณจะต้องทำยังไง แน่นอน คุณก็จะต้องทำในสิ่งที่ท่านทำให้คุณมาก่อน คือ ทำงานเพื่อจะมีรายได้ในการดูแลท่าน แม้ว่างานนั้นอาจจะลำบาก เราก็พร้อมยินดีที่จะทำเพื่อคนที่เรารัก แม้ท่านจะบอกว่า ไม่เป็นไร ท่านยังสามารถดูแลตัวเองได้ก็ตาม แม้ท่านอาจจะปฏิเสธในสิ่งที่คุณให้ท่าน ซึ่งบางครั้งท่านเห็นเราเหนื่อยเพื่อได้มันมาและไม่อยากให้เราลำบาก แต่เราก็ยินดีที่จะพูดว่า ไม่เป็นไร แค่นี้เอง ให้มากกว่านี้ก็ทำได้ ทั้งหมดนี้อาจจะเพียงเพื่อเห็นแค่รอยยิ้ม และสายตาแห่งความภาคภูมิใจที่ได้รับกลับมา นั่นคือสิ่งที่ลูกทุกคนอยากได้ มันไม่ได้มีมูลค่ามากมาย แต่กลับมีมูลค่าทางจิตใจ นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยเงินตราแต่กลับมีค่าสูงสุดสำหรับผู้ให้เช่นเรา เฉกเช่นเดียวกันกับคนที่รักในพระเจ้าอยู่หัว ออกมาทำดีเพื่อพระองค์ ออกมาทำสิ่งเล็กๆที่บางคนอาจจะมองว่าไม่มีประโยชน์ มองว่าเอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้ผลตอบแทนมากกว่า มองว่าทำให้พระองค์ พระองค์ไม่เห็น ไม่รู้ เราจะทำเพื่ออะไร เช่น กวาดเศษใบไม้ข้างลานพระบิดา ในโรงพยาบาลศิริราช ทำไปทำไม เดี๋ยวถึงเวลาก็มีคนมาทำ ทำตอนนี้เดี๋ยวใบไม้ก็ล่วงหล่นมาอีก พระองค์ไม่ทรงทอดพระเนตรลงมาตอนที่เราทำอยู่หรอก หากแต่ผู้ที่ช่วยกันทำนั้น กลับคิดว่า ถ้าปราศจากเศษใบไม้ จะทำให้สดชื่น เผื่อว่าพระองค์ทอดพระเนตรลงมา พระองค์จะได้รู้สึกผ่อนคลายกับต้นไม้ ใบหญ้าที่เขียวชอุ่ม หากแต่พระองค์ไม่ได้ทอดพระเนตรลงมาในเวลานั้นก็ไม่เป็นอะไร เพราะผู้ป่วยที่ผ่านมาทางนั้นพอดี ก็จะเห็นและทำให้รู้สึกผ่อนคลายกับอาการป่วยของตนได้ก็ยังดี เป็นส่วนเล็กๆในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ได้คำนึงถึงว่า ณ ขณะที่ตนทำนั้น แดดจะร้อนเพียงใด แต่กลับมองเห็นถึงว่า เมื่อทำเสร็จแล้ว จะมีใครบ้างที่ได้รับ ดังเช่น ที่พระองค์ ทรงงาน หลายครั้งที่พระองค์ ทรงเสด็จไปในถิ่นทุระกันดาน โดยไม่ได้คำนึงถึงความลำบากขณะที่พระองค์เสด็จ เพียงแต่พระองค์อยากที่จะช่วยเหลือ ประชาชนที่พระองค์รักดั่งลูกของตน บางครั้งหากทุกคนเลือกที่จะทำแต่สิ่งที่ให้ทุกคนมองเห็นดังเช่นปิดทองพระประธานแต่ด้านหน้า ด้านหลังไม่มีผู้ปิด พระประธานจะสง่างามได้อย่างไร

Maliwan Pukka Keewiriyakul
๗ ธ.ค. ๒๕๕๕

(หมายเหตุ  บทความที่น้องปุ๊ก ส่งมาให้อ่าน เมื่อเห็นว่า เข้าที น่าอ่าน จึงขอเผยแพร่ แปะใน facebook กว่า ร้อยเฟส)