++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

"เศษแก้ว" ช่วยบำบัดน้ำเสีย นวัตกรรมชิ้นเยี่ยมจาก มช.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์



ภาควิชาเคมีอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นำเศษแก้วพัฒนาสู่วัสดุพรุนเพื่อใช้ในการกรองบำบัดน้ำเสีย
ด้วยกรรมวิธีที่ไม่ซับซ้อน ใช้อุณหภูมิเผาไม่สูง
สามารถเตรียมแก้วพรุนในปริมาณมากๆ ได้
เน้นใช้ในอุตสาหกรรมเลี้ยงปลาและอุตสาหกรรมผลิตนม ซึ่งใช้น้ำค่อนข้างมาก

ดร.วรพงษ์ เทียมสอน อาจารย์ ประจำภาควิชาเคมีอุตสาหกรรม
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่
หัวหน้าโครงการต้นแบบแก้วพรุนที่ทำจากเศษแก้วเพื่อใช้เป็นวัสดุกรองบำบัดน้ำ
เสีย กล่าวว่า รูปแบบของการบำบัดน้ำเสียแนวทางหนึ่งในปัจจุบัน คือ
การกรองเอาสิ่งเจือปนขนาดเล็กทั้งชนิดที่เป็นสารอินทรีย์และอนินทรีย์ก่อน
ที่จะปล่อยน้ำออกสู่สิ่งแวดล้อม

"ทีม วิจัยจึงได้มีแนวคิดเพื่อวิจัยในการทำแก้วพรุน (Porous
glass) จากเศษแก้วเพื่อใช้เป็นวัสดุกรอง (Filter materials)
ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการให้ทุนสนับสนุนโครงงานอุตสาหกรรมสำหรับนัก
ศึกษาปริญญาตรี (IRPUS) และห้างหุ้นส่วน จำกัด แก้วสิงห์ (2000)
โดยอุตสาหกรรมเป้าหมายเบื้องต้น ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงปลา
และกลุ่มผู้ประกอบการผลิตนม ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มีการใช้น้ำค่อนข้างมาก
สำหรับเลี้ยงปลาและสำหรับทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตนม ตามลำดับ
ซึ่งน้ำหลังการใช้งานจะมีสิ่งเจือปนชนิดสารอินทรีย์ปะปนอยู่
ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการเน่าเสียของน้ำและส่งกลิ่นเหม็นได้
ดังนั้นถ้าทำการกรองเอาสิ่งเจือปนดังกล่าวออกก่อนที่จะปล่อยน้ำสู่สิ่งแวด
ล้อม จะสามารถลดปัญหาน้ำเสียได้แนวทางหนึ่ง"

ดร.วรพงษ์ กล่าวถึงคุณสมบัติที่น่าสนใจของเศษแก้ว
ว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในหลายๆ ด้าน
เนื่องจากเศษแก้วโดยทั่วไปจัดเป็นเศษแก้วประเภทโซดา-ไลม์-ซิลิกา
(Soda-lime-silica glass)
ซึ่งเป็นวัสดุอสัณฐานที่มีลักษณะเฉพาะและสมบัติที่ดีหลายด้าน เช่น
โปร่งใส ไม่มีรูพรุน ไม่เป็นพิษ ทำความสะอาดได้ง่าย
มีความหนาแน่นและความแข็งแกร่งสูง ทนสารเคมีได้ดี

"ข้อ ดีที่สำคัญของเศษแก้ว คือ สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมด
ไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนการแยกสารอื่นๆ
ออกก่อนนำมาใช้เพียงแค่ทำความสะอาดด้วยน้ำหรือสารละลายก็สามารถใช้ประโยชน์
ได้ทันที จึงได้เกิดแนวความคิดและต้องการที่จะเพิ่มมูลค่าของเศษแก้วให้สูงขึ้น
และสามารถประยุกต์ใช้เศษแก้วให้เกิดเป็นวัสดุใช้งานด้านต่างๆ
โดยได้ริเริ่มแนวทางที่จะใช้เศษแก้วทำเป็นวัสดุใช้งานที่เกี่ยวข้องกับการ
บำบัดน้ำเสีย ซึ่งเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน"

สำหรับการเตรียมแก้วพรุน ซึ่งใช้วิธี Powder method
เนื่องจากเป็นวิธีที่ไม่ซับซ้อน ใช้อุณหภูมิเผาไม่สูง
สามารถเตรียมแก้วพรุนในปริมาณมากๆ ได้ ทำให้มีราคาไม่สูงมากนัก
สำหรับแก็สที่เกิดจากสารก่อฟองที่อาจเป็นพิษได้นั้น

"จาก การทดลอง
ถ้าพิจารณาเลือกสารก่อฟองให้เหมาะสมกับเศษแก้วที่ใช้เพื่อให้ได้แก๊ส
ที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อมนั้นสามารถกระทำได้
ซึ่งแก้วพรุนที่เตรียมได้อาจพัฒนาให้เป็นวัสดุพรุนทางเลือกหนึ่ง
เพื่อใช้ในการกรองบำบัดน้ำเสียในอุตสาหกรรมเลี้ยงปลาและอุตสาหกรรมผลิตนมได้
อย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต" ดร.วรพงษ์อธิบายเพิ่มเติม

ขั้นตอนการทดลอง
เริ่มต้นด้วยการเตรียมแก้วพรุนจากเศษแก้วด้วยการเติมแคลเซียมคาร์บอเนตเพื่อ
ใช้เป็นวัสดุกรองน้ำโดยใช้วิธีเตรียมแบบผง
ทำการควบคุมขนาดของเศษแก้วในช่วง 100-150 ไมครอน ผสมกับร้อยละ
โดยน้ำหนักของแคลเซียมคาร์บอเนตในช่วง 3-15
ทำการเผาแต่ละส่วนผสมที่อุณหภูมิผนึก 600-900 องศาเซลเซียสด้วยอัตรา 5-10
องศาเซลเซียสต่อนาที เป็นเวลา 6 นาที ทำการตรวจสอบการผนึก
ขนาดและการกระจายตัวของรูพรุน การยุ่ยตัวในน้ำ พื้นที่ผิวจำเพาะ
และทดสอบประสิทธิภาพการกรองน้ำเสีย

ทั้งนี้ หัวหน้าโครงการกล่าวสรุปผลการทดลองว่า
พบชิ้นทดสอบมีการผนึกได้ที่ช่วงอุณหภูมิทดสอบ
ซึ่งจะเกิดการแตกตัวของแคลเซียมคาร์บอเนตก่อให้เกิดรูพรุนเปิดได้ดี
การกระจายตัวของรูพรุนเกิดขึ้นสม่ำเสมอเมื่อใช้ขนาดอนุภาคของเศษแก้วขนาด
เล็ก

"ขนาด เฉลี่ยของรูพรุนเล็กลงเมื่อเพิ่มปริมาณแคลเซียมคาร์บอเนต
แก้วพรุนไม่มีการยุ่ยตัวในน้ำ
ในการทดลองนี้ได้แก้วพรุนที่มีขนาดรูพรุนเป็น 0.07-0.15 เซนติเมตร
พื้นที่ผิวจำเพาะ 16-18 x 104 ตารางเซนติเมตรต่อกรัม
เมื่อทำการทดสอบกรองน้ำเสียที่มีร้อยละของแข็งเท่ากับ 6 ด้วยอัตราการป้อน
0.5 ลิตรต่อนาที พบว่า
สามารถกรองน้ำได้โดยมีประสิทธิภาพการกรองคิดเป็นร้อยละ 89
ขณะนี้งานวิจัยกำลังพัฒนาที่จะลดขนาดรูพรุนและเพิ่มพื้นที่ผิวจำเพาะ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกรองน้ำเสียให้ดีขึ้น"


http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000047577

กลุ่ม"Archive Team"หัวไว ง่วนเก็บ2แสนเว็บก่อนอวสาน GeoCities

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์



Edited -
หลังจากยาฮูแถลงการณ์ว่าบริษัทจะปิดบริการรับฝากเว็บไซต์ฟรีชื่อดังนาม
GeoCities ในปีนี้
มีรายงานว่าองค์กรเก็บกู้และบันทึกข้อมูลเก่าบนอินเทอร์เน็ตนาม Archive
Team เคลื่อนไหวว่องไวด้วยการเร่งดาวน์โหลดเว็บไซต์กว่า 200,000 เว็บใน
GeoCitie ตลอดเวลา 48
ชั่วโมงที่ผ่านมาเพื่อป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ประวัติศาสตร์เหล่านี้สูญหายไป
หวังทำประโยชน์ให้ชาวไอทีที่ต้องการค้นหาข้อมูลเก่าในอนาคต

ต้นเหตุของเรื่องนี้คือ การประกาศปิดบริการ GeoCities
บริการฟรีเว็บโฮสต์ที่ผู้ใช้สามารถฝากไฟล์ได้ฟรีไม่ต้องเสียค่าโฮสต์
แต่ต้องยอมให้มีโฆษณาของยาฮูปรากฏบนเว็บไซต์
โดยยาฮูประกาศว่าจะปิดบริการภายในปีนี้ก่อนจะหันไปเน้นการให้บริการออนไลน์
อย่างอื่นแทน สร้างความตกใจให้กับคนเคยใช้บริการ GeoCities
บริการเว็บโฮสต์เก่าแก่ที่คุ้นตามาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว

ยาฮูนั้นซื้อ GeoCities มาในราคา 3.57
พันล้านเหรียญสหรัฐตั้งแต่ยุครุ่งเรืองของฟองสบู่ดอทคอมในปี 1999
ซึ่งขณะนั้น ความนิยมของการสร้างเว็บเพจมือสมัครเล่นทำให้ GeoCities
เคยมีผู้เข้ามาใช้บริการฝากเว็บไซต์จำนวนรวมหลายล้านคนทั่วโลก
แต่เมื่อโลกหมุนมาถึงยุคนี้ที่ความนิยมในการทำเว็บเริ่มซาลง
ผู้บริโภคส่วนใหญ่หันไปหาเว็บไซต์เครือข่ายสังคม
ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถมีพื้นที่ออนไลน์ของตัวเองได้แบบสะดวกสบายกว่าการส
ร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเอง GeoCities จึงอ่อนแรงลง
ทำให้ยาฮูตัดสินใจปิดบริการในที่สุด

ใน เว็บ GeoCities ขณะนี้มีการประกาศข้อความปิดรับสมัครสมาชิกใหม่
และให้ทางเลือกในการโอนไปใช้บริการเว็บโฮสติ้งของยาฮูแทนในราคา 5.98
เหรียญต่อเดือน โดยที่สมาชิก GeoCities
ปัจจุบันยังคงสามารถใช้งานได้อยู่ถึงปลายปีนี้

หลังการประกาศของยาฮูเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
วันนี้เว็บข่าวไอทีอย่าง slashdot.org เผยแพร่บันทึกของ Jason Scott
ผู้จัดการกลุ่ม Archive Team ระบุว่ากลุ่มได้เผชิญกับงานใหญ่แสนยุ่ง
นั่นคือการเร่งมือดาวน์โหลดเว็บไซต์กว่า 200,000 เว็บที่นำไปฝากไว้ที่
Geocities ตลอด 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เชื่อว่าทางกลุ่มสามารถเก็บเว็บไซต์ใน Geocities ตั้งแต่ปี 1999
ได้เกือบทั้งหมด

Scott ระบุในบันทึกว่า
สิ่งสำคัญที่เป็นการบ้านใหญ่นับจากนี้คือการคิดว่าจะนำข้อมูลมหาศาลเหล่านี้
มาให้บริการชาวไอทีอย่างไร
และความกังวลเรื่องลิขสิทธิ์ของสังคมไอทีทำให้กลุ่มควรจำหน่ายข้อมูลเหล่า
นี้หรือควรอ้างอิงชื่อเจ้าของคอนเทนท์ซึ่งถูกทิ้งไปแล้ว ที่สำคัญ
กลุ่มยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะบริการไฟล์ในรูปแบบใด เช่น
ให้ดาวน์โหลดในรูปซิปไฟล์ผ่านทอร์เรนท์ (torrent) เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตาม
กลุ่มยืนยันว่าจะต้องหาทางให้บริการข้อมูลเหล่านี้แก่ชาวไอทีที่ต้องการ
อย่างแน่นอน

ปัจจุบัน Archive Team
ให้บริการสืบค้นข้อมูลเก่าบนอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์ archiveteam.org
เลียนแบบเว็บสารานุกรมชื่อดังอย่างวิกิพีเดีย (Wikipedia)
ให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการ
ขณะเดียวกันก็เปิดกว้างให้ประชาชนทั่วไปสามารถอัปโหลดไฟล์เก่าเก็บเพื่อขยาย
คลังข้อมูลเก่าร่วมกัน
ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่วิกิพีเดียใช้ในการขยายคลังความรู้ในยุคเว็บ 2.0

สำหรับ GeoCities ถือเป็นบริการล่าสุดที่ยาฮูทยอยปิดไป
ตามหลังการประกาศเตรียมเลิกจ้างพนักงานเพิ่มอีก 700 คน
ซึ่งเป็นการประกาศลอยแพพนักงานครั้งที่ 3 แล้วในรอบ 14 เดือน

Company Related Links :
ArchiveTeam http://archiveteam.org/
Yahoo


http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9520000047461

เผย "บันได-ห้องน้ำ" จุดเสี่ยงผู้สูงอายุ ชี้ สถานที่สำคัญใน 4 เขต กทม.เอื้อต่อคนแก่-คนพิการ ไม่ถึง 30%

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


ผลวิจัยชี้ "บันได-ห้องน้ำ"
สถานที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยสุดของผู้สูงอายุ เผยผลสำรวจสถานที่ใน 4 เขต
กทม.พบสำนักงานเขต สถานีตำรวจ ไปรษณีย์ สวนสาธารณะ โรงพยาบาล ห้าง ตลาดสด
สถานีขนส่ง มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อผู้สูงอายุ คนพิการไม่ถึง 30%


วันนี้ (29 เม.ย.) ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์
มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.)
ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.)
และหน่วยวิจัยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมจัดงานเสวนา
"สังคมไทยกับการสร้างพื้นที่สำหรับผู้สูงอายุ" โดย นพ.บรรลุ ศิริพานิช
ประธาน มส.ผส.กล่าวว่า
ปัญหาผู้สูงอายุส่วนใหญ่นอกเหนือจากเรื่องของสุขภาพและภาวะเศรษฐกิจแล้ว
ปัญหาสังคมที่ฉกรรจ์ที่สุด คือ ความเหงา
ซึ่งเป็นสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพกายและใจมากที่สุด
วิธีแก้ความเหงาในผู้สูงอายุคือ การทำงาน
ส่วนที่ทำงานไม่ไหวก็ต้องใช้วิธีการคุยกัน
โดยเฉพาะชุมชนควรจับกลุ่มหรือตั้งเป็นชมรมผู้สูงอายุทำกิจกรรมพบปะพูดคุยกัน

นอกจากนี้ ครอบครัวเป็นอีกส่วนสำคัญที่ต้องเอาใจใส่
รวมถึงพื้นที่ในบ้านที่ต้องเอื้ออำนวยความสะดวก ทั้งห้องน้ำ บันได
เช่นเดียวกับพื้นที่สาธารณะที่ผู้สูงอายุนิยมไปใช้บริการคือ ตลาด
สวนสาธารณะ วัด ต้องจัดพื้นที่ให้เอื้ออำนวยแก่ผู้สูงอายุด้วย

รศ.ไตรรัตน์ จารุทัศน์
หัวหน้าหน่วยวิจัยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า
จากการศึกษาวิจัยถึงสภาพแวดล้อมที่จะช่วยลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับผู้
สูงอายุพบว่า บริเวณที่เกิดอุบัติเหตุเป็นประจำมี 2 จุดคือ
บันไดและห้องน้ำ นอก จากนี้ วัด ตลาด สวนสาธารณะ โรงพยาบาล
สถานที่ราชการต่างๆ คือ
เป้าหมายในการออกนอกบ้านในแต่ละครั้งของผู้สูงอายุ
แต่ในความเป็นจริงอาคารสถานที่สาธารณะในบ้านเราจำนวนมากยังไม่เอื้อต่อการ
ใช้งานของผู้สูงอายุ ซึ่งจากการวิจัยการสำรวจอาคารสถานที่ใน เขตจตุจักร
ราชเทวี บางแค และลาดกระบัง
เพื่อสำรวจสถานที่ที่ผู้สูงอายุใช้กันมากนั้นปลอดภัยหรือไม่ทั้งใน
สำนักงานเขตต่างๆ สถานีตำรวจนครบาล ที่ทำการไปรษณีย์ สวนสาธารณะ
โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า ตลาดสด และสถานีขนส่งรูปแบบต่างๆ
โดยอาศัยข้อบังคับในกฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการ
ผู้ทุพพลภาพ และผู้สูงอายุ พ.ศ.2548 เป็นเกณฑ์ในการวัด ปรากฏ ว่า
สถานที่ต่างๆ ดังกล่าวมีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ถึง 30%
สะท้อนให้เห็นว่าผู้สูงอายุต้องเผชิญกับปัญหาในการใช้สถานที่แทบทุกจุด
ตั้งแต่ภายในจนถึงภายนอกอาคาร

นอกจากนี้
ยังพบช่องว่างของกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลบังคับใช้เฉพาะอาคารที่มีพื้นที่ที่
เปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไปเกิน 300
ตร.ม.สำหรับหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ และมีพื้นที่ให้บริการมากกว่า
2,000 ตร.ม.สำหรับอาคารเอกชน
ทำให้เกิดช่องว่างในอาคารที่มีพื้นที่น้อยกว่าที่ไม่ถูกกฎหมายบังคับ
ที่สำคัญไม่มีผลบังคับย้อนหลังและไม่มีบทลงโทษ
ทำให้อาคารจำนวนมากที่ปลูกสร้างก่อนกฎหมายกำหนด
โดยเฉพาะอาคารเก่าซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถานที่ราชการละเลยที่จะปรับปรุง

ทั้งนี้ ในงานได้มีพิธีมอบรางวัล
"อาคาร-สถานที่ที่เป็นมิตรสำหรับผู้สูงอายุ ประจำปี 2551" ให้กับวัด
สวนสาธารณะ และอาคารตลาดที่ผ่านเกณฑ์การประกวด
ซึ่งไม่มีสถานที่ใดได้รับรางวัลชนะเลิศ มีเพียงรางวัลชมเชย 7 แห่ง

ประเภทวัด ได้แก่ วัดปัญญานันทาราม จ.ปทุมธานี, วัดมงคลโกวิทาราม
จ.อุบลราชธานี, วัดปงคก องค์การบริหารส่วนตำบลหลวงใต้ จ.ลำปาง

ประเภทสวนสาธารณะ /ลานชุมชน ได้แก่ เทศบาลตำบลปากท่อ จ.ราชบุรี,
เทศบาลตำบลหนองตองพัฒนา จ.เชียงใหม่,
ศูนย์อเนกประสงค์สำหรับผู้สูงอายุในชุมชน เทศบาลเมืองสกลนคร

และประเภทตลาด ได้แก่
ตลาดศูนย์ผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวนครชากังราว จ.กำแพงเพชร

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000048071

"เมล็ดฟักทอง" เคี้ยวทีไรได้คุณค่า

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


"108 เคล็ดกิน" เคยนำเรื่องราวและประโยชน์ของ "ฟักทอง"
มาเล่าให้ฟังกันแล้ว แต่ยังไม่ได้พูดถึง "เมล็ดฟักทอง" ให้ฟังกันเลย
แต่เมล็ดฟักทองเล็กๆ นี้ก็มีคุณค่าไม่แพ้ผลฟักทองลูกโตๆ เหมือนกัน
โดยคุณค่าทางอาหารนั้นก็เช่น ให้โปรตีนมากรองลงมาจากถั่วลิสง มีไขมันต่ำ
ให้ธาตุเหล็กสูง นอกจากนั้นก็ยังมีแร่ธาตุอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี
วิตามินเอ และมีใยอาหารอีกด้วย

นอกจากนั้นยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
เพราะไขมันในเมล็ดฟักทองเป็นกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว
จึงช่วยลดไขมันในเส้นเลือด แก้โรคหลอดเลือดอุดตันได้
ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานเป็นปกติ เพราะในเมล็ดฟักทองมีแร่ธาตุสังกะสี
ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตทั่วไป
และการพัฒนาของอวัยวะสืบพันธุ์ ตลอดจนการทำงานตามปกติของต่อมลูกหมาก
อีกทั้งแร่ธาตุฟอสฟอรัสที่มีอยู่มากก็จะช่วยยับยั้งการเกิดผลึกนิ่วใน
กระเพาะปัสสาวะได้
และหากกินเมล็ดฟักทองในขณะท้องว่างวันละสองครั้งก็จะช่วยขับพยาธิตัวตืด
พยาธิเส้นด้าย พยาธิตัวกลม พยาธิใบไม้ได้อีกด้วย

และที่สำคัญ รสชาติหวานๆ มันๆ
ของเมล็ดฟักทองนั้นก็ยังถูกปากใครหลายๆ คนเสียด้วยสิ

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000047589

"ภัททิรา ทางรัตนสุวรรณ" คว้ารางวัลแพทย์ชนบทหญิงดีเด่นคนแรกในรอบ 35 ปี

"พญ.ภัททิรา ทางรัตนสุวรรณ" รับรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบทของรพ.ศิริราช
เผยเป็นแพทย์หญิงคนแรกในรอบ 35 ปีที่ได้รับรางวัลนี้
คณะกรรมการระบุมีความเหมาะสมทุกอย่าง เสียสละ อดทน กล้าหาญ
เสี่ยงรักษาคนในพื้นที่ 3 จว.ชายแดนใต้มานานกว่า 8 ปี
ด้านเจ้าตัวระบุไม่เคยคิดออกจากพื้นที่แม้ต้องเสี่ยงตายหลายครั้ง


วันนี้(29 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.00น. ที่โรงพยาบาลศิริราช ศ.คลินิก
นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ร่วมด้วย
รศ.นพ.อนุพันธ์ ตันติวงศ์ ประธานคณะกรรมการคัดเลือกแพทย์ดีเด่นในชนบท
จัดการแถลงข่าวประกาศผลพร้อมมอบรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบทประจำปี 2551
ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้ทำการพิจารณาจาก 16 ราย และมีความเห็นตรงกันว่า
พญ.ภัททิรา ทางรัตนสุวรรณ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี
จ.ปัตตานี เป็นผู้ได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบท

นพ.อนุพันธ์ กล่าวว่า พญ.ภัททิรา
ถือเป็นแพทย์หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลแพทย์ชนบทในรอบ 35
ปีที่มีการมอบรางวัลนี้ และพญ.ภัททิรามีความเหมาะสมเนื่องจากมี
ความเป็นผู้นำ บุคลิกภาพดี มีความคิดริเริ่ม ใฝ่รู้ มีความกล้าหาญ อดทน
เสียสละและทำหน้าที่แพทย์ได้อย่างครบถ้วนทั้งที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล
และท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยได้ดูแลเอาใจใส่ให้การรักษาพยาบาลประชาชนชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิม
ทั้งในโรงพยาบาลและมีการลงพื้นที่ในหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง

พญ.ภัททิรา กล่าวว่า
ตนได้รับเกียรติและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าตนเป็นแพทย์หญิงคนแรก
ที่ได้รับรางวัลดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามถือว่านี่คือผลงานของทีมแพทย์
รพ.สมเด็จพระยุพราชสายบุรี ความร่วมมือจากชุมชน
และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ซึ่งตลอดระยะเวลา 8 ปีที่จ.ปัตตานีมีความสุข
และอบอุ่นมาก

พญ.ภัททิรา กล่าวอีกว่า
การทำงานที่ยังประสบปัญหาในพื้นที่จ.ปัตตานีขณะนี้คือ
ปัญหาด้านสุขภาพจิตของคนในพื้นที่ และอนามัยแม่และเด็ก
ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น
ประกอบกับชุมชนอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ตนจึงได้พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ด้วยการลงพื้นที่ให้ถี่มากขึ้นพูดคุยกับชาวบ้านให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ประกอบกับคิดวางแผนให้กับชุมชนเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างเร่งด่วน
(EMS) กรณีที่มีเหตุการณ์ความรุนแรง

"เรา มีคติว่าต้องเชื่อว่าต้องทำได้ แล้วเราก็จะทำได้
และถ้าเราไปอาศัยอยู่ที่ไหนเราต้องทำให้ที่นั่นเจริญ
ซึ่งตลอดเวลาที่ทำงานมาไม่เคยมีความคิดว่าจะย้าย
แม้ว่าบางครั้งจะรู้สึกท้อและกลัวเกี่ยวกับความปลอดภัย
แต่รอยยิ้มของคนไข้ทำให้เราไม่อยากไปไหน คนในพื้นที่มีน้ำใจและน่ารักมาก
8 ปีมีผู้ป่วย 95 เปอร์เซ็นต์นับถือศาสนาอิสลามและพูดยาวี
เราเองก็ต้องฝึกพูดเพื่อที่จะเข้าหาคนไข้ ตอนนี้พูดอธิบายโรคได้
แต่ยังพูดเรื่องทั่วๆ ไปไม่ได้ก็ต้องฝึกต่อ"
ผอ.รพ.สมเด็จพระยุพราชสายบุรี กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ด้าน นพ.มงคล ณ สงขลา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
และแพทย์ดีเด่นในชนบทปี 2518 กล่าวว่า พญ.ภัททิรา
มีความเหมาะสมกับรางวัลนี้เป็นอย่างมาก
เนื่องจากการทำงานในพื้นที่ล่อแหลมนั้นมีความสุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบ
จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ซึ่งเคยมีช่วงหนึ่งตนลงไปในพื้นที่
และทราบข่าวว่ามีการขู่ทำร้ายแพทย์ผู้หญิงในพื้นที่
ซึ่งมีเพียงพญ.ภัททิรา คนเดียวเท่านั้น

"แม้เคยมีเหตุการณ์ที่ขู่และหมายปองร้ายถึงชีวิตหมอเจี๊ยบก็ไม่เคย
คิดจะเลิกทำงานหรือขอย้ายจากพื้นที่
ซึ่งตรงนี้เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับแพทย์รุ่นใหม่ได้เห็นเป็นต้นแบบได้"
แพทย์ดีเด่นในชนบทปี 2518 กล่าว

อนึ่ง พญ.ภัททิรา ทางรัตนสุวรรณ หรือหมอเจี๊ยบ
เป็นคงสงขลาโดยกำเนิด ปัจจุบันอายุ 40 ปี จบแพทยศาสตร์
จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในปี 2535
โดยเข้ารับตำแหน่งนายแพทย์ 4 ครั้งแรกที่
โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จังหวัดปัตตานี
ก่อนจะย้ายไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลยะหริ่ง จ.ปัตตานี
ก่อนจะกลับมาบริหารโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรีในปี 2544
จนกระทั่งถึงปัจจุบัน


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000048002

ความสุขของพระมหากษัตริย์

         หนึ่งปีที่ผ่านมา......

        เราใส่ เสื้อเหลือง

        เราใส่ สาย รัดข้อมือสีเหลือง

                คนนับแสน ไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพียงไม่กี่ นาที

                วัน นั้น ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเชื่อศรัทธาในระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็น ประมุข เราได้แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งที่คนทั้งชาติยังซื่อ สัตย์ จงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีและพระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของคน ไทย


        .....สิบสองปีที่ผ่านมา......

        พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจเพราะทรงงานหนักเกิน ไป

                ในขณะ เดียวกันสมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนัก อยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่น กัน

                เรา ยังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยม พระราชชนนีไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดใหญ่ถวายพระ หัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระ อุระ และในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งทรงถือม้วนแผนที่ กรุงเทพฯเพราะน้ำกำลังท่วม กรุงอยู่

        ยังจำกันได้ ไหม?

        ..... 34 ปีที่ผ่านมา.....

              วัน ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516  เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิด วิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด

                วัน นั้นนิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดินขบวน ประท้วงรัฐบาล เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น ตำรวจทหารยิงประชาชน ในขณะที่นิสิตนัก ศึกษาก็เผาสถานที่ราชการเกิดกลียุคทุกหย่อมหญ้า คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกัน เอง

                คืนนั้น สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวน จิตรลดาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคน ว่า “คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับ พลัน”

        และ ทุกอย่างก็สงบโดยฉับพลัน

        หลังจากนั้นไม่นานมีฝรั่งคนหนึ่ง มาถามผม ว่า “เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้ง ประเทศได้อย่างนั้น?”

                ผมไม่ได้ ตอบ แต่ตอนนั้นใจผมคิดถึงประโยค ที่  มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ ได้ให้ สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่า พระองค์ทรงเป็น 'SOUL OF THE NATION'  หรือ “จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ”

        ยังจำกัน ได้ ไหม?

          แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่?

        เราสร้างค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่ สุด

        เราโกง ทุก ครั้งที่มีโอกาส

        เราเรียก ร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ “ สิทธิ” แต่ลืมคำว่า “ หน้าที่”

        เรากำลัง ฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้

        เรา สร้าง “กฎหมู่” ให้เหนือ “กฎหมาย”

        เราเดิน ขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย

        เราก้าว ร้าวต่อกัน เราแตกแยกกัน

        และทั้งโลกกำลัง จับตามองเราอยู่

        เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า

        พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวของเราจะทรงเสียพระทัย เพียงใด?

                80 ชันษา ของ พระองค์ท่าน หากเปรียบ กับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ ได้รับการดูแล และ ระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก หรือกระทบกระเทือนใจ แต่ อย่างใด

                แต่กลับ เป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษา ของ พระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวาย การ ดูแลของคณะแพทย์


        พระองค์ต้องรับ ทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ

        ความสุข ของพระมหากษัตริย์พระองค์ นี้ ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังใหญ่โตสวยงาม แห่ ล้อมด้วยข้าราช บริพาร

                หากแต่ ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ เมื่อ ประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคี กัน รู้จักความพอเพียง และมีสติ- เพียงเท่านี้เอง

        แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่?

        หรือนี่คือการ แสดงความกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์ของ เรา?

        ช่วย Forward เตือนสติคน ทั้งประเทศ ด้วย..

Clip he ha : The truth about Taksin

โดยสาวใจเด็ดที่โพสข้อความด่าประจานทักษิณไปทั่วโลก ที่ถูกลบหายไป ตอนนี้มาใหม่ใน Youtube แล้วครับ


นับถือหญิงไทยใจเด็ด

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

พธม.ชลบุรีจัดงาน"ราตรีสังสรรค์"16พ.ค.นี้

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน


ศูนย์ข่าวศรีราชา - พันธมิตรฯชลบุรีเตรียมจัดงานราตรีสังสรรค์
พร้อมเสวนาการเมืองใหม่ ภาคประชาชน ที่ภัตตาคารไต้ฮี้ 2 สาขานินจา 16
พ.ค.ที่จะถึงนี้

นายธนสร ติมพรุสกานนท์
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดชลบุรี
และประธานจัดงานราตรีสังสรรค์ พร้อมเสวนาการเมืองใหม่ภาคประชาชน เผยว่า
การจัดงานดังกล่าวในครั้งนี้จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 16 พ.ค.52
ที่ภัตตาคารไต้ฮี้ 2 สาขานินจาเพื่อหารายได้ช่วยเหลือ ASTV
และเป็นการพบปะสังสรรค์และเสวนาการเมืองใหม่ในกลุ่มพันธมิตรฯชลบุรีและ
พื้นที่ใกล้เคียง

การจัดงานในครั้งนี้ไม่มีพิธีการอะไรมาก โดยเน้นหารายได้ช่วยเหลือ
ASTV เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรฯทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ดี
จึงหาทางช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ และในครั้งนี้
จึงได้จัดโต๊ะจีนเพื่อเชิญชวนพี่น้องพันธมิตรฯมาร่วมงาน
เพื่อนำรายได้ที่ได้รับจากการจัดงานนี้มอบให้แก่ ASTV แม้จะไม่มากนัก
ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลืออีกแนวทางหนึ่ง

นายธนสร กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่จะเดินทางมาร่วมงานนั้น
ประกอบด้วยนายอมร อมรรัตนานนท์, นายสำราญ รอดเพชร, นายศรัณยู
วงษ์กระจ่าง, คุณอัญชะลี (ปอง) ไพรีรัก, คุณแอน-จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ
และวงดนตรีวง ก.ไก่ พร้อมเพื่อนๆ อีกหลายวงจะมาร่วมในความสนุกด้วย ส่วน 5
แกนนำนั้น นายอมร (อมรรัตนานนท์) จะเป็นผู้ประสานเชิญมา ดังนั้น
ทางผู้จัดงานยังไม่ทราบว่าใครจะเดินทางมาบ้าง

สำหรับงานนี้คาดหวังว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 1,000 คนหรือ 100
โต๊ะจีน ซึ่งหากมาจำนวนดังกล่าว อาจจะต้องจัดเวทีกลางแจ้ง
เนื่องจากพื้นที่ร้านจะไม่เพียงพอ ดังนั้น
หากพันธมิตรฯรายใดจะเข้าร่วมงานก็ขอให้รีบจองโต๊ะในราคา 2,500
บาทตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 10 พ.ค.นี้ หากพ้นเวลาดังกล่าวจะไม่รับจอง
เนื่องจากจะต้องประสานกับทางร้านเพื่อจัดอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการ
เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาอาหารไม่เพียงพอหรืออาหารมากเกินไป ดังนั้น
จึงต้องกำหนดให้ตรงกัน


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000048199

"พธม.ภูเก็ต"ลุยกิจกรรมไม่หยุดเดินหน้า ต่อยอดการเมืองใหม่-ค้านแก้ รธน.

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน

ศูนย์ข่าวภูเก็ต-"พันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย
จังหวัดภูเก็ต" ไม่หยุดเดินหน้าต่อยอดให้ความรู้เรื่องการเมืองใหม่แก่ภาคประชาชน
หลังเสร็จสิ้นงานใหญ่จัด "คอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 6"
พร้อมเฝ้าจับตาประเด็นร้อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยัน!ค้านสุดตัวแน่
หากรัฐบาลไม่หยุด ส่วนมวลชนจะรวมตัวอีกหรือไม่
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมือง

น.ส.อาภารัตน์ ชาติชุติกำจร คณะทำงานกลุ่มพันธมิตรประชาชน
เพื่อประชาธิปไตย จังหวัดภูเก็ต
กล่าวถึงพันธกิจการเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชนในพื้นที่
เพื่อต่อยอดให้ความรู้เรื่องการเมืองใหม่ ภายหลังเสร็จสิ้นการจัดงาน
"คอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 6" บริเวณปลายแหลมสะพานหิน อ.เมืองภูเก็ต
เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2552 ที่ผ่านมาว่า หลายคนอาจจะคิดว่า พันธมิตรฯ
ภูเก็ต อาจจะหยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว หลังจากเสร็จสิ้นการจัดงานใหญ่
แต่เรากลับมองว่า
เป็นเพียงการเริ่มต้นครั้งใหม่ของการรวมตัวของกลุ่มพลังมวลชนอีกครั้ง
เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่น่าไว้วางใจ
อย่างที่พันธมิตรฯ ภูเก็ต เคยย้ำเสมอว่า เราหยุดไม่ได้แม้เพียงก้าวเดียว
และเราสะกดคำว่า "แพ้ไม่เป็น"

สิ่งแรกที่เราทำหลังจากงานเมื่อวันที่ 18 เมษายนเสร็จสิ้น คือ
ขอบคุณบรรดาพ่อยก แม่ยก และทีมงานการ์ด เพราะกล่าวได้เต็มปากว่า
งานคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 6 เป็นงานที่เกิดจากความร่วมมือ ร่วมแรง
ร่วมใจของพ่อยก แม่ยก และทีมการ์ด ไม่ใช่กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น
หรือกลุ่มทุนต่าง ๆ เราเริ่มต้นทำงานจากเงินเพียงศูนย์บาท
แต่เราได้รับแรงใจ แรงหนุนจากบรรดาพ่อยก แม่ยก

สิ่งที่เรามอบให้แก่คนเหล่านี้
มีเพียงแค่ผ้าแถบสีเหลืองที่เขียนคำว่า "ขวัญใจพันธมิตรภูเก็ต 2552"
จากการระดมเงินคนละเล็กละน้อยของคณะทำงาน โดยเฉพาะจากคุณกฤช เทพบำรุง
ซึ่งถือว่า เป็นพี่ใหญ่ สำหรับนำมาจัดซื้ออาหาร เครื่องดื่มต่าง ๆ
แต่สิ่งที่ทุกคนได้รับมากกว่านั้น คือ ความภาคภูมิใจ
ที่เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันปกป้อง ASTV
และมอบความรู้ให้แก่ผู้ที่เป็นพันธมิตรฯ
แต่ไม่มีโอกาสขึ้นไปเรียนรู้ที่มหาวิทยาลัยราชดำเนินได้มาเรียนรู้กันถึง
บ้าน

การนัดกินข้าวขอบคุณคณะทำงาน แม้หลายคนอาจจะมองว่า
เป็นเรื่องไร้สาระ แต่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะยึดถือคำว่า น้ำใจ เป็นที่ตั้ง
เงิน ไม่สำคัญทุกบาททุกสตางค์เรามอบให้ ASTV ทั้งหมด เพราะเรามองว่า
หากไม่มี ASTV ก็ไม่มีห้องเรียนขนาดใหญ่ให้เราได้ศึกษา ข้อมูลข่าวสารต่าง
ๆ ที่ได้รับจาก ASTV เป็นสิ่งสำคัญมาก
เพราะไม่มีสถานีโทรทัศน์ช่องไหนมองเห็นความสำคัญ

เดินหน้าต่อยอดการเมืองใหม่

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้พันธกิจสำคัญที่เราจะต้องทำ
และเดินหน้าต่อยอด คือ
การให้ความรู้แก่ภาคประชาชนในเรื่องการเมืองด้านต่าง ๆ
โดยเฉพาะการละลายพฤติกรรมผู้ที่ไม่ชื่นชอบ และมักจะปฏิเสธตัวเองว่า
การเมืองไม่เกี่ยวกับเรา ซึ่งการจัดงานเมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา
เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า การเคลื่อนไหวของเราได้ผล
เนื่องจากแนวร่วมจากพื้นที่ต่าง ๆ เดินทางมาร่วมกันเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยชื่นชอบการเมือง
ที่โทรศัพท์เข้ามาสอบถามหลังจากฟังแกนนำ และผู้ปราศรัยกล่าวบนเวที ว่า
เราจะทำอย่างไรต่อไป

ณ ขณะนี้สิ่งที่เราต้องทำ คือ
จับตาประเด็นร้อนที่กำลังเป็นที่ถกเถียง และวิพากษ์วิจารณ์ของหลายฝ่ายว่า
จะดำเนินการอย่างไร ก็คือ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า
รัฐบาลจะทำอย่างไร เพราะถือว่า
นักการเมืองทั้งหลายต้องยึดถือกฎหมายของประเทศเป็นหลัก
หลังการทำรัฐประหารเราต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการคัดสรรบุคลากรร่าง
กฎหมายขึ้นมาใหม่
และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศก็ผ่านความเห็นชอบในตัวร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี
2550

นักการเมืองทั้งหลายที่ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
จงพึงสำนึกว่า คุณมาจากการเลือกตั้ง จากความไว้เนื้อเชื้อใจของประชาชน
ต้องมีสำนึก และจริยธรรมของนักการเมือง ที่ต้องตระหนักไว้เสมอว่า
การดำเนินการอะไร ต้องคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
ไม่ใช่ทำเพื่ออำนาจ เพื่อคนเพียงคนเดียว
ที่มุ่งแต่จะทำลายประเทศชาติให้ย่อยยับ

ค้านแก้ รธน.สุดตัว

เชื่อว่ามาถึง ณ
วันนี้ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่รับรู้ข้อมูลข่าวสารเพิ่มมากขึ้น
จนพิจารณาได้ว่า สิ่งใดควร และสิ่งใดไม่ควร
พิสูจน์ได้จากการนัดรวมตัวของกลุ่มคนบางกลุ่มเมื่อวันที่ 25
เมษายนที่ผ่านมา ที่นับจำนวนได้ นั่นเท่ากับว่า
การเมืองใหม่เริ่มเห็นเค้าลางในส่วนของภาคประชาชน
แต่สิ่งที่ต้องล้างบางคือ ในส่วนของภาคการเมือง ที่นักการเมืองส่วนใหญ่
ยังยึดติดอยู่กับอำนาจ

"เราไม่ยอมอย่างเด็ดขาด หากว่า จะยังคงเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เพราะมองว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ระยะเวลาที่นำมาใช้ยังน้อยเกินไป
และยังไม่พบข้อบกพร่อง โดยเฉพาะข้อที่มีผลต่อการเลือกตั้ง
ต้องนำมาบังคับใช้เคร่งครัด เพื่อจัดการคำว่า โกง ให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าในทางปฏิบัติเราจะไม่สามารถทำได้ 100% ก็ตาม"

ส่วนสถานการณ์ความเคลื่อนไหวในบ้านเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้
อาจจะนำมาซึ่งการรวมตัวของกลุ่มมวลชนอีกครั้งหรือไม่นั้น น.ส.อาภารัตน์
กล่าวว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่า การประกาศรวมตัวของทางแกนนำไม่ได้อยู่ในกรอบ
หรือสิ่งที่เราเป็นผู้กำหนด
แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความเป็นไปในบ้านเมืองภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล
เป็นหลัก

ทั้งนี้ เพราะจิตสำนึกรัก และดูแลประเทศชาติบ้านเมืองของประชาชน
ไม่ได้มีน้อยไปกว่ารัฐบาล และหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างแน่นอน
เพียงแต่ขอจงอย่ามองว่า เราเป็นศัตรู
แต่โปรดเอื้อมมือมาสัมผัสกับเราในฐานะมิตร เพราะเราพันธมิตรฯ
ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง
ที่มีส่วนสำคัญในการที่ช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่างหาก

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000047803

"Young PAD"ลุยถิ่นแดงถ่อยระดมเยาวชนเชียบรายร่วมขยายเครือข่าย

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน

การให้ข้อมูลเรื่อง การจัดการชุมนุมของพันธมิตรฯ
กำลังมีการถ่ายทอดไปสู่กลุ่มเยาวชนมากขึ้น โดยเครือข่ายเยาวชนกู้ชาติหรือ
Young PAD
เชียงราย - "Young PAD" เดินหน้าลุยพื้นที่สีแดง-เชียงราย
ระดมแกนนำเยาวชนจากหลายสถาบันศึกษาร่วมศึกษาข้อมูล "เหตุ-ผล"การชุมนุม
พันธมิตรฯ พร้อมแจงความต่างการชุมนุมของพันธมิตรฯ - เสื้อแดง นปช.
หลังพบนักการเมืองหางแดงในพื้นที่บิดเบือนข้อมูล -
ถ่ายเทข้อมูลที่คลุมเครือลงชุมชน
จนสร้างกระแสความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนในพื้นที่
เตรียมร่วมมือกับเครือข่ายในพื้นที่เมืองพ่อขุนฯ
ทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ก่อนกระจายความรู้ทางการเมืองทำความเข้าใจที่ถูก
ต้องให้แก่ประชาชนต่อไป

รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย
แจ้งว่าภายหลังจากกลุ่มเยาวชนที่ใช้ชื่อว่า "เครือข่ายเยาวชนกู้ชาติหรือ
Young PAD" ซึ่งเคยประกอบกิจกรรมบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
(พธม.) ในการชุมนุมที่ผ่านมาได้เข้าไปดำเนินกิจกรรมในพื้นที่ จ.เชียงราย
ระยะหนึ่งพบว่า ได้มีกลุ่มเยาวชนให้ความสนใจเข้าศึกษาแนวทางและอุดมการณ์ของเยาวชนกลุ่มนี้
หลายคน

ส่วนใหญ่ให้ความสนใจในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดกับการชุมนุมของกลุ่ม
พันธมิตรฯในช่วงที่กลุ่มเยาวชนได้เข้าไปมีส่วนร่วม
แต่ไม่เป็นที่เปิดเผยหรือได้รับความสนใจจากคนภายนอกมากนัก เช่น
การถูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล
จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายราย
การคุกคามจากฝ่ายที่ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง เป็นต้น

ทั้งนี้กลุ่มเยาวชนมีการนำบันทึกภาพจากเหตุการณ์จริงไปชี้แจงต่อ
เยาวชนที่สนใจดังกล่าว
ทำให้ในปัจจุบันเริ่มมีการจัดตั้งเครือข่ายอย่างไม่เป็นทางการ
และร่วมส่งข่าวสารข้อมูลด้านต่างๆ เช่น โทรศัพท์ อีเมล เอสเอ็มเอส ฯลฯ
เพื่อประสานการจัดกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันต่อไปในอนาคต

เบื้องต้นมีนักเรียนและนักศึกษาจากสถาบันชื่อดังหลายแห่งเข้าไปมี
ส่วนร่วมด้วย โดยมีนายวสันต์ วาณิชย์
อดีตผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนกู้ชาติหรือ Young PAD
เป็นแกนนำในการประสานงานกับเยาวชนกลุ่มต่างๆ

นายวสันต์ กล่าวว่า
การประชุมหารือในช่วงที่ผ่านมากับเยาวชนหลายคนในเชียงราย
นับว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
โดยเฉพาะการตีแผ่ความจริงที่สังคมยังไม่เข้าใจหลายเรื่อง เช่น
เหตุใดกลุ่มพันธมิตรฯจึงย้ายจากทำเนียบรัฐบาลไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ
และสนามบินดอนเมือง
ซึ่งเราเข้าใจกันดีว่าเกิดจากการถูกซุ่มยิงทุกคืนจนเป็นเหตุทำให้คนเสีย
ชีวิตและบาดเจ็บไปเป็นจำนวนมาก
,อุดมการณ์และการดำเนินกิจกรรมที่ไม่รุนแรงแต่เพื่อปกป้องชาติและพระมหา
กษัตริย์ของกลุ่มพันธมิตรฯที่คนทั่วไปยังไม่เข้าใจ
ก็ทำให้เยาวชนที่เข้าร่วมกับเรา
มีความเข้าใจมากขึ้นและเราหวังว่าจะขยายผลความเข้าใจดังกล่าวต่อไป

นายวสันต์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้เยาวชนกลุ่มต่างๆ
ที่เราเข้าไปประสานงานอยู่ระหว่างการระดมสมองว่าจะจัดกิจกรรมใดเพื่อส่ง
เสริมให้มีการขยายเครือข่ายในการสร้างความเข้าใจนี้ให้มากขึ้นไปอีก เช่น
การจัดแข่งกีฬา การจัดกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ ฯลฯ
ซึ่งน่าดีใจที่หลายคนให้ความสนใจอย่างมาก นอกจากนี้ นายสุริยะใส กตะศิลา
ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ และ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก
ก็ได้โทรศัพท์เข้ามาให้กำลังใจแก่กลุ่มเยาวชน พร้อมกับให้คำแนะนำว่า
ให้ใช้สติในการทำงานตลอดเวลาด้วย

ทั้งนี้ เนื่องจากพื้นที่ จ.เชียงราย
เป็นพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อสีแดง ดังนั้น
จึงต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง แต่ยืนยันว่ายังคงยึดมั่นในอุดมการณ์
และจะเดินหน้าต่อไปในนามเยาวชน
และไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองอย่างแน่นอน

เยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมด้วยคนหนึ่ง กล่าวว่า
เดิมไม่เข้าใจเรื่องการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯมากนัก
แต่เพราะเพื่อนชักชวนให้ไปรับฟังข้อมูลก็พบว่า
เมื่อชั่งเหตุและผลกันแล้วทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า
การชุมนุมดังกล่าวมีเนื้อหาอย่างไร และเพื่ออะไร
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับการชุมนุมของกลุ่มอื่นๆ
ที่ผ่านมาก็ยิ่งทำให้เห็นความแตกต่างของเป้าหมาย
จึงเห็นว่าประเทศชาติจะอยู่รอดต่อไปได้คนไทยจะต้องมีความฉลาดในการศึกษา
ข้อมูล และอย่าไปหลงเชื่อใครง่ายๆไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของ
กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่าก่อนหน้านี้ข้อมูลเกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่ม
พันธมิตรฯกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
ถูกถ่ายเทไปสู่ประชาชนอย่างคลุมเครือ
โดยกลุ่มที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนใหญ่มักจะเป็นจากสื่อปกติทั่วไป
และจากกลุ่มคนเสื้อแดงหลากหลายกลุ่มที่เคลื่อนไหวในพื้นที่เชียงราย
รวมทั้งการโหมโรงของบรรดาหัวคะแนน ส.ส.พรรคเพื่อไทย
เพื่อหวังผลทางการเมือง

ขณะที่ข้อมูลจากกลุ่มพันธมิตรฯยังมีน้อยมาก
และจำกัดอยู่ในกลุ่มคนบางกลุ่มที่ศึกษาข้อมูลจากเว็บไซต์
www.manager.co.th และจากสถานีโทรทัศน์ ASTV
หรือจากการถ่ายทอดทางวิทยุชุมชนเพียงไม่กี่คลื่นเท่านั้น
ดังนั้นการขับเคลื่อนของกลุ่มเยาวชนดังกล่าวจึงน่าสนใจอย่างยิ่ง


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000047805

ความ (ไม่) จำเป็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่:อย่าสร้างภาระซ้ำเติมเศรษฐกิจ

โดย เดชรัต สุขกำเนิด คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,ศุภกิจ นันทะวรการ มูลนิธินโยบายสุขภาวะ    

       ปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลโดยตรงต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าในปัจจุบัน และจะส่งผลกระทบต่อความจำเป็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ตามแผนพัฒนากำลัง ผลิตไฟฟ้า พ.ศ.2551 - 2564 (แผน PDP2007) ทำให้โรงไฟฟ้าใหม่หลายสิบโครงการที่กำหนดไว้ในแผน ทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซ ถ่านหิน เขื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน และนิวเคลียร์ ควรจะต้องเลื่อนออกไป
      
       ปัญหาการพยากรณ์ความต้องการเกินความเป็นจริง เป็นปัญหาเรื้อรังของระบบไฟฟ้าไทย ในช่วงระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าได้เกินจากความเป็นจริงมาโดยตลอด ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 ที่ผ่านมา (ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจยังไม่เกิดในช่วงเวลาดังกล่าว) การพยากรณ์ความต้องการในแผน PDP2007 เกินจากความต้องการไฟฟ้าสูงสุดที่เกิดขึ้นถึง 1,389 เมกะวัตต์ (คิดเป็นเงินลงทุนส่วนเกินกว่า 40,000 ล้านบาท)
      
       ยิ่งเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นแล้ว ความต้องการใช้ไฟฟ้ายิ่งลดลงอย่างชัดเจน ภาพที่ 1 แสดงให้เห็นว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในเดือนสิงหาคมเป็นต้นมาตกลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนธันวาคม 2551 ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม เวลา 18.30 น. มีค่าเท่ากับ 18,394.10 เมกะวัตต์ ลดลงจากเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาร้อยละ 8.94 และเป็นความต้องการใช้ไฟฟ้าที่น้อยกว่าปีพ.ศ. 2549 และปีพ.ศ. 2550 เสียอีก ที่สำคัญที่สุด ความต้องการใช้ไฟฟ้าในเดือนธันวาคมต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ในเดือนเดียวกัน ถึง 3,000 เมกะวัตต์
      
       ดังนั้น เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปรับค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าเสีย ใหม่ มิฉะนั้น เราก็จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าโดยไม่มีความจำเป็นไปอีกเรื่อยๆ
      
       ข้อกำหนดพื้นฐานในการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าครั้งใหม่ ควรประกอบด้วย
      
       * ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในปี 2552 = 22,681 เมกะวัตต์ (เพิ่มขึ้น 0.5% จากความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในปี 2551)
      
       * อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาว = 4.8 %
      
       * ความยืดหยุ่นในการใช้ไฟฟ้าต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ = 1 : 1
      
       ผลจากการวิเคราะห์เพื่อปรับค่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ให้สอด คล้องกับภาวะเศรษฐกิจ พบว่า ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในปีพ.ศ. 2565 ลดลงจากที่ประมาณการไว้เดิมถึง 9,148 เมกะวัตต์ (ภาพที่ 2) ทำให้สามารถลดความจำเป็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในอนาคตลงได้ถึง 10,520 เมกะวัตต์ (เนื่องจากต้องมีการสำรองไฟฟ้าไว้อีกร้อยละ 15 ของความต้องการสูงสุด)
      
       ดังนั้น หากจะยังมีการลงทุนตามแผนที่กำหนดขึ้น กำลังการผลิตสำรองของระบบไฟฟ้าจะพุ่งสูงกว่าร้อยละ 40 ในแต่ละปี (ภาพที่ 3) ซึ่งจะสร้างการลงทุนล้นเกินและกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจมากกว่า 400,000 ล้านบาทในช่วงระยะเวลา 15 ปี
      
       เมื่อเป็นเช่นนี้ โครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ หลายโครงการ ไม่ว่า โครงการโรงไฟฟ้าของเอกชนหรือ IPP โรงไฟฟ้าถ่านหิน ของกฟผ. และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (ตามภาพที่ 4) สามารถยกเลิกหรือเลื่อนออกจากแผนได้ เนื่องจากความจำเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการไฟฟ้าสูงสุดลดลง โดยจะเห็นว่า เมื่อเลื่อนโครงการเหล่านี้ ร้อยละของกำลังการผลิตสำรองของระบบ ยังคงสูงกว่าร้อยละ 15 ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้อยู่ดี
      
       ทั้งนี้ การวิเคราะห์ความ (ไม่) จำเป็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าครั้งนี้ ยังมิได้นับรวมศักยภาพด้านการจัดการความต้องการไฟฟ้า (หรือ DSM) และศักยภาพพลังงานหมุนเวียน พลังงานขนาดเล็ก (ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก SPP และ VSPP)
      
       ดังนั้น หากเศรษฐกิจเกิดฟื้นตัวเร็วมากๆ ดังที่บางฝ่ายกังวลใจ ระบบไฟฟ้าของเราก็ยังมีแนวทางในการรองรับได้ ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพด้าน DSM 2,200 MW ภายในปี 2554 และศักยภาพพลังงานหมุนเวียนที่คุ้มค่าทางการเงิน 2,900 MW ภายในปี 2554 (จากการคำนวณของ Peter du Pont, 2005) ล่าสุดพบว่า มีผู้ผลิตรายเล็กและรายเล็กมาก ยื่นข้อเสนอเพื่อขายไฟฟ้าเข้าระบบอีกหลายพันเมกะวัตต์ เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องกังวลใจไปว่า เราจะมีไฟฟ้าไม่เพียงพอสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต
      
       เพราะฉะนั้น โดยสรุปแล้ว
      
       • โครงการเหล่านี้สามารถยกเลิกหรือเลื่อนออกจากแผน PDP ได้ และหากไม่ปรับแผน PDP โครงการลงทุนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจของประเทศ
      
       • กระทรวงพลังงานควรปรับค่าพยากรณ์และปรับแผน PDP ภายในปีพ.ศ. 2552 และไม่ควรดำเนินการใดๆ ที่จะเป็นการผูกมัด หรือเอื้อประโยชน์แก่ผู้ลงทุนก่อนที่จะสรุปแผน PDP ใหม่
      
       • ในการปรับค่าพยากรณ์และในกระบวนการปรับแผน PDP ครั้งใหม่ ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
      
       • รัฐบาลและองค์กรอิสระควรสอบสวนสาเหตุการเร่งการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใน โครงการโรงไฟฟ้า IPP 3 โครงการ ทั้งที่เอกชนไม่สามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอนที่กำหนด และไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้า

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000015911

จาก “อภิสิทธิ์” ถึง “สนธิ” ปาฏิหาริย์และสถานการณ์บนเส้นลวด

โดย สำราญ รอดเพชร    


โลกไม่มี หลักประกัน ให้คนกล้า
       คนอยู่หน้า ต้องล้ม ต้องจมคว่ำ
       ถึงฝนห่า จะฝ่าหน กลางฝนพรำ
       คนที่ถือ ธงธรรม จักชำนะ
      
                           เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
                                 ส.18/4/52
       ..............................
       เอาเถอะ...ในเมื่อท่านนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศอย่างแข็งขันแล้วว่าจะเดินหน้าสะสางคดีการลอบสังหาร คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และสื่อมวลชนอาวุโส ผู้จุด “เทียนแห่งธรรม” อย่างเป็นธรรม ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
      
       ผมคิดว่า...เราๆ ท่านๆ ก็คงต้องให้เวลากับท่านนายกฯ สักระยะหนึ่ง ดังนั้นนาทีนี้ผมก็คงไม่ต้องมาวิเคราะห์เจาะลึก คาดหมายว่า ใคร กลุ่มไหนบงการ ปฏิบัติการโหดลอบสังหารคุณสนธิ ซึ่งจริงๆ จะว่าไปก็มีอยู่ไม่เกินสองกลุ่มหรือกลุ่มครึ่งเท่านั้น...
      
       แต่ถ้าไปกระซิบถามคุณสนธิ ผมก็มั่นใจว่าคุณสนธิจะต้องฟันธงว่ามีอยู่กลุ่มเดียว..คือกลุ่มนั้น - เท่านั้น !!
      
       ผมโล่งใจที่มีการเปลี่ยนทีมสอบสวนคดีคุณสนธิจาก พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ และพล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา มาเป็น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ และพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง
      
       ถ้าไม่เปลี่ยน ต่อให้ผมรัก –ชื่นชมนายกฯ อภิสิทธิ์แค่ไหนก็ตาม แต่ผมจะต้องขอใช้สิทธิด่ารัฐบาลดังๆ ซักคำว่า “บ้ากันใหญ่แล้ว” แล้วจากนั้นก็อาจจะนึกสมน้ำหน้าอยู่ในใจ...
      
       เฮ่อ...ค่อยโล่งอก
      
       มากไปกว่านั้น วันที่ไปเยี่ยมคุณสนธิได้พบกับท่านรอง ผบช.น.ท่านหนึ่งซึ่งร่วมทีมสะสางคดีนี้กระซิบบอกผมว่า “ขอให้รัฐบาลเอาจริง ไม่ต้องห่วงพี่ เรายังมีทางเดิน ไม่มีทางตันพี่...” ผมก็ยิ่งใจชื้น พลางก็นึกภาวนาให้คนชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ - อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินหน้าด้วยหัวใจเกินร้อยในคดีด้วยเถิด เพราะจะเกิดผลดีกับบ้านเมืองมากมายมหาศาล
      
       เหตุ เพราะว่าถ้ารู้ว่าใครบงการ ใครคือชุดปฏิบัติการลอบสังหารสนธิ มันจะช่วยเปิดโปงเบื้องลึกเบื้องหลังและความลับลวงพรางของเกมอำนาจ เกมการเมืองไทยได้เป็นอย่างดี...
      
       ขออย่างเดียว อย่าเป็นมวยล้มต้มคนดู “อภิสิทธิ์ –สุเทพ” ต้องเป็นแบ็กให้ทีมสะสางคดีทำงานอย่างอิสระ เข้มแข็ง...
      
       ผมมีความรู้สึกส่วนตัวว่า คดีลอบสังหารสนธิจะเป็นคดีชี้ชะตานายกฯ อภิสิทธิ์เลยทีเดียว มิใช่เพราะสนธิเป็นแกนนำพันธมิตรฯ หรือเป็นสื่อมวลชนรุ่นใหญ่ หากแต่เพราะนายกฯ ได้รับปากด้วยคำโตว่าจะเดินหน้าสะสาง เอาคนผิดมาลงโทษให้ได้...
      
       ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อมั่นที่นายกฯ ประกาศเอาไว้ ทำได้ก็มีแต่คะแนนศรัทธาจะเพิ่มพูน ต้นทุนทางการเมืองยิ่งสูงส่ง แต่หากทุกอย่างเหลวเป๋ว เป็นได้แค่ลมปาก ผลต่อตัวนายกฯ ก็ตรงข้าม...
      
       สำหรับผู้บริหารประเทศ แค่ความตั้งใจดี พูดดี พิสูจน์มาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่ามันไม่เพียงพอ หากแต่จะต้องทำดีและทำให้เป็นรูปธรรมด้วย...
      
       ดูอย่างกรณีการออกแรงทางนโยบายจน ผบ.ตร.ต้องเซ็นคำสั่งย้ายเพื่อนรัก นรต.รุ่น 25 อย่าง พล.ต.ท.อัศวิน ณรงค์พันธ์ ผบช.ภ. 2 เข้าประจำ เช่นเดียวกับ พล.ต.ต. บัณฑิต คุณจักร์ ผบก.ชลบุรี เหตุเพราะบกพร่องในหน้าที่กรณีการประชุมอาเซียน+ 3 อาเซียน +6 ถูกล้มลงต่อหน้าต่อตาที่พัทยา..
      
       มีเสียงปรบมือให้กับรัฐบาลดังกึกก้องยาวนาน
      
       แล้วลองนึกดูซิว่า ถ้ารัฐบาลกล้าหาญชาญชัย ย้าย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะผู้นำสูงสุดของตำรวจ คนไทยจะปรบมือกระทืบเท้ากันด้วยความสุขขนาดไหน เพราะจะว่าไปความผิดพลาดบกพร่องของพล.ต.อ.พัชรวาทมันหนักหนาสาหัสกว่าผบช. ภ.2 , ผบก.ชลบุรี เป็นไหนๆ
      
       แต่ในเมื่อนายกฯ เลือกหนทางที่จะให้ ผบ.ตร.ท่านทำงานแก้ตัวใหม่ (ทั้งๆ ที่เหตุผลจริงๆ คือความเกรงใจทางการเมือง) ก็ว่ากันไป แต่ระวังให้ดี..กว่าจะสิ้นเดือนก.ย.วันเกษียณอายุราชการของท่าน ผบ.ตร.ท่านนายกฯ ท่านสุเทพ อาจจะต้องออกแรงเข็น ออกแรงลุ้นกันลิ้นห้อยก็เป็นได้...
      
       ครับ ยกตัวอย่างมาเสียยืดยาว จริงๆ เพียงแต่จะบอกว่า จากนี้ไปท่านนายกฯ และรัฐบาลต้องก้าวสู่บทปฏิบัติล้วนๆ บทปฏิบัติที่นอกจากจะต้องยืนอยู่บนหลักการความถูกต้องชอบธรรมแล้ว หลายกรณีหลายปัญหาจะต้องอาศัยความกล้าหาญหรือวัดขนาดของหัวใจอีกต่างหาก...
      
       ประเมินสถานการณ์โดยรวมๆ แล้ว แม้จะต้องเดินไต่เส้นด้ายไต่เส้นลวดอีกมาก แต่ผมเห็นว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ยังมีความโชคดีหรือโชคเข้าข้างที่จะเดินฝ่าข้าม วิกฤตต่างๆ เหตุผลสำคัญยิ่งก็เพราะ ณ บัดนี้แนวรบของทักษิณ กลุ่มคนเสื้อแดงอ่อนแรงและหมดความชอบธรรมลงไปมากแล้ว ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น แท้จริงแล้วเป็นกลุ่มพลังในแนวทางสันติ สงบ อหิงสา ไม่ใช่กลุ่มที่จะเผาบ้านเผาเมือง เพียงแต่อาจจะเป็นยาขมเป็นพลังกดดันรัฐบาลในบางกรณี...ซึ่งสไตล์ประชา ธิปัตย์อาจจะยังไม่คุ้นหรือไม่ชอบกับการถูกกดดันถูกชี้นำมากนัก
      
       เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 เม.ย.ในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” นายกฯ อภิสิทธิ์ ได้ขีดเส้นใต้สิ่งที่จะทำก่อนหลังดังนี้คือ เร่งสร้างความสงบ /ปฏิรูปการเมือง –แก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย/ เร่งสะสางคดีความต่างๆ สร้างความยุติธรรม...
      
       ก็พอจะเห็นรูปรอยวิธีคิด ความมุ่งมั่นที่จะฟันฝ่าของนายกฯ ผู้เกือบจะถอดใจทิ้งหัวโขนไปแล้วในวันที่อาเซียนซัมมิทล้มลงที่พัทยา..และ หวิดจะสังเวยชีวิตให้กับพวกแดงถ่อยที่มหาดไทย....แต่ด้วยความตั้งใจดี คิดดี และกำลังตั้งหลักตั้งลำทำในสิ่งที่ดีๆ ที่เป็นเรื่องต้องใช้ความกล้าหาญมากขึ้นโดยลำดับจึงผ่านวิกฤตมาได้....ย้อน มองไปก็เหมือนมีปาฏิหาริย์
      
       ส่วนกรณีคุณสนธินั้นไม่ต้องพูด...ปาฏิหาริย์สุดๆ ต้องบอกว่า คนดีผีคุ้ม...แต่เบื้องหน้ากำลังรอฝีไม้ลายมือหรือกึ๋นของรัฐบาลอภิสิทธิ์ใน การสะสางคดีให้ความเป็นธรรม..
      
       เราๆ ท่านๆ ได้แต่ให้กำลังใจให้ทั้งสองท่านผ่านค่ำคืนอันโหดร้าย พบกับวันใหม่อันสดใส ภายใต้ความเชื่อมั่นว่า “คนที่ถือ ธงธรรม จักชำนะ”!!
      
                                                                   samr_rod@hotmail.com

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000044733

หัวขโมยผู้ไม่เคยทำความดีเลย

ในอาทิตย์นี้มีวันที่เกี่ยวกับพุทธ ศาสนาอยู่ด้วยกันถึง ๒ วัน ทั้งวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา อย่าลืมจูงมือลูกจับมือหลานเข้าวัดทำบุญกันนะคะ เพราะการเข้าวัดทำบุญจะช่วยทำให้จิตใจเราสงบขึ้น ส่วนนิทานอีเมล์สัปดาห์นี้ เป็นเรื่องของ "คนที่ไม่เคยทำความดีเลย" เรื่องราวจะไปอย่างไรตามอ่านได้เลยค่ะ...

ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้มีการทำพิธีบวงสรวงองค์พระศิวะเทพผู้เป็นที่ศรัทธา ของประชาชน มีชาวบ้านต่างนำอาหารที่ดีที่สุดมาบูชาองค์พระศิวะเทพ เวลานั้นเององค์ปาวตี เทพเจ้าอีกองค์ได้เสด็จมาเยี่ยมพระศิวะ พร้อมกล่าวแสดงความยินดีต่อพระศิวะ ถึงเรื่องที่ประชาชนมากมายพากันมาบูชาพระองค์ แต่พระศิวะกลับไม่ได้รู้สึกยินดีในคำชม เพราะพระองค์รู้ว่าชาวบ้านที่มาบูชาพระองค์นั้น พวกเขาไม่ได้มาด้วยใจบริสุทธิ์ บางคนไม่มีความเมตตา บางคนละโมบโลภมาก ไม่มีใครเลยสักคนที่มาบูชาพระองค์ด้วยความรักความศรัทธา ซึ่งองค์ปาวตีกลับไม่คิดเหมือนพระศิวะ ดังนั้นพระศิวะจึงชวนองค์ปาวตีไปพิสูจน์ที่โลกมนุษย์ โดยพระศิวะได้แปลงกายเป็นชายชราที่ป่วยหนัก ส่วนองค์ปาวตีแปลงกายเป็นหญิงชรา ทั้งสองพระองค์มาถึงทางเข้าหน้าลานทำพิธีบูชา เจอหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง องค์ปาวตีที่แปลงกายเป็นหญิงชรา จึงร้องขออาหารและ น้ำดื่มจากหญิงชาวบ้านคนนั้น แต่หญิงชาวบ้านไม่แบ่งให้บอกจะเอาไปบูชาพระศิวะ แถมยังใช้วาจาไม่ดีต่อพระองค์ และดูเหมือนว่าผู้คนที่ผ่านไปมา ก็คิดไม่ต่างจากหญิงชาวบ้าน จน กระทั่งมีชายหนุ่มท่าทางมอมแมมคนหนึ่งเดินผ่านมา แต่เขาไม่มีเครื่องบูชามากมายเหมือนคนอื่น มีเพียงคนโทใส่น้ำหนึ่งใบอยู่ในมือเท่านั้น

ซึ่งชายหนุ่มคนนี้แม้จะแต่งกายสกปรก แถมยังมีนิสัยชอบลักขโมย แต่เขากลับมีน้ำใจเอื้อเฟื้อน้ำที่มีอยู่ให้กับสองสามีภรรยาผู้ชรา ดังนั้น เมื่อน้ำในคนโทหยดสุดท้ายหมดลง ร่างชราของทั้งคู่ก็กลับคืนเป็นพระศิวะมหาเทพ และเทพปาวตีดังเดิม โดยพระศิวะได้ประทานพรให้ชายหนุ่ม เพราะพระองค์ทรงเห็นแล้วว่า ผู้ใดสมควรได้รับพรจากพระองค์ ซึ่งผู้ที่พระองค์จะประทานพรให้ ต้องเป็นผู้มีความดีงามอยู่ในจิตใจ มิใช่ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาชั้นยอดเท่านั้น และพรที่ชายหนุ่มได้รับคือ "เมื่อไรที่สิ้นอายุขัย เขาจะได้ขึ้นสวรรค์ แต่มีข้อแม้ว่าต่อไปนี้ เขาจะต้องเลิกลักขโมย"

ฉะนั้น คนเราควรทำความดีตลอดเวลาทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่ว่าพระเจ้าหรือเทพเจ้าต่างก็ทรงรักและเมตตาคนดี และพระองค์จะช่วยอวยพรให้คนดีประสบแต่สิ่งดีๆ อยู่เสมอ ส่วนใครที่รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะทำนั้นไม่ดี ก็ให้หยุดเสีย แล้วหันมาทำสิ่งดีๆ แต่วันนี้นะคะ

TGOcity.com สังคมออนไลน์แห่งใหม่ในโลกไซเบอร์

เวบไซต์สังคมออนไลน์แห่งใหม่


อัพเดทข่าวสาร สนทนาการเมือง และเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ ได้ที่นี่

http://tgocity.com

นี่คือเวบไซต์แห่งใหม่ที่หนุ่มสาวในโลกไซเบอร์ บรรจงสร้างขึ้นมา
สำหรับผู้ที่รักความถูกต้อง เข้าไปสมัครเป็นสมาชิกกันได้เลย
มีข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย กับสังคมในยุคข้อมูลข่าวสารที่ไม่ควรตกข่าว

พบกับสังคมออนไลน์แห่งใหม่ได้ที่นี่
http://tgocity.com

ผักนึ่งดีกว่าผักต้ม


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ยามชังแม้น้ำตาลยังว่าขม แต่ยามนี้ "108 เคล็ดกิน" มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังว่า การนำผักไปต้มได้น้ำต้มผักที่ว่าหวานๆ ขมๆ นั้น เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำลายคุณสมบัติในการต่อต้านโรคมะเร็งของผักชนิด นั้นๆ ทิ้งไปมากถึง 75% เลยทีเดียว

มีการวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอร์วิค ประเทศอังกฤษ พบว่าการต้มผักบางชนิด ได้แก่ บล็อคโคลี่ กะหล่ำดอก และกะหล่ำปมนั้น จะทำลายสารที่เป็นคุณกับการต่อต้านโรคมะเร็งลงไปมากถึง 75% โดยในผักประเภทนี้จะมีสารสำคัญชนิดหนึ่งคือ สารกลูโคซิโนเลต ซึ่งมีศักยภาพในการต้านมะเร็งที่สำคัญ โดยจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ การต้มผักนานๆจะทำให้สารตัวนี้หายไป

สำหรับวิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผักยังคงคุณค่า นอกจากการกินสดๆแล้วนั้น ก็คือการนึ่ง โดยไม่ควรนึ่งนานเกิน 20 นาที ก็จะช่วยรักษาคุณค่าของผักในการป้องกันโรคมะเร็งไว้ได้ถึง 80% เลยล่ะ

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000027475

เวทีปฏิรูป กศ.แนะสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ผลิตคนมีจิตสาธารณะ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

       เวที ระดมความเห็นปฏิรูปการศึกษา แนะ ศธ.สร้างคนดีให้ได้ก่อน วอนให้เชื่อมั่นครูเปิดโอกาสให้สร้างหลักสูตรพัฒนาเด็กในท้องถิ่น ชี้ สังคมไทยเป็นสังคมบ้าใบปริญญา คนแห่เรียนปริญญาโท-เอก อื้อ แต่คิดวิเคราะห์ไม่เป็น ระบุหากไม่สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และมีจิตสาธารณะต้องปฏิรูปรอบ 3 แน่

   
       นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติและประธานสภาบันเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวในการประชุมระดมความคิด “ปฏิรูปประเทศไทย เริ่มด้วยร่วมใจปฏิรูปการศึกษา” ว่า การปฏิรูปการศึกษาที่สำคัญ ต้องปฏิรูปคน ซึ่งระบบราชการไทยยังยึดติดกับระบบอำนาจนิยม ส่วนตัวไม่เชื่อว่าระบบอำนาจนิยมจะสามารถปฏิรูประบบประชาธิปไตย และปฏิรูประบบการศึกษาได้ ระบบการศึกษาในอดีต สอนให้คนมีศีลธรรม มีวินัย เคารพพ่อ แม่ พระ ผู้ทรงศีล สิ่งเหล่านี้ทำให้คนมีความกตัญญู เป็นคนดี
      
       “ที่ ผ่านมา การปฏิรูปยังแก้ไม่ถูกทาง ศธ.จะต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ว่า การปฏิรูปการศึกษาต้องการได้คนดี มีวินัย และมีหิริโอตัปปะ หรือต้องการเด็กเก่ง อังกฤษ คณิต เก่งคอมพิวเตอร์ แล้วซื้อโน๊ตบุ๊คแจก หากการศึกษาไม่สร้างคนดีก่อน หรือสร้างไม่ได้ ควรยุบกระทรวงไปเสีย”
      
       นายวิวัฒน์ กล่าวด้วยว่า นายกฯต้องออกมาทำเรื่องนี้ เราจะปฏิรูปประเทศได้อย่างไรถ้าไม่เริ่มจากปฏิรูปการศึกษา ส่วนเรื่องใดอยู่ในอำนาจ รมว.ศธ.และนายกฯ สามารถสั่งการลงไปได้ก็อยากให้ทำทันทีโดยไม่ต้องรอแก้กฎหมาย เพราะจะทำให้เกิดความล่าช้า
      
       นายวิวัฒน์ ยังเสนออีกว่า ให้โรงเรียนเป็นผู้สร้างสัมมาอาชีพที่เหมาะสมกับท้องถิ่น นอกจากนี้ ศธ.ควรจะเชื่อมือครูและสั่งการให้โรงเรียนทำ SBM : School Base Management ได้เอง โดยสามารถสร้างหลักสูตรพัฒนาเด็กในท้องถิ่นนั้น ที่สำคัญจะต้องสอนเด็กทำให้เป็น แล้วจากนั้นก็ต้องค้นหาจุดเด่นของนักเรียนแต่ละคน และต้องไม่ทิ้งถิ่นกำเนิด
      
       ด้าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการปฏิรูปการศึกษาคือการปฏิรูปโครงสร้าง ไม่ได้ปฏิรูปพฤติกรรมของครูและของคน ใน ศธ.ตนได้รับข้อมูลจากหลายทางว่าการปฏิรูป “ล้มเหลว” คนไทยแห่เรียนปริญญาโท-เอก มากขึ้น จนกลายเป็นสังคมบ้าใบปริญญาแต่ไม่บ้าปัญญา คนจบ ป.เอก แต่ไม่มีปัญญา คิดไม่เป็น วิเคราะห์ไม่เป็น การปฏิรูปการศึกษาต้องทำให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ปฏิรูปการเรียนการสอน ครูต้องรับฟังความคิดเห็นของลูกศิษย์

   
       ศ.ดร.จีระ กล่าวต่อว่า ไทยเป็นประเทศเดียวที่คลั่งการเรียนปริญญามากกว่าสายอาชีพ ขณะที่เกาหลีเน้นสายอาชีพมากกว่า เฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่มีนักศึกษามหาวิทยาลัย 100,000 คน คนเรียนอาชีวะ 20,000 คน จะให้เป็นแบบนี้หรือไม่ หากเราไม่สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ คิดเป็นวิเคราะห์เป็น มีจิตสาธารณะตนมั่นใจว่าเราต้องมีปฏิรูปรอบ 3 แน่นอน สิ่งที่อยากเห็นคือการปฏิรูปการศึกษาที่ยั่งยืนเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีความสุขและสมดุลกับธรรมชาติ
      
       รศ.ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า ข้อมูลจากเวทีทั้ง 4 ภาค และวันนี้เป็นครั้งสุดท้าย คณะอนุกรรมการสภาการศึกษาเฉพาะกิจเพื่อการปฏิรูปการศึกษาคาดว่าน่าจะสรุป หัวใจของการปฏิรูปการศึกษาอยู่ตรงไหน และจะมีมาตรการในการแก้ปัญหาอย่างไร ใช้เงินใช้เวลาเท่าไหร่ ไปจนถึงการเตรียมบุคลากรในเดือนมีนาคม จากนั้นจะจัดทำเป็น “แผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง” และนำเข้าสภาการศึกษาปลายเดือนเมษายน เสนอ ครม.เดือนพฤษภาคม ทันเข้าสภาในช่วงกฎหมายงบประมาณพอดี
      
       “การ ปฏิรูปการศึกษาที่จริงแล้วมีเรื่องใหญ่ 2-3 เรื่อง ได้แก่ การบริหารจัดการ เป็นเรื่องกว้าง ทั้งเรื่องเงิน การบริหารงานบุคคล การจัดโครงสร้างองค์กร การจัดระบบงบประมาณ การมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรื่องการผลิตและพัฒนาครู เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ช่วยสนับสนุนการสอน รวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายปลายทาง คือทำอย่างไร ให้คนไทยคิดเป็นทำเป็น เป็นคนที่มีคุณภาพ มีความรู้และคู่คุณธรรม หรือใช้คุณธรรมนำความรู้ด้วย” รศ.ดร.ธงทอง กล่าว

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000028012

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

คำแนะนำทั่วไป - ในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสไข้หวัดใหญ่

เชื่อไวรัสที่ถูกเรียกโดยผู้สื่อข่าวว่า "ไข้หวัดหมู-Swine Flu"                 
                                                                                           เป็นไวรัสกลายพันธุ์ที่มีโครงสร้างทางพันธุกรรม
ผสมกันระหว่าง เชื่อไข้หวัดในคน ไข้หวัดนก และไข้หวัดในหมู

เชื้อไวรัสนี้จัดเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิดใหม่ที่มีการระบาดรวดเร็ว
แพทย์พบว่าสามารถตืดต่อจากคนสู่คนได้ (ไข้หวัดนก ไม่พบว่าติดต่อ
จากคนสู่คน)

ยังไม่พบว่ามีการติดต่อจากหมูสู่คน

สนใจวิธีปฏิบัติตนเพื่อให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสชนิดใหม่นี้
โปรดดูไฟล์ที่แนบมา

อากาศเปลี่ยน รักษาสุขภาพครับ


คำแนะนำทั่วไป - ในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสไข้หวัดใหญ่
เนื้อหาต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับทุกคน รวมทั้งผู้ที่มีอาการของโรค
เพื่อป้องกันตัวคุณเอง และผู้อื่นจากโรคติดต่อของระบบทางเดินหายใจ

•    การล้างมืออย่างถูกวิธี จัดเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค

•    บุคคลที่มีอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจควรจะเพิ่มความระมัดระวังต่อการปล่อยสารคัดหลั่งทางจมูกและปาก;

•    ควรปิดจมูกและปากทุกครั้งที่มีการไอหรือจาม –โดยใช้กระดาษชำระ และทิ้งให้เรียบร้อยลงทั้งขยะทุกครั้ง

•    ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังจากสัมผัสกับสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ

•    เพิ่มความระมัดระวังต่อการฟุ้งกระจายของสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจ (เช่น จากการไอ และ จาม) เมื่อต้องอยู่ในที่สาธารณะ ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปยังบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง (เด็กเล็ก หรือ บุคคลที่มีโรคเรื้อรัง หรือมีอาการของโรคอื่นๆ แฝงเร้นอยู่ เช่น กลุ่มที่มีการใช้ยาเพื่อกดภูมิคุ้มกันหรือผู้ป่วยโรคปอด) โดยให้หลีกเลี่ยงจนอาการทางระบบทางเดินหายใจดีขึ้น


•    หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยที่มีอาการของโรคระบบทางเดินหายใจ

•    ขอร้องให้ทุกคนร่วมมือกันใช้กระดาษชำระ หรือผ้าเช็ดปิดจมูกและปากทุกครั้งที่มีการไอหรือจาม


•    เชื้อไวรัสสามารถมีชีวิตได้นานถึง 2 วัน บนพื้นผิวของวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์ หรือ คีย์บอร์ด ดังนั้น การหมั่นเช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำยาฆ่าเชื้อถือเป็นสุขปฏิบัติที่ดีในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

สงครามการเมืองในสภา

โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง    


       ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
       ศาสตรภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
      
       การประชุมรัฐสภาที่ผ่านมานั้น เป็นกรณีรัฐบาลขอรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา โดยมุ่งหวังว่า จะมีการเสนอแนะทางออกให้กับวิกฤติการเมืองของประเทศ มิใช่การเปิดอภิปรายที่มุ่งจะไม่ไว้วางใจ หรือตรวจสอบการทำหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรง
      
       แต่การประชุมที่เสร็จสิ้นไปนั้น คงได้เห็นกันไปแล้วว่า เป็นไปตามเจตนารมณ์เพียงใด
      
       กลับกลายเป็นว่า เวทีรัฐสภา เป็นสมรภูมิต่อเนื่องในสงครามการเมืองของระบอบทักษิณ
      
       1. เมื่อเสื้อแดงตกเป็จำเลยของสังคมในการชุมนุมก่อจลาจลที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่ต่อต้านและรังเกียจพฤติกรรมของขบวนการเสื้อแดงอย่างที่สุด
      
       เรียกว่า เอือมระอาเต็มทีแล้ว
      
       ใน ช่วงวันที่ 11-13 เมษายน ที่เสื้อแดงก่อจลาจลป่วนกรุงนั้น ประชาชนทั่วไปเริ่มแสดงออกถึงการต่อต้าน และตอบโต้ขบวนการเสื้อแดงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระทำของเสื้อแดง ถึงขนาดพร้อมจะเผชิญหน้า ลุกขึ้นต่อสู้ หรือตอบโต้ขบวนการเสื้อแดงเลยก็ว่าได้
      
       ขบวนการเสื้อแดง จึงทำลายความชอบธรรม และความน่าเชื่อถือของตัวเองไปจนป่นปี้หมดสิ้นแล้ว
      
       ในการประชุมรัฐสภาที่ผ่านมา จึงกลายเป็นเวทีให้เสื้อแดงในสภา ใช้เป็นเครื่องมือหวังจะสร้างกระแสด้วยข้อมูลและความเท็จ เพื่อแย่งชิงประชาชน ให้มีความเห็นอกเห็นใจตนเอง
      
       เพื่อให้ตนเป็นฝ่ายถูกกระทำ หวังพลิกกลับ ให้รัฐบาลและกองทัพตกเป็นจำเลยของสังคมแทน
      
       การประชุมรัฐสภาที่เป็นการร้องขอของรัฐบาล กลับกลายเป็นช่องทางให้เสื้อแดงในสภาลงมือปฏิบัติการสงครามการเมืองอีกรอบหนึ่ง
      
       2. วิธีการของเสื้อแดงในสภา พยายามจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล
      
       แม้ แต่การจงใจกล่าวเท็จ บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือใช้เวทีรัฐสภาเป็นสถานที่สำหรับโหมกระพือข่าวลือที่ขบวนการเสื้อแดงเป็น ผู้กระทำการอยู่ในขณะนี้
      
       ส.ส.พรรคเพื่อไทย พยายามอย่างยิ่งที่จะนำเสนอข้อมูล อภิปรายโน้มน้าว อ้างอิง ชี้นำหรือกล่าวหาไปทิศทางว่า ทหารฆ่าประชาชน
      
       ถ้า จะพยายามมองในแง่ดีว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยอาจจะเกิดดวงตาเห็นธรรม เห็นความสูญเสียของประชาชนจากการฆาตกรรมของรัฐเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 อันเกิดจากน้ำมือและการสั่งการของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จึงรู้สึกสำนึกผิด กลับตัวกลับใจ มองเห็นคุณค่าในชีวิตของประชาชน จึงได้พยายามจะดูแลชีวิตของประชาชนในครั้งนี้ อย่างเอาจริงเอาจัง เอาเป็นเอาตาย
      
       แต่เมื่อมองตามเนื้อ ผ้า จะเห็นว่า ขบวนการเสื้อแดงไม่ได้เห็นค่าชีวิตของประชาชนมากเท่ากับค่าของศพที่จะสามารถ นำไปเคลื่อนไหวในทางการเมืองของตนเองต่อไป
      
       สังเกตจากการตระเตรียมประดิษฐ์ถ้อยคำ จงใจจะใช้ในการโจมตีรัฐบาล เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล โดยการย้ำ ซ้ำๆ ถ้อยคำที่เตรียมมาอย่างเป็นขบวนการ เช่น “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” – “นายกอภิสิทธิ์เป็นทรราช” ฯลฯ โดยไม่ใส่ใจกับคำอธิบายและข้อเท็จจริงที่มีการเปิดเผย ชี้แจง หรือแสดงพยานหลักฐานออกมาอย่างแท้จริงในรัฐสภา
      
       เรียกว่า เตรียมถ้อยคำมาแล้ว ยังไงก็เลยต้องใช้
      
       ยิ่งกว่านั้น ถ้าพิจารณาพฤติกรรมของขบวนการเสื้อแดง จะเห็นว่า พยายามอย่างยิ่งที่จะกล่าวอ้างว่ามีคนตายจากน้ำมือของรัฐบาลและกลไกของรัฐ และเมื่อข้อกล่าวอ้างถูกหักล้างไปด้วยข้อเท็จจริง หรือมีการพิสูจน์ให้เห็นแจ่มชัดว่า คนเสื้อแดงที่ถูกอ้างว่าตาย แท้จริงยังไม่ตาย ขบวนการเสื้อแดงก็ไม่สนใจใยดี หรือแสดงออกให้เห็นว่าพวกตนเห็นค่าชีวิตของคนเสื้อแดงที่ตนเองกล่าว อ้างอย่างที่ควร
      
       พูด ง่ายๆ ว่า ตอนที่อ้างว่าเขาตาย แสดงอย่างกับว่าเป็นห่วงเป็นใยผู้ที่ตนกล่าวอ้างมาก แต่พอปรากฏความจริงว่า เขายังไม่ตาย กลับไม่สนใจ ไม่เป็นห่วง ไม่ดูแล ไม่เห็นค่าการยังมีชีวิตของคนเสื้อแดงเหล่านั้น อีกต่อไป
      
       ถามว่า ประชาชนเสื้อแดงที่ถูกกล่าวอ้างว่าตายเหล่านี้ จะมีค่ากับแกนนำขบวนการเสื้อแดง เฉพาะก็ต่อเมื่อเขาเป็นศพ เท่านั้นหรือ?
      
       สะท้อน ถึงความพยายามจะทำสงครามการเมือง โดยใช้ข้อกล่าวอ้างว่ามีคนตายจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวปลุกปั่นทางการเมืองต่อไป
      
       3. สงครามการเมืองของระบอบทักษิณในรัฐสภาที่ผ่านมานั้น สะท้อนว่า มีการตระเตรียมการ วางพล็อต วางแผนร่วมกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย
      
       ยกตัวอย่าง กรณีให้ ส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทย อภิปรายภาพนิ่งเหตุการณ์ที่สตรีเสื้อแดง 2 คน ปะทะคำพูดและกระทบกระทั่งกับชายเสื้อยืดสีเขียวบนถนน พยายามกล่าวอ้างว่า ชายในเสื้อเขียวคือทหาร กำลังจิกผมสตรีเสื้อแดง พยายามจะลากเข้าไปหลังแนวทหารที่ยืนอยู่ ในขณะที่สตรีอีกนางหนึ่งถอดเสื้อ เหลือแต่ยกทรง
      
       สิ่งนี้ ส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทยนำมาประนามกลางสภา พร้อมกับนัดแนะ วางแผนร่วมกันกับสตรีเสื้อแดงผู้อยุ่ในภาพทั้งสองคน ให้มาปรากฏตัวอยู่ภายในอาคารรัฐสภาด้วย และทันทีที่ ส.ส.หญิงอภิปรายเสร็จ ก็เร่งรีบไปแถลงข่าวกับสื่อมวลชนทันที โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงที่ฝ่ายอื่นๆ จะแถลงออกมาแต่ประการใด
      
       ปรากฏว่า ฝ่ายรัฐบาลได้นำเสนอคลิปวีดีโดภาพถ่ายเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นความเป็นไปของเหตุการณ์ทั้งหมด เริ่มจากสตรีเสื้อแดงทั้งสองคนเดินเข้ามาด่าสื่อมวลชนด้วยถ้อยคำหยาบคาย ชายเสื้อเขียวที่ถูกด่าว่าเพราะสตรีเสื้อแดงคิดว่าเป็นสื่อมวลชน รับไม่ได้ จึงโต้คารมกับสตรีเสื้อแดงอย่างดุเดือด ในที่สุด สตรีเสื้อแดงก็ถุยน้ำลายเหยียดหยามชายเสื้อเขียว หลังจากนั้นชายเสื้อเขียวเดินถอยหนี แต่สตรีเสื้อแดงกลับเป็นฝ่ายถลันตามเข้าไป ก่อนจะเกิดเหตุการณ์โรมรันพันตูกันสองคน จนบางจังหวะเกิดภาพถ่ายที่ชายเสื้อเขียวดึงผมสตรีเสื้อแดงปรากฏออกมา
      
       เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทหารไม่ได้ทำร้ายหญิงเสื้อแดงเลย ตรงกันข้าม กลับมีเสียงพยายามบอกชายเสื้อเขียว (ซึ่งไม่ใช่ทหาร) ว่าอย่าทำร้ายผู้หญิง
      
       ข้อเท็จจริงเหล่านี้ แทบไม่ต้องอธิบาย เพราะปรากฏหลักฐานเป็นภาพวีดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อธิบายตัวเองเสร็จสรรพ แต่ ส.ส.หญิงเพื่อไทยก็ไม่สนใจ รีบพาหญิงเสื้อแดงไปแถลงข่าวทันที เพื่อหวังจะใช้สื่อมวลชนขยายประเด็นของตนเองต่อไปอีก
      
       แม้ แต่โฆษกของพรรค ที่ไม่ได้เป็น ส.ส. ถึงกับนัดหมาย เตรียมกันมาแถลงข่าวอีกด้วย แต่แล้ว สื่อมวลชนกลับรู้ทัน เพราะสื่อมวลชนจำนวนมากอยู่ในเหตุการณ์ของสตรีเสื้อแดงสองคนนั้นโดยตลอด ทราบว่าข้อเท็จจริงในที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร สื่อถึงกับตั้งคำถามกลับไปยัง ส.ส.หญิงเพื่อไทยคนดังกล่าวว่า ทำไมไม่ฟังข้อมูล คำชี้แจงของฝ่ายอื่นๆ ในสภา รวมทั้งคำอธิบายจากรัฐบาลเสียก่อน
      
       สะท้อน ว่า เสื้อแดงในสภาไม่ได้พยายามใช้เวทีรัฐสภาเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง มากเท่ากับจะใช้เป็นช่องทางปลุกระดมของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริง
      
       และเมื่อไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริง ความคาดหวังเรื่องจะได้ข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็ย่อมจะสิ้นหวัง
      
       4. กรณีอื่นๆ ก็มีการอภิปรายชี้แจงกันในสภา เช่น กรณีรถแก๊สที่ดินแดง, กรณีศพ รปภ.ถูกฆ่าทิ้งน้ำ หรือกรณีคนขับรถเมล์ที่ถูกทหารควบคุมตัว ฯลฯ ทั้งหมด ล้วนแต่ถูกขบวนการเสื้อแดงนำมากล่าวอ้าง บิดเบือนข้อมูล เพื่อแก้ตัว และมุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล
      
       อ้าง ว่า เสื้อแดงไม่เกี่ยวข้องกับเหตุรถแก๊ส โดยนำภาพนิ่งมาเสนอในสภา บอกว่าไม่มีคนเสื้อแดงอยู่ในภาพ ทั้งๆ ที่ ภาพข่าวทุกสำนัก ปรากฏคนเสื้อแดงยึดรถแก๊สมาก่อการดัวกล่าวอย่างเปิดเผย และเชื่อมโยงกับคำสั่งการของแกนนำบนเวทีเสื้อแดง
      
       อ้างว่า รปภ.ที่ถูกพบศพ เป็นคนเสื้อแดงที่ตายด้วยน้ำมือของทหาร ทั้งๆ ที่ ภรรยาของผู้ตายยืนยันว่า ผู้ตายไม่ใช่พวกเสื้อแดง และยังมีชีวิตอยู่จนถึงตีสองของวันที่ 14 เม.ย. 2552 ซึ่งทหารไม่ได้มีการปฏิบัติการใดๆ แล้ว
      
       อ้างว่า คนขับรถเมล์ถูกทหารยิงตาย แล้วลากศพไปด้วย ทั้งๆ ที่ภาพบันทึกเหตุการณ์จากสื่อมวลชน เห็นชัดว่า คนขับรถเมล์ถูกตีด้วยกระบองล้มลง จากนั้น ทหารก็ควบคุมตัวไป และปัจจุบัน บุคคลดังกล่าวก็ยังไม่ตาย และบอกว่า เขาไม่ใช่พวกเสื้อแดง
      
       ทั้ง หมด ถูกหักล้างด้วยข้อเท็จจริงและหลักฐานภาพถ่ายทั้งสิ้น แต่เสื้อแดงในสภา ก็ยังดึงดัน เล่นตามเกมสงครามการเมืองของตนเองต่อไป ไม่หยุดหย่อน โดยใช้เวทีรัฐสภาเป็นสมรภูมิของพวกตนเอง
      
       5. ข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อก้าวข้ามวิกฤติการเมืองในขณะนี้ จะได้รับการตอบสนองและบรรลุผลสำเร็จจริงหรือไม่ ?
      
       5.1 ก่อนปิดการประชุมรัฐสภา นายกรัฐมนตรีเสนอให้วิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน และวิปวุฒิสภา โดยมีประธานระฐสภาเป็นเจ้าภาพ เพื่อกำหนดคณะกรรมการที่น่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับ ทำหน้าที่ประมวล และแสวงหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมดอีกครั้ง
      
       หวัง ว่า จะได้ข้อเท็จจริงที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน แม้ว่าในการประชุมที่ผ่านมานั้น ความจริงจะปรากฏค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ฝ่ายที่โกหกคือ ส.ส.เสื้อแดงในสภา
      
       อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับกรณีการสลายการชุมนุม 7 ตุลา ซึ่งมีคนบาดเจ็บล้มตาย รัฐบาลสมชายใช้วิธีตั้งคณะกรรมการเอง โดยไม่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการเช่น นี้ ก็จะเห็นว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์มีความจริงใจมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
      
       5.2 นายกฯ อภิสิทธิ์ยังได้เสนอให้ประธานรัฐสภาและวิป 3 ฝ่าย มีการพิจารณาตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเสนอการแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่อไป ด้วย
      
       ประเด็นที่ควรต้องพิจารณาเป็นเบื้องต้น คือ
      
       (1) ปัญหาความแตกแยกจลาจลที่ประเทศชาติประสบอยู่ในขณะนี้ เกิดจากรัฐธรรมนูญ จริงหรือไม่? หรือเกิดจากการแย่งชิงอำนาจและรักษาผลประโยชน์ของตน แล้วโยนความผิดให้รัฐธรรมนูญ เสมือนว่า รัฐธรรมนูญเป็นแพะรับบาป
      
       (2) การพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรจะให้ ส.ส. หรือ ส.ว. มีบทบาทแค่ไหน เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในการกำหนดกติกาทางการเมืองของประเทศ
      
       อาจจะเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญ ที่ห้ามมิให้ ส.ส. ส.ว. กระทำการในเรื่องที่ตนเองมีผลประโยชน์ส่วนได้เสีย หรือไม่
      
       (3) ก่อนจะพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ควรจะต้องมีการศึกษาให้ชัดเจนเสียก่อนว่า จะปฏิรูปประเทศไทยไปในทิศทางใด ? เมื่อเห็นภาพระบบการเมืองที่พึงประสงค์ชัดเจนแล้ว จึงทำการศึกษาต่อว่า จะต้องแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นอย่างไรบ้าง จึงจะเอื้ออำนวยและทำให้เกิดระบบการเมืองอันพึงประสงค์เช่นนั้นขึ้นมาได้ จริงๆ
      
       จึงควรมีคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ก่อนจะศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คล้ายๆ ตอนที่ปฏิรูปการเมืองปี 2540
      
       ไม่ เช่นนั้นแล้ว หากการแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมาย กระทำไปโดยนักการเมือง โดยมุ่งหมายเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนของนักการเมืองด้วยกัน หรือโดยเฉพาะประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวก ย่อมจะเป็นการจุดไฟความขัดแย้งครั้งใหญ่ขึ้นมาในสังคมไทยอีกครั้งหนึ่ง
      
       5.3 เพื่อยุติปัญหาความไม่สงบในบ้านเมืองเฉพาะหน้า นายกรัฐมนตรี “ขอร้อง” ให้ทุกฝ่ายยุติการก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ และขอให้ยุติการใช้ความรุนแรง
      
       หากทุกฝ่ายดำเนินการตามคำร้องขอของนายกรัฐมนตรี ย่อมจะไม่เกิดสงครามกลางเมือง หรือเกิดการแบ่งแยกประชาชนภายในประเทศอย่างแน่นอน
      
       แต่น่าคิดว่า ฝ่ายที่กำลังทำสงครามการเมืองอยู่ จะยอมรับหรือไม่ ?
      
       ทำไมความสงบสุขของประเทศชาติ ต้องถูกคนเหล่านี้จับเป็นตัวประกัน ?

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000046966

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ‘ประสบการณ์พิสดาร’ และ ‘การเกิดใหม่’!

โดย คำนูณ สิทธิสมาน    

ก่อนหน้ากลางดึกคืนวันที่ 23 เมษายน 2552 ก็ไม่มีใครปฏิเสธความเป็นนักพูดนักอภิปรายชั้นยอดของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอยู่แล้ว หลายคนคงยังประทับใจกับสปีชแรกหลังรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อกลางเดือนธันวาคม 2551 ที่ร้อยเรียงเรื่องที่ต้องการจะสื่อมาอย่างดี มีมุกเด็ดให้ฮือฮาอยู่หลายวันตรงอภินิหารแหวนคุณยายเนียม
      
       แต่ 57 นาทีของเมื่อกลางดึกวันพฤหัสบดีที่แล้วแตกต่างออกไป
      
       สปีชชุดอภินิหารแหวนคุณยายเนียมนั้นแม้จะโดดเด่น แต่นอกจากออกจะดูจงใจและดราม่าไปสักนิดแล้ว ยังเป็นการแสดงออกก่อนจะได้ขึ้นนั่งบัลลังก์อำนาจจริง ผ่านประสบการณ์จริงที่ต้องแตกต่างจากการแสดงโวหารแน่นอน ถึงจะสร้างความประทับใจแรกได้ไม่เลว แต่ก็แค่นั้น ทุกคนยังรอของจริง
      
       แต่สปีชเมื่อกลางดึก 3 คืนก่อนนั้นเกิดขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรีวัย 44 ผ่านประสบการณ์เฉียดตายบนบัลลังก์อำนาจมาแล้ว
      
       อย่าว่าแต่ “เฉียดตาย” เลย สถานการณ์ระหว่างวันที่ 8 – 14 เมษายน 2552 ถ้าจะพูดว่า “ตายไปแล้ว..เกิดใหม่” ก็ไม่น่าจะผิดความจริงนัก
      
       ภาษากำลังภายในเขาว่าจอมยุทธ์ที่ผ่านสถานการณ์อย่างนี้ชีวิตได้พานพบ “ประสบการณ์พิสดาร”!
      
       ที่ย่อมทำให้ “พลังฝีมือยกระดับเพิ่มขึ้น” ชนิดเปลี่ยนเป็นคนละคน !!
      
       พลันที่การประชุมอาเซียนบวกๆ ที่พัทยาล้มเหลวไม่เป็นท่าเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 ผมเชื่อว่านายกรัฐมนตรีน่าจะเกือบตัดสินใจแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองไป แล้ว เพราะสถานการณ์ที่เป็นจริงนั้น รัฐบาลควบคุมกลไกรัฐไม่ได้เลย ตำรวจนอกจากจะเข้าเกียร์ว่างในการควบคุมการชุมนุมแล้ว บางส่วนยังแอบเข้าเกียร์ 1 เกียร์ 2 หนุนผู้ชุมนุมอีกต่างหาก สื่อต่างประเทศรายงานถึงขนาดว่าท่านเป็นตัวตลก รุ่งขึ้นอีกวันแม้จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกทม.และปริมณฑลแล้วสถานการณ์ก็ ยังไม่ดีขึ้นในชั้นต้น ทหารชุดแรกๆ ที่ออกมาก็เกียร์ว่างไม่ต่างกัน นายกรัฐมนตรีเกือบถูกฆ่าที่กระทรวงมหาดไทย เป็นการพยายามฆ่าครั้งที่ 2 ในรอบ 3 วัน เลขาธิการบาดเจ็บสาหัส รปภ.ถูกจับไปประจาน บ้านเมืองมีโอกาสยกระดับไปสู่สถานการณ์สงครามกลางเมืองเต็มรูป หรือไม่ก็เกิดรัฐประหารจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตัดหน้า
      
       เป็นใครก็มีโอกาสที่จะถอดใจหนีปัญหาได้ทั้งนั้น
      
       แต่ไม่ใช่คนชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ!
      
       นอกจากความเชื่อมั่นในตัวเองแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองบ้านนี้เมืองนี้น่าจะช่วยดลบันดาลเสริมสร้าง กำลังใจให้อีกส่วนหนึ่ง
      
       ความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่งตลอด 15 – 20 นาทีที่ถูกล้อมอยู่ในรถหวุดหวิดจะเอาชีวิตไม่รอด การต่อสู้กับใจของตัวเอง การทำงานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และรวมไปถึงความพยายามก่อความรุนแรงของผู้ชุมนุมไม่ว่าจะตัวจริงหรือตัวปลอม ล้วนเป็นส่วนผสมของประสบการณ์พิสดารที่คนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้พานพบ ตกผลึกเป็นการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะเข้านำการต่อสู้ควบคุมการทำงานของกลไก รัฐทั้งทหารและตำรวจด้วยตัวเองในเวลาต่อมา
      
       ความเป็นผู้นำของคนชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแสดงออกมาอย่างเด่นชัดจากเวลานั้นเป็นต้นมา
      
       ไม่มีใครกล้าดูถูกว่านายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นเด็กอีกต่อไป
      
       เพราะคนอายุ 44 ที่อยู่ในเวทีการเมืองมา 17 ปีคนนี้ใช้อำนาจอย่างมีสติ อย่างไม่ทรยศต่อหลักการที่ตนเองแสดงออกว่าเชื่อมาตลอดชีวิตทางการเมือง อย่างไม่มีความแค้นเคืองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในระดับเกือบเอา ชีวิตไม่รอดก่อนหน้านั้น และอย่างระมัดระวังถึงที่ไม่สุดที่จะไปตกหลุมพรางฝ่ายตรงกันข้าม
      
       ทำให้การสลายการชุมนุมที่ดินแดงเช้าตรู่วันที่ 13 เมษายน 2552 เป็นไปอย่างละมุนละม่อมที่สุด แม้จะใช้กำลังทหารเต็มรูป บรรจุกระสุนจริง และสถานการณ์เอื้อต่อการใช้ความรุนแรงตอบโต้เหลือเกิน
      
       ทำให้ไม่มีการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลในคืนวันที่ 13 เมษายน 2552 และเช้าวันที่ 14 เมษายน 2552 เพียงแต่แสดงกำลังเพื่อเป็นการกดดันให้ผู้ชุมนุมตัดสินใจสลายตัวเอง
      
       นี่คือความสำเร็จ!
      
       นี่คือชัยชนะ - แม้จะเพียงเบื้องต้น - แต่ก็เป็นส่วนสำคัญ!!
      
       การไม่ใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรงของผู้ชุมนุมบางส่วน ไม่ว่าจะแท้หรือเทียม ทำให้นายกรัฐมนตรีวัย 44 ที่เกิดและมีพื้นเพการศึกษาในต่างประเทศคนนี้ได้รับชัยชนะเด็ดขาดในเวทีสื่อ ต่างประเทศอย่างชัดเจนที่สุด เมื่อประกอบกับการรุกฆาตต่ออดีตนายกรัฐมนตรีด้วยการออกหมายจับในคดีใหม่และ ยกเลิกพาสปอร์ตเล่มสุดท้ายรวมทั้งการส่งคนไปทำความเข้าใจกับรัฐบาลยูเออี และ ฯลฯ ที่เป็นความพลาดพลั้งของผู้ชุมนุมบางส่วน ไม่ว่าจะแท้หรือเทียม ยิ่งทำให้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” ของฝ่ายผู้ชุมนุมพังทลายไม่เป็นท่า
      
       นายกรัฐมนตรีรุกต่อด้วยการเปิดรัฐสภาตามมาตรา 179 และพูดว่าจะ “รับฟัง” ทุกข้อเสนอ ไม่ว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ หรือเรื่องนิรโทษกรรม
      
       แต่ก็ขีดเส้นเอาไว้ว่าต้องไม่รวมคดีอาญาและคดีคอร์รัปชัน
      
       และเรื่องแก้รัฐธรรมนูญกับเรื่องนิรโทษกรรมนั้นก็มีข้อแม้ไว้ว่าต้องรับฟังทุกฝ่ายและรับฟังประชาชนด้วย
      
       ทีแรก พวกเราก็ออกจะไม่เห็นด้วยที่เร่งให้เปิดรัฐสภาตามมาตรา 179 เพราะเกรงว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้ชุมนุมหันมาใช้เสทีรัฐสภาสร้าง ความชอบธรรมให้กับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะหลังสปีชของนายกรัฐมนตรีกลางดึกคืนวันที่ 23 เมษายน 2552 ปรากฏว่าพวกเราคิดผิด
      
       นายกรัฐมนตรีวัย 44 ใช้เวลา 57 นาที “ขโมยซีน” ของทุกคนที่อภิปรายก่อนหน้านั้น 2 วันไปหมด
      
       สุภาพ นุ่มนวล รับฟัง แต่ก็ยืนยันในหลักการและข้อเท็จจริง
      
       เหมือนรับปาก แต่แท้จริงแล้วไม่ได้รับปาก
      
       เหมือนโยนเผือกร้อนให้รัฐสภา แต่แม้รัฐสภารู้ก็มิอาจไม่รับ
      
       ไม่บ่อยครั้งนักที่การอภิปรายในรัฐสภาจะได้รับเสียงปรบมือจากสมาชิก สปีชคืนนั้นเป็นครั้งหนึ่ง เสียงตอบจากประธานวิปฝ่ายค้านแสดงให้เห็นถึงความยอมรับและการเปลี่ยนแปลงภาย ในฝ่ายค้านเองในระดับหนึ่ง
      
       แน่นอนว่าการต่อสู้ในเวทีรัฐสภายังไม่จบ
      
       แน่นอนว่าอดีตนายกรัฐมนตรีไร้แผ่นดินยังคงจะไม่ยุติการต่อสู้ลงง่ายๆ บริษัทบริวารของเขายังคงขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอยู่ทุกพื้นที่ทุกวินาที
      
       และแน่นอนอีกเช่นกันว่ากรอบของการเมืองที่ล้มเหลวยังคงขวางมือขวาง เท้าของนายกรัฐมนตรีคนนี้อยู่ แม้จะพลันมีพลังฝีมือเพิ่มขึ้นจากการผ่านพบประสบการณ์พิสดารสู่การเกิดใหม่ ก็ใช่ว่าจะใช้กระบวนท่าสำแดงฝีมือได้เต็มที่
      
       แต่เราไม่อาจ “ประมาท” และ “ปรามาส” นายกรัฐมนตรีที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคนนี้ได้!

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000046762

คอมพิวเตอร์แย่งความรักจากเด็ก ไปจากพ่อแม่และครอบครัว

คอมพิวเตอร์แย่งความรักจากเด็ก ไปจากพ่อแม่และครอบครัว

รู้จัก “ไวรัสไข้หวัดหมู” มฤตยูสายพันธุ์ล่าสุด!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

       ภาย หลังข่าวที่มีรายงานการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่และปอดบวมในประเทศเม็กซิโก ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2552 และทวีความรุนแรงมากขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา จนมีผู้ป่วยรวม 854 ราย เสียชีวิตไปแล้ว 59 ราย ซึ่งจากการเก็บตัวอย่างผู้ป่วยรวม 50 ราย ส่งตรวจพบว่า 17 ราย เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) ที่ต้องตกตะลึง คือ เชื้อมฤตยูนี้เป็นไข้หวัดสายพันธุ์ของคน โดยมีสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ในหมูผสมอยู่ด้วย
      
       แน่นอนว่า รายงานชิ้นดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชนทั้งโลก วันนี้จึงควรมาทำความรู้จักกับเจ้าเชื้อ “ไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ H1N1” หรือ “เชื้อไวรัสไข้หวัดหมู” กัน...

       ** รู้จักหวัดหมูพันธุ์ใหม่
      
       ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ให้รายละเอียดว่า ไข้หวัดใหญ่ที่พบในคนตามฤดูกาลส่วนมากจะเป็น สายพันธุ์ H1N1 และ H3N2 ซึ่งมีการกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงทำให้ต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ วัคซีนที่ใช้ในการป้องกันทุกปี และต้องมีการฉีดวัคซีนประจำปีที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับเชื้อไวรัสที่จะมี การระบาด ก็จะสามารถป้องกันโรคได้
      
       อย่างเชื้อไวรัสไข้หวัดนก ก็จัดเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิด A ซึ่งระบาดอยู่ในสัตว์ปีก และสามารถติดเชื้อข้ามสายพันธุ์มายังมนุษย์ได้ แต่ไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 เป็นสายพันธุ์รุนแรงที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ
      
       สำหรับเชื้อไวรัสไข้หวัดหมูนั้น ก็เป็นไข้หวัดใหญ่ชนิด A เช่นกัน พบได้ทั้งในหมูเลี้ยง และหมูป่า ในปัจจุบันที่พบบ่อยรวมทั้งในประเทศไทย จะเป็นสายพันธุ์ H1N1, H1N2 และ H3N2 ซึ่งลักษณะสายพันธุ์ไม่คล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ ในมนุษย์ มีรายงานน้อยมากที่จะข้ามมายังมนุษย์
      
       “ใน ส่วนการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดหมู ที่พบในประเทศเม็กซิโก และอเมริกานั้น เป็นสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนในมนุษย์ เป็นสายพันธุ์ที่มีชิ้นส่วนของพันธุกรรมเกิดจากการผสมผสานของไข้หวัดหมู ที่เคยมีรายงานในอเมริกา หรือ ยุโรป และเอเชีย รวมทั้งชิ้นส่วนพันธุกรรมของไข้หวัดที่เคยรายงานไว้ในอเมริกาเหนือ จึงถือได้ว่าเป็น “ไวรัสสายพันธุ์ใหม่” และเมื่อดูองค์ประกอบเปรียบเทียบกับวัคซีน H1N1 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีความคล้ายคลึงกันไม่ถึง 80% ...บ่งชี้ให้เห็นว่า การป้องกันด้วยวัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันก็ไม่น่าจะได้ผล อย่างไรก็ตาม ไวรัสดังกล่าวยังคงตอบสนองต่อยาต้านไวรัส ได้แก่ Oseltamivir (Tamiflu) และ Zanamivir แต่สามารถดื้อต่อ ยา Amantadine ได้เช่นกัน” ศ.นพ.ยง ขยายความ
      
       ** การแพร่เชื้อ อาการ
      
       กับคำถามที่ว่าการแพร่เชื้อนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วหากกินหมูจะติดโรคหรือไม่นั้น นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้ มีการแพร่ติดต่อเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคนโดยทั่วไป คือเชื้อ นั้นจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด หรือติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา
      
       แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าผู้บริโภคทั้งหลายหายกังวลได้เปลาะหนึ่ง คือ เชื้อนี้ไม่ติดต่อจากการรับประทานเนื้อหมู!!!
      
       สำหรับอาการที่เกิดขึ้นนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ไอ มีน้ำมูก นอก จากนี้ในบุคคลที่ร่างกายอ่อนแอ เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หากติดเชื้อจะทำให้มีอาการที่รุนแรงขึ้นได้ ดังนั้น ผู้ที่มีอาการคล้ายจะเป็นหวัด มีไข้สูง ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรพบแพทย์ทำการวินิจฉัย รักษา และควบคุมโรคต่อไป
      
       “หาก ป่วยและมีอาการ ควรสวมหน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือสถานที่แออัด ประชาชนทั่วไปควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผัก ผลไม้ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ งดดื่มเหล้า ล้างมือบ่อยๆ” นพ.ปราชญ์ เสริม

   
       ** เตรียมพร้อมรับมือโรคพันธุ์ใหม่
      
       ด้านการเตรียมการ ป้องกันเฝ้าระวังโรคนั้น ได้รับคำยืนยันจาก นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.กระทรวงสาธารณสุข ไปแล้วว่า ในไทยยังไม่พบเชื้อไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดอยู่ในประเทศเม็กซิโก แต่ทั้งนี้ก็ได้สั่งการให้สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งรัดการเฝ้าระวังโรค รวมทั้งเตรียมความพร้อมรับมือ ทั้งด้านการตรวจวินิจฉัย การดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วย การเตรียมเครื่องมือและเวชภัณฑ์ ตลอดจนการเดินทางระหว่างประเทศ โดยประสานงานกับองค์การอนามัยโลกและศูนย์ป้องกันควบคุมโรคแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา อย่างใกล้ชิดด้วย
      
       นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานศูนย์ปฎิบัติ การควบคุมโรคอุบัติใหม่กระทรวงสาธารณสุข กล่าวย้ำด้วยว่า ได้จัดเตรียมความพร้อมระบบเฝ้าระวังป้องกันของไทยขั้นสูงสุด เพื่อสร้างความมั่นใจแก่คนไทย จะไม่ป่วยจากโรคดังกล่าว ซึ่ง “ขณะนี้โรคนี้ยังไม่มีการระบาดสู่ไทย” แต่ถึงอย่างไรก็ต้องติดตามและประเมินสถานการณ์โรคนี้อย่างใกล้ชิด ทั้งการป้องกันเฝ้าระวัง ทุกจุดผ่านแดน และความพร้อมของสถานบริการเพื่อการรักษา
      
      
       ** ด่านสกัดตั้งแต่ประตูสู่ประเทศ
      
       นพ.มล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการประชุมร่วมกับผู้แทนองค์การอนามัยโลก เมื่อคืนวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก ยังไม่ได้ประกาศให้การระบาดของโรคดังกล่าวเป็นภาวะฉุกเฉินระดับ 4 ซึ่งหมายถึงการระบาดใหญ่ แต่ยังเป็นแค่ระดับ 3 คือ ให้เน้นเรื่องของการเฝ้าระวังและควบคุมการระบาดในแต่ละพื้นที่เท่านั้น
      
       ในส่วนของประเทศไทยได้สั่งการให้ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ เตรียมพร้อมในการติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิ “เทอร์โมสแกนเนอร์” บริเวณท่าอากาศยานนานาชาติโดยเฉพาะที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในจุดที่มีเครื่องบิน หรือผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดคือเม็กซิโก และบางส่วนของสหรัฐอเมริกา พร้อมแจกเอกสารคำเตือนด้านสาธารณสุข (Health Card) แก่ผู้ที่จะเดินทางเข้าและออกนอกประเทศ ในส่วนของคนไทยได้เตือนให้งดการเดินทางไปประเทศเม็กซิโกและบางรัฐของสหรัฐ อเมริกา เช่น แคลิฟอร์เนีย เทกซัส ที่มีการระบาดของโรคในขณะนี้ รวมทั้งให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขขึ้นที่กรมควบคุมโรค และหากมีความจำเป็นอาจจะต้องเปิดศูนย์ปฏิบัติการในระดับกระทรวง เพื่อเป็นวอร์รูมในการติดตาสถานการณ์และเฝ้าระวังการระบาดของโรคอย่างใกล้ ชิดต่อไป
      
       ** กินหมูได้ไม่ติดโรค!!
      
       “ข่าว การระบาดของโรคนี้ อาจทำให้ประชาชนไทยเกิดความวิตก กลัวติดเชื้อ และไม่กล้ากินเนื้อหมู จึงขอให้ข้อมูลว่า โรคระบาดดังกล่าวไม่ใช่โรคที่ติดจากการรับประทานหมู แต่เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่มีสารพันธุกรรมของหมูและคนผสมกัน เป็นการกลายพันธุ์ของเชื้อในตัวคน ติดต่อจากคนสู่คนไม่ใช่จากหมูมาสู่คน ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกให้คำแนะนำว่า ให้เฝ้าระวังผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่และปอดบวมอย่างใกล้ชิด”อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว
      
       ทั้งนี้ นพ.มล.สมชาย บอกย้ำความมั่นใจด้วยว่า กรม ควบคุมโรคได้จัดเตรียมยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่สามารถรักษาโรคนี้ได้ ซึ่งมีเพียงพออยู่แล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีรายงานผู้เสียชีวิตในประเทศเม็กซิโก แต่เชื้อนี้มียาต้านไวรัสที่รักษาได้ นอกจากนี้ ไทยยังมีระบบที่ใช้ตลอดปี คือ การเฝ้าระวังผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวมเพื่อคัดกรองหาโรคไข้หวัดนก ซึ่งปกติไข้หวัดใหญ่ในคนจะพบเชื้อ H3N2 มากกว่า H1N1 อยู่แล้ว การเฝ้าระวังจึงสามารถเพิ่มเติมรองรับใช้กับโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้ได้
      

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000046780

Sondhi Limthongkul "สนธิ"ทักทายพี่น้องพันธมิตรฯ ผ่านวิดีโอคลิป บนเวทีระยอง



"สนธิ"ทักทายพี่น้องพันธมิตรฯ ผ่านวิดีโอคลิป บนเวทีระยอง ขอบคุณความห่วงใยและให้กำลังใจระหว่างรักษาตัว เผยหมอบอกอาการไม่มีปัญหาแล้ว อีกไม่นานกลับมาจัดรายการอีกครั้ง ย้ำการต่อสู้เพื่อบ้านเมืองโดยเอาธรรมนำหน้าเป็นเรื่องที่ถูกต้องและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะปกป้อง ระบุการลอบสังหารมีเป้าหมายสลายกลุ่มพันธมิตรฯ

ความเป็นแกนนำหรือคนทำสื่อ : เหตุให้สนธิถูกยิง?

โดย สามารถ มังสัง    


จากวันนี้ย้อนหลังไปถึงวันที่ 8 เดือนเดียวกันนี้ ประชาชนคนไทยได้พบเหตุการณ์สะเทือนขวัญเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ แต่ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด และเชื่อว่าคนไทยที่รักประเทศ และรักคนไทยด้วยกันไม่ต้องการให้เกิดขึ้นมีอยู่ 3 เหตุการณ์ใหญ่ คือ
      
       1. เหตุการณ์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งนำโดย นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง บุกโรงแรมอันเป็นที่จัดประชุมอาเซียน และทำให้รัฐบาลประกาศเลื่อนการประชุมออกไปไม่มีกำหนด
      
       2. เหตุการณ์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงบุกทุบรถนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และเป็นเหตุให้เลขาฯ นายกฯ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ได้รับบาดเจ็บ ที่กระทรวงมหาดไทย
      
       3. เหตุการณ์ที่คนร้ายขนอาวุธสงครามยิงถล่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เอเอสทีวี และแกนนำคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในขณะที่เดินทางมาจัดรายการทางเอเอสทีวี เมื่อเวลาเช้าตรู่ของวันศุกร์ที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา และจากการลอบทำร้ายในครั้งนี้ทำให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะต้องผ่าตัดเอาเศษโลหะออก และระบายเลือดที่ค้างอยู่ที่เยื่อสมองออก คนขับรถได้รับบาดเจ็บที่แขนขวาและศีรษะต้องผ่าตัดหลายครั้ง คนสุดท้ายคือผู้ติดตามได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่แขน
      
       แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ทั้งๆ ที่ถ้าดูสภาพรถจากการถูกถล่มยิงด้วยอาวุธสงครามแล้วพูดได้คำเดียวว่า โอกาสที่จะรอดชีวิตเป็นไปได้ยาก และจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้วงการพระเครื่อง และวัตถุมงคลชนิดต่างๆ พากันให้ความสนใจ และถามไถ่กันมาไม่ขาดสายว่าห้อยพระอะไร รวมไปถึงมีวัตถุมงคลชนิดไหนจึงรอดชีวิตมาได้
      
       ไม่ว่าทั้ง 3 คนจะห้อยพระเครื่องหรือแขวนวัตถุมงคลอะไรหรือไม่อย่างไร การรอดชีวิตของเหยื่อกระสุนในครั้งนี้ ถ้ามองในแง่คำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็ต้องบอกว่า คนทำดี ความดีคุ้มครอง โดยนัยแห่งคำสอนเดียวกันนี้ ก็เข้าใจได้ว่าคนทำชั่วความดีไม่คุ้มครอง และนอกจากไม่คุ้มครองแล้ว การที่คนไม่ทำดีอีกทั้งยังทำชั่วด้วยแล้ว แน่นอนว่าจะต้องได้ผลแห่งกรรมชั่ว คนประเภทนี้ต่อให้ห้อยพระหรือแขวนพระเต็มคอหรือรอบเอวก็ไม่สามารถพ้นไปได้ ก็ด้วยผลแห่งกรรมชั่วให้ผลนั่นเอง
      
       จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 3 ประการนี้ เป็นผลให้ประเทศที่ประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจซบเซาอยู่แล้วต้องซบเซายิ่งขึ้น ทั้งนี้ด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้
      
       1. ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ทั้ง 3 ประการดังกล่าวข้างต้น ประเทศไทยก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจซบเซาอันสืบเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจโลก ทำให้ประเทศไทยที่ต้องพึ่งการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอุตสาหกรรม และเมื่อผลิตแล้วก็หารายได้จากการส่งออกไปขายต่างประเทศเป็นรายได้เข้ามา ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจถดถอยกำลังซื้อที่เคยมีก็ลดลง จึงเป็นเหตุให้การส่งออกลดลงไปด้วยตามสัดส่วน และเมื่อภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกได้รับผลกระทบ ประเทศไทยก็หวังพึ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่เมื่อเกิดเหตุ 3 ประการที่กล่าวมาการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบ จะเห็นได้จากการยกเลิกการเดินทางเข้าประเทศไทย และเป็นเหตุให้แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เหงาหงอยกันเป็นแถวๆ
      
       ด้วยเหตุนี้ 3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเท่ากับว่าเป็นการซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจให้เลวร้ายยิ่งขึ้น
      
       2. ปัญหาการเมืองที่วุ่นวาย อันเนื่องมาจากพฤติกรรมของนักการเมือง ทั้งในส่วนของปัจเจกบุคคลอันมาจากเป็นผู้ด้อยความรู้ ความสามารถ และขาดคุณธรรม หรือแม้กระทั่งในรายที่มีความรู้ ความสามารถแต่ขาดจริยธรรมก่อความเสียหายให้แก่ประเทศชาติโดยรวม ด้วยการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองด้วยการใช้เงินซื้อเสียง และเมื่อมีตำแหน่งทางการบริหารก็ถือโอกาสถอนทุนด้วยการทุจริต การโกงบ้านกินเมือง ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายจึงต้องออกมาขับไล่ ดังจะเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมในกรณีของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวอย่าง
      
       และในส่วนของพฤติกรรมทางการเมืองโดยรวม หรือพฤติกรรมองค์กรทางการเมือง อันได้แก่ พรรคการเมือง ก็ก่อความเสียหาย และสร้างเหตุวุ่นวายไม่น้อยไปกว่าพฤติกรรมของปัจเจกบุคคล กล่าวคือ พรรคการเมืองส่วนใหญ่มิได้มีสถานะเป็นสถาบันทางการเมือง แต่เป็นเหมือนบริษัทจำกัดทางการเมืองที่มีนายทุนคนเดียวหรือหลายคนตั้งขึ้น แล้วรวบรวมบุคลากรทางการเมืองมาอยู่รวมกัน โดยอาศัยอำนาจเงินเป็นหลักในการบริหารจัดการ
      
       ดังนั้น กิจกรรมทางการเมืองที่พรรคการเมืองประเภทนี้ดำเนินก็คือ ธุรกิจทางการเมืองเพื่อหารายได้คืนให้แก่นายทุนพรรคเป็นส่วนหลัก และแถมเศษเสี้ยวแห่งรายได้เข้าพกเข้าห่อของแต่ละคนไปพร้อมๆ กัน
      
       ดังนั้น เมื่อนายทุนของพรรคประสบเคราะห์กรรมทางการเมืองอันเนื่องมาจากการกระทำผิด กฎหมาย บุคลากรของพรรคการเมืองประเภทนี้ก็ตกอยู่ในภาวะไร้ทิศทางต้องวิ่งเต้นหานาย ทุนใหม่ หรือที่ยังจงรักภักดีต่อนายทุนเก่าก็พยายามวิ่งเต้น และดำเนินกิจกรรมทางการเมืองตามคำบงการของนายทุนเก่า และนี่เองคือจุดด้อยและจุดดับของการเมืองไทยที่เป็นอยู่ในขณะนี้
      
       เมื่อการเมืองทั้งในส่วนของปัจเจกบุคคล และนิติบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวมาแล้ว ไหนเลยจะมีความมั่นคงและเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุน รวมไปถึงการสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวมาประเทศไทยได้ เฉกเช่นกับประเทศที่นักการเมือง และพรรคการเมืองมีคุณธรรม และช่วยกันทำให้การเมืองมีเสถียรภาพเพื่อดึงดูดการลงทุน และนักท่องเที่ยวเข้าประเทศสร้างรายได้จากธุรกิจประเภทนี้
      
       จากวันที่ 8 เมษายน อันเป็นวันที่กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาชุมชน และติดตามมาด้วยเหตุการณ์รุนแรงทั้ง 3 เหตุการณ์ จนถึงวันนี้ยังไม่มีอะไรบ่งบอกที่ชัดเจนว่าเหตุการณ์ในทำนองที่เกิดแล้วจะ ไม่เกิดขึ้นอีกในประเทศภายใต้อำนาจรัฐที่อ่อนแอ และประชาชนที่แตกแยก กองทัพที่ไร้เอกภาพและขาดวินัยถึงขั้นอาวุธสงครามหลุดรอดออกจากคลังแสงมา เป็นเครื่องมือทำร้ายประชาชน ดังที่เกิดขึ้นกับกรณีของนายสนธิ ลิ้มทองกุล
      
       แต่อย่างไรก็ตาม การที่ทางรัฐบาลเริ่มตื่นตัวและใช้อำนาจทางด้านบริหารเข้ามาจัดการโยกย้าย เปลี่ยนแปลงทีมงานสอบสวนคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล และจากผลงานการสอบสวนของทีมงานตำรวจที่เข้ามาใหม่ทำให้คดีคืบหน้าไปพอสมควร อย่างน้อยการเปิดเผยว่ากระสุนที่ใช้ยิงส่วนหนึ่งหลุดรอดมาจากกองทัพ ก็พอจะมีความหวังว่าคดีนี้มีโอกาสสาวถึงตัวผู้ต้องหาได้ไม่ยาก แต่จะสามารถนำตัวผู้ต้องหามาลงโทษได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องดูกันต่อ ไป
      
       อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของผู้เขียนแล้ว เหตุที่นายสนธิถูกลอบยิงน่าจะอนุมานได้ใน 2 สาเหตุ คือ
      
       1. ในฐานะคนทำสื่อที่ออกมาเปิดเผยทางเอเอสทีวีเกี่ยวกับพฤติกรรมไม่ดีของคนบาง คน จนถึงขั้นทำให้เกิดความโกรธ และผูกอาฆาตมุ่งร้ายทำลายชีวิต
      
       2. ในฐานะเป็นแกนนำคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ต่อสู้กับบุคคลและกลุ่มบุคคลที่ทุจริตคิดมิชอบทำลายสถาบันหลักของประเทศ จนทำให้คนกลุ่มที่ว่านี้ได้รับผลกระทบทั้งทางสังคมและกฎหมาย ก็น่าจะเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเคียดแค้นและมุ่งร้ายได้
      
       แต่ ใน 2 สาเหตุที่ว่านี้ ถ้าจะให้ปักใจเชื่อเพียงประการเดียว ผู้เขียนเชื่อว่าเหตุประการที่ 1 มีน้ำหนักมากที่สุด ส่วนเหตุข้อที่ 2 ถ้าจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือแม้ว่ามีเหตุอื่นๆ นอกจากนี้ ก็เป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000047092

การปฏิวัติสร้างรัฐไทยใหม่และสงครามประชาชนของคนเสื้อแดง

โดย เสรีชน

กลุ่มเสื้อแดงของ ทักษิณ ชินวัตร และลูกสมุน อ้างว่ากำลังจะสร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงต่อประเทศไทยเอาประชาธิปไตยคืนมาใน ยุทธการที่เรียกว่าแดงทั้งแผ่นดิน เพื่อปฏิวัติสร้างรัฐไทยใหม่ และประกาศสงครามประชาชน ทักษิณ ชินวัตร เองเคยประกาศว่าจะเดินนำหน้ามวลชนเข้าสู่สงครามประชาชนแดงทั้งแผ่นดินเมื่อ เสียงปืนแตก และประกาศว่าจะพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ไม่ได้ แต่เมื่อเช้ามืดวันที่ 13 เมษายน วันที่กองทัพเริ่มสลายกองกำลังเสื้อแดงเรากลับไม่เห็นเงาของทักษิณ ชินวัตร แต่อย่างใด
      
        เหตุที่สงครามประชาชนระหว่าง 8 -14 เมษายน 2552 ของกองทัพแดงพ่ายแพ้อย่างหมดรูปนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ สมควรนำมาศึกษาวิเคราะห์แนวทางการทำยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีของกองทัพแดง และขบวนการของทักษิณ ชินวัตร และลูกสมุนที่เป็นอดีตคนเดือนตุลาบางคนซึ่งเคยเข้าป่าจับปืนเป็นนักรบทำ สงครามประชาชนมาแล้ว
      
        เหตุใด ทักษิณ ชินวัตร และอดีตคนเดือนตุลาเหล่านั้นถึงพ่ายแพ้ในสงครามนี้ เมื่อพิจารณาดูจะเห็นได้ชัดว่ากองทัพแดงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำสงคราม ประชาชนของพวกเขานั้นไม่ใช่กองทัพปลดแอกหรือกองทัพปฏิวัติในอุดมคติของนัก ปฏิวัติใดๆ ในโลกนี้ เพราะตามหลักการแล้วการที่นักปฏิวัติคนใดที่จะเสียสละความยากลำบากส่วนตัวมา เป็นนักรบปลดแอกและเข้าร่วมขบวนการปฏิวัติเขาผู้นั้นจะต้องมีจุดยืนทางการ เมืองที่เคียงข้างประชาชนที่แท้จริง เขาพร้อมจะสละชีวิตเพื่อมวลชนโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
      
        ในอดีตที่ผ่านมานักรบปลดแอกที่แท้จริงในสถานการณ์สู้รบในอดีตจะได้รับการ ศึกษาและบ่มเพาะทางการเมืองให้มีความถนอมรักมวลชน ไม่ปล้นสะดม ไม่เอาเปรียบ ไม่ทำให้มวลชนเดือดร้อนลำบากยากเข็ญ แต่กองทัพแดงของพวกเขาอยู่ได้ด้วยเงิน พร้อมที่จะสร้างความยากลำบากให้มวลชน เช่น ยุทธการปิดถนนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิสร้างความปั่นป่วนการจราจรทั้ง กรุงเทพฯ สร้างความทุกข์ร้อนแก่ชาวบ้านผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาพยาบาลตามโรงพยาบาล ต่างๆ ในละแวกนั้นไม่เว้นแต่พระภิกษุสงฆ์ที่จะเข้ารักษาในโรงพยาบาลสงฆ์ที่อยู่ไม่ ไกลออกไปนัก การบุกทำลายการประชุมอาเซียนที่พัทยาซึ่งกองทัพแดงประกาศเป็นชัยชนะของพวก เขาได้ส่งผลกระทบต่อการประชุมเพื่อหามาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่หนักมาก ของชาวอาเซียนทั้งมวลรวมถึงปวงชนชาวไทย
      
        กองทัพแดงภายใต้การบัญชาการของทักษิณ ชินวัตร ที่ส่งวิดีโอลิงก์ และโฟนอินมาแทบทุกคืนในระหว่างการชุมนุม น่าจะเรียกว่ากองโจรเสื้อแดงเสียมากกว่า เพราะพวกเขาเอาชีวิตของมวลชนผู้บริสุทธิ์มาเป็นตัวประกันและเป็นเครื่องต่อ รองให้ได้รับชัยชนะอย่างเห็นแก่ตัว ที่เห็นได้ชัดเจนคือการเอารถก๊าซหนัก 8 ตัน ที่มีรัศมีทำลายล้าง 1 กิโลเมตร ที่สามารถสังหารมวลชน ลูกเล็กเด็กแดง คนชราของชาวแฟลตดินแดงได้เป็นร้อยๆ คนภายในพริบตาเดียวมาเป็นเครื่องต่อรอง พวกเขาบุกยิงมัสยิดในซอยเพชรบุรี 5 และ 7 พวกเขาจุดไฟในพระนคร เผารถเมล์และเตรียมก่อวินาศกรรมให้เกิดจลาจลทั่วกรุง
      
        การกระทำสงครามประชาชนในความหมายของทักษิณ ชินวัตร ที่ขนลูกเมีย และญาติพี่น้องไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ย่อมไม่ต่างจากก่อการจลาจลโดยกองโจรเสื้อแดงที่ไร้อุดมการณ์ ไร้ระเบียบวินัย ที่ได้รับการวางแผนและจัดตั้งมาอย่างดี เขาเองอาจหวังให้เกิดความโกลาหลเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยคณะทหารก็เป็น ได้ แต่ที่แน่ๆ มันคือการก่อวินาศกรรม ก่อจลาจล หรืออาจเลยเถิดเป็นสงครามในเมือง แต่ไม่ใช่การสร้างประชาธิปไตยเพื่อปฏิวัติสร้างรัฐไทยใหม่ แต่อย่างไร
      
        สิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร และลูกสมุนทำลงไปกลับสร้างปรากฏการณ์ การลุกขึ้นสู้ของมวลชนซึ่งเป็นประชาชนธรรมดาที่บริสุทธิ์ที่ออกมาปกป้องตัว เอง โดยเริ่มจากมวลชนชาวถนนนราธิวาสราชนครินทร์-สาทรที่ไม่อาจอดกลั้นต่อความเลว ระยำของพวกกองโจรเสื้อแดงอีกต่อไป พวกเขาไม่คอยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไร้ประสิทธิภาพมาแก้ปัญหา พวกเขาช่วยกันขับไล่กองโจรเสื้อแดงของทักษิณด้วยมือเปล่าจนพวกมันหนีกระเจิง ไปในวันแรก
      
        และต่อมาเกิดการลุกขึ้นสู้ของชุมชนแฟลตดินแดง ชุมชนซอยเพชรบุรี 5 และ 7 ชุมชนบ้านครัว ชุมชนย่านสะพานยมราช ชุมชนย่านนางเลิ้ง ชุมชนย่านสะพานขาว ที่เหลืออดในการกระทำเลวๆ ของกองโจรเสื้อแดง การลุกขึ้นสู้ของประชาชนด้วยมือเปล่าไม่วายที่จะสูญเสียวีรชนย่านนางเลิ้ง ที่ได้พลีชีพสังเวยต่อความเลวระยำป่าเถื่อน ของพวกมันที่ลั่นกระสุนสังหารผู้บริสุทธิ์ถึง 2 ศพของค่ำคืนวันที่ 13 เมษายน ที่ผ่านมา
      
        ขอบอกได้คำเดียวว่าหากรัฐบาลและทหารไม่สามารถกดดันให้กองโจรเสื้อแดงยอมแพ้ ในวันที่ 14 เมษายน วีรชนคนไทยที่รักชาติทั้งมวลจะทนไม่ได้กับการกระทำอันชั่วช้าของกองโจรเสื้อ แดงอีกต่อไป พวกเขาจะลุกขึ้นและรวมตัวกันไปบดขยี้พวกมันที่เทียบแล้วมีเพียงหยิบมือเดียว เท่านั้น และเมื่อถึงวันนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้แต่รับรองได้ว่าความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินโดยเฉพาะของพวกกองโจรเสื้อแดงจะหนักหนาสาหัส ไม่แพ้เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่จะสร้างรอยด่างให้แก่สังคมไทยอีกนานแสนนาน และมันจะเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดจากคนที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียว ที่บงการและบังคับบัญชาอยู่นอกประเทศ และกำลังโกหกและให้ร้ายประเทศไทยต่อชาวโลกจนถึงทุกวันนี้
      
        เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เคยสร้างความเจ็บปวดให้แก่พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแกนนำรัฐบาลในขณะนั้นที่ ไม่สามารถจัดการ และป้องกันมวลชนจัดตั้งขวาจัดที่เป็นลูกเสือชาวบ้าน นวพล กระทิงแดง และเจ้าหน้าที่รัฐคือ ตำรวจนครบาล และ ตชด. เข้าทำการสังหารนิสิต นักศึกษา ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ท้องสนามหลวง บริเวณอนุสาวรีย์พระแม่ธรณีบีบมวยผมได้ พวกเขาถูกปลุกระดมให้เกลียดชัง ทำการเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้ามที่เป็นคนไทยด้วยกันเอง
      
        สองเหตุการณ์ในปี 2519 และ 2552 นี้ เรามีพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแกนนำรัฐบาลเช่นเดียวกัน แต่วันนี้โดยนายกรัฐมนตรีที่ชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช้มวลชนจัดตั้ง และไม่ออกคำสั่งให้ทหาร ตำรวจจัดการเด็ดขาดต่อกองโจรเสื้อแดงซึ่งสามารถทำได้ แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับใช้วิธีการละมุนละม่อม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมวลชนต่อกองทัพของพวกเขาที่เป็นกองทัพของประชาชน ที่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ากองทัพภายใต้การบัญชาของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือกองทัพและทหารของประชาชนที่ทำหน้าที่อย่างสง่างามเป็นกองทัพ และทหารที่ถนอมรักประชาชนไม่ต้องการเข่นฆ่าพวกคนเสื้อแดงแม้แต่คนเดียว หากมีการเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม ตามที่ทักษิณ ชินวัตร และลูกสมุนโกหกต่อชาวโลก ย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากการเสนอข่าวจากสื่อมวลชนที่มีผู้สื่อข่าวที่ทำ งาน 24 ชั่วโมงจากหลายๆ สำนักได้ และจาก เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือทั้งจากพวกเสื้อแดงเอง และจากประชาชนทั่วไปที่สามารถถ่ายได้ทั้งภาพนิ่งและคลิปวิดีโอที่สามารถโหลด ขึ้นในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ทันที
      
        วันนี้สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร และพวกลูกสมุน เราบอกได้ว่าการปฏิวัติเพื่อสร้างรัฐไทยใหม่ไม่มีวันเกิด และสงครามประชาชนของพวกคุณไม่มีวันชนะ มันเป็นเพียงวาทกรรมที่พวกคุณสร้างขึ้นมาหลอกให้คนหลงผิดเพื่อคนไทยฆ่ากัน เอง กล่าวโดยรวมได้ว่า ทักษิณ ชินวัตร คือผู้นำทัพแดงจอมปลอม ทักษิณ ชินวัตร และพวกไม่ใช่นักปฏิวัติประชาธิปไตย
      
        ส่วนพวกอดีตคนเดือนตุลายอมให้ทักษิณปกครองเลี้ยงดู และสร้างกองทัพแดงของเขาด้วยเงิน ทั้งๆ ที่มีประสบการณ์ผ่านทั้งสนามรบและโรงเรียนการเมืองของ พคท.มาแล้วพวกเขากลับไม่สร้างกองทัพปฏิวัติโดยให้การศึกษาบ่มเพาะทางการ เมืองเพื่อปลดแอกประชาชาติ ประชาธิปไตยตามอุดมการณ์ที่อาจมีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่พวกเขาสร้างกองทัพแดงที่เปรียบได้กับกองโจรที่ก่อจลาจล และบ่อนทำลายชาติเพื่อให้คนคนเดียวกลับมาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
      
        พวก อดีตคนเดือนตุลาบางคน และพวกสมุนรับใช้อื่นๆ พวกเขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของทักษิณ ชินวัตร คนเดียว พวกอดีตคนเดือนตุลาเหล่านั้น และพวกสมุนรับใช้ต่างๆ สมควรถูกประณามและสาปแช่ง ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกองทัพปวงชนชาวไทยขอคาราวะอย่างสูงด้วยความจริงใจ จริงอยู่แม้จะเป็นการช่วงชิงทางการเมือง แต่อย่างน้อยพวกคุณก็ไม่เข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเองในยุคนี้ พวกคุณทำให้ประเทศไทยของเราน่าอยู่ขึ้น เรารักพวกคุณ เรารักประเทศไทย

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000043890