++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

ครอบครัวสุขสันต์ด้วยคน 2 วัย ธรรมะจาก “พระมหาสมปอง”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    


       “ผู้ สูงวัยเปรียบเหมือนหลักชัยของครอบครัว” คือคำกล่าวของ พระมหาสมปอง ตาลปุตโต พระนักเทศน์ขวัญใจวัยโจ๋ พร้อมทั้งยังขยายความเพิ่มเติมด้วยว่า มนุษย์เมื่อต้องลงแข่งขันไม่ว่ากีฬาประเภทไหนต่างก็ต้องการไปให้ถึงเส้นชัย และผู้คนที่เกิดมาบนโลกใบนี้ต่างก็ต้องการได้รับชัยชนะกันทั้งสิ้น ซึ่งความจริงแล้วมนุษย์ถือได้ว่าได้รับชัยชนะมาตั้งแต่วันแรกที่เกิด ชัยชนะอย่างแรกคือ การประคับประคองชีวิตให้ผ่าน 4 วัยสำคัญ คือ “เตาะแตะ- โตงเตง - เต่งตึง - ตาย” ซึ่งผู้สูงวัยทั้งหลายต่างก็ได้ผ่านหนทางเหล่านี้มาหมดแล้ว ฉะนั้นพวกท่านจึงถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่พร้อมจะมานั่งถ่ายทอดประสบการณ์ ต่างๆ ที่ผ่านมาให้ลูกๆ หลานๆ ได้เรียนรู้และนำไปปรับใช้

พระมหาสมปอง ตาลปุตโต
   
       “ในต่างประเทศ ได้มีการนำผู้เกษียณอายุไปทำงานพิเศษโดยการมีหน้าที่สอนลูกหลาน เป็นคุณตา คุณยายที่อยู่กับหลาน โดยการสอนนิทาน สอนการบ้าน นี่ก็ถือเป็นคุณค่าอย่างหนึ่งของพวกท่านเหล่านั้น เด็กก็จะได้เรียนรู้ความรัก ความเมตตาในระดับสูง ซึ่งระยะหลังมานี้สังคมไทยเป็นสังคมเดี่ยวมากขึ้น พ่อ แม่ลูก แยกออกมาอยู่ตามลำพัง พ่อแม่ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ลูกก็ไม่รู้จะไปอยู่ไหน ก็พึ่งเกม อินเทอร์เน็ต เว็บลามก ในทางกลับกันหากเขาได้อยู่กับปู่ย่า ตายาย ท่านอาจจะพาเข้าวัด เด็กก็จะได้เห็นและซึมซับบรรยากาศการเข้าวัด ทำบุญ ตัวเด็กเองเมื่อได้อยู่กับคนแก่ ได้นวดให้คุณตา ได้ถอนหงอกให้คุณย่า เมื่อมีความใกล้ชิดกัน การสัมผัสก็เกิดขึ้น ลูกๆ หลานๆ ก็จะมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนโดยเรียนรู้ได้จากสิ่งเหล่านี้เอง...เจริญพร” พระนักเทศน์ให้ภาพ
      
       พระมหาสมปองยังบอกอีกว่า ผู้สูงอายุถูกยกให้เป็นบุคคลสำคัญของครอบครัว การได้สัมผัสด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ถือเป็นการสร้างพลังให้ครอบครัวอย่างมากโดยเฉพาะกับเยาวชน เช่น เมื่อหลานๆ เห็นคุณย่าใสบาตรตอนเช้า สิ่งที่ตาสัมผัสได้คือการทำบุญ โอบอ้อมอารี เมื่อได้ยินคุณตาพร่ำบ่น พร่ำสอน ถือเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ทางหู จมูกได้สัมผัสกลิ่นหอมของกับข้าวที่คุณยายลงมือทำ ได้ลิ้มรสความอร่อย จนไปสู่การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับข้าวให้คนบ้านใกล้เรือนเคียงก็ชี้ให้เด็กๆ เห็นถึงจิตใจที่ดีงาม ซึ่งประโยชน์ของสัมผัสทั้ง 5 ระหว่างคน 2 รุ่นนี้ถือได้ว่าเป็นส่วนช่วยให้เด็กได้รับวัคซีนทางจิตใจ แต่ปัจจุบันจะพบว่าภาพเหล่านี้ห่างหายไป การอยู่ร่วมกันมีน้อย เด็กจะเบื่อกับการอยู่กับผู้สูงวัย จะไหว้ยังแอบเขินจนต้องหลบอยู่หลังคุณพ่อ คุณแม่ด้วยซ้ำ
      
       เมื่อสังคมในปัจจุบันทอดทิ้งผู้สูงอายุ แยกทางกันอยู่มากขึ้น สิ่งหนึ่งที่ผู้สุงอายุต้องต่อสู่กับความล้มเหลวทางครอบครัวให้ผ่านพ้นไปได้ นั้น คือการอยู่กับตัวเองให้ได้...
      
       ตรงนี้พระมหาสมปองให้คำอธิบายว่า การถูกทอดทิ้ง หรือความล้มเหลวต่างๆ ในชีวิตเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ และเมื่อผู้สูงอายุต้องอยู่ในจุดที่ไม่มีญาติพี่น้องมาลุมล้อม ดูแล เอาใจใส่ แต่กลับได้การตอบแทนจากลูกๆ หลานๆ โดยส่งไปอยู่บ้านพักคนชรา เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ไม่รู้ว่าจะเป็นผลดีหรือร้าย แต่สุดท้ายผู้สูงอายุหลายๆ คนก็อยู่มาได้ ผ่านความเหงามาได้ สำหรับคนที่กำลังอยู่ในสภาพเช่นนี้ และคนที่กำลังกลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองในอนาคต ก็อยากให้คิดเสียว่าไม่ใช่ความผิดของใคร สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องหนึ่งในหลายประสบการณ์ที่ชีวิตคนคนหนึ่งต้องเจอ เมื่อถึงตรงนั้นจริงก็ต้องอยู่ให้ได้ และหากคิดให้จิตใจสบายอยู่ที่ไหนก็มีความสุข การเป็นคนที่ทุกข์ยาก แต่สุขง่ายก็เริ่มได้จากตัวเราเอง

   
       “หลักธรรมที่ผู้ สูงอายุทั้งหลายควรนำไปใช้คือหลักที่เรียกว่า พรหมวิหารธรรม ประกอบด้วย 1.เมตตา คือต้องมีเมตตากับทุกคน เพราะชีวิตได้ผ่านทั้งแง่บวก ลบ เห็นเรื่องดี ไม่ดี จึงเป็นวัยที่ต้องให้ความรักกับคนรอบข้างให้มากที่สุด ซึ่งลูกๆ หลานๆ เองก็คงรู้สึกไม่ดีที่เห็นพระอรหันต์ในบ้านมีทิตฐิ ไม่รู้จักพอ 2.กรุณา คือการสงสาร เห็นอกเห็นใจ คนวัยนี้ต้องมีความสงสารให้มาก ทำบุญให้มาก 3.มุทิตา คือความยินดี คนวัยนี้ไม่ควรจะเลิกอิจฉาริษยากันได้แล้ว และ 4.อุเบกขา คือต้องรู้จักปลง ทุกสิ่งที่ไม่ดีต้องทิ้งไป ต้องเป็นวัยที่รู้จักวางเฉย เข้าใจโลก เพื่อที่จะไปสอนคนในสังคม สอนลูกสอนหลานได้ เมื่อนำตรงนี้ไปใช้ได้ชีวิตบั้นปลายก็จะผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีเรื่องอะไรมาให้ขุ่นข้องหมองใจอีกต่อไป...เจริญพร” พระมหาสมปองชี้ทาง
      
       ถึงตรงนี้ พระมหาสมปอง ยังฝากข้อคิดดีๆ เพื่อทุกครอบครัวไทยจะได้นำไปปรับใช้รับปีใหม่ไทยไว้ด้วยว่า หากเทียบชีวิตในวัยเด็กของอาตมาจะพบว่าช่วงวันสงกรานต์ พ่อแม่จะพาไปเที่ยวบ้านญาติๆ เยี่ยมคนโน้นคนนี้ ตอนนั้นก็รู้สึกว่ามีความอบอุ่นอย่างมากที่ครอบครัวได้อยู่กันอย่างพร้อม หน้าพร้อมตากัน แต่ตอนนี้เมื่อวัยรุ่นนึกถึงสงกรานต์ก็จะเห็นภาพของหนุ่มสาวเล่นน้ำปะแป้ง กัน หากเล่นกันเกินงามสิ่งที่ตามมาคือการทะเลาะวิวาท สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องชินชาไปแล้วในประเพณีอันดีงามนี้
      
       ดัง นั้น สงกรานต์ปีนี้ขอให้เยาวชน วัยรุ่นนึกถึงครอบครัวก่อนแล้วค่อยกลับสู่กระแสนิยมตามยุคสมัย เมื่อผู้ปกครองสามารถปลูกฝังตรงนี้ได้เชื่อเลยว่าเทศกาลสงกรานต์ปีต่อๆ ไป สิ่งที่ลูกๆ รับรู้คงไม่มีเพียงแค่การสาดน้ำ ประแป้งกันอย่างเดียว แต่ยังมีทั้งวันผู้สูงอายุ และวันครอบครัวรวมอยู่ด้วย ตรงนี้จะสร้างความตระหนักให้เขาได้อย่างมาก...เจริญพร

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000040673

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น