++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

1คนให้ หลายชีวิตรอดตาย บุญยิ่งใหญ่"บริจาคอวัยวะ"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


นับเนื่องยาวนาน 15 ปีแล้วที่ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย
ได้ทำงานช่วยเหลือผู้ป่วยมา
แม้ในระยะแรกจะมีผู้ไม่เข้าใจและมีทัศนคติที่ผิดอยู่มากเกี่ยวกับการบริจาค
อวัยวะก็ตาม แต่จากการทำงานอย่างหนักของทุกชีวิตในองค์กร
ทำให้คนรุ่นใหม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้นในการตัดสินใจทำบุญอันยิ่งใหญ่
นี้ และเป็นที่น่าชื่นใจยิ่งว่ามีจนขณะนี้
มีผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะสูงถึงกว่า 500,000 คนแล้ว

ระหว่างทำการผ่าตัด
จะให้น้ำยาถนอมอวัยวะเพื่อทำการรักษาสภาพอวัยวะที่ถูกตัดออกมาก่อนที่จะนำไปปลูกถ่ายอวัยวะ
** ผู้บริจาคต้อง "สมองตาย" เท่านั้น
นพ.วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย
เท้าความย้อนหลังไปเมื่อ 15 ปีก่อน ครั้งแรกตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะ
สภากาชาดไทยว่า ขณะนั้นการบริจาคอวัยวะถือเป็นของใหม่ที่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก
และมีอีกไม่น้อยที่มีทัศนคติเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะแบบผิดๆ
ส่วนใหญ่จะกลัวว่าเมื่อบริจาคไปแล้วจะทำให้ชาติหน้าพิการ อีกทั้งกลัวว่า
อาจมีการซื้อขายอวัยวะ อวัยวะที่บริจาคไม่ได้รับการใช้อย่างถูกต้อง
เหมาะสมและไม่เกิดความเป็นธรรมในการจัดสรรอวัยวะ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง
อีกทั้งยังไม่มีระบบการจัดการที่ดี

ดังนั้น จึงทำให้เกิดความคิดริเริ่มจัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะที่มีระบบ
และเป็นองค์กรกลางเพื่อส่วนรวม ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2531
สภากาชาดไทยจึงได้ลงมติการพิจารณาเห็นว่า
เป็นการสมควรที่จะเข้ามาช่วยเหลือโดยเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการ
เพราะเป็นองค์กรกลางการกุศล ได้รับความไว้วางใจจากสาธารณชนและวงการแพทย์
จึงได้เริ่มโครงการจัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะแห่งสภากาชาดไทย

"งานที่หนักที่สุดของเราคือการให้ข้อมูลที่ถูกต้องในเรื่องของการ
บริจาคอวัยวะ และการปรับทัศนคติให้คนไทยเข้าใจให้ถูกต้อง
โดยเฉพาะเรื่องภาวะสมองตาย 15
ปีมานี้เรามีผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะราวๆ 500,000 ราย
แต่มีคนไข้ได้รับการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะไปได้แค่ 35 ราย
ที่ตัวเลขผู้ป่วยได้รับการเปลี่ยนถ่ายน้อยทั้งที่มีผู้บริจาคมาก
ก็เพราะว่าการตัดเอาอวัยวะจากผู้บริจาคออกมาเปลี่ยนให้ผู้ที่กำลังรอนั้น
ต้องทำตอนที่ผู้บริจาคอยู่ในภาวะสมองตายเท่านั้น
คือเสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่นไม่ได้ นอกจากสมองตายแต่เพียงอย่างเดียว"

"เรา ทราบว่าการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักนั้นเป็นภาวะที่ยากจะทำได้
แต่ผู้ป่วยสมองตายส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยออกซิเจน
หรืออยู่ในสภาพของเจ้าชายนิทรา ไม่มีโอกาสฟื้นกลับมาได้เหมือนเดิม
ทางการแพทย์ถือว่าผู้ป่วยสมองตายคือผู้ป่วยที่เสียชีวิตแล้ว
แต่สำหรับญาติพี่น้องเราเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำให้เขาเข้าใจ
ได้ว่า ร่างของบุคคลอันเป็นที่รักที่นอนมีลมหายใจนั้นเป็นผู้ที่เสียชีวิตแล้ว
ซึ่งถือเป็นงานหลักของเราอีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจกับญาติว่าผู้
ป่วยเสียชีวิตแล้ว แม้จะมีลมหายใจ และต้องให้ข้อมูลว่า
สิ่งที่ยังเหลืออยู่ในร่างกายของผู้ป่วยนั้น
จะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยที่กำลังรอการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ
เราเคยทำได้สูงสุดคือ 1 ผู้บริจาค
เราเปลี่ยนให้ผู้ป่วยที่กำลังรอรับอวัยวะได้ถึง 7 ราย"

แพทย์ พยาบาล ได้รับการสนับสนุนจากกองบินตำรวจ การบินไทย และนกแอร์
ในการเดินทางไปเก็บอวัยวะ
** วิธีการทำงานของทีมแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะ
นพ.วิศิษฏ์อธิบายถึงการทำงานของทีมแพทย์ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะว่า
หลังจากที่ผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะเสียชีวิตลงด้วยภาวะสมองตาย
หากแพทย์เจ้าของไข้หรือญาติทราบความจำนงในการบริจาคอวัยวะของผู้ตาย
ก็จะโทรศัพท์มาบอกทีมแพทย์ที่รับผิดชอบการเก็บและปลูกถ่ายอวัยวะ

"เรื่องนี้ละเอียดอ่อน คือเราจะบอกผู้บริจาคว่า
คุณต้องถือบัตรและคุณต้องบอกญาติถึงความตั้งใจของคุณ
ถ้าเกิดเหตุร้ายเป็นอะไรไปเขาจะได้ทำตามความประสงค์ของคุณ
แต่ก็มีที่ไม่ได้บอกญาติไว้หรือญาติทำใจไม่ได้
ไม่อนุญาตให้เราตัดอวัยวะมาปลูกถ่าย เราก็ไม่เอา คือมันละเอียดอ่อน
เราเข้าใจ ก็เคยมีเคสแบบนี้บ้าง
แล้วก็มีอีกไม่น้อยที่เจ้าตัวไม่ได้แสดงความจำนง แต่ญาติทำใจได้
และแจ้งบริจาคเลยหลังจากสมองตายก็มี"

" ในส่วนกรณีต่างจังหวัด
หากผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะไปเสียชีวิตในต่างจังหวัด
เมื่อทางโรงพยาบาลที่รับตัวคนไข้ไว้แจ้งเรามา
เราส่งทีมแพทย์ไปผ่าตัดและหิ้วอวัยวะมาเอง
โดยเราได้รับการสนับสนุนจากกองบินตำรวจ การบินไทย และนกแอร์
ในการขนส่งทีมแพทย์และพยาบาลรวม 7 คนไปยังจังหวัดนั้นๆ ผ่าตัดเอาอวัยวะ
และหิ้วใส่น้ำยาถนอมอวัยวะเอากลับมาผ่าตัดเปลี่ยนให้ทันที
เพราะอวัยวะที่ตัดมานั้นมีเวลาจำกัด โดยหัวใจ อยู่ได้แค่ 4 ชั่วโมง ตับ12
ชั่วโมง ไต 24 ชั่วโมง ทีมแพทย์ต้องทำงานแข่งกับเวลา"

(จากซ้าย)ธันยพรรษ เกตุคง (แม่ผู้บริจาค)-นพ.วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์-น้องออย
(ผู้เปลี่ยนหัวใจ) น้องออยได้มอบโมบายทำเองแก่นพ.วิศิษฏ์
** บุญครั้งใหญ่ของลูกชาย จากใจแม่ผู้เสียสละ
ธันยพรรษ เกตุคง มารดาของ "น้องกฤษฎ์" หรือ นายณัฐกฤษฎ์
พงษ์ประเสริฐ ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนราวสะพานจนศีรษะได้รับบาดเจ็บ
รุนแรง สมองตาย กล่าวทั้งน้ำตาเมื่อต้องย้อนความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรชายคนโตและคนเดียว
ของครอบครัว

ศรีริต้า เจนเซ่น ดารานักแสดงผู้บริจาคอวัยวะ
วันเกิดเหตุเราได้รับแจ้งจากโรงพยาบาล ตอนที่เราเห็นสภาพลูก
ลูกก็โคม่าแล้ว ไม่รู้สึกตัว คุณหมอดีมาก
คุณหมอบอกว่าเราจะรักษาลูกของคุณแม่อย่างเต็มที่ รักษาให้ดีที่สุด
แต่อาการน้องสาหัสมาก ต่อมาคุณหมอก็แจ้งว่าน้องกฤษฎ์สมองตาย
คือน้องจะไม่ฟื้นอีกแล้ว ถ้าฟื้นก็คือเป็นเจ้าชายนิทรา
ไม่มีโอกาสจะกลับมาเหมือนเดิมได้ และคุณพยาบาลก็บอกแม่ว่า ถ้าแม่ทำใจได้
ทำบุญให้น้องเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการบริจาคอวัยวะให้ผู้ป่วยคนอื่นเถิด

ตอนนั้นมันผ่านหูไป เรารับไม่ได้ว่าลูกเราตายแล้ว
เราเห็นเขาก็ยังหายใจอยู่ หลังจากนั้นอีกครึ่งวันเราก็ไล่เดินถามหมอ
ถามพยาบาล และถามคนที่เดินผ่านเราไปทุกคนว่า
สมองตายนี่คือตายแล้วจริงหรือ มันทำใจลำบาก

"น้อง กฤษฎ์เป็นเด็กผู้ชายคนเดียวในบ้าน ที่บ้านมีแม่ มีน้องสาว
และก็มีคุณยาย บ้านเราเลี้ยงลูกอย่างเพื่อน มีอะไรก็พูดคุยกัน
แต่ก็เข้าใจว่าน้องเป็นเด็กผู้ชาย ก็จะมีติดเพื่อน ติดรุ่นพี่
แต่พอผ่านไป 4-5 ชั่วโมงเราก็เริ่มตั้งสติและบอกตัวเองได้ว่า
ลูกเราตายแล้วจริงๆ นะ แม่กับน้องสาวของน้องกฤษฎ์ก็เลยเดินไปที่เตียงเขา
แล้วก็บอกเขาว่า แม่ขออนุญาตนะลูก กฤษฎ์ไม่ทันบวชให้แม่ก็ไม่เป็นไร
แต่แม่ขอได้ไหม ขออวัยวะของลูกไปต่อชีวิตคนอื่น
และขอให้ลูกเข้มแข็งอีกนิด รอทีมแพทย์เขามาเก็บอวัยวะก่อน
อย่าเพิ่งหมดลมหายใจ ซึ่งจนทีมแพทย์มา เขาก็รอนะ
รอจนทีมแพทย์มาเก็บอวัยวะได้" แม่ผู้เสียสละกล่าวปนสะอื้น

คาร่า พลสิทธิ์ ดารานักแสดง-พิธิกรผู้บริจาคอวัยวะ
ธันยพรรษได้กล่าวฝากถึงพ่อแม่ผู้ปกครองและญาติผู้เสียชีวิตจากสมอง
ตาย ว่าเธอมีความรู้สึกตื้นตันมาก ที่ลูกชายผู้จากไปของเธอ
ได้สละอวัยวะช่วยเหลือผู้ป่วยที่กำลังรอคอยอย่างมีความหวังได้หลายชีวิต

"ลูก เราจากไป แต่อวัยวะของลูกเรากำลังช่วยคนอื่นให้มีชีวิต
ไม่มีบุญไหนที่เขาจะทำได้มากไปกว่านี้
เป็นบุญครั้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขา"

"น้องออย" ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนหัวใจ คนไข้ในพระมหากรุณาในสมเด็จพระบรมฯ
** ชีวิตใหม่และหัวใจดวงใหม่
"น้องออย" น.ส.พชรพร จงจิตต์ วัย 15 ปี
ผู้ทุกข์ทรมานอยู่กับอาการป่วยโรคหัวใจที่ทำให้เธอแทบไม่ได้ไปเรียนหนังสือ
อาการป่วยของน้องออยกำเริบมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุที่มากขึ้น
จนสุดท้ายแพทย์เจ้าของไข้ลงความเห็นว่า
ทางเดียวที่จะช่วยชีวิตน้องออยไว้ได้คือการเปลี่ยนหัวใจ
แต่ครอบครัวของเธอไม่มีเงินมากขนาดนั้น

"สุด ท้ายเราหวังพระบารมีเป็นที่พึ่ง
คุณแม่เขียนจดหมายไปทูลเกล้าฯ ถวายขอพระราชทานความช่วยเหลือ
ซึ่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระเมตตาหนู
รับหนูเป็นคนไข้ในพระองค์ ต่อมาหนูก็ได้รับบริจาคหัวใจ
ซึ่งเพิ่งผ่าตัดไปเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เอง"
น้องออยพูดหอบๆ เธอไม่สามารถให้สัมภาษณ์ได้มากนักเนื่องจากร่างกายยังคงเหนื่อยล้าจากการผ่า
ตัด แต่เธอก็ได้ทิ้งท้ายว่า รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ
และขอขอบคุณในความเสียสละอย่างยิ่งผู้เสียชีวิตที่มอบหัวใจให้เธอ
ทำให้เธอมีชีวิตใหม่เช่นนี้

แอน ทองประสม ก็มาบริจาคอวัยวะ
สำหรับผู้สนใจจะทำบุญ
สามารถโทรศัพท์ไปยังศูนย์รับบริจาคอวัยวะได้ที่ 1666 หรือ 02-2564045-6


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000042370

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น