++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

ความเป็นแกนนำหรือคนทำสื่อ : เหตุให้สนธิถูกยิง?

โดย สามารถ มังสัง    


จากวันนี้ย้อนหลังไปถึงวันที่ 8 เดือนเดียวกันนี้ ประชาชนคนไทยได้พบเหตุการณ์สะเทือนขวัญเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ แต่ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด และเชื่อว่าคนไทยที่รักประเทศ และรักคนไทยด้วยกันไม่ต้องการให้เกิดขึ้นมีอยู่ 3 เหตุการณ์ใหญ่ คือ
      
       1. เหตุการณ์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งนำโดย นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง บุกโรงแรมอันเป็นที่จัดประชุมอาเซียน และทำให้รัฐบาลประกาศเลื่อนการประชุมออกไปไม่มีกำหนด
      
       2. เหตุการณ์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงบุกทุบรถนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และเป็นเหตุให้เลขาฯ นายกฯ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ได้รับบาดเจ็บ ที่กระทรวงมหาดไทย
      
       3. เหตุการณ์ที่คนร้ายขนอาวุธสงครามยิงถล่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เอเอสทีวี และแกนนำคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในขณะที่เดินทางมาจัดรายการทางเอเอสทีวี เมื่อเวลาเช้าตรู่ของวันศุกร์ที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา และจากการลอบทำร้ายในครั้งนี้ทำให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะต้องผ่าตัดเอาเศษโลหะออก และระบายเลือดที่ค้างอยู่ที่เยื่อสมองออก คนขับรถได้รับบาดเจ็บที่แขนขวาและศีรษะต้องผ่าตัดหลายครั้ง คนสุดท้ายคือผู้ติดตามได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่แขน
      
       แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ทั้งๆ ที่ถ้าดูสภาพรถจากการถูกถล่มยิงด้วยอาวุธสงครามแล้วพูดได้คำเดียวว่า โอกาสที่จะรอดชีวิตเป็นไปได้ยาก และจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้วงการพระเครื่อง และวัตถุมงคลชนิดต่างๆ พากันให้ความสนใจ และถามไถ่กันมาไม่ขาดสายว่าห้อยพระอะไร รวมไปถึงมีวัตถุมงคลชนิดไหนจึงรอดชีวิตมาได้
      
       ไม่ว่าทั้ง 3 คนจะห้อยพระเครื่องหรือแขวนวัตถุมงคลอะไรหรือไม่อย่างไร การรอดชีวิตของเหยื่อกระสุนในครั้งนี้ ถ้ามองในแง่คำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็ต้องบอกว่า คนทำดี ความดีคุ้มครอง โดยนัยแห่งคำสอนเดียวกันนี้ ก็เข้าใจได้ว่าคนทำชั่วความดีไม่คุ้มครอง และนอกจากไม่คุ้มครองแล้ว การที่คนไม่ทำดีอีกทั้งยังทำชั่วด้วยแล้ว แน่นอนว่าจะต้องได้ผลแห่งกรรมชั่ว คนประเภทนี้ต่อให้ห้อยพระหรือแขวนพระเต็มคอหรือรอบเอวก็ไม่สามารถพ้นไปได้ ก็ด้วยผลแห่งกรรมชั่วให้ผลนั่นเอง
      
       จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 3 ประการนี้ เป็นผลให้ประเทศที่ประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจซบเซาอยู่แล้วต้องซบเซายิ่งขึ้น ทั้งนี้ด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้
      
       1. ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ทั้ง 3 ประการดังกล่าวข้างต้น ประเทศไทยก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจซบเซาอันสืบเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจโลก ทำให้ประเทศไทยที่ต้องพึ่งการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอุตสาหกรรม และเมื่อผลิตแล้วก็หารายได้จากการส่งออกไปขายต่างประเทศเป็นรายได้เข้ามา ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจถดถอยกำลังซื้อที่เคยมีก็ลดลง จึงเป็นเหตุให้การส่งออกลดลงไปด้วยตามสัดส่วน และเมื่อภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกได้รับผลกระทบ ประเทศไทยก็หวังพึ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่เมื่อเกิดเหตุ 3 ประการที่กล่าวมาการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบ จะเห็นได้จากการยกเลิกการเดินทางเข้าประเทศไทย และเป็นเหตุให้แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เหงาหงอยกันเป็นแถวๆ
      
       ด้วยเหตุนี้ 3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเท่ากับว่าเป็นการซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจให้เลวร้ายยิ่งขึ้น
      
       2. ปัญหาการเมืองที่วุ่นวาย อันเนื่องมาจากพฤติกรรมของนักการเมือง ทั้งในส่วนของปัจเจกบุคคลอันมาจากเป็นผู้ด้อยความรู้ ความสามารถ และขาดคุณธรรม หรือแม้กระทั่งในรายที่มีความรู้ ความสามารถแต่ขาดจริยธรรมก่อความเสียหายให้แก่ประเทศชาติโดยรวม ด้วยการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองด้วยการใช้เงินซื้อเสียง และเมื่อมีตำแหน่งทางการบริหารก็ถือโอกาสถอนทุนด้วยการทุจริต การโกงบ้านกินเมือง ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายจึงต้องออกมาขับไล่ ดังจะเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมในกรณีของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวอย่าง
      
       และในส่วนของพฤติกรรมทางการเมืองโดยรวม หรือพฤติกรรมองค์กรทางการเมือง อันได้แก่ พรรคการเมือง ก็ก่อความเสียหาย และสร้างเหตุวุ่นวายไม่น้อยไปกว่าพฤติกรรมของปัจเจกบุคคล กล่าวคือ พรรคการเมืองส่วนใหญ่มิได้มีสถานะเป็นสถาบันทางการเมือง แต่เป็นเหมือนบริษัทจำกัดทางการเมืองที่มีนายทุนคนเดียวหรือหลายคนตั้งขึ้น แล้วรวบรวมบุคลากรทางการเมืองมาอยู่รวมกัน โดยอาศัยอำนาจเงินเป็นหลักในการบริหารจัดการ
      
       ดังนั้น กิจกรรมทางการเมืองที่พรรคการเมืองประเภทนี้ดำเนินก็คือ ธุรกิจทางการเมืองเพื่อหารายได้คืนให้แก่นายทุนพรรคเป็นส่วนหลัก และแถมเศษเสี้ยวแห่งรายได้เข้าพกเข้าห่อของแต่ละคนไปพร้อมๆ กัน
      
       ดังนั้น เมื่อนายทุนของพรรคประสบเคราะห์กรรมทางการเมืองอันเนื่องมาจากการกระทำผิด กฎหมาย บุคลากรของพรรคการเมืองประเภทนี้ก็ตกอยู่ในภาวะไร้ทิศทางต้องวิ่งเต้นหานาย ทุนใหม่ หรือที่ยังจงรักภักดีต่อนายทุนเก่าก็พยายามวิ่งเต้น และดำเนินกิจกรรมทางการเมืองตามคำบงการของนายทุนเก่า และนี่เองคือจุดด้อยและจุดดับของการเมืองไทยที่เป็นอยู่ในขณะนี้
      
       เมื่อการเมืองทั้งในส่วนของปัจเจกบุคคล และนิติบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวมาแล้ว ไหนเลยจะมีความมั่นคงและเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุน รวมไปถึงการสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวมาประเทศไทยได้ เฉกเช่นกับประเทศที่นักการเมือง และพรรคการเมืองมีคุณธรรม และช่วยกันทำให้การเมืองมีเสถียรภาพเพื่อดึงดูดการลงทุน และนักท่องเที่ยวเข้าประเทศสร้างรายได้จากธุรกิจประเภทนี้
      
       จากวันที่ 8 เมษายน อันเป็นวันที่กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาชุมชน และติดตามมาด้วยเหตุการณ์รุนแรงทั้ง 3 เหตุการณ์ จนถึงวันนี้ยังไม่มีอะไรบ่งบอกที่ชัดเจนว่าเหตุการณ์ในทำนองที่เกิดแล้วจะ ไม่เกิดขึ้นอีกในประเทศภายใต้อำนาจรัฐที่อ่อนแอ และประชาชนที่แตกแยก กองทัพที่ไร้เอกภาพและขาดวินัยถึงขั้นอาวุธสงครามหลุดรอดออกจากคลังแสงมา เป็นเครื่องมือทำร้ายประชาชน ดังที่เกิดขึ้นกับกรณีของนายสนธิ ลิ้มทองกุล
      
       แต่อย่างไรก็ตาม การที่ทางรัฐบาลเริ่มตื่นตัวและใช้อำนาจทางด้านบริหารเข้ามาจัดการโยกย้าย เปลี่ยนแปลงทีมงานสอบสวนคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล และจากผลงานการสอบสวนของทีมงานตำรวจที่เข้ามาใหม่ทำให้คดีคืบหน้าไปพอสมควร อย่างน้อยการเปิดเผยว่ากระสุนที่ใช้ยิงส่วนหนึ่งหลุดรอดมาจากกองทัพ ก็พอจะมีความหวังว่าคดีนี้มีโอกาสสาวถึงตัวผู้ต้องหาได้ไม่ยาก แต่จะสามารถนำตัวผู้ต้องหามาลงโทษได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องดูกันต่อ ไป
      
       อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของผู้เขียนแล้ว เหตุที่นายสนธิถูกลอบยิงน่าจะอนุมานได้ใน 2 สาเหตุ คือ
      
       1. ในฐานะคนทำสื่อที่ออกมาเปิดเผยทางเอเอสทีวีเกี่ยวกับพฤติกรรมไม่ดีของคนบาง คน จนถึงขั้นทำให้เกิดความโกรธ และผูกอาฆาตมุ่งร้ายทำลายชีวิต
      
       2. ในฐานะเป็นแกนนำคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ต่อสู้กับบุคคลและกลุ่มบุคคลที่ทุจริตคิดมิชอบทำลายสถาบันหลักของประเทศ จนทำให้คนกลุ่มที่ว่านี้ได้รับผลกระทบทั้งทางสังคมและกฎหมาย ก็น่าจะเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเคียดแค้นและมุ่งร้ายได้
      
       แต่ ใน 2 สาเหตุที่ว่านี้ ถ้าจะให้ปักใจเชื่อเพียงประการเดียว ผู้เขียนเชื่อว่าเหตุประการที่ 1 มีน้ำหนักมากที่สุด ส่วนเหตุข้อที่ 2 ถ้าจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือแม้ว่ามีเหตุอื่นๆ นอกจากนี้ ก็เป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000047092

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น