สธ. เตือนผู้สูงอายุเดินทางเลี่ยงนั่งกระบะรถ
ชี้อาจทำให้กระดูกสันหลังทรุด หากกระดูกหักจะรักษายาก กระดูกติดช้า รอบ 6
วันเทศกาลปีนี้ พบผู้สูงอายุทั่วประเทศได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรกว่า
1,000 ราย ชี้การรักษาค่อนข้างยุ่งยาก โดยเฉพาะในรายกระดูกหัก
กระดูกจะติดช้า อาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
เนื่องจากผู้สูงอายุกว่า ร้อยละ 20 มีโรคประจำตัว
นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า
ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งมีวันหยุดยาวหลายวันติดต่อกันมีความเป็นห่วงความ
ปลอดภัยจากการเดินทางของประชาชน โดยเฉพาะอุบัติเหตุจราจร
เนื่องจากปริมาณรถจะมากกว่าช่วงปกติ
จึงเพิ่มความเสี่ยงอุบัติเหตุจราจรสูงขึ้นไปด้วย
ทั้งนี้ กลุ่มที่น่าห่วง คือ ผู้สูงอายุ การเดินทางในฤดูร้อน
ผู้สูงอายุควรมีการเตรียมตัวและมีข้อควรระวังหลายประการ ประการแรกคือ
ผู้สูงอายุทั้งชายและหญิง มักมีปวดปัสสาวะบ่อย ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ
เนื่องจากจะทำให้เกิดปัญหาทางเดินปัสสาวะอักเสบติดเชื้อได้ ประการที่ 2
การเดินทางโดยรถยนต์ ผู้ขับขี่ซึ่งมักเป็นลูกหลาน
ต้องระมัดระวังเรื่องความเร็วและการกระแทกกระเทือนของรถ
หากมีผู้สูงอายุนั่งมาด้วย เนื่องจากถ้าอายุมากๆ
อาจมีปัญหากระดูกเปราะบาง กระดูกพรุน โดยเฉพาะบริเวณกระดูกสันหลัง
ผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงนั่งบริเวณกระบะของรถ
เนื่องจากหากได้รับการกระทบกระเทือนแรงๆ อาจทำให้กระดูกสันหลังทรุดตัวได้
ถ้าหากจำเป็นต้องให้ผู้สูงอายุนั่งที่บริเวณกระบะรถ
จะต้องขับรถด้วยความระมัดระวังมาก โดยเฉพาะเมื่อขับผ่านหลุม
ลูกระนาดตามถนนในตรอกซอยต่างๆ
นพ.ปราชญ์ กล่าวต่อว่า ในรอบ 6 วันเทศกาลสงกรานต์ปีนี้
ทั่วประเทศมีรายงานผู้สูงอายุบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจร
และนำส่งเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวน 1,070 ราย
มีทั้งอาการรุนแรงและไม่รุนแรง ซึ่งการรักษาพยาบาลค่อนข้างยุ่งยาก
เนื่องจากผู้สูงอายุประมาณร้อยละ 20 จะมีโรคประจำตัวที่สำคัญ เช่น
โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคดังกล่าวจะมีผลต่อการรักษาด้วย
โดยเฉพาะหากทำการผ่าตัด อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายมากกว่าคนวัยหนุ่มสาว
ซึ่งในรายที่มีกระดูกหักจะต้องใช้เวลาในการรักษานานกว่าคนปกติ เช่น
หากกระดูกข้อมือหัก ใช้เวลารักษาประมาณ 2 เดือน
ขณะที่วัยรุ่นใช้เวลาประมาณ 1 เดือน หรือกระดูกต้นขาหักใช้เวลาประมาณ 5
เดือน เนื่องจากกระดูกของผู้สูงอายุจะบางและพรุน
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000042602
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น