++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

การใช้ก๊าซในโครงการไทย-มาเลเซีย : คำเตือนที่เป็นจริง

โดย ประสาท มีแต้ม

1. คำนำ

เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ตัดสินใจว่าจะอ่านบทความนี้ต่อไปหรือไม่
ผมขอนำประเด็นสำคัญมาเสนอก่อน
ประเด็นคือการวางแผนผลิตก๊าซที่ผิดพลาดทำให้คนไทยทุกคนต้องควักเงินใน
กระเป๋าเพิ่มขึ้น

จากรายงานประจำปี 2551 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พบว่า ในปี
2551 บริษัท ปตท. ต้องจ่ายค่า "ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย"
ก๊าซจากโครงการไทย-มาเลเซีย
(ซึ่งเป็นโครงการสร้างความขัดแย้งมาตั้งแต่รัฐบาลชวน หลีกภัย และทักษิณ
ชินวัตร จนถึงปัจจุบัน) เป็นจำนวน 13,716 ล้านบาท

นอกจากนี้ค่าไม่ซื้อก็ต้องจ่ายจากโครงการท่อก๊าซไทย-พม่า(ที่คาราคาซังกัน
กันมาตั้งแต่ปี 2541) ก็ยังเรียกคืนได้ไม่หมด
ยังคงเหลืออีกหนึ่งหมื่นกว่าล้านบาท รวมทั้งสองรายการทาง ปตท.
ต้องจ่ายไปแล้วถึงประมาณ 2 หมื่น 4 พันล้านบาท

2. ค่าไม่ใช้ก็ต้องจ่ายคืออะไร?

ในการซื้อขายก๊าซระหว่างผู้ผลิต (ผู้ขุดในทะเล)
กับผู้ซื้อมาขายต่อ (คือ ปตท.-ผูกขาดรายเดียวในประเทศ)
ต้องมีสัญญาที่เรียกว่า "ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย" กล่าว
คือสัญญาต้องบังคับไว้ล่วงหน้าว่าในแต่ละปีผู้ซื้อจะต้องซื้อก๊าซจำนวน
เท่าใด ถ้าหากผู้ซื้อมีความจำเป็นที่ไม่สามารถรับซื้อได้ครบตามสัญญา
ผู้ซื้อก็ต้องจ่ายเงินให้ครบตามจำนวนที่ได้ระบุไว้
เมื่อใดก็ตามที่ผู้ซื้อมีความจำเป็นมากขึ้น (เกินกว่าที่ระบุในสัญญา)
ส่วนที่เกินก็ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เพราะถือว่าได้จ่ายไปแล้ว

ปตท.เรียกเงินส่วนนี้เพื่อให้ฟังดีขึ้นว่า
"เงินจ่ายล่วงหน้าซื้อก๊าซ" แต่สาระก็เหมือนที่ผมกล่าวมาแล้วนั่นแหละครับ

โครงการท่อก๊าซไทย-พม่า ปตท.ก็ต้องเสียเงินส่วนนี้มาตลอด
นับตั้งแต่ปี 2541 ที่เริ่มโครงการ ในปี 2544
ค่าไม่ใช้ก็ต้องจ่ายได้สูงถึง 29, 257.9 ล้านบาท เงินจำนวนนี้ก็ค่อยๆ
ลดลงเมื่อมีการใช้มากกว่าจำนวนที่ได้ระบุไว้ในสัญญา ในปี 2551
เงินจำนวนนี้ได้ลดลงมาอยู่ที่ 10,339.89 ล้านบาท

ถ้าถามว่า จ่ายเงินล่วงหน้าแล้วเสียหายตรงไหน?
คำตอบก็คือค่าดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาส สมมติว่าโดยเฉลี่ย
ค่าไม่ซื้อก็ต้องจ่ายมีค่าคงที่คือ 2 หมื่นล้านบาท
ถ้าอัตราดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 6 ต่อปี ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
เงินรวมก็จะเป็นประมาณ 3 หมื่น 6 พันล้านบาท

ไม่ใช่น้อยเลยเมื่อเทียบกับกำไรหลังการแปรรูปปีละ 1
แสนล้านบาทของ ปตท. ทั้งหมด

สำหรับโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย
ปีที่ผ่านมาเพิ่งเป็นปีแรกของสัญญารับก๊าซที่ผู้ซื้อคือ ปตท. จะต้องรับ
ในปีต่อๆ ไปจะเสียเพิ่มขึ้นแค่ไหน ผมจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้
แต่จะขอย้อนอดีตให้ท่านผู้อ่านทราบว่า "ภาคประชาชน"
และตัวผมเองได้เคยเตือนว่าอย่างไรบ้าง

3. คำเตือนในอดีต

โปรดอย่าคิดว่าเป็นการ "ฟื้นฝอยหาตะเข็บ" หรือหาเรื่อง ปตท.
แต่ถ้าเรายังยืนยันที่จะสร้างสังคมใหม่หรือ "การเมืองใหม่"
เรื่องนี้คือบทบาทที่จำเป็น (แต่ยังอ่อนด้อยอย่างมาก) ของสังคมไทย

โครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย
ได้รับการคัดค้านทั้งจากชาวบ้านในพื้นที่
กรรมาธิการสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภา นักวิชาการกว่า 1,300 คนทั่วประเทศ
ขณะเดียวกันผู้คัดค้านบางส่วนก็ได้รับการประณามจากสื่อมวลชนบางส่วนและสังคม
ว่า "ผู้คัดค้านเป็นพวกขัดขวางการพัฒนา พวกรับเงินต่างชาติ"

เมื่อเดือนมกราคมปี 2545 พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ลงมาพบกลุ่มผู้คัดค้านถึงพื้นที่โครงการ
พร้อมบอกกับชาวบ้านว่า
"ไม่ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไรจะต้องอธิบายให้สังคมเข้าใจได้"

ผมและเพื่อนอาจารย์อีก 3 ท่านได้มีโอกาสไปชี้แจงให้นายกฯ
ฟังจนดึก ผมรู้สึกว่านายกฯ เห็นด้วยกับการนำเสนอของ
"นักวิชาการกลุ่มคัดค้าน"

หลังจากนั้นอาจารย์ทั้ง 4 คนก็ได้รับเชิญจากคณะทำงานของนายกฯ
ทักษิณ ชินวัตร (หรือคณะ "53 นายพล")
ให้ไปร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในฐานะฝ่ายคัดค้านกับข้าราชการระดับสูงที่
เกี่ยวข้องอีกหลายกรม รวมทั้ง ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์
เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติในขณะนั้นด้วย

การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นอย่างเข้มข้นนานกว่า 7 ชั่วโมง
ก่อนปิดการประชุม พลเอกชัยศึก เกตุทัต
(ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการของ ปตท.
ที่มีเบี้ยประชุมครั้งละกว่า 4 หมื่นบาท)
ในฐานะประธานได้เปิดโอกาสให้ข้าราชการคนอื่นๆ
ที่ร่วมรับฟังด้วยแสดงความเห็นบ้าง
ปรากฏว่ามีข้าราชการสายวิชาการท่านหนึ่งและเพียงท่านเดียวเท่านั้นได้ยกมือ
แสดงความคิดเห็นอย่างชัดถ้อยชัดคำสั้น ๆ ว่า

"เรื่องก๊าซผมเห็นด้วยกับฝ่ายคัดค้านเพราะมีเหตุผลและยังไม่มีความจำเป็นในขณะนี้"

ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีคำพูดใดๆ อีกจากท่านประธานฯ นอกจาก "ปิดประชุม"

ผมทราบในเวลาต่อมาว่า
ข้าราชการท่านนี้ได้ลาออกจากราชการหลังจากนั้นไม่นานนัก
เรื่องที่ผมนำมาเล่าทั้งหมด ไม่ปรากฏว่าเป็นข่าวในสื่อมวลชน
ถ้าจะถามเหตุผลว่าเพราะอะไรก็คงคิดได้ไม่ยากนะครับ

โดยสรุป
สิ่งที่นักวิชาการฝ่ายคัดค้านได้เตือนไว้สำหรับโครงการท่อส่งก๊าซไทย-พม่าและ
ไทย-มาเลเซียก็เป็นจริงตามที่กล่าวแล้ว

อนึ่ง เท่าที่ผมค้นพบจากอินเทอร์เน็ตทราบว่า ปตท.
จะสร้างท่อก๊าซไทย-พม่าอีกเส้นหนึ่ง เป็นเส้นที่สามให้แล้วเสร็จในปี 2555
จะซ้ำรอยเดิมหรือไม่ก็ต้องฝากให้สังคมช่วยกันติดตามนะครับ

4. ยังมีความเข้าใจผิดพลาดในโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซียอีก

สังคมไทยถูกทำให้เชื่อโดยเจ้าของโครงการและหน่วยงานของรัฐว่า
โครงการท่อก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย
เป็นการนำก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างสองประเทศมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนา
ประเทศและพัฒนาภาคใต้
โดยมีการลงทุนกันฝ่ายละครึ่งและใช้ประโยชน์กันฝ่ายละครึ่งหรือที่เรียกกัน
สั้นๆ ว่า "50 : 50" แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ความจริงคือก๊าซในทะเลที่เป็นส่วนของไทยให้นำไปใช้ที่มาบตาพุด
ส่วนก๊าซของมาเลเซียให้นำมาแยกที่ประเทศไทยแล้วนำไปใช้ที่มาเลเซียผ่านแผ่น
ดินประเทศไทย แผนที่ข้างล่างนี้ (มาจากคำบรรยายของ ดร.คุรุจิต นาครทรรพ
รองปลัดกระทรวงพลังงาน 24 มีนาคม 2551) คงจะยืนยันในสิ่งที่ผมพูดได้

พื้นที่ในภาพที่เขียนว่า JDA
ทางขวามือด้านล่างคือแหล่งก๊าซที่ว่าครับ
ก๊าซของไทยไปตามท่อไปทางทิศเหนือผ่านแหล่ง ARTHIT
ไม่ได้มาขึ้นฝั่งที่สงขลาเห็นๆ กันอยู่

อนึ่ง มีการอ้างกันว่า
ก๊าซของไทยส่วนหนึ่งถูกนำมาใช้ที่โรงไฟฟ้าสงขลา
เรื่องนี้เป็นความจริงครับ แต่จริงไม่หมด
ในขณะที่ทีการดำเนินการสร้างท่อก๊าซ โรงไฟฟ้ายังไม่อยู่ในแผน
แผนสร้างโรงไฟฟ้ามาทีหลังเพื่อให้โครงการดูดีเท่านั้นเอง
แต่ก็สร้างผลกระทบเรื่องโรงไฟฟ้ามากเกินไปตามมาอีก (ไม่ขอกล่าวในที่นี้)
มีผู้ที่ติดตามเรื่องท่อก๊าซมานานคนหนึ่งบอกผมว่า
"ก๊าซที่นำมาใช้กับโรงไฟฟ้าเป็นก๊าซของไทยที่ไม่ได้ผ่านโรงแยกก๊าซ
แต่ต่อท่อตรงมาจากแหล่งในทะเล ไม่ใช่ท่อที่ผ่านไปมาเลเซีย"

เท็จจริงอย่างไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโปรดชี้แจงด้วย

5. ค่าผ่านท่อกับ "อำนาจมหาชนของรัฐ"

หลังจากศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินว่า ส่วนใดที่ทาง ปตท.
(ก่อนการแปรรูป) ได้ใช้ "อำนาจมหาชนของรัฐ" ไปเวนคืนที่ดิน
เมื่อแปรรูปแล้วให้ ปตท. คืนเป็นสาธารณสมบัติ

กล่าวเฉพาะ "โครงการไทย-มาเลเซีย"
ก็มีการใช้อำนาจมหาชนของรัฐเช่นกัน ท่อก๊าซวางทั้งในทะเล ทางหลวงแผ่นดิน
ฯลฯ ทาง ปตท. ก็ไม่ยอมคืน

ขณะเดียวกัน
เงินที่ได้จากค่าผ่านท่อนำก๊าซไปให้มาเลเซียใช้ซึ่งคิดเป็นประมาณ วันละ
29 ล้านบาท ก็ต้องแบ่งให้ทางมาเลเซียครึ่งหนึ่งอีกครึ่งหนึ่งให้กับบริษัท
ปตท.

เมื่อเร็วๆ นี้ ทาง ปตท.ได้ประกาศขึ้นค่าผ่านท่อทั้งประเทศ
มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 เป็นต้นไปจากเดิมคิดในอัตรา 19.74
บาทต่อล้านบีทียู เป็น 21.76 บาทต่อล้านบีทียู
หรือเพิ่มขึ้น 2.02 บาท โดยคิดผลตอบแทนการลงทุน (ROE)
สูงกว่าค่ามาตรฐาน คือ คิดถึงร้อยละ 18 และคิดต้นทุนเงินกู้ที่อัตรา 10.5
ต่อปี (แทนที่จะเป็นร้อยละ 6 อย่างที่ผมสมมติ)

ค่าผ่านท่อในอัตราใหม่นี้ ทำให้เกิดต้นทุนในค่าไฟฟ้าถึง 18
สตางค์ต่อหน่วยไฟฟ้า การกำหนดผลตอบแทนสูงเกินกว่าธุรกิจอื่นๆ
และการขึ้นค่าผ่านท่อดังกล่าวย่อมส่งผลให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นอย่างแน่นอน

สิ่งที่ติดใจผมมากในขณะนี้ก็คือ "การใช้อำนาจมหาชนของรัฐไทย"
ไปเอื้อประโยชน์ให้กับประเทศมาเลเซียนะซิ มันเป็นไปได้อย่างไร
ใครก็ได้ช่วยตอบผมที!


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000042502

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น