++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

ปาฏิหาริย์สนธิรอดตาย!

โดย สิริอัญญา    


ประเทศไทยและคนไทยกำลังตกอยู่ในชะตากรรมร้ายที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในสภาพ ประหนึ่งเป็นมิคสัญญียุค ที่ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงแผ่ปกคลุมไปทั่วดินแดนแหลมทองแห่งนี้ ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
      
       สภาพที่บ้านเมืองไร้ขื่อแปปรากฏชัดขึ้นทุกที กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายดูเหมือนว่าได้กลายเป็นความว่างเปล่าที่ไม่ทัน กาล ไม่มีผู้ใดเกรงกลัว และไร้ผลบังคับที่แท้จริง
      
       กระบวน การยุติธรรมที่ยืดยาด ไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ความเป็นนิติรัฐของประเทศพังพินาศอย่างย่อยยับ ที่ถึงวันนี้ก็หามีผู้ใดสำนึกรับผิดชอบหรือคิดอ่านแก้ไขแต่ประการใด
      
       เหตุการณ์จลาจลที่พัทยาในการประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นเหตุการณ์ขวัญ ผวาที่ปรากฏต่อสายตาของผู้นำชาติสมาชิก และบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก เป็นข่าวคราวที่ครึกโครมไปทั่วโลกแล้ว
      
       ความเชื่อมั่นของบรรดาชาติอาเชียนและบรรดาประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่อความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประเทศไทย ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ
      
       เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตำตาและต่อหน้าต่อตา ที่ไม่สามารถใช้ถ้อยคำหรือเหตุผลอื่นใดไปลบล้างได้อีก
      
       ความ พินาศจากการประชุมสุดยอดอาเซียนต้องล่มลงผ่านไปเพียงวันเดียว ก็เกิดเหตุจลาจลเพลิงขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และเกิดความวุ่นวายขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในจังหวัดภาคเหนือและภาคอีสาน
      
       สภาพบ้านป่าเมืองเถื่อนได้ถูกถ่ายทอดเป็นข่าวสารออกไปทั่วโลก เห็นประจักษ์ชัดถึงสภาพที่ไร้ความปลอดภัยในบ้านเมืองของเรา และทำให้บรรดานักท่องเที่ยวทั่วโลกแม้กระทั่งนักลงทุนต้องขวัญหนีดีฝ่อ
      
       รัฐบาลได้อาศัยอำนาจตามกฎหมายพิเศษเข้าหยุดยั้งความรุนแรงอย่างได้ผล เรียกคะแนนกลับคืนมาได้บ้าง แต่ยังไม่สามารถชะล้างความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งต่อนานาชาติและต่อคนไทย ทั้งประเทศ
      
       ความเป็นผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปรากฏชัดในเหตุการณ์ระงับความรุนแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จนเป็นที่กล่าวขานและสดุดีของชาวโลกและคนไทยทั้งประเทศ
      
       ก่อ สภาพการนำที่เข้มแข็งตามที่เรียกว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” ขึ้น โดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน และเอื้ออำนวยต่อการใช้ภาวะผู้นำที่เกิดขึ้นนั้นเข้าแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้ ลุล่วงไป
      
       ในวันนี้สภาพความเป็นผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังต้องบำเพ็ญบารมีธรรมต่อไป ในการแก้ไขปัญหาชาติที่กำลังเผชิญหน้าอยู่อย่างยากเข็ญ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาการเมือง
      
       ในวันนี้รัฐบาลตระหนักได้ดีแล้วว่า หากไม่แก้ไขปัญหาความมั่นคงก่อนก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ซึ่งนับว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องและเอื้ออำนวยต่อการฟื้นฟูชาติบ้านเมือง
      
       แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดซ้ำเติมขึ้นมาอีก! นั่นคือเหตุการณ์ลอบทำร้ายคุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยใช้อาวุธสงครามนานาชนิดกระทำอย่างอุกอาจใจกลางพระนคร
      
       และ มีพฤติกรรมตระเตรียมการไว้ก่อนอย่างแยบคาย ไม่ว่าการเกาะติดเป้าหมายอย่างแม่นยำ และการเตรียมการทำลายพยานหลักฐานไว้ล่วงหน้า ดังที่ปรากฏข่าวว่ากล้องโทรทัศน์วงจรปิดในพื้นที่เกิดเหตุถึง 5 กล้องเสีย ใช้การไม่ได้มาล่วงหน้าแล้ว 1 วัน
      
       เป็นข่าวสะเทือนขวัญทั่วทั้งประเทศและลุกลามไปถึงต่างประเทศ เพราะฐานะของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ในวันนี้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ภาคประชาชน ดังนั้นการเกิดเหตุร้ายแก่สนธิ ลิ้มทองกุล เช่นนี้จึงเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณมิคสัญญียุคในประเทศไทยโดยแท้
      
       เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่ประกาศภาวะฉุกเฉินยังมีผล บังคับ ทุกสี่แยกของกรุงเทพฯ ยังมีกำลังทหารเฝ้ารักษาการณ์เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชน แต่คนร้ายก็ฝ่าการดูแลรักษาความปลอดภัยเหล่านั้นเข้ามาก่อเหตุได้อย่างน่า พิศวง
      
       และ หลังก่อเหตุแล้วก็หลบหนีลอยนวลอย่างน่าพิศวงอีก ความพิศวงเหล่านี้แท้จริงก็คือเบาะแสสำคัญที่อาจสาวลึกไปถึงเรื่องราวที่ เกิดขึ้นได้ ดังนั้นยังไม่ทันข้ามวันเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์จึงขึ้นพาดหัวข่าวว่าตำรวจ ไล่ล่า 5 ทหารเลว ที่ก่อเหตุร้ายในครั้งนี้
      
       การเปิดฉากถล่มด้วยอาวุธสงครามนานาชนิดเป็นเวลาร่วม 5 นาทีด้วยกระสุนปืนอาวุธสงครามร่วม 200 นัด และยังบวกด้วยระเบิดเอ็ม 79 อีกลูกหนึ่ง เป็นสภาพที่เห็นแล้วก็แทบไม่น่าเชื่อได้ว่าเหยื่อสังหารคราวนี้จะรอดตาย
      
       แต่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ กระสุนปืน อาวุธสงครามนัดที่โดนไหล่และหน้าอกไม่ระคายผิว ในขณะที่อีกนัดหนึ่งเฉี่ยวถูกบริเวณขมับ กระแทกจนกะโหลกศีรษะแตกไปกระทบเอาเนื้อเยื่อบางส่วนของสมอง แต่ไม่ใช่จุดสำคัญ ใช้เวลาผ่าตัดเพียง 2 ชั่วโมง ก็อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย
      
       เป็น ปาฏิหาริย์ที่เรียกได้ว่า “พระคุ้มครอง” โดยแท้ และเป็นปาฏิหาริย์ที่ทำให้ผู้สนใจข่าวสารทั่วโลกต้องตกตะลึงงัน แต่นั่นย่อมเป็นเรื่องปกติที่อาจบังเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา เพราะแผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราชมีจริง และปกป้องคนดีของบ้านเมืองให้รอดปลอดภัยเสมอ
      
       หลังเกิดเหตุขึ้นแล้ว บรรดาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศและทั่วโลกพากันตกใจและเกาะ กลุ่มติดต่อสื่อสารถึงกันอย่างรวดเร็วในพริบตา
      
       แม้กระทั่งหลวงตาพระมหาบัวที่ได้ทราบข่าวตั้งแต่เวลาเช้าแล้ว ได้พูดกับศิษย์ที่เข้าไปรายงานข่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า สนธิไม่เป็นไรหรอก ไม่กี่วันก็หาย ยิ่งกว่าการนั่งอยู่ต่อหน้าสภาพคนที่ถูกยิง และกำลังถูกนำไปสู่ห้องผ่าตัดเสียอีก
      
       สภาพทั้งหลายดังที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ใครมีความสุขกายสุขใจบ้างเล่า? ไม่มีเลย มีแต่คนที่วิตกกังวลทุกข์ร้อนด้วยกันทั้งนั้น
      
       คุณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และบรรดารัฐมนตรีทั้งหลาย ก็มีความร้อนอกร้อนใจ มีความทุกข์ในการทำหน้าที่เป็นอันมาก กระทั่งความปลอดภัยก็ยังต้องระมัดระวังภัยกันอย่างรัดกุม
      
       คุณทักษิณ ชินวัตร และบรรดาญาติพี่น้องก็มีความร้อนอกร้อนใจและเดือดร้อนเป็นอันมาก ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ และยังไม่รู้ว่าจะต้องเดือดร้อนไปถึงเมื่อใด และยังต้องระวังภัยกันแจเหมือนกัน
      
       คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ตลอดจนแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็มีความเดือดร้อนใจและต้องระวังภัยกันทุกฝีก้าว
      
       ส่วนประชาชนไม่ว่าคนเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือเสื้อสีน้ำเงินหรือเสื้อสีไหนๆ แม้กระทั่งนักธุรกิจพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายก็มีความเดือดเนื้อร้อนใจในการ ประกอบอาชีพ เพราะค้าขายไม่ได้ดังแต่ก่อน
      
       ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ว่าทั้งบรรพชิตและฆราวาสก็ล้วนเป็นทุกข์ร้อนเหมือนกันหมด
      
       สภาพ เช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย และถ้าถามใจกันจริงๆ ก็ยากที่จะตอบได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงต้องเป็นไปอย่างนี้ และจะป้องกันแก้ไขปัญหานี้อย่างไร คนจำนวนมากก็คงตอบไม่ได้
      
       จะหวังพึ่งนักวิชาการก็ยากจะพึ่งได้ เพราะต่างก็มีค่ายสังกัดและออกความคิดความเห็นกันไปต่างๆ นานาจนหาความเชื่อถืออันใดไม่ได้อีกแล้ว
      
       จะหวังพึ่งพระสงฆ์องค์เจ้าก็ว้าเหว่เต็มที เพราะเจ้ากูก็แบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่าย หรือไม่ก็ทำมาหากินในเชิงพุทธพาณิชย์ โดยไม่เคยคิดถึงสภาพบ้านเมืองว่าจะมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาของเพื่อนมนุษย์กัน อย่างไร
      
       ทั้งหมดนี่แหละคือสภาพที่เป็นอยู่ในบ้านเมืองของเราในวันนี้ อย่างนี้จึงต้องเรียกว่าเป็นชะตากรรมของคนในยุคเราท่าน ที่จะต้องตั้งสติให้มั่น และช่วยกันพยายามหาทางว่าจะทำอย่างไร จึงจะพาบ้านเมืองให้พ้นไปจากวิกฤต ที่กระทบถึงทุกผู้คนได้
      
       ใน วันนี้เมื่อยังคิดอะไรไม่ออกก็อยากจะบอกให้คิดกันดูว่าเริ่มต้นกันอย่างนี้ ก่อนจะดีไหม? คือเลิกถือสีกันสักปีหนึ่ง คือคนไทยทุกคนเลิกสวมใส่เสื้อผ้าสีเหลือง สีแดง สีน้ำเงิน หรือสีขาว
      
       แล้ว ทำความคิด ทำความเข้าใจให้เกิดขึ้นในตนว่าบรรดาคนที่ใส่เสื้อสีต่าง ๆ เหล่านี้ต่างก็เป็นคนไทยที่อยู่ในผืนแผ่นดินเดียวกัน ที่ต้องทุกข์ สุข ร้อน หนาว ด้วยกันทั้งนั้น จากนั้นก็พากันนิ่งสักพักหนึ่ง อย่าไปเคลื่อนไหวอะไรในทางการเมือง ตั้งหน้าทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวกันอย่างเดียวก็พอจะเห็นว่าอาจทำให้บ้าน เมืองสงบสุขลงไปได้พักหนึ่ง.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000043760

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น