++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

ผ่าคลอด... ลูกเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 เมษายน 2552 07:45 น.
       สายตรงสุขภาพกับศิริราช
       รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ สูตินรีแพทย์
      
       คนสมัยนี้นิยมคลอดโดยการผ่าตัด อาจเพราะกลัวเจ็บ กลัวตาย หรือความเชื่อโชคลาง ต้องให้ลูกคลอดตรงวันเวลาที่หมอดูให้ รวมทั้งข้อจำกัดเรื่องเวลา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแม่ที่ต้องทำงานและมักอยู่ในเมืองใหญ่


       แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การผ่าคลอด ทำให้เด็กเสี่ยงต่อการมีระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติไป และมีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อและโรคภูมิแพ้ง่ายขึ้น แม้ว่าจะไม่มีประวัติทางกรรมพันธุ์ หรือไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สภาพสิ่งแวดล้อม อากาศ หรือปัจจัยอื่นๆ ก็ยังเป็นโรคติดเชื้อและโรคภูมิแพ้กันมากมาย ลองดูตัวอย่างการวิจัยกันนะครับ
      
       * ที่ นอร์เวย์ มีการศึกษาใน เด็กแรกเกิดถึงอายุ 2.5 ปี ที่มีปัญหาแพ้นมวัว 2,600 คน พบว่า เด็กที่ได้รับการผ่าตัดคลอดมีอัตราการเป็นโรคแพ้นมวัวมากกว่าเด็กที่คลอดทาง ช่องคลอดถึง 3.3 เท่า และถ้าตัวคุณแม่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ด้วย อัตราการแพ้นมวัวของลูกก็จะมากขึ้นเป็น 9.7 เท่าเลยทีเดียว
      
       * ที่ ไต้หวัน มีการศึกษาใน เด็กอายุ 1 เดือน และ 1 ปี ที่ต้องรับไว้ในโรงพยาบาลหลายหมื่นคนด้วยโรคติดเชื้อ โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคระบบทางเดินอาหาร เมื่อศึกษาถึงประวัติการคลอด พบว่า เด็กที่คลอดโดยการผ่าตัดคลอด มีอัตราการเจ็บป่วยมากกว่าเด็กที่คลอดทางช่องคลอด 3-4 เท่า
      
       * ที่ สหรัฐอเมริกา มีการศึกษาใน เด็กอายุ 3-10 ปี ที่เป็นโรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆ ทั้งโรคภูมิแพ้ของจมูกและตา รวมทั้งหอบหืด 7,800 คน พบว่า เด็กที่ผ่าตัดคลอดมีอัตราการเกิดโรคมากกว่าเด็กที่คลอดทางช่องคลอด ประมาณ 1.2 เท่า
      
       ฟังอย่างนี้แล้ว จะเห็นว่าเด็กที่ผ่าตัดคลอดมีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อ และโรคภูมิแพ้มากกว่าทารกที่คลอดผ่านทางช่องคลอด
      
       ชีวิตคนเราอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างไร?
       การที่ร่างกายเราสามารถทำงานได้ตามปกติ ก็เพราะในกระแสเลือดมีเม็ดเลือดมากมายหลายชนิด ซึ่งทำหน้าที่ต่างกัน และเมื่อทำงานร่วมกับระบบอื่นๆ ของร่างกาย จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่ในการสร้างภูมิต้านทานโรคต่างๆ และปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สมดุลอย่างมีประสิทธิภาพ
      
       ขบวนการทำงานของเม็ดขาวนั้นค่อนข้างสลับซับซ้อนและต้องมีผู้ช่วย คือ โพรไบโอติค(Probiotic) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และจะอาศัยอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายนับล้านล้านตัว แต่บริเวณที่โพรไบโอติคชอบอยู่มากเป็นพิเศษ คือ ในลำไส้ใหญ่ และช่องคลอด

       คุณแม่บางคนคงเคยได้ยินโฆษณาขายนมเปรี้ยวบางยี่ห้อที่ใส่แบคทีเรีย พวกแลคโตบาซิลไล (Lactobacilli) หรือ บิฟิโดบาซิลไล (Bifidobacilli) แบคทีเรียเหล่านี้ เมื่อกินเข้าไปแล้วจะไปอยู่ในลำไส้ใหญ่และช่วยการทำงานของร่างกาย ซึ่งก็คือ โพรไบโอติค ชนิดหนึ่งนั่นเอง
      
       บทบาทของโพรไบโอติค
       
โพรไบโอติคตัวสำคัญที่ชอบอาศัยอยู่ในช่องคลอดของคนเรามีชื่อว่า “โดเดอรีนบาซิลไล” อยู่ได้โดยกินอาหารพวกน้ำตาลที่มีอยู่ในเซลล์ของผนังช่องคลอด แล้วขับถ่ายของเสียออกมาเป็นกรดแลคติค ที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรคต่างๆ โดยไม่ทำร้ายร่างกายเรา จึงทำให้ช่องคลอดสะอาด ปราศจากเชื้อโรค
      
       ส่วนในลำไส้ใหญ่ ก็มีโพรไบโอติคอยู่หลายชนิด เช่น ไลแลคโตบาซิลไล และบิฟิโดบาซิลไล พวกนี้มีชีวิตโดยอาศัยอาหารที่มีอยู่ในลำไส้ใหญ่ โพรไบโอติคที่ลำไส้ใหญ่ทำหน้าที่ที่สำคัญหลายอย่างทั้งในแง่ต่อสู้กับเชื้อ แบคทีเรียก่อโรคที่จะมาทำร้ายร่างกายโดยการสร้างสารเคมีบางอย่างเข้าไปทำลาย เชื้อโรค ป้องกันเชื้อก่อโรคไม่ให้วิ่งทะลุเยื่อบุลำไส้เข้าไปแผลงฤทธิ์ได้ ที่น่าสนใจอีกคือมันแย่งอาหารจนเชื้อก่อโรคกินไม่ทัน หมดเรี่ยวแรง และตายไปในที่สุด
      
       นอกจากจะฆ่าเชื้อก่อโรคแล้ว โพรไบโอติคในลำไส้ใหญ่ยังมีหน้าที่ที่สำคัญอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่งก็คือมัน จะไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกชื่อว่า ลิมโฟไซท์ (Lymphocyte) ที่อยู่ในต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำไส้ใหญ่ ให้ปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมดุล และร่างกายอยู่อย่างสงบ ถ้าปราศจากโพรไบโอติคเวลาร่างกายรับสารแปลกปลอมจากภายนอก เช่น ฝุ่นละออง ยา หรืออาหารบางชนิด เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซท์อาจจะสร้างสารเคมีบางอย่างออกมาอย่างมากมายเกิน ความจำเป็นทำให้เราเป็นโรคได้ เช่น ที่จมูก จะมีน้ำมูกไหลไม่หยุด หรือที่ตา จะมีอาการคันตาและน้ำตาไหลตลอดเวลา ซึ่งเราเรียกว่า โรคภูมิแพ้ นั่นเอง เป็นต้น
      
       ผ่าตัดคลอดสัมผัสโพรไบโอติคน้อยจริงหรือ?
       เพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น จะขอเล่าถึงการคลอดตามธรรมชาติก่อน ลองนึกภาพตามนะครับ
      
       เมื่อ มีการคลอดทางช่องคลอด ทารกจะค่อยๆ เคลื่อนออกมาจากมดลูกลงมาในช่องคลอดและออกมาสู่ภายนอกร่างกายในที่สุด ขณะที่ผ่านลงมาในช่องคลอด โพรไบโอติคที่อยู่ในช่องคลอดและในลำไส้ใหญ่ส่วนล่างๆ ใกล้รูก้นของคุณแม่จะปนเปื้อนอยู่ในมูกเลือดในช่องคลอด ทารกจึงมีโอกาสที่จะกลืนกินหรือได้รับโพรไบโอติคผ่านเข้าทางปากหรือจมูกแล้ว ลงไปในลำไส้ใหญ่ เพื่อไปกระตุ้นให้ร่างกายทารกเริ่มสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายตั้งแต่ ขณะจะคลอด
      
       ส่วนการผ่าตัดคลอด ทารกจะถูกล้วงและควักผ่านออกมาทางแผลผ่าตัดหน้าท้องโดยไม่ผ่านช่องคลอด ทำให้หมดโอกาสที่จะได้รับโพรไบโอติคในช่องคลอดและลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง นอกจากนี้ ในการผ่าตัดคลอด คุณแม่ส่วนใหญ่มักจะได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียขณะ ผ่าตัดด้วย ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะทำให้เชื้อแบคทีเรียทั้งเชื้อก่อโรค และโพรไบโอติคถูกฆ่าทำลายไปด้วยกัน ยิ่งเป็นการซ้ำเติมทารกแรกเกิดให้หมดโอกาสที่จะได้รับโพรไบโอติคมากขึ้นไป อีก
      
       นอกจากเหตุผลที่สำคัญข้างต้น การคลอดทั้ง 2 วิธี ยังมีความแตกต่างกันอยู่ในตัว

       ฉะนั้น ก่อนตัดสินใจว่าจะคลอดอย่างไร ปรึกษาคุณหมอที่ดูแลก่อนดีไหมครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น