++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

น้ำท่วมกับน้ำใจไทย

โดย สิริอัญญา

ได้บอกกล่าวเล่าเตือนเรื่องอุทกภัยหรือภัยจากน้ำท่วม ภัยจากดินถล่ม และภัยจากแผ่นดินไหวมาตลอดทั้งปีถึงวันนี้ภัยน้ำท่วมและดินถล่มได้เกิดขึ้นแล้ว คงเหลือแต่ภัยแผ่นดินไหว ซึ่งแม้ว่าจะมีการไหวเล็กๆ บ้างแล้ว แต่นั่นยังไม่ใช่ของจริง

มันเป็นเวรกรรมของประเทศไทยที่นักการเมืองไม่เคยใส่ใจในความที่จะเป็นไปในบ้านเมือง โดยเฉพาะภัยต่างๆ ที่จะบังเกิดแก่ประเทศชาติและราษฎร

ดังนั้น ถึงจะมีใครบอกกล่าวเล่าเตือนจนหูดับหูแตกอย่างไร นักการเมืองก็ไม่ใส่ใจ ยังคงตั้งหน้าโกงบ้านกินเมือง และทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงอำนาจกันอย่างไม่หยุดยั้ง

น้ำท่วมคราวนี้ว่ากันว่ามีความรุนแรงมากที่สุดเท่าที่เกิดขึ้นมาในระยะ 30 ปีมานี้ เพราะคราวนี้เป็นน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่หลายจังหวัด แต่ละจังหวัดก็ท่วมมาก จนไร่นาสาโท บ้านเรือนและทรัพย์สินราษฎรเสียหายยับเยิน

เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว นักการเมืองก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับเรื่องการโกงกิน และการทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงผลประโยชน์ มิได้ใส่ใจไยดีในความเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎรเลย

จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงติดตามสถานการณ์และพระราชทานความช่วยเหลือมาเป็นระยะๆ ในหลายพื้นที่ ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 10 ล้านบาท เพื่อให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์นำไปช่วยเหลือราษฎร จึงทำให้เกิดตื่นตัวกันเป็นครั้งใหญ่

ชาวเน็ตและชาวทวิภพได้พากันหวีดข้อความสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งทวิภพ ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และพากันเรียกร้องให้ผองไทยได้ร่วมมือกันช่วยเหลือคนไทยด้วยกันเอง

น้ำเสียง น้ำคำ ที่พร่ำบอกกันนั้นล้วนสะท้อนความสิ้นหวังและไม่หวังว่ารัฐบาลจะใส่ใจดูแลหรือนักการเมืองจะเอาใจใส่แก้ไขปัญหานี้

ดังนั้นชาวบ้านตาดำๆ จึงได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร่วมกันบริจาคทรัพย์สินเงินทองข้าวของเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติด้วยกันเป็นการจ้าละหวั่น มีการตั้งกลุ่ม ตั้งขบวน ระดมความช่วยเหลือกันอย่างกว้างขวาง

ในขณะที่ประชาชนตื่นแล้ว ภาครัฐก็ยังไม่ตื่น มิหนำซ้ำ ยังมีถ้อยคำทำให้คนไทยช้ำใจหนักขึ้นไปอีก นั่นคือการแสดงท่าทีที่จะตั้งคณะกรรมการเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยน้ำท่วม

พอข่าวเรื่องจะตั้งคณะกรรมการออกไปเท่านั้น ก็ถูกโห่ฮาป่ากันทั้งทวิภพ เพราะในแผ่นดินนี้ผู้คนเอือมระอาและไม่เคยหวังการทำงานของคณะกรรมการใดๆ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าวิธีทำงานแบบตั้งคณะกรรมการนั้นคือการปัดความรับผิดชอบและซื้อเวลา

ดังนั้นจึงโห่ฮาป่ากันดังกึกก้อง จนเสียงได้ยินไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และได้ช่วงชิงโอกาสนี้เคลื่อนไหวทางการเมืองท่ามกลางทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎรในทันที

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เขียนทวิตเตอร์ให้เครือข่ายช่วยกันขยายความว่าเป็นห่วงราษฎรที่ประสบภัยน้ำท่วม ประหนึ่งว่ามีอำนาจสูงส่งในบ้านเมือง แล้วมีน้ำใจห่วงใยประชาราษฎรที่เดือดร้อนกันเป็นอันมาก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยสนใจไยดี นอกจากจะประกาศสนับสนุนคนเสื้อแดงเพื่อให้ช่วยเอาตัวกลับมาบ้านโดยปราศจากโทษภัยใด ๆ

แล้วยังเขียนทวิตเตอร์อีกว่า ได้สั่งให้มูลนิธิในสังกัดบริจาคเงินจำนวน 5 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือภัยน้ำท่วม แต่ขณะที่ทำบทความนี้แม้เครือข่ายเดียวกันจะพยายามบอกกล่าวกับผู้คนว่ามีการบริจาคแล้ว แต่เท่าที่ทราบก็เป็นแค่การตีกิน เพราะยังไม่มีการบริจาคเลยแม้แต่บาทเดียว

นอกจากแจ้งว่าจะบริจาคเงินแล้ว ยังได้ขอความร่วมมือให้กับองค์กรปกครองท้องที่และท้องถิ่นต่างๆ ให้ร่วมมือกันช่วยเหลือราษฎร โดยระบุว่าให้ทำเหมือนกับที่เคยร่วมปฏิบัติกันมา

จนถูกฝ่ายรัฐบาลครหาว่าเป็นการหลงลืมตนว่ายังมีอำนาจเป็นรัฐบาลอยู่หรืออย่างไร? มิหนำซ้ำยังเยาะเอาอีกว่าจะให้ช่วยทุกพื้นที่หรือว่าจะช่วยเฉพาะพื้นที่ที่เลือกพรรคเพื่อไทย?

ก็เป็นลีลาประสานักการเมืองที่แสดงการทะเลาะเบาะแว้งแข่งกับน้ำตาประชาราษฎร์ที่กำลังเดือดร้อนเพราะภัยน้ำท่วม

พอถึงเทศกาลน้ำท่วมทีหนึ่งก็รณรงค์ช่วยเหลือกัน แล้วก็บอกว่าน้ำใจคนไทยไม่ทิ้งกันในยามยาก แล้วก็แสดงอาการว่าตั้งใจจะป้องกันแก้ไขภัยน้ำท่วมเหมือนที่เคยเกิดเคยทำกันมาทุกยุคทุกสมัย

โดยไม่เคยปฏิบัติให้เกิดมรรคเกิดผลใดๆ เลย จึงเกิดเหตุน้ำท่วมซ้ำซากอยู่ทุกปีดีดัก หมดภาวะน้ำท่วมเมื่อใด ภัยแล้งและการขาดแคลนน้ำก็จะตามมา และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำซากอีกเช่นเดียวกัน

ความจริงการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและการป้องกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งนั้น ถ้าทำกันอย่างจริงจังและทำเป็น ภัยนั้นก็จะบรรเทาเบาบางลงเป็นลำดับ แต่ที่ยังเกิดซ้ำซากอยู่ทุกปีดีดักเช่นนี้ก็เพราะนักการเมืองดีแต่พูด และพูดทุกครั้งที่น้ำท่วมและภัยแล้ว แต่ไม่ได้ทำอะไร นอกจากโกงและกิน

อันจะป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในยามน้ำหลากท่วมมานั้นไม่ใช่วิสัยที่จะเป็นไปได้ และการจะแก้ไขปัญหาภัยแล้งในยามเทศกาลภัยแล้งมาถึงแล้วก็ไม่ใช่วิสัยที่จะเป็นไปได้เช่นเดียวกัน

อันปัญหาน้ำท่วมและปัญหาภัยแล้งนั้นแท้จริงแล้วเป็นปัญหาเดียวกัน เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แก่กันและกัน หากไม่ป้องกันแก้ไขอย่างบูรณาการในฐานะที่เป็นปัญหาเดียวกันแล้วแยกกันป้องกันแก้ไขดังที่ดีแต่พูดนั้น จะไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้เลย อย่างมากก็ได้แต่ช่วยซับน้ำตาเวลาประสบภัยเป็นครั้งคราวเท่านั้น

เพราะไม่มีแหล่งน้ำและสายน้ำที่จะกักเก็บน้ำไว้ได้ในฤดูฝน เมื่อเทศกาลฝนมาถึง น้ำก็จะไหลหลากบ่าจากเหนือและอีสานลงมาภาคกลาง ลงมากรุงเทพฯ และท่วมพื้นที่เป็นทางมา จนเกิดความเสียหายยับเยินในแต่ละปี

เพราะไม่มีแหล่งน้ำและสายน้ำที่จะกักเก็บน้ำไว้ได้ในฤดูฝน พอสิ้นเทศกาลฝนก็ไม่มีน้ำเหลืออยู่ในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลางและกรุงเทพฯ ดังนั้นภัยแล้งจึงมาเยือน หากฝนทิ้งช่วงหรือทอดเวลาไปนานเท่าใด ภัยแล้งก็จะหนักหน่วงรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นการมีแหล่งกักเก็บน้ำและสายน้ำที่มีขีดความสามารถกักเก็บน้ำได้อย่างพอเพียง จึงเป็นเรื่องพื้นฐานของการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและปัญหาภัยแล้ง ที่ถ้าไม่ทำตรงนี้ก่อนก็จะไม่มีวันแก้ไขปัญหาได้โดยเด็ดขาด

ประเทศไทยมี 25 ลุ่มน้ำใหญ่ รวมทั้งทะเลสาบสงขลา และมีสายน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่กว่า 1,200 แห่ง ซึ่งในอดีตทั้งลุ่มน้ำและสายน้ำนอกจากกว้างใหญ่แล้วยังมีความลึกมาก ดังเช่นทะเลสาบสงขลา ลึกถึงขนาดไม้ถ่อหยั่งไม่ถึง แต่วันนี้น้ำตื้นเขินแค่หัวเข่าหรืออย่างมากก็แค่เอว

เพราะเหตุนั้นในอดีตประเทศนี้จึงอุดมสมบูรณ์ ได้ชื่อว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แต่เพราะการพัฒนาตามแนวทางอุตสาหกรรม และทอดทิ้งภาคเกษตร ตลอดจนธรรมชาติในแผ่นดิน แหล่งน้ำทั้งหลายบ้างก็ตื้นเขิน บ้างก็ถูกถม เช่นเดียวกับสายน้ำที่ถูกถมไปเป็นจำนวนมาก และที่เหลือก็ตื้นเขินอีกด้วย

มิหนำซ้ำยังมีการสร้างถนนปิดกั้นขวางทางน้ำ ทำให้น้ำขังท่วมมากและท่วมนาน เพราะทางระบายน้ำไม่พอ ซึ่งในหลายพื้นที่แม้มีพระราชดำริแล้วก็ยังเพิกเฉยกันอยู่

ดังนั้นปัญหาน้ำท่วมและปัญหาภัยแล้ง แม้มีมูลฐานอยู่ที่แหล่งน้ำและสายธาร แต่แท้จริงกลับเป็นปัญหาของนักการเมือง ที่ไม่ใส่ใจแก้ไขปัญหาต่างหาก.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น