++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การจัดการ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การจัดการ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

นำหลายๆส่วนมาประกอบกัน


จาก The Book of Goals


พวกเรามักแยกเรื่องงานและชีวิต ออกจากกัน ราวกับว่า มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกันและกัน


คนส่วนใหญ่มักแบ่งชีวิตออกเป็น 2 ส่วน คืองานและชีวิตส่วนที่เหลือซึ่งไม่ถูกต้อง ผมเชื่อว่างานเป็นสิ่งสำคัญมากจนเกินควรสำหรับหลายท่าน จนถึงแบ่งแยกออกมาจากชีวิต ผมมีความเชื่อว่า คุณสมบัติส่วนตัวและความฝัน ก็เป็นส่วนที่มีความสำคัญมากในตัวเรา ซึ่งเราจำเป็นต้องนำทั้งสองสิ่งนี้ไปใช้ในการทำงาน ดังนั้น ถ้าคุณรักงานของคุณ คุณจะรักชีวิตของคุณด้วย งานเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเป็นตัวเรา

ผมชอบคำพูดที่ว่า "ธุรกิจเป็นที่ที่เราได้รับเงินเดือน ที่ที่เราพบเพื่อนและที่ที่เราได้วาดฝันของเรา ตามความรู้สึกของผมแล้ว ธุรกิจ เปรียบเสมือนผ้าผืนใหญ่ ซึ่งเย็บปักสังคมทั้งหมดของเราไว้ด้วยกัน"

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

อย่ายอมให้คำตัดสินของคนอื่น มาเหนี่ยวรั้งคุณไว้

จาก The Book of Goals

มีบางสิ่งอยู่เหนือความสามารถของเขา อาจมีหลายครั้งที่เราถูกทำให้เชื่อว่า เราไม่สามารถทำสิ่งที่เราต้องการได้ เช่น เมื่อใครสักคนบอกคุณว่า คุณไม่มีประสบการณ์ การศึกษา บุคลิกภาพ หรือพื้นฐานเพียงพอ หรือคำพูดอื่นใดที่ตัดสินคุณด้วยอคติและอย่างไม่เป็นธรรม

แม้แต่ในสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศที่ยอมรับความแตกต่าง และมีการกระทำเพื่อเรียกร้องสิทธิ แต่บริษัทส่วนใหญ่ก็มักจะต้องการพนักงานที่เป็นคนขาวเป็นชายหรือกีดกันเชื้อชาติอื่น เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ที่ปรึกษาอาชีพได้ปฏิเสธทีจะเสนอลูกค้าที่มีคุณวุฒิสูง ให้เป็นผู้บริหารแก่องค์กรที่เป็นลูกค้าของเขา ด้วยเหตุผลที่ว่าชายคนนั้นมีเชื้อสายอิตาเลียน และคิดว่าชายคนนั้นไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมขององค์กรนั้น และสิ่งที่น่าเศร้าก็คือ ความคิดของที่ปรึกษาคนนั้นถูกต้องจริงๆด้วย ชายคนนั้นไม่ได้รับการต้อนรับจากสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร

ระบบการศึกษากำลังจะเผชิญกับปัญหาในอนาคต ทุกวันนี้มีโรงเรียนเพิ่มมากขึ้นๆ ตั้งแต่โรงเรียนประถมไปจนถึงมัธยม จนถึงมหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยแพทย์ ทำให้ผู้หญิง คนผิวสี นักเรียนต่างชาติ มีโอกาสได้เรียนหนังสือมากขึ้น และได้มีการขยายเครือข่ายของการศึกษาออกไป

องค์กรของผู้ใหญ่ (ยกเว้นแต่กองทัพ) ไมได้เคลื่อนไหวที่ยอมรับความแตกต่างเลย ผู้หญิงและชนส่วนน้อยก้าวหน้าช้าในองค์กร สำหรับการได้เป็นผู้บริหารระดับสูงนั้นยากมาก แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นสำหรับอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชั้นสูง

ในการทำงาน
เมื่อโกลดา แมร์ ถูกถามจากบริษัท Knesset ว่า เธอจะสามารถเป็นประธานาธิบดีของอิสราเอลได้ดีเท่ากับผู้ชายหรือไม่ เธฮตอบว่า เธอแน่ใจว่าจะไม่ทำสิ่งใดที่เลวร้ายกว่าที่ผู้ชายทำ ความเชื่อมั่นในตัวเองอันน่าประทับใจของเธอได้ช่วยเธอให้เอาชนะอุปสรรคต่างๆ มากมาย และชนะใจคนจำนวนมาก ในระหว่างที่เธอประสบความสำเร็จในอาชีพ

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

คุณจะสำรองเวลาไว้สำหรับช่วยเหลือผู้อื่นได้หรือไม่

จาก The Book of Goals

หลายคนรู้สึกว่า พวกเขาไม่มีเวลาเหลือให้แก่ผู้อื่น ที่จริงแล้วก็คือ คุณไม่มีเวลาที่จะปฏิเสธเช่นนี้เลย ชีวิตนั้นสั้นสำหรับเรานักและสำหรับคนอื่นๆด้วย เผื่อเวลาสักเล็กน้อยเพื่อจะทำสิ่งที่ดีๆให้กับคนอื่นๆ และโลกที่อยู่รอบตัวคุณ ถ้าคุณรู้จักเสียสละให้แก่ผู้อื่นบ้าง คุณจะรู้สึกประหลาดใจว่าคุณรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด เกี่ยวกับคุวคุณเองและของขวัญที่คุณมอบให้เขา

ผมรักงานที่ผมทำมาก แต่ในระยะไม่กี่ปีมานี้ ผมพบว่า กิจกรรมอาสาสมัครที่ผมทำนั้น ทำให้ผมอิ่มใจมากกว่าการทำงาน ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1991 ผมถูกเชิญให้เข้าร่วมกลุ่มกับผู้บริหารชาวอเมริกันในการเดินทางไปสหภาพโซเวียตเก่า พวกเราได้ทำงานร่วมกับนักธุรกิจท้องถิ่น พวกเราช่วยกันจัดตั้ง mini-business school ในช่วงฤดูร้อนของปีต่อมา เราก็ได้กลับไปทำงานกันอย่างหนักอีกในโครงการเดียวกันนี้

จากการเดินทางในครั้งนั้นพวกเราได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการเริ่มต้นธุรกิจและการหาเงินทุน บางท่านในคณะเดินทางได้ช่วยเหลือด้านการจัดหาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่นๆ และช่วยให้ผูประกอบการในยุโรปตะวันออกติดต่อกับผู้ที่ทำงานด้านการตลาดและการขายทางตะวันตกได้ พวกเราหลายคนได้รับเอาความต้องการของคนพื้นเมืองที่นั่นมาเป็นของเราเอง ตัวอย่างเช่น ผมได้เคยหาเงินทุนในอเมริกา เพื่อจะซื้ออุปกรณ์การแพทย์สำหรับโรงพยาบาลเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่เราได้ทำเพื่อการกุศลสำหรับที่โน่น ผมได้รู้จักเพื่อนที่ผมจะจำไว้ตลอดชีวิตของผม ผมได้เรียนรู้มากมายเกินกว่าที่ผมจะสามารถจะถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่นได้

ยังมีงานอาสาสมัครอีกมากที่จำเป็น ลองนึกดูว่าคุณสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง เพื่อช่วยให้มุมหนึ่งของโลกดีขึ้นมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นองค์กรระดับโลก หรือการพบปะกันของคนที่อาศัยในเมือง งานช่วยเหลือผู้ไร้ที่อยู่ ลองดูว่าคุณจะช่วยได้อย่างไร แม้ว่าจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ไม่กี่ดอลลาร์ ก็สามารถทำให้เกิดสิ่งที่แตกต่างได้ สำหรับคุณและสำหรับคนที่คุณได้ช่วยเหลือเขา

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ASTV กับรูปโฉมใหม่ๆ ที่เริ่มเปลี่ยนแปลง

สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ที่หลายคนรู้จัก
ติดตามชมทางเคเบิลทีวี หรือซื้อจานดาวเทียมมาดูกัน
ช่วงปี ปลายปี 2548- ปลายปี 2549 ASTV ถูกกลั่นแกล้ง ปิดกั้นจากฝ่ายรัฐบาล
โฆษณาไม่ค่อยมี ขาดรายได้มาก แต่พนักงานและผู้บริหาร อดทนต่อสู้กันมาจนถึงวันนี้

เริ่มมีโฆษณาเข้ามาเลี้ยงสถานี
ช่องข่าว NEWS 1 ปกติ ที่แถบข้อความตรงล่างสุดของจอ จะเป็นข่าวสารต่างๆ
ช่วงนี้มีข่าวประชาสัมพันธ์ ประกาศรับสมัครงานของบริษัทต่างๆ เป็นตัววิ่งอยู่หลายช่วง สลับกับข่าวสารต่างๆ

ช่อง ASTV3 ช่อง Variety ที่นำเสนอเนื้อหาสาระบันเทิงโดยเฉพาะ
ถูกปรับเปลี่ยนชื่อเป็น ASTV3 Happy Variety Channel
Happy เป็นแบรนด์โทรศัพท์มือถือของ DTAC ที่มาเป็นสปอนเซอร์ให้ช่องนี้
เหมือนที่ Dtac เป็นสปอนเซอร์ให้กับสถานีวิทยุแห่งหนึ่งใน กทม. เป็น Happy station
เป็นการร่วมมือกัน ใช้ฐานลูกค้าร่วมกัน ในการประชาสัมพันธ์ข้อมูล ที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน

Dtac ก็มีฐานลูกค้าอยู่หลายล้าน ASTV ก็มีแฟนประจำที่ติดตามรายการอยู่หลายล้านเช่นกัน

โลโก้ ASTV มีการเปลี่ยนนิดหน่อย มีสัญลักษณ์เปลวเทียน ซึ่งเป็นโลโก้ของรายการยามเฝ้าแผ่นดินตรงตัว A

มีอะไรใหม่ๆเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้แฟนๆ ASTV เริ่มอุ่นใจที่สถานีที่เป็นขวัญใจของพวกเขา เริ่มมั่นคง และยืนหยัดอยู่ได้แล้ว.....

วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

การเล่นมายากล

จาก The Book of Goals

อาจเป็นประโยชน์กับคุณ
"คนยิ่งมาก ยิ่งมีความต้องการมาก ยิ่งมีเรื่องยุ่งๆมากตามมา"

ชีวิตการทำงานของสตรีนั้น เป็นตัวอย่างที่ดีมาก สำหรับคำกล่าวเปรียบเทียบ คนทำงานเหมือนกับการโยนลูกบอลสับหลีกของนักมายากล

ในหนังสือ Juggling ของ Faye J. Crosby ได้กล่าวถึงชีวิตของสตรี ซึ่งต้องสับหลีกระหว่างงานและครอบครัว เมื่อโลกของธุรกิจได้เปิดกว้างให้แก่ผู้หญิงมากขึ้น เมื่อผู้หญิงไปทำงานนอกบ้าน ทำให้พวกเธอต้องประสบปัญหาในการแบ่งเวลาและพลังงานในการดูแลบุตรและครอบครัว แต่จากการทำวิจัยของ Crosby พบว่า ถึงแม้ว่าผู้หญิงจะมีความเครียดในเรื่องการแบ่งเวลา แต่ผู้หญิงและบุตรของเธอมักจะได้ประโยชน์จากการมีบทบาทหลายอย่างของเธอ Crosby กล่าวไว้ดังนี้

"การทำให้งานที่ได้รับเงินเดือนเป็นส่วนเดียวกับชีวิตสมรสและการเป็นมารดาช่วยทำให้เธออารมณ์ดี ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน แต่โดยทั่วไปแล้วโอกาสของการมีความสุขนั้นมีมากกว่า ถ้าหากว่าเราสามารถกระจายและรวมความสนใจของเราได้ การเล่นลูกบอลมายากลนี้ เป็นการลดความเสียงของความสลดหดหู่ ความกังวล ตลอดจนความเศร้าสร้อย"

นอกจากนี้ การโยนลูกบอลหลายๆลูก ซึ่งหมายถึงเรื่องงาน และชีวิตในบ้าน มีส่วนทำให้ผู้หญิงรู้สึกว่าชีวิตน่าสนใจมากขึ้น และรู้สึกว่าพวกเธอมีความสามารถและมีความมั่นใจในตนเอง เมื่อเธอมีความสุขในส่วนใด ก็นำความสุขไปสู่ส่วนอื่นๆด้วย ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าเธอรู้สึกหมดหวังจากส่วนหนึ่งก็จะชดเชยโดยการพยายามทำความสำเร็จให้มีขึ้นในส่วนอื่นๆ

ในการทำงาน
การที่คุณเพลิดเพลินกับบทบาทหลายอย่างพร้อมกัน คุณจำเป็นต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากงานที่บ้านของคุณซึ่งน้อยมากทั้งหญิงและชายที่ได้รับมันจากการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาใน Seattle พบว่า 85% ของผู้จัดการระดับกลาง พบว่า พวกเขารู้สึกว่าเป็นการยากที่จะทำให้เกิดความสมดุลในชีวิต ระหว่างเวลาทำงาน ชีวิตที่บ้าน สังคม และเวลาส่วนตัว มีเพียงแค่ 1 ใน 50 พบว่า พวกเขาพอใจกับการสับหลีกบทบาทหลายๆแบบ

รู้แก้ปัญหา

จาก Emotional Qutient :
จากความฉลาดทางอารมณ์สู่สติและปัญญา
โดย นพ. เทอดศักดิ์ เดชคง

ปัญหาและอุปสรรคเป็นเรื่องปกติในชีวิตมนุษย์ ไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็กๆหรือผู้สูงอายุ แน่นอน ปัญหานำมาซึ่งความทุกข์ แต่ถ้าจะขจัดทุกข์ด้วยการหนีปัญหาไปเสีย ย่อมไม่เกิดการเรียนรู้ หรือหลายครั้ง ปัญหานั้นก็ไม่ได้หมดตามไปด้วย ตรงกันข้ามหากรู้จักแก้ไขปัญหาแล้ว ก็จะช่วยให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้

ปัญหาของปัญหา วัยรุ่นหรือเด็กก่อนวัยรุ่น พบว่ามีปัญหาเรื่องยาเสพติดสูงมาก ไม่ว่าจะเป็น ยาบ้า กาว ทินเนอร์ เฮโรอีน ยานอนหลับ ยาอี ยาเค ฯลฯ บางรายใช้เพราะต้องการทดลอง แต่บางรายก็ใช้เพราะคิดว่าเป็นทางแก้ปัญหา แต่แท้จริงแค่เป็นวิธีหลบเลี่ยงปัญหาชั่วคราว ใช้ยากล่อมใจตนเองให้เกิดความสุขที่ไม่จีรัง แถมยังสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาทับถมทวีคูณ

วัยรุ่นมีพื้นฐานทางสรีระที่ผันผวนง่ายอยู่แล้ว เมื่อประสบกับปัญหาต่างๆ เช่น การเรียน ครอบครัว เพศตรงข้าม ฯลฯ ก็อาจทำให้สภาพจิตใจเสียสมดุลไปได้ การฝึกสอนให้เขาสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ จีงต้องเริ่มตั้งแต่ในวัยเด็ก การให้รู้จักรอคอย มองโลกในแง่ดีก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะเป็นความหวังในชีวิต คนที่แม้จะสอบได้คะแนนไม่ดี และอาจจบช้ากว่าที่กำหนด หากรู้จักมองในแง่ดีบ้างว่า ก็ยังสามารถจบได้ รู้จักรอคอยให้ช่วงเวลาที่ไม่สบายนั้นผ่านพ้นไป

การรู้จักมองโลกในแง่ดี เห็นคุณค่าในตนเอง ดำเนินชีวิตอย่างมีความหวังและกำลังใจจึงเป็นกุญแจสำคัญ

วิธีการแก้ปัญหาเป็นอย่างไร
ตามหลักการแล้วก็คือ วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง ประกอบด้วยการรวบรวมข้อมูล ตั้งสมมติฐาน กำหนดเป้าหมาย แล้วจึงลงมือปฏิบัติ ขั้นตอนเหล่านี้คล้ายคลึงกับอริยสัจ 4 หรือความจริง 4 ประการ อันได้แก่

  • ทุกข์ - (ความขัดแย้ง การทนอยู่ไม่ได้)
  • สมุทัย - (เหตุแห่งความทุกข์)
  • นิโรธ - (หนทางการดับทุกข์)
  • มรรค - (วิธีการดับทุกข์)
เมื่อมีความขัดแย้งหรือทุกข์เกิดขึ้น ขั้นแรกก็ต้องยอมรับและเข้าใจอย่างกระจ่างว่านี่คือปัญหาที่ต้องแก้ ถ้ายอมรับตรงนี้ไม่ได้ คงจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ

รวบรวมข้อมูล คือ การหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ มาวิเคราะห์หาสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหา

ตั้งสมมติฐาน คือ การคาดคิดคาดเดา โดยมีฐานข้อมูลว่า สิ่งนี้น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญ สิ่งนั้นน่าจะเป็นสาเหตุที่เสริมเข้ามา ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ตัดทิ้งไปได้

กำหนดเป้าหมาย - ว่าจะแก้ไขกันแค่ไหน เอาแค่พอผ่านไปได้ หรือจะแก้อย่างถอนรากถอนโคน อันนี้จะทำให้ง่ายต่อการวางแผนแก้ไขปัญหาด้วย

ลงมือปฏิบัติ - ตามแนวทางที่คิดว่าเหมาะสม

หลังจากลงมือปฏิบัติแล้ว ก็ควรได้ประเมินผลดูด้วยว่า ได้ผลไหม ถ้าไม่ดีก็ควรปรับปรุงด้วย

นักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งมาปรึกษาเรื่องไม่ค่อยมีเพือน เลยเกิดความอาย ขาดความมั่นใจ ครั้นพอให้ตัวเขาเองคิดดูว่าเป็นเพราะอะไร เขาเข้าใจว่าอาจเป็นจากที่เขาไม่รู้วิธีเข้าสังคมก็ได้

หนุ่มรายนี้ไม่ค่อยเริ่มต้นความสัมพันธ์ก่อน แต่จะรอให้เพื่อนเป็นฝ่ายเข้าหา เช่น เดินสวนกัน เขาก็จะคอยดูเพื่อนว่าจะยิ้มหรือทักทายให้เขาหรือไม่ หากเพื่อนทักก่อนเขาจึงจะพูดคุยด้วย แต่ถ้าเพื่อนเฉยๆ เขาก็ไม่ทักทาย เหตุการณ์คล้ายๆกันนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ และน่าจะเป็นสาเหตุของปัญหาความสัมพันธ์

ผมช่วยให้เขาตั้งเป้าหมาย เขาจะต้องริเริ่มความสัมพันธ์ที่ดีก่อน โดยไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะตอบรับกลับมาหรือไม่ เมื่อยิ้มให้แล้วไม่ได้รับยิ้มตอบก็ไม่มีอะไรเสียหาย ทั้งการฝึกยิ้ม ฝึกทักทาย ก็เป็นการบ้านที่เขาต้องเอากลับไปทำต่อที่บ้าน หลายเดือนผ่านไป เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดขึ้น เพื่อนฝูงเริ่มเป็นกันเองกับเขามากขึ้น นี่คงเป็นตัวบอกว่า การลงมือปฏิบัติเช่นนี้เป็นทางที่ถูกต้องแล้ว

กรณีที่เด็กยังไม่อาจคอดแก้ไขได้เอง พ่อแม่ ครู ควรต้องชี้แนะให้บางอย่าง โดยเฉพาะด้วยคำถามกระตุ้น "ทำอย่างไรดี" "อย่างนี้ได้ไหม" "ทำอย่างนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น" จะช่วยให้เขาคิดแก้ปัญหาอย่างค่อยเป็นค่อยไป

สำหรับครูแล้ว กระบวนการปลูกฝังนิสัยให้รู้จักแก้ปัญหา อาจไม่ใช่อยู่ในแค่ชั้นเรียน การปลูกผัก เล่นกีฬา ทำงานฝีมือ ฯลฯ ล้วนสามารถเป็นบททดสอบ และการเรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหาได้ด้วย

การ "ลองทำดู " เป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะช่วยให้กล้าที่จะคิด จะทำสิ่งต่อๆไป โรงเรียนบางแห่งให้เด็กนักเรียนมัธยมค้นหาวิธีแก้ปัญหาการใส่ปุ๋ยต้นไม้ เนื่องจากขาดแคลนงบประมาณ จึงหันไปใช้ของที่มีในธรรมชาติ เช่น มูลสัตว์ ขยะมูลฝอยแทน

กระบวนการเรียนรู้แบบนี้ ทำให้เกิดโครงสร้างความรู้ในสมองแต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง คือ ต้องใช้เวลามาก จึงควรสอดแทรกการเรียนรู้แบบนี้เข้ากับการเรียนรู้รูปแบบอื่นๆ เพื่อให้เกิดแนวคิดที่หลากหลาย ทั้งรับฟังจากผู้รู้ต่างๆ และรู้จักค้นคว้า ไปจนถึงให้สามารถคิดเอง ทำเอง ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม

วันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

ใช้เวลาดูผลสะท้อนกลับด้วย


จาก The Book of Goals


ชีวิตจะเป็นเช่นใด ถ้าหากเรามัวแต่สนใจคนอื่น แต่ไม่มีเวลาพอสำหรับดูแลตัวเอง เมื่อสมัยที่ผมเรียนอยู่เกรด 4 มิสแมคมานารา ครูของผมได้เชิญคุณพ่อผมมาพบและบ่นเกี่ยวกับผมว่า ผมใช้เวลาฝันกลางวันมากเกินไป เมื่อคุณพ่อถามผมว่า ผมทำอะไร ผมเรียนท่านว่า ผมไม่ได้ฝันกลางวัน แต่ผมกำลังใช้ความคิด

การฝันกลางวันไม่ใช่เรื่องเลวทราม แต่คนส่วนใหญ่จะดูแคลนการฝันกลางวัน สำหรับในยุคปัจจุบันนี้ ผมคิดว่า เราควรมองออกไปนอกหน้าต่างและให้จิตใจของเราโลดแล่นออกไปบ้าง

ในภาวะที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน การปล่อยใจกลับไปอดีตหรืออนาคตอาจช่วยให้คุณคลายเครียด ผมเคนเตือนคุณถึงอันตรายถึงการคิดคำนึงถึงแต่เรื่องเสียใจในอดีต และความกลัวเรื่องในอนาคต แต่ผมไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่สามารถจำสิ่งที่ผ่านไปแล้วได้ และฝันถึงสิ่งในอนาคตได้ แม้แต่คนที่รักงานของเขา จำเป็นต้องได้รับการผ่อนคลายทางจิตใจ จากเรื่องงานและให้ความคิดอื่นแวบเข้ามาในสมองบ้าง

วัฒนธรรมของเราในปัจจุบันไม่เห็นคุณค่าของการอยู่คนเดียว เราไม่มีเวลาที่จะอยู่คนเดียวเพียงพอ แม้แต่การเดินทางไปทำงานของเราก็ไม่เป็นส่วนตัว เพราะการต้องใช้รถยนต์ร่วมกัน การมีโทรศัพท์ติดรถ และเครื่องเล่นวิทยุ ผู้บริหารซึ่งเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเคยบอกผมว่า เธอพบว่าเธอไม่มีความเป็นส่วนตัวแม้ในห้องน้ำของเธอเอง เพราะว่าเมื่อลูกๆของเธอเดินได้ พวกเขาก็จะตามเธอเข้าไปในห้องน้ำด้วย และที่ที่เป็นส่วนตัวสำหรับเธออย่างแท้จริง คือ ในอ่างอาบน้ำ ขอบคุณพระเจ้าที่เด็กๆกลัวน้ำร้อน

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2548

องค์การและการจัดการ

ผลของแนวคิดทางการจัดการโดยยึดหลักมนุษย์สัมพันธ์อาจสรุปได้ดังนี้

1. หลักการจัดการไม่ได้ยึดถืออย่างเคร่งครัดตามกระบวนการทางด้านการผลิตอย่าง เดียว คนก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของงาน
2. ผู้จัดการจะต้องได้รับการอบรมมาอย่างดี จนมีความรู้ทางด้านการจัดการ สามารถที่จะนำเอาหลักการบังคับบัญชามาใช้ได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์

3. องค์การหรือหน่วยงานจะต้องจัดให้มีบรรยากาศในการทำงาน สร้างสรรค์และส่งเสริมให้บุคคลที่ทำงานมีความสนใจในการปฏิบัติงาน

4. งานจะสำเร็จลงได้ จะต้องอาศัยการจัดการที่ให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วม

5. แบบหรือหลักของการบังคับบัญชา การควบคุม จะต้องยึดถือปรัชญาการปฏิบัติในทางสร้างสรรค์ (Positive Philosophy) เกิดความรู้สึกในทางดีต่อคนและต่องาน จะนำเอาหลักการใช้อำนาจอย่างเดียว (Pure Authority) มาใช้กับคนโดยไม่มีการยืดหยุ่นเลยไม่ได้

6. การกำหนดโครงสร้างของงาน หรือการจัดองค์การจะต้องกระทำในทางที่มีความหมายและให้ความสำคัญต่อคนงาน

บริหารแบบการสร้างทีมงาน TW (Team Work)

คำว่า “ทีมงาน” หมายถึง กลุ่มคนที่รวมตัว เพื่อสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความรักความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการทำงานร่วมกันให้สำเร็จตามความประสงค์ขององค์การ

การทำงานเป็นทีมจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลเนื่องจาก ความรู้ความสามารถของบุคคล จะมีอยู่ในแต่ละคนโดยเป็นความสามารถที่แตกต่างกันอย่างหลากหลาย ฉะนั้นการทำงานเป็นทีมจึงเท่ากับ ให้แต่ละคนนำความรู้ความสามารถของเขาออกมา แล้วปฏิบัติงานร่วมกันให้เกิดประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพโดยยึดหลักการ บริหารทีมงาน ดังต่อไปนี้

    1. มีการแบ่งงานออกเป็นส่วนย่อย
    2. กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบ
    3. จัดระบบการติดต่อสื่อสาร
    4. มีการประสานงานร่วมกัน

กระบวนการสร้างทีมงาน (Team Work Process) เป็นการจัดขั้นตอนเพื่อกำหนดทิศทางการทำงาน ให้บุคลากรได้ปฏิบัติหน้าที่ตามความเหมาะสมกับความรู้ความสามารถของแต่ละคน

รูปแบบของกระบวนการสร้างทีมงาน ได้แก่

1. มีการประชุม อภิปราย ภาระหน้าที่ จุดมุ่งหมายกระบวนการการทำงาน ลักษณะงานในหน้าที่และความรับผิดชอบ

2. ประชุมชี้แจงบทบาทหน้าที่ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก ในการทำงานร่วมกันเพื่อประสิทธิภาพของทีมงาน

3. พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ ให้เกิดแก่สมาชิกเพื่อสร้างความร่วมมือร่วมใจ ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน

4. สร้างกลไกการติดต่อสื่อสาร ระหว่างสมาชิกผู้ร่วมงาน เพื่อให้เกิดการประสานงานที่ดี

5. ปรึกษาหารือ ประชุมติดตามผลการทำงาน เพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหา

ลักษณะของการสร้างทีมงาน (Formalization of Team Work) เพื่อให้การทำงานบังเกิดผลดี จำเป็นต้องจัดระบบทีมงานให้เหมาะสม ซึ่งลักษณะของการสร้างทีมงานที่ดีคือ

    1. ควรให้สมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม รู้บทบาทและหน้าที่
    2. สมาชิกแต่ละคนต่างเคารพในสิทธิและหน้าที่ซึ่งกันและกัน
    3. ไม่เอาเรื่องส่วนตัว มาเกี่ยวข้องในการในทำงาน
    4. ให้มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างทั่วถึง
    5. สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานร่วมกัน
    6. ให้สมาชิกทุกคนสนับสนุนและช่วยเหลือกัน
    7. ระดมความคิดสร้างสรรค์เพื่อศักยภาพของทีมงาน

การติดต่อสื่อสารของทีมงาน (Communication of Team Work) เป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างสมาชิก มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการทำงาน รวมทั้งก่อให้เกิดความรู้สึกและความเข้าใจอันดีระหว่างกัน ลักษณะของการติดต่อสื่อสารที่ดีได้แก่

    1. สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างใกล้ชิดสนิทสนม
    2. เป็นการสื่อสารสองทางในการรับรู้ข่าวสารระหว่างกัน
    3. มีอุปกรณ์การติดต่อสื่อสารที่ทันสมัย
    4. ไม่สร้างความขัดแย้งระหว่างสมาชิกของกลุ่ม
    5. เสริมสร้างแรงจูงใจและกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือ
    6. สนับสนุนความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รวมทั้งการให้กำลังใจ

ผู้จัดการ คือ ผู้ใช้ทรัพยากรทุกชนิดที่มีอยู่ ให้เกิดผลตามวัตถุประสงค์ขององค์การ เพื่อให้การดำเนินงานขององค์การเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ผู้จัดการควรมีคุณสมบัติ ดังนี้

    1. ควรเป็นผู้ที่มีความรู้พอสมควร และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน
    2. มีความคิดเห็นที่ทันสมัย ต้องศึกษาและฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ
    3. มีความคิดริเริ่ม
    4. สนับสนุนความคิดใหม่ๆ ของผู้ใต้บังคับบัญชา
    5. ทำงานอย่างมีระบบ
    6. มีความสามารถในการประสาน และรู้หลักมนุษย์สัมพันธ์
    7. มีความยุติธรรม

การพัฒนาตัวเพื่อเป็นผู้นำ (Self Development for Leadership)

    1. พัฒนาตนเองด้านต่างๆ
      1. การมีความสุภาพอ่อนโยน
      2. ปรับตัวเข้ากับบุคคลโดยทั่วไป
      3. ฝึกตนเองให้มีใจคอกว้างขวาง
    2. การพัฒนาตนเองเพื่อเป็นแบบอย่างแก่ผู้ร่วมงาน
      1. มีความมานะ อดทน
      2. มีระเบียบวินัย ปฏิบัติตนตามกฎหมาย
      3. ละเว้นการประพฤติชั่ว
      4. ทำตัวเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่
      5. มีความเฉลียวฉลาดและรอบรู้
      6. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
    3. พัฒนาจิตสำนึกต่อการเป็นผู้นำ
      1. มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
      2. เอาใจเขามาใส่ใจเรา
      3. เคารพสิทธิหน้าที่ผู้อื่น
      4. มีความวิริยะอุตสาหะ
      5. เสียสละทุ่มเทเวลาให้กับงาน
      6. สร้างความรักและศรัทธาแก่ผู้ร่วมงาน
    4. การพัฒนาการทำงาน
      1. มีความรู้ความเข้าใจในนโยบายขององค์การ
      2. รู้กฎหมายระเบียบในหน้าที่การงาน
      3. รู้แนวทางการวิวัฒนาความก้าวหน้าเพื่อส่วนรวม
      4. เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ
      5. เป็นผู้มีความรับผิดชอบต่อผลการทำงานที่เกิดขึ้น
      6. มีความคิดริเริ่มและรู้จักใช้คนให้เหมาะสม
    5. การปฏิบัติตัวในฐานะผู้นำ
      1. เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าพบแบบเป็นกันเอง
      2. พูดคุยโดยไม่ถือตัวและสุภาพเรียบร้อย
      3. มีความเสมอภาคและเที่ยงธรรม
      4. ไม่ทำตนเป็นคนเห็นแก่ตัว
      5. สำรวจตนเองถึงความบกพร่องต่างๆ
      6. ใฝ่ความความรู้เพิ่มเติมอยู่สมอ
      7. ปรุงปรุงบุคลิกภาคให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา
      8. ฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้มีเหตุผล
      9. ศึกษาแนวทางการดำเนินชีวิตเพื่อเป็นผู้นำที่ดี
    6. บุคลิกท่าทางของผู้นำ
      1. มีบุคลิกภาพโดยรวมสง่างาม
      2. มีการแต่งกายเหมาะสมและทันสมัย
      3. พูดเก่ง มีสาระ เสียงดัง ฟังไพเราะ
      4. มีอัธยาศัย ต้อนรับด้วยมิตรไมตรี
      5. เข้าสังคมได้ดีทุกโอกาส
    7. การใช้ดุลยพินิจตัดสินใจ
      1. ศึกษาปัญหาด้วยความรอบรู้
      2. คิดค้นสาเหตุแห่งปัญหาและมูลเหตุที่เกี่ยวข้อง
      3. ประเมินค่า ข่าวสาร ข้อมูล พร้อมด้วยการวิเคราะห์
      4. กำหนดทิศทางเลิกเพื่อแก้ปัญหา
      5. ปฏิบัติการตัดสินใจด้วยความสุขุมรอบคอบ
    8. การแก้ปัญหาความขัดแย้ง
      1. โดยการใช้อำนาจและสิทธิเข้าจัดการแก้ปัญหา (Domination)
      2. โดยใช้วิธีประนีประนอม (Compromise)
      3. โดยวิธีการประสานความเข้าใจ (Integration)

ประโยชน์ของการสร้างแรงจูงใจ มีดังต่อไปนี้

    1. ส่งเสริมความรัก ความสามัคคีในหมู่คณะ
    2. ก่อให้เกิดความจงรักภักดีต่อองค์การ
    3. สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่บุคลากรในองค์การ
    4. ทำให้การทำงานเป็นไปด้วยความราบรื่น
    5. เสริมสร้างความก้าวหน้าแก่พนักงานและองค์การ
    6. ทำให้การบริหารทีมงานขององค์การดีขึ้น
    7. การใช้ทรัพยากรขององค์การเกิดประโยชน์สูงสุด
    8. ลดความขัดแย้งและปัญหาต่างๆ ขององค์การได้มาก
    9. สร้างความเป็นธรรมของบุคลากรในองค์การ
    10. เพิ่มผลผลิตมากขึ้น แก่องค์การ

มนุษย์สัมพันธ์ในองค์การ

(Human Relation in Organization)

เครื่องมือทำงานของผู้บริหาร (Tools for Administration) ที่จะทำงานให้ประสบความสำเร็จ เพื่อให้สมาชิกในองค์การเกิดความร่วมมือในการทำงาน และลดปัญหาความขัดแย้งในองค์การ แบ่งออกเป็น 6 ประเภท คือ

    1. เครื่องมือกระตุ้น (Simulation Tools)
      1. ความกระตือรือร้น (Enthusiasm)
      2. ความสดชื่นรื่นเริง (Cheerfulness)
      3. ความไม่เห็นแก่ตัว (Unselfishness)
    2. เครื่องมือรักษาความมั่นคง (Stabiling Tools)
      1. ความสุขุมเยือกเย็น (Calmness)
      2. ความสม่ำเสมอ (Consistency)
    3. เครื่องมือใช้ประหยัดเวลา (Time Saving Tools)
      1. ความง่าย (Simplicity)
      2. ความรับฟัง (Receptive)
      3. ความเปิดเผย (Frankness)
      4. ความประทับใจ (Impressiveness)
    4. เครื่องมือสร้างความคล้อยตาม (Conforming Tools)
      1. ความมั่นคง (Firmness)
      2. ความแนบเนียน (Tacful)
      3. ความอดทน (Patience)
    5. เครื่องมือเหนี่ยวรั้ง (Restraining Tools)
      1. เกียรติศักดิ์ (Dignity)
      2. ความสุภาพอ่อนโยน (Courtesy)
    6. เครื่องมือสร้างความจงรักภักดี (Loyalty Tools)
      1. ความเมตตากรุณา (Kindness)
      2. ความเป็นกันเอง (Friendliness)

แนวทางการสร้างมนุษย์สัมพันธ์โดยทั่วไปได้แก่

    1. ไม่ถือตัวและพูดกับทุกคน
    2. มีความสุภาพ วางตัวเหมาะสมตามกาลเทศะ
    3. สร้างความสัมพันธ์ และเป็นมิตรกับทุกคน
    4. มีความสนใจต่อบุคคลอื่นด้วยความจริงใจ
    5. เรียกชื่อบุคคลอื่นได้ถูกต้อง
    6. พูดจายกย่องคนอื่นมากกว่าการตำหนิติเตียน
    7. หลีกเลี่ยงการยกตนข่มท่าน
    8. มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
    9. ให้ความต้อนรับแก่ทุกคนด้วยความสุภาพอ่อนโยน
    10. นำความคิดผู้อื่นมาประกอบการพิจารณาดำเนินการ
    11. ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อมีโอกาส

การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ของผู้บริหารมีรายละเอียดโดยสรุป คือ

    1. การทักทายผู้อื่นก่อน
    2. เป็นคนเปิดเผยโดยไม่ปิดบัง
    3. มีความสุภาพ อ่อนโยน
    4. มีอารมณ์ขัน และรักสนุก
    5. ยิ้มแย้ม แจ่มใส
    6. ใจคอเยือกเย็น ควบคุมอารมณ์ได้ดี
    7. มีความเป็นกันเองกับคนทุกๆคน
    8. มีสีหน้า ดวงตาแจ่มใส เบิกบาน
    9. เป็นคนสงเคราะห์ เกื้อกูล
    10. จำชื่อคนได้แม่นยำ
    11. ตั้งใจพูดกับคู่สนทนา
    12. ยกย่องให้เกียรติผู้อื่น
    13. มีบุคลิกภาพเป็นผู้นำทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ
    14. ให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาเมื่อเขาทำดี
    15. ไม่ตำหนิคนต่อหน้าผู้อื่น
    16. มีมิตรภาพ ห่วงใยผู้ใต้บังคับบัญชานอกเวลางาน
    17. ไม่หลงตน หลงอำนาจ และเป็นคนชอบระแวงสงสัย
    18. ไม่ตัดสินใจขณะมีอารมณ์ และเลือกที่รักมักที่ชัง
    19. คำสั่งต้องชัดเจน และให้โอกาสแสดงความคิดเห็น
    20. มีความห่วงใยผู้ใต้บังคับบัญชา และสมาชิกในครอบครัว
    21. มีศีลธรรม และคุณธรรมประจำใจ

มนุษย์สัมพันธ์ฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา

(Human Relation for Subordinate)

    1. ทำงานให้เต็มเวลา เต็มความสามารถ
    2. ยอมรับการตัดสินใจของผู้บริหาร
    3. กระตือรือร้นทำงานให้มีประสิทธิภาพ
    4. ใฝ่หาความรู้ ทำงานให้มีประสิทธิภาพ
    5. ยกย่องผู้บังคับบัญชาตามโอกาสอันควร
    6. แสดงกิริยายิ้มแย้มแจ่มใส อยู่ตลอดเวลา
    7. รู้จักและพยายามเรียนรู้นิสัยส่วนตัวของผู้บังคับบัญชา
    8. ไม่นินทาผู้บังคับบัญชาทั้งต่อหน้าและลับหลัง
    9. แสดงความยินดีเมื่อผู้บังคับบัญชาประสบความสำเร็จชีวิตส่วนตัว
    10. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เสนอต่อผู้บังคับบัญชาตามโอกาส
    11. นำความคิด นโยบายผู้บังคับบัญชาปฏิบัติให้เกิดผล
    12. แสดงความจริงใจ บริสุทธิ์ใจต่อผู้บังคับบัญชา
    13. ไม่บ่นถึงความยากลำบากในการทำงาน
    14. ไม่รบกวนผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ
    15. ไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับงาน
    16. แสดงความเห็นอกเห็นใจเมื่อผู้บังคับบัญชามีปัญหา
    17. ควบคุมอารมณ์เมื่อไม่เห็นด้วยกับผู้บังคับบัญชา
    18. พยายามหลีกเลี่ยงการประจบสอพลอ
    19. ไม่พูดเรื่องส่วนตัวของผู้บังคับบัญชาในทางเสื่อมเสีย
    20. ประเมินตนเองเป็นครั้งคราวเพื่อทราบความบกพร่อง

มนุษย์สัมพันธ์ฐานะเพื่อนร่วมงาน (Human Relation for Workers)

    1. แสดงความคุ้นเคยและไว้เนื้อเชื่อใจ
    2. ให้เกียรติและรับฟังความคิดเห็น
    3. เป็นผู้ให้ตามโอกาสอันควร
    4. มีความจริงใจต่อกัน
    5. ช่วยเหลือเมื่อเพื่อนมีความเดือดร้อน
    6. พบปะสังสรรค์เมื่อมีโอกาสอันควร
    7. ไม่นินทาว่าร้ายเพื่อนทั้งต่อหน้าและลับหลัง
    8. เก็บความลับของเพื่อนได้ดี
    9. มีความสุขุมรอบคอบและอดทน
    10. มีเจตคติเป็นประชาธิปไตย
    11. มีใจคอกว้างขวาง
    12. มีความเสมอต้นเสมอปลายอยู่เสมอ
    13. ยกย่องชมเชยเพื่อนในโอกาสอันควร
    14. ยอมรับและให้ความสำคัญเพื่อนร่วมงาน
    15. ไม่ก่อศัตรูและสร้างปัญหาขัดแย้ง
    16. ให้คำแนะนำ ข้อคิดเห็นแก่เพื่อนตามโอกาส
    17. ร่วมมือและช่วยเหลือเพื่อนในการทำงาน

มนุษยสัมพันธ์ฐานะผู้ให้บริการ (Human Relation for Service) กับบุคคลทั่วไป

    1. แต่งกายดี มีความสุภาพ
    2. มีท่าทีที่เป็นมิตรไมตรีกับทุกคน
    3. ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
    4. รู้จักควบคุมอารมณ์เป็นปกติ
    5. เข้าใจความต้องการของผู้อื่น
    6. เลิกความรู้สึกว่า คนเป็นเจ้าขุนมูลนาย
    7. รักษาสุขภาพร่างกายดีอยู่เสมอ
    8. ไม่บ่น และพูดจาเสียดสี เหน็บแนม
    9. ให้คำปรึกษา แนะนำที่ถูกต้อง
    10. ให้บริการที่รวดเร็ว ว่องไว
    11. เข้าร่วมกิจกรรม ให้เกิดความคุ้นเคย
    12. รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น
    13. มีจิตสำนึกอยู่เสมอว่า งานบริการเป็นงานที่มีเกียรติ

มนุษย์สัมพันธ์เพื่อทำงานร่วมกัน

(Human Relation for Co-Operation)

ในการทำงานร่วมกัน จะต้องพึ่งพาอาศัยกัน รู้จักการประนีประนอมยอมรับในสิ่งที่ผิดพลาดบกพร่อง ถนอมน้ำใจให้ความรักสนิทสนม แม้ว่าจะมาจากสถานที่ต่างๆ อาจจะแตกต่างสถานภาพ ชีวิตความเป็นอยู่ การศึกษา เพศ และวัย ฯลฯ แต่เมื่อมาทำงานร่วมกัน ก็จะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

    1. ทำอย่างไรจะชนะใจคน
      1. เอาใจเขามาใส่ใจเรา
      2. ปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับความพอใจของเรา
    2. การสนทนาวิสาสะ
      1. รู้จักถามเพื่อให้เกิดความร่วมมือ
      2. รู้จักการฟังให้มาก พูดแต่น้อย
      3. มีท่าทางเหมาะสมทั้งการพูดและการฟัง
      4. มีความยิ้มแย้ม เบิกบาน
      5. มองคนอื่นในแง่ดี
      6. การใช้น้ำเสียงที่สุภาพอ่อนโยน
      7. ส่งเสริมศักดิ์ศรี เกียรติยศ
      8. ยกย่องชมเชยตามโอกาส
    3. พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง
      1. ใจเรรวนไม่แน่นอน
      2. ไม่มีความรับผิดชอบ
      3. ดูหมิ่นผู้ใต้บังคับบัญชา
      4. เอาแต่ตัวรอดเพียงคนเดียว
      5. เจ้าอารมณ์ โมโหฉุนเฉียว
      6. ระเบียบเกินควร จุกจิก จู้จี้
      7. ชอบทำตัววิเศษกว่าคนอื่น
      8. มารยาทส่วนตัวหยาบคาย
      9. ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
      10. เลือกที่รักมักที่ชัง
      11. ชอบแสดงอำนาจบาตรใหญ่
      12. มีแต่ยาหอม ปราศจากความจริงใจ
      13. ไม่รักษาคำพูด คำสัญญา
      14. ไม่สนใจปัญหาการทำงาน
      15. ชอบหวาดระแวงเป็นนิสัย
      16. ไม่สนใจคำร้องเรียนผู้ใต้บังคับบัญชา
      17. เบียดบังผลประโยชน์ส่วนตัว
      18. ไม่ต่อสู้ผลประโยชน์ของผู้ใต้บังคับบัญชา
      19. ชอบผิดบังความรู้ในการทำงาน
      20. ชอบเสี้ยมเขาควายชนกัน
      21. ชอบขู่เข็ญ บังคับ
      22. หูเบา ชอบนินทาว่าร้าย
    4. การบำรุงรักษาผู้ใต้บังคับบัญชา
      1. รู้จักคุมอารมณ์ตัวเอง
      2. รู้จักวิธีส่งเสริมและการให้กำลังใจ
      3. รู้จักการให้รางวัลล่อใจ
      4. ชี้แจงความเคลื่อนไหวในองค์การ
      5. รักษาผลประโยชน์ของผู้ใต้บังคับบัญชา
    5. หลักการเข้ากับเพื่อนร่วมงาน
      1. ให้ความร่วมมือด้วยความเต็มใจ
      2. หลีกเลี่ยงการทำตัวเหนือกว่า
      3. พบปะสังสรรตามสมควร
      4. อย่าซัดทอดความผิดให้ผู้อื่น
      5. เข้าหาผู้อื่นก่อน
      6. ยกย่องชมเชยตามโอกาส
      7. หลีกเลี่ยงการนินทาว่าร้าย
      8. รับฟังความคิดเห็นตามสมควร
      9. มีความเสมอต้นเสมอปลาย
      10. มีความจริงใจ
      11. หลีกเลี่ยงการขอร้องหยุมหยิม
      12. มีใจคอกว้างขวาง
    6. หลักการเข้ากับผู้บังคับบัญชา
      1. เคารพยกย่องตามฐานะ
      2. ไม่ก่อศัตรูกับผู้บังคับบัญชา
      3. ทำงานให้ดี และหลีกเลี่ยงการประจบสอพลอ
      4. เรียนรู้นิสัยการทำงานของผู้บังคับบัญชา
      5. อย่านินทาเมื่อลับหลัง
      6. อย่ารบกวนผู้บังคับบัญชาเรื่องเล็กๆน้อยๆ
      7. อย่าโกรธผู้บังคับบัญชาที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดเรา
      8. อย่าบ่นถึงความยากลำบาก
      9. สรรเสริญผู้บังคับบัญชาตามโอกาส
      10. เข้าหาผู้บังคับบัญชาให้เหมาะกับระยะเวลาและโอกาส
    7. การสั่งงาน
      1. อย่าสั่งในรายละเอียดมากเกินไป
      2. อย่าสั่งหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
      3. จงใช้วิธีขอร้องแทนคำสั่ง
      4. จงใช้คำพูดที่สุภาพ
      5. จงคำนึงถึงความรู้สึกของผู้รับสื่อบ้าง
      6. ให้โอกาสผู้รับสั่งมีเวลาคิดก่อนที่จะรับหรือปฏิเสธ
    8. การปกครองบังคับบัญชา
      1. ไม่ยึดมั่นในตนเองมากเกินไป
      2. ไม่พูดจารุนแรง และหยาบคาย
      3. ไม่เอาเปรียบผู้ใต้บังคับบัญชา
      4. ไม่หาประโยชน์ในทางที่ชอบ
      5. ไม่นินทาว่าร้ายผู้ใต้บังคับบัญชา
      6. ไม่เชื่อคนง่าย
      7. ไม่เป็นเผด็จการ
      8. มีความรู้ ความสามารถ
      9. มีเหตุผลดี มีใจเป็นธรรม
      10. มีอารมณ์ดี ไม่วู่วาม
      11. มีพรหมวิหาร 4
      12. รู้จักให้อภัยไม่อาฆาต
      13. มีความสนิทสนมเป็นกันเอง
      14. ช่วยเหลือ ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา
      15. ประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดี
      16. เคารพเหตุผลเพื่อนร่วมงาน
      17. มีการยืดหยุ่น ผ่อนหนัก ผ่อนเบา
      18. มีการส่งเสริมและให้กำลังใจแก่ผู้ทำงาน
      19. มีความยุติธรรมในการพิจารณาความดีความชอบ

การวางแผน ลักษณะที่สำคัญ

    1. เป็นกระบวนการของการพิจารณาที่มีขั้นตอนต่างๆในการทำงาน
    2. เป็นการกำหนดเป้าหมายและวิธีการดำเนินงานสู่เป้าหมาย
    3. เป็นเรื่องของสมมติฐานในอนาคต โดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน
    4. เป็นเรื่องของการใช้ความคิด จินตนาการหรือการคาดคะเน โดยอาศัยข้อมูลปัจจุบัน แล้วนำมาใช้กับการทำงานในอนาคต
    5. เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ของหน่วยงาน
    6. เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดระบบงาน และการจัดสรรทรัพยากรในการปฏิบัติงาน

แผนงานจะอำนวยประโยชน์ให้แก่การประกอบธุรกิจดังต่อไปนี้

    1. ลดการทำงานตามยถากรรม
    2. ช่วยให้การทำงานประสานสัมพันธ์กัน รวมทั้งลดการทำงานซ้ำซ้อน
    3. การปฏิบัติงานตามแผน ย่อมก่อให้เกิดการประหยัดทั้งกำลังเงิน กำลังคนและเวลา
    4. ช่วยให้การตรวจสอบและการควบคุมงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
    5. ช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่การงานของผู้บริหารให้ลดน้อยลง
    6. ช่วยให้ผู้บริหารมีความเชื่อมั่นในการบริหารงานมากขึ้น
    7. ช่วยป้องกันความขัดแย้งซึ่งอาจมีขึ้นได้ในองค์การ
    8. ช่วยให้ผู้บริหารสามารถตรวจสอบความสำเร็จของเป้าหมายได้
    9. แผนงานที่ดีจะสามารถระดมกำลังคน และทรัพยากรต่างๆขององค์กรมาใช้ได้ผลโดยทั่วถึงกัน

ลักษณะและคุณสมบัติของผู้นำ มีดังต่อไปนี้

    1. บุคลิกลักษณะดี เช่น ลักษณะทางร่างกาย กิริยามารยาท การพูดจา การแต่งกายที่เหมาะสม
    2. มีความปรารถนาที่จะเป็นผู้นำ
    3. มีความเฉลียวฉลาด
    4. สามารถรู้ถึงจิตใจคนอื่น เพื่อที่จะหาทางโน้มน้าวจิตใจเขาได้
    5. รู้จักตัวเอง เช่น รู้สึกความต้องการของตน สามารถมองเห็นการกระทำของตนตามความเป็นจริง
    6. มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับงานที่ทำ
    7. เชื่อมั่นในความคิดเห็นของตนเอง
    8. มีความกระตือรือร้น
    9. มีความเที่ยงธรรม
    10. มีความสามารถที่จะนำและสอนคนอื่นได้
    11. มีความศรัทธาต่องานและผู้ร่วมงาน

การประสานงานย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อการทำงานขององค์การ คือ

    1. ทำให้งานดำเนินไปได้รวดเร็ว และบรรลุเป้าหมาย
    2. ขจัดปัญหาการทำงานซ้ำซ้อน
    3. ช่วยให้เกิดการประหยัดทั้งเวลา เงิน แรงงาน วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ
    4. ช่วยเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น
    5. ลดความขัดแย้งในการทำงาน
    6. ก่อให้เกิดขวัญและกำลังใจในการทำงาน
    7. ช่วยสร้างความสำนึกในความรับผิดชอบร่วมกัน
    8. ช่วยลดอุบัติเหตุและการเสี่ยงภัยต่างๆ

การประสานงานจะดีเพียงใดขึ้นอยู่กับผู้บริหาร ในด้านความสามารถการวางแผนและการประสานงานโครงการ รวมทั้งนำให้ทุกฝ่ายได้เกิดความร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติงาน

จุดประสงค์และงานการควบคุม

Purpose of Comtrolling

    1. เพื่อให้แน่ใจว่าการปฏิบัติงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
    2. บังคับหรือกำกับให้ผลงานมีมาตรฐาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
    3. เพื่อให้เกิดการประสานงานกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ
    4. เป็นเครื่องมือกระตุ้นหรือจูงใจให้บุคคลในองค์กรทำงาน
    5. เพื่อให้การปฏิบัติงานมีระเบียบวินัย
    6. จะได้ทราบว่าวิธีการปฏิบัติงานนั้นถูกต้องหรือไม่ และใช้วิธีที่ดีที่สุดหรือไม่
    7. นำข้อมูลย้อนกลับไปปรับปรุงแผนงานและองค์การ
    8. เป็นเครื่องวัดประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานเจ้าหน้าที่
    9. งานในองค์การธุรกิจที่จะต้องควบคุมที่สำคัญ ได้แก่
      1. งานด้านการผลิต เช่น ปริมาณ คุณภาพ ขนาด น้ำหนักของสิ่งของที่ทำการผลิต เป็นต้น
      2. ทรัพยากรในการผลิต เช่น เวลาที่ใช้ ต้นทุนการผลิต และค่าใช้จ่ายต่างๆ
      3. การควบคุมเกี่ยวกับหน้าที่ ได้แก่ การปฏิบัติหน้าที่ต่างๆของพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น หน้าที่การผลิตสินค้า หน้าที่การขาย
      4. การควบคุมเกี่ยวกับพฤติกรรมของคน เช่น การมาสาย การลาหยุด การทำงานชักช้า ฯลฯ

กระบวนการในการควบคุม

    1. กำหนดเป้าหมายของงานให้แน่ชัด เช่น กำหนดว่าจะผลิตสินค้า ก. ให้ได้ 100 หน่วยภายใน 1 เดือน ทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการวางแผนปฏิบัติงานได้ถูกต้องและจะได้ ดำเนินการควบคุมการทำงานต่อไป
    2. กำหนดมาตรฐานของงาน เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดผลงานว่า สูงหรือต่ำกว่าที่กำหนดไว้ มาตรฐานของงานอาจแยกเป็นมาตรฐานของผลงานและมาตรฐานในการปฏิบัติงาน มาตรฐานของผลงาน ได้แก่ รูปร่าง ลักษณะ สี ความคงทน ต้นทุนการผลิต มาตรฐานในการปฏิบัติงาน เช่น ปริมาณในการผลิตต่อหน่วยเวลา ความคงทนในการทำงานของบุคลากร
    3. การวัดผลการปฏิบัติงาน เพื่อทราบผลของงานในช่วงเวลาของการปฏิบัติงาน โดยใช้เครื่องมือต่างๆดังนี้
      1. ปริมาณของงานที่ผลิต
      2. คุณภาพของงาน
      3. เวลาที่ใช้ไปสำหรับการทำงาน
      4. ค่าใช้จ่าย
    4. การเปรียบเทียบผล การปฏิบัติงานกับเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ว่าได้สูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด อนึ่ง ในการเปรียบเทียบนี้จะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆที่จะมีอิทธิพลทำให้เกิดความ แตกต่างระหว่างผลงานที่ได้กับเป้าหมายที่ตั้งไว้ตามแผนด้วย ตัวอย่างของตัวแปรที่มีผลต่อการปฏิบัติงาน เช่น น้ำท่วม ภาวะสงคราม
    5. ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง เมื่อได้วิเคราะห์เปรียบเทียบและหาความแตกต่างระหว่างแผนงานที่วางไว้กับผล ที่ปฏิบัติได้จริงๆแล้วจึงพิจารณาหาทางแก้ไขหรือวางแผนดำเนินงานใหม่ให้ถูก ต้องรัดกุม นอกจากการวางแผนใหม่แล้ว อาจจำเป็นต้องจัดองค์การใหม่หรือวางวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมใหม่ ก็ได้

กิจกรรมกลุ่มสร้างเสริมคุณภาพ แบ่งออกตามลักษณะของการทำงานตามขั้นตอนต่างๆ ดังต่อไปนี้

    1. การค้นหาปัญหา
    2. การแก้ปัญหา
    3. การปรับปรุงคุณภาพ และประสิทธิภาพ
    4. การสร้างเสริมคุณภาพ และประสิทธิภาพ

การทำกิจกรรมให้เกิดประสิทธิภาพ จะต้องเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ปัญหา แล้วดำเนินการแก้ปัญหา และทำมาตรฐานการทำงานเอาไว้นำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อป้องกันปัญหามิให้บังเกิดซ้ำๆขึ้นมาอีก การทำงานให้เกิดประสิทธิภาพที่แท้จริงจำเป็นต้องกระทำตามขั้นตอน ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ลำดับ คือ

    1. เลือกหัวข้อปัญหาและตั้งเป้าหมาย (Theme set up)
    2. วิเคราะห์สาเหตุ (Analyze the Cause)
    3. เลือกวิธีและทดลองแก้ไข (Select Method and Try)
    4. ติดตามผล (Follow up)
    5. ทำมาตรฐานปฏิบัติ (Standard Working Action)

ขั้นตอนการใช้เทคนิคคู่มือ QC

ขั้นที่ 1

เลือกเรื่อง/หัวข้อจากงาน/ปัญหา

เก็บตัวเลข ข้อมูล

จำแนกข้อมูล

แสดงสถานภาพ/จัดลำดับ/ตั้งเป้าหมาย/กำหนดเวลา

ขั้นที่ 2

ได้สาเหตุที่แท้จริง/หาความสัมพันธ์ของสาเหตุ

วิเคราะห์ขั้นละเอียด/หาความสัมพันธ์/หารือผู้เกี่ยวข้อง

ย่อยข้อมูล/หาข้อมูลเพิ่มเติม ดูของจริง/ประสบการณ์

หาสาเหตุคร่าวๆขั้นต้น

ขั้นที่ 3

เลือกวิธีแก้ของแต่ละสาเหตุ

ปรับวัสดุ/อุปกรณ์/วิธีการ/เครื่องมือ ความรู้

มอบหมายความรับผิดชอบ

ทดลองแก้และหารือ

ขั้นที่ 4

เปรียบเทียบกับเป้าหมาย/คุณค่าของกิจกรรมที่ปรับปรุงแล้ว

เปรียบเทียบผลกับข้อมูลเดิม

แสดงสถานภาพ/จัดลำดับ

ติดตามผล

ขั้นที่ 5

ทำมาตรฐานการปฏิบัติ/กันปัญหาเกิดซ้ำ

ตรวจดูวิธีที่ทดลองแก้/ปรับปรุงลำดับปฏิบัติ/เขียนใหม่

ปรับวิธีทำงาน/อุปกรณ์/วัสดุ/การจัดหา/แบ่งหน้าที่

ถือปฏิบัติเป็นงานประจำ/ติดตามและควบคุมระยะยาว

ระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพ

Efficiency of Controlling System

เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดงาน การไม่สนใจที่จะทำงาน การมาสายและอื่นๆ ประกอบกับการที่จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ควรจะปรับปรุงระบบการควบคุมดังต่อไปนี้

1. ควรจะให้พนักงานเจ้าหน้าที่ควบคุมตนเอง โดยตั้งจุดมุ่งหมายของงานไว้และให้เขาปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุผลตามจุดมุ่ง หมาย แต่ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ของจุดมุ่งหมายที่ได้กำหนดไว้ เช่น มีคนงานเพียงพอ มีวัสดุพร้อม

2. กำหนดจุดควบคุมอย่างเหมาะสม ควบคุมเฉพาะจุดที่สำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จตามแนวทางการทำงาน

3. ใช้วิธีการควบคุมที่ค่อนข้างง่าย พยายามลดระเบียบวิธีการที่ไม่จำเป็น

4. ควรอธิบายถึงสาเหตุและความจำเป็นของการควบคุม เพื่อให้เข้าใจ

5. วิธีการที่ดีควรให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรฐานการควบคุม

6. การบริหารงานควรมอบหมายงานและกระจายอำนาจ โดยการควบคุมเพียงกว้างๆ พยายามให้พนักงานรู้สึกถูกควบคุมน้อยลง

7. ต้องมีข้อมูลป้อนกลับ แก่พนักงานไว้เพื่อส่งเสริมและช่วยกันควบคุมตัวเองโดยข้อมูลจะต้องถูกต้อง ทันต่อเหตุการณ์

หลักในการควบคุม

    1. ความรับผิดชอบขององค์การ
    2. มีความคล่องตัว
    3. ประหยัดอย่างสมเหตุ
    4. ทันเวลาและถูกต้อง
    5. ตรงกับความต้องการองค์การ
    6. ควบคุมตามความสำคัญ
    7. เป็นที่ยอมรับ
    8. คำนึงถึงพนักงาน
    9. มีความชัดเจน
    10. มีประสิทธิภาพ
    11. มีความเหมาะสมและจำเป็น
    12. มองอนาคตข้างหน้า

ลักษณะของเป้าหมายที่ดี

SMART Goal

1. มีความเฉพาะเจาะจง (Specific) คือ ระบุเป็นเรื่องเฉพาะอย่าง เป็นกิจกรรมงานอย่างเป็นรูปธรรม เช่น เพิ่มผลผลิตไม่ถือว่าเฉพาะเจาะจง เพิ่มพนักงาน 3 คน ถือว่าเฉพาะเจาะจง , เรียนหนังสือไม่ถือว่าเฉพาะเจาะจง, เรียนคณิตศาสตร์ถือว่า เฉพาะเจาะจง เป็นต้น

2. สามารถวัดได้ (Measurable) คือ ต้องสามารถระบุลักษณะของหน่วยวัดที่สัมผัสได้ อาจจะเป็นเปอร์เซ็นต์ เป็นจำนวน เป็นสัดส่วน เป็นต้น

3. สื่อให้เห็นความมุ่งมั่นในการกระทำ (Action Oriented) คือ ใช้กิริยาที่สื่อถึงความตั้งใจในการปฏิบัติงานให้สำเร็จ เช่น มุ่งเพิ่ม, มุ่งลด ต้องเพิ่ม/ลด เร่งรัด ฯลฯ

4. มีความเป็นไปได้ (Realistic) คือ เป้าหมายที่มุ่งหวังให้สำเร็จจะต้องไม่ยาก/ ง่ายเกินไป กล่าวคือ อยู่ในระหว่างความยากกับความง่าย เมื่อคำนึงถึงศักยภาพของตนเอง และทรัพยากรของบริษัท

5. ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดเวลาและทรัพยากร (Time and Resources Constrained) เป้าหมายที่กำหนดนั้นอยู่ในขอบเขตอันจำกัดของเวลา และทรัพยากรที่มีอยู่ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด และต้องการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนำไปเทียบกับทรัพยากรที่ใช้แล้วต่ำ เช่น ปกติทำงานหนึ่งชิ้นเสร็จภายใน 14 เดือน แต่ตั้งเป้าหมายให้เสร็จภายใน 10 วัน โดยไม่เพิ่มค่าใช้จ่ายและกำลังคน

โดยทั่วไปแล้วเป้าหมายที่ดีต้องไม่ยากหรือง่ายเกินไป คือ ต้องมีความท้าทาย (Challenge) ทั้งนี้เพื่อเป็นการท้าทายให้พนักงานมุ่งมั่นที่จะพิชิตเป้าหมายนั้นให้ได้ อย่างไรเรียกว่าท้าทาย เป้าหมายที่ท้าทาย เช่น เดิมเคยขายผลิตภัณฑ์ได้ 10 ล้านบาทต่อเดือน แต่ตั้งเป้าหมายเป็น 13 ล้านบาทต่อเดือน อย่างนี้เรียกว่า ท้าทาย แต่ถ้าตั้งเป้าหมายเป็น 30 ล้านบาทต่อเดือน อย่างนี้ไม่ท้าทาย เพราะจะทำให้หมดกำลังใจและท้อถอย เนื่องจากรู้ว่าโอกาสที่จะขายได้ 30 ล้านต่อเดือนแทบจะเป็นไปไม่ได้

องค์ประกอบของแผนปฏิบัติ

วัตถุประสงค์หรือกลยุทธ์ จะถูกจัดการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เป็นแผนปฏิบัติ (Action Plan) ใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย

ในรูปแบบการวางแผนปฏิบัติ มีองค์ประกอบที่จำเป็นอย่างน้อย 8 ประการ ซึ่งเป็นการรวบรวมและใช้เป็นเครื่องมือในการวัดความก้าวหน้าของการปฏิบัติ งาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

1. เป้าหมาย (Goal)

เป้าหมายที่ดีต้องมีองค์ประกอบครบ (SMART Goal)

2. เหตุผลและความจำเป็น

อธิบายถึงประโยชน์และความจำเป็นที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย เช่น

- ต้องการทำให้งานดีขึ้น ปรับปรุงงานให้ดีขึ้น (Essential Goal) โดยปกติแล้วไม่มีปัญหาแต่ต้องการพัฒนาให้ดีขึ้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องกระบวนการทำงาน

- ต้องการแก้ปัญหางาน (Problem – Solving) ทั้งในขั้นตอนของปัจจัยป้อนเข้า (Input Problem) ขั้นตอนกระบวนการ (Procedure Problem) และขั้นตอนปัจจัยป้อนออก (Output Problem)

- ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ กระบวนการทำงานใหม่ (Innovative Goal) เนื่องจากเห็นว่าวิธีการทำงานแบบเดิมไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ อาจจะเนื่องจากเหตุผลทางการตลาด หรือต้นทุนสูง เป็นต้น

3. การปฏิบัติ ในที่นี้ หมายถึง เป็นวัตถุประสงค์ หรือกระบวนการ (Objectives & Procedure) หรือโครงการ ผลลัพธ์ของการปฏิบัติจะส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของเป้าหมายในระดับที่สูง ถัดไป

- เป็นเรื่องของขั้นตอน (Step by Step) กิจกรรมหลัก (Main Activity) กิจกรรมรอง (Sub Activity) ซึ่งจะต้องมีการจัดวางอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอนและลำดับความสำคัญก่อนหลัง รวมทั้งให้เหมาะสมตามข้อจำกัดของทรัพยากร (ทั้งหมดถือเป็นระกับวัตถุประสงค์)

- วันเวลาแล้วเสร็จ (Deadline) ของแต่ละขั้นตอน ของกระบวนการหรือกิจกรรมงาน ประโยชน์ของการกำหนดเวลาแล้วเสร็จ ก็เพื่อเป็นตัวกระตุ้นในการทำงาน

4. ผลลัพธ์ของงาน เครื่องชี้วัดความสำเร็จ

- ต้องระบุผลลัพธ์ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว

- การวัดผลลัพธ์ความสำเร็จ ควรกำหนดเป็นข้อมูลเชิงปริมาณให้มากที่สุดถ้าเป็นไปได้

5. อุปสรรคและข้อจำกัด

- ระบุอุปสรรค หรือ ข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคทางกายภาพ สภาพการทำงาน จิตวิทยาที่อาจทำให้เป้าหมายไม่บรรลุความสำเร็จ

- กำหนดแผน วิธีป้องกัน แก้ไขอุปสรรคได้ยิ่งดี

6. วิธีแก้ไขอุปสรรค เมื่อกำหนดวัตถุประสงค์และกิจกรรมที่จะกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว ในบางสถานการณ์เมื่อนำสู่การปฏิบัติอาจจะมีอุปสรรคเกิดขึ้นได้ อาจจำเป็นต้องคิดหาวิธีป้องกัน แก้ไขอุปสรรคดังกล่าวได้

7. ค่าใช้จ่าย ประมาณการค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน สามารถคำนวณออกเป็นค่าใช้จ่ายต่อหน่วยได้ยิ่งดี

- ค่าใช้จ่าย ที่ใช้เพื่อความสำเร็จของเป้าหมาย

- ค่าใช้จ่าย ที่ใช้เพื่อป้องกันแก้ไขอุปสรรค

8. ผู้รับผิดชอบ

ใครบ้างที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อความสำเร็จของเป้าหมาย (Goal) และ / หรือ วัตถุประสงค์ (Objective)

9. วันเวลาที่บรรลุวัตถุประสงค์ (Specific Time) ต้องกำหนดเพราะเป็นวันที่จะสรุปผลสำเร็จของเป้าหมาย

ตัวอย่างแผนปฏิบัติงาน (แบบง่าย)

1. เป้าหมาย (Goal) .......

2. เหตุผลความจำเป็น (Rationale)

3. การปฏิบัติ (Objectives, Procedures)

3.1 กิจกรรมหลัก (Main Activity)

3.1.1 กิจกรรมรอง ( Sub Activity)

3.1.2 .............................................

3.1.3 .............................................

3.2 โครงการ (Project)

3.3 ...................................................

4. ความสำเร็จ /เครื่องชี้วัดความสำเร็จ ระยะสั้นคืออะไร ท่านทราบได้อย่างไรว่าสำเร็จ ระยะปานกลางคืออะไร ทราบได้อย่างไรว่าสำเร็จ

ระยะยาวคืออะไร ทราบได้อย่างไร

5. อุปสรรคข้อจำกัด

- เหตุการณ์ที่คาดว่าถ้าเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้การทำงานล่าช้าออกไป หรือต้องสะดุดหยุดลง หรือไม่ได้ผลสำเร็จตามที่กำหนดไว้

7. ค่าใช้จ่าย ...............................................บาท

วันเวลาแล้วเสร็จ

3.1 ....................................................

3.2 .....................................................

6. วิธีการแก้ไขอุปสรรค

    1. ....................................................
    2. ...................................................
    3. ...................................................

8. ผู้รับผิดชอบ ................................................

9. วันเวลาที่สำเร็จตามเป้าหมาย ...../....../........

รูปแบบการวางแผนปฏิบัติการ บางสถานการณ์จำเป็นต้องเขียนอธิบายเหตุผล ความจำเป็น และขั้นตอนการนำแผนสู่การปฏิบัติอย่างละเอียด เพราะผู้บริหารยังไม่เข้าใจเนื้อหาสาระและขั้นตอนของงาน เนื่องจากไม่เคยมีประสบการณ์ พนักงานจำเป็นต้องเขียนอธิบายอย่างละเอียด บางครั้งต้องชี้แจงเป็นการเฉพาะ แต่ถ้าผู้บริหารมีความเข้าใจในงานแล้ว ไม่จำเป็นต้องเขียนแผนปฏิบัติอย่างละเอียดเชิงพรรณนา สู้เอาเวลาเขียนแผนไปใช้กับการปฏิบัติงานอย่างเป็นขั้นตอนที่เริ่มนำไปสู่ เป้าหมายดีกว่า

หลักการของ TQM

มีหลักที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้

1. ความเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ (Strategy Leadership) ในการนำ TQM ไปใช้นั้น ผู้นำมีบทบาทสำคัญที่สุด ถ้าผู้นำไม่เอาจริงไม่ขยันแล้วก็ย่อมจะไม่มีการนำเอา TQM ไปใช้ ผู้นำเชิงกลยุทธ์จะต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล รู้จักการทำงานร่วมกันเป็นทีม เป็นนักฟังที่ดี เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการทำงานของลูกน้องเป็นเลิศ สามารถขจัดความกลัวและอุปสรรคต่างๆในการทำงานได้

2. เน้นความสำคัญของลูกค้า (Customer Focus) วิธีการทราบความต้องการของลูกค้า ทำได้โดยการหาข้อมูล อาจทำการสำรวจความต้องการของลูกค้า สัมภาษณ์ลูกค้า ให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในการประชุมอภิปรายแสดงความคิดเห็น

3. ให้พนักงานมีส่วนร่วมและมีอำนาจในการตัดสินใจด้วย (Employee Improvement and Empowerment) การให้ทุกคนมีส่วนร่วมจะทำให้เขามีความรู้สึกว่างานเป็นของเขา ความสำเร็จที่เกิดขึ้น เป็นความสำเร็จของเขา เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ ทุ่มเทให้กับงาน การให้ความร่วมมือย่อมเกิดขึ้น ส่วนการให้พนักงานมีอำนาจในการตัดสินใจปรับปรุงงานโดยเฉพาะ การตัดสินใจร่วมกันในกลุ่มก็จะทำให้พนักงานรู้สึกว่า ตนมีความหมายมีคุณค่า และความภาคภูมิใจในตนเองย่อมเกิดขึ้น

4. การตัดสินใจด้วยข้อมูล (Fact – Based Decision Making Statistics) ในการจัดการแบบ TQM การตัดสินใจปรับปรุงคุณภาพอาศัยข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ได้จากการเก็บรวบรวมได้ จะไม่พิจารณาการตัดสินใจโดยใช้ความรู้สึกหรือสามัญสำนึก หรือใช้วิธีการที่เคยปฏิบัติสืบต่อกันมาต้องตัดสินใจด้วยข้อมูลหรือข้อเท็จ จริง ในขั้นนี้จำเป็นต้องอาศัยเทคนิคทางสถิติช่วยตัดสินใจ เช่น ใช้ผังก้างปลา (Fishbone Diagram) แบบสำรวจ (Checksheet) ผังควบคุม (Control chart) กราฟแท่ง (Histogram) พาเรโต ไดอะแกรม (Pareto Diagram) Run Chart และ Scatter Diagram

5. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement)

การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเป็นหลักการที่สำคัญประการหนึ่งในการจัดการ แบบ TQM เพื่อพัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนในองค์การมีส่วนร่วมในการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง Alan Robinson ได้สรุปหลักการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องไว้ 6 ประการดังนี้

5.1 การปฏิบัติจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนปลงใหม่

5.2 พนักงานทุกคนควรจะต้องรับรู้และเกิดความต้องการที่จะปรับปรุง

5.3 ระบบการจัดการที่ปฏิบัติจะต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการปรับปรุง

    1. อย่าทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกหวาดกลัวไม่กล้าที่จะปรับปรุง

5.5 ข้อเสนอแนะที่ดี การปรับปรุงที่เกิดขึ้นจะต้องได้รับรางวัล

6. อบรมเทคนิคการแก้ปัญหา (Problem Solving Technique) โดยควรมีการฝึกวิเคราะห์รายละเอียดของปัญหา ตลอดจนการพิจารณาหาเหตุผลที่แท้จริงรวมทั้งรู้จักกระบวนการแก้ปัญหา บนพื้นฐานและหลักการทางวิทยาศาสตร์

เทคนิคการพัฒนาคุณภาพ

Quality Improvement Technique

ในการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่ต้องกระทำเพราะจะเป็นการรักษาระดับมาตรฐานของผลผลิต ให้ดำรงสถานทางธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างมั่นคง เทคนิคที่นำมาใช้ในขั้นตอนนี้ ได้แก่

    1. The Deming (PDCA) Cycle
    2. Benchmarking
    3. Problem Solving Technique
    4. Nominal Group Technique

Deming Cycle เป็นวิธีการปฏิบัติวิธีการหนึ่งที่เอื้อต่อการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้น ดังนี้

    1. วางแผน (Plan)
    2. ทดลองทำ (Do)
    3. ตรวจสอบ (Check)
    4. ปฏิบัติ (Act)

วางแผน ในการวางแผนจะต้องให้ทุกคนมีส่วนร่วมคือ จะต้องทำงานเป็นทีม ในการวางแผนมีสาระสำคัญที่ควรตระหนักดังต่อไปนี้

1. อะไรคือสิ่งที่คาดหวังจะได้รับ

2. อะไรคือขอบเขตของโครงการ

3. อะไรคือสิ่งที่เราจะ “ทดลองทำ” “ตรวจสอบ” และ “ปฏิบัติ” ในโครงการ

4. จะต้องทดลองทำเท่าไรก่อนที่จะตรวจสอบผล จะต้องตรวจสอบเท่าไรก่อนที่จะลงมือปฏิบัติ และจะต้องปฏิบัติเท่าไรก่อนที่จะมีการวางแผนในวงจรต่อไปในอนาคต

5. ข้อจำกัดมีอะไรบ้าง และแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลาเท่าไร

6. ใครบ้างที่มีส่วนร่วม

7. วางแผนเกี่ยวกับเวลา งบประมาณ บุคลากร และผู้บริหารสำหรับการดำเนินโครงการ

8. อะไรบ้างที่จะต้องได้รับการประเมิน ประเมินอย่างไร และเมื่อใด

ทดลองทำ เมื่อวางแผนแล้วจะต้องทดลองทำดูก่อน เหมือนกับเป็นการนำร่องเพื่อดูว่าวางแผนไว้ใช้ได้หรือไม่ เมื่อมาทดลองทำดูแล้วก็นำผลการทำลองทำที่พบ มาดำเนินการต่อไปด้วยวิธีการดังนี้

    1. ให้ทุกคนมีส่วนร่วม
    2. จัดให้มีการพบปะสังสรรกันและให้ทุกคนเสนอแนะ
    3. เปลี่ยนแปลงวิธีการ
    4. รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

ตรวจสอบ ในระหว่างการทดลองทำจนกระทั่งสิ้นสุดการทดลองทำ ให้สังเกตว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ ดังนี้

    1. เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่
    2. สังเกตผลที่เกิดขึ้น ตรวจสอบผลข้างเคียง และดูว่ามีการย้อนกลับไปทำอย่างเดิมหรือไม่
    3. ตีความผลที่ได้ และตรวจสอบว่าผลสรุปนั้นสามารถนำไปอ้างอิงได้หรือไม่
    4. ข้อสรุปมีผลต่อกระบวนการที่ทำหรือไม่
    5. การทดลองทำเป็นการเปลี่ยนแปลงทำให้ผลที่ได้รับเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่เป็นต้น
    6. ผลจากการวิเคราะห์ทางสถิติในขั้นตอนการตรวจสอบมีผลต่อขั้นการปฏิบัติหรือไม่อย่างไร

ปฏิบัติ เป็นการนำผลการวิเคราะห์ทางสถิติในขั้นการตรวจสอบไปปฏิบัติตามแผน ทั้งนี้ได้ตั้งข้อสังเกตในประเด็นต่อไปนี้

    1. ควรจะดำเนินการตามกระบวนการนี้ต่อไปหรือไม่
    2. ต้องเก็บรวบรวมข้อมูลเอาไว้หรือไม่
    3. ต้องการข้อเสนอแนะเพิ่มขึ้นหรือไม่
    4. ถ้าขั้น “ทดลอง” ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีจะทำให้เป็นมาตรฐานหรือไม่
    5. นำไปใช้ปรับปรุงหรือเลิกใช้
    6. จะเปลี่ยนแปลงกระบวนการอย่างไร
    7. ดำเนินการตามวงจร (Cycle) อีกครั้งในสถานการณ์ที่แตกต่างจากเดิม

Benchmarking

เป็นเทคนิคการปรับปรุงคุณภาพโดยการศึกษาความสำเร็จของผู้อื่นหรือหน่วย งานอื่นแล้วนำมาปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติของตน เมื่อศึกษาแล้วนำมาเปรียบเทียบกับของตนแล้ววางแผนปรังปรุง คล้ายๆกับลอกเลียนแบบแล้วพัฒนาให้ดีขึ้น (Copy and Development)

วิธีการของเทคนิค Benchmarking มีวิธีศึกษาเปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่นๆ 3 วิธีด้วยกัน คือ

1. การเปรียบเทียบกับหน่วยงานภายใน เป็นการเปรียบเทียบกับบุคคลหรือหน่วยงานภานในองค์กานที่มีผลงานที่ดีเยี่ยม แล้วนำมาปรับปรุง

2. การเปรียบเทียบกับหน่วยงานที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขัน

3. การเปรียบเทียบกับหน่วยงานหรือบริษัทที่มีภารกิจหรือการผลิตหรือกระบวนการทำงานคล้ายคลึงกับหน่วยงานของตนที่ประสบความสำเร็จสูง

Problem Solving Technique

กระบวนการแก้ปัญหาจะมีขั้นตอนและเป็นวงจรซึ่งในแต่ละขั้นตอนมีเทคนิคที่ควรจะนำมาใช้ดังนี้

    1. ขั้นกำหนดปัญหา หรือทำความเข้าใจกับปัญหา ใช้ Pareto Diagram เป็นเครื่องมือ
    2. ขั้นการกำหนดกระบวนการ/แผนปฏิบัติ ใช้ Process Flow Chart เป็นเครื่องมือ
    3. ขั้นการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา ใช้แผนภูมิก้างปลา (Fishbone Diagram) เป็นเครื่องมือ
    4. ขั้นรวบรวมข้อมูล ใช้ Checksheet หรือเทคนิควิธีเป็นเครื่องมือ
    5. ขั้นวิเคราะห์ปัญหา ใช้ Histogram, Graphs และ Control Chart เป็นเครื่องมือ
    6. ขั้นนำแผนปฏิบัติไปใช้ ขั้นนี้เป็นการนำแผนปฏิบัติตามข้อ 2 ไปใช้
    7. ขั้นเฝ้าดูหรือติดตามการปฏิบัติตามแผนเพื่อควบคุมกระบวนใช้ Control Chart เป็นเครื่องมือ

วงจรการแก้ปัญหา




Nominal Group Technique

เป็นเทคนิคหนึ่งในการแก้ปัญหาเพื่อ การปรับปรุงคุณภาพ และเป็นเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในกลุ่มเมื่อต้องการความคิดที่หลาก หลายจากสมาชิก มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้

1. ขั้นอธิบายปัญหา (Problem Description) ในขั้นนี้ผู้นำกลุ่มจะอธิบายประเด็นปัญหาให้สมาชิกเข้าใจ

2. ขั้นนี้สมาชิกใช้ความคิดเพื่อหาสาเหตุของปัญหา (Silent Idea Generation) ในขั้นนี้จะให้สมาชิกแต่ละคนพยายามคิดหาสาเหตุของปัญหาให้ได้มากที่สุดเท่า ที่จะมากได้

3.ขั้นให้เสนอความคิด (Round Robin) ในขั้นนี้จะให้สมาชิกทั้งหมดเสนอความคิดของตนที่คิดแล้วในข้อ 2 โดยเสนอทีละคน รอบละ 1 ข้อ เมื่อเวียนจนครบแล้วเริ่มต้นใหม่ เวียนไปครั้งละ 1 ข้อ จนทุกคนเสนอปัญหาของตนจนหมด โดยมีการบันทึกข้อเสนอของแต่ละคนไว้บนกระดาน

4. ขั้นอภิปราย เพื่อทำความกระจ่างกับข้อเสนอแต่ละข้อ (Clarification Discussion) ในขั้นนี้ผู้นำจะชี้แจงให้สมาชิกพิจารณาข้อความทั้งหมดทีละข้อว่ามีความชัด เจนหรือไม่อย่างไร โดยให้ช่วยกันเพิ่มเติม ปรับข้อความที่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายกันไว้เป็นข้อเดียวกัน

5. ขั้นจัดลำดับความสำคัญของข้อความแนวคิดทั้งหมดที่นำเสนอ (Voting and Ranking of Ideas) ในขั้นนี้จะให้สมาชิกพิจารณาและเลือกข้อความที่คิดว่าสำคัญเรียงตามลำดับ (จะเลือกกี่ลำดับก็ได้แล้วแต่จะกำหนด) โดยแต่ละคนเลือกของตนเอง และนำมาแจกแจงความถี่ของการเลือกในแต่ละข้อ แล้วนำมาจัดลำดับความสำคัญ

ในขั้นตอนที่ 1-4 จะต้องไม่มีการวิจารณ์ ตัดสินแนวคิดของสมาชิกแต่ละคน เพื่อให้สมาชิกมีอิสระในการคิด และเสนอความคิดของตน

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

อารมณ์ที่ขัดแย้งในตัวคุณ

จาก Emotional Qutient :
จากความฉลาดทางอารมณ์สู่สติและปัญญา
โดย นพ. เทอดศักดิ์ เดชคง

เด็กในยุคปัจจุบันมีความขัดแย้งทางอารมณ์สูงกว่าสมัยก่อนมาก จำได้ว่าเมื่อสมัยผมเรียนอยู่นั้น ข่าวเรื่องความเครียดจากการเรียนก็มีอยู่บ้าง แต่ก็มักไม่เกิดเรื่องเลวร้าย ยิ่งการฆ่าตัวตาย ทำร้ายตนเอง ยิ่งยากที่จะได้พบเจอ แต่ช่วงหลายปีมานี้มีวัยรุ่นจำนวนมากที่ผิดหวังอันเกิดจากการขัดแย้งทางจิตใจ ความเครียด ความน้อยเนื้อต่ำใจ

วัยรุ่นซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หวังปิดชีพตนเองโดยการกินยาฆ่าตัวตาย ครั้นพอผมเข้าไปคุยด้วยก็พบว่า เขามีความเครียดที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของครอบครัว คุณพ่อซึ่งเป็นคนเจ้าระเบียบ ได้ตั้งกฏมากมายเพื่อมไม่ให้ลูกชายเดินออกนอกลู่นอกทาง ก็เลยตัดความสุขตามประสาวัยรุ่นของเด็กหนุ่มคนนี้ไป แม้จะไม่มาก แต่ด้วยความเปราะบางของเด็กในยุคปัจจุบัน การฆ่าตัวตายจึงเป็นทางออกที่คาดไม่ถึง

สำหรับเด็กเล็กๆในระดับประถม ปัญหาความขัดแย้งทางอารมณ์ก็อาจส่งผลต่อการเรียนที่ตกต่ำอย่างไม่น่าจะเป็น รายหนึ่งที่ผมเคยรักษา การเรียนของเธอตกต่ำ จากเด็กเรียนเก่งกลายมาเป็นต้องพักการเรียน หลายรายมีปัญหาทางร่างกายเนื่องจากจิตใจ เช่น โรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ปวดศรีษะ ท้องเสียเรื้อรัง ฯลฯ

ผลกระทบของอารมณ์ที่ขัดแย้ง จึงแสดงออกมาในรูปของการเรียนที่ตกต่ำ ร่างกายที่เจ็บป่วย จิตใจที่ท้อแท้ สิ้นหวัง ตึงเครียดก็ได้

อารมณ์ที่ขัดแย้งมีอะไรบ้าง
อารมณ์ที่ขัดแย้งหมายถึง อารมณ์ด้านลบที่บังเกิดขึ้น จนเป็นสถานการณ์ที่บีบคั้น ผลที่ออกมาจะก่อผลเสียต่อตนเองทั้งนั้น อารมณ์เหล่านี้ได้แก่ วิตกกังวล โกรธ เกลียด อิจฉา และอื่นๆ

ในทางการแพทย์ เราพบว่าอารมณ์บางอย่างส่งผลต่อมนุษย์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มักพบในคนที่ต้องแก่งแย่งต่อสู้ คนที่โกรธง่ายมักเป็นไมเกรน ส่วนคนที่ขี้วิตกกังวลอาจเป็นโรคกระเพาะอาหารนอนไม่หลับ

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ อารมณ์แต่ละชนิดส่งผลต่ออวัยวะของร่างกายแตกต่างกัน อย่างความโกรธมักทำให้ฮอร์โมนอะดรีนาลินหลั่งออกมามาก ทำให้เส้นเลือดแดงหดตัวเล็กลง ส่งผลต่อเส้นเลือดของสมองให้เล็กลง แล้วจึงขยายตัวตามมาเพื่อชดเชยการขาดเลือด ขั้นตอนสุดท้ายนี้เองสันนิษฐานว่าอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะไมเกรน

ต้นเหตุของความขัดแย้งทางอารมณ์มีหลายอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุดอยู่ตรงความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างที่คาดว่าจะเป็น

ถ้าคุณอยากขับรถออกจากซอยแต่รถที่ถนนใหญ่ไม่ยอมให้ทาง คุณอาจโกรธ ไม่พอใจ

เด็กที่ไปโรงเรียนแล้วไม่ได้สนุกกับสิ่งที่หวังไว้ แถมอยู่บ้านยังต้องทำการบ้านอีก พอถึงเวลาไปโรงเรียนจึงเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นไข้

แต่ถ้าเด็กได้คำอธิบายจากพ่อแม่ว่า ไปโรงเรียนแล้วได้พบเพื่อน ได้เล่นสนุก แต่ต้องเล่นเป็นเวลา เพราะต้องมีเวลาเรียนในชั้น กลับมาบ้านก็ควรทำการบ้านเพื่อให้เก่งมากขึ้น เมื่อเด็กมาพบกับสิ่งที่ตนเคยได้ยินได้ฟัง ก็จะไม่ค่อยรู้สึกว่าถูกบังคับมากนัก

ปัจจัยที่ตามมาอีกอย่าง คือ วิธีการช่วยปรับความขัดแย้งทางอารมณ์
เด็กที่ยอมรับว่าตนโกรธเพื่อน ก็ง่ายที่ขะควบคุมตนเอง และหาวิธีการมาแก้ไขได้ ผิดกับเด็กอีกคนที่ไม่รู้ว่าตนเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาแล้ว แถมยังไม่มีวิธีการมาทำให้อารมณ์ผ่อนคลายลงอีก เรื่องราวการผิดใจ ทะเลาะเบาะแว้งและชกต่อยจึงเกิดขึ้นได้

จากปัจจัยทั้ง 2 ข้อดังกล่าว เราสามารถสอนเด็กให้มีความมั่นคงทางอารมณ์มากขึ้นด้วยวิธีการดังนี้

1. สอนให้รู้จักอารมณ์ของตนเอง โดยผ่านการมีสติ รู้ว่าตนเองมีอารมณ์ใดเกิดขึ้น เช่น กำลังโกรธ กำลังรู้สึกสดชื่น

ภายในห้องเรียน ครูอาจารย์อาจช่วยเหลือ โดยให้เด็กได้มีช่วงเวลาตอนเช้าบอกถึงอารมณ์ของตนเองก็ได้ ครูอาจใช้คำถามนำว่า วันนี้พวกเรารู้สึกอย่างไรบ้าง คำตอบที่ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นอารมณ์ทางบวก เช่น สบายดี สดชื่น แต่อาจมีอารมณ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ง่วง เหงา เบื่อ หงุดหงิด หรือเฉยๆก็ตาม

อารมณ์ที่ขัดแย้งจะทำให้ระบบสรีระเกิดผันผวน เช่น หัวฝจเต้นเร็ว เหงื่อออกบริเวณผ่ามือฝ่าเท้า ซึ่งเด็กอาจสังเกตอาการเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง

2. เตรียมพร้อมกับสภาพอารมณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ทำใจไว้ก่อน" คือคาดคิดไว้บนความจริงว่า เราอาจจะเจออะไรบ้าง เช่น ถูกเจ้านายเรียกตัวไปอย่างกระทันหัน ก็อาจทำใจไว้ก่อนว่าอาจจะโดนตำหนิ ก็พยายามผ่อนคลายตนเอง หายใจเข้าลึกๆ ก่อนเปิดประตูเข้าไปพบ เป็นต้น

การสอบก็อาจทำให้เด็กเกิดความเคร่งเครียดขึ้นมาได้ ทำอย่างไรจึงไม่เครียด คงไม่ใช่แค่บอกว่าทำใจให้สบาย แต่ต้องเตรียมความรู้ไว้ให้พร้อม เพราะความรู้ทำให้องอาจ เวลาเจอข้อสอบจะได้ไม่ลนลานจนเกินไป

3. วิธีเตรียมการไว้รับอารมณ์ต่างๆ อาจแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบไม่เจาะจงกับแบบเจาะจง

แบบไม่เจาะจง คือ ใช้การผ่อนคลาย ความสงบ เยือกเย็น เข้าแก้ไขอารมณ์ที่ขัดแย้ง วิธีการเหล่านี้ได้แก่ การหายใจให้ลึกถึงท้อง การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การฝึกสั่งระบบประสาทอัตโนมัติ

แบบเฉพาะเจาะจง คือ การใช้อารมณ์ที่ดีมาทดแทนอารมณ์ที่ขัดแย้ง เช่น โกรธ ก็พยายามมองให้เห็นถึงความเมตตา ให้อภัย เกลียดก็ให้นึกถึงความปรารถนาดี

พ่อแม่สามารถสอนลูกให้มีความรู้ตัว และใช้อารมณ์ที่ดีมาทดแทนอารมณ์ที่ขัดแย้งได้ โดยผ่านการเป็นแบบอย่าง พูดคุย และแนะนำ

แบบอย่าง เช่น เมื่อคุณพ่อขับรถอยู่แล้วถูกรถปาดแซงเข้ามาก่อนจะบึ่งไปด้วยความเร็ว แทนที่พ่อจะก่นด่า แสดงความเจ็บแค้น โมโห ก็อาจคิดเหตุผลได้ว่า คนขับคนนั้นอาจกำลังรีบร้อน อาจขาดความระมัดระวัง หรือแม้แต่ไม่มีมารยาทจริงๆ แต่คุณก็ยังคงขับรถต่อไปเหมือนเดิมด้วยความรู้สึกให้อภัย

ลูกอาจให้เพื่อนยืมของเล่นไปแล้วเพื่อนทำพัง เลยโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง พ่อแม่ก็คงต้องให้เขาได้ระบายความอัดอั้นออกมาบ้าง ก่อนจะแนะให้ลูกได้ฉุกคิดได้ว่า หนึ่งของก็พังไปแล้ว กลับคืนมาคงไม่ได้ อย่าไปเสียใจมากมายเลย สองเพื่อนคงไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นถ้าเขาขอโทษก็ควรให้อภัยได้ สามต้องเรียนรู้และป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้ในอนาคต เช่น อย่าให้ยืมของเล่นที่อาจจะแตกหักได้ เป็นต้น

แต่ถ้าเป็นเพื่อนสนิท อยากให้เขายืม ก็ต้องทำใจ ยอมเสียของรักษาความเป็นเพื่อนไว้จะดีกว่า

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

ถึงเวลาแล้วที่จะก้าวต่อไป

จาก The Book of Goals

จงเรียนรู้จากอดีต แต่อย่าจมอยู่กับอดีต ทั้งความสำเร็จและความโศกเศร้า ในอดีตเป็นสิ่งทำให้เราท้อถอย หลายคนอาจไม่ได้รับความรก ความสำเร็จ และความพอใจอย่างเพียงพอ ซึ่งเราสามารถอาศัยสิ่งที่ทำให้เราผิดหวังนี้ ช่วยให้เราก้าวต่อไปได้ ก่อนที่คุณจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หรือในชีวิต คุณจำเป็นต้องให้อภัยแก่ตัวคุณเองและคนอื่นๆ ที่ทำให้คุณผิดหวังก่อน ได้แก่ บิดา มารดา ครู เพื่อนเก่า นายเก่า คุณจะต้องตัดสินใจอย่างมีสติ และปล่อยวาง

เราอาจจำเป็นต้องลืมความสำเร็จในอดีตและความฝันในวัยเด็กด้วยเช่นกัน จะมีพวกเราสักกี่คนที่มีชีวิตเป็นไปตามที่สมุดพกสมัยมัธยมได้เขียนเกี่ยวกับเราไว้ คนที่ดูเหมือนว่าน่าจะประสบความสำเร็จมากที่สุด ก็มักไม่ประสบความสำเร็จเมื่อเราร่ำรวยขึ้นและจบลงด้วยการทำงานให้คนอื่น เราเป็นผู้แพ้หรือไม่ คำตอบไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน จงจำวันที่รุ่งโรจน์ในอดีตของคุณด้วยความยินดี และกลับมาคิดถึงมันบ้างนานๆครั้ง แต่อย่ารู้สึกว่าทุกอย่างแย่ลงเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้นมา คุณไม่ได้อยู่ในโลกเพ้อฝันในวัยเด็ก แต่คุณอยู่ในโลกของความเป็นใหญ่ ซึ่งคุณยังสามารถฝันและตั้งความหวังว่าตัวคุณเองซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วต้องการอะไร

ในการทำงาน
เป็นการยากที่จะลืมเรื่องราวในอดีตและสามารถดำเนินชีวิตแบบผู้ใหญ่อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพได้ จงพยายามละทิ้งอดีตเสียและเริ่มต้นใหม่ ถ้าคุณลืมเรื่องในอดีตไม่ได้ ถึงแม้จะได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวและเพื่อนแล้วก็ยังไม่เป็นผล คุณควรจะปรึกษาที่ปรึกษาอาชีพ หรือนักบำบัดทางจิต มิฉะนั้น คุณอาจจะพบว่าเป้าหมายในอนาคตของคุณถูกทำลายโดยประสบการณ์ในอดีต

แบบฝึกหัดที่จะช่วยให้รู้จักปล่อยวาง 1. จงเติมประโยคต่อไปนี้ให้สมบูรณ์

  • "ถ้าเพียงแต่ฉันมี.................."
  • "อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ของฉัน คือ .............."
  • "สิ่งที่มักจะหยุดยั้งฉันไว้ คือ ..............."
  • และนี่คือประโยคจากคนต่างๆที่ผมเคยให้คำปรึกษา
  • "ถ้าเพียงแต่ฉันจบบริหารธุรกิจ"
  • "ถ้าเพียงแต่ฉันมีบุคลิกภาพอย่างพี่สาวของฉัน"
  • "อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ของฉันคือ ฉันเป็นคนหูหนวก"
  • "อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ของฉันคือ ฉันไม่ได้จบมหาวิทยาลัย"
  • "สิ่งที่มักจะหยุดยั้งฉันไว้ คือ นายของฉัน"
  • "สิ่งที่มักจะหยุดยั้งฉันไว้ คือ ความเห็นของครอบครัวฉัน"
2. ลองทบทวนคำตอบของคุณ มีคำตอบใดที่ตรงกับความรู้สึกลึกๆของคุณหรือไม่? พี่สาวของคุณมีบุคลิกดีกว่าคุณหรือไม่? หรือคุณไม่พอใจที่เธอมีชีวิตในวัยเด็กที่สบายกว่า? นายของคุณมักเป็นปัญหากับคุณหรือไม่? คุณกลัวที่จะหางานใหม่หรือไม่?

3. คุณสามารถจัดการกับความเสียใจเหล่านี้ได้หรือไม่? ถ้าสามารถทำอะไรบางอย่าง ทำเลย วางแผนปฏิบัติการ ถ้าคุณต้องการศึกษาเพิ่มเติม ลองหาทางดู คุณอาจไปเรียนภาคค่ำซึ่งใช้เวลา 3 ปี กว่าจะได้ปริญญา ถ้าคุณเป็นคนขี้อายหรือไม่มั่นใจในตนเองลองปรึกษาเพื่อนๆดู ลองไปเข้าร่วมสัมมนา หรือเรียนหลักสูตรเพิ่มเติม ซึ่งคุณจะต้องออกไปนำเสนอหน้าชั้น ในบางกรณี การพบที่ปรึกษาอาชีพอาจช่วยคุณเอาชนะมันได้ อย่างน้อยช่วยให้คุณเข้าใจข้อจำกัดบางอย่างซึ่งคุณไม่ชอบในตัวคุณเอง

4. คุณอาจไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ เช่น ความพิการ ครอบครัวหรือสิ่งที่คุณจะต้องเจอในอาชีพของคุณ แต่คุณอาจรู้สึกดีขึ้นได้เกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต ความกดดัน หรือสิ่งที่ทำให้คุณเสียใจ

5. หรือคุณอาจไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ คุณไม่ใช่พี่สาวของคุณ และไม่มีทางเป็นไปได้ จงยอมรับความรู้สึกในอดีตว่าเป็นสิ่งไม่จำเป็น การที่คุณจะก้าวต่อไปในชีวิต คุณไม่จำเป็นต้องนำมันไปด้วยเลย ถ้าคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ จงปล่อยวางมันเสีย