จาก Emotional Qutient :
จากความฉลาดทางอารมณ์สู่สติและปัญญา
โดย นพ. เทอดศักดิ์ เดชคง
วัยรุ่นซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หวังปิดชีพตนเองโดยการกินยาฆ่าตัวตาย ครั้นพอผมเข้าไปคุยด้วยก็พบว่า เขามีความเครียดที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของครอบครัว คุณพ่อซึ่งเป็นคนเจ้าระเบียบ ได้ตั้งกฏมากมายเพื่อมไม่ให้ลูกชายเดินออกนอกลู่นอกทาง ก็เลยตัดความสุขตามประสาวัยรุ่นของเด็กหนุ่มคนนี้ไป แม้จะไม่มาก แต่ด้วยความเปราะบางของเด็กในยุคปัจจุบัน การฆ่าตัวตายจึงเป็นทางออกที่คาดไม่ถึง
สำหรับเด็กเล็กๆในระดับประถม ปัญหาความขัดแย้งทางอารมณ์ก็อาจส่งผลต่อการเรียนที่ตกต่ำอย่างไม่น่าจะเป็น รายหนึ่งที่ผมเคยรักษา การเรียนของเธอตกต่ำ จากเด็กเรียนเก่งกลายมาเป็นต้องพักการเรียน หลายรายมีปัญหาทางร่างกายเนื่องจากจิตใจ เช่น โรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ปวดศรีษะ ท้องเสียเรื้อรัง ฯลฯ
ผลกระทบของอารมณ์ที่ขัดแย้ง จึงแสดงออกมาในรูปของการเรียนที่ตกต่ำ ร่างกายที่เจ็บป่วย จิตใจที่ท้อแท้ สิ้นหวัง ตึงเครียดก็ได้
อารมณ์ที่ขัดแย้งมีอะไรบ้าง
อารมณ์ที่ขัดแย้งหมายถึง อารมณ์ด้านลบที่บังเกิดขึ้น จนเป็นสถานการณ์ที่บีบคั้น ผลที่ออกมาจะก่อผลเสียต่อตนเองทั้งนั้น อารมณ์เหล่านี้ได้แก่ วิตกกังวล โกรธ เกลียด อิจฉา และอื่นๆ
ในทางการแพทย์ เราพบว่าอารมณ์บางอย่างส่งผลต่อมนุษย์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มักพบในคนที่ต้องแก่งแย่งต่อสู้ คนที่โกรธง่ายมักเป็นไมเกรน ส่วนคนที่ขี้วิตกกังวลอาจเป็นโรคกระเพาะอาหารนอนไม่หลับ
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ อารมณ์แต่ละชนิดส่งผลต่ออวัยวะของร่างกายแตกต่างกัน อย่างความโกรธมักทำให้ฮอร์โมนอะดรีนาลินหลั่งออกมามาก ทำให้เส้นเลือดแดงหดตัวเล็กลง ส่งผลต่อเส้นเลือดของสมองให้เล็กลง แล้วจึงขยายตัวตามมาเพื่อชดเชยการขาดเลือด ขั้นตอนสุดท้ายนี้เองสันนิษฐานว่าอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะไมเกรน
ต้นเหตุของความขัดแย้งทางอารมณ์มีหลายอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุดอยู่ตรงความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างที่คาดว่าจะเป็น
ถ้าคุณอยากขับรถออกจากซอยแต่รถที่ถนนใหญ่ไม่ยอมให้ทาง คุณอาจโกรธ ไม่พอใจ
เด็กที่ไปโรงเรียนแล้วไม่ได้สนุกกับสิ่งที่หวังไว้ แถมอยู่บ้านยังต้องทำการบ้านอีก พอถึงเวลาไปโรงเรียนจึงเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นไข้
แต่ถ้าเด็กได้คำอธิบายจากพ่อแม่ว่า ไปโรงเรียนแล้วได้พบเพื่อน ได้เล่นสนุก แต่ต้องเล่นเป็นเวลา เพราะต้องมีเวลาเรียนในชั้น กลับมาบ้านก็ควรทำการบ้านเพื่อให้เก่งมากขึ้น เมื่อเด็กมาพบกับสิ่งที่ตนเคยได้ยินได้ฟัง ก็จะไม่ค่อยรู้สึกว่าถูกบังคับมากนัก
ปัจจัยที่ตามมาอีกอย่าง คือ วิธีการช่วยปรับความขัดแย้งทางอารมณ์
เด็กที่ยอมรับว่าตนโกรธเพื่อน ก็ง่ายที่ขะควบคุมตนเอง และหาวิธีการมาแก้ไขได้ ผิดกับเด็กอีกคนที่ไม่รู้ว่าตนเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาแล้ว แถมยังไม่มีวิธีการมาทำให้อารมณ์ผ่อนคลายลงอีก เรื่องราวการผิดใจ ทะเลาะเบาะแว้งและชกต่อยจึงเกิดขึ้นได้
จากปัจจัยทั้ง 2 ข้อดังกล่าว เราสามารถสอนเด็กให้มีความมั่นคงทางอารมณ์มากขึ้นด้วยวิธีการดังนี้
1. สอนให้รู้จักอารมณ์ของตนเอง โดยผ่านการมีสติ รู้ว่าตนเองมีอารมณ์ใดเกิดขึ้น เช่น กำลังโกรธ กำลังรู้สึกสดชื่น
ภายในห้องเรียน ครูอาจารย์อาจช่วยเหลือ โดยให้เด็กได้มีช่วงเวลาตอนเช้าบอกถึงอารมณ์ของตนเองก็ได้ ครูอาจใช้คำถามนำว่า วันนี้พวกเรารู้สึกอย่างไรบ้าง คำตอบที่ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นอารมณ์ทางบวก เช่น สบายดี สดชื่น แต่อาจมีอารมณ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ง่วง เหงา เบื่อ หงุดหงิด หรือเฉยๆก็ตาม
อารมณ์ที่ขัดแย้งจะทำให้ระบบสรีระเกิดผันผวน เช่น หัวฝจเต้นเร็ว เหงื่อออกบริเวณผ่ามือฝ่าเท้า ซึ่งเด็กอาจสังเกตอาการเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง
2. เตรียมพร้อมกับสภาพอารมณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ทำใจไว้ก่อน" คือคาดคิดไว้บนความจริงว่า เราอาจจะเจออะไรบ้าง เช่น ถูกเจ้านายเรียกตัวไปอย่างกระทันหัน ก็อาจทำใจไว้ก่อนว่าอาจจะโดนตำหนิ ก็พยายามผ่อนคลายตนเอง หายใจเข้าลึกๆ ก่อนเปิดประตูเข้าไปพบ เป็นต้น
การสอบก็อาจทำให้เด็กเกิดความเคร่งเครียดขึ้นมาได้ ทำอย่างไรจึงไม่เครียด คงไม่ใช่แค่บอกว่าทำใจให้สบาย แต่ต้องเตรียมความรู้ไว้ให้พร้อม เพราะความรู้ทำให้องอาจ เวลาเจอข้อสอบจะได้ไม่ลนลานจนเกินไป
3. วิธีเตรียมการไว้รับอารมณ์ต่างๆ อาจแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบไม่เจาะจงกับแบบเจาะจง
แบบไม่เจาะจง คือ ใช้การผ่อนคลาย ความสงบ เยือกเย็น เข้าแก้ไขอารมณ์ที่ขัดแย้ง วิธีการเหล่านี้ได้แก่ การหายใจให้ลึกถึงท้อง การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การฝึกสั่งระบบประสาทอัตโนมัติ
แบบเฉพาะเจาะจง คือ การใช้อารมณ์ที่ดีมาทดแทนอารมณ์ที่ขัดแย้ง เช่น โกรธ ก็พยายามมองให้เห็นถึงความเมตตา ให้อภัย เกลียดก็ให้นึกถึงความปรารถนาดี
พ่อแม่สามารถสอนลูกให้มีความรู้ตัว และใช้อารมณ์ที่ดีมาทดแทนอารมณ์ที่ขัดแย้งได้ โดยผ่านการเป็นแบบอย่าง พูดคุย และแนะนำ
แบบอย่าง เช่น เมื่อคุณพ่อขับรถอยู่แล้วถูกรถปาดแซงเข้ามาก่อนจะบึ่งไปด้วยความเร็ว แทนที่พ่อจะก่นด่า แสดงความเจ็บแค้น โมโห ก็อาจคิดเหตุผลได้ว่า คนขับคนนั้นอาจกำลังรีบร้อน อาจขาดความระมัดระวัง หรือแม้แต่ไม่มีมารยาทจริงๆ แต่คุณก็ยังคงขับรถต่อไปเหมือนเดิมด้วยความรู้สึกให้อภัย
ลูกอาจให้เพื่อนยืมของเล่นไปแล้วเพื่อนทำพัง เลยโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง พ่อแม่ก็คงต้องให้เขาได้ระบายความอัดอั้นออกมาบ้าง ก่อนจะแนะให้ลูกได้ฉุกคิดได้ว่า หนึ่งของก็พังไปแล้ว กลับคืนมาคงไม่ได้ อย่าไปเสียใจมากมายเลย สองเพื่อนคงไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นถ้าเขาขอโทษก็ควรให้อภัยได้ สามต้องเรียนรู้และป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้ในอนาคต เช่น อย่าให้ยืมของเล่นที่อาจจะแตกหักได้ เป็นต้น
แต่ถ้าเป็นเพื่อนสนิท อยากให้เขายืม ก็ต้องทำใจ ยอมเสียของรักษาความเป็นเพื่อนไว้จะดีกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น