จาก HOW TO BE TWICE AS SMART
โดย สก๊อตต์ วิทท์
บุคคล ที่มีแนวความคิด และมองเห็นหนทางแก้ปัญหา ให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ คือบุคคลที่มีความก้าวหน้าในสาขาวิชาชีพของตน เขาสามารถจะสร้างธุรกิจ ที่ก่อให้เกิดผลกำไรได้อย่างมากมาย เป็นที่ดึงดูดใจแก่ทุกผู้ที่ได้พบเห็น ทั้งในแวดวงของญาติสนิทมิตรสหาย และสังคม และใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรี
ความคิดสร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในถ้วนทั่วทุกตัวคน ออกจะเป็นที่น่าเสียดายว่า ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมาก ที่มิได้เรียนรู้การนำมันออกมาใช้อย่างถูกต้อง ด้วย เหตุผลนานัปการ ทำให้เขากักเก็บ อัจฉริยะในทางสร้างสรรค์ของตน ไว้ในสมองอย่างไร้ประโยชน์ เพราะมิได้นำมันออกมาใช้ในชีวิตประจำวันเลย
ซึ่งในเอกสารชิ้นนี้ จะได้เปิดเผยถึงวิธีการ ที่คุณจะเปิดประตูสมอง และปลดปล่อยศักยภาพนั้นออกมา เพื่อให้คุณได้ก้าวไปสู่ ความเป็นนักแก้ปัญหาในทางสร้างสรรค์ และเป็นอีกคนหนึ่ง ที่ประสพความสำเร็จ
ความคิดสร้างสรรค์ วิธีนำมันออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์
คุณไม่เคยรู้สึกแปลกใจบ้างเลยหรือ เมื่อมีใครสักคนหนึ่งสามารถแก้ปัญหาซึ่งมองเห็นอยู่ว่า ไม่น่าจะแก้ได้ให้สำเร็จลงอย่างน่าพิศวง? เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่อาจจะแก้ไขได้ในหนทางปรกติ บุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ จะไม่ลังเลใจเลย สำหรับการใช้ความคิด เพื่อหาหนทางใหม่ในการแก้ปัญหานั้นๆ
ขอให้เราดูตัวอย่าง จากการกระทำของยูไลซิส แกรนท์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ อับราฮัม ลินคอล์น ชอบที่จะเล่าเรื่องของเขา เมื่อครั้งวัยเด็ก ให้ใครๆฟังอยู่เสมอ และเรื่องที่เล่าก็คือ
เมื่อแกรนท์ได้ทำให้เจ้าล่อดื้อตัวหนึ่ง ซึ่งไม่ยอมให้ใครขึ้นนั่งบนหลังมัน สยบให้กับเขาได้ เจ้าล่อตัวนี้ เป็นสมบัติของเจ้าของคณะละครสัตว์ ซึ่งเสนอให้เงินรางวัลแก่ผู้ใดก็ตาม ที่สามารถขี่หลังมันได้ในเวลาที่กำหนด
แกรนท์ยืนดูผู้ชายตัวโตๆหลายคน ที่ถูกเหวี่ยงลงมาจากหลัง และเมื่อเขาเองลองใช้ความพยายามดู ก็ถูกมันเหวี่ยงลงมาจากหลังเช่นกัน
ในที่สุดแกรนท์ เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา เขาขอทดลองขึ้นหลังมันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เขามิได้ขึ้นในลักษณะปรกติธรรมดา แทนที่เขาจะปีนขึ้นไปนั่งบนหลังมันด้วยวิธีปรกติ เขากลับขึ้นโดยหันหน้ามาทางกันของมัน เอาเท้าทั้งสองข้างรัดท้องของมันไว้ พร้อมกับเอามือจับหางมัน
ไม่ว่าเจ้าล่อตัวนี้จะทำพยศสักเท่าใด ก็ไม่สามารถจะเหวี่ยงเขาลงจากหลังได้ ในที่สุด เจ้าล่อดื้อตัวนั้น ก็๋ต้องยอมแพ้ และแกรนท์ก็ได้รับเงินรางวัลไป
เมื่อยูไลซิส แกรนท์ เจริญวัยขึ้น เขาก็ได้ชัยชนะในสงครามกลางเมือง
พลังสมอง เป็นสิ่งที่สามารถจะทำให้ใครทุกคนประสพความสำเร็จได้ ในวิถีทางต่างๆกัน แต่ก่อนที่ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่า เราจะนำมันมาใช้ได้ด้วยวิธีใดบ้างนั้น มันมีหลักอยู่ 2 ประการ ที่เราจะต้องพูดกันให้เข้าใจเสียก่อน
สร้างความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นกับตน
ซาชาเรียส กล่าวไว้ว่า "มนุษย์ มีความพึงใจในธรรมชาติ ทั้งนี้ มิได้หมายความว่า เป็นเพราะธรรมชาติได้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เขา แต่เป็นเพราะธรรมชาติ ได้ให้อำนาจ เพื่อที่เขาจะได้กระทำในทุกสิ่งทุกอย่างให้กับตนเอง"
ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า มนุษย์ส่วนใหญ่ มิได้ตระหนักในพลังนี้ ทั้งนี้ เนื่องจากมนุษย์ขาดความมั่นใจ ในการที่จะทำอะไรก็ตาม ในวิถีทางที่ผิดปรกติธรรมดาไปบ้าง
ความมั่นใจ คือ องค์ประกอบอันสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ เมื่อคุณรู้ว่า มันมีหนทางในการแก้ปัญหา (แม้ว่าในขณะนั้น คุณจะยังไม่รู้ว่าหนทางนั้นคืออะไร) คุณจะเกิดความเร้าใจ ที่จะขุดลึกลงไปให้ถึงจุดที่บรรลุเป้าหมาย คือ สามารถแก้ปัญหานั้นได้
บุคคลที่มีความคิดอันชาญฉลาดอย่างต่อเนื่องกันตลอดเวลา มิได้หมายความว่า เขามีความคิดสร้างสรรค์มากมายไปกว่าเราเลย เพียงแต่เขามีความมั่นใจในตนเองสูงกว่าเราเท่านั้น คุณจะสร้างความมั่นใจ ในลักษณะเดียวกันนี้ ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร คำตอบก็คือ
คุณจะต้องมีความรู้ในสิ่งที่คนเหล่านั้นรู้ คือ "มันมีหนทางในการแก้ปัญหาทุกประการอยู่เสมอ และมีแนวความคิดอันจะเกิดขึ้น เพื่อสนองความต้องการของเราอยู่ตลอดเวลา" และในเอกสารชิ้นนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีการที่จะเริ่มต้นใช้ความฉลาด และปฏิภาณของตนเอง ต่อสถานการณ์ที่คุณอาจจะไม่เคยคิดว่ามันจะมีหนทางแก้ไขได้มาก่อน
เมื่อคุณได้รู้ว่า มันมีหนทางในการแก้ปัญหาทุกประการ และมีแนวความคิดที่เกิดขึ้น เพื่อสนองความต้องการของเราอยู่ตลอดเวลาแล้ว คุณก็จะได้พบวิธีการง่ายๆ ที่จะหามันให้พบได้
ความมั่นใจ เป็นคุณสมบัติประการแรก ที่จำเป็นต้องมี คุณอาจจะต้องพบกับความแปลกใจที่ได้เรียนรู้ว่า คุณสมบัติประการที่สองที่ตามมา ก็คือ การใช้ความคิดอย่างอิสระ ซึ่ง อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ กล่าวไว้ว่า "จง อย่าใช้เส้นทางที่บุคคลอื่นใช้อยู่ตลอดไป เพราะมันจะนำคุณไปสู่จุดหมายที่ใครๆเขาไปกัน จงหลีกเลี่ยงออกจากเส้นทางนั้น และเข้าสู่ราวป่าเสียบ้าง แล้วคุณจะได้พบกับสิ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน พร้อมทั้งสิ่งอื่นๆที่จะตามมาอีกด้วย และก่อนที่คุณจะทันรู้ตัว คุณก็จะได้พบกับสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด สำหรับการใช้ความคิด"
การค้นพบพลังอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายทั้งปวงนี้ คือผลจากการใช้ความคิดทั้งสิ้น
นักคิดผู้มีความเป็นอิสระ จะไม่ยึดมั่นอยู่กับการกระทำ ซึ่งได้รับการอธิบายวิธีการไว้แล้ว เขาจะไม่ยึดมั่นในสิ่งนั้น เพียงเพราะมีกฏกำกับไว้ว่า ถ้าใช้วิธีที่กำหนดไว้แล้ว จะทำไม่ได้ และไม่หวั่นเกรงต่อการที่จะคิดหาทางแก้ปัญหา ในหนทางที่ไม่ปรกติธรรมดาเลย
คงไม่เคยมีใครคิดที่จะขึ้นหลังสัตว์ โดยหันหน้าไปทางหางของมันเป็นแน่ แต่วิธีนั้นเอง ที่ทำให้ยูไลซิส แกรนท์ ได้รับรางวัลมา
ดังนั้น ถ้าคุณตระหนักถึงความจริงที่ว่า มันมีหนทางในการแก้ปัญหาทุกประการอยู่เสมอ และมีแนวความคิดอันจะเกิดขึ้น เพื่อสนองความต้องการของเราอยู่ตลอดเวลาแล้ว และถ้าคุณมีความเต็มใจที่จะให้ตนเองเป็นนักคิดอิสระ ผู้ซึ่งไม่หวั่นเกรงต่อการที่จะออกนอกเส้นทางที่ผู้อื่นเคยใช้ คุณก็จะสามารถหาวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการแก้เมื่อใดก็ตาม
การแก้ปัญหาด้วยความคิดสร้างสรรค์
ต่อไปนี้ คือวิธีการแก้ปัญหาอันยากยิ่ง ด้วยการนำความคิดสร้างสรค์เข้ามาช่วย แต่ก่อนอื่น คุณจะต้องเรียนรู้ ในความจริงประการหนึ่งว่า "เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น และไม่สามารถจะแก้ไขให้บรรลุไปด้วยวิธีการปรกติ นั่นแสดงให้เห็นว่า มันมีโซ่บางห่วงที่ขาดหายไป"
ปัญหาของแกรนท์ ที่ทำให้เขาไม่สามารถจะนั่งอยู่บนหลังล่อตัวนั้นในครั้งแรกได้ ก็เนื่องจากขาดที่ยึดจับไว้....นั่นคือห่วงโซ่ที่ขาดหายไป
ดังนั้น ขั้นตอนแรกในการแสวงหาวิธีการแก้ปัญหาอันยากยิ่งอย่างฉลาดก็คือ คุณจะต้องพิจารณาถึงธรรมชาติของห่วงที่ขาดหายไปนั่นเสียก่อน เพราะวัตถุประสงค์ของคุณ คือ การค้นหาองค์ประกอบอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง ซึ่งมันจะช่วยให้การแก้ปัญหาง่ายขึ้น
เพราะฉะนั้น ในตอนแรก คุณจงอย่าได้กังวลเกี่ยวกับสิ่งนั้น เพียงแต่จะต้องหามันให้พบเสียก่อน ห่วงโว่ที่ขาดหายไปนั้น บางครั้งเราก็อาจจะมองเห็นได้ชัด ยกตัวอย่าง เช่น ในกรณีของแกรนท์ ที่มองเห็นว่า ความไม่สำเร็จ เกิดขึ้นจากการที่เขาไม่มีอะไรยึดตัวไว้
แต่บางอย่าง คุณจะต้องใช้เวลาในการขุดค้นเพื่อหามา ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้น ที่ความคิดสร้างสรรค์ของคุณจะปรากฏ และหลั่งไหลออกมา ในทิศทางที่คุณอาจจะไม่เคนคิดถึ งมาก่อน
วิธีนำเทคนิคของห่วงโซ่ที่ขาดหายไปมาใช้
ต่อไปนี้คือบันได 2 ขั้น ในการนำเทคนิคของห่วงโซ่ที่ขาดหายไป มาใช้ในการหาหนทางแก้ไขปัญหาที่ยากยิ่งด้วยความฉลาด
จงหาห่วงโซ่ที่ขาดหายไป ระหว่างตัวปัญหา กับหนทางในการแก้ว่าอะไรคือองค์ประกอบอันมีค่าในการขจัดปัญหานั้น ?
ตรงประเด็นนี้ คุณจะต้องไม่กำหนดมันลงไปอย่างจำเพาะเจาะจง แต่จงคิดในแง่ทั่วๆไป ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้าที่แกรนท์ จะเกิดความคิดในการจับหางล่อไว้ เขาจะต้องตระหนักว่า ห่วงโซ่ที่ขาดหายไป คืออะไรบางอย่าง ที่จะใช้ในการจับเพื่อยึดตัวไว้
2. ตรงจุดนี้เอง ที่ความคิดอิสระจะเกิดขึ้น โดยในตอนแรก คุณจะต้องไม่กังวลว่า มันเป็นความคิดที่ผิดธรรมชาติสักแค่ไหนก็ตาม แต่คุณจะต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ที่จะเอามันมาเติมลงในช่องว่างที่ขาดหายไปให้เต็มเท่านั้น ในบางครั้ง เมื่อมีแนวความคิดเกิดขึ้น คุณอาจจะต้องถึงกับจดมันลงไว้ และอย่ารีบร้อนขจัดความเป็นไปได้ซึ่งมีอยู่หลายวิธีออกไป แต่จงพิจารณาแต่ละวิธีที่อาจจะนำมาใช้ได้ แล้วคุณจะมองเห็นหนทางในการแก้ปัญหาที่คุณอานคิดไม่ถึงมาก่อน จากนั้น จึงเลือกวิธีที่จะให้ประโยชน์กับคุณมากที่สุดนำมาใช้
ย้อนหลังในปี ค.ศ. 1930 อะรัมโก้ ซึ่งมีชื่อเต็มว่า อะราเบียน - อเมริกัน ออย์ คอมเปนี ต้องการพาหนะสักอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถจะวิ่งในท้องทะเลทรายแห่ง ซาอุดิอาระเบีย ได้ ปัญหาที่บริษัทน้ำมันแห่งนี้เผชิญอยู่ ก็คือ ทราย ซึ่งล้อรถมักจะจมลง เวลา นั้น เป็นเงินเป็นทองเสมอ แม้แต่กับบริษัทน้ำมันก็ตามที และทุกครั้งที่ล้อรถจมลง ย่อมหมายถึงการต้องสูญเสียเงินจำนวนหนึ่งไป
ไม่เคยมีผู้ใดวิเคราะห์ถึงปัญหานี้มาก่อน ริชาร์ด เคอร์ซึ่ง เป็นวิศวกรของบริษัท อะรัมโก้ มิได้มีข้อมูลทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ ที่จะนำมาใช้ในการออกแบบยางล้อรถยนต์ ซึ่งจะนำไปวิ่งบนพื้นทรายได้ ดังนั้น ขั้นตอนแรก ที่จะนำเทคนิคห่วงโซ่ที่ขาดหายไปมาใช้ ก็คือ ความรู้ที่ว่า ห่วงโซ่ที่หายไปนั้น คือ การขาดข้อมูลทางด้านวิศวกรรม
ขั้นตอนที่สอง คือการพิจารณาถึงหนทางอันเป็นไปได้ในการหาข้อมูลที่เหมาะสม การทดลองเพื่อหาความผิดพลาดนั้น คือวิธีหนึ่งของความเป็นไปได้ แต่นั่นหมายถึง การที่จะต้องใช้เวลานานมาก และเมื่อเขาทำสมองให้ปลอดโปร่งแจ่มใส และปล่อยให้ความคิดอิสระ อันเกี่ยวกับหนทางที่เป็นไปได้ผ่านเข้ามา ความคิดหนึ่งที่แวบขึ้นมาในสมอง คือ
พิจารณาถึงการเดินของอูฐ ซึ่งมันมิได้ประสบปัญหาความยากลำบากในการที่จะเดินข้ามทะเลทรายเลย ไม่ว่ามันจะบรรทุกสัมภาระไว้บนหลัง บวกกับน้ำหนักตัวให้หนักเท่าไรก็ตาม อุ้งเท้าของอูฐจะไม่จมลงในทราย ถ้าเราจะมองดูหนทางที่เป็นไปได้ โดยพิจารณาจากอูฐอย่างผิวเผิน คุณจะเห็นว่า มันเป็นความคิดเพ้อฝัน ซึ่งแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย
แต่กระนั้น มันก็ยังมีเหตุผลประการหนึ่ง ซ่อนอยู่ คือ ถ้ากำลังลากของอูฐที่มีอยู่ สามารถทำให้มันเดินไปได้แล้ว กำลังลากนั้นก็น่าจะนำมาใช้กับรถบรรทุกที่วิ่งในทะเลทรายได้เช่นกัน ริชาร์ด เคอร์ ได้ประเมินจากช่วงขา และน้ำหนักที่อูฐรับอยู่ ซึ่งทำให้เขาได้ข้อมูลทางด้านวิศวกรรมขึ้นมา เพื่อที่จะนำไปดัดแปลง ให่เหมาะสมกับยางของล้อรถบรรทุก ที่จะใช้วิ่งในทะเลทราย ซึ่งวิธีการของเขา ก็ยังเป็นที่นิยมใช้กันอยู่แม้ในปัจจุบันนี้ และมิใช่แต่ในตะวันออกไกลเท่านั้น
เทคนิคของห่วงโซ่ที่ขาดหายไป คือ องค์ประกอบอันสำคัญ ของเครื่องมือที่จะนำมาใช้ในพลังสมอง ดังนั้น จงอย่าปล่อยให้ปัญหาผ่านเลยไป มัน เป็นสิ่งมีประสิทธิภาพอันมหัศจรรย์ ที่คุณได้นำออกมาจากความคิดสร้างสรรค์ ที่ธรรมชาติได้มอบไว้ให้ มันเป็นรูปแบบของความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถจะทำให้คุณมองเห็นหนทางในการแก้ปัญหาทุกประการได้
ดังนั้น ในคราวต่อไป เมื่อคุณต้องพบกับอุปสรรคในการแก้ปัญหา จงทดลองปฏิบัติตามกฏที่ได้ให้ไว้ดู
ประการแรก พิจารณาถึงห่วงโซ่ที่ขาดหายไป ระหว่างตัวปัญหา กับหนทางในการแก้
ประการที่สอง จงพิจารณาถึงหนทางที่เป็นไปได้ ในการที่จะนำห่วงโซ่นั้น กลับมาเติมลงในช่องว่างที่ขาดอยู่ เช่นเดียวกับที่อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ที่ได้กล่าวไว้ว่า "คุณจะได้พบกับอะไรบางอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน"
การนำความคิดสร้างสรรค์มาใช้ ในการสร้างเสริมแนวความคิดใหม่
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้พูดถึงการนำความคิดสร้างสรรค์ เข้ามาใช้ในการแก้ปัญหา... และถ้าเราจะนำมันมาใช้ในการสร้างแนวความคิดใหม่ๆ ซึ่งให้โอกาสอันน่าตื่นเต้นกับเราเล่า ควรจะทำอย่างไร?
การค้นพบทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ซึ่งเราๆท่านๆ ก็คงจะทราบกันดีว่า ส่วนใหญ่แล้ว เกิดขึ้นจากเหตุบังเอิญ เมื่อมีผลแอปเปิ้ลหล่นใส่ศีรษะ ของ ไอแซค นิวตัน นั่นแหละ เขาจึงได้ค้นพบกฏแห่งแรงดึงดูดของโลก
มีนักประดิษฐ์คิดค้นมากมายในโลกนี้ ที่มิได้เริ่มต้นค้นคว้าในสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาอย่างจริงจัง ตั้งแต่ในตอนแรก แทบทุกคน ต่างก็คิดค้นในโครงการอื่นๆอยู่ และแล้วก็ให้มีเหตุบังเอิญเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เขาต้องเปลี่ยนเข็ม ไปทำในสิ่งที่แตกต่างกว่าที่ตั้งใจไว้ และมีความสำคัญอันใหญ่หลวงเกินกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มากนัก
ยกตัวอย่างจากเรื่องของ วิลเลียม เอช. เมสัน ซึ่งพยายามหาวิธีการสกัดน้ำมันสนออกมาจากท่อนไม้สดๆ ซึ่งต้องมีการตัด และเลื่อยไม้กันอย่างหนัก และแล้วเขาก็ได้สังเกตเห็นว่า ต้นไม้ได้ถูกทำลายลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เขาจึงเลิกล้มโครงการน้ำมันสน และหันไปคิดค้นวิธีที่จะเอาเศษไม้มาทำให้เป็นวัสดุอันมีค่าควรแก่การใช้ต่อ ไป และนั่นคือ การเริ่มต้นของแนวความคิด ที่ทีจะทำไม้ ให้เป็นเส้นใยละเอียดที่เรียกว่า ไฟเบอร์ แล้วนำไปอัด ซึ่งทำให้ได้แผ่นมาโซไนท์ ออกมา
มันออกจะมีความเป็นธรรมดาอยู่ สำหรับการประดิษฐ์คิดค้นที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ แนวความคิดหนึ่ง นำไปสู่แนวความคิดต่อๆไป และแนวความคิดแรกก็ถูกล้มเลิกไป ในขณะที่แนวความคิดใหม่ ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ
และนี่คือจุดที่นำเรามาสู่ประเด็นสำคัญ คือ ความคิดใหม่นั้น มิใช่ความคิดดั้งเดิมเสียทั้งอัน มันเป็นลักษณะของส่วนผสม และการปรับปรุงเข้าด้วยกัน เช่นที่ริชาร์ด เคอร์ ได้พัฒนายางล้อรถ เพื่อใช้ในทะเลทรายมาจากอูฐ ซึ่งเป็นสัตว์ธรรมชาติที่เกิดมาเหมาะสมที่จะต้องมีชีวิตอยู่ในทะเลทรายนั้น
แม้แต่ความคิดของยูไลซิส แกรนท์ ในการขี่ล่อ ก็มิใช่ความคิดดั้งเดิมเสียทั้งหมด มันมิได้คล้ายคลึงกับการที่เราต้องจับสายบังเหียนไว้ในขณะที่ขี่ม้าหรอก หรือ?
โอลิเวอร์ เวนเดลล์ กล่าวไว้ว่า "มีแนวความคิดมากหลาย ที่ดีกว่าความคิดแรกเริ่มมาก เมื่อนำไปผนวกหรือประยุกต์เข้ากับความคิดอื่น" ดังนั้น ทำไมเราจึงจะต้องดิ้นรนคิดค้นแนวความคิดใหม่ๆขึ้นมาอีก ในเมื่อแนวความคิดแท้จริงที่คุณต้องการ มีอยู่แล้วในรูปแบบอื่น ที่อาจจะแตกต่างออกไป?
ขอให้คิดเพียงแค่หนทางที่เป็นไปได้ก็พอ ไม่นาน ความคิดริเริ่มก็จะต้องเกิดขึ้น พร้อมๆ กับความคิดสร้างสรรค์ และคุณสามารถจะนำมาประยุกต์ให้เข้ากับความต้องการของคุณได้
ทำไมจึงควรเป็นนักลอกเลียนผู้มีความคิดสร้างสรรค์
บุคคลทั้งหลาย ที่อยู่ในวงการธุรกิจ วิทยาศาสตร์ และสาขาวิชาที่เกี่ยวกับศิลปกรรมต่างๆ ซึ่งมักจะมีความคิดใหม่ๆ มาเสนอให้เห็นอยู่เสมอนั้น ผมเรียกพวกเขาว่า "นักลอกเลียนผู้มีความคิดสร้างสรรค์"
เพราะคนเหล่านี้ ทำผลิตภัณฑ์ สูตร และระบบต่างๆที่ได้รับการรับรองแล้ว มาปรับปรุงให้เหมาะสมกับการใช้งานของตน ตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ คือ นักเขียนผู้หนึ่ง ซึ่งตระหนักถึงหนังสือจำนวนมหาศาลที่ออกสู่ตลาด ซึ่งมากกว่าปีละ 40,000 เล่มทุกปี และมีหนังสือเพียงแค่หยิบมือเดียวที่ได้ขึ้นหึ้ง เป็นหนังสือขายดีที่สุด นักเขียนผู้นี้ ใช้เวลาถึง 6 เดือน อ่านหนังสือประเภทขายดีนั้นกว่า 100 เล่ม เพื่อที่จะศึกษาว่า ในหนังสือเหล่านั้น มีสิ่งใดที่ตรงกับความต้องการของตนบ้าง และแล้ว เขาก็ได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง เมื่อเขาคือ โรบิน คุ๊ก ซึ่งเขียนนิยายเรื่อง โคม่า ซึ่งเป็นหนังสือขึ้นหิ้งขายดีทันที และเป็นหนังสือเล่มที่ทำให้เขาประสพความสำเร็จอย่างยิ่ง
ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่ผมจะบอกคุณก็คือ "แนวความคิดอันยิ่งใหญ่นั้น มีอยู่ตรงหน้าคุณในทุกเวลา แม้ในขณะที่"
- คุณเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
- อ่านโฆษณา
- ใช้ผลิตภัณฑ์
- เซ็นชื่อลงในเช็ค
- อ่านแผ่นป้ายปิดประกาศ
- อ่านหนังสือพิมพ์
- ดูการทำงานของเครื่องจักร
เขานำจุกก๊อกนี้ มีพิจารณา และเห็นว่า เป็นการโฆษณาสินค้าที่สมบูรณ์ที่สุด มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ง่าย เพราะคนต้องใช้อยู่ตลอดเวลา ยิลเลตต์ พยายามมองหาวิธีที่จะนำแนวความคิดนี้ มาปรับปรุงใช้กับประโยชน์อย่างอื่น และแล้ว เขาก็ยุติลงตรงใบมีดโกน
ก่อนหน้านั้น ใบมีดที่ใช้โกนหนวด จะต้องมีการลับให้คมอยู่เสมอ ดังนัน เขาจึงเกิดความคิดว่า ถ้าจะผลิตใบมีดโกนราคาถูก ชนิดใช้แล้วทิ้งเลยออกมา ก็จะเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าอย่างมาก ซึ่งยังถูกกว่าค่าใช้จ่ายในการลับมีดอีกด้วย และใบมีดโกนนี้ ทำให้เขารวยไม่รู้จบทีเดียว
หรืออย่างแนวความคิด ในเรื่องของการพิมพ์ ก็มิใช่เรื่องที่หยิบมาจากการอากาศ แต่เริ่มแรกของมันนั้น มาจากการแกะสลักบนต้นไม้
หรือความใคร่รู้ของเด็กชายคนหนึ่ง เกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้แว่นตา นำไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นกล้องจุลทรรศน์ขึ้น และยังความสำเร็จอื่นๆอีกมากมายเล่า?
ความสงสัยใคร่รู้ - องค์ประกอบแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
สมองซีกขวาของคนเรานั้น คือส่วนที่เราคิดค้นหาความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น เด็กๆสามารถจะเข้าถึงสมองทางด้านขวา ได้ง่ายกว่าคนที่เจริญวัยแล้ว ด้วยเหตุนี้ เด็กๆจึงมักจะมีความคิดใหม่ๆแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอ
การสร้างมโนภาพของพวกเขา มิได้ถูกยับยั้งไว้ด้วยสมองซีกซ้าย ซึ่งเป็นศูนย์รวมของความสมเหตุสมผลอยู่ ยิ่งคนเราเจริญวัยขึ้นเท่าใด สมองซีกซ้าย ก็จะมีอำนาจเหนือเขามากขึ้นเท่านั้น
เมื่อใดก็ตามที่มีความคิดบางประการเกิดขึ้นในสมองซีกขวา สมองซีกซ้ายจะเริ่มเตือนกลับมาทันทีว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ประโยชน์ มันไม่สามารถทำให้สำเร็จไปได้ และเป็นการฝืนกฏ หรือไม่ก็อาจจะทำให้คนอื่นๆ หัวเราะเยาะเอาได้
ออก จะโชคดีอยู่ที่มิได้หมายความว่า บุคคลที่เจริญวัยแล้วทั้งหลาย จะขาดความสามารถในการนำประโยชน์จากสมองซีกขวาออกมาใช้ บุคคลเหล่านี้ ยังสามารถเก็บกักคุณสมบัติของความสงสัยใคร่รู้แบบเด็กๆ ไว้ได้
เคยมีคำกล่าวว่า "ความอยากรู้อยากเห็นนั้น ฆ่าแมวมาเสียนักแล้ว" แต่ความใคร่รู้นั้น ก็อยู่ในสายเลือดของนักลอกเลียน ที่สร้างสรรค์ อยู่ไม่น้อย และแน่นอน บุคคลผู้เจริญวัย ซึ่งได้สูญเสียคุณสมบัติในเรื่องนี้ไปแล้ว ก็สามารถจะเรียกคืนให้กลับมาได้ ทั้งนี้เพราะสมองซีกขวาของคนเรา มิได้ลีบเล็กลงกว่าที่มันเคยเป็น
และพลังสมอง ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันมิได้อ่อนแอลง สิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือ ตั้งโปรแกรมใหม่ให้ตนเองเท่านั้น
วิธีตั้งโปรแกรมให้ตัวเองบังเกิดความใคร่รู้
ต่อไปนี้ เป็นบันได 5 ขั้น ที่จะเปิดช่องการสื่อสาร เข้าไปสู่สมองฝ่ายสร้างสรรค์ของคุณ
เมื่อคุณประยุต์บันไดทั้ง 5 ขั้น เข้าไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในไม่ช้า คุณจะได้พบว่า ตัวเองเกิดความคิดริเริ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมันจะนำประโยชน์อันมหาศาลมาให้ ทั้งทางด้านการงาน ธุรกิจ และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ต่อไปนี้ คือบางตัวอย่าง ของบันไดแต่ละขั้น เพื่อให้คุณได้เริ่มต้น
1. จงทดลองวิธีต่างๆ กับสิ่งที่คุณเคยทำอยู่เป็นประจำ ประเด็นสำคัญมิได้อยู่ที่ความจำเป็นจะต้องหาวิธีที่ดีกว่า แต่เป็นการสร้างเสริมสมองให้ทำงานอย่างยีดหยุ่นได้ ซึ่งหมายถึง คุณใช้ทั้งความเต็มใจ และความสามารถ ที่จะจับตาดูการปฏิบัติของตนเองในแง่มุมต่างๆที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่น ลองนำวิธีการแปลกๆเข้ามาประยุกต์ใช้ในการทำงานของคุณ เช่น เปลี่ยนรูปแบของหัวกระดาษ ที่ใช้เขียนจดหมายหรือบันทึกต่างๆ , ปรับปรุงวิธีการเล่นกอล์ฟ เทนนิส หรือเกมอื่นๆ , เมื่อเข้าไปในร้านอาหาร ก็ลองสั่งอาหารที่คุณไม่เคยรับประทานมาลองชิมดู เช่นนี้ เป็นต้น
2. เปิดโอกาสให้ความคิดใหม่ๆ สามารถดำรงอยู่ กล่าวกันว่า คนเรานั้น ชอบที่จะคิดว่าตนเอง เป็นผู้คิดค้นอะไรใหม่ๆขึ้นมา ได้ด้วยตนเอง โดยมิได้ตระหนักว่า แท้ที่จริง มันก็คือความคิดที่มีจุดเริ่มต้นมาแล้วนั่นเอง ถ้ามาขัดถูเสียใหม่ แม้แต่ของที่ไร้ค่าก็อาจกลายเป็นอัญมณีได้ และจงอย่ารีบร้อนปฏิเสธแนวความคิดของผู้อื่น โดยเชื่อว่า ของตนจะต้องดีกว่า ซึ่งจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความสามารถในการสร้างจินตนาการนั้น จำเป็นจะต้องมีการศึกษา และพัฒนาแนวความคิดให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และถึงแม้ว่า แนวความคิดหรือแผนการนั้น จะต้องล้มเลิกไป แต่ความฝังใจในแนวความคิดจะยังคงอยู่
3. จงพยายามพัฒนาความสามารถของตนเอง ให้เป็นนักเลียนแบบที่มีความคิดสร้างสรรค์ให้ได้ ดังที่ได้กล่าวมแล้วว่า แนวความคิดใหม่นั้น คือการประสม และปรับปรุงให้เข้ากับแนวความคิดเดิมที่มีอยู่ มีวิธีการที่คุณจะสร้างเงื่อนไข ให้จิตใจเกิดความคิดในการประสม และปรับปรุงแนวความคิดอยู่เสมอ ซึ่งจะต้องใช้การฝึกฝนอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่ยังความเพลิดเพลิน และนำผลประโยชน์อันใหญ่หลวงมาสู่
ขอให้คุณใช้เวลาเพียงแค่วันละ 10 นาที คิดถึงผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด ซึ่งมิได้มีรูปแบบคล้ายกันเลย แต่มีระบบ หรือการใช้ที่คล้ายกัน และเขียนหัวข้อความคล้ายคลึงกันนี้ลงไว้ ในวันต่อมา ก็คิดขึ้นมาใหม่อีก 2 ชนิด แล้วเขียนลงไว้ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งถ้าจะมองด้วยตัวมันเองแล้ว คุณอาจจะมองไม่เห็นว่า มันจะช่วยอะไรได้ แต่ สิ่งที่คุณได้รับมาโดยไม่รู้ตัว ก็คือ มันจะทำให้สมองของคุณเริ่มคิดถึงความสัมพันธ์ และความคล้ายคลึงกับของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว แม้ในขณะที่คุณมิได้เล่มเกมนี้อยู่ และจุดนี้เอง ที่แนวความคิดได้ถูกสั่งสมขึ้น ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ กับโทรทัศน์ แทบจะมิได้มีอะไรคล้ายกันเลย แต่คุณจะมองเห็นความคล้ายกัน ระหว่างผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดนี้บางประการ เช่น เป็นผลิตภัณฑ์ที่จะต้องใช้ส่วนประกอบต่างๆ , การต้องสั่งสินค้าชนิดนี้มาจากญี่ปุ่น ทำให้ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศต้องถูกตัดทอนลง, เครื่องประกอบภายใน ก็คล้ายกัน เช่น จะต้องมีสายไฟ มีเสาอากาศ มีสวิทซ์ และอื่นๆ นอกจากนั้น ก็ยังเป็นที่นิยมใช้ของคนในประเทศ มีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อประกอบ และให้บริการขนาดใหญ่ขึ้น
4. พยายามพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในสิ่งที่พอใจ มันจะช่วยให้จินตนาการของคุณคงตัวอยู่เสมอ และพร้อมสำหรับปฏิบัติการ ความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ควรจะเป็นไปในลักษณะที่มีแต่การทำงาน แต่ขาดความเพลิดเพลิน เพราะถ้าคุณหาในประการหลังได้ด้วยแล้ว จะทำให้ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาตัวของมันเองไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะเล่นปริศนาอักษรไขว้ เล่นเกมกระดานที่จะต้องมีคู่แข่งขัน ทาสีบ้าน เขียนหนังสือ เรียนถ่ายรูป หรืองานแกะสลักต่างๆ ไม่เช่นนั้น ก็อาจจะเป็นการร่วมกิจกรรมชุมชนในท้องถิ่น.... เพื่อนของผมคนหนึ่ง มีความคิดสร้างสรรค์ในการซ่อมสิ่งของที่ชำรุดมาก เมื่อมีสิ่งของชำรุด เขาก็จะรับอาสาจากเพื่อนๆ ช่วยซ่อมให้ และในที่สุด ก็มีความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นมากมาย
5. ต้องมีความอยากรู้อยากเห็นให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงว่า คุณจะต้องไม่พอใจอยู่แต่เฉพาะข้อมูลที่ได้รับมา แต่พยายามหนหนทางเรียนรู้ถึงเหตุผลไปด้วย วิธีนี้ คุณจะฝึกได้โดยพัฒนาการตั้งคำถาม แก่ทั้งตนเองและผู้อื่น แม้ในเรื่องที่ยังไม่เกิดความสำคัญสำหรับคุณในตอนนั้น ทั้งนี้มิได้หมายความว่า ุคณต้องการมีความรู้เป็นสำคัญ แต่หมายถึงเป็นการทำให้พลังบันดาลใจแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นกตัวอย่างเช่น ในคราวต่อไป เมื่อคุณอ่านหนังสือพิมพ์จบลงแล้ว ก็จงลองถามตัวเองว่า ทำไมคุณจึงอ่านแต่เฉพาะเรื่องนั้น และไม่สนใจในเรื่องอื่นเลย, ลองถามเพื่อน ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายของชำดูว่า ทำไมเขาตั้งร้านอยู่ตรงนั้น หรือในคราวต่อไป ถ้ามีผู้มาบอกกับคุณว่า มีอะไรบางอย่าง ที่ไม่อาจทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ก็จงย้อนถามเขาว่า เพราะอะไร? ถึงคำตอบที่เขาให้มา จะไม่เป็นที่สุดของคำถาม แต่ก็จงถามเขาออกไป ... และเมื่อใดก็ตาม ที่คุณมีสิ่งที่จะต้องซ่อม ก็จงถามดูว่ามันเสียหายตรงไหน? และเพราะเหตุใด?
จิตใต้สำนึก - สายธารแห่งแนวความคิดและหนทางในการแก้ปัญหา
ในบทนี้ บ่อยครั้งที่ผมได้กล่าวย้ำว่า มันมีหนทางในการแก้ปัญหา และแนวความคิดที่จะสนองความต้องการของเรารออยู่ ซึ่งผมขอขยายความให้คุณได้เข้าใจเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า ในความเป็นจริงนั้น ทั้งหนทางในการแก้ปัญหา และแนวความคิดที่คุณประสงค์ มีอยู่แล้วในสมองของคุณ ผมมีตัวเลขที่จะใช้ยืนยันในการนี้ได้.....
นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณออกมาแล้วว่า ในขณะที่คนเราใช้ชีวอตไปตามรูปแบบธรรมดานั้น จะมีข้อมูลส่งเข้าไปในสมองมนุษย์ 15 ล้านล้านข้อมูล ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณได้ผ่านพบมาแล้ว จะถูกบันทึกลงไว้ในนั้น
ถ้า ในสมองของคุณ มีข้อมูลปกติธรรมดาอยู่ถึง 15 ล้านล้านข้อมูล ขอให้คุณลองคิดดูก็แล้วกัน จะมีวิธีการประสมข้อมูลเหล่านั้น เข้าด้วยกันเป็นจำนวนมากมายมหาศาลเพียงไร อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายที่คุณจะได้รับฟัง หรือคุณจะเรียกว่า เป็นข่าวดีก็ได้คือ 90 เปอร์เซ็นต์ ของข้อมูลเหล่านั้น ถูกฝังลงไว้ในจิตใต้สำนึกของคุณ และไม่มีวิธีการที่ง่ายๆ ที่จะนำมันออกมาใช้ เพราะมันจะออกมา ก็ต่อเมื่อมันต้องการจะออกเท่านั้น มิใช่ตามที่คุณปรารถนาจะให้มันออกมา คุณไม่สามารถจะบังคับให้ตนเองดึงความคิดสร้างสรรค์ ออกมาจากจิตใต้สำนึกได้ , คุณไม่สามารถจะสั่งจิตใต้สำนึก ปลดปล่อยข้อมูลอันถูกต้องออกมาให้ตามที่คุณต้องการ มันมิได้ทำงานในลักษณะนั้น
แต่มันต้องการเวลา สำหรับการจัดระบบอยู่ในตัวของมันเอง และต่อไปนี้ คือวิธีการ และเหตุผลในการทำงานของมัน
- ในขณะที่คุณพยายามใช้สามัญสำนึก สรรค์สร้างแนวความคิดใหม่ๆ หรือหนทางในการแก้ปัญหาให้เกิดขึ้นอยู่นั้น จิตใต้สำนึกของคุณ จะรู้อยู่ว่า คุณกำลังแสวงหาอะไร
- จิตใต้สำนึกของคุณ ไม่เคยหยุดพัก แม้ในยามที่คุณหลับ มันจะเลือกสรรเข้าไปในข้อมูลนับล้านๆ ที่มันกักเก็บไว้นั้น
- หลังจากที่คุณได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไป จะเป็นนาที ชั่วโมง หรือวันก็ตามทั้งที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ จิตใต้สำนึกจะส่งหนทางในการแก้ปัญหาออกมาให้ ความคิดจะแวบขึ้นมาในสมองของคุณ หรือคุณจะได้รับคำตอบสำหรับปัญหาอันยากยิ่งที่เผชิญอยู่ ทั้งๆที่ในขณะนั้น คุณอาจกำลังคิดถึงสิ่งอื่นๆอยู่ก็ได้
เซอร์ วอลเตอร์ สก๊อทท์ เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรื่องนี้ เขาไม่เคยปล่อยให้ปัญหาเข้ามารบกวนจิตใจเลย ทั้งนี้ เพราะเขารู้ว่า เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง เขาจะต้องได้รับคำตอบนั้นอยู่แล้ว
ไอน์สไตน์ ก็เช่นเดียวกัน มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่า เขามักจะเกิดแนวความคิดที่ดีที่สุด ในระหว่างการโกนหนวด
โทมัส เอดิสัน ก็เช่นกัน หลังจากที่เขาพยายามขบคิดปัญหายากยิ่งไม่สำเร็จ เขาจะปล่อยมันไว้อีก 24 ชั่วโมง หลังจากที่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว เมื่อตื่นขึ้น เขาก็จะได้รับคำตอบ
โมซาร์ท ได้เล่าให้เพื่อนของเขาฟังว่า ท่วงทำนองเพลงที่ดีที่สุด จะเกิดขึ้นในขณะที่เขางีบหลับไป และเมื่อตื่นขึ้น เขาก็จะรีบเขียนมันลงไว้ตามที่ได้ยินในขณะที่ง่วงงุนอยู่
เพื่อมิให้คุณเข้าใจผิดในเรื่องนี้ สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องย้ำก็คือ บุคคล เหล่านี้ โดยแท้จริง เขามีความเป็นอัจฉริยะในสาขาวิชาชีพของตนอยู่ก่อนแล้ว เขามิได้พัฒนาความเป็นอัจฉริยะนั้น ขึ้นมาจากแนวความคิดทั่เกิดขึ้น ในระหว่างที่เขานอนหลับอยู่ ในช่วงเวลานั้น จะทำหน้าที่แต่เพียงเลือกสรรข้อมูลที่คุณต้องการ และรายงานเข้ามาให้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ บุคคลผู้มีความคิดในทางสร้างสรรค์ จึงพึ่งพาอาศัยจิตใต้สำนึก ในฐานะที่มันเป็นเครื่องมือที่จะช่วยพัฒนาความรู้ และสร้างสรรค์ซึ่งเขาได้มีอยู่แล้วในสมองเท่านั้น
ดังนั้น ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการทำงานของจิตใต้สำนึก คือบุคคลที่ศึกษา และหมั่นหาประสบการณ์ให้มากขึ้นเท่านั้น และประการสำคัญ ก็คือ การที่คุณจะได้พบว่า คุณ สามารถใส่ข้อมูลของปัญหาเข้าไปในจิตใต้สำนึกได้ตลอดเวลา และได้รับความคิดสร้างสรรค์กลับมานั้นถ้าปราศจากเทคนิคต่างๆ ที่คุณได้เรียนรู้จากเอกสารนี้แล้ว ข้อมูลทั้งหลาย แม้จะนับเป็นล้านล้านชิ้น ก็จะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของคุณตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น