เท้า เปรียบเสมือนพาหนะส่วนตัว ที่พาเราโลดแล่นไปไหน ต่อไหนตามอำเภอใจ แต่น่าเสียดาย ที่ความสำคัญ ของเท้ามัก ถูกมองข้าม ทั้งๆที่การเอาใส่ ใจอวัยวะล่างสุด ของร่างกายส่วนนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการดูแลสุขภาพ และเป็นกุญแจไขความลับ ไปสู่การบำบัดตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งมือหมอ เห็นเป็นเท้าเหมือนๆ กัน อย่านึกว่า คนเราจะมีเท้าแค่แบบเดียวนพ.วิญญู รัตนไชย ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและเท้า ไขข้อข้องใจ ในงาน Personal Best-Setting the pace กับ "ไนกี้" เมื่อเร็วๆ นี้ว่า เท้าคนเราจะแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ เท้าปกติ เท้าแบน และเท้าโค้งกว่าปกติ โดยคนเอเชียส่วนใหญ่ รวมถึงคนไทย มักมี "เท้าแบน" ซึ่งเป็นเท้าที่มีส่วนโค้งของอุ้งเท้าน้อย ทำให้ฝ่าเท้าด้านในสัมผัสพื้นมากเกินไป การเดินโดยเอียงเท้าด้านในมากๆเช่นนี้ ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่ายที่ข้อเท้า, หัวเข่า, สะโพก และหลัง ถ้าสังเกตให้ดี คนที่มีเท้าแบบนี้ พื้นรองเท้ากีฬาจะมีรอยสึกตรงพื้นด้านใน รองเท้าที่เหมาะจึงต้องเป็นแบบรองรับการยืดหยุ่นได้ดี เพราะเท้ามีความยืดหยุ่นมากเกินไป เอ็นจะหย่อนเวลารับแรงส่งตัว สำหรับคนเท้าโค้งกว่าปกติ ได้เปรียบตรงที่โครงสร้างเท้าแข็งแรงโค้งเหมือนสะพาน แต่ข้อเสียคือ ยืดหยุ่นน้อย บาดเจ็บที่ข้อพังผืดได้ง่าย เนื่องจากอุ้งเท้าโค้งกว่าปกติ เวลาเดินหรือวิ่งจะลงน้ำหนักที่ฝ่าเท้าด้านนอก ทำให้ไม่สามารถกระจายน้ำหนักได้ทั่วเท้า จึงสูญเสียการป้องกันแรงกระแทกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ คนที่มีเท้าลักษณะนี้ รอยสึกส่วนใหญ่จะอยู่ตรงด้านนอก รองเท้าที่เหมาะต้องเป็นแบบรองรับแรงกระแทกดีๆ ส่วนคนที่โชคดี มีรูปทรงเท้าปกติ จะสามารถกดน้ำหนักลงบนฝ่าเท้าอย่างทั่วถึง รอยสึกของรองเท้าจึงมักอยู่ที่กลางพื้นรองเท้า
นพ.วิญญูยังระบุว่า อาการบาดเจ็บที่ส้นเท้า เป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย โดยสาเหตุหลักมาจากเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ เพราะรับน้ำหนักตัวมาก, เส้นประสาทเท้าถูกกดรัด ทำให้รู้สึกปวดทุกครั้ง ที่เหยียบพื้นตอนเช้า และไขมันส้นเท้าเสื่อมสภาพ ซึ่งพบมากในผู้สูงอายุ การป้องกันทำได้โดยดูแลเท้า ให้มีสุขภาพดี ไม่ปล่อยให้เกิดแผลพุพอง อย่างผู้หญิงก็ไม่ควร สวมรองเท้าส้นสูงเกิน 1 นิ้ว เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบที่ข้อนิ้วเท้า แต่ถ้าส้นเตี้ยเกินไปก็ไม่ดี เพราะทำให้เอ็นร้อยหวายบาดเจ็บ พูดถึงเรื่องสุขภาพเท้าทั้งที ถ้าไม่เอ่ยถึงวิธีบำบัดแบบธรรมชาติคือ "การนวดกดจุดสะท้อนเท้า" ศาสตร์แขนงหนึ่งของแพทย์ทางเลือกที่กำลังฮือฮา ก็คงเชยน่าดู อจ.สมบูรณ์ รุ่งโรจน์สกุลพร นายกสมาคมนวดกดจุดสะท้อนเท้าประเทศไทย ให้ความรู้ว่า ศาสตร์แขนงนี้มีต้นกำเนิดมาจากจีน เป็นการนวดจุด 62 จุดที่เท้า ซึ่งตรงกับปลายประสาทอวัยวะของร่างกายทั้ง 62 อย่าง วิธีสังเกตง่ายๆว่าอวัยวะใดบกพร่อง ดูได้จากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เมื่อกดถูกจุดที่เป็นปลายประสาทอวัยวะนั้นๆ ศาสตร์แขนงนี้ เป็นการปรับระบบร่างกายให้สมดุลเหมือนหยินกับหยาง แต่ไม่ได้มุ่งเน้นรักษาโรค เปรียบเหมือนยาแก้ปวดแบบธรรมชาติ จะได้ผลเร็วมาก ถ้ารักษากับอาการที่เกิดจากระบบประสาทบกพร่อง สำหรับเคล็ดลับดูแลสุขภาพสไตล์ อจ.สมบูรณ์ สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการดื่มน้ำวันละ 14 แก้ว และปัสสาวะวันละ 20 ครั้ง โดยอาจารย์บอกว่า วันหนึ่งๆ ร่างกายสูญเสียน้ำเกิน 2 ลิตร ยิ่งถ้าอยู่ห้องแอร์ทั้งวัน ยิ่งถูกดูดน้ำออกไปได้ง่าย จึงต้องดื่มน้ำทดแทน ให้สอดคล้องกับธรรมชาติ วิธีดื่ม ตั้งแต่ตื่นนอน อย่าเพิ่งแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำอุ่นทีละแก้วให้ได้ 4 แก้ว จากนั้นดื่มน้ำก่อนและหลังอาหารอีกมื้อละ 2 แก้ว ส่วนระหว่างวัน ตอน 10 โมงเช้า, บ่ายสอง และ 4 โมงเย็น ก็ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ตบท้ายก่อนนอนอีก 1 แก้ว นอกจากนี้ การเดินเท้าเปล่าบนพื้นธรณีที่ไม่เย็น หรือบนก้อนกรวด และกะลามะพร้าว วันละ 15-20 นาที ก็เป็นการนวดเพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิต และระบบประสาทที่ได้ผลชะงัดทีเดียว.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น