++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

พาหลานไปฮ่องกง (ตอนที่ ๒- ตอนจบ)

"เทศา"

            วันที่สามเป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ฮ่องกง เพราะรุ่งขึ้นจะเดินทางกลับ ตอนกลางวันคงไม่มีเวลาจะหาซื้อเข้าของสิ่งใดได้ วันที่สามจึงเป็นวันสำคัญที่จะทำการชอปปิ้งกันอย่างเต็มที่เต็มทาง ถามพี่หนึ่งว่าจะเอาอะไรบ้าง ถามน้องนางว่าจะซื้อของฝากเพื่อนหรือฝากครูบ้างไหม ตกลงเขาขอไปดูก่อนว่ามีอะไรบ้าง เรื่องของเล่นของเด็กแล้วที่ไหนก็มีไม่มากเท่าที่ศูนย์การค้าชื่อ โอเชียนเทอมินัล เพราะเป็นร้านดัดแปลงใหม่ใหญ่เหลือเกิน และไม่ขายสิ่งอื่นเลยนอกจากของเล่นเด็กล้วนๆ ถ้าพาเด็กเข้าร้านนี้แล้วไม่ยอมออกจนกว่าจะหมดสตางค์นั่นแหละ ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าบอกนางว่า พอกันทีนะปู่หมดเงินแล้ว นางเขาหันมาบอกว่า หมดก็ไปเบิกที่ธนาคารซี อยู่หน้าร้านนี้ก็มี นางคงคิดว่าเงินของข้าพเจ้าอยู่ในธนาคารนี้ทั้งหมด หรือไม่ก็คิดว่าข้าพเจ้าเป็นเจ้าของธนาคารทุกธนาคารในฮ่องกงก็เป็นได้ ข้าพเจ้าได้แต่หัว่อหึหึ จะพูดยาวสาวเรื่องไปก็สองไพเบี้ยเปล่าๆ

            ตกลงนางเขาเลือกได้เครื่องอัดเทปแบบเด็กๆ อัดเล่นได้ ใช้ถ่ายไฟฉายสี่ก้อน แล้วซื้อตุ๊กตาลูกหมูร้องอี๊ดๆได้ด้วย  เป็นที่ชื่นชอบใจนัก เวลานอนทุกคืนต้องนอนกอดไว้ และกอดอยู่จนทุกวันนี้ ส่วนพี่หนึ่งได้ตั้งใจมาอย่างแน่วแน่ว่าจะซื้อรถวิทยุเอาอย่างครึ่งๆรถแข่งทีเดียว  พูดถึงแผนกรถแล้วก็นับว่า ใหญ่จริงๆ มีรถให้เลือกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันแบบ แทบจะเหมาห้องทั้งห้องเป็นเรื่องรถโดยเฉพาะ เห็นหนึ่งเขาว่าราคาถูกกว่าบ้านเรามาก เช่น ห้าร้อยบาทก็เหลือเพียงสามร้อยห้าสิบเท่านั้น เขาเป็นนักเล่นรถและเขาจำราคามาแม่น ข้อสำคัญถ้าบ้านเราเขาเก็บภาษีเข้าให้ละก็มันก็คงจะไม่คุ้มค่าเรือบินหรอก ตกลงพี่หนึ่งเขาเลือกได้สองคันคนละแบบ พอกลับถึงที่พักก็ซ้อมวิธีบรรจุกระเป๋าให้ดี เพราะกล่องของเล่นมันใหญ่มาก เอาใส่กระเป๋าไม่ได้ ต้องทิ้งกล่องและทิ้งโฟมทั้งปวงที่เขาจัดไว้หุ้มตัวรถ ถ้าไม่ทิ้งก็เอากลับไม่ได้

            กลางคืนหลังจากอาหารเย็นแล้ว ก็กลุ้มรุมช่วยกันแกะกล่อง เอาบรรจุเข้ากระเป๋าให้ได้ ถ้าปิดไม่ได้ก็ต้องให้น้องนางนั่งห่มทับไว้ เพราะน้องนางตัวหนัก ลงทับอะไรเข้าเป็นแบนทั้งนั้น กว่าจะบรรจุกระเป๋าได้เรียบร้อยก็พอดีถึงเวลานอน เมื่อได้นอนไปพักใหญ่ น้องนางยังละเมอถึงลูกหมูตอนตัวนั้นอีก ต้องค่อยๆปลอบว่าหมูนอนหลับอยู่ในกระเป๋า วันรุ่งขึ้นถึงจะเอาออกมาเล่นได้ น้องนางจึงได้สะลึมละลือหลับไปอีก

            รุ่งเช้าพอตื่นล้างหน้าอาบน้ำแล้ว น้องนางก็เรียกหาลูกหมูทันที ต้องรื้อกระเป๋าเอาออกมาให้ และก็ไม่ยอมให้ใส่กระเป๋าอีก น้องนางอุ้มเองไม่ว่าจะขึ้นรถลงเรือ ไปไหนก็เอาไปด้วย ขึ้นเครื่องบินก็ถือเอง ลงก็ถือเอง พวกศุลกากรที่ฮ่องกงแย่งเอาไปใส่เครื่องตรวจความปลอดภัย น้องนางถึงกับร้องไห้ ศุลกากรเจ็กต้องจูงมือไปเอาคืนให้อีกด้านหนึ่งของเครื่องตรวจ เรื่องจึงจบลงได้ ท่ามกลางคนดูที่เอาใจช่วยเด็กเป็นอันมาก เพราะความสงสาร

            เครื่องบินไทยอินเตอร์ออกตามเวลาประมาณเที่ยงครึ่ง เวลาของเขา พี่หนึ่งกับน้องนางนั่งคุยกันจ้อ ไม่มีตื่นเต้นตกใจ ไม่ว่าเวลาขึ้นหรือเวลาลงทั้งนั้น ทำให้ปู่พลอยสบายใจไปด้วย พอเครื่องขึ้นได้ระดับ เขาก็ยกอาหารมาเลี้ยง และเลี้ยงอย่างไม่อั้น จะเรียกอะไรก็ไปหามาให้ พี่หนึ่งกับน้องนางเขาวางอาหารให้ถาดเดียวตามคำขอของเราเอง แล้วทั้งสองคนก็เลือกกินของที่คิดอยากจะกิน ถ้าไม่กินอะไรก็ปล่อยทิ้งไว้ เขาก็ไม่ว่าอะไร สิ่งที่เรียกเพิ่มพิเศษคือ น้ำแข็งใส่น้ำสไปร๊ท์ ทั้งสองคนกินเหมือนกัน แล้วถั่วลิสงเปล่าๆสำหรับเคี้ยวเล่น ต้องสั่งเพิ่มอีกสองห่อ พวกแอร์เขาเต็มใจบริการเด็กเล็กมาก เขาทำให้อย่างเอ็นจอยจริงๆด้วย เพราะการได้เล่นกับเด็กๆ บ้างทำให้ชื่นใจและหายเหงา

            พอกินอาหารเสร็จ เขาก็เก็บถาดไป นึกว่าจะนอนสักงีบ น้องนางเกิดต่อว่าขึ้นมาทันทีบอกว่า ปู่นอนอีกแล้ว ปู่ไม่เห็นทำอะไรเลย เอาแต่นอนหลับอย่างเดียว เด็กเอ๋ยช่างไม่รู้เลยว่าคนอย่างปู่นั้น ยามกินไม่ได้นอนหรอก จะนอนก็ตอนที่ไม่ได้กินเท่านั้น

            น้องนางเขาบอกว่าปวดฉี่ พี่หนึ่งเขารับอาสาพาไปห้องน้ำ เพราะเคยเข้าแล้วต้องกำชับให้ชักน้ำและอย่าทิ้งเศษกระดาษรกห้องเขา ต้องเก็บทิ้งใส่ช่องทิ้งให้เรียบร้อย แล้วสองคนพี่น้องก็พากันหายไป พักหนึ่งก็กลับมาบอกว่าเสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง

            ก็พอดีเขาประกาศว่า เครื่องกำลังผ่านแม่โขงและผ่านเวียดนาม อีกครึ่งชั่วโมงก็จะลงแล้ว ผู้โดยสารต่างก็เตรียมตัวเก็บข้าวของ เจ้าหน้าที่เขาก็มาเก็บเครื่องฟังดนตรี จัดพนักเก้าอี้เก็บผ้าห่มและหมอน

            แล้วเครื่องก็ลดระดับลงจอดได้อย่างสนิทสนมแฮ คณะของเราก็ลงตามๆเขาไป ตรวจคนเข้าเมืองเขาตรวจหนังสือเดินทางให้โดยเร็ว และฝ่ายศุลกากรเขาก็ให้เกียรติอย่างมาก เขาถามว่า มีของผิดกฎหมายหรือเปล่า ก็บอกเขาว่าไม่มี เขาก็ให้ผ่านได้

            รู้สึกว่าเขาอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี นึกถึงศุลกากรที่อังกฤษที่ข้าพเจ้าเคยผ่านครั้งหนึ่ง เขาใช้หลักจิตวิทยาจ้องหน้าบางคน เขาถามว่าในกระเป๋าเดินทางของท่านมีปืนหรือไม่ เขาถามเพื่อนของข้าพเจ้าที่อยู่ข้างหลัง เพื่อนข้าพเจ้าพูดฝรั่งไม่ค่อยได้และมีพิรุธ เพราะซื้อปืนสั้นมากระบอกหนึ่งจากเบลเยี่ยม ตอบกับเขาอย่างอึกอัก เขาถามย้ำอีก แกดันตอบเขาว่า "เนเวอร์ไมน์น่า" แปลว่าไม่เป็นไรน่า นึกว่าเขาจะเกรงใจเพราะเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ เขากลับตอบว่า "ไอดูไมน์" แปลว่าเขาถือเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องที่เราว่าไม่สำคัญนั้น  เกิดเปิดกระเป๋าและพบปืนเขาก็เลยยึดเอาไว้ ให้คนเข้าเมืองได้แต่ไม่ให้ปืนเข้าเมือง ก็เป็นฐานกรุณาเต็มทีที่เขาไม่เอาความผิด

            คนที่มีของผิดกฎหมายนั้น ถ้าจ้องหน้าจริงๆแล้ว จะหลบตาไม่สู้หรอก วิธีการเช่นนี้ทางฝรั่งเขาใช้มาก เขาไม่ตรวจกระเป๋าทุกใบก็จริง แต่ใบไหนที่เขาสั่งเปิดมักได้การทุกที นี่แหละเป็นวิธีตรวจแบบจ้องตาซึ่งได้ผลชะงัดนัก

            น้องนางอุ้มลูกหมูเดินผ่านศุลกากร เจ้าหน้าที่เขาว่าขอดูหน่อยได้ไหม น้องนางเบะนึกว่าเขาจะยึดไป เจ้าหน้าที่เขาเลยไม่เอา เขาว่าไม่ให้ดูก็แล้วไป ไม่ดูแล้วเชิญไปได้ น้องนางเลยหน้าชื่นได้ใหม่อีก

            คณะของเราจึงเดินทางถึงไทยแลนด์ ถึงบ้านโดยเรียบร้อยสวัสดีทุกประการ

ที่มา  ต่วยตูน เดือนมีนาคม ๒๕๓๑ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๗

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น