++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

ไก่กับ ขจก - เที่ยวไป-กินไป

พล.ต. โอภาส โพธิแพทย์


ผมเขียน ขจก. กับเป็ดไปแล้ว คราวนี้เลยเปลี่ยนเป็นเรื่อง ไก่ กับ ขจก. พอส่งต้นฉบับ ขจก.กับเป็ดไปแล้ว ก็รีบไปแสวงหาไก่เบตง ที่ จ.ยะลาที่เขาว่า อร่อยนัก ซึ่งความจริงเคยไปลิ้มรสที่เบตงมาแล้วหลายครั้ง เผอิญไปทีไรไปเป็นทางการทุกที เขาก็คัดเอาไก่ตอนเบตงชั้นยอดมาให้ ผมก็อ้อมแอ้มถามร้านเขาไป เขาก็ตอบมา บางทีเขาก็มองหน้าเอาว่าอีตานี่อย่างไร (นี่หว่า) ซื้อไก่ตอนมาให้กินยังถามซอกแซกหาชื่อร้านอีก หากคนเป็นแฟนหนังสือผมก็อธิบายกันเสียละเอียดจนจำไม่ได้อีกนั่นแหละ จะรอไปเบตงเสียก่อนก็พอดีมันยุ่งๆกัน ทางนราธิวาสต้องรอไปอีกหลายวันจึงจะมีโอกาสไป ก็เลยไปยะลาแทน ไปหาข่าวมาได้ความว่า ไก่ตอนชั้นยอดของเบตงนั้น เวลานี้โดนชาว อ.เมืองยะลาคิดสูตรลับขึ้นมา สามารถทำได้เหมือนไก่ตอนเบตงแล้ว ดังนั้น หากใครไป อ.เมืองยะลาก็จะสามารถได้รับประทานทั้งเป็ดย่างที่ใต้ถุนโรงแรมเมโทร และไก่ตอนรสเบตงที่ร้านเดียวกันนี่แหละ หรือร้านอื่นก็ได้เพราะตอนเช้าๆ ผมตระเวณดูที่แขวนอยู่ตามตู้อาหารในเมืองยะลานั้นล้วนแต่ตัวอ้วนพี ขาวน่ารักทั้งนั้น อุตส่าห์ตระเวณซื้อชิม ห่อกลับมาชิม ทั้งเที่ยง ทั้งเย็น จนโรคเก๊าท์ชักกำเริบ (เพราะอุตริเขียนเรื่องเป็ด-ไก่ แสลงโรคเก๊าท์) และหน้าชักจะมีเค้าไก่ เคราะห์ดียังไม่ถึงขั้นออกเหนียง

ไปยะลาเที่ยวนี้ได้ของดีมาฝาก คือ ผมได้ ส.ค.ส.จากผู้ว่าฯ ยะลา ท่านเอาของดียะลามาโชว์ไว้ใน ส.ค.ส. ยั่วให้คนอยากไปเที่ยว และเมืองยะลานั้นเป็นเมืองที่มีแผนผัง เป็นเมืองที่สวยสะอาดไปทั้งเมือง ผลการประกวดเทศบาลจึงชนะมา ๒ ปี ทั้งปี ๒๘ และ ๒๙ แต่ตอนนี้ถนนสายหลักต้นประดู่กำลังเป็นโรค เป็นผลให้มีบางต้นตายไปแล้ว ไม่ทราบบรรดาหมอต้นไม้ทั้งหลายจะสามารถระงับอาการป่วยของต้นประดู่กลางเมืองยะลาได้หรือเปล่า

ของดีที่ว่า คือ ถ้ำมณโฑ หรือถ้ำนางมณโฑ เข้าใจว่าคงเพิ่งเปิดให้เที่ยวกันหรือพึ่งทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้เที่ยวกันก็เป็นได้ เพราะถ้ำนี้อยู่ห่างจาก อ.เมืองมาตามทางหลวงที่จะมาปัตตานี หรือ อ.โคกโพธิ์เพียง ๓ กม.เท่านั้น หากจะไล่ดะกัน สมมุติว่ามาจากหาดใหญ่ทางรถยนต์ ถึงสามแยกที่จะเลี้ยวซ้ายไปปัตตานี (๑๔ กม.) เลี้ยวขวามา อ.โคกโพธิ์ และมาวัดช้างไห้ เลยมาจนถึงสามแยกบ้านเนียงและ จ.ยะลา (รวมระยะทางถึงยะลา ๔๓ กม.) จะไล่ได้อย่างนี้ จากสามแยกถึงสามแยกบ้านเนียง ตรงนี้เลี้ยวขวาไป อ.ยะหา เลี้ยงซ้ายวิ่งไป ๙ กม. จะไป จ.ยะลา ผมเอาสามแยกบ้านเนียงมาเขียนถึงเพราะตรงนี้มีกล้วยประหลาดคือ "กล้วยหิน" ดิบๆแข็งเป็นหินขว้างโดนพุงแตกทีเดียว แต่พอต้มแล้ว (ไม่ทราบว่าเผาได้หรือไม่) สีกล้วยสุก จะเป็นสีเหลืองอร่าม มีกลิ่นหอมคล้ายกล้วยหักมุกและหวานปะแร่มๆ อร่อยมาก ไม่ต้องไปจิ้มน้ำตาลอะไรทั้งนั้น ทั้งหวานทั้งหอมและเนื้อแน่นเปี๊ยะ ราคานั้นอย่าบอกใคร ขายหวีละ ๔ บาทถ้วน ขายราคานี้มานานแล้ว หวีหนึ่งประมาณ ๑๐ ลูกหมายถึงเขาทำให้เหลือพวงละ ๑๐ ลูก เรียกพวงจะเหมาะกว่า ใครหิวข้าวเจอเข้าไป ๔ บาทก็อิ่มไปถึงค่ำนั่นแหละ และใครขืนกินหมดทั้งหวีก็คงจะไม่ใช่พุงมนุษย์ธรรมดาแล้ว ผมถึงเอ่ยสามแยกบ้านเนียงเอาไว้เลย เผื่อเวลาเขียนเรื่อง จคม. ซึ่งจะเกี่ยวพันกับยะลามากหากลืมก็ถือว่า ได้บอกแล้วตรงนี้ไง

จากบ้านเนียงต่อมาอีก ๓ กม. ทางฝั่งขวาหากเลี้ยวเข้าไป ๑ กม. คือ วัดถ้ำคูหาภิมุข ซึ่งมีพระพุทธไสยาสน์เก่าแก่กว่า ๑๐๐๐ ปี เอาไว้เล่าทีหลัง แต่จะบอกให้ตรงทางเข้ามีร้านอาหารชื่อ เคนโพธิ์ ร้านนี้ขายทุเรียนกวนที่ยอดอร่อยกับมังคุดกวน บอกกล่าวกันไว้เสียก่อน

เลยมาอีก ๒ กม. จะถึงทางแยกซ้ายมีป้ายเล็กๆบอกว่า ถ้ำมณโฑและถ้ำสำเภาทอง เข้าไปนิดเดียวก็มีที่จอดรถหากเลยไปอีกสักสิบเมตรมีศาลาเล็กๆ เขียนว่า ที่พักสงฆ์และมีที่จอดรถ ที่ศาลานี้คนแยะมีพระสงฆ์วันที่ผมไป ๔ องค์ ท่านใช้วิชาหมอดูเป็นหลักถึงกับสตรีอิสลามยังชอบไปดู ค่ายกครู ๑๒ บ. ผมยังไม่ได้ดู พอดีไปฟังคนเขาบอกเสียก่อนว่า ท่านดูหมอเอาสตางค์ใส่ย่ามหมด ไม่ได้เอามาบำรุงถ้ำเหมือนองค์ที่อยู่ในถ้ำ จริงเท็จผมไม่ยืนยัน ฟังเล่ามาเล่าต่อไปก่อน ไว้พบท่านผู้ว่าฯ ค่อยคุยกันใหม่

ทีนี้หากเดินเลยต่อไป จะมีทางขึ้นสู่ถ้ำมณโฑหรือถ้ำนางมณโฑ ซึ่งเป็นถ้ำของภูเขาหินอ่อน ทางอีกด้านหนึ่งของเขาลูกนี้ มีบริษัททำหินอ่อนอยู่ เขาบอกทางขึ้นยังไม่สะดวกนักผมเลยไม่ขึ้นไป เขาบอกอีกว่า หากผมจะขึ้นไปจริงๆก็จะขอให้ทางบริษัททำหินอ่อนดำเนินการให้ เกรงว่ามันจะเอิกเกริกเกินไป วันไหนแข้งขาดีก็จะไปปีนดูเอง ก็เลยมาขึ้นถ้ำแรกที่เขียนบอกว่า ถ้ำสำเภาทอง ก็อยู่ห่างจากที่พักสงฆ์หมอดสัก ๒๐ เมตร ทางขึ้นสะดวกแล้วเพราะมีพระธุดงค์มาจากขอนแก่นกับเณรอีก ๑ องค์ ไปพักอยุ่ในถ้ำนี้และไม่รับดูหมอ ชาวบ้านที่เป็นไทยพุทธจึงเลื่อมใส นิมนต์ให้อยู่ต่อท่านก็เลยอยู่มาหลายเดือนแล้วทั้งพระและเณร ฉันมื้อสายๆมื้อเดียว ตกค่ำมีชาวไทยพุทธไปสวดมนต์กันในถ้ำ

ของดีที่ผมว่า คือในถ้ำสำเภาทองนี้ แม้เขาว่า (อีกนั่นแหละ) จะไม่สวยเท่าถ้ำมณโฑ แต่ในสายตาของผมผู้ท่องเที่ยวมารอบเมืองไทยหลายรอบบอกได้ว่า สวย จะติกันนิดก็ตรงหลวงน้อง (อายุสามสิบกว่าๆ) ท่านนั่งตรงทางเข้าออก ใคจะเดินไปเที่ยวในถ้ำซึ่งเป็นถ้ำที่สวยและลึกมากต้องผ่านท่านก่อน ไทยพุทธไม่เป็นไรเขาก็นั่งลงกราบไหว้ แต่ไทยอิสลามคงไปทำให้เขาลำบากใจ นานไปจะเกิดกล่าวหาว่าเป็นถ้ำไทยพุทธไปไม่ดีตรงนี้เอง เอาไว้แก้กันทีหลัง ประวัติบอกว่านานกาเลกว่าพันปีมาแล้ว ตรงนี้น้ำทะเลยังท่วมถึงเป็นเกาะ เรียกว่าท่าสาป (เวลานี้เป็นชื่อตำบล) ลูกสาวเจ้าเมืองในชมพูทวีปทราบว่า มีการสร้างพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งตามตำนานก็สร้างโดยชาวชมพูทวีปที่จะไปลังกา แต่เรือถูกพายุพัดมาติดแหง็กที่หาดทรายแก้วเมืองนครฯ เลยอยู่ที่นั่น ต่อมาก็สร้างพระบรมธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น ส่วนสามสาวเจ้าแม่นี่ทราบข่าวจะตามมาช่วยสร้างทีหลัง จึงขนแก้วแหวนเงินทองใส่เรือมากันสามสาว คือ นางมณโฑ นางสำเภาทอง นางสำเภาแก้ว ใครพี่ใครน้องไม่รู้ผมตั้งเอาเองตามนี้ เวลานี้เป็นเจ้าแม่ไปหมดแล้วทั้งสามคน เรือมาเกยตื้นอัปปางที่ท่าสาปเลยตั้งรกรากกันอยู่ตรงนี้แหละ และถ้ำที่ชื่อว่าถ้ำเจ้าแม่สำเภาทอง คือ ถ้ำที่ซ่อนสมบัติที่มากับเรือไว้ ในถ้ำนี้หากแบ่งเป็นห้องๆ คงได้ว่า ห้องแรกเป็นห้องที่สวยงามมาก มีหินงอกสูงไปจนจรดเพดาน แต่เมื่อบอกว่าเป็นหินเจ้าแม่เสียแล้วมีงอกสูงสวยอยู่สองต้น จึงต้องมีผ้าแพรของผู้ไปขอหวยสำเร็จพันรอบไว้ด้วย ที่ผมชอบใจมีหินงอกมองเหมือนสิงห์โตอยู่แท่งหนึ่ง เลยถ่ายรูปผมคู่กับสิงห์โตหินมาไว้ ๑ รูป บก.จะเอาไปลงเป็นรูปปกก็ได้ แต่ควรเปลี่ยนจากตัวผมไปเป็นการ์ตูนรูปของ บก.ฯเอง

ห้องต่อไปเป็นห้องท้องพระโรง มีหินจะงอกหรือจะย้อยก๋ไม่ทราบเป็นช้างสามเศียร เหมือนมากจริงๆ และตัวหนึ่งยังมีหินงอก (หรือย้อย) เป็นรูปนกยูงขี่ช้าง หากไม่มีใครบอกต้องดูนานหน่อย ผมโชคดีไปเจอเอาคนที่แกอุปถัมภ์ถ้ำทำงานการไฟฟ้า นับถือพระธุดงค์องค์นี้มากจึงมาติดไฟฟ้า เดินไฟหลายห้อง และตั้งตู้บริจาคเก็บค่าไฟไปจ่ายการไฟฟ้าเห็นว่าเดือนละพันกว่าบาท ห้องในเข้าไปอีกมีหินเป็นรูปซี่โครงคน เป็นรูปเท้าคน อีกห้องเป็นห้องสมบัติและมีแสงเป็นประกายยังกับเพชรเมื่อถูกแสงไฟฉายเป็นประกายเห็นถนัด อีกห้องเปนหุบลงไปมีหินงอกชูตั้งมาเหมือนงู ผมดูได้แค่นี้ก็หมดแรงรีบออกมาเข้าห้องน้ำเห็นสะอาดดีและเขียนบอกไว้ว่า สร้างแล้วยังเป้นหนีเขาอยู่ผมเลยบริจาคร่วมไปด้วยเพราะชอบห้องน้ำสะอาด สักวันจะเขียนเรื่องห้องสุขาหรือบัญชีห้องสุขาสะอาดเอากันให้ทั่วประเทศเลยเป็นไง เพราะห้องอาหารบางร้านข้างหน้าสะอาด เข้าห้องน้ำแทบเป็นลม หรือตามปั้มเขียนบอกห้องน้ำสะอาดก็ชักเชื่อไม่ค่อยได้แล้ว เมื่อไรเขาจะรณรงค์กันให้ทุกเทศบาลระดับเมืองมีห้องน้ำประจำเมือง เก็บสตางค์เข้าไปเถิด เวลาคับขันอย่าว่าแต่บาทเดียวเลยขอกันสักร้อยก็ควักให้โดยดี เว้นเรียบร้อยแล้วนั่นแหละคงชักเสียดาย หมดไปตั้งร้อย เอากันแค่บาทสองบาทพอค่าก่อสร้างและค่ารักษาความสะอาดก็แล้วกัน ผมแซวเมืองตรังไปทีหนึ่งไม่ทราบใครอ่านเจอเข้า ตอนนี้ห้องน้ำแถวอนุสาวรีย์สะอาดแล้ว รวมทั้งที่กะพังสุรินทร์ด้วย

ขอจบของดีเมืองยะลาไว้แค่นี้ เอาไว้หากินมื้อหน้า ตอนนี้รีบเขียนถ้ำสำเภาทองเสียก่อน เดี๋ยวใครจะมาแย่งผมเขียนเสียก่อน เขายิ่งเป็นปีการท่องเที่ยวอยู่

ทีนี้มาเล่าเรื่อง ขจก.หรือ ขบวนโจรก่อการร้ายกันต่อ หากไม่จบอีกผมก็จะต้องยักย้ายไปเขียนเรื่องตาชีกับ ขจก. หรือ ขจก.กับหอยแครงอะไรทำนองนั้น ส่วนตาชีคืออะไร ไม่บอกครับ หอยแครงบอกก้ได้เพราะผมเคยเขียนลง ต่วยตูนเมื่อสักสิบปีมาแล้วว่าเรื่อง "หอย" และยังจำได้ว่า ส่งต้นฉบับไปแล้ว ไม่กี่วัน บก.ฯ (คนนี้แหละ) เขียน จ.ม.ลายมือโป้งๆมาถึงผม ว่าขอให้ผู้การส่งต้นฉบับเรื่องหอยไปให้ใหม่ และมาทราบทีหลังจากผู้อยู่วงการใกล้ชิด บก.ว่า เอาแฟ้มต้นฉบับของผมและคงมีของคนอื่นอีกหนีบไปร้านขายน้ำมังสวิรัต (ผู้ว่าปัญญา เรียกน้ำเปลี่ยนนิสัย) แต่ตอนกลับออกมาหยิบแฟ้มผิด ผ่าไปหยิบเมนูอาหารจีนมาแทน จึงเดือดร้อนต้องขอต้นฉบับใหม่ ผมไม่เดือดร้อนเพราะผมพิมพ์ๆเสร็จ ผมก็มีสำเนาเก็บไว้ มาขอผมก็ถ่ายไปให้ สงสารคนอื่นซี หากเป็นของลุงปิงปอง ดูเหมือนท่านจะเขียนด้วยลายมือของท่านเอง อย่างนี้คงไม่มีต้นฉบับที่สำเนาไว้แน่

ผมเล่าถึง ขจก.ว่ามีสามพวก คือ พวก พูโล, พวก บี.อาร์ เอ็น และ บี.เอ็น.พี.พี. ได้รวมกันแล้วในหลักการเป็น มูจาฮีดิน ทีนี้ผมจะเล่าต่อว่า กลุ่ม.บี.อาร์.เอ็น ของหะยีสุหรง อับดุลกาเดร์ ได้รับการสนับสนุนและแนะนำจาก ตวนกู มะไฮยิดดิน ที่รัฐกลันตันโดยตลอด ใช้ศาสนาเป็นเครื่องบังหน้าแทรกซึมเข้าไปทุกหนทุกแห่ง กำหนดหลักปฏิบัติเป็นนโยบายในการแบ่งแยกดินแดนไว้ ๖ ข้อ เน้นในเรื่องชาตินิยมว่า ไม่ใช่คนไทย เน้นในเรื่องศาสนาว่าไม่เป็นอิสลาม เน้นในภาษาท้องถิ่นว่าใช้ยาวี (แต่ที่ภาษาเขียน เขียนอาหรับไม่เป็นต้องใช้ลูมี่ คือ ภาษาเป็นตัวอังกฤษ แต่อ่านสำเนียงยาวีตามแบบของชาติที่เคยถูกฝรั่งปกครอง) กล่าวหาว่าข้าราชการกลั่นแกล้ง เรียกร้องสิ่งที่รัฐให้ไม่ไหว (ตอนนี้ก็มีจะตั้งวิทยาลัยอิสลาม ผมเลยปรามตัวตั้งตัวตีไว้ก่อนว่า ช้าๆไว้ เรียนที่มหาวิทยาลัยสงขลาฯ นั่นแหละอยากให้พิเศษก็เอาแค่เปิดแผนกภาษานี้ขึ้นมาก็แล้วกัน)

ในปี พ.ศ.๒๔๙๐ รัฐบาลไทยกลัวไปกันใหญ่ จึงเริ่มสนใจอย่างจริงจัง และส่งคณะกรรมการไปสอบสวนหาข้อเท็จจริง นายหะยีสุหรงเรียกร้องเอาอีก ๗ข้อ ผมจะไม่เขียนละว่า ๗ ข้ออะไรบ้าง เพราะใครเป็นรัฐบาลก็คงให้ไม่ได้หากคิดว่านี่คือ ผืนแผ่นดินไทย เอาสักข้อก็ได้ "ให้ทางราชการใช้ภาษามลายูและภาษาไทยควบคู่กันไป"

ทางเจ้าหน้าที่เห็นว่า หะยีนี่เอาแน่ เลยจับกุมเอาเข้าคุกเสียคนละ ๓ ปี ต่อมาได้รับอภัยโทษกลับมาอยู่บ้านเดิมจังหวัดปัตตานี จน พ.ศ.๒๔๙๗ นายหะยีสุหรงจึงหายสาปสูญไป และผู้สืบสกุลต่อมาคือ นายหะยีอามีน

ซึ่งนายหะยีอามีนดำเนินการในกลุ่มเดิมอยู่พักหนึ่งก็แตกตัวมาก่อตั้งขบวนการปฏิวัติแห่งชาติ หรือขบวนการชาตินิยมปฏิวัติ แต่เรียกกันตามตัวย่อภาษาฝรั่งว่า บี.อาร์.เอ็น
บี.เอ็น.พี.พี. จะแบ่งแยกดินแดนออกมาเพื่อปกครอง "สุลต่านครองรัฐ"
บี.อาร์.เอ็น. จะแบ่งแยกดินแดนไทยไปรวมกับกลันตันของมาเลเซียเหมือนกัน แต่ปกครองแบบสังคมนิยม
เมื่อความคิดไม่ตรงแนวกัน บี.อาร์.เอ็น. จึงวางแนวของตัวใหม่ จะดำเนินการเป็น ๒ ขั้นตอน

๑. การก่อการร้ายต่างๆขึ้นในพื้นที่ด้วยกองกำลังติดอาวุธที่กระจายกันอยู่ตามป่าเขา
๒. รวมประชาชนที่มีเชื้อสายมลายูเข้าด้วยกัน แล้วตั้งเป็นกองทัพปลดแอกปัตตานีขึ้น แล้วแยกการปกครองออกเป็นรัฐอิสระ

พูโลหรือ องค์การร่วมปลดแอกสหพันธ์รัฐปัตตานี ตั้งเมื่อ ๑๒ มกราคม ๒๕๑๑ มีตวนกูปีลอ กอตอนิร เป็นหัวหน้า สมาชิกเป็นเด้กหนุ่มสาวมุสลิมที่มัหัวรุนแรง มีศูนย์บัญชาการทหารและศูนย์กลางการควบคุมอยู่ในเมืองเมกกะ ศูนย์ย่อยและสาขาคุมข่ายงานอยู่ในรัฐกลันตัน รัฐเปรัต ทะเยอทะยานว่าจะจัดตั้งกองพันให้ได้ถึง ๔๔ กองพัน แต่เมืองไทยนั้นมีพระสยามเทวาธิราช พอทำท่าจะแข็งแรงดีระดับ "บิ๊ก" ก็ดันทะเลาะกันเอง สาเหตุมาจากเรื่องบริหารการเงิน แทนที่จะมี ๔๔ กองพัน - โดนเราถล่มเข้าให้บ้าง เวลานี้นับกลับไปกลับมาดูเหมือนจะได้สัก ๕๐-๗๐ คน

สามกลุ่มต่างมีอุดมการณ์ต่างกัน จึงเกิดกลุ่มที่สี่ขึ้นมา เพื่อรวมสามกลุ่มหรือทุกกลุ่มเข้าเป็นพวกเดียวกันให้หมด "โดยจะใช้ธรรมนูญการปกครองแบบอิสลาม" มีฐานแนวความคิดมาจากการรุกรานประเทศอัฟกานิสถานของรัสเซีย ซึ่งเป็นผลให้ประชาชนในประเทศอาฟกานิสถาน รวมตัวก่อตั้งเป็นขบวนการมูญาฮีดินอัฟกานิสถานเพื่อยึดอำนาจการปกครองคืน มูญาฮีดิน เป็นชื่อทางศาสนาอิสลาม พวกในเมืองไทยจึงตั้งขึ้นบ้าง เพื่อยืมชื่อเขามาปลุกปั่นให้ฮึกเหิม การดำเนินการมีการเคลื่อนไหวทางด้านการเมือง มีการโฆษณาชวนเชื่อ แจกเอกสาร หาสมาชิกส่งไปฝึกอบรมในประเทศตะวันออกกลาง (ได้สมาชิกมากตรงนี้แหละ) ส่วนการช่วยเหลือนั้น มีจากต่างประเทศด้วยทั้งไกลและใกล้ ผมจะไม่บอกชื่อประเทศ ใครอยากทราบมาคุยกับผมจะบอกให้ เดี๋ยวกระทรวงต่างประเทศจะกล่าวหาผมว่าไป เขียนอะไรให้เสียสัมพันธไมตรีเข้าให้ แต่จะกล่าวหาผมละก็ถามสักคำเถอะรู้จัก "พรรคปาสไหม" ไม่รู้จักให้รีบมาคุยกันเสีย พวกมูญาฮีดินนั้น รวมกันได้เพียงทางการเมือง ยังไม่มีการเคลื่อนไหวทางการทหาร ขืนรวมกันแน่นแฟ้นเมื่อไร เมืองที่ร้อนที่สุดก็คือ ปัตตานีนี่แหละ บางทีฝ่ายบ้านเมืองให้สัมภาณ์กับผม เขียนจะไม่ตรงกันก็ตรงนี้เอง ขอจบเรื่อง ขจก.เอาดื้อๆ เพราะหากเล่าให้ละเอียด ต้องเขียนกันทั้งเล่มต่วยตูนก็ไม่พอ และเลือกเล่าไม่ให้เป็นเรื่องการเมืองการมุ้งจะไปผิดนโยบาย บก. แต่เห็นว่ามีประโยชน์ น่าจะมาให้ท่านสมาชิกต่วยตูนทั้งหลายซึ่งเป็นปัญญาชนให้หูตาสว่าง และเวลาผมขอความช่วยเหลืออะไรไป ทางสายใครจะได้เฮละโลกันช่วยผมเร็วๆ หน่อย ขืนให้ผมอยู่ปราบไปนานๆ พอดีวัตถุดิบที่จะเขียนเรื่องในภาคอื่นๆของผม หมดกันพอดี แต่เมื่อมาแล้วต้องทำให้สำเร็จครับ "ถ้าช่วยกัน"

ทีนี้มาจบกันที่เรื่องไก่ดีกว่า ผมจะทบทวนเรื่องไก่ให้เป็นฉากผ่าน ใครผ่านไปทางไหนก็แวะหารับประทานเอาเอง ไก่เชียงใหม่

ที่มา ต่วยตูน เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๐ ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๙

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น