++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

พาหลานไปฮ่องกง (ตอนที่ ๑)

"เทศา"

            เมื่อวันดีเดย์มาถึง คือ วันที่เรือบินจะออกพาหลานไปฮ่องกง หลานสองคนตื่นนอนแต่เช้าตรู่ พี่เลี้ยงแต่งตัวให้อย่างโก้หร่านเหมือนว่าจะไปศึกษาต่อที่อเมริกา มีทั้งเสื้อนอก เสื้อใน ใส่ถุงน่องรองเท้าพร้อม หลานสาวเข้ามาตามปู่ถึงห้องนอน  บอกว่า ปู่ทำไมแต่งตัวช้า ป่านนี้ยังไม่อาบน้ำแต่งตัวอีก เอ ปู่จะไปหรือไม่ไปกันแน่นะ หลานชายเข้ามาช่วยอีกคน ถามว่า ปู่จะใส่เสื้อกางเกงตัวไหน แล้วหยิบมากองให้ กระเป๋าปิดได้หรือยัง หลานสาวขอเปิดดูก่อนว่าปู่เอาอะไรไปบ้าง คนหนึ่งจะปิด คนหนึ่งจะเปิด กระเป๋าชราของปู่เลนทำท่าจะพังเอา ต้องบอกให้หลานทั้งสองออกไปนอกห้องก่อน ไม่งั้นปู่คงไม่ทันเรือบินแน่

            ครั้นแล้วพอได้เวลาโมงเช้า ขบวนก็เคลื่อนจากบ้านพระโขนงด้วยความทุลักทะเลพอสมควร เพราะมัวจับโน่นลืมนี่อยู่หลายอย่าง ข้อสำคัญคือ เครื่องขบเคี้ยวของหลานทั้งสอง เพราะคุณย่าเขากลัวหิวบนเครื่อง หรือมิฉะนั้นก็อาจเมา

            เครื่องบินออกตามเวลาคือ สามโมงเช้า หลายชายเขาสอนน้องเขาให้รัดเข็มขัดอย่างเชี่ยวชาญเพราะไปกันหลายหนแล้ว พอเครื่องผงาดขึ้นฟ้า ข้าพเจ้าสังเกตดูหลานสาวเห็นร่าเริงเป็นปกติก็ใจชื้น เพราะเป็นการบินครั้งแรกกลัวจะตื่นเต้นตกใจ แต่ที่ไหนได้ แม่คุยจ้อเลย พอขึ้นได้ระดับแล้วเขาก็ให้ถอดเข็มขัดได้ หลานสาวเดินมาเกาะแขนปู่ถามว่า ก้อนเมฆอยู่ที่ไหน ปู่ถามว่า จะทำไมมัน หลานสาวบอกว่าเพื่อนที่โรงเรียนเขารู้ข่าวว่า จะขึ้นเรือบิน เขาฝากให้เอาก้อนเมฆใส่ขวดไปให้ดูขวดหนึ่ง รับปากเขามาแล้วจะทำยังไง ก็ได้แต่ชี้ให้ดูที่หน้าต่างว่า เห็นไหม มันลอยอยู่เต็มฟ้า แต่จะให้เรือบินเขาจอดเพื่อเก็บมันไม่ได้ เดี๋ยวเครื่องตก เอาไว้ขากลับจะขอกัปตันเรือบินเขาให้ จะได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้

            ภายในเครื่อง ใครเดินไปเดินมาก็ชอบมาจับแก้มน้องนาง พวกแอร์ละทุกคนเลยชอบมาคุยกับน้องนาง บางคนก็เอาของเล่นสำหรับเด็กเล็กเป็นกล่องๆ มาให้เพราะเรือบินเขามีการแจกของขวัญกันเรื่อยๆ เลยได้หัดต่อกระดาษและประกอบเครื่องเล่นง่ายๆ กันเพลินไป

            อาหารการกินในเครื่องก็เหลือเฟือ เดี๋ยวเลี้ยง เดี๋ยวเลี้ยง ว่างั้นเถอะ พี่หนึ่งเป็นคนกินของยาก ทุกอย่างที่เขาเอามาให้ พี่หนึ่งไม่เอาทั้งนั้น ชอบแต่หนังสือการ์ตูนอย่างเดียว ส่วนน้องนางกินทุกอย่างที่ขวางหน้า จึงได้อ้วนจ้ำม่ำอยู่เรื่อย จนกระทั่งวันหนึ่งหมอสั่งลดอาหาร เล่าเอาน้องนางหน้าเสีย หมอบอกว่าข้าวเย็นไม่ให้กิน กินได้แต่น้ำซุบกับปลาปิ้งหรือทอดเท่านั้น ขนมไม่ให้กิน ลูกเงาะกินได้แค่สามใบ น้องนางต้องรับคำหมอด้วยความเศร้าสลดใจ เพราะอยากสวย และน้องนางท่องไว้เป็นธรรมนูญเลยว่า เย็นไม่กินข้าว เงาะกินได้แค่สามใบ เวลากินก็นับดังๆไปด้วย พอครบเป็นหยุดกึกทันที หมอเลยชมเชยว่า เด็กที่เชื่อคำสั่งหมอนี้ร้อยคนมีคนนี้คนเดียว และต่อไปน้องนางจะสวยเหมือนอภัสรา เพราะชื่อน้องนางเขาก็ชื่ออภัสรีย์อยู่แล้ว เรียกว่า ใกล้เคียงเต็มที

            ตกลงว่า ทั้งเล่นทั้งกินในเครื่องเพลินไป จนเขาประกาศว่าจะลงฮ่องกงแล้ว ให้ปรับเก้าอี้ รัดเข็มขัด ทุกคนจึงเข้าที่กันได้แล้วเครื่องก็ ร่อนลงเป็นปกติอย่างเรียบร้อยสวยงาม ผู้โดยสารก็ลงกันเป็นทิวแถว พวกเราก็เดินตามเขาลงไปให้เขาตรวจกระเป๋า แล้วก็นั่งรถของโรงแรมเข้าที่พัก

            เราจองได้ที่พักโรงแรมในเกาลูน เป็นห้องโถงมีสองเตียงใหญ่ นับว่าสุขสบายมาก โรงแรมก็ไม่มีชื่อเสียงนักชื่อฟอจูน่า อยู่ในถนนนาธาน  กลางเมือง ออกจากโรงแรมก็เที่ยวซื้อของได้สารพัด ทั้งของใช้ของกิน

            น้องนางเขาตื่นเต้นมาก จะฉุดเข้าดูทุกร้าน แม้กระทั่งร้านขายหนังสือเด็ก น้องนางจะซื้อหนังสือนิทานซึ่งมีรูปประกอบด้วย แต่เป็นภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้าบอกว่า อย่าซื้อเลย เรายังอ่านไม่รู้เรื่อง เอาไว้ไปซื้อเมืองไทยมีเยอะแยะ น้องนางบอกว่า ภาษาอังกฤษน้องนางก็เรียนแล้ว เช่น เอ บี ซ๊ ดี อี เอฟ ยังไงเล่า ปู่ไม่เชื่อหรอกว่านางอ่านได้  ปู่ถามว่าต่อจาก ดี อี เอ๊ฟ มีตัวอะไรอีก น้องนางหันมาค้อนขวับบอกว่า ปู่จะซักไปถึงไหนกัน  ปู่ไม่รู้หรอกเหรอว่าครูเขาสอนแค่นั้นเอง เพราะเป็นเด็กอนุบาล ปู่เลยต้องขอโทษและชวนดูของอย่างอื่นให้น้องนางลืมเรื่องหนังสือเสีย

            ลืมเล่าไปว่าน้องนางเป็นคนปากจัด และช่างเถียงตามสมควร แม่เขาเถียงสู้ไม่ค่อยไหวเหมือนกัน เช่น ตอนจะทิ้งลูกไปอยู่ต่างจังหวัดกับสามี  น้องนางเขาถามแม่ว่า แม่จะไปทำอะไรที่พิษณุโลก แม่เขาบอกว่าไปปลูกต้นไม้ ไปแจกของคนจน ไปจัดงานปีที่วัดข้างบ้าน ไปดูแลตลาดสุขาภิบาลให้สะอาดสวยงาม น้องนางเขาเอ็ดขึ้นมาว่า งั้นแม่ก็ไปเป็นนายอำเภอเสียเองสิ พ่อเขาไม่ทำอะไรเลยหรือ พ่อคงกินแล้วนอนใช่ไหมแม่ แม่ไม่รักลูกเลยหรือ แม่เขาต้องดึงมากอดและห้ามไม่ให้พูด เพราะไม่รู้จะโต้กับแกว่ายังไง ได้แต่ปลอบว่า พ่อกับแม่นั้น รักลูกมากที่สุด ลูกไม่รู้หรอกหรือ น้องนางบอกว่า นางเชื่อว่าแม่รักลูก แต่พ่อนั้นไม่เห็นมาหานางเลย เพื่อนเขาถามว่าพ่อรูปร่างยังไง นางก็ตอบไม่ถูก นานแล้วนางไม่เห็นพ่อเลย นางเลยบอกเพื่อนเขาว่า นางไม่มีพ่อหรอก อ้าว ทำไมลูกพูดอย่างงั้นเล่า พ่อเขามีธุระมาก มีงานมาก เขาไม่ค่อยว่าง แต่เขารักนางมาก รักพี่หนึ่งก็มาก อีกหน่อยว่างเข้าก็ตะลงมาหานาง แล้วพ่อเขารักแม่ไหม น้องนางถามแม่ แม่เขาย้อนถามน้องนางว่าไม่รู้หรอกหรือว่า พ่อรักแม่หรือเปล่า น้องนางตอบว่า น้องนางตอบยากเพราะน้องนางไม่เห็นได้ข่าว และไม่เห็นใครพูดถึงเลย แม่มาถามนางทำไม แม่อยู่กับพ่อบ่อยๆ แล้วแม่ไม่รู้หรอกหรือว่าพ่อรักแม่หรือเปล่า นางอยู่ไกลจะรู้ได้ยังไง เป็นอันจบเรื่องรักๆใคร่ๆ ระหว่างพ่อแม่ลูกแต่เพียงเท่านี้


            วันที่สองของการอยู่ในฮ่องกง เราซื้อตั๋วไปเที่ยวสวยโอวบุ้นโฮ้ว และเที่ยวกระเช้าลอยฟ้าไปดูการแสดงต่างๆของปลาโลมาและแมวน้ำ ระหว่างนั่งกระเช้าลอยฟ้า เราไปร่วมกับฝรั่งผัวเมียคู่หนึ่ง ผัวเป็นคนขี้เล่น เห็นน้องนางเข้าก็ชอบใจเอานิ้วมาเขี่ยแขนขอเล่นด้วย น้องนางก้ไม่ว่าอะไร แต่พอฝรั่งงัดกล้องถ่ายรูปมาจะถ่าย น้องนางก็เกิดอายเอามือปิดหน้าเสีย แต่ยังแอบมองเขาตามช่องนิ้วมือ ฝรั่งเขาก็เลยไม่ถ่าย หันไปถ่ายรถกระเช้าอีกคันหนึ่งที่สวนมา แต่พอนางเผลอเขาก็ถ่ายฉับเข้าให้ เลยได้หัวร่อและฮากันจนนางปิดหน้าร้องไห้โฮ เพราะเสียรู้ฝรั่ง ต้องปลอบกันอยู่นานกว่าจะเข้าที่เข้าทางได้ พอได้ไปดูปลาโลมา และแมวน้ำถึงได้หัวร่อร่วนอีก เพราะทั้งปลาทั้งคนชอบเล่นตลกล้อเลียนคนดู ขากลับได้แวะดูสวนสัตว์ซึ่งมีหมีแพนด้าด้วย จนกระทั่งเย็นจึงเดินทางกลับ เป็นอันหมดไปอีกวันหนึ่ง

          (อ่านต่อตอนจบ)

ที่มา  ต่วยตูน เดือนมีนาคม ๒๕๓๑ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๗ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น