++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ปัญญาทองสมองเพชร - สาวเจ้าปัญญาเฉี่ยวกู




            นานมาแล้ว ยังมีชายชราคนหนึ่ง ชื่อ จางกู๋เหล่า เป็นคนมีนิสัยแปลกๆ คือ ไม่ยอมให้ลูกสะใภ้กลับไปเที่ยวบ้านแม่

            จางกู๋เหล่ามีลูกชาย 4 คน มีลูกสะใภ้ 3 คน ยังแต่ลูกชายคนเล็กที่ยังไม่ได้แต่งงาน
            อยู่มาวันหนึ่ง ลูกสะใภ้ทั้ง 3 รวมหัวกันมากาพ่อผัวขอกลับบ้านแม่เยี่ยมญาติ จางกู๋เหล่าเห็นมาทีเดียวพร้อมกันทั้งสามคน ก็ครุ่นคิดในใจ จะอนุญาตให้ไปหรือ ก็เท่ากับทำลายข้อกำหนดกฎเกณฑ์ของครอบครัว ครั้นจะไม่ให้ไปทั้ง 3 คนนัดกันมาต่างกับที่แล้วๆมา ถ้าทำไม่ดี เกิดทั้ง 3 รวมหันกันดื้อแพ่ง ไม่ยอมรับระเบียบของเราแล้วเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จางกู๋เหล่านึกกลับไปกลับมาหลายตลบ ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า จะออกข้อสอบมาทดสอบพวกเขา ดังนั้ง จึงกล่าวพบพวกเขาว่า  "พวกเอ็งกลับบ้านแม่ก็ได้ แต่ต้องมีเงื่อนไช"

            "ขอแต่ให้กลับบ้านแม่ได้ เรายอมทำตามทุกอย่าง" ลูกสะใภ้กล่าวขึ้นพร้อมกัน
            จางกู๋เหล่า กล่าวพร้อมกับหักนิ้วนับว่า "ข้อหนึ่ง พวกเอ็งจงเอาเทศกาลตรุษจีน สารทขนมจ้างและเทศไกลไหว้พระจันทร์ทั้ง 3 งานมาจัดในคราวเดียวกัน ข้อสอง ข้าอยากได้ของสามอย่าง ได้แก่ ลมอัตโนมัติ ฝนอัตโนมัติ และไฟอัตโนมัติ ถ้าพวกเอ็งปฏิบัติเงื่อนไขสามข้อนี้ได้ ก็กลับบ้านแม่ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าได้หวัง"

            สะใภ้ทั้งสามอยากกลับบ้านแม่ใจจะขาด จึงไม่มีข้อต่อรองตกลงรับเงื่อนไข แต่ว่าพอคล้อยหลังมานั่งตรึกตรองดูเงื่อนไขที่พ่อผัวตัวแสบกำหนดให้ มันหมายถึงอะไรยังไม่เข้าใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะปฏิบัติได้
       
            ตอนสายของวันรุ่งขึ้น สะใภ้ทั้ง 3 ไปที่ตลาดว่าจะไปลองเสี่ยงดู เผื่อโชคดีได้สิ่งที่ต้องการ ก็ไม่แน่ พวกเขาเดินวนไปมาอยู่ในตลาดหลายรอบ ก็ยังไม่พบอะไร จึงมานั่งที่ข้างทาง ถอนหายใจปรับทุกข์กัน
            เผอิญขณะนั้น มีหญิงสาวนางหนึ่งชื่อ เฉี่ยวกู หาบน้ำผ่านมาทางที่พวกเขานั่งอยู่ เฉี่ยวกูเห็นพวกนางหน้านิ่วคิ้วขมวด นั่งใจลอยอยู่ที่นั่นจึงวางหาบลง แล้วเข้าไปถามว่า "พี่ๆทั้งหลายทำหน้ายุ่ง มีปัญหาอะไรคิดไม่ตกหรือ?"
            "ขอบใจน้องสาวที่เป็นห่วง ปัญหาของเราบอกกับน้องก็ไม่มีประโยชน์"
            "ก็ไม่แน่นัก  อาจมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย"
            สะใภ้ทั้ง 3 จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เฉี่ยวกูฟัง เฉี่ยวกูฟังแล้วหัวเราะฮิฮิ กล่าวว่า "เรื่องนี้ไม่ยาก ตรุษจีนกินขนมเข่ง สารทขนมจ้าง กินขนมจ้าง วันไหว้พระจันทร์ กินขนมเปี๊ยะ พวกพี่ไปหาซื้อขนมเข่ง ขนมจ้าง กับขนมเปี๊ยะ  มาให้พ่อผัวกิน ไม่ใช่กับเอาเทศกาลทั้ง 3 มาจัดในคราวเดียวดอกหรือ ?"
            "เออ จริงซีนะ ทำไมเราคิดไม่ถึง " สะใภ้ทั้ง 3 กล่าวอย่างลิงโลดแล้วถามอีกว่า "แล้วของอีก 3 อย่างล่ะ"
            เฉี่ยวกูร่ายต่อไปอย่างไม่ติดขัดว่า "อากาศร้อนคลี่พัดออกโบกวี  ลมจะเกิดขึ้นเอง พัดคือลมอัตโนมัติ ฝนตกกางร่ม เสื้อผ้าไม่เปียก ร่มคือ ฝนอัตโนมัติ ฟ้ามืด จุดตะเกียงส่องสว่าง  ตะเกียงคือ ไฟอัตโนมัติ พวกพี่ๆ หาพัด ร่ม กับตะเกียง ไปมอบให้พ่อผัวก็ได้แล้ว"
           
            สะใภ้ทั้ง 3 พากันตื่นจากภวังค์ รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเฉี่ยวกูมาก เฉี่ยวกูก็ชักชวนพวกนางว่า มาตลาดอย่าลืมแวะเขียงหมูของนาง
            สะใภ้ทั้ง 3 จัดการหาซื้อสิ่งของทั้งหลายไปมอบให้พ่อผัว จางกู๋เหล่า เห็นแล้วทั้งดีใจทั้งประหลาดใจ ที่ดีใจก็คือ ลูกสะใภ้ทุกคนดีต่อตน ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตนกำหนด ที่ประหลาดใจก็คือ ลูกสะใภ้ของตนไม่มีความรู้ ถึงขั้นสามารถตีปัญหาของตนแตก เมื่อซักไซร้ไล่เรียงถึงที่สุด ลูกสะใภ้ทั้ง 3 ได้แต่บอกความจริง จางกู๋เหล่าให้รู้สึกชื่นชมในความสามารถของเฉี่ยวกูมาก จึงตั้งใจจะไปเยี่ยมคารวะสาวน้อยที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดผู้นั้นด้วยตนเอง ดังนั้น จางกู๋เหล่าจึงกล่าวกับสะใภ้ทั้ง 3 ว่า "ของที่ต้องการ แม้จะได้ครบตามที่กำหนดก็ตาม แต่นี่ไม่ใช่เกิดจากความสามารถของพวกเอ็งโดยตรง เรื่องกลับบ้านแม่ขอพักไว้ชั่วคราวก่อน"

            วันรุ่งขึ้น จางกู๋เหล่าไปที่ตลาดอย่างกระตือรือร้น มุ่งตรงไปที่เขียงหมูของเฉี่ยวกู เฉี่ยวกูกำลังขายเนื้อหมูอยู่ พอเห็นจางกู๋เหล่าเดินเข้ามาก็ถามว่า จะซื้อเนื้อส่วนไหน จางกู๋เหล่าแกล้งตั้งปัญหาให้ขบว่า  อย่างที่หนึ่ง ต้องการส่วน "หนังตีหนัง" เฉี่ยวกูหยิบมีดตัดหางหมูออก อย่างที่สอง เอา "หนังติดหนัง" เธอฉวยมีดหั่นเอาหูหมูออก อย่างที่สาม "ไม่ติดกระดูก ไม่ติดหนัง" เฉี่ยวกูหยิบตับหมูออกมา จางกู๋เหล่าเห็นแล้วให้ชื่นชมยิ่งนัก เคารพนับถือสติปัญญาความสามารถของหญิงสาวผู้นี้มาก ต่อจากนั้น จางกู๋เหล่าก็เดินเตร่ไปเตร่มาอยู่บริเวณใกล้ๆเขียงหมูเป็นเวลาครึ่งค่อนวัน เปล่า.... ไม่ใช่เดินเที่ยวสนุก หากแต่กำลังสืบถามชาวบ้านว่าเฉี่ยวกูมีชายใดมาสู่ขอหรือยัง เขาตั้งใจจะมาขอเป็นลูกสะใภ้เล็ก พ่อแม่ของเฉี่ยวกูก็กำลังมองหาคู่หมั้นหมายให้ลูกสาวอยู่เช่นกัน เมื่อมีการติดต่อพูดจากัน งานนี้จึงำสเร็จอย่างง่ายดาย

            ผ่านไปไม่นาน เฉี่ยวกูก็เข้าครัวมาเป็นลูกสะใภ้ตระกูลจาง โดยที่จางกู๋เหล่ามีความตั้งใจไว้แต่แรกว่า เมื่อสะใภ้เล็กแต่งเข้าบ้านแล้วก็จะมอบให้นางเป็นคนบริหารงานครอบครัว แต่พอเอาเข้าจริงก็เกิดความลังเลใจเกรงว่า สะใภ้คนอื่นๆ จะหาว่าเขารักลำเอียงสะใภ้ใหม่ จางกู๋เหล่าเฝ้าครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดยังคงใช้วิธีตั้งปัญหาทดสอบ คนไหนตอบปัญหาถูก ก็ให้คนนั้นบริหารงานครอบครัว

            วันหนึ่ง เขาเรียกสะใภ้ทั้ง 4 มาพร้อมหน้ากันบอกให้ทุกคนทราบเจตนาของตนแล้ว ก็ตั้งปัญหาให้ทำอาหารโดยกำหนดว่า 1) ข้าว 7 อย่าง ใส่ในชามเดียวกัน 2) กับ 10 อย่างใส่ในจานเดียวกัน ในที่สุด 3 คนใน 4 คนหมดปัญญา ทำไม่ได้ มีแต่เฉี่ยวกูทำได้ แต่ก่อนจะทำ เฉี่ยวกูมีข้อเรียกร้อง 2 ประการ คือ 1. ข้อจำกัดที่พ่อผัวมีต่อลูกสะใภ้นั้น จะต้องลดหย่อนผ่อนปรนลงมา และ 2. คำมั่นสัญญาที่จะให้ลูกสะใภ้กลับบ้านแม่ เยี่ยมญาติต้องทำตาม  มีแต่ตกลงเงื่อนไข 2 ประการนี้ นางจึงจะลงมือหุงข้าวต้มแกงตามที่จางกู๋เหล่ากำหนดหัวข้อมา จางกู๋เหล่านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบตกลง

            เฉี่ยวกูเข้าไปในห้องครัว ลงมือประกอบอาหาร ใช้เวลาไม่นานนักก็ยกข้าวผัด เต้าฮู่ ถั่วเขียว (ลิ่ว = 6) ออกมา 1 ชาม กับ ไข่ไก่ทอดผักแป้น (จิวไช่ = 9) อีก 1 จาน จางกู๋เหล่ามองดูอาหารที่ทำเสร็จแล้ว  ปรากฏว่า ตรงกับเจตนาของตนทั้งหมด เป็นที่พออกพอใจของคนทั้งบ้าน ไม่มีคนใดไม่ยกนิ้วให้กับเฉี่ยวกู จึงพร้อมใจกันเลือกนางออกมาบริหารงานครอบครัว
            หลังจากนั้น จางกู๋เหล่ายังไปเชิญช่างไม้ฝีมือดี มาทำป้ายแผ่นหนึ่ง ติดอยู่ที่หน้าประตูบ้าน แผ่นป้ายมีข้อความว่า "สรรพกิจไม่พึ่งใคร"

            วันหนึ่ง นายอำเภอนั่งเกี้ยวเดินทางผ่านเข้ามาที่หน้าบ้านจางกู๋เหล่า เผอิญเหลือบเห็นแผ่นป้ายแผ่นนั้นให้รู้สึกหมั่นไส้ยิ่งนัก จึงถามผู้ติดตามว่า "นี่บ้านใคร" ช่างคุยโวโอ้อวดเสียนี่กระไร  ผู้ติดตามบอกว่าเป็นบ้านจางกู๋เหล่า นายอำเภอให้ไปนำตัวมาพบ จางกู๋เหล่าไม่กล้ารอช้า กุลีกุจอออกมาพบนายอำเภอ
            "จางกู๋เหล่า ข้าให้เอ็งทำงานให้เสร็จ 3 ชิ้นภายใน 3 วัน  1.ให้พ่อวัวออกลูก 2. หาผ้าม่านมาบังแสงอาทิตย์ทั้งแผ่นดินไว้   3. ใต้ทะเลมีตาน้ำ ตาน้ำนี้ทำให้น้ำทะเลขึ้นและลงได้ไม่แน่นอน ข้าให้เอ็งไปอุดตาน้ำนี้ไว้ หลังจากนี้ 3 วัน ข้าจะมาดูว่า งาน 3 ชิ้นนี้ เอ็งทำสำเร็จหรือไม่" ว่าแล้วนายอำเภอก็ขึ้นเกี้ยวเดินทางกลับ

            จางกู๋เหล่าฟังคำนายอำเภอแล้วต้องยืนเซ่ออยู่กับที่ กล่าวพึมพำว่า "ข้อเรียกร้องอันไร้เหตุผลของนายอำเภอ ต้องการให้เราคิดจนหัวสมองระเบิดชัดๆ " เขาอับจนปัญญาได้แต่เรียกคนทั้งบ้านมาปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรดี  เฉี่ยวกูกล่าวอย่างปลอดโปร่งว่า "เรื่องนี้จอให้คุณพ่อไม่ต้องวิตกกังวล ถึงเวลาคุณพ่อไม่ต้องออกไปรับหน้า คนทุกคนในบ้านต่างก็ทำงานในหน้าที่ของงานตามปกติ เรื่องกับนายอำเภอ ข้าจะรับมือเอง"

            วันที่ 3 หลังอาหารกลางวัน เฉี่ยวกูยกม้านั่งยาวนั่งขวางประตูบ้าน ปะชุนเสื้อผ้าพลางนั่งคอยการมาของนายอำเภอ ไม่นาน นายอำเภอก็เดินทางมาพร้อมผู้ติดตาม เขาลงจากเกี้ยวก็มาถามเฉี่ยวกูที่นั่งอยู่ที่ปากประตูว่า "จางกู๋เหล่าอยู่บ้านไหม เรียกออกมาพบข้าหน่อยซิ"
            "เขาอยู่บ้านแต่ออกมาพบไม่ได้ค่ะ"
            "อ้าว ทำไมล่ะ"
            "เพราะว่า คุณพ่อคลอดลูก กำลังอยู่ไฟที่ข้างห้องฝั่งตะวันออกค่ะ"
            "เหลวไหล ผู้ชายคลอดลูกได้อย่างไรกัน"
            "ผู้ชายคลอดลูกไม่ได้ แล้วทำไมพ่อวัวจึงคลอดลูกได้ล่ะ"  นายอำเภอถูกถามจนถูกใบ้กิน
            "ก็ได้ แล้วอีก 2 เรื่องล่ะ ทำไปถึงไหนแล้ว"
            "พร้อมหมดแล้วค่ะ  ผ้าม่านบังแดดกำลังรอไม้วัดนายอำเภอ อุดตาน้ำทะเลก็รอให้ท่านนายอำเภอวิดน้ำทะเลให้แห้งเสียก่อน จะได้ทำงานได้ไงคะ"
            "เหลวไหล งานนี้ข้าจะทำได้อย่างไร"
            "ตัวเป็นเจ้าคนนายคน เรื่องที่ทำได้ไม่ไปทำ เรื่องที่ทำไม่ได้เที่ยวยัดเยียดให้ชาวบ้านทำ นี่มันเหตุผลของใครกัน " นายอำเภอถูกถามจนกระอึกกระอัก ไม่อาจโต้ตอบได้
           
            แต่เขายังไม่เข็ด ยกมือชี้ที่แผ่นป้าย "สรรพกิจไม่พึ่งใคร" ถามว่า "นั่นหมายความว่าอย่างไร"
            "คนที่เราไม่ขอพึ่งพาอาศัยนั้น คือ คนถ่อยจำพวกเอาแต่กิน งานการไม่ทำ รู้จักแต่ข่มเหงรังแกประชาชน " นายอำเภอถูกกระแนะกระแหนเหน็บแนบ จนต้องถอยกลับไปอย่างไม่เป็นท่า
            เรื่องเฉี่ยวกูใช้สติปัญญาต่อสู้กับนายอำเภอ ถูกกล่าวขานปากต่อปาก เผยแพร่ออกไปราวกับติดปีกบิน ไม่ช้าก็รู้กันทั้งอำเภอ หลังจากที่นักเลงหัวไม้ 2 คน คนหนึ่งฉายา "หมาเพ่นพ่านกลางถนน" อีกคนฉายา น่าเบื่อหน่าย ได้ข่าวนี้แล้วไม่เชื่อว่า เฉี่ยวกูจะมีน้ำยาอะไร ตั้งใจไว้ว่าจะหาวิธีหยอกเย้านาง
            วันหนึ่ง หมาเพ่นพ่านกลางถนน กับ น่าเบื่อหน่าย เข้าขวางหน้าจางกู๋เหล่าบนทางเดิน หาว่า เขา 2 คนกำลังพุดคุยกันอยู่ดีๆ ถูกจางกู๋เหล่าเดินชน ทำให้ด้ามคำพูดตกหายไป จะให้จางกู๋เหล่าชดใช้ด้ามคำพูดที่หายไปว่า วันรุ่งขึ้นจะไปทวงคืนที่บ้าน จางกู๋เหล่าโกรธจนตัวสั่น กลับถึงบ้านก็เล่าเรื่องให้เฉี่ยวกูฟัง  เฉี่ยวกูกล่าวว่า "คุณพ่อจงอย่าได้มีโทสะ ให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง"

            วันรุ่งขึ้น "หมาเพ่นพ่านกลางถนน" เห็นว่าไม่จำเป็นต้องไปถึง 2 คน แค่คนเดียวก็เหลือเฟือ ดังนั้น จึงไปที่บ้านเฉี่ยวกูตามลำพัง ครั้นมาถึงบ้านจางกู๋เหล่าแล้ว ก็พอดีเฉี่ยวกูเดินสวนออกมา หมาเพ่นพ่านกลางถนนถามว่า "ไหน จางกู๋เหล่าล่ะ ให้เขานำด้ามคำพูดมาชดใช้ข้าเดี๋ยวนี้นะ "
            เฉี่ยวกูตอบว่า "อ๋อ ท่านขึ้นไปตัดต้นลมยังไม่กลับมา"
            หมาเพ่นพ่านกลางถนนกล่าวว่า "พูดโกหก ลมที่ไหนมีต้น"
            "ลมไม่มีต้น คำพูดที่ไหนมีด้าม"
            หมาเพ่นพ่านกลางถนน ถูกถามจนกลอกตาไปมา มันก็ยังจะหาเรื่องอีก ยามนั้นประจวบกับมีหมาเห่า "บ๊องๆๆ " เฉี่ยวกูพลิกแพลงตามสถานการณ์ ชี้หน้าด่าหมาว่า "ไอ้เดรัจฉาน  ถ้ายังขืนเห่าอีก  ก็จงระวังหัวหมามึงให้ดี"
            หมาเพ่นพ่านกลางถนนสะดุ้งโหยง ฟังออกว่าเฉี่ยวกูตีวัวกระทบคราด ไม่กล้าหาเรื่องอีก หดหัวหางจุกตูดกลับไปอย่างไม่เป็นท่า

            หมาเพ่นพ่านกลางถนน กลับไปบอกน่าเบื่อหน่ายว่า "นังตัวดีร้ายกาจมาก ดีว่ากูหูไวตาไว ไม่งั้นเสร็จมันแน่ๆ "
            น่าเบื่อหน่ายหัวเราะอย่างเย้ยหยันว่า "ปากเอ็งก็ไม่เหมือนเหยี่ยว ยังอยู่ห่างไกลนัก ถ้าเป็นกู กูปิดปากให้เหลือเพียงครึ่งเดียวก็พูดได้นะ" ว่าแล้วมันก็ไปเอากระดาษกาวมาปิดปากให้เหลือครึ่งเดียวจริงๆ แล้วเดินทางไปที่บ้านจางกู๋เหล่า

            ครั้นถึงบ้านจางกู๋เหล่า เฉี่ยวกูบอกว่า "คุณพ่อจูงวัวไปไถนาบนเตาไฟ "
            น่าเบื่อหน่าย ถามอย่างฉงนว่า " เอ๊ะ แล้วถ้าวัวขี้บนเตาไฟจะทำอย่างไร"
            "ไม่เป็นไร เราเอากระดาษกาวปิดก้นวัวไว้ครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้ามันยังจะขี้อีก ก็ปิดมันเสียทั้งหมดเลย"
            เฉียวกูกล่าวจบก็ตะโกนเรียกเข้าไปในครัวว่า พี่สะใภ้ใหญ่  พี่สะใภ้รอง              พี่สะใภ้สาม ช่วยเอากระดาากาวมาเร็ว น่าเบื่อหน่ายได้ฟังก็ต้องกุมปากหนีเตลิดไปอย่างไม่คิดชีวิต  

           

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น