++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ปัญญาทองสมองเพชร / ประมงเฒ่ารับมือกับ 4 มหาอำมาตย์ด้วยปัญญา

            นานแล้วยังมีกษัตริย์องค์หนึ่งใช้ชีวิตที่แหลกเหลวฟุ่มเฟือย อาหารเลิศรสที่อยู่หรูหราใหญ่โต สวมใส่ล้วนแล้วแต่แพรพรรณชั้นยอด แต่ขาดอยู่อย่างเดียวคือ สุขภาพไม่ดี หน้าซีดขาว ตาเหม่อลอย งัวๆเงียๆเหมือนคนไม่มีแรง
            วันหนึ่ง กษัตริย์ทรงรับสั่งให้เหล่าอำมาตย์เข้าเฝ้า หารือถึงวิธีรักษา เหล่าหมอและอำมาตย์ต่างเสนอวิธีรักษา แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน สุดท้ายก็มาทูลว่า ให้กษัตริย์เสวยเนื้อปลาเหลือง  เพราะเห็นชาวประมงร่างกายแข็งแรง เพราะพวกนั้นกินแต่กุ้งหอย ปูปลา ซึ่งปลาเหลืองมีเนื้ออร่อยที่สุด และมีธาตุบำรุงเป็นเยี่ยม
           
            แล้วอำมาตย์คนแรกก็ทูลว่า "ฝ่าบาท หัวปลาเป็นส่วนยอดของปลาเหลือง ฝ่าบาทเป็นยอดของพสกนิกร ถ้าฝ่าบาทเสวยหัวปลา รับรองฝ่าบาทจะมีพระวรกายสมบูรณ์"
            อำมาตย์คนที่ 2 พูดสวนขึ้นมาว่า "หัวปลามีแต่กระดูก มีธาตุบำรุงที่ไหน สู้ตัวปลาไม่ได้ ตัวปลามีธาตุบำรุงเป็นเลิศ"
            อำมาตย์คนที่ 3 พูดสวนขึ้นมาอีกว่า "กระเพาะปลาสิพะยะค่ะ ยอดเยี่ยม เพราะเป็นที่สะสมของยอดอาหารทุกชนิด มีธาตุบำรุงดีกว่าหัวปลาและตัวปลา"
            อำมาตย์คนที่ 4 " ที่อำมาตย์ทั้ง 3 ว่ามาล้วนเชื่อถือไม่ได้ ต้องหางปลาซิ หางปลาเป็นเนื้อ มีพลังที่สุด ปลาแหวกว่ายในน้ำ ล้วนต้องอาศัยหางปลา หากพระองค์เสวยหางปลา รับรองจะมีพละกำลังแข็งแรง"

            เมื่อเป็นเช่นนี้ ท้องพระโรงก็โกลาหล ต่างเถียงกันไม่จบ กษัตริย์จึงสั่งให้ไปหาตัวชาวประมงมาถามไถ่
            ทหารจึงไปจับตัวชาวประมงมาคนหนึ่ง อำมาตย์คนที่ 1 ก็ส่งคนไปหาประมงเฒ่าให้บอกกษัตริย์ว่า หัวปลาดีที่สุด อำมาตย์คนที่ 2 ก็ส่งคนไปหาประมงเฒ่าให้บอกกษัตริย์ว่า ตัวปลาดีที่สุด และอำมาตย์คนที่ 3 และ 4  ก็สั่งกำชับกับประมงเฒ่าเช่นกัน แต่ประมงเฒ่าก็ไม่ปริปากพูดปล่อยให้คนของอำมาตยฺ์แต่ละคนพูดเรื่องของตนจนจบ



            ชาวประมงหาปลาต่อสู้กับคลื่นใหญ่ลมแรงกลางทะเลลึกมาเป็นเวลานานกว่าครึ่งค่อนชีวิต ก็รู้อยู่แก่ใจว่า การที่ตนเองมีร่างกายแข็งแรงนั้น เกิดจากการฝึกฝนในการต่อสู้กับธรรมชาติ หาได้เกิดจากการกินเนื้อปลาไม่ แต่กับกษัตริย์และบรรดาอำมาตย์พูดเหตุผลหามีประโยชน์ไม่ จะทำไงดี เขานึกไตร่ตรองกลับไปกลับมา ในที่สุดก็คิดได้วิธีหนึ่ง
            เมื่ออำมาตย์ทั้ง 4 เฝ้าวนเวียนมากำชับกำชาประมงเฒ่า เขาก็ตอบรับปากพวกเขาทุกคน แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า มหาอำมาตย์แต่ละคนจะต้องมอบเรือหาปลาให้เขาคนละลำ มหาอำมาตย์ทั้ง 4 ล้วนรับเงื่อนไขของประมงเฒ่า
            อาศัยการรายงานของลูกสมุน คืนนั้น อำมาตย์ทั้ง 4 ได้ข่าวว่า ชาวประมงไม่เพียงแต่รับปากตนเท่านั้น แต่ยังรับปากอำมาตยฺ์อีก 3 คนด้วย พวกอำมาตย์ต่างสงสัยว่า ชาวประมงจะมาไม้ไหนกันแน่ ต่างกระวนกระวายกันไปทั่ว และสั่งลูกน้องไว้ว่า ถ้าพรุ่งนี้ประมงเฒ่าไม่ทำตามที่ตนกำชับ ตอนออกจากวังให้ฆ่าทิ้งเสีย

            รุ่งขึ้นกษัตริย์สั่งให้นำตัวประมงเฒ่าเข้าเฝ้า  อำมาตย์ทั้ง 4 ก็จ้องหน้าประมงเฒ่าเป็นตาเดียว กษัตริย์ถามว่า "เนื้อปลาส่วนไหนมีธาตุบำรุงดีที่สุด" ประมงเฒ่าก็ว่า " ที่อำมาตย์ทั้ง 4 ว่ามาล้วนถูกต้อง แต่ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพียงแต่ว่าฤดูกาลต่างกัน การกินส่วนต่างๆของปลาเหลืองก็แตกต่างกันไปตามฤดูกาล เช่น ฤดูใบไม้ผลิควรกินหัวปลา เพราะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งปี เมื่อกินส่วนหัวปลาได้พลังที่เป็นส่วนยอด
            ส่วนตัวปลาควรกินในฤดูร้อน เพราะฤดูร้อนอากาศอบอ้าว เมื่อกินส่วนหัวปลา เสียเหงื่อมาก ร่างกายอ่อนเพลียง่าย กินตัวปลาจะได้ประโยชน์ทางบำรุงร่างกายที่สุด ส่วนกระเพาะปลานั้น ทางที่ดีควรกินในฤดูใบไม้ร่วง เพราะฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูผลไม้ออกผล กระเพาะปลาเป็นผลในท้องปลา ผลจะสุกงอมเต็มที่ในฤดูนี้
                ฤดูหนาวต้องกินหางปลา เพราะฤดูหนาวเป็นส่วนท้ายของปี อากาศหนาวจัด กินหางปลาสามารถขจัด กระแสความเย็นของร่างกายได้"

            อำมาตย์ทั้ง 4 ฟังคำแยกแยะของประมงเฒ่าแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นดีใจ ต่างประจบสอพลอกษัตริย์ว่าเป็นเหตุผลดีมาก ชาวประมงเฒ่าเลยจัดการตุ้มตุ๋นพระเจ้าแผ่นดินและอำมาตย์ด้อยปัญญาจนหนำใจแล้วยังได้เรือหาปลามาใช้ฟรีๆอีก 4 ลำ เดินทางกลับบ้านไป
            ผลสุดท้าย กษัตริย์หลงเข้าใจว่า ปลาเป็นยาบำรุงร่างกาย เลยยิ่งมัวเมาในกามารมณ์จนเกินขนาด สุดที่ร่างกายจะทนรับได้ ก่อนตายจึงรู้ว่าถูกหลอกโดย 4 อำมาตยฺ์จึงให้จับ  4 อำมาตยฺ์ไปประหารและส่งทหารไปจับประมงเฒ่าฐานหลอกพระองค์ แต่ประมงเฒ่าได้ลงเรือหาไปไปทำมาหากินที่อื่นแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น