++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ท่านควงเล่าให้ฟัง

ฯพณฯ ควง อภัยวงศ์

            ผมอยากจะขอพูดถึงเรื่องเครื่องสื่อสารของทหารไทยในสมัยนั้นสักหน่อย
            ความจริง เครื่องสื่อสารของทหารระหว่างสงครามอินโดจีนนั้น ยังใช้ไม่สะดวกและเกิดขลุกขลักกันใหญ่ ต้องใช้เครื่องสื่อสารของกรมไปรษณีย์ ถึงแม้เราจัดเครื่องของกรมไปรษณีย์ส่งไปให้แล้ว แต่ก็ยังไม่พอใช้ และมีขลุกขลักในเรื่องอื่นๆอีกมาก หลวงพิบูลฯ เวลานั้นยังเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็เลยเรียกผมเข้ากองประจำการ ผมไม่เคยเป็นทหารมาก่อน เพราะเขาวัดหน้าอกแล้วมันไม่ได้ขนาด ครั้นผมไปเข้าประจำการ ก็มีพลเรือนเพียงผมคนเดียวที่นั่งทำงานร่วมกับนายทหาร หลวงพิบูลฯ บอกว่า "ควง ลื้อเป็นทหารเสียเถอะ " ผมจึงว่าแค่พลทหารเขายังไม่เอาเลย ผมทำงานให้แล้วก็แล้วกัน หลวงพิบูลฯ เขาก็ไม่ว่าอะไร ต่อมาอีกสักอาทิตย์หนึ่งก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ผมเป็นนายพันตรี แล้วก็ถูกส่งไปชายแดน คราวนี้มันก็เลยยุ่งกันใหญ่ ทหารเขาเรียกผู้บังคับกองฯ ผมก็ไม่รู้เรื่องว่าเขาเรียกใคร เขาต้องมาดึงเสื้อจึงจะรู้  การเคารพ เราเคยแต่เปิดหมวก ทีนี้มันต้องตะเบ๊ะเผลอไปเปิดหมวกแต่โดนแก๊ปเข้า เลยว่ากันยุ่งไปหมด ผมไปชายแดนกับเขาไปจนถึงศรีโสภณ แต่ไม่ได้รบอะไรกับเขา เพราะผมมีหน้าที่เฉพาะการสื่อสาร ต่อมาญี่ปุ่นก็เข้ามาไกล่เกลี่ย เมื่อตกลงสงบศึกแล้ว ผมก็ไปเป็นผู้รับมอบดินแดนคืน และไปชักธงช้างในพิธีรับมอบดินแดนด้วย เพราะเมื่อก่อนเราใช้ธงช้าง คือ ธงช้างที่บิดาผมต้องชักลงมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมจึงไปชักธงช้างขึ้นด้วยตัวเอง แต่ตอนหลังต้องชักลงอีกที คราวนี้โชคดีที่ไม่ได้เป็นคนชักลง เพราะถูกส่งไปอเมริกา ไปเจรจาต่อรองเรื่องดินแดน

            เท่าที่ผมเล่าให้ฟังมานี้ ท่านก็คงเห็นแล้วว่า ไม่ใช่ผมไปแส่หาเรื่อง เพราะอยากจะเป็นอะไรกับเขา แต่เขามาเอาผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยตัวเอง เช่น ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว เขาปฏิวัติอีกครั้ง เมื่อสมัยเจ้าคุณมโนปกรณ์นิติธาดา เขามาหาผมให้ผมไปตัดสายโทรศัพท์ แต่ผมรับปากกับอธิบดีหลวงไกรฤกษ์ฯ ไว้แล้ว ว่าผมจะไม่ตัดสายอีก เพราะก่อนที่เขาจะตั้งให้ผมเป็นนายช่างอำนวยการโทรศัพท์น่ะ หลวงไกรฤกษ์ฯ ก็มาเอาคำมั่นสัญญากับผมว่า "คุณควง คุณให้สัญญาผมได้ไหมว่าคุณจะไม่ตัดสายโทรศัพท์อีก"  ผมบอกว่าผมให้สัญญาได้ ผมไม่ตัดละ ทีนี้ ตอนที่เขาจะให้ตัดใหม่นี่ซี หลวงพิบูลฯเขาก็มาหาผมบอกว่า "ควง จะให้ตัดสาย จะตัดได้หรือไม่ได้"  ผมบอกว่าถ้ารัฐบาลสั่งก็ต้องตัดน่ะซิ เขาก็ยิ้ม แต่ไม่ว่าอะไร พอถึงวันที่กำหนดเข้า เขาก็ใช้หลวงศิริราชไมตรี มาบอกผมให้ตัดสาย ผมบอก " เอ.. ผมก็เสียคำพูดกับอธิบดีซี เพราะไปให้สัญญากับท่านไว้ว่า ผมจะไม่ตัดสายอีกแล้วนี่ ถ้าอย่างนั้นผมไม่ต่อสายให้ดีกว่า" ผมก็เลยสั่งหัวหน้าเวรทั้งหมดให้หยุดต่อสาย มันก็เท่ากับตัดสายนั่นแหละ เพราะเราไม่ต่อเท่านั้นโทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ เรานั่งเฉยกันเสียไม่ต่อสาย จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง พอคำสั่งเขามาบอกว่าต่อได้ เราก็ต่อใหม่ก็หมดเรื่อง และผมก็ไม่ได้ผิดคำสัญญาด้วย

            แล้วต่อมาก็มีเรื่องบังเอิญอีก คือ ในระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อกองทัพญี่ปุ่นเข้ามาประเทศไทยในตอนต้น ผมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ต่อมาผมย้ายไปอยู่กระทรวงพาณิชย์ ตอนนี้หลวงพิบูลฯเกิดลาออกเพราะแพ้โหวตในสภา เกี่ยวกับพระราชบัญญัติพุทธบุรีมณฑล ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาหรอก เมื่อเขาลาออก ผมก็ออกตามเท่านั้นแหละ

            แต่ทีนี้มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เพราะพอถึงตอนเช้า พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภาฯ ก็โทรศัพท์มาที่กระทรวงบอก ควง มาหาหน่อย ผมมันเป็นยังงั้นเอง ใครมีธุระก็เรียกทุกที ทั้งๆที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้อง และผมก็ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีแล้ว แต่ท่านเป็นประธานคณะผู้สำเร็จราชการ เมื่อมีรับสั่งเรียกก็ต้องไป ท่านก็ให้ใบลาผมดูแล้วตรัสบอกว่า "นี่แน่ะท่านนายกฯ เขาลาออก จะทำยังไง" เวลานั้นหลวงอดุลเดชจรัสก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย ผมจึงทูลว่า "จะทำยังไง ก็ฝ่าพระบาทจะรับใบลาของเขาหรือไม่เล่า ถ้ารับ เราก็ออกซี ถ้าไม่ก็แล้วไป"

            แต่เรื่องมันไม่ได้จบแต่เพียงแค่นั้น ทีนี้พอถึงตอนกลางคืนสองทุ่มตรง คุณทวี บุณยะเกตุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็ประกาศวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ บอกว่านายกรัฐมนตรีลาออกแล้ว แต่หลังประกาศ เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น ใบลาออกที่ว่านั่นหายไปเลย เออ...ใบลาหายยังงี้ คุณทวีฯ ก็ต้องเข้าปิ้ง ..แต่แล้ววิทยุไทยก็ออกประกาศใหม่ ว่าท่านนายกฯ ไม่ได้ลาออก ท่านจอมพลไม่ได้ลาออก ทีนี้ มันก็ต้องเกิดการอลเวงกันขึ้นละซิ ส่วนตัวผมนั้นก็นึกว่าช่างปะไร ใครจะอลเวงก็ช่าง ผมจะอยู่กระทรวงทำงานของผมไปก็แล้วกัน

            แต่แล้ว จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีก็เรียกประชุมคณะรัฐมนตรี เขาโทรศัพท์มาเรียกให้ผมไปประชุม ผมก็นั่งทำงานเฉยเสีย เขาจึงให้หลวงเดชสหกรณ์ เวลานั้นเป็นรัฐมนตรีเกษตรโทรศัพท์มาถึงผมอีก คุณหลวงเดชฯบอกว่า มาหน่อยน่าควงน่า ผมก็ไป....


            พอไปถึงท่านจอมพลก็ทำหน้าตึงเอากับผมทีเดียว เขาถามผมว่า "เวลามีการประชุมคณะรัฐมนตรี ทำไมคุณหลวงไม่มา"  ผมก็เถียงว่า ธุระอะไรจะต้องมาเมื่อเราลาออกกันแล้ว จะต้องมาประชุมเรื่องอะไรกันอีก  จอมพล ป. ก็ว่า คุณหลวงรู้ได้ยังไงว่า ผมลาออก ผมก็บอกว่า พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ให้ผมดูใบลาแล้ว ก็ต้องจัดการเรื่องลาออกให้มันเรียบร้อยกันไปเสียก่อนซี แล้วจึงค่อยประชุมกันใหม่ ไม่ยังงั้นก็ไม่ถูกเรื่อง ตอนนี้จอมพลเขาโกรธใหญ่ เขาบอกว่า ผมไม่อยากให้คุณหลวงทำงานกับผมหรอก ผมก็ตอบว่าผมไม่ได้มาขอทำงานนี่ มาขอผมเองต่างหาก เอ้า..ผมลาออก แล้วผมก็เขียนใบลาออกเดี๋ยวนั้น สั่งให้เสร็จก็เดินออกจากที่ประชุมทันที คณะรัฐมนตรีต่างพากันเงียบงันกันไปหมด

            ส่วนตัวผมเอง พอกลับมาถึงบ้านก็สั่งภรรยาให้จัดกระเป๋าเดินทางในใจคิดว่า ต้องแจวกันละคราวนี้ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเอาคุณทวีฯไปหัวหินด้วย เพราะคุณทวีฯ ก็เป็นจำเลยสำคัญเพราะดันไปประกาศข่าวการลาออกของท่านจอมพลเร็วเกินไป ทั้งใบลงใบลาก็เกิดมาหายไปเสียด้วย เขาจะตั้งข้อหาว่าเราเป็นกบฏเมื่อไหร่ก็ได้ แต่คุณทวีฯ น่ะต้องโดนแรงแน่ๆ

            ทีนี้ พอไปถึงหัวหิน นอนพักยังไม่ทันหายเหนื่อย ก็มีนายตำรวจมาหาผม ผมนึกโกรธผู้จัดการโรงแรมว่า คงไปบอกให้ตำรวจมาหากระมัง แต่นายตำรวจบอกว่า "เปล่าครับ ผมนำคำสั่งกองบัญชาการทหารสูงสุด มาเรียกท่านเข้าประจำการ" ผมก็นึกออกทันทีว่าต้องโดนหลวงพิบูลฯเล่นงานเอาแน่นอน จึงแกล้งเรียกเข้าประจำการ ผมจึงบอกเลี่ยงๆไปกับนายตำรวจคนนั้นว่า เรียกก็เรียกไปเถอะ วันหลังผมจะไปก็ได้ไม่เป็นไร แต่นายตำรวจท้วงว่า "ไม่เป็นไรไม่ได้หรอก คุณหลวงต้องไปรายงานตัวภายใน ๒๔ ชั่วโมง ตามกฎอัยการศึก ไม่งั้นติดตะราง ผมไม่รู้ด้วย"

             นายตำรวจคนนั้นอบรมผมแล้ว ก็ไปจัดแจงหาตั๋วรถไฟกลับกรุงเทพฯ ให้เสร็จสรรพ ผมก็จำเป็นต้องไปรายงานตัวที่กองบัญชาการทหารสูงสุด แล้วก็ได้รับคำสั่งให้ไปทำอะไรท่านรู้ไหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด คือ หลวงพิบูลฯ นั่นแหละ เขาสั่งให้ผมไปตำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการสร้างถนนสายเชียงตุง ...เอากับพ่อซี ....ตัวผมเองพอได้รับคำสั่งแล้วก็เตรียมตัวจะออกเดินทางทันที

            คราวนี้ เรื่องมันก็เลยสนุกกันใหญ่ เรื่องก็มีอยู่ว่าในขณะนั้น ผมยังเป็นสมาชิกรัฐสภาอยู่ และทางรัฐสภาแขาแต่งตั้งให้คุณทวี บุณยะเกตุ เป็นประธานสภา  ให้ผมเป็นรอง แต่จอมพล ป. เขาไม่ยอมลงนามสนองพระบรมราชโองการ เขาก็เลยตั้งกันใหม่ คราวนี้ ท่านเจ้าคุณมานนวชราชเสวี  ได้รับเลือกให้เป็นประธานสภา ผมได้เป็นรอง แต่ผมเกิดไปมีหน้าที่ประจำอยู่ที่กองบัญชาการทหารสูงสุด เขาก็จะให้เอาตัวผมไปเชียงตุง จะให้ไปก็ไป ผมก็ไม่ได้ว่ากระไร แต่จอมพลท่านซิท่านว่า ท่านว่าต่อหน้าผมเลยทีเดียวว่า "หน็อต จะให้ไปเชียงตุงยังอยากจะไปอีก ถ้าอย่างนั้นอย่าไปมันเลย อยู่มันที่นี่เถิด " ก็เป็นอันว่า ผมไม่ต้องไปเชียงตุง

            ต่อมา รัฐบาลแพ้โหวตในสภา เกี่ยวกับการเสนอพระราชบัญญัติอีกฉบับหนึ่ง  จะเป็นพระราชบัญญัติอะไรจำไม่ได้ รัฐบาลก็ลาออกอีก คราวนี้ พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็เรียกเจ้าคุณมานนวราชเสวี ประธานสภา และผมคือ รองประธานสภาไปเฝ้า รับสั่งว่า รัฐบาลเขาลาออกจะทำยังไง  เราก็ทูลว่า เรื่องนี้ก็แล้วแต่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จะยอมรับใบลาหรือไม่ ถ้ารับใบลาก็มีหนังสือแจ้งให้สภาซาวเสียงสมาชิกเลือกนายกฯ กันใหม่ เพราะเวลานั้นยังไม่มีพรรคการเมือง ท่านก็ว่าตกลง เราก็ทูลลากลับ

            วันต่อมา เจ้าประคุณประธานสภาได้รับหนังสือจากผู้สำเร็จราชการ ขอให้สภาซาวเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี เจ้าคุณท่านก็ส่งหนังสือมาให้ผมดู เพื่อเตรียมจัดการซาวเสียง ครั้นผมอ่านแล้วก็เรียนท่านว่า "เจ้าคุณครับ หนังสือนี้ไม่มีข้อความแจ้งชัดว่า ผู้สำเร็จราชการตกลงรับใบลาแล้วหรือไม่ เป็นแต่ขอให้สภาซาวเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ถ้าขืนซาวเสียงเราจะเป็นกบฎต่อรัฐบาลนะครับ" ท่านเจ้าคุณก็ว่า "ไหน-ไหน  ขอผมดูอีกทีซิ" พอท่านอ่านละเอียดแล้วก็ร้องว่า โอ-ไม่ได้ ต้องไปขอให้ทำหนังสือใหม่ ปรากฏว่า พระองค์เจ้าอาทิตย์อีหลักอีเหลื่ออยู่พักหนึ่ง แล้วจึงยอมทำหนังสือแจ้งมายังประธานสภาใหม่ ว่าตกลงรับใบลาของนายกรัฐมนตรีแล้ว


            สภาผู้แทนราษฎรก็เรียกประชุมซาวเสียงสมาชิก เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ผลการซาวเสียง ปรากฏว่าเจ้าคุณพหลพลพยุหเสนาได้รับคะแนนสูงสุด แต่เจ้าคุณพหลฯไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย และทราบว่าภายหลังการประชุมครั้งนี้แล้ว มีลูกน้องของหลวงพิบูลฯ ไปพบเจ้าคุณพหลฯ เป็นการเฉพาะตัว ครั้นประธานรัฐสภาเสนอผลของการซาวเสียงให้ผู้สำเร็จราชการทราบ พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ก็เชิญเจ้าคุณพหลฯ พร้อมด้วยประธานสภา และผมซึ่งเป็นรองประธานสภาไปเฝ้า พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ รับสั่งถามท่านเจ้าคุณพหลฯว่า เดี๋ยวนี้สภาเขาเลือกให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ท่านจะรับจัดตั้งรัฐบาลไหม เจ้าคุณพหลฯก็ตอบไม่ยอมรับ ผมเองพยายามมองตาเจ้าคุณพหลฯ จนลูกตาแทบจะทะลักออกมา ขยิบหูขยิบตาจะให้ท่านรับ  แต่ท่านก็ไม่ยอมรับจัดรัฐบาล เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ท่านผู้สำเร็จราชการก็ทรงรับสั่งว่าจะทำยังไง ผมก็ทูลว่าถ้าเช่านี้ก็ต้องแจ้งให้สภาซาวเสียงกันใหม่

            มันเป็นการบังเอิญที่ผมเกิดป่วยเป็นทอนซิลอักเสบ ไม่ได้ไปร่วมประชุมสภา ในการซาวเสียงเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีครั้งที่ ๒ ผมให้หมอฉีดยาแล้วก็ต้องนอนซมเพราะพิษไข้ หลวงประดิษฐ์ฯ ก็โทรศัพท์มาจากทำเนียบท่าช้าง บอกว่า "ควง มานี่หน่อยเถอะ" ผมถามว่า มีเรื่องอะไรสำคัญมั้ย กำลังไม่สบายไม่อยากออกจากบ้าน หลวงประดิษฐ์ฯ ก็ว่า  "สำคัญซี ลื้อมาหน่อยเถอะ" ผมก็ต้องไป พอไปถึงบันไดตึกทำเนียบท่าช้าง ก็เห็นหลวงประดิษฐ์ฯคาดผ้ายี่โป้ลงมารับซึ่งเป็นการแต่งกายอยู่กับบ้านแบบที่โปรดปราน แล้วก็บอกผมว่า "สภาเขาเลือกลื้อเป็นนายกฯ แล้ว ลื้อต้องรับนะ" ผมรู้สึกงุนงงไปหมดเพราะไม่ทราบว่าเขาเดินแต้มคูกันอย่างไร ตำแหน่งนี้มันจึงมาตกที่ผม ทราบแต่ว่าไม่มีใครยอมรับแล้ว เห็นจะเป็นกรรมของผมนี่เอง หลวงประดิษฐ์ฯ ก็สำทับว่า "ควง ถ้าลื้อไม่รับละก็ตายแน่ทีเดียว เมืองไทยก็จะแย่ด้วย"  ผมย้อนถามว่า คนอื่นก็มีถมเถไป ทำไมไม่ให้เขารับล่ะ หลวงประดิษฐ์ฯ ก็สารภาพตรงๆว่า "ไม่มีใครรับนี่หว่า ลื้อเอาเถิะน่า ถ้าไม่เอาเป็นตายเด็ด" ผมย้ำถามให้แน่ใจว่า ไม่มีใครเอาจริงเรอะ  หลวงประดิษฐฯ ก็ยืนยันว่าไม่มีหรอก ผมขอเรียนท่านผู้ฟังด้วยความสุจริตใจว่า ที่เขามาเกณฑ์ให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งนั้นน่ะไม่ใช่ว่าเขาชอบขี้หน้าผม เขาจึงเอาตำแหน่งนี้มาประเคนให้ผมหรอก แต่เรื่องมันจำเป็นที่ไม่มีใครกล้ารับเพราะกลัวหลวงพิบูลฯกันหมด และนิสัยของผม มันก็ชอบทำในสิ่งที่ไม่มีใครอยากทำ ผมจึงบอกหลวงประดิษฐ์ฯว่า ถ้าไม่มีใครรับ ผมจะรับเอง

            ขณะนั้น ก้เกิดข่าวเขย่าขวัญเกี่ยวแก่ท่าทีของหลวงพิบูลฯ์ว่า ทหารทางลพบุรีจะยกมายึดพระนครบ้าง พวกทหารสนับสนุนหลวงพิบูลณบ้าง  ล้วนแต่เป็นข่าวที่บั่นทอนกำลังใจของผู้ที่ไม่ใช่ฝ่ายหลวงพิบูลฯทั้งสิ้น ผมได้เข้าเฝ้าพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามธรรมเนียม ท่านรับสั่งถามว่าจะรับเป็นนายกรัฐมนตรีหรือ ผมก็ตอบว่ารับ ท่านถามอีกว่าถ้าพวกหลวงพิบูลฯ ยกกองทัพมาตีจะทำอย่างไร  ผมก็ทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าต้องต่อสู้เด็ดขาดคราวนี้ เพราะเป็นหน้าที่ของข้าพระพุทธเจ้า ท่านซักอีกว่าถ้าสู้ไม่ได้จะทำยังไง ผมก็ทูลไปว่า ถ้าสุ้ไม่ได้ก็ต้องโกยนะซี  พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯทรงแสดงความหนักพระทัย และทรงขอให้ผมถอนตัวเสีย เพราะท่านไม่กล้าจะลงพระนามแต่งตั้งให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ถึงกับรับสั่งว่า ถ้าผมไม่ยอมถอนตัว ท่านก็จะขอลาออก

            แต่ผมจะเปลี่ยนใจเป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ เพราะเมื่อได้ตัดสินใจมาแล้วก็ต้องทำไปจนถึงที่สุด จึงทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่ถอน" และนี่เองเป็นเหตุให้พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง  สภาก็เลยตั้งหลวงประดิษฐ์ฯ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่เพียงคนเดียว แล้วหลวงประดิษฐ์ฯ ก็ลงนามแต่งตั้งผมเป็นนายกรัฐมนตรีทันที

            แต่การเป็นนายกของผมมันสะดวกอย่างคนอื่นเขาเมื่อไหร่ รถยนต์สักคันก็ไม่มีใช้ เขาเอาไปลพบุรีหมดครับ นายกอะไรไม่มีรถ มีแต่รถส่วนตัวบุโรทั่งของผมคันเดียว  จะหานายทหารชั้นผู้ใหญ่ทำยาในกรุงเทพฯก็ไม่มี ผมไปพบหลวงสินาดโยธารักษ์ จะขอให้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ท่านก้ไม่ยอม ต้องไปเคี่ยวเข็ญเอาหลวงสินธุ์สงครามชัย มาเป็น

            อันที่จริง เหตุการณ์ในเวลานั้น ก้ไม่สู้ดีจริงๆ มีเค้าว่าอาจเกิดความไม่สงบขึ้นได้ตามที่วิตกกัน ถึงแม้นายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ยังเป็นมิตรกับผม  แต่เราก็ต้องป้องกันมิให้มีเหตุการณ์ร้ายแรง ซึ่งจะเสียหายแก่บ้านเมือง ผมจึงไปปรึกษาหลวงอดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจในเวลานั้น เขามีความเห็นว่า  ทางที่ดีผมควรจะไปเจรจากับหลวงพิบูลฯ เองในค่ายทหารลพบุรี ผมก็เห็นชอบด้วยและตกลงว่าจะไปคนเดียว แต่ขุนศรีศรากร ซึ่งเป็นผู้บังคับการตำรวจสันติบาลอาสาจะนำทางไปด้วย

            การเดินทางครั้งนั้น มีคนเป็นห่วงเป็นใยผมมาก โดยเฉพาะพวกไปรษณีย์ซึ่งยังสวามิภักดิ์ต่อผมจริงๆ และผมก็ระลึกถึงเขาอยู่ตลอดเวลา เขาเรียกผมว่าอธิบดีจนติดปากกระทั่งบัดนี้ พวกนี้มาหาผมบอกว่า อธิบดีครับ ผมจะล่วงหน้าไปดูทางก่อน คือ ทำเป็นไปตรวจสายโทรศัพท์ ถ้าไม่ชอบมาพากลผมจะรีบย้อนกลับมาบอก  ครั้นถึงเวลา ผมก็ออกเดินทางไปลพบุรี หลวงพิบูลฯต้อนรับผมดี เขาชวนผมเข้าไปคุยกันในห้องนอนสองต่อสอง ผมอธิบายเหตุการณ์ต่างๆให้ฟังจนเป็นที่เข้าใจ เมื่อเห็นว่าเรื่องเรียบร้อยกันแล้วผมก็ลากลับ ออกมาข้างนอกเห็นมีบุหรี่โกลด็เฟลคที่ผมชอบวางอยู่หลายกระป๋อง และผมหาบุหรี่ชนิดนี้ไม่ใคร่จะได้ ก็หยิบใส่กระเป๋ามาหนี่งกระป๋อง หลวงพิบูลฯ์เดินมาส่งผมที่รถยนต์  พอเขาเห็นสภาพของรถที่ผมนั่งไปหาเขาก็ถามว่า นายเอารถอะไรมานี่ ผมบอกว่า ก๋เราเอารถมาเสียหมด ที่กรุงเทพมันจะมีรถอะไรล่ะ คันนี้ก็ยืมเขามาจากกองทัพเรือน่ะซี หลวงพิบูลฯบอกว่า พรุ่งนี้จะส่งรถไปให้ใช้ เออ-ดี ขอบใจ พอรุ่งขึ้นเขาก็ส่งมาให้ผม เหตุการณ์ก็เรียบร้อยไปชั่วระยะหนึ่ง

            แต่ต่อมาไม่นานกลับมีเรื่องคับขั้นขึ้นมาอีก คือ ถึงแม้ผมได้เป็นหัวหน้ารัฐบาลก็ดี แต่หลวงพิบูลฯยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสุงสุด ซึ่งมีอำนาจบังคับบัญชาทหารทั่วราชอาณาจักร และกองทัพญี่ปุ่นในประเทศไทยไม่ไว้วางใจหลวงพิบูลฯ ถ้าเราไม่แก้ไขเสีย กองทัพไทยกับกองทัพญี่ปุ่นอาจจะต้องปะทะกัน  ผมจึงเห็นว่า เราจำเป็นจะต้องปลดหลวงพิบูลฯ จากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด แล้วผมกับขุนศรีศรากรก้เดินไปหาหลวงพิบูลฯ ที่ค่ายทหารลพบุรีอีกครั้งหนึ่ง บอกความจำเป็นที่ต้องขอให้ช่วยกันรักษาความปลอดภัยของบ้านเมือง เนื่องจากทหารญี่ปุ่นไม่ไว้วางใจ คราวนี้รู้สึกว่าหลวงพิบูลฯไม่ค่อยพอใจ เมื่อเห็นว่าเราไม่อาจตกลงรอมชอมกันได้ ผมก็สะกิดขุนศรีศรากรให้ลากลับ

            ตกค่ำวันนั้นเอง ผมก็ประกาศให้หลวงพิบูลฯพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน แล้วแต่งตั้งเจ้าคุณพหลฯ เป็นแม่ทัพใหญ่ หลวงสินาดโยธารักษ์ เป็นรองแม่ทัพใหญ่

            หลวงพิบูลฯ คงจะโกรธผมไปพักหนึ่ง แต่ผมไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ผมทำเพื่อประโยชน์แผ่นดิน



ที่มา  ต่วยตูน ปักษ์แรก เดือนธันวาคม ๒๕๔๐ ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๗ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น