++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โลกเข้าทางตันพร้อมกันกับเราเข้าสู่ภาวะวิบัติ โดย ไสว บุญมา

เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเขียนเรื่อง “เข้าสู่ยุควิบัติเต็มอัตรา” เนื้อหาของเรื่องส่วนใหญ่มาจากรายการ “คนเคาะข่าว” ของเอเอสทีวีประจำคืนวันที่ 11 เมษายน ในค่ำคืนนั้นเราพูดกันถึงนโยบายประชานิยมแบบเข้มข้นในตอนต้นของรายการ หลังจากนั้นเราพูดกันถึงทางตันของโลกซึ่งในขณะนี้ไม่มีแนวคิดทางเศรษฐกิจที่ เหมาะสมกับโครงสร้างของสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ก่อนพูดถึงเรื่องนั้นขอทบทวนว่าเพราะอะไรผมจึงมองว่าเมืองไทยเดินเข้าสู่ ภาวะวิบัติแบบเต็มอัตราแล้ว
      
        ปัจจัยพื้นฐานของการเดินเข้าสู่ภาวะวิบัติได้แก่คนไทยส่วน ใหญ่ยึดความเลวทรามแทนความดีซึ่งมีอาการออกมาให้เห็นอยู่เป็นประจำ เช่น การยอมรับความฉ้อฉลหากตนได้รับผลประโยชน์ด้วยการเลือกคนที่มีประวัติด่าง พร่อยถึงระดับเป็นถ่อยในสังคมให้เป็นผู้แทนในรัฐสภา การพากันไปกราบกรานนักโทษหนีคุกไทยถึงในต่างประเทศ และการบูชาผู้ใช้นโยบายประชานิยมทั้งที่มันจะทำให้ประเทศล่มจมต่อไป
      
        สังคมโลกเดินเข้าสู่ทางตันด้านเศรษฐกิจมาเป็นเวลานานพอๆ กับไทยเราเดินเข้าสู่ภาวะวิบัติ อาการหนึ่งของการเดินเข้าสู่ทางตันได้แก่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาในประเทศก้าว หน้าที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2551 และตอนนี้มีข้อมูลบ่งชัดแล้วว่า เศรษฐกิจของอังกฤษและสเปนกลับมาถดถอยอีกครั้งหลังทำท่าว่าจะฟื้นคืนชีพอยู่ ชั่วระยะหนึ่ง ในสเปนมีคนว่างงานสูงถึงเกือบ 25% ซึ่งเป็นอัตราที่อาจเรียกได้ว่าเป็นภาวะหายนะของประเทศ
      
        เพราะอะไรประเทศเหล่านั้นจึงแก้ปัญหาไม่ได้ทั้งที่มีนัก เศรษฐศาสตร์ชั้นนำจำนวนมาก เช่น ในสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยชิคาโกเพียงแห่งเดียวมีนักเศรษฐศาสตร์ชั้นรางวัลโนเบลถึง 26 คน คำตอบสั้นๆ คือ โครงสร้างทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนไปส่งผลให้นโยบายซึ่งออกมาจากแนวคิดเก่าๆ ใช้ไม่ได้ผล
      
        โครงสร้างที่เปลี่ยนไปสะท้อนออกมาในปรากฏการณ์ต่างๆ หลายอย่างด้วยกัน เช่น เทคโนโลยีใหม่และความสัมพันธ์ทางการค้าร่วมสมัยทำให้โลกใบนี้แทบไม่มีพรมแดน เหลืออยู่ การตัดสินใจทำอะไรของแต่ละคนในจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งเกิน 7 พันล้านคนส่งผลกระทบไปทั่วโลก ส่วนผลกระทบจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าเขาทำอะไร บางคนสามารถโยกย้ายเงินตราได้นับหมื่นล้านดอลลาร์เพียงในพริบตาเดียว การโยกย้ายเช่นนั้นอาจมีผลทำให้คนตกงานนับพันคนในเวลาในต่อมา ปัญหาที่เกิดขึ้นมุมหนึ่งของโลกจะลุกลามไปถึงส่วนอื่นได้อย่างรวดเร็ว แต่การดำเนินนโยบายของประเทศนับร้อยยังอยู่ในสภาพต่างคนต่างทำและมักไม่เป็น ไปในแนวเดียวกัน ฉะนั้น มันจึงไม่ได้ผลตามความต้องการของประเทศที่มีปัญหา
      
        ลักษณะของการดำเนินนโยบายเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงของอำนาจซึ่งสะท้อน ขนาดและภาวะทางเศรษฐกิจและการเมือง สหรัฐอเมริกาซึ่งเคยเป็นเจ้าหนี้ใหญ่ที่สุดในโลกได้กลายมาเป็นลูกหนี้ใหญ่ ที่สุดในโลก บรรดาประเทศก้าวหน้าทั้งหลายส่วนใหญ่ก็เป็นหนี้กันจนล้นบ่า ไม่เฉพาะประเทศเท่านั้นที่เป็นหนี้กันจนขยับตัวแทบไม่ได้ ประชาชนส่วนใหญ่ก็เป็นหนี้อย่างหนักอึ้งแบบทั่วถึงกัน
      
        จีนซึ่งมีประชากรกว่าพันล้านคนและเคยเป็นประเทศยากจนมาก่อนตอนนี้มีเศรษฐกิจ แข็งแกร่งจนได้กลายเป็นหมายเลขสองของโลกแทนญี่ปุ่นและเป็นเจ้าหนี้ใหญ่ที่ สุดในโลก ส่วนอินเดียซึ่งเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีประชากรกว่าพันล้านคนก็ไล่หลังจีนมา ติดๆ และเป็นเจ้าหนี้ขนาดใหญ่เช่นกัน ยิ่งกว่านั้น สองประเทศขนาดยักษ์นี้ยังมีอาวุธนิวเคลียร์อีกด้วย ฉะนั้น ใครจะมาสั่งพวกเขาทำอะไรไม่ง่ายดังก่อนอีกแล้ว
      
        ส่วนในประเทศก้าวหน้าซึ่งใช้ระบอบประชาธิปไตยและระบบตลาดเสรีก็มีความเป็น ประชาธิปไตยและความเป็นเสรีน้อยลงเนื่องจากอำนาจผูกขาดของเงิน บริษัทขนาดใหญ่ใช้เงินจ้างนักวิ่งเต้นซึ่งมักเป็นนักการเมืองเก่าให้โน้ม น้าวรัฐบาลให้ออกนโยบายไปในทางของตน จะเห็นว่าในช่วงที่เศรษฐกิจประสบปัญหาล่าสุดนี้ แทบไม่มีบริษัทขนาดใหญ่ในอเมริกาล้มละลายเพราะต่างได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาล นับหมื่นล้านดอลลาร์ กองทุนเพื่อเก็งกำไรขนาดใหญ่ไม่ถูกควบคุมทั้งที่มีส่วนสร้างความเสียหายใหญ่ หลวงก็เพราะเหตุผลเดียวกัน ผู้มีเงินและบริษัทขนาดใหญ่มีบทบาทสูงมากในกระบวนการเลือกตั้ง นักการเมืองที่มีทีท่าว่าจะเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขาจะถูกใส่ร้ายป้ายสีสารพัด จนมักหมดโอกาสชนะการเลือกตั้ง
      
        สภาพดังกล่าวนี้มีความฉ้อฉลเป็นฐานของการกระทำซึ่งนัก เศรษฐศาสตร์ชั้นนำระดับได้รับรางวัลโนเบลโจเซฟ สติกลิตซ์ เรียกว่าเป็นการ “ขาดดุลทางศีลธรรมจรรยา” (Moral Deficit) ผู้ต้องการอ่านรายละเอียดอาจหาอ่านได้ในหนังสือของเขาชื่อ Freefall: America, Free Markets, and the Sinking of the World Economy
      
        ท่ามกลางโครงสร้างที่เปลี่ยนไป นโยบายที่ประเทศต่างๆ ใช้ยังออกมาจากแนวคิดเก่าซึ่งเกิดจากการคละเคล้ากันของแนวคิด “เศรษฐกิจโบราณแบบใหม่” (Neoclassical Economics) และของจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ แนวคิดเศรษฐกิจโบราณแบบใหม่วางอยู่บนสมมติฐานสามข้อซึ่งตอนนี้ถูกโจมตีว่า ไม่เป็นความจริง นั่นคือ ทุกฝ่ายมีข้อมูลชนิดสมบูรณ์แบบอย่างเท่าเทียมกัน ทุกคนใช้เหตุผลในการตัดสินใจโดยไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกองค์กรและทุกคนแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดเพื่อตนเองเท่านั้น ส่วนเคนส์บอกให้ทำงบประมาณขาดดุลและกระตุ้นการใช้จ่ายในภาวะเศรษฐกิจซบเซา ซึ่งใช้ได้ผลมาเป็นเวลาราว 70 ปี แต่ตอนนี้แทบไม่มีผลดีแล้ว จะเห็นว่าประเทศก้าวหน้าที่ประสบปัญหาล้วนใช้นโยบายแนวเคนส์มาเป็นเวลากว่า สามปีแต่แทบไม่มีผลดีดังต้องการ
      
        ท่ามกลางทางตันนี้มีแนวคิดร่วมสมัยที่มีคำตอบให้แก่ชาวโลกชื่อว่าเศรษฐกิจพอเพียง แต่ เนื่องจากมันเป็นแนวคิดของคนไทยที่มีความลึกซึ้งคนไทยจึงมองไม่เห็นค่าจน กว่าฝรั่งจะนำไปขยายความซึ่งเขาเริ่มทำกันแล้ว เช่น ในรายงานของราชสมาคมแห่งอังกฤษชื่อ People and Planet ซึ่งเพิ่งพิมพ์ออกมาเมื่อเดือนเมษายนเพื่อจะใช้ในการประชุมสุดยอดขององค์การ สหประชาชาติเรื่อง “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ณ กรุงรีโอเดจาเนโรระหว่างวันที่ 20-22 มิถุนายนนี้ มีเนื้อหาจำนวนมากเป็นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแม้เขาจะไม่ได้ใช้คำนี้ก็ตาม ส่วนรัฐบาลไทยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาได้แต่ผายลมทางปากว่าจะน้อมนำแนวคิดนั้นมาใช้โดยไม่มีความเข้าใจ หรือจริงใจแม้แต่น้อย
      
        ฉะนั้น โลกจะตกอยู่ในทางตันอีกนานเท่าไรและเมืองไทยจะตกอยู่ในภาวะวิบัติอีกนาน เท่าไรผมจึงมิได้ฟันธงในค่ำคืนนั้น แต่ขอย้ำคำแนะนำที่ว่า จงพยายามทำตัวทำใจกันไว้ สภาวะทั้งภายนอกและภายในเมืองไทยจะเลวร้ายต่อไปแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น