++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วิกฤตพรุควนเคร็ง...สัญญาณหายนะภาคใต้!

เมื่อระยะสิบวันมานี้ มีข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งปรากฏขึ้น
แต่หามีใครให้ความสนใจแต่ประการใดไม่
เพราะเป็นเรื่องของไฟไหม้และเป็นไฟไหม้พรุแห่งหนึ่งซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก
ชื่อ นั่นคือพรุควนเคร็ง
แต่แท้จริงแล้วนี่คือสัญญาณอันตรายร้ายแรงว่ากำลังเกิดหายนะขึ้นในพื้นที่
ภาคใต้ตอนกลาง

และเมื่อเกิดหายนะขึ้นในภาคใต้ตอนกลางแล้ว
ก็ย่อมส่งผลกระทบไปทั้งภาคใต้ตอนบนและภาคใต้ตอนล่างด้วย

แต่ เรื่องนี้ไม่มีใครสนใจ ที่ไม่สนใจก็เพราะไม่รู้และไม่เข้าใจ
ไม่เว้นแม้กระทั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งได้กินใบบุญของคนภาคใต้มาร่วม 50-60 ปี
ก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพิจารณา
และแก้ไขปัญหาให้ภาคใต้พ้นจากหายนะที่ว่านั้น

ก่อนอื่นอยากทำความรู้จักกับพรุควนเคร็งเสียก่อน
เพราะชื่อก็ประหลาดนัก เนื่องจากไม่ใช่ภาษาไทย แต่เป็นภาษาถิ่นแต่โบราณ
ที่ยังคงใช้กันอยู่ในพื้นที่แถบนั้น เช่น ตำบลตะเครี๊ยะ ตำบลพังยาง
อำเภอระโนด บ้านพังเถียะ บ้านเฉียงพง เป็นต้น

พรุ ควนเคร็งนั้นเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในพื้นที่ภาคใต้ตอนกลาง
และอาจกล่าวได้ว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้ก็ได้
พื้นที่ชุ่มน้ำนี้หมายถึงพื้นที่ที่มีน้ำไม่มากนัก แต่ก็มีตลอดปี
พูดให้เห็นภาพได้ง่ายก็คือเป็นพื้นที่ที่มีน้ำสูงระดับแค่หัวเข่าหรือมาก
น้อยกว่านั้นก็ไม่มาก มีต้นจูดขึ้นตามธรรมชาติอยู่เกือบเต็มพื้นที่

พรุควนเคร็งตั้งอยู่ในเขตรอยต่อของจังหวัดพัทลุงกับจังหวัดนครศรี
ธรรมราช และเป็นพื้นที่ติดต่อกับอุทยานแห่งชาติทะเลน้อยของจังหวัดพัทลุง
โดยอุทยานแห่งชาติดังกล่าวนี้มีพื้นที่ติดอยู่กับทะเลสาบสงขลาซึ่งเป็น
ทะเลสาบสำคัญแห่งหนึ่งของโลก ที่มีอยู่ในประเทศไทย

พรุควนเคร็งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ
แต่ทะเลน้อยนั้นเป็นพื้นที่แหล่งน้ำที่ไม่ลึกนัก
มีความอุดมสมบูรณ์ทางนิเวศน์และเป็นแหล่งอาหารสำคัญของพื้นที่ภาคใต้ตอนกลาง
ส่วนทะเลสาบสงขลาเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ อุดมสมบูรณ์ด้วยกุ้ง หอย ปู
ปลามาแต่โบราณ เป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้และแหล่งทำมาหากินของคนภาคใต้ตอนกลางมายาวนาน

ดัง นั้นทะลสาบสงขลา ทะเลน้อย และพรุควนเคร็ง
จึงเป็นแหล่งทรัพยากรน้ำ แหล่งทรัพยากรอาหาร
และเป็นแหล่งทำมาหากินของชาวบ้านที่ถักทอจูดขาย
และเป็นแหล่งนิเวศน์ของสัตว์สงวน สัตว์น้ำ
สัตว์บกนานาชนิดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย

ทะเลสาบสงขลาเป็นแหล่งน้ำใหญ่ ถ่ายเทไปถึงทะเลน้อย
น้ำจากทะเลน้อยก็เชื่อมต่อถ่ายเทถึงพรุควนเคร็ง
ดังนั้นในฐานะแหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์ก็ประจักษ์ชัดว่าความมีหรือความไม่มี
น้ำของแหล่งใดแหล่งหนึ่งย่อมกระทบถึงกัน และสะท้อนถึงกัน
เมื่อ 50-60 ปีก่อนทะเลสาบสงขลาลึก
ขนาดใช้ไม้ถ่อหยั่งบางทีก็ไม่ถึง จึงส่งผลให้ทะเลน้อยอุดมสมบูรณ์ตลอดปี
เมื่อทะเลน้อยอุดมสมบูรณ์ พรุควนเคร็งก็อุดมสมบูรณ์ตามตลอดปีเช่นเดียวกัน

แต่ มาบัดนี้ทะเลสาบสงขลาตื้นเขิน แม้มีความพยายามจะผลักดันแก้ไข
แต่อดีตนายกรัฐมนตรีที่งี่เง่าบางคนอวดตนว่ามีความรู้เกินใคร
เข้าใจเอาเองว่าทะเลสาบคือทะเลเดียวกับอ่าวไทย
จนทำให้โครงการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบต้องชะงักงันมาจนถึงบัดนี้

ทะเลสาบสงขลาตื้นเขินจนกระทั่งความร้อนเพิ่มขึ้น
ทำให้สัตว์น้ำล้มหายตายจากและสูญพันธุ์มากมาย
ส่งผลกระทบไปถึงทะเลน้อยให้เกิดความตื้นเขินและน้ำไม่อุดมสมบูรณ์ตลอดปี
เหมือนแต่ก่อน แล้วกระทบไปถึงพรุควนเคร็งด้วย ทำให้เกิดความแห้งแล้งขึ้น
และทำลายระบบนิเวศน์ ตลอดจนพืช
สัตว์หลายเผ่าพันธุ์ต้องสูญพันธุ์และล้มหายตายจาก

ตั้งแต่โบราณกาลมา ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ตอนกลางได้ทำมาหากิน
ได้พึ่งพาอาศัยทะเลสาบสงขลา ทะเลน้อยและพรุควนเคร็งในทุกด้าน
ไม่ว่าด้านแหล่งน้ำ ด้านอาหาร
ด้านความอุดมสมบูรณ์และความสมดุลของสภาพแวดล้อม
แต่มาบัดนี้มีแต่ความแห้งแล้ง และหายนะรออยู่เบื้องหน้า

การ เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้พรุควนเคร็งที่กินพื้นที่เพลิงไหม้ถึง
6,000 ไร่ หมายถึงอะไรเล่า? มันไม่ใช่เพลิงไหม้ธรรมดา
แต่มันสะท้อนความหมายแห่งหายนะที่กำลังเข้ามาเยือนพี่น้องภาคใต้ตอนกลางและ
ภาคใต้ทั้งหมด

ทำไมจึงเกิดเหตุไฟไหม้?
ที่ไฟไหม้ก็เพราะพรุควนเคร็งแห้งแล้งขาดน้ำ
จนต้นจูดที่อยู่เต็มเกือบทั้งพื้นที่ก็แห้งเฉาตาม
สายลมแรงกล้าของลมพลัดไม่ว่าลมพลัดหลวง ลมพลัดกลาง
หรือลมพลัดยาของฤดูกาลนี้ ยิ่งเพิ่มความแห้งแล้งและความร้อนมากขึ้น

ดังนั้นจึงล่อแหลมต่อการเกิดเหตุเพลิงไหม้
เมื่อแหล่งชุ่มน้ำเกิดความแห้งแล้งปานนี้
พอมีเชื้อเพลิงเชื้อไฟเข้าไปถึงเท่านั้น
ก็เกิดเพลิงลุกไหม้เผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว

เพลิงไหม้พรุควนเคร็งคราวนี้ไม่ต่างอันใดกับเมื่อครั้งขงเบ้งวาง
เพลิงเผาทัพโจโฉสิบหมื่นในสงครามทุ่งพกบ๋อง
แต่นั่นเป็นป่าแขมซึ่งมีหญ้าแขมแห้งสูงระดับศีรษะเป็นอาณาบริเวณกว้าง

ขงเบ้งลวงทัพของโจโฉซึ่งนำโดยแฮหัวตุ้นให้ถลำลึกเข้ามาในพื้นที่ป่า
แขมแห้งแห่งทุ่งพกบ๋อง พอถึงเวลาทำการเข้าแล้ว
แค่ไม่กี่ชั่วยามกองทัพสิบหมื่นของโจโฉก็มลายหายไปในกองเพลิง

ความ รุนแรงของเพลิงในครั้งนั้นเป็นประการใด
ลองนึกดูเอาเถิดว่าความรุนแรงนั้นก็เกิดขึ้นในพรุควนเคร็ง ณ เวลานี้ด้วย
ดังนั้นหายนะจากเพลิงไหม้ครั้งนี้จึงทำลายแหล่งนิเวศน์ แหล่งทรัพยากร
อาหาร และภาวะแวดล้อมของพรุควนเคร็งที่ป่วยหนักอยู่แล้วให้ถึงกาลหายนะ

กระทบลงมาถึงอุทยานแห่งชาติทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลาครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่นี้อีกด้วย

จังหวัดสงขลา จังหวัดพัทลุง และจังหวัดนครศรีธรรมราช
มีประชากรหนาแน่นรวมกันแล้วร่วมครึ่งหนึ่งของประชากรภาคใต้
เอากันแค่ผู้แทนราษฎรของสามจังหวัดนี้ก็มีจำนวนร่วม 30 คน

แต่เป็น 30 คนที่ไม่รู้สึกรู้สาใดๆ
ต่อหายนะครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ใจกลางของภาคใต้
ไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของสรรพสัตว์
รวมทั้งประชากรภาคใต้ที่กำลังได้รับผลและจะต้องได้รับผลแห่งหายนะนี้ต่อไป
อีกไม่รู้นานเท่าใด

หาก ฟื้นคืนธรรมชาติให้แก่พรุควนเคร็งดังเดิมไม่ได้
ทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลาก็จะตายตามไปด้วย
พี่น้องประชาชนในพื้นที่สามจังหวัด คือสงขลา
พัทลุงและนครศรีธรรมราชก็จะประสบหายะในที่สุด
และย่อมส่งผลกระทบต่อทั่วทั้งภาคใต้อย่างไม่ต้องสงสัย

แล้วจะทำกันอย่างไร? จึงจะฟื้นคืนธรรมชาติสู่แผ่นดินดังเดิม
ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ภาคใต้ดังเดิม

พี่น้องประชาชนภาคใต้ทรหดอดทนเสียสละกล้าหาญมาแต่บรรพกาล
เรื่องน้อยเรื่องใหญ่หากเกี่ยวกับตนก็ไม่เคยก่นร้องป่าวประกาศให้ใครช่วย
แม้กระทั่งยามน้ำท่วมบ้านจนแม้หมูหมาไม่มีที่อาศัย
แต่เป็นยามแผ่นดินไทยวิกฤต
พี่น้องภาคใต้ยังสู้ทิ้งบ้านเรือนขึ้นมากรุงเทพฯ
เพื่อเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้กับพี่น้องร่วมชาติ
จนบาดเจ็บพิการล้มตายไปมากราย

ดังนั้นเราจึงไม่อาจนิ่งเฉยต่อหายนะใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นครั้งนี้
แต่ที่จะทำประการใดนั้นก็ดูอับจนยิ่งนัก

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบรรดาข้าราชการประจำในพื้นที่ก็หามีผู้ใด
ที่จะมีความใส่ใจที่จะแก้ไขปัญหานี้หรือที่พอมีบ้างโดยเฉพาะจากภาคประชาชนก็
มีกำลังอันจำกัดนัก คือจำกัดทั้งกำลังความรู้
กำลังความสามารถในการแก้ไขปัญหา

แม้ในส่วนกลางเล่าก็แทบหาคนมีความรู้ความเข้าใจในการแก้ไขปัญหาของ
พรุควนเคร็ง ทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลาแทบไม่ได้เลย
ไม่เห็นหรือว่าเวลาผ่านมาร่วมสิบวันแล้ว ทั้งส่วนกลาง ทั้งระดับรัฐบาล
ระดับกระทรวง แม้แต่ ส.ส. ในพื้นที่ก็ยังไม่มีใครรู้ประสีประสาเลย

แต่ประเทศไทยของเรานี้ยังโชคดีที่เรามีพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ
ที่ทรงรู้แจ้งแทงตลอดในสภาพความเป็นไปในราชอาณาจักรแห่งนี้

ทรง ศึกษา ทรงรวบรวมข้อมูล
และได้พระราชทานกระแสพระราชดำริในการอนุรักษ์พื้นที่พรุควนเคร็งมาร่วม 20
ปีแล้ว ดังนั้นปัญหาอันวิกฤตอันแผ่นดินไร้ที่พึ่งพาอาศัยได้แล้วเช่นนี้
ก็ยังมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะทรงพระราชทานพระราชดำริและแนวทางใน
การแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน

คุณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทั้งหลาย
แม้กระทั่งข้าราชการประจำ
ถึงไม่รู้ไม่เข้าใจที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตอันกำลังเกิดเป็นหายนะในภาคใต้ก็ตาม
แต่ถ้าหากยังรู้ที่จะเข้าไปเฝ้าฯ
เพื่อขอรับพระบรมราชวินิจฉัยและพระราชดำริในการแก้ไขหายนะครั้งนี้
ก็ยังพอมีความหวังและนี่ก็คือความหวังที่พี่น้องประชาชนภาคใต้กำลังรอ
คอยอยู่

รีบขอเข้าเฝ้าฯ กราบพระบาท
ขอรับพระราชทานแนวทางและวิธีการฟื้นคืนธรรมชาติสู่แผ่นดินภาคใต้โดยไวเถิด.


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000097938

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น