++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คำเปิดใจของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์และพล.ต.อ.วสิษฐ ชี้ทางสว่าง

โดย อุษณีย์ เอกอุษณีษ์ 27 สิงหาคม 2552 16:51 น.
"...สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงห่วงใยประชาชนตลอดเวลา พระองค์มีแต่ให้
แล้วสิ่งที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงให้มา ก็คือสิ่งที่ถาวร
ทรงทำทุกอย่างให้ประชาชนอยู่ดีกินดี
ให้ประชาชนมีกินไปชั่วลูกชั่วหลาน..."

"...พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ในโครงการต่างๆ
มันไม่ได้เป็นตัวเงินที่เอามาแจก คนนั้นเอาไปเท่านี้ คนนี้เอาไปเท่านั้น
เงินใช้เมื่อไหร่ก็หมด แต่ว่าสิ่งที่พระองค์ให้เป็นสิ่งถาวร
เป็นสิ่งที่จะอยู่คู่กับบ้านเรา คู่กับแผ่นดินเรา
ทรงให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ เชิดหน้าชูตาประเทศชาติ.."

การเปิดใจระหว่างบรรยายพิเศษหัวข้อ
"พระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย" ของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ
รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถนางสนองพระโอษฐ์ที่ถวายงานรับใช้ฯ มาร่วม 40 ปี
ในงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ "ร้อยดวงใจ
เทิดไท้องค์ราชินี" ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม
ที่หอประชุมกองทัพเรือ เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ฟัง
คงจะพอทำให้เกิดความสว่างไสวทางปัญญาอยู่บ้าง

นั่นเพราะในวันเดียวกันนั้นอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจที่รับใช้เบื้องพระ
ยุคลบาทมายาวนานเช่นกันอย่าง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร
ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนสังคมดังๆ อีกครั้งในงานเดียวกัน
ถึงเรื่องที่บ้านเมืองเรากำลังเผชิญหน้ากับ "สงครามที่สาหัสมาก"
และแม้ว่า "ศัตรูจะยังไม่ถืออาวุธ แต่กำลังใช้วิธีย้อมหัวของเรา
ย้อมหัวใจของเราให้หลงผิด"

และหนทางจะรับมือกับเรื่องนี้ทั้งสองท่านชี้ช่องในฐานะของผู้ที่ผ่าน
ร้อนผ่านหนาวมามากจนกลายเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่คนในสังคมให้ความเคารพนับถือ
อย่างน่าสนใจ โดยท่านทั้งสองกล่าวว่าจะสามารถรับมือได้ก็ด้วย
การถ่ายทอดให้ทุกคนรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ
ทรงทำอะไรมาแล้วกว่า 60 ปี โดยให้เราทุกคนช่วยกัน

การเปิดใจของผู้ใกล้ชิดสถาบันอย่างทั้งสองท่านที่กล่าวมานี้
นับว่าเป็นการเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมี
และนัยระหว่างบรรทัดนั้น
ก็มีความหมายลึกซึ้งเกินกว่าที่หนังสือพิมพ์บางฉบับจะดึงดัง
รวบรัดไปพาดหัวข่าวเอาง่ายๆ ว่า พ่อหลวงแม่หลวงอยากเห็นคนไทยสามัคคี
ไม่แตกแยก

เพราะคำพูดข้างต้นของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ รวมถึงพล.ต.อ.วสิษฐนั้น
ได้ชี้ไปถึงต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดว่า
ที่บ้านเมืองต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้าย
เพราะปรากฏว่ามีขบวนการบ่อนทำลายสถาบันฯ เกิดขึ้น
โดยคนเหล่านี้ใช้วิธีล่อหลอก ย้อมหัวประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งที่ขาดข้อมูล
หรือตั้งใจจะถูกเขาหลอก เพราะเศษเงินที่เขาโยนให้
และก็กลายไปเป็นเครื่องมือให้เขาใช้ทำร้ายทำลายสถาบันอันเป็นที่รัก
ทำลายบ้านเมืองในที่สุด

คำพูดของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ที่กล่าวพร้อมน้ำตาในวันนั้น
มีความชัดเจนในตัวอยู่แล้ว ทั้งเรื่องที่ "พระองค์
ท่านทรงห่วงใยประชาชนตลอดเวลา พระองค์มีแต่ให้ แล้วสิ่งที่ทั้ง 2
พระองค์ทรงให้มา ก็คือสิ่งที่ถาวร ทรงทำทุกอย่างให้ประชาชนอยู่ดีกินดี
ให้ประชาชนมีกินไปชั่วลูกชั่วหลาน..."

นั่นจึงทำให้เกิดคำถามต่อมาว่า แล้วเหตุไฉนประชาชนบางกลุ่ม
จึงยอมให้นักการเมืองสามานย์ 'ที่หวังจะเอามากกว่าให้'
มาปั่นหัวหลอกใช้ทำประโยชน์ส่วนตัวให้กับมัน
ไม่ว่าจะยอมตกเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวเพื่อต่อรองกับการลบล้างโทษ
ปลดเปลื้องความผิดของตนเอง

นักการเมืองอย่าง นช.ทักษิณนั้น
ย่างเท้าก้าวเข้ามาในแวดวงการเมืองไทย และมีโอกาสเข้าไปบริหารประเทศเพียง
5 ปี นับแต่ พ.ศ. 2544 - 2549

ถามว่าคุณทักษิณเอาจากประชาชนไปเท่าไรแล้ว
และมากกว่าที่เคยให้ประชาชนมากน้อยแค่ไหน เอาแค่หลักๆ
ที่อ้างอิงเป็นตัวเลขได้
และมีหลักฐานยืนยันดูได้จากรายงานการตรวจสอบทุจริตรัฐบาลทักษิณของ คตส.
ทั้ง 13 คดี ที่แม้จะส่งขึ้นศาลได้ 5 คดีเท่านั้น
แต่ตัวเงินที่ชาติต้องเสียไปเพื่อแลกกับโอกาสให้ทักษิณเข้ามาเป็นใหญ่รวม
แล้วสูงถึง 1 แสนแปดหมื่นล้านบาท (อ้าง อิงตัวเลขความเสียหายจากรายงานของ
คตส.ที่ปรากฏเป็นข่าวในรายงาน "เปิด 13 คดีบ่วงรัดคอ"
ทักษิณ-ครอบครัวชินวัตร "ต้นเหตุหนีตั้งหลักที่อังกฤษ", มติชน, 12
สิงหาคม 2551) ประกอบด้วย

* คดีการจัดซื้ออุปกรณ์ตรวจสอบวัตถุระเบิด CTX
(รวมสายพานลำเลียง), คดีท่อร้อยสายไฟใต้ดินสนามบินสุวรรณภูมิ

* คดีการเลี่ยงภาษีเงินได้จากการขายหุ้น (หุ้นชินคอร์ป)
ศาลอาญาตัดสินแล้วเมื่อ 31 ก.ค. 2551 พิพากษาให้จำคุกนายบรรณพจน์
ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนละ 3 ปี
และนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน เป็นเวลา 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์เมื่อ 20 พ.ย. 2551

* คดีเงินกู้ (Exim Bank)

* คดีการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว

* คดีจัดซื้อกล้ายาง

* คดีการจ้างก่อสร้างและการจัดซื้ออุปกรณ์ห้องปฏิบัติการกลาง (Central Lab)

* คดีแอร์พอร์ตลิงค์

* คดีการปล่อยเงินกู้ธนาคารกรุงไทย (กฤษดามหานคร)

* คดีการจัดซื้อจัดจ้างเอกชนโดยการเคหะแห่งชาติ (โครงการบ้านเอื้ออาทร)

* กรณีร่ำรวยผิดปกติ (76,000 ล้านบาท) จากการแปลงภาษีสรรพสามิตและอื่นๆ

* คดีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.

* คดีการจัดซื้อที่ดินจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
(ที่ดินรัชดาภิเษก) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2551 ให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 2 ปี
ส่วนคุณหญิงพจมาน ให้ยกฟ้อง

ข้ออ้างเรื่องข้อหาต่างๆ
เหล่านี้ล้วนถูกตั้งขึ้นจากหน่วยงานที่มาจากคณะรัฐประหาร
ก็ล้วนเป็นการอ้างเพื่อใช้ต่อสู้ทางศาลเท่านั้น
โดยที่คุณทักษิณก็รู้อยู่แก่ใจว่า
ข้อกล่าวหาดังกล่าวถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มนักวิชาการตามสถาบันการ
ศึกษาชั้นนำมานานแล้ว
ตั้งแต่สมัยที่ลูกหลานตระกูลชินวัตรได้มีโอกาสเข้าไปร่ำเรียน
และเสียงดังกล่าวก็อื้ออึงขึ้นมาตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549
ที่จะมีรัฐประหารแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ 19 กันยายน 2549
เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้อำนาจระบอบทักษิณที่เคยยื่นมือยื่นไม้เข้าไปแทรก
แซงกระบวนการอิสระ และกระบวนการยุติธรรมต้องสิ้นฤทธิ์ลง
และได้ทำงานที่ตัวมันเองอย่างที่สมควรกระทำ

ที่น่าอเนจอนาถที่สุดก็คือ
เมื่อรู้ว่าตนเองไม่อาจจะสู้ความจริงที่ปรากฏ
คุณทักษิณก็เลือกจะหนีความจริงไปเอ็ดตะโรอยู่นอกประเทศ
หาช่องทางทำลายความสุขสงบของบ้านเกิดตนเอง นัยว่า "เมื่อข้าไม่ได้
ก็อย่าหมายว่าใครจะได้ด้วย"

เมื่อพิจารณามาจนถึงบรรทัดนี้
ลำพังคนสติดีทั่วไปก็น่าจะบวกลบคูณหารได้ว่า ที่คุณทักษิณ
เอาไปจากคนไทยมันมากเท่าไหร่แล้ว
และยังไม่นับถึงนโยบายการบริหารประเทศที่คุณทักษิณนำไปบิดเบือนใช้เป็น
เครื่องมือหาเสียงมากกว่าที่จะตั้งใจให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดีมีชีวิตที่ดี

ก็..กี่ศพแล้วที่ต้องสูญไปกับนโยบายทำสงครามยาเสพติดของคุณทักษิณ

... กี่ครอบครัวแล้วที่หนี้สินต้องเท่าทวีคูณ จากนโยบายหว่านเงินกู้ของคุณ

... อีกกี่โรงพยาบาลที่คุณภาพการรักษาต้องสูญสิ้น และเสื่อมถอย
เพียงเพราะนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคโง่ๆ นั่น

14 ตุลาคม 2549 นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี
ออกมาหนุนให้ยกเลิกนโยบาย 30 รักษาทุกโรค ด้วยเหตุที่ว่า
"ในสังคมทุนนิยมเสรีของไทยนั้น มีทั้งคนรวยมากๆ คนรายได้ปานกลาง
และคนยากจนช่วยตัวเองไม่ได้
ในการดำเนินนโยบายสาธารณะจะต้องหาความสมดุลให้ได้ว่า
รัฐจะช่วยเหลือผู้ที่ยากจนมากได้อย่างไรก่อน
ใครมีรายได้ก่อนน่าจะช่วยตัวเอง ต้องมีการจำกัดให้ชัดเจนว่า
เรามีเงินเท่าไหร่ และนโยบายนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่
และจะช่วยคนจนได้อย่างไร และต้องช่วยอย่างแท้จริง
เป็นการช่วยเหลืออย่างถ้วนหน้าในคนจน"

หลักการข้างต้นนั้น ถูกนำมาใช้ในการบรรเทาความทุกข์ยาก
และโรคภัยไข้เจ็บให้กับผู้ยากไร้ในสังคมไทยมานานแล้ว ...

ก็โครงการแพทย์ชนบทเคลื่อนที่ของสมเด็จย่า ไงล่ะ

นี่ล่ะรากฐานของหลักประกันสุขภาพที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับประเทศไทย

8 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ22 เมษายน 2553 เวลา 22:33

    อืมรู้ได้อย่างไรว่า พวกนี้หวังทำลายสถาบัน มีหลักฐาณอะไร คิดเองเออเองหรือเปล่า แต่ก่อนนายสนธิ/จำลอง ก็เทิดทูนเค้า แต่พอขัดใจกัน ก็ทะเลาะกันแล้ว
    ก็ว่าเค้าบ่อนทำลายสถาบัน ไม่มีใครคิดอยากทำลายสถาบันหรอก เพราะคนไทยทุกคนเทิดทูนและรักอย่างหมดใจ มีแต่พวกที่ทะเลาะกัน แย่งชิงอำนาจกัน แล้วเอาสถาบันมาอ้างกัน ผมว่าพวกนี้แหละที่เป็นตัวบ่อนทำลายสถาบัน และชาติอย่างแท้จริง

    ตอบลบ
  2. เรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ มาจากการเสียผลประโยชน์ของกลุ่มนายทุน ต่างๆ ทั้งนั้น ประชาชนเป็นแค่เหยื่อของนักการเมือง ไม่ว่าพรรคไหนก็เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม จึงทำให้ประเทศชาติมาถึงวิกฤตนี้ เมื่อมาถึงวันนี้ต่างฝ่ายต่างโยนความผิดให้กัน ทำไมตั้งแต่แรกไม่สู้กันในสภาและใช้กฎหมายตัดสิน ทหารจะออกมาปฏิวัติ ทำไม??ตอนนี้มีผลดีอะไรเกิดขึ้นบ้างหลังจากที่มีการปฏิวัติ

    ตอบลบ
  3. อืม!!! ทักษิณนี่มาแบ๊บ เดียวเอาไปตั้งเยอะเลยนะ แล้วคนที่อยู่มานาน กว่า 60 ปีหละเอาไปเท่าไหร่แล้ว ไม่มีใครรู้เลย ตรวจสอบไม่ได้ แถมหน้าด้านขี้ตู่อีกต่างหาก

    บอกทำเพื่อประชาชน พวกคุณทำอีท่าใหนกัน มันถึงได้เละขนากนี้ ไม่มีฟีมือก็รู้จักถอยไปให้คนอื่นเขามาทำบ้างสิ ลองไปอยู่แบบไม่มีอะไรอย่างพากเค้าสักปีสองปีมั้ย อาจทำให้พวกคุณฉลาดขึ้นมาบ้าง

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ23 พฤษภาคม 2556 เวลา 23:09

    บริวารเองควรสำนึกในพระกรุณาธิคูณ ไม่ใช่ทำให้สถาบันเสียหาย
    นายหลวงท่านว่า ท่านไม่มีอำนาจทำอะไร ให้สภา 3 อำนาจเสนอขึ้นมา
    ตามกติกาแล้วท่านค่อยวินิจฉัย ท่านไม่มีอำนาจที่จะสั่งอะไรได้ตามใจ
    แล้วทำไม เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

    ตอบลบ
  5. nas ก็แสดงว่ากว่าหกสิบปีที่ผ่านมาไม่ได้มีอะไรซึมเข้าไปในหัวคุณเลย ที่บอกว่าตรวจสอบไม่ได้ คุณเคยตรวจสอบรึเปล่า เอาแต่นั่งอยู่หน้าโทรทัศน์

    ตอบลบ
  6. ตลกที่มีคนเอาพ่อหลวงไปเทียบกับนักการเมืองนะครับ น่าสมเพช
    คุณลองให้ทักษิณบริหารธุรกิจส่วนตัวแล้วเอาเงินส่วนที่เป็นปันผล กับ โบนัส ของผู้ถือหุ้น มาใช้งานเพื่อช่วยสังคมทั้งหมดสิครับ... คุณคิดว่าเค้าจะทำไหม???

    ตอบลบ
  7. @nas คุณเอาสมองส่วนไหนคิดที่จะเอาขี้กลากไปเปรียบกับฟ้า เอาง่ายๆๆ วันนี้ที่คุณมีแผ่นดินอยู่ให้คุณหายใจทิ้งๆไปวัน พ่นคำทุเรสๆออกมา หรือแม้กระทั่งทำมาหากินกัน มีกินมีใช้อย่างสุขสบาย คุณได้ตอบแทนอะไรบนแผ่นดินที่คุณได้มาขออาศัยเค้าอยู่บ้างรึยัง? ...ขอขีดเส้นใต้3เส้น "คุณได้ตอบแทนอะไรบนแผ่นดินที่คุณได้มาขออาศัยเค้าอยู่บ้างรึยัง?"

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ15 พฤษภาคม 2557 เวลา 13:02

    เอาสถาบันลงเปื้อนการเมืองทำให้เสื่อมเสียทำไม บ้านเมืองแย่ใช่เพราะคุณอยู่เบื้องหลังหรือไม่

    ตอบลบ